-12-
ก่อนจะจากไป ซากุระจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในบ้านใหญ่โดยเชิญหัวหน้าแก๊งค์ใต้ปกครองมาร่วมด้วย เธอเอ่ยอำลาพร้อมทั้งบอกฝากเซินเฟยกับทุก ๆ คน แม้จะไม่มีใครร้องไห้ออกมา แต่บรรยากาศของการลาจากก็วนเวียนและกดทับลงมาจนไม่มีใครสามารถทำใจให้สนุกสนานกับงานเลี้ยงได้แม้เจ้าของงานจะยิ้มแย้มแจ่มใสและบอกให้ทุกคนทำใจสบายและสนุกรื่นเริงด้วยกันก็ตามที
ในวันที่ซากุระต้องเดินทาง เธอจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้บอกเวลากับใครแน่ชัดเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อนมาส่ง กระนั้นเซินเฟยก็รู้สึกว่าเขาเห็นชิงหลงกับใครบางคนที่คุ้นหน้ามองดูอยู่ไกล ๆ โดยไม่ได้เข้ามาเอ่ยอำลากับหญิงสาวแต่อย่างใด
เมื่อซากุระจากไปแล้ว เซินเฟยก็รู้สึกว่าบ้านที่เคยอยู่ดูไม่เหมือนเดิม เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับมาวางในสถานที่ที่เหมือนบ้านแต่ไม่ใช่บ้านกระนั้น
บ้านทั้งหลังว่างเปล่า....เงียบเหงา....ไม่ว่าที่ไหนของบ้านก็เป็นเช่นนี้ไปเสียหมด แม้จะมีคนรับใช้และบอดี้การ์ดอยู่รายล้อม แต่เซินเฟยก็ยังเปล่าเปลี่ยว
แม้ต่อหน้าคนอื่น ๆ เขาจะทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ในความเป็นจริงตัวเขาก็ยังรู้ดี....ว่าความมั่นคงในใจกำลังคลอนแคลนและพังทลายลงอย่างช้า ๆ พร้อมการจากไปของหญิงสาวที่ค้ำจุนเขาเสมอมา
เซินเฟยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อจัดการความรู้สึกนี้
ตกเย็นในวันที่ซากุระจากไป หลังจากกินอาหารค่ำแล้วเซินเฟยก็กลับห้องนอนทันที เขารู้สึกอยากอยู่เงียบ ๆ แต่เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ จริง ๆ กลับยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เซินเฟยรู้สึกเหงาจนแทบทนไม่ไหวอยากจะมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนแต่ก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพน่าสมเพช จึงได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง หยิบหนังสือมาอ่าน และพยายามดูว่ามีงานต้องทำหรือไม่ กระทั่งพยายามข่มตาหลับ แต่เวลา 2 ทุ่มแล้วเขาก็ยังไม่สามารถสลัดความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพังได้
เซินเฟยผุดลุกขึ้นจากเตียง คว้าขวดเหล้าที่เก็บไว้บนบาร์กับแก้วใบสวยเดินออกไปจากห้อง
โดยไม่ทันได้คิดว่าจะไปนั่งดื่มที่ไหน ขาก็พาเขามาจนถึงประตูห้องใต้ดินเสียแล้ว บอดี้การ์ดที่เฝ้าหน้าห้องดูจะแปลกใจที่เขามาที่นี่ทั้งที่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเฉียดผ่านเลย มีเพียงหวางซิงเท่านั้นที่เข้าออกเพื่อมาเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าพันแผล ป้อนข้าวป้อนน้ำ และช่วยทำธุระส่วนตัวให้ฉู่เหวินจือที่ถูกขังเอาไว้
ตอนที่เซินเฟยลงไป เขาพบว่าฉู่เหวินจือกำลังหลับอยู่ อีกฝ่ายยังคงถูกขึงเอาไว้ในท่าเดิมอย่างที่เป็นมาตลอดอาทิตย์ บริเวณลำตัวถูกพันทบด้วยผ้าพันแผลผืนใหม่ที่หวางซิงเพิ่งเปลี่ยนให้
เซินเฟยลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ตอนนี้เขาอยากเห็นใบหน้าใครบางคน จะใครก็ได้ที่อยู่ต่อหน้าและไม่อาจหนีไปไหนได้
ขวดเหล้าถูกเปิดออก น้ำสีอำพันไหลลงแก้วก่อนที่เซินเฟยจะวางขวดเหล้าลงบนพื้นและกระดกเหล้ารสแรงลงคอ โดยปกติแล้วเซินเฟยไม่ค่อยได้ดื่มเหล้ามากนักนอกจากเพื่องานสังคม นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้ที่เขาอยากจะดื่มให้เมามาย
“คุณดูไม่น่าจะเป็นคนติดเหล้าได้เลยนะ”
เสียงทักที่ดังขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เซินเฟยเกือบสำลักเหล้า เขาลดแก้วลงแล้วมองดูฉู่เหวินจือที่กำลังยิ้มให้
“ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับนายหรอกนะ” เขาว่า เพราะตอนนี้เขาต้องการความเงียบอย่างมาก ไม่อยากจะพูดคุยกับใครเลยแม้แต่คนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นคุณจะลงมาหาผมทำไม?”
“......”
เซินเฟยไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น เขาเงียบไปและรินเหล้าให้ตัวเองอีกครั้ง ในห้องที่มืดสนิทไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจนนักทำให้สีของเหล้าไม่ได้สะท้อนแสงเป็นสีอำพันสวยงามและเซินเฟยก็ไม่ได้คิดจะเชยชมความสวยงามด้วยอารมณ์สุนทรีย์ เขาเพียงแค่อยากจะเมาก็เท่านั้น แต่ว่าทางฉู่เหวินจือกลับตรงข้าม เขาโดนขังอยู่ในห้องมืด ๆ มีเพียงเวลาที่หวางซิงลงมาเท่านั้นจึงจะได้เห็นแสงสว่าง สายตาของเขาจึงคุ้นชินกับความมืดมิดดี และตอนนี้เขาก็เห็นความเหงาหงอยระคนปวดร้าวบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่นั่งตรงหน้าตน
“พวกข้างบนนั่นรังแกคุณงั้นหรือ?”
“เงียบซะ” เซินเฟยไม่นำพาต่อคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น
“ผมไม่ได้พูดคุยกับใครมาทั้งอาทิตย์จนจะพูดไม่เป็นอยู่แล้ว หวางซิงก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลย คุณนี่นอกจากจะทรมานผม กักขังผม แล้วจะทำให้ผมเป็นใบ้ด้วยหรือ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบสนอง ฉู่เหวินจือก็เริ่มร่ายยาวเป็นการบ่นทดแทนช่วงเวลาที่อีกฝ่ายขังเขาเอาไว้ตามลำพัง
“อย่าให้ฉันเลาะฟันนายออกมานะ” เซินเฟยขู่ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกมึนนิดหน่อยหลังกระดกเพียว ๆ สามแก้วรวดจึงไม่รู้สึกอารมณ์เสียมากนักแม้จะถูกก่อกวนในเวลาอย่างนี้
ฉู่เหวินจือรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่น่าแปลกใจ จะมีอะไรบางนะที่ทำให้เซินเฟยผู้เข้มแข็งดูอ่อนแอลงถึงขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่ถูกเขาข่มขืนก็ยังไม่แสดงอาการอย่างนี้เลยไม่ใช่หรือ?
ราวกับว่า....เหตุผลของความเข้มแข็งนั้นได้จากลาไปเสียแล้ว....
ฉู่เหวินจือนิ่งเงียบไป ไม่ใช่เพราะกลัวคำขู่ แต่เขากำลังคิดทบทวนว่ามีอะไรบ้างที่สามารถทำให้เซินเฟยหวั่นไหวได้ อะไรบ้างที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้สั่นคลอน และทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกที่จะลงมาหาเขา....คนที่เคยทำให้โกรธจนแทบบ้าและตอนนี้ไม่มีปัญญาต่อกร เขาดูจะไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่มีผลต่ออารมณ์ของเซินเฟยในเวลานี้ หวางซิงก็ไม่น่าจะใช่เพราะฝ่ายนั้นยังคงทำงานอย่างซื่อสัตย์ไม่ได้จากไปไหน คนรับใช้ในบ้านก็ไม่มีใครมีความสัมพันธ์พิเศษกับนายน้อยคนนี้อีก หรือว่าจะเป็น....
ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา เขาลืมไปได้อย่างไรนะ
คน ๆ เดียวที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง ห้ามกระทั่งมองดู...
“อาสะใภ้....นายหญิงสบายดีหรือเปล่า?”
คำถามของฉู่เหวินจือทำให้เซินเฟยชะงักก่อนจะกระดกแก้วที่ห้าลงคอไปรวดเดียว ความเงียบปกคลุมลงมาอีกครั้งเมื่อเซินเฟยไม่ตอบคำ
เด็กหนุ่มรินเหล้าให้ตัวเองอีกหลายแก้วจนเริ่มรู้สึกมึนเมาได้ที่ ทิ้งช่วงความเงียบให้ยาวนานจนฉู่เหวินจือเกือบจะหลับไปอีกครั้ง ความมืดและความเงียบช่างเหมาะกับการนอนเสียจริง ถ้าไม่รวมกับที่แขนของเขาถูกขึงเอาไว้ในท่าเดิมจนกระดูกไหล่แทบจะหลุดคงจะนอนหลับอย่างสบายกว่านี้ ไม่ใช่เผลอสัปหงกทีนึงก็ปวดไหล่จนต้องตื่นขึ้นมา บางทีเขาก็รู้สึกชื่นชมการสรรหาวิธีลงโทษของเซินเฟยอยู่เหมือนกัน
“อยากกลับไปหาไป๋หู่หรือเปล่า?”
ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วกับคำถาม ไม่คิดว่าเซินเฟยจะใจดีขนาดยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ อย่างนั้น ตอนแรกทำใจไว้ว่าอาจต้องโดนแขวนไว้อย่างนี้ต่ออีกสักอาทิตย์
“คุณจะส่งผมกลับหรือครับ?” เขาถามหยั่งเชิง
“นายทำงานเสร็จแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าไป๋หู่มีคำสั่งอื่นอีก?” เสียงของเซินเฟยฟังดูอู้อี้เล็กน้อยเพราะความมึนเมาเข้าครอบงำสติ
“ท่านไป๋หู่สั่งว่าหลังจากเสร็จงานแล้วจะให้ผมทำอะไรก็ได้ตามใจ” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “ดูท่าทางเขาจะคิดว่าผมอาจโดนฆ่าตายทันทีเลยไม่คาดหวังให้ผมกลับไปรับใช้ต่อ”
“แสดงว่า....หลังจากนี้นายจะทำอะไรก็ได้สินะ”
ฉู่เหวินจือได้ยินเสียงเก้าอี้ขยับ และเงาร่างของเซินเฟยที่ลุกยืนก่อนจะเดินมาทางเขา ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ในระยะประชิดและยกมือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วขึ้นจับคานด้านบนทำให้ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน กลิ่นแอลกอฮอล์อวนคลุ้งอยู่ตรงจมูกเมื่อเซินเฟยปล่อยลมหายใจออกมา
“คุณเมาแล้วนะ”
“นายคิดที่จะมาทำงานกับฉันหรือเปล่า?” เซินเฟยไม่ได้นำพาต่อคำพูดของอีกฝ่าย เขายิงคำถามที่ฉู่เหวินจือไม่ได้คาดคิดออกมา
“แปลว่าคุณกำลังจะมีข้อเสนอให้ผมพิจารณา” ฉู่เหวินจือพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากแตะกันเล็กน้อย เซินเฟยสะดุ้งแต่ไม่ได้ถอยหนี หากสว่างกว่านี้เขาอาจจะเห็นแววตาสับสนของอีกฝ่าย แต่เพราะความมืดทำให้ฉู่เหวินจือเห็นเพียงเงาหน้าราง ๆ
“ฉันไม่ใช้งานนายฟรี ๆ หรอก” เซินเฟยกล่าวโดยไม่ได้หลบตา “มาอยู่กับฉันสิ เป็นสุนัขของฉัน แล้วฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้”
“ค่าตอบแทน?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม “คุณจะจ่ายผมด้วยอะไรล่ะ? ถ้าคุณให้ราคางามกว่าไป๋หู่ผมก็จะลองพิจารณา” เขากระซิบประชิดริมฝีปากของเซินเฟย กลิ่นเหล้าลอยอวลเชิญชวนให้ลิ้มรสด้วยสิเน่หา
“ถ้านายยังสนใจสิ่งที่นายได้ไปแล้วล่ะก็.....” ว่าแล้ว เซินเฟยก็ก้มลงวางแก้วเหล้าก่อนจะลุกขึ้นมาอีกครั้งและปลดกระดุมทีละเม็ด
ใจกล้าดีนี่....
ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกปรารถนาที่พึ่งพิงถึงขนาดนี้ แต่ว่าในเมื่อมันทำให้เขาได้ประโยชน์เขาก็คงต้องขอบคุณสิ่งนั้นสินะ....ทั้งที่ในใจคิดอย่างนั้น ทว่าฉู่เหวินจือก็ไม่ได้ตอบทันที เขาทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย
“ถ้าถูกมัดอยู่แบบนี้ผมคงตัดสินใจยากหน่อย แบบว่า....ผมปวดแขนน่ะ”
เซินเฟยต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่สมองซึ่งถูกแอลกอฮอล์กดทับจะตีความหมายได้ เขาจึงแกะเชือกที่พันข้อมืออยู่ออก บริเวณนั้นสัมผัสได้ว่าผิวหนังที่ถูกมัดมีรอยถลอกซึ่งหากสัมผัสคงจะแสบน่าดู ฉู่เหวินจือลูบข้อมือตนเองขณะที่เซินเฟยถอยห่าง ชายหนุ่มก้มลงปลดล็อคข้อเท้า ยืนหยั่งขาบนพื้นและยืดแขนขาให้คลายอาการเมื่อยขบ ไม่รู้เลยว่าหลังจากถูกขึงมานานพอได้เป็นอิสระอีกครั้งจะรู้สึกดีอย่างนี้
“ถ้านายอยากได้เวลาฉันจะ.....อ๊ะ!” ไม่ทันที่เซินเฟยจะผละออกไป ฉู่เหวินจือก็กระชากร่างฝ่ายตรงข้ามเข้าหาโดยแรงก่อนจะโถมตัวลงจนล้มลงไปบนพื้นทั้งคู่ เซินเฟยสมองเขย่าจนโลกหมุนคว้างต้องใช้เวลานานกว่าที่จะผงกศีรษะขึ้นมาจากพื้นและได้เห็นฉู่เหวินจือคร่อมทับอยู่ด้านบน
“ผมรับข้อเสนอ”
ฉู่เหวินจือกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะแหวกเสื้อเซินเฟยออก แม้ในความมืดเขาจะมองไม่เห็นอะไรชัดเจนนักแต่ก็สามารถจินตนาการได้จากที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ตอนนี้เซินเฟยคงจะกำลังทำหน้าแดงอย่างรั้น ๆ อยู่แน่ ๆ เพียงแค่คิดก็ตื่นเต้นอยากจะเผด็จศึกจนแทบทนไม่ไหว
แม้จะเมามายแต่เซินเฟยก็มีสติพอจะรู้ตัว เขาสามารถห้ามปรามฉู่เหวินจือได้แต่ก็ไม่ทำ...
เซินเฟยปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ การปลุกเร้าและรุกไล่ของชายหนุ่มนอกจากจะไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจแล้วเซินเฟยยังรู้สึกดีไปด้วยเสียอีก เพราะความเหงาหรืออย่างไรไม่อาจทราบ เพียงแต่เซินเฟยรู้ว่าเวลานี้ตัวเขาสูญเสียความมั่นใจที่จะยืดหยัดตามลำพังไปเสียแล้ว หากไร้หลักพึ่งพิงในที่สุดก็คงจะโค่นล้มลง ซึ่ง....เขายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้...
ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไป เขาจะล้มลงไม่ได้อย่างเด็ดขาด....
เพราะบนบ่าของเขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องค้ำยันเอาไว้....
----------------->
จือหยินมาตรวจร่างกายช้ากว่ากำหนดถึง 1 อาทิตย์ เพราะช่วงที่ซากุระกำลังจะเดินทางนั้นเธอได้ขอให้จือหยินเลื่อนกำหนดออกไปก่อนเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับเซินเฟยอย่างเต็มที่ไม่สูญเสียไปสักวินาที
ช่วงนี้ร่างกายของเซินเฟยดูจะยังไม่ปกติดีจึงยังไม่ได้ไปทำงาน จือหยินที่มาตรวจร่างกายให้ตามปกติจึงต้องระมัดระวังอย่างมากที่จะจ่ายยาให้อีกฝ่ายเพราะได้ยินจากหวางซิงว่าเซินเฟยกินยาผิดไปครั้งหนึ่งทำเอาเบลอไม่รู้เรื่องเสียข้ามวัน
“หมอจ้าวฝีมือดีนะครับ แผลสวยทีเดียว” จือหยินกล่าวขณะตรวจบาดแผลบนหน้าขา แม้เซินเฟยจะรู้สึกกระดากที่ต้องมาถอดกางเกงต่อหน้าคนอื่น แต่เพราะไม่อยากรู้สึกสมเพชตัวเองจึงพยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ
“อีกนานไหมกว่าจะหาย”
“ไม่นานหรอกครับ แผลใกล้จะปิดสนิทแล้ว ถ้าไม่ออกกำลังมากเกินไปแผลก็ไม่เปิดอีกหรอกครับ” จือหยินตอบพลางเช็ดแผลด้วยแอกอฮอล์ทำให้เซินเฟยรู้สึกเย็นวาบ เวลาถูกสัมผัสขาอ่อนอย่างนี้ถึงจะเป็นเพียงสำลีแต่ก็ทำให้รู้สึกสะเทิ้นอายขึ้นมาเหมือนกัน
เซินเฟยจ้องมองมือของจือหยินขณะปิดสำลีเหนือรอยเย็บ ก่อนจะไล่ไปตามแขนจนถึงใบหน้า อีกฝ่ายยังคงดูอ่อนโยนเหมือนเคยทั้งยังหน้าตาอยู่ในขั้นน่ามอง ไม่แปลกที่จะมีหญิงสาวเข้ามาติดพันแม้โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยมีเวลาก็ตาม เมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร เซินเฟยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดแปลบในอก เขารู้ว่าความรู้สึกพิเศษที่มีให้อีกฝ่ายนั้นเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ต้น ผู้ชายปกติที่ไหนที่จะสนใจผู้ชายด้วยกัน ซ้ำยังเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะที่ยากจะจินตนาการถึงอย่างเขา แม้แต่คิดจะเป็นเพื่อนยังยากจะเป็นไปได้....
ทำไมถึงรู้สึกอ้างว้างขึ้นมาอีกแล้วนะ....
เซินเฟยรู้สึกเหมือนในอกตนเองมีโพรงมืดกำลังขยายตัวอยู่ ตั้งแต่ซากุระจากไปมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เสียจนเขายังรู้สึกกลัวว่าวันหนึ่งจะถูกกลืนกินเข้าไป
“แล้วคุณรู้สึกผิดปกติบ้างไหมครับในระยะนี้?” ในห้วงภวังค์ความคิด เซินเฟยได้ยินเสียงของจือหยินแทรกเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังส่งยิ้มให้แล้วถามย้ำ “รู้สึกผิดปกติไหมครับ?”
“เช่นอะไรบ้าง?”
“ก็....อืม....อย่างมึนหัว ปวดกล้ามเนื้อ ระยะนี้คุณไม่ได้ออกกำลังกายเลย ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ ตลอดคงจะรู้สึกติดขัดบ้างใช่ไหมครับ?”
“ก็นิดหน่อย...ผมรู้สึกเบื่อหน่ายมากกว่า” เซินเฟยตอบ เขาอยากจะหลุดพ้นจากวิถีชีวิตอันเงียบเหงานี้เสียที
“เสียดายจังนะครับ” อยู่ ๆ จือหยินก็ว่าออกมาอย่างนั้น “คุณเซินมีสุขภาพผิวที่ดีมาก มีแผลแบบนี้น่าเสียดายแย่เลยจริงไหมครับ?”
เซินเฟยรู้สึกร้อบวูบขึ้นมาที่ใบหน้า เพราะก่อนหน้านี้ที่มีคนวิจารณ์ผิวของเขา เขากลับโดนคน ๆ นั้นทำเรื่องน่าอายขณะวิจารณ์
“แต่หมอจ้าวเป็นหมอที่เก่งมาก ผมคิดว่าคงไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นด้วยซ้ำไป”
“.....งั้นหรือ....” เซินเฟยปรับระดับเสียงให้เป็นปกติ ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคนรักแล้วเขาก็ยังอดใจเต้นแรงกับถ้อยคำแสดงความห่วงใยไม่ได้ แม้จะเป็นคำพูดตามหน้าที่ก็ตาม
“แล้วก็อย่าหยิบยากินเองอีกนะครับ ให้คุณหวางจัดการให้เหมือนเดิมดีกว่า”
เซินเฟยนึกอยากเอาหน้าซุกดิน กระทั่งเรื่องนี้ทำไมหวางซิงต้องรายงานด้วยนะ
จือหยินหลีกเลี่ยงการพูดถึงซากุระอย่างฉลาดด้วยรู้ว่าการจากไปของญาติผู้ใหญ่ที่สนิทที่สุดย่อมมีผลกระทบต่อภาวะทางอารมณ์อย่างมาก โดนมารยาทเขาอาจควรเอ่ยถามถึง แต่ด้วยจรรยาบรรณ จือหยินตัดสินใจว่าเขาควรจะเงียบเอาไว้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” จือหยินกล่าวอำลาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูปกติดี แค่มีอาการเบื่ออาหารเล็กน้อยตามภาวะของคนที่กำลังเข้าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร แต่ตอนที่หวางซิงรายงานให้เขาฟังกลับทำท่าราวกับว่าเจ้านายของตัวเองเผลอกินยาพิษเข้าไปทั้งขวดกระนั้น
จือหยินจากไปแล้ว แต่เซินเฟยก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม เขาผ่อนคลายร่างกายให้สบายแล้วสงบจิตใจที่เหมือนจะหวั่นไหวได้ทุกครั้งเมื่อพบหน้าอีกฝ่าย
“ทำหน้าแบบนั้นผมหึงนะครับ” ฉู่เหวินจือเข้ามายืนหลังเก้าอี้เมื่อใดไม่ทราบได้ ชายหนุ่มคร่อมตัวลงมาจนใบหน้าเกือบจะชิดอีกฝ่าย เซินเฟยลืมตาขึ้นพลางมุ่นคิ้ว นึกขุ่นใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องโผล่มาให้เห็นหน้าขัดจังหวะการรำลึกถึงหน้าจือหยินที่ติดอยู่ในความทรงจำด้วย
ฉู่เหวินจือยืดตัวขึ้นแล้วเดินอ้อมเก้าอี้มานั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าก่อนลูบไล้ท่อนขาเปลือยเปล่าลื่นมืออย่างถือวิสาสะ
“ทำไมคุณถึงไม่บอกเขาด้วยล่ะครับว่ารู้สึกผิดปกติที่ข้างหลังนิดหน่อย คุณปวดสะโพกบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือครับหลังจากที่เราทำกับเสร็จ” ชายหนุ่มหยอกล้อถึงเรื่องบัดสีได้อย่างหน้าตาเฉย แต่แน่นอน ใครจะไปกล้าพูดเรื่องแบบนั้นกับหมอ ยิ่งกับคนหน้าบางอย่างเซินเฟยถ้าจะให้พูดคงจะขอกัดลิ้นตายดีกว่า
“ถ้ารู้ก็อย่าทำสิ” เซินเฟยทำหน้าขัดใจ ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนที่พวกเขาตกลงกัน ฉู่เหวินจือก็เข้ามารบกวนเขาได้ทุกคืน พอเขาเอ่ยปากห้ามก็ทวงสัญญาทำให้พูดไม่ออก นอกจากนั้นแล้วยังฉวยโอกาสแตะต้องเนื้อตัวเขาได้เกือบทุกเวลา แม้แต่ตอนนี้ที่เจ้าตัวเอาแต่ลูบไล้ขาของเขาราวกับขาผู้หญิง ขาผู้ชายมันดูน่าพิศมัยน่าลูบน่าไล้ตรงไหนกันนะ เซินเฟยไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
“คนเราเวลามีอาหารเลิศรสวางตรงหน้าแล้วบอกว่าจะกินก็กินได้นะ คุณคิดว่าจะมีใครกล้าปฏิเสธหรือครับ” ฉู่เหวินจือพูดไปก็ก้มหน้าลงจุมพิตเหนือสำลีที่ปิดแผลก่อนจะเลื่อนไปบนผิวเนื้อโดยรอบ ส่วนมือที่ว่างข้างหนึ่งก็ลูบอยู่บนขาอีกข้าง เซินเฟยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ไม่สวมกางเกงทันทีที่จือหยินออกไป
“พอแล้ว ถ้ามีคนอื่นเข้ามา...”
“ตอนนี้? ไม่หรอกครับ” ฉู่เหวินจือหัวเราะ “ในห้องทำงานของคุณนอกจากหวางซิงแล้วไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอกครับ ส่วนหวางซิงตอนนี้ก็ไปที่บริษัทเพื่อดูว่าระหว่างที่คุณกำลังอู้งานมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้อู้งาน ถ้านายขยันนักก็ออกไปช่วยอาซิงสิ” เซินเฟยเริ่มนึกรำคาญ สิ่งเดียวที่เขาทำใจให้เคยชินกับอีกฝ่ายไม่ได้คือปากที่พาลจะหาเรื่องอยู่ตลอด
“ผมกำลังทำงานอื่นอยู่” ฉู่เหวินจือขยับมือขึ้นเกี่ยวชั้นใน ทันใดนั้นเซินเฟยก็หน้าแดงวาบรีบตะปบมืออีกฝ่ายทันที
“นี่มันตอนกลางวันนะ!”
“ก็ใช่ แต่เราก็อยู่ตามลำพัง อีกอย่าง ผมบอกแล้วว่าผมกำลังหึง” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้างแล้วดึงชั้นในอีกฝ่ายออกโดยไม่สนใจการห้ามปราม “ให้หมอจือสัมผัสแบบนั้นคงจะใจเต้นน่าดูเลยสินะครับ”