เรื่องเล่าที่ยี่สิบสาม และเรื่องทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข
- Fairy Tells ตื่นขึ้นมาประมาณแปดโมงเช้าเพราะเสียงโครมครามจากห้องข้างเคียง จัดหัวแสนยุ่งเหยิงของตัวเองให้เข้าที่หน่อยก่อนจะลุกไปปิดพัดลมตรงปลายเตียง อากาศในช่วงมิถุนาไม่ได้ร้อนอย่างที่กังวลเอาไว้เพราะพายุที่กระหน่ำเข้ามาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ช่วงนี้เฟย์ปรับปรุงห้องนอนของตัวเองอยู่เลยเกิดมลภาวะทางเสียงทั้งวัน
กลิ่นของอากาศสะอาดเจือปนควันพิษปริมาณน้อยกว่าในเมืองไม่รู้กี่สิบเท่า วันแรกๆ ที่มาถึงไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ พอผ่านไปได้สักพักถึงจะรู้สึกว่าตัวเองหายใจคล่องกว่าเดิมพอควร จะบอกยังไงให้เข้าใจดีนะ มันให้อารมณ์แบบสดชื่นกว่า ประมาณนั้น
จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ออกไปทานข้าวเช้าที่ทำเผื่อเอาไว้ในตู้กับข้าว จากนั้นก็ได้เวลาหมกตัวอยู่กับสิ่งที่ชอบเช่นเดียวกับทุกวัน
"วันนี้จะทำสมุดต่ออีกเหรอแฟร์"
"อืม ลายนี้ยากอะ ไม่เสร็จสักที"
อีกส่วนที่ชอบเกี่ยวกับบ้านคือพื้นที่ส่วนตัวด้านหลังกินบริเวณกว้างพอสมควร ถึงจะยังไม่ได้กั้นเป็นสัดส่วนชัดเจนทุกคนก็รู้ว่ามันมีไว้ให้ผมได้ครอบครอง ตอนนี้มันก็มีพวกอุปกรณ์การเย็บสมุดจำนวนหนึ่งวางเอาไว้ระเกะระกะ เสียดายที่ไม่ได้เอากลับมาหมดทุกอย่างเพราะไม่คิดว่ามันจะว่างได้ขนาดนี้
หนังสือที่เอามาด้วยอ่านหมดไปแล้วเกือบครึ่ง และผมยังต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นเดือน อาจจะต้องเข้าเมืองไปเหมาหนังสือหรือไม่ก็ตรวจดูพื้นที่การส่งของออนไลน์ว่ามันครอบคลุมถึงบริเวณนี้หรือไม่
ถึงจะบอกว่าเป็นต่างจังหวัดก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทุรกันดารขั้นนั้น พวกสวัสดิการขั้นพื้นฐานยังมีครบครัน อาจจะเทียบไม่ได้กับบ้านเกิดแต่สำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการความทันสมัยมากมายอย่างผมก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร
"เราก็ทำชั้นวางไม่ถึงไหน เบื่อแล้วเนี่ย"
"แล้วใครอยากรีโนเวทห้องตามรีวิวล่ะ บอกแล้วว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น"
เฟย์เอาแบบของห้องมาให้ผมดูสองสามสไตล์ เป็นอย่างที่สมัยนี้ชอบกันคือเน้นความเรียบง่ายและเหมาะกับการใช้สอย
"ก็ตอนอ่านดูมันไม่มีอะไรยากเลยนี่นา"
ยังไม่เลิกเถียงหรอกจนกว่าจะชนะ "เจอของจริงก็เลิกคิดอย่างนั้นได้แล้ว"
"เศร้าเนอะ ล่ะนี่แฟร์ทำเฉยๆ หรือว่าเป็นเรื่อง"
บางครั้งผลงานก็เป็นเพียงตัวรูปเล่ม ส่วนถ้าครั้งไหนบ้าพลังหน่อยก็จะเอาเรื่องเล่าที่มีอยู่ก่อนแล้วมาแต่งเติมให้เป็นงานศิลปะในแบบของผม
"ทำเฉยๆ ล่ะมั้ง แต่ถ้าฟิลมาก็อาจเปลี่ยนใจ"
"เหรอ..."
"อยากได้แบบไหนหรือเปล่า ทำให้ได้นะ"
ผมเคยให้เฟย์สองสามเล่ม เป็นงานจำพวกที่มีข้อผิดพลาดมากเกินไป
"อยากให้แฟร์พัก ตั้งแต่มานี่เห็นหมกอยู่ตรงนี้ทั้งวัน" ไม่ได้โอเวอร์อย่างที่บอกเท่าไหร่เสียหน่อย ผมยังแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นอีกตั้งหลายอย่าง "ถ้าไม่ทำสมุดก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน"
แต่ถ้าพูดถึงสองอย่างนี้แล้วมันก็ไม่เหลืออะไรให้ค้าน
"มันเป็นชีวิตปกติของเราไปแล้ว"
"ออกไปเที่ยวกับเราบ้างสิ”
"เราไม่อยากออกไปไหนเลยเฟย์" กลายเป็นมนุษย์ผู้เกลียดการออกไปเผชิญกับโลกภายนอกเสียแล้ว บอกไม่ได้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมกำลังหนีอยู่มันคืออะไรกันแน่ "ไม่อยากเจอใครด้วย"
เรารู้กันว่าใครคนที่ว่าหมายถึงคนเดียว
"...เราขออะไรแฟร์สักอย่างได้หรือเปล่า"
มองหน้าที่คล้ายราวกับส่องกระจก ผมเอียงคอรอว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองจะเอ่ยคำไหนออกมา
"ขอว่า...?"
"อย่าเจ็บคนเดียวได้ไหม" หัวเราะแห้งแล้งให้กับความหวังดีนั้น "มันเป็นไปไม่ได้หรอก"
"..."
"เราต้องยอมรับในการกระทำของตัวเอง"
ส่วนวันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ผมขลุกตัวอยู่แต่บริเวณหลังบ้านตั้งแต่เช้า มาเจอคนอื่นในบ้านเป็นตัวเป็นตนก็ตอนคุณแม่ของผมเดินมาหาพร้อมกับถามหาวัยรุ่นอีกคน
"แฟร์ ไปเรียกเฟย์มาหน่อย มีเพื่อนมาหา"
"ครับ?" ไม่ได้แปลกใจที่เฟย์มีเพื่อน แต่แปลกใจตรงมาเยี่ยมถึงที่นี่มากกว่า อาศัยอยู่จังหวัดใกล้เคียงง่ายกับการเดินทางอย่างนั้นเหรอ "เฟย์บอกว่าจะเข้าเมืองนะ ที่คุยกันเมื่อเช้า"
ลูกพี่ลูกน้องที่น่าสงสาร เฟย์พยายามตื๊อให้ผมกลับเข้ากรุงเทพก่อนเปิดเทอมสักสองสัปดาห์เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลาได้เอนจอยกับชีวิตแบบคนเมืองด้วยล่ะ
"อ้าวเหรอ ไม่เห็นบอกไว้"
"น่าจะออกไปแล้วล่ะครับ รถก็ไม่อยู่" พยักเพยิดไปทางลานจอดรถที่อยู่ห่างไปไม่ไกล รถสี่ประตูรุ่นประหยัดน้ำมันที่ใช้กันอยู่แค่สองคนไม่ได้จอดอยู่ตรงที่ประจำ
"งั้นฝากจัดการหน่อย จะรีบกลับมาหรือยังไงจะได้ไปบอกเพื่อน มากันตั้งไกลไม่อยากให้เสียเที่ยว"
"โอเคครับผม"
ถึงจะไม่ค่อยโอเคกับการโดนโยนภาระมาให้ก็เถอะ บอกอย่างนั้นมาก็ต้องเป็นลูกที่ดีทำตามอย่างที่แม่ต้องการ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของเฟย์ระหว่างที่กวาดตามองทั่วโต๊ะว่ามีสิ่งไหนควรเก็บให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่ อย่างพวกชิ้นกระดาษมีลายที่ตัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ทับเอาไว้ให้ดีมันอาจจะปลิวหายไปได้
"หนีเที่ยวเหรอ"
(ใช่ เราหนีมาเที่ยว) เฟย์รู้แหละว่าชวนก็ไม่ออกมาด้วย ผมกลายเป็นคนติดบ้านที่ขี้เกียจแม้กระทั่งการออกไปทานอาหารเย็นนอกบ้านกับครอบครัวไปแล้ว (แฟร์อยากได้อะไรหรือเปล่า)
"เปล่า แม่บอกว่ามีเพื่อนมาหา เฟย์นัดใครเอาไว้อะ"
ไม่มีสิ่งไหนที่ต้องระวังแล้วก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวเก่ง เดินลัดเลาะออกไปยังส่วนหน้าของบ้าน เพื่อนของเฟย์น่าจะรออยู่ตรงศาลาไม้ นั่นเป็นหนึ่งในมุมโปรดของผมภายในบ้านหลังนี้เลยล่ะ
(หืม? เพื่อน?)
"ไม่ได้นัดเหรอ" ได้ยินเสียงร้องแสดงความประหลาดใจก็สรุปได้แล้ว "เคยพาใครมาบ้านบ้างล่ะ อาจจะมาเซอร์ไพรส์ไม่บอก"
เดาไปเรื่อยระหว่างเตรียมตัวไปรับหน้าแทนก่อน ผมเห็นศีรษะของใครบางคนอยู่ตรงศาลาอย่างที่คิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนอยู่ด้วย
(บ้านนี้ยังไม่เคยพาใครมานะ)
"พวกสิบแปดมงกุฎหรือเปล่าเนี่ย" ไม่ได้คิดจริงจังมากนัก ผมเคยผ่านช่วงเวลาการเปิดบ้านให้เพื่อนของเฟย์มาถล่มหลายครั้ง ก็บ้านในเมืองที่ว่างให้เข้ามาบุกรุกพร้อมคุณสมบัติไม่มีผู้ปกครองมาคุมให้รำคาญใจจะมีอยู่สักกี่ที่กันเชียว "เดี๋ยวเราจะปกป้องเฟย์ไว้เองนะ"
เสียงหัวเราะของนาวินท์เต็มไปด้วยความร่าเริง (ฝากด้วยนะ แล้วจะรีบกลับไป)
สัญญาณการติดต่อขาดลงไปแล้ว ผมส่ายหัวไปมาให้กับชื่อบนสุดของหน้าจอการโทรออก สูดลมหายใจเข้าลึกให้พร้อมกับการเป็นเจ้าของบ้านที่ดี นี่ผมไม่ได้ใส่แว่นแล้วจะต้องมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเฟย์แน่ แต่ใจก็ไม่อยากจะเนียนแกล้งทำเป็นอีกคนเท่าไหร่ ผมกำลังอยู่ในช่วงเกลียดการโกหกน่ะ
เข้าไปใกล้มากจนเห็นชัดว่าผู้มาเยี่ยมมีทั้งหมดสามคน เป็นผู้ชายแน่นอนแล้วสอง ส่วนอีกคนใส่หมวกเอาไว้อยู่เลยบอกไม่ได้ว่าเป็นเพศไหน
"โอ๊ะ แฟร์มาแล้ว!"
ชื่อของตัวเองออกมาจากปากของคนที่สวมเครื่องหัวเอาไว้คนเดียวในกลุ่มนั้น เท้าของผมหยุดขยับในขณะที่สมาชิกที่เหลือหันมามองตามทิศการชี้
"..."
และคนที่สบสายตากับผมอยู่ตอนนี้
ก็คือเจ้าชายที่กลายเป็นอสูรด้วยมือของผมเอง
"เฟย์ไม่อยู่ น่าจะต้องรออีกประมาณชั่วโมง"
สายตาของทุกคนตรงนั้นจับจ้องมาที่ผม ไล่ตั้งแต่ทะเลพลอย เชนินทร์ แล้วก็ธชา มากันครบเลยล่ะ
"แฟร์ คิดถึงจัง"
อย่างกับว่าถ้าพวกเขาคิดไม่ออกว่าจะพูดเรื่องอะไรก็จะทักว่าคิดถึงเอาไว้ก่อน อะไรจะระลึกถึงผมทุกขณะจิตขนาดนั้น
"อือ" คราวนี้มีเวลาตั้งตัวสำหรับอ้อมกอดของเธอ ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เล่นเอาเกือบล้มหน้าทิ่ม "มากันไกลเลยนะ"
"เพื่อแฟร์ ยอม"
"ไหนบอกมาหาเฟย์"
"ก็คนอื่นเมื่อกี้บอกว่าเป็นแม่ของเฟย์ เราก็ต้องตามน้ำไปสิ"
หลุดหัวเราะพรืดกับคำเล่า แม่ของผมก็อย่างนี้ตลอด ใช้ความเป็นฝาแฝดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
"นั่นแม่เรา แม่ของเฟย์ไปทำงาน"
คุยกันได้สนิทใจราวกับว่าไม่มีเรื่องแตกหักใดเกิดขึ้นก่อนหน้า ถึงขั้นนี้แล้วการที่พวกเขายังสามารถทำตัวให้เหมือนเดิมได้โดยที่ไม่มีอาการกระอักกระอ่วนนี่เรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษได้ไหม
เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลง ผมเลยทำเหมือน 'ปกติ' เช่นที่เคยเป็นมาเหมือนกัน
"ถึงว่าทำไมชาชวนมาที่นี่ เราก็จำได้ว่าบ้านแฟร์อยู่กรุงเทพฯ"
คำเล่าของพลอยจะสื่อความหมายว่าธชาเป็นคนชวนมาหาผมได้หรือเปล่านะ แล้วเขามีเรื่องอะไรถึงต้องเดินทางมาถึงนี่
"มีหลายบ้าน" ไม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่ตั้งใจมาอยู่หลังเรียนจบ "นี่มาหามีอะไรหรือเปล่า"
ตัดส่วนที่ถามว่ามาหาใครออก ก็ไม่อยากจะต้องมาเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีกกับคำตอบนี่นา
"เราบ่นคิดถึงแฟร์ ชากับเชนเลยชวนมาหา"
ไม่อยากให้คิดถึงเลยสักนิด ผมพยักหน้าขึ้นลง หันไปกวาดตามองคนชวนมาอีกสองคนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เชนินทร์ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เวลายิ้มแล้วก็ดูน่าสยองไม่น่ายุ่งเกี่ยวมากกว่าเป็นมิตร เขายกมือขึ้นมาทำเป็นรูปตัววีเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ส่วนอีกคน...
ธชาก็ยังเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมพบในงานปฐมนิเทศคณะ สายตาว่างเปล่าไม่ปรากฎอะไรอยู่ข้างใน เขามองผมด้วยท่าทีนิ่งเฉยไม่ยอมวางตา
"อะไรจะรักเราขนาดนี้"
"รักมากเลย นี่ทักไลน์ไปตั้งเยอะไม่เห็นตอบ"
ไม่ตอบคำเปรยโดยการเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น "นั่งรถมานานคงเหนื่อยแย่"
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลง
"มากกก"
ตอนที่มาครั้งแรกก็คิดเหมือนกับพลอยนั่นแหละ ไกลเสียจนสร้างชุดความคิดต่อต้านการอาศัยอยู่นอกเมือง พอมาอยู่นานเข้ากลายเป็นเสพติดความเงียบสงบไปแล้ว
"อยากกินอะไรไหมล่ะ เดี๋ยวโทรบอกเฟย์ให้ซื้อกลับมาด้วย"
สงสารอยู่ไม่น้อย คนเมืองทั้งสามผู้ต้องมาสัมผัสกับพื้นที่นอกเมือง ไม่ต้องหวังพวกร้านกาแฟอย่างที่ทะเลพลอยชอบ หรือว่าจะเป็นร้านหนังสือเอาไว้สำหรับหาความรู้เพิ่มเติม หากต้องการอะไรก็ต้องเข้าเมืองอย่างเดียว แล้วต้องบอกเอาไว้ก่อนว่ามันก็ยังไม่ได้เจริญเหมือนอย่างกรุงเทพฯ หรอก
"ไม่เป็นไร เพิ่งแวะซื้อก่อนเข้ามา" เธอชี้ไปยังถุงสีขาวจากร้านสะดวกซื้อในศาลา "นี่อยู่บ้านทำอะไรบ้าง อ่านหนังสืออย่างเดีย วเลยหรือเปล่า"
ผมส่ายหัวกลับไป "ทำอย่างอื่นด้วย นี่ก็เย็บสมุดอยู่"
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับคำถาม เราคุ้นเคยกับสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งอำนวยความสะดวกจินตนาการไม่ค่อยออกว่าหากต้องถอยหลังมาอยู่กับตัวเองแล้วจะทำอะไรบ้าง แต่อินเทอร์เน็ตบ้านผมยังเร็วดีนะ ไม่ค่อยได้ใช้เองเสียมากกว่า
"เออใช่ ชินาชอบหนังสือมากเลยล่ะ"
"ลองไม่ชอบสิ จะขอคืนมาเลย"
"เย็บเองเหมือนตอนที่เราไปเรียนด้วยน่ะเหรอแฟร์"
"อืม อันนั้นแหละ"
ทุกช่วงของบทสนทนามีเพียงสามคน คือผม ทะเลพลอยและเชนินทร์ ส่วนธชายังนั่งอยู่ในศาลาไม่ได้เดินออกมามีส่วนร่วม ก็ดีเหมือนกัน
มันไม่มีเรื่องไหนที่ต้องคุยกันแล้วนี่
"ถ้าอยากลองทำบ้างแฟร์จะสอนไหม?"
กลัวว่าถ้าอาสาไปแล้วมันจะกลับมาทำร้ายตัวเองเลยเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น อย่างเชนน่ะนั่งให้นิ่งเป็นเวลาห้านาทีให้ได้ก่อนเถอะ "ไม่ ไปหาเรียนเองสิ"
"โหย กับเพื่อนยังไม่มีน้ำใจเลยอะ"
"แล้วเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่?" ยังคงยืนหยัดชัดเจนอยู่เสมอว่าไม่เคยคิดอยากก้าวข้ามเส้นแบ่งคนเคยรู้จักกันไป
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่กล้าตื๊อต่อ พอเป็นกลุ่มเพื่อนที่ไม่ค่อยระคายกับคำพูดเชือดเฉือนผมเลยได้เพียงรอยยิ้มกว้างของคนไม่น่าเข้าใกล้กลับมา "ตั้งแต่ที่เราอยากให้เป็น"
"เอาที่สบายใจแล้วกัน"
ต่อล้อต่อเถียงไปก็คงเหนื่อยเปล่า เหลือบมองดูนาฬิกาว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเฟย์จะถึง การตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบด้านสมาชิกไม่มีข้อดีสำหรับผมเลย อย่างน้อยถ้ามีคนน้องอยู่ด้วยคงมีหน่วยสนับสนุนด้านกองกำลัง
แล้วบางคนก็อาจจะอยากเจอมากกว่าผม
"เราอยากเห็นที่แฟร์บอกว่ากำลังเย็บสมุดอยู่จัง ไปดูได้ไหม?"
ทะเลพลอยยื่นคำขอมาให้ ผมมองใบหน้าสดใสของเธอระหว่างตัดสินใจเลือกทางที่ดูแล้ว 'เป็นกลาง' มากที่สุด คือมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กลัวว่ามันจะมีโอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า
"ตามมาสิ..."
ได้แต่หวังว่าการเลือกของตัวเองจะไม่ผิดพลาดอะไร
เป็นเจ้าของบ้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเอาแต่เงียบในขณะที่เดินนำผู้มาเยือนทั้งสามไปยังพื้นที่ส่วนตัว ในช่วงแรกได้ยินเสียงพลอยกับเชนคุยกันเรื่องการมีบ้านพักในต่างจังหวัด สักพักมันก็เหลือเพียงเสียงฝีเท้าสองคู่เท่านั้น
ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่หันกลับมาแล้วเจอแค่คนเดียว ผมชอบการแสดงออกชัดของพลอยกับเชนว่ากำลังจัดฉากให้ผมกับธชาได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทำเป็นหาข้ออ้างสารพัด ก็แสดงออกไปตามตรงเลยว่าเคลียร์กันให้เสร็จ เดี๋ยวจะรออยู่ข้างนอก
"บ้านกว้างดี"
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขาตั้งแต่พบหน้า
"แต่แมลงก็เยอะ" ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ผมเจอคือเรื่องของแมลง ยิ่งเป็นพวกไม่ชอบฆ่าสัตว์เลยกลายเป็นว่าต้องมารักษาตุ่มแดงด้วยตัวเองต่อ ก็ยังโชคดีที่ไม่ได้แพ้แมลง ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องกลับไปเป็นเด็กกรุงไม่มีทางได้มาอยู่ถาวร
"ดูแลตัวเองหน่อย"
ความห่วงใยไม่ช่วยให้หัวใจพองโตขึ้นมา "อืม"
"แล้วนี่ทำอะไร หนังสือ?"
"คิดว่ากำลังทำเป็นหนังสือนิทานเก็บเอาไว้อ่านเองอยู่"
ปกติแล้วผลงานของผมจะจบอยู่ที่หน้าปกและสันข้าง ไม่ได้ลงไปตกแต่งเนื้อใน คราวนี้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าทำในส่วนของงานเย็บเสร็จคงได้ลงมือทำฝั่งงานประดิษฐ์ต่อ มันยากและต้องใช้พลังจินตนาการรวมถึงความประณีตมากพอสมควร
"เรื่องอะไร?"
"ยังไม่ได้คิด"
"นึกว่าจะเอาเรื่องตัวเองไปแต่ง"
ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ปรับเสียงให้ไม่สั่นก่อนตอบ "ไม่ได้สนุกอะไรขนาดนั้น ไม่เหมาะกับการเก็บเอาไว้"
มีใครอยากจะมอบตำแหน่งยอดมนุษย์ให้ผมบ้างไหม ตั้งแต่เริ่มเรื่องมานี่เจอเรื่องทำร้ายจิตใจมากเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
"เราว่ามันก็สนุกนะ มีจุดพีกเยอะดี"
"ถ้ามันทำให้นายสนุกก็ดี"
จากที่ปกติก็ไม่ค่อยมีเรื่องคุย การตกอยู่ในสภาพนี้มันแย่เสียจนผมอยากจะตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคนของเขามาอยู่ด้วย
ความเงียบภายหลังจากนั้นกระตุ้นให้ผมพูดอะไรสักอย่างออกไป "แล้ว...มีอะไรอีกหรือเปล่า"
มาถึงนี่ทั้งทีคงไม่ใช่แค่คิดถึงแล้วอยากมาเยี่ยมหรอก ถ้าเป็นเรื่องแค่นั้นโทรหรือว่าวีดีโอคอลมาก็ได้ ถึงข้อสันนิษฐานของผมจะตัดบางหัวข้อที่ไม่น่าสนใจออกไปได้ แต่สุดท้ายแล้วคำตอบที่ถูกต้องควรจะเป็นอะไรนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเองบอกไม่ได้เหมือนกัน
ด้วยความที่คิดว่ามันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าที่เคยประสบมา ผมเลยมีความกล้ามากพอที่จะเงยหน้าขึ้นไปจ้องตาพร้อมถามกลับไปแบบที่ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะพิโรธอีก
นัยน์ตาเรียวสวยว่างเปล่าคือสิ่งเดียวที่ผมได้รับกลับคืนมา
"ตั้งใจมาบอกว่าอีกสองสัปดาห์จะบินไปแลกเปลี่ยนแล้ว"
"...อ้อ"
ใจหายนิดหน่อย วูบโหวงกว่าครั้งไหนรวมกัน จำได้ว่าเคยคุยกับเพื่อนในเอกเรื่องนี้ ทุนไปเรียนต่างประเทศหนึ่งปีสำหรับคนที่เข้าเกณฑ์การประเมิน เสียค่าใช้จ่ายเองค่อนข้างน้อยแต่ว่าก็ต้องกลับมาเรียนซ้ำ ผมได้ยินครั้งแรกแล้วก็ไม่สนใจแล้ว
มองในแง่ดีว่านั่นหมายความว่าการเรียนต่อจากนี้ผมไม่ต้องเผชิญหน้ากับอสูรอย่างที่กังวล
ตอนแรกยังคิดไม่ตกอยู่ว่าหลังจากเปิดเทอมใหม่จะเข้าหน้าแบบไหนดี ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการไปแล้วผมคงได้กลับไปครอบครองโต๊ะตัวเดิมในห้องสมุดคนเดียว รวมถึงจะไม่มีการพูดคุยทักทายหรือว่าออกไปไหนมาไหนด้วยกันอีก
"ไม่อยากให้รู้จากคนอื่นอย่างที่เจอกับตัว"
บางทีคำที่ธชาอยากจะให้ผมได้ยินเองกับปากน่าจะเป็นส่วนนี้มากกว่า
"ไปเรียนที่นู่นก็น่าสนุก"
การได้ออกไปเผชิญโลกข้างนอกเป็นอะไรที่ดี ความหลากหลายจะทำให้ความคิดของเราเปิดกว้าง ยิ่งเรายอมรับในความแตกต่างได้มากปัญหาก็จะเกิดขึ้นน้อยลง
ขอบคุณเสียงใบไม้แห้งปลิวตามแรงลมที่ยังพอเป็นตัวเพิ่มบรรยากาศให้มันไม่เหงาจนเกินไป ธชายืนนิ่งอยู่ด้านนอกไม่ขยับเข้ามาแม้แดดจะส่องลงมาโดยตรง เป็นการบอกไปในตัวว่าต่างคนจะไม่ย่างกรายเข้าไปในโลกของอีกฝ่ายอีก
ก็นะ มนุษย์กับเทวดาอยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่แล้ว
"ขอให้ได้เจอแต่เรื่องดีๆ แล้วกัน"
คิดไม่ออกว่าควรจะพูดเรื่องอะไรต่อ ผมเลือกคำที่ทั้งอวยพรแล้วก็เป็นการจบบทสนทนาไปในตัว หมุนเก้าอี้กลับมาอยู่หน้าอุปกรณ์เย็บสมุดของตัวเองต่อ หยิบจับของสำหรับการทำงานต่อขึ้นมาวางเรียงเอาไว้ให้สะดวกต่อการใช้
แอบเหลือบตามองเพื่อพบว่าอสูรยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่กลายเป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายมองโดยไม่อาจห้ามได้ อย่างไรก็ตามคนอย่างผมทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการเงียบแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจ
สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่คือการออกแบบหน้าปก จากนั้นถึงจะลงมือในขั้นตอนของการเย็บสันเป็นอย่างสุดท้าย มันมีลายใหม่ที่น่าสนใจ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าคนฝีมือไม่เท่าไหร่อย่างผมจะทำมันออกมาได้ดีเหมือนภาพตัวอย่างหรือไม่
เปิดกล่องไม้ขนาดกำลังดีที่แบ่งช่องเอาไว้สำหรับใส่ของตกแต่ง หยิบเอาแผ่นกระดาษลายดอกกุหลาบออกมาวางเรียง มันมีหลายขนาดและหลากสีสัน ผมจำไม่ได้ว่าเป็นคนสั่งซื้อหรือว่าเฟย์เป็นคนให้ ดอกไม้ชนิดนี้ค่อนข้างเป็นเบสิกสำหรับการเป็นงานศิลปะ ในสายตาตัวเองคงมองเป็นแค่สิ่งประดับทั่วไปจนมาเจอกับเรื่องของธชา
เรื่องที่เปลี่ยนให้ดอกไม้แสนสวยกลายเป็นสิ่งไม่โสภาทุกครั้งที่เห็น
ดอกกุกลาบเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ไม่มีความหมายสำหรับเขา และนั่นเป็นดอกไม้ช่อใหญ่ที่ผมเคยได้รับ
การกระทำที่หลอกให้ผมหลงคิดไปเองว่ามัน 'พิเศษ' กว่าใคร
"ถ้านี่เป็นตอนจบ...แฟร์จะเขียนอะไรลงไป"
...
ยังจำได้ดีว่าเคยขออะไรไป หนังสือที่มีตอนจบของเรื่องโกหกนี้เอาไว้
อักษรไม่กี่บรรทัดตรงหน้าสุดท้ายของสมุดโผล่เข้ามาทักทายโดยไม่รู้ตัว ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะขยับองศาของแผ่นกระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการตกแต่ง ตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ที่ผ่านมามันเป็นการเล่าจากมุมของผม มันเลยไม่มีรายละเอียดอะไรที่ตัวเองไม่อยากพูดถึง ถ้าลองให้ธชาเป็นคนเล่าเรื่องนี้แทนมันอาจจะพลิกไปเลยก็ได้ มันคงกลายเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนถึงต้องกลายเป็นอสูร การตามหาความจริงที่แสนยากลำบากจนกระทั่งได้พบว่าในกล่องแห่งความลับซ่อนอะไรเอาไว้
ก็เข้าใจแหละ ว่าเพราะอะไรเขาถึงเขียนเรื่องราวแค่ในส่วนของเจ้าชายลงไป เรื่องเล่านี้มีแค่ผมเพียงคนเดียวที่บอกได้ว่ามันจะเป็นแบบไหน ธชาเป็นเพียงเจ้าชายที่ถูกสาป เป็นคนที่ต้องรอคอยว่าเทวดาผู้ร่ายคาถาจะเสกให้เขากลับคืนร่างเดิมด้วยเงื่อนไขใด
ทั้งที่เป็นเทพนิยายเรื่องเดียวกัน แต่คนละความรู้สึกเลยใช่ไหมล่ะ
ถ้าตอนนี้คือบทสุดท้ายของเรื่อง ผมจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไรถึงไม่เคยเรียกเขาว่าชา
ตลอดเวลาที่ได้คุยกัน ผมหลงรักทุกอย่างที่รวมกันแล้วเป็นเขา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือว่าเรื่องใหญ่ ผู้ชายที่ยิ้มอ่อนโยนให้กับดอกไม้ คนที่ส่งข้อความมางอแงเพราะซื้อหนังสือมาแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ คนใจดีที่ห่วงใยเพื่อนตลอดเวลา
พอเข้าใจแล้วหรือยัง?
ผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ 'ชา' คนที่ผมรู้จัก
ความคิดที่วิ่งวนตีกันไปมายุ่งเหยิงข้างในมันทำให้ไม่อาจตั้งสมาธิกับงานประดิษฐ์ได้ ผมวางอุปกรณ์ในมือลงกับโต๊ะ สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกความเชื่อมั่นให้ตัวเองก่อนตัดสินใจทำบางอย่าง
เงยหน้าขึ้นมามองชั้นวางข้างตัว ที่อยู่ตรงกับระดับสายตาเวลานั่งคือกล่องพลาสติกไว้เก็บของสัพเพเหระจนมองไม่เห็นข้างใน มองทะลุเข้าไปสิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือหนังสือปกน้ำตาลไร้ลายที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง มันยังคงเป็นสมุดไร้เส้นว่างเปล่าไม่มีข้อความใดเขียนลงไปเพิ่มเติม
เอื้อมมือออกไปขยับสิ่งที่บดบังเอาไว้ ผมหยิบสมุดเจ้าปัญหาออกมาไว้ในมือ ซ่อนรอยอาลัยเอาไว้ด้วยการไม่มองมันให้เต็มตา
หยิบแผ่นกระดาษลายดอกกุหลาบสีแดงสดติดมือเอาไว้อีกแผ่น ขยับตัวออกจากที่นั่งไปหาผู้ชายตัวสูงช้าๆ แต่มั่นคง ของเตะตาอย่างต่างหูแบบห้อยไม่มีลวดลายช่วยเตือนให้ไม่ลืมคืนอีกอย่าง ผมเอียงคอเล็กน้อยเพื่อความสะดวกต่อการถอด จังหวะที่ตัวล็อกขยับออกจากกันเหมือนกับว่ามันช่วยปลดความรู้สึกบางอย่างออกไปเช่นกัน
"ถ้าเราเป็นคนเขียนเหรอ..."
สบกับนัยน์ตาที่ไม่เคยสะท้อนตัวตนของผมข้างในสักครั้ง รวบรวมความกล้าทั้งหมดในการพูดมันออกไป
"แฟรี่คงสำนึกในความผิดทั้งหมดที่ก่อ...เลยเสกให้อสูรร้ายได้กลับมาเป็นเจ้าชายอีกครั้งก่อนที่จะบินกลับไปอยู่ในดินแดนของทูตตามเดิม"
ส่งรอยยิ้มกว้างให้เขาอย่างที่เคยอยากทำมาเสมอแต่ไม่มีโอกาส เอ่ยคำที่รู้ว่ามันคือการบอกลาสุดท้ายในตัว
"ขอให้มีความสุขตลอดไปนะธชา"
เทวดาได้เสกคำอวยพรใหม่ให้อสูรร้ายแล้ว
END
***
เรื่องนี้ตั้งเป้าว่าจะคุยกันสั้นกว่าเรื่องของพี่แบล็คค่ะ (หัวเราะ)
Fairy Tells เป็นเรื่องที่เกิดจากการหาคำว่า Fairy Tale แปลว่าอะไร แล้วนอกจากคำว่าเทพนิยายที่แปลกใจคือได้คำว่า 'เรื่องโกหก' ออกมาด้วย มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดที่ว่าอยากลองแต่งอะไรที่เกี่ยวข้องกับเทพนิยายแต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเรื่องโกหกค่ะ
ก็เลยหาเทพนิยายอ่านไปเรื่อย ไปสะดุดตากับตรงท้ายของเรื่อง Beauty and the Beast ที่เฉลยว่าใครเป็นคนสาป พอเจ้าเห็นคำว่า Fairy เท่านั้นแหละค่ะ พล็อตมาล่ะ (ฮา) คงสนุกดีถ้าได้แต่งเรื่องที่มีการมาเฉลยว่าคนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามนั่นแหละที่น่ากลัวกว่าใคร ตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องชื่อเรื่องด้วย ก็เลย เอาล่ะ มาขั้นนี้แล้ว ทำเป็นเรื่องเล่าของแฟรี่ (Fairy Tells - แฟรี่บอก) ไปดีกว่า นั่นเลยเป็นที่มาของชื่อภาษาอังกฤษค่ะ ที่ต้องใส่ภาษาไทยด้วยเพราะกลัวว่าจะตามหายากกัน คำว่าแฟรี่เทลมันเป็นคำทั่วไปด้วยน่ะค่ะ ชื่อไทยนี่จำที่มาไม่ค่อยได้ (ฮา)
คือมันเป็นการคิดไปมาสลับกับการเพิ่มเติมสิ่งที่อยากใส่เพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ค่ะ อาจจะเรียงลำดับไม่ค่อยถูกเพราะว่าเปลี่ยนไปมาตลอดแล้วมันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว (หัวเราะ) ที่เจ้าใส่เทพนิยายลงไปในแต่ละตอนนี่บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าคิดอะไรอยู่ ทั้งอ่านมาแล้วเลยไม่อยากจะปล่อยมันไปแล้วก็ความคิดชั่ววูบว่าอยากจะเล่นใหญ่ด้วยมั้งคะ บอกตัวเองตลอดเลยค่ะว่าไม่เอาแล้วนะ แค่นี้พอแล้ว ปัญหาระหว่างแต่งเยอะมากค่ะ เปลี่ยนไปมาตลอด เนื้อเรื่องแรกเริ่มที่เรียกได้ว่าคนละเรื่องกับที่อยู่ในต้นฉบับเลย (ฮา)
ตอนที่เริ่มอ่านเรื่องแรกๆ มันก็สนุกอยู่หรอกค่ะ พอผ่านไปสักพักนี่เริ่มล่ะ งอแง แต่ก็หยุดไม่ได้เพราะว่ายังหาเรื่องที่ต้องการไม่เจอ เกือบทุกเรื่องมีอะไรที่โยงไปหาตัวเรื่องหลักได้ค่ะ หาเองก็จะบ้าตายเอง ขอสดุดีน้ำยาหยอดตาที่อยู่กับเจ้ามาตลอดนะคะ (หัวเราะ) หมดไปเยอะอยู่
เจ้าไม่ให้ตัวละครในเรื่องขาวสุดหรือว่ามืดสุด มันก็เป็นผลจากการอ่านอีกแหละว่าเรามักจะแบ่งความดี ความชั่ว แม่มด นางฟ้า ออกจากกันชัดเจน เจ้าเลยพยายามหาเรื่องที่มันไม่เป็นอย่างนั้น ในเรื่องนี้ไม่มีใครดีที่สุดและแย่ที่สุด เราต่างมีความลับ มีข้อผิดพลาด มีสิ่งที่อยากเก็บเอาไว้กันทั้งนั้น
ถ้าเป็นนักอ่านที่ตามงานเจ้ามาก่อนอาจจะไม่ค่อยแปลกใจ (หรือเปล่า) ที่เจ้าเลือกตอนจบอย่างนี้ ด้วยตัวเนื้อหา ด้วยสิ่งที่เจ้าอยากนำเสนอ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยค่ะที่จะเลือกให้จบแบบมีความสุขตลอดไป คือหนึ่งอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่านเทพนิยายส่วนใหญ่คือมันมักจะจบแบบมีความสุขค่ะ แต่เราไม่ใช่เทพนิยายนี่เนอะ
ขอบคุณสำหรับการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าจากนางฟ้าค่ะ (ยิ้ม)
23August
#หลอกลวงรัก