เสียงเรือจอดเทียบท่าดังขึ้น พร้อมกับชาวบ้านที่ทะยอยลุกขึ้นอย่างกระวีกระวาด การเดินทางที่ยาวนานในวันนี้ ทำให้หลายต่อหลายคนบ่นอุบว่าเมื่อไหร่รถไฟจะซ่อมเสร็จ
ผมเองกับหมอปีย์นั้น นั่งรอให้ผู้คนซาเสียก่อน ไม่อย่างเบียดเสียดกันลงเรือ ทันทีที่ผู้คนลุกขึ้น สภาพบนเรือก็ไม่ต่างไปจากถังขยะดีๆนี่เอง เศษอาหาร เศษใบไม้ โดยเฉพาะเมล็ดแตงโมที่ชาวบ้านเอาขึ้นมาแทะแก้เบื่อระหว่างนั่งเรือก็เกลื่อนพื้นเต็มไปหมด
ผมนั้นนั่งเท้าคางมองขึ้นไปบนฝั่ง ที่พอมีแสงแดดยามเย็นสีเหลืองทองส่องให้เห็นใบไม้ ต้นไม้ที่ขึ้นโปร่งตากว่าที่ปากน้ำมาก อาจเป็นเพราะดินบริเวณนี้เป็นทราย ต้นไม้ส่วนใหญ่ จึงไม่เติบโตเท่าดินแถวปากน้ำ แต่กระนั้นผมก็ยังเห็นเจ้าสัตว์ร่วมโลกตัวน้อยที่ห้อยโหนไปมาอยู่ไม่ไกล
“หมอ ดูนู่นสิ” ผมชี้ไปที่ลิงแสมฝูงหนึ่ง ที่กำลังปีนป่ายต้นไม้ไปมา อาจชินตาสำหรับคนที่นี่ แต่สำหรับผมนั้น มันช่างชวนให้คิดว่า จริงๆแล้ว ความเจริญคือสิ่งที่โลกต้องการ หรือแค่มนุษย์ต้องการเท่านั้น ในยุคสมัยผมไม่มีภาพแบบนี้ให้เห็นอีกแล้ว ที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นมีการพัฒนา ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ทำลายไปด้วย
“เจ้ามิเคยเห็นลิงแสมรึ” หมอปีย์หันมาถาม “ที่บ้านเจ้าไม่มีแบบนี้รึ”
“ไม่มีหรอก ชั้นเพิ่งมาเห็นตัวนึงก็ตอนมาอยู่บ้านนายนี่แหละ ดูเหมือนจะเป็นลิงแขกเสียด้วยนะ” ผมด่ากระทบมัน ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่บันไดเรือ ปล่อยให้หมอปีย์นั่งเกาหัวด้วยความงุนงง
“หมอแล้วเราจะไปยังไงกันต่อหล่ะ” ผมหันไปหันมา
หมอปีย์ก็หันไปหันมาคล้ายกับกำลังมองหาใครสักคน
“เราส่งข่าวให้ชาวบ้านที่ดูแลเรือนรับรองของหมอเจอราร์ทมารับ ป่านนี้ทำไมยังมิมา” เขาทำท่าร้อนรนกระวนกระวาย
“โห อะไรวะ ยังต้องไปอีกเหรอ ไม่ไหวแล้วนะ กูเมื่อยยยยยยยยยยยยย” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนขอนไม้ผุใกล้ๆด้วยความเหนื่อยอ่อน
หมอปีย์เองก็ดูจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน บ่าวสองคนที่ตามมาด้วยก็ถือของพะรุงพะรัง ผมจะขอช่วยถือ แต่เธอก็ไม่ยอม คงกลัวหมอปีย์ดุ
“เอาไงหมอ เหนื่อย หิว ง่วง” งอแงเป็นเด็กๆน่ารำคาญ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“อ้าวหมอ!!!” เสียงชายแปลกหน้าร้องทักมาจากด้านหลัง ผมหันไปมอง
“อ้าว” หมอร้องตอบ คนป่วยของหมอที่หมอรักษาตอนอยู่บนเรือนั่นเอง เขากับพรรคพวกอีกสองคนกำลังขับเกวียนมาทางที่เรากำลังยืนอยู่พอดี
“จักไปบ้านใดกันเล่าหมอ”สำเนียงของเขาดูแปล่งๆไม่เหมือนกับเสียงคนพระนครเลย สำเนียงนั้นดูแข็งกระด้าง ดุดัน
“เราจักไปบ้านนายางน่ะ อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นโขแล้วหมอ ถ้าไม่ได้หมอ ข้าคงจักแย่ เอาอย่างนี้ไหม หมอ ขบวนข้ากำลังจะไปทางนั้นพอดี ท่านไปกับข้ามั๊ยหล่ะ ทิ้งบ่าวไพร่ให้รออยู่ที่นี่”
หมอปีย์ทำท่าครุ่นคิด เขาหันมามองผม ผมเองก็มองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ พลางหันไปส่งสายตาว่า ไม่ ให้หมอปีย์
หมอปีย์เองก็ดูท่าจะคิดไม่ตก เขามองผมเป็นระยะๆ
“เอาสิ แต่เราขอพาคนป่วยไปด้วยอีกคนนะ” หมอปีย์ชี้มาที่ผม “พอดีเขาเมาเรือ ไม่มีเรี่ยวแรง จักทิ้งไว้ที่นี่ก็เห็นว่าคงลำบาก”
ชาวบ้านสี่คนนั้นหันไปซุบซิบๆกันครู่หนึ่ง
แสงแดดยามเย็นยังคงสาดส่องมารำไร ไม่มืดเสียทีเดียว นั่นทำให้ผมเห็นใบหน้าของพวกเขาถึงจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะบอกได้ว่า มันไม่น่าไว้วางใจ
“หมอ จะดีเหรอ ชั้นว่ามันไม่น่าไว้ใจนะ” ผมลุกขึ้นไปกระซิบข้างหูหมอ
“เอาเถิด ไม่มีอันใดดอก ใกล้จักมืดค่ำแล้ว เจ้าเองก็เหนื่อยเต็มที เราจักให้บ่าวสองคนรอคนมารับแล้วตามเราไปทีหลัง ส่วนเรากับเจ้า ล่วงหน้าไปก่อน”
“ได้ๆหมอ ขึ้นมาเลย เบียดกันหน่อยนะหมอ” ทั้งสี่คนกระตือรือร้นจัดที่จัดทางให้ผมกับหมอนั่ง หมอปีย์หันไปสั่งให้บ่าวสองคนรอที่นี่แล้วตามไปสมทบทีหลัง ส่วนผมนั้นทันทีที่ขึ้นเกวียน ก็มองไปรอบๆทันที
เกวียนของคนทั้งสี่นั้นเต็มไปด้วยอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นมีด เคียว ขวาน และที่ข้างๆกันนั้นมีหัววัวตั้งอยู่ด้วย
“พวกข้าเป็นพ่อค้ามีด ค้าขวานน่ะ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมนั้นมองด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ
หมอปีย์กระโดดขึ้นมาใกล้ๆผมพร้อมกับสัมภาระในสะพาย ตามด้วยชายคนที่ขาเจ็บนั่งขนาบเราทั้งสามคน
สรุปว่า ผมกับหมอปีย์นั่งเกวียนมากับชายแปลกหน้าสี่คนที่หน้าตาเหมือนโจรทุกกระเบียดนิ้ว ผีสางตนใดถึงดลใจให้ไอ้หมอบ้านั่งรถมากับคนพวกนี้
ระหว่างทางพวกเขาคุยกันเป็นระยะๆ แต่ผมไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาพวกนั้นหรอก สัณชาตญาณบางอย่างบอกผมว่า มันต้องมีอะไรไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นแน่นอน เหตุผลนั้นทำให้ผมไม่สนใจตอบคำถามของชายแปลกหน้าพวกนั้น ว่าผมมาจากที่ไหน แต่ผมกำลังมองหาทางหนีทีไล่ หากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น จะได้เอาตัวรอดได้
“ถึงแล้วหมอ” ชายคนที่ขาเจ็บพูดขึ้น “หมอลงตรงนี้นะ พวกเราจักต้องแยกไปอีกทาง ส่วนหมอเดินตรงไปทางนี้” เขาชี้ไปทางขวา ซึ่งขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ทางสามแพร่ง “เดินไปยังมิทันได้เหงื่อก็ถึงแล้ว” เขาว่า ก่อนจะรีบขับเกวียนออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน
“เอาไงหล่ะทีนี้น่ะหมอ จะไปถูกมั๊ยเนี๊ยะ” ผมว่า ตอนนี้สองข้างทางมืดแล้ว แต่โชคยังดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม พระจันทร์ยังส่องแสงให้เห็นทางอยู่บ้าง
“ไปตามทางที่พวกนั้นบอกเถิด เราว่าคงไม่ไกลดอก เจ้าเห็นแสงตะเกียงลิบๆนั้นมั๊ย”
“บอกตรงๆว่ะ หมอ ว่า...................กูเหนื่อย” ผมกระแทกเสียงอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด “ถ้ารู้ว่าเหนื่อยขนาดนี้นะ กูไม่มาหรอก ห่าเอ้ย มาเที่ยวชะอำหรือว่าเที่ยวป่าหิมพานต์กันแน่วะ”
“เราขอโทษ ที่ทำให้เจ้าเหนื่อย อดทนอีกหน่อยเถิด ไม่ไกลก็คงจักถึงแล้ว”
“นายไปเหอะหมอ ไปถึงเมื่อไหร่แล้วค่อยเอารถมารับ ไม่ไหว เหนื่อยแม่ง ไม่มีแรงแล้ว” ผมนั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรงจริงๆ
“แล้วเจ้าจักให้เราทำเยี่ยงไร เราทำดีที่สุดแล้ว” หมอปีย์เองก็คงหงุดหงิดไปไม่น้อยกว่าผมเท่าไหร่
“ไม่ต้องทำอะไรหมอ ไม่ต้องทำอะไร เลิกทำอะไรเพื่อคนอื่นซะที” ผมซัดหมัดนี้เข้าไปหมอปีย์ถึงกับสะอึก เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
“เราขอโทษ”
“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง อย่าพูดคำว่าขอโทษพร่ำเพรื่อ มันไม่มีค่าหรอกนะ ถ้านายพูดมันบ่อยๆ”
“เราก็แค่อยากพาเจ้ามาพักผ่อน........เท่านั้นเอง” น้ำเสียงหมอปีย์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ต้องๆ นายก็ไม่เชื่อชั้น เป็นไงหล่ะ มาหลงป่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ชั้นยังไม่อยากตายอยู่ที่บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้หรอกนะเว้ย”
หมอปีย์นิ่งงัน เขาไม่พูดอะไรไปชั่วครู่
“ไปกันเถิด ค่ำแล้ว” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมา
“ไปเหอะ นายจะไปไหนก็ไป ชั้นจะรออยู่ตรงนี้แหละ”
“แต่...........”
“ไปดิ๊” ผมตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห ความอดทนที่ผ่านมาขาดสะบั้นลงทันที ความรู้สึกที่มีกับหมอปีย์ตอนนี้มันเหมือนกับคนที่รู้สึกว่า ใครคนหนึ่งทำอะไรไม่ดั่งใจเราเลยสักอย่างเดียว
หมอปีย์เดินจากไปอย่างเงียบๆ เขาหันหลังมามองผมอีกครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหายลับไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ด้านหลัง
ผมนั่งหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ เซ็ง และเหนื่อย ตอนนั้นไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกที่มีเพียงแค่ ไม่อยากจะเดินแม้แต่ก้าวเดียว
เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมป่า ผมยังคงนั่งทอดขาอย่างอ่อนแรงบนพื้นใบไม้แห้ง ข้างหน้าเป็นทางเกวียนที่แล่นเข้าไปยังหมู่บ้าน ผมยังเห็นแสงตะเกียงรำไรจากที่นั่น และข้างหลังผมก็เป็นชายทะเล ที่ที่ผมนั่งเกวียนมา หากผมยังนั่งต่ออยู่ที่นี่ ไม่ช้าไม่นาน ขบวนของบ่าวหมอปีย์ก็คงผ่านมา
“กรอบแกรบๆ” เสียงคนย่ำเท้าเหยีบใบไม้แห้งดังขึ้นเว่วๆ ผมชะเง้อคอมองหา ในใจนึกว่าน่าจะเป็นเสียงขบวนของบ่าวหมอปีย์ หรือไม่ก็เป็นชาวบ้านแถวๆนี้ที่เพิ่งกลับมาจากหาปูหาปลา
“กรอบแกรบๆ” เสียงดังใกล้ๆเข้ามา แต่แทนที่เสียงนั้นจะดังขึ้น แต่มันกลับคล้ายกับคนเดินย่องอย่างค่อยๆยังไงยังงั้น
“ใครวะ” ผมตะโกนถามด้วยความไม่สู้จะวางใจนัก
“กูถามว่าใคร” ผมทำใจดีสู้เสือตะโกนถามอีกครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับเลย
ใจคอเริ่มไม่ดี ที่นี่แปลกที่แปลกทาง ถึงมันจะเป็นผืนแผ่นดินไทยเหมือนกัน แต่มันคนละยุคสมัยกับผม อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับที่ที่กฎหมายเข้าไม่ถึงแบบนี้
ผมหันไปคว้าไม้เหมาะๆมือกำแน่นไว้ใกล้ตัว
“เฮ้ย กูถามว่าใคร ถ้าไม่ตอบกูฟาดไม่ยั้งแน่” ผมลุกขึ้นท่าทางเอาจริง
สักพักเสียงเหยียบเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นึกถึงหมอปีย์ขึ้นมาทันที
“ใครรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!!” ผมควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ความมืดที่คืบคลานเข้ามานั้น ทำให้ผมยิ่งประสาทแดกมากขึ้นไปอีก
“เจ้าบ้า เราเอง” หมอปีย์โผล่หน้ามาจากโคนต้นประดู่ต้นใหญ่ มันทำหน้าทะเล้นอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนจะฉีกยิ้มร่า
“ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้า ไอ้หมอบ้า เชี่ย กูตกใจหมดเลย แม่ง” ผมถอนหายใจโล่งอก ทิ้งไม้ที่กำแน่นในมือ “เล่นบ้าอะไรของมึง กูตกใจหมดเลย แม่งเอ้ย”
“ก็เราเป็นห่วงเจ้านี่นา” เขาทำหน้าได้น่าสงสารมาก “ดึกดื่นมืดค่ำ เจ้าจักอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร เรารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่อดทนอีกหน่อยเถิด พ่อ อีกเพียงแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็จักถึงที่พำนักแล้ว”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหนื่อยใจกับหมอปีย์เสียจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ โตๆกันแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย
“นายนี่มัน.............”ผมนึกคำด่าไม่ออก “เฮ้อ ไอ้หมอปีย์ขี้เท่ยเอ้ย ไป ไปก็ไป” ในที่สุดผมก็ทนลูกตื้อหมอปีย์ไม่ไหว
หมอปีย์ส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆว่า ดีแล้วหล่ะ เพราะกูเหนื่อยที่จะตื้อมึงเหลือเกินแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมทนลูกตื้อมันไม่ไหวจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนใครที่มาเร้าหรือกับผมมากขนาดนี้ มีหวังหัวแตก
“เหนื่อยมั๊ยวะ ที่ต้องคอยตื้อ ตามดูแลชั้น บอกตรงๆนะ ชั้นไม่ต้องการหรอก ไม่ต้องลำบาก ชั้นดูแลตัวเองได้” ผมพูด
“เจ้ามิต้องการ แต่เราต้องการ”
สั้นๆแต่ได้ใจความ
เราสองคนเดินกันมาเงียบๆ เสียงย่ำบนใบไม้แห้งเป็นจังหวะสลับกันไปมา เสียงนกกลางคืนเริ่มร้อง ฝูงค้างคาวบินโฉบไปมาอยู่เหนือหัว ป่าโปร่งริมทะเลเมื่อครู่ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นป่าพุ่มเตี้ยระดับเอวที่สามารถมองเห็นหมู่บ้านได้ชัดเจนมากขึ้น
หมอปีย์เดินตามหลังผม เขาพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้เหมือนกลัวว่าผมจะสติแตก วิ่งหนีเตลิดหายเข้าป่าไปยังไงยังงั้น
เสียงฝีเท้าของเขาแผ่วเบาราวกับแมวป่า แตกต่างจากฝีเท้าช้างเหยียบของผมสิ้นเชิง
“แกรบบบบบบบบบบบ” แต่แล้วจู่ๆผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าประหลาดดังแทรกขึ้นมา มันไม่ใช่ฝีเท้าผม ไม่ใช่ฝีเท้าหมอปีย์
เสียงนั้นดังมาจากขวามือด้านหลัง
“แกรบบบบบบบบบบบบบ” ไม่สิ ดังมาจากซ้ายมือต่างหาก
“แกรบบบบบบบบบบบบ”
เราทั้งคู่หยุดกึก ผมมองหน้ามองปีย์ แสงจันทร์ทำให้ผมเห็นแววตาที่แสดงอาการตกใจไม่ต่างจากผม
“do you hear anything?” ผมถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ เผื่อว่าเสียงนั้นอาจเป็นเสียงไม่ชอบมาพากล
“ Yes,” เขาพยักหน้ารับ “ be careful, do not stay away from me” เขาบอกให้ผมอยู่ใกล้ๆเขา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเชื่อฟังเขาโดยไม่มีข้อกังขา เขยิบมาใกล้เขาอย่างหวาดระแวง
“what’s that noise?” สายตาของผมเพ่งกวาดไปทั่วในความมืด
“I don’t know”
คำตอบกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว
“กรอบแกรบๆๆๆ” เสียงดังถี่ขึ้นๆ
จนในที่สุดภาพที่ปรากฎให้เราทั้งคู่เห็นตรงหน้านั้นทำให้เราทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว
“เฮ้ยยยยยยยยยยยย”
เสียงชายในชุดไอ้โม่โพกหัว ปิดหน้าปิดตา ตวาดลั่น ในมือของเขานั้นถือมีดยาวเกือบศอกชี้มาที่เรา
“จะไปไหนค่ำๆมืดๆ” มันยังมีหน้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เราทั้งคู่ไม่พูดอะไร หมอปีย์สะกิดมือผมให้หันหลังเพื่อวิ่งหนี แต่ทันทีที่หันหลังก็พบชายในชุดไอ้โม่อีกคนยืนดักอยู่แล้ว
“ Dam it!! Who are you” ผมเผลอสบถเป็นภาษาอังกฤษ
“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการสิ่งใด” หมอปีย์แปลให้ แต่มันสุภาพเกินไปมั๊ยหมอ
“พวกเราเป็นใคร ฮ่าๆๆๆ” พวกมันหัวเราะกันเกรียวราวกับหนังอาฉลองก็มิปาน ผมเพิ่งสังเกตุเห็นว่าขวามือของเรามีพวกมันมาสมทบอีกคน “แต่งตัวเยี่ยงนี้ พวกข้าคงเป็นขุนนางกระมัง”
“กวนตีน” ผมบ่นเบาๆไม่ให้มันได้ยินกลัวโดนทืบ
“ไอ้พวกโง่เอ้ย ข้าจะบอกให้เอาบุญ ละแวกนี้ไม่มีใครไม่รู้พวกข้าหรอกโว้ย เสือเผือดแห่งบ้านชะอาน” มันพูดเหมือนภูมิใจกับฉายากะโหลกกะลานี้มาก
“ไม่รู้จักว่ะ รู้จักแต่เสือใหญ่” ผมตอบไม่ได้ตั้งใจจะกวนส้นตีนมันแต่อย่างใด เพียงแต่เคยดูละครที่ พี่นกฉัตรชัยเล่นตอนเด็กๆ
“ปากดีนักนะมึง” เสือเผือดเงื้อมือจะฟาดปากผม แต่หมอปีย์ดึงผมเข้ามาเสียก่อน
“เราสั่งให้เจ้าสงบคำประเดี๋ยวนี้ เจ้าบ้า เก็บปากเจ้าไว้ต่อปากต่อคำกับเราจักดีกว่า” หมอดุ
“เรามิมีสิ่งที่เจ้าต้องการดอก เรามาตัวเปล่า สัมภาระหีบหับยังอยู่ที่บ่าวไพร่” หมอปีย์เจรจา
“อย่ามาทำปากเก่งอีกคนนะ อ้ายหมอ” เสือเผือดพูด นั่นทำให้ผมตกใจว่ามันรู้ว่าหมอปีย์เป็นหมอได้อย่างไร หมอปีย์เองก็เช่นกัน ผมเดาเอาว่าพวกโจรเถื่อนนี่มันต้องสะกดรอยตามเรามาจากท่าเรือแน่ๆ
“พวกมึงรู้ได้ไงว่าไอ้แขกนี่เป็นหมอ” ผมแกล้งถาม
“มิใช่ธุระกงการอันใดของเจ้า เจ้าเจ่กหงี” ผมทำหน้าเบ้ทันทีที่ได้ยินคำด่า “เอาของมีค่ามาให้หมด มิเช่นนั้น พวกข้าจะหมกเอ็งทั้งสองคนให้เป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่.........................เหมือนพวกนี้” เสือเผือดพูดพลางชี้ไปที่ที่เราเหยียบอยู่ ผมก้มลงมองด้วยความสงสัยว่าพวกนี้ที่มันหมายถึง คือพวกไหนกันแน่
และทันทีที่ก้มลงมองผมก็พบว่าผมกำลังยืนอยู่บนเนินเล็กๆขนาดเท่าคนนอน ไม่ใช่มีเพียงเนินเดียวแต่ยังมากอีกหลายทีเดียว
“อะไรวะหมอ” ผมหันไปถามหมอ
“หลุมศพ” เขาตอบหน้าตาเฉย แต่ผมนี่สิ อ้าปากค้าง นิ่งไปเลย “เราขอร้อง อยู่เฉยๆเถอะพ่อ”
“พี่เผือด ปล่อยพวกมันไปเถอะ พี่ ดูท่าว่าพวกมันจะมาแต่ตัวเสียจริงดังคำ ข้าว่าเราดักรอปล้นเกวียนมันมิดีกว่ารึ คงจะมีของโขอยู่” โจรที่ยืนกุมเชิงอยู่ด้านขวามือผมพูด ผมหันไปมองเขาด้วยประหลาดใจ ดูท่าทางโจรคนนี้จะไม่เต็มใจที่จะทำแบบนี้
“พูดอะไรของมึง ริจักเป็นโจร อย่าใจอ่อน” เสือเผือดตวาดลั่น จนผมเองสะดุ้งเพราะรับรู้ได้ถึงความเหี้ยมโหดในน้ำเสียง
“ส่งของมาสิวะ เฮ้ย” แล้วเขาหันมาตวาดลั่นใส่พวกเรา
“ก็กูไม่มีอะไรจริงๆนี่เว้ย เฮ้ย” ผมเริ่มหงุดหงิด “ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่หมอยกับไข่ มึงจะเอามั๊ย” เลือดขึ้นหน้า ถามว่ากลัวมั๊ย กลัว แต่ตอนนี้มันมากกว่าความกลัว ความเหนื่อย ล้า หิว ง่วง หงุดหงิด มันมากมายเกินกว่าจะให้มานั่งกลัว
หมอปีย์ทำท่าตกใจที่ผมพูดไปอย่างนั้น เขากำลังจะเอามือมาปิดปากผม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เสือเผือดกระชากแขนผมออกไปก่อนจะฟาดปากผมด้วยหลังมือเสียงดังปั๊ก
“...................”
ผมล้มลงกับพื้น รู้สึกชาที่หน้าและมึนหัว น้ำหนืดๆไหลซึมออกมาจากปาก ผมเอามือแตะปากก็พบว่า
“เลือด”
ตอนนี้ร่างของผมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เสียงหายใจพ่นฟืดฟาดด้วยความโกรธ ความตายไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัว แต่ศักดิ์ศรีต่างหากที่มันมาทำกับผมแบบนี้ไม่ได้
“มึง” ผมกัดฟัดกรอดเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเอาเรื่อง เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้เผือดจ่อปลายดาบมาที่คอผม
“หยุด!!!” หมอปีย์ปรี่เข้ามาห้าม “อย่าทำอะไรชายผู้นี้เลย มันเป็นบ้า เป็นคนจรจัดที่เราเอามาเลี้ยง ไม่มีสมบัติติดตัวใดๆมาดอก หากจักเอา มาเอากับเรา”
ดูเหมือนคำของหมอปีย์จะทำให้ไอ้เผือดพอใจไม่น้อย เขาเลิกสนใจผม หันไปย่างสามขุมหาหมอปีย์แทน หมอปีย์ยืนนิ่งใจดีสู้เสือ ผมสังเกตุเห็นว่าเขายืนกำบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือแน่น
“แล้วในตัวเจ้ามีอะไรให้พวกข้าได้รึ” สมแล้วที่เป็นโจร ท่าทาง แววตา คำพูดของโจรคนนี้ทำให้เหยื่อประสาทแดกได้ไม่ยาก
“ที่ตัวข้าไม่มีดอก แต่หากเจ้าต้องการเราจักพาเจ้าไปเอาที่เรือน ที่นั่นมีหีบสมบัติที่จักทำให้เจ้าสบายไปทั้งชาติ แต่ข้าขออย่างเดียว ปล่อยเจ้าบ้านี่ไปเถิด มันไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า รังแต่จักทำให้เจ้ารำคาญ”
ไอ้เผือดได้ฟังคำนั้นเขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจดึงดาบที่จ่อคอผมกลับ เขาดูจะพอใจกับข้อเสนอของหมอปีย์มาก จึงหันมาเล่นกับเหยื่ออย่างหมอปีย์แทน
“แล้วข้าจักรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้าจักมิหลอกพวกข้า”
“หลอกพวกเจ้า” หมอปีย์หัวเราะ ผมว่านะ ไอ้พวกโจรนั่นคิดผิดอย่างแรงที่ไปเล่นกับเหยื่ออย่างหมอปีย์
“หากมิเชื่อคำเรา เจ้าก็มิได้อันใดไปอยู่แล้ว เจ้าก็เห็นอยู่แล้วนี่ว่าพวกเรามิมีของมีค่าอันใดติดตัวมาเลย”
“ใช่พี่ หมอพูดถูก เราไปเอาของที่เรือนพวกมันกันไม่ดีกว่ารึ” โจรคนเดิมที่แสดงความใจอ่อนออกมาเมื่อครู่พูด
ผมลุกขึ้นยืนข้างๆหมอปีย์
“ปล่อยเจ้าบ้านี่ไป แล้วเจ้าจักได้ทุกอย่าง” หมอปีย์พูด แววตาของเขาแข็งกร้าว ไม่มีความเกรงกลัวปรากฎในแววตาให้พวกนั้นเห็นแม้แต่น้อย
แต่ในขณะที่เขาพูด หมอปีย์ได้ยัดบางอย่างที่เขากำไว้แน่นใส่มือผม สิ่งๆนั้นขดม้วนเป็นเกลียว เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมเหลือบไปมองหน้าหมอ แต่เขา ไม่หันกลับมามองเลย
“เจ้าไปได้ เจ้าเจ่กหงี ไปให้ไกลถ้ายังไม่อยากถูกฝังเป็นผีเฝ้าป่าช้านี่” เสือเผือดสั่ง ก่อนจะเอาด้ามดาบกระทุ้งเอวให้หมอปีย์เดินนำหน้าไป
“หมอ” ผมร้องเรียกก่อนจะก้าวเท้าเดินตามเขาไป หมอปีย์ไม่หันมามอง เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเหมือนเชลยศึก โจรอีกคนหนึ่งเง้อดาบจะฟันผมเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ผมจำเป็นต้องหยุดนิ่ง และยืนมองหมอปีย์เดินหายไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
ผมยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ในสมองตื้อตันไปหมด คิดไม่ออกว่าต้องทำยังไง เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังแว่วอยู่ไกลๆ แต่ผมทำอะไรไม่ถูก
หรือผมจะกลับไปตามคนมาช่วยดี
ผมหันหลังกลับทำตามที่หมอปีย์บอก จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะลำพังผมคนเดียวจะทำอะไรพวกนั้นได้ สู้กลับไปตามคนมาช่วยไม่ดีกว่าเหรอ”””””””””””””””””””””””””