ตอนที่ 6
คนตัวสูงที่นอนทอดยาวไปทั้งโซฟาโดยอาศัยตักเล็กหนุนนอนค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าหวานซึ่งหลับคอพับลงมา
แพทริกรีบขยับกายลุกขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลับไป ตัวเขานั้นใช่น้อยเสียเมื่อไหร่ ป่านนี้ขาเล็กๆของกานต์รักคงชาไปหมดอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ไม่คิดจะผละออก ยังอุตสาห์เสียสละตักให้ได้นอนจนเผลอหลับไปด้วยกัน
มือหนาค่อยๆดึงหมอนบนตักของคนหลับออกแล้ววางมันลงยังปลายโซฟาอีกด้าน ก่อนจะขยับช้อนตัวกานต์รักให้นอนลงในตำแหน่งที่สบายตัว
นัยน์ตาสีนิลกวาดมองใบหน้าหวานที่หลับพริ้มนิ่ง กว่าจะทันได้รู้ตัวเรียวปากร้อนของตัวเองก็ทาบทับลงบนหน้าผากเนียนเกลี้ยงเกลา ทิ้งสัมผัสอยู่ชั่วครู่ก่อนจะผละออกอย่างเชื่องช้า ครั้นยามรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปแพทริกกลับไม่ได้นึกแปลกใจซักนิด
ความรู้สึกบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธ แม้ยังไม่แน่ใจนักแต่ทว่าก็ไม่ได้ขี้คลาดจนไม่กล้ายอมรับว่ามันคืออะไร
ความอ่อนโยนอันบริสุทธิ์ของกานต์รักไม่ใช่เรื่องโกหก นั่นคือสิ่งที่ลึกๆแล้วแพทริกสัมผัสได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเจอ
ดวงตากลมโตใสซื่อ ท่าทางเรียบเรื่อยอ่อนหวาน ทุกสิ่งอย่างนั้นดึงดูดใจจนเขาต้องให้คนเข้าไปติดต่อ และทั้งหมดเหล่านั้นมันกำลังละลายบางอย่างในใจอันแข็งแกร่งของแพทริกให้พังลงอย่างช้าๆ
ความรู้สึกมันปกปิดกันไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรหากแต่สิ่งที่สงสัยคือทำไมถึงต้องปิดบังกัน...
เรือนร่างสูงใหญ่ผละออกห่างจากโซฟาก่อนจะหมุนตัวเข้าห้องแล้วจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลงไปยังชั้นทำงาน ใช้เวลาช่วงบ่ายทั้งหมดไปกับการตรวจงานทุกอย่างจนเรียบร้อยจึงกลับขึ้นห้องมาอีกครั้ง
“อืม...แต่รักว่ามันยังจืดไปหน่อยนะครับ เติมเครื่องปรุงอีกซักหน่อยน่าจะโอเค”
เสียงหวานใสดังขึ้นให้ได้ยินเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาภายในห้องกว้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเวลานี้นั้นแม่บ้านผู้ดูแลกับคนโปรดของเจ้าตัวกำลังทำอะไร
เมื่อยามร่างท้วมหมุนกายกลับมาเห็นผู้เป็นเจ้านายก็อมยิ้มน้อยๆให้ก่อนจะปลีกกายออกไปอย่างรู้งาน แพทริกขยับกายเข้าไปใกล้ร่างเล็กที่กำลังง่วนกับการทำอาหารเย็นจนกระทั่งยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง
“ได้หรือยังครับป้าน้อย” เมื่อไม่ได้รับสัญญาณตอบรับกานต์รักจึงหมุนตัวกลับมา
“อ๊ะ คุณแพท...ตกใจหมดเลยครับ” เรือนร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ทางด้านหลังให้คนไม่รู้สะดุ้งน้อยๆยามหันมาเผชิญ
“ทำอะไร”
“ราดหน้าครับ...คุณแพทรอซักครู่นะครับ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ใบหน้าหวานแย้มยิ้มพร้อมกับเอ่ยบอก คนฟังเหลือบสายตาไปมองอาหารบนเตาที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนก่อนจะพยักหน้ารับ
“อยากกินช็อกโกแลต”
“วันนี้มีช็อกบอลแต่ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยทานดีกว่าครับ...เดี๋ยวรักทำกับข้าวให้แป๊บนึง”
เสียงหวานใสเอื้อนเอ่ย มือบางเอื้อมมาหยิบเครื่องปรุงแล้วหมุนตัวกลับไปจัดการอาหารบนเตาต่อ สรรพนามยามเผลอตัวถูกใช้โดยที่เจ้าของนั้นไม่ได้เอะใจซักนิด แพทริกจ้องมองร่างบางอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหน มองท่าทางทะมัดทะแมงขณะหยิบจับทุกอย่างด้วยความเพลิดเพลิน
“เสร็จแล้ว~ อ้าว...ยังอยู่ตรงนี้อีกเหรอครับ” กานต์รักนึกว่าอีกคนขยับไปนั่งรอที่โต๊ะแล้วเสียอีก
“เสร็จแล้วใช่ไหม”
“ครับ คุณแพทนั่งรอที่โต๊ะได้เลยเดี๋ยวผมยกไปให้ครับ...ว่าแต่ป้าน้อยหายไปไหนนะ”
ร่างเล็กพึมพำก่อนจะหันไปหยิบถ้วยแล้วตักอาหารที่ตัวเองทำใส่อย่างน่าทาน คนที่เดินไปนั่งรอตามคำสั่งอยู่ก่อนแล้วมองอาหารที่ถูกวางลงตรงหน้าก่อนกานต์รักจะเดินกลับไปจัดการของตัวเองแล้วกลับมาทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“ลองทานดูนะครับว่าเป็นยังไงบ้าง” กานต์รักเอ่ยบอกแพทริกพร้อมรอยยิ้มละไม เคยชินเสียแล้วกับการทำอาหารให้อีกคนทาน ในทุกๆวันนั้นต้องคอยคิดเมนูอยู่ตลอดว่าจะทำอะไรโดยมีป้าน้อยคอยช่วยแนะนำ
“อร่อย” เมื่อตักคำแรกเข้าปากโดยไม่ปรุงแพทริกก็เอ่ยตอบออกไป กานต์รักทำอาหารคาวได้เก่งไม่แพ้การทำขนม และเพราะฝีมือนี้ทำให้น้ำหนักของเขาขึ้นมาถึงสามกิโล
“งั้นก็ทานเยอะๆนะครับ” กานต์รักพูดด้วยความปลื้มใจเมื่อเห็นอีกคนนั้นชอบอาหารที่ตนทำ ก่อนคนตัวเล็กจะลงมือทานอาหารของตัวเองบ้างโดยมีแพทริกเหลือบมองร่างบางไปเงียบๆตลอดมื้ออาหาร
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“คุณแพทหาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ” เรือนร่างเพรียวทอดกายพิงพนักเตียงอ่านหนังสือเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเรือนร่างสูงใหญ่เดินเข้าออกห้องน้ำเป็นรอบที่สามพร้อมด้วยท่าทางหัวเสียราวกับกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่าง
“เสื้อ” แพทริกเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วเอ่ยตอบเสียงห้วน
“เสื้ออะไรครับ ผมช่วยหาไหม”
“เสื้อเชิ้ตสีชมพู เจอแล้วแต่มันยับ”
แพทริกพึ่งได้รับข้อความเมื่อซักครู่ว่ามีการเปลี่ยนธีมงานเป็นสีชมพู แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่คนอย่างเขาแทบจะไม่มีเสื้อผ้าสีนี้ติดตู้เอาไว้เพราะเป็นสีที่ช่างไม่เข้ากันนัก งานนั้นก็เริ่มค่อนข้างเช้า หากให้คนจัดการพรุ่งนี้คงไม่ทันจึงต้องลองค้นดูตู้เสื้อผ้า จำได้เลือนรางว่ามีอยู่หนึ่งตัวที่เคยใส่ไปงานอะไรซักอย่าง และเพราะมันไม่ค่อยได้ใช้นักแม่บ้านจึงพับเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก
“อ่า ถ้าอย่างนั้นที่นี่มีเตารีดหรือเปล่าครับ” มือบางวางหนังสือในมือลงแล้วขยับมานั่งตัวตรงข้างขอบเตียง ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ประโยคนั้นทำให้แพทริกชะงักไป
“นายรีดเป็น?”
“ครับ อาจจะไม่เรียบกริบนักแต่ก็ใส่ได้ไม่น่าเกลียด แล้วก็ไม่ทำเสื้อไหม้แน่นอน” กานต์รักเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
แพทริกเงียบไปอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาเห็นกานต์รักทำเป็นแทบจะทุกอย่าง ทั้งล้างถ้วย ทำขนม ทำอาหาร นี่ยังรีดผ้าเป็นอีก
“ว่ายังไงครับ...ที่นี่มีเตารีดหรือเปล่า หรือว่าคุณแพทกลัวผมจะทำเสื้อไหม้”
“มีห้องซักรีด”
“โอเค งั้นช่วยพาผมไปหน่อยได้ไหมครับ”
แพทริกจ้องมองใบหน้าหวานละมุนนิ่งก่อนจะเดินกลับมาเอาเสื้อแล้วเดินนำกานต์รักออกไปยังห้องซักรีดซึ่งแทบไม่เคยได้ใช้งาน ส่วนมากนั้นจะเป็นหน้าที่ของแม่บ้านข้างล่าง ห้องนี้จึงมีแค่เผื่อเอาไว้ยามฉุกเฉิน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคราวที่ต้องได้ใช้
“เหมือนไม่เคยมีคนใช้งานเลย” คนที่เข้ามาในนี้เป็นครั้งแรกกวาดสายตามองไปรอบๆแล้วรำพันกับตัวเอง ทุกอย่างนั้นดูสะอาดราวกับเป็นของใหม่แกะกล่อง ทั้งเครื่องซักผ้า โต๊ะรีดผ้า และเตารีด ดูเหมือนมันจะยังไม่เคยถูกใช้งานเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ร่างบางไม่รอช้าเดินไปเสียบเตารีดเข้ากับปลั๊ก ก่อนจะเปิดไฟเบาๆแล้วลองถูไปบนโต๊ะเพื่อทดสอบ
“มาครับ เดี๋ยวผมรีดให้” กานต์รักหันไปพูดกับคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างตัว คนตัวสูงจึงยื่นเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนในมือส่งให้
เสื้อเชิ้ตเนื้อดีถูกวางลง กานต์รักเริ่มรีดคอเสื้อก่อนเป็นอันดับแรกก่อนจะย้ายมายังแขนเสื้อทั้งสองข้างซึ่งต้องใช้สมาธิและความตั้งใจเป็นพิเศษเนื่องจากกลัวว่าจะทำให้กลีบแตก
ความตั้งใจนั้นทำให้เหงื่อไหลซึมออกมาตามกรอบหน้าหวาน แพทริกยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกอุ่นๆในใจ เขาเคยเห็นผู้เป็นแม่ทำแบบนี้ให้ทั้งพ่อและตัวเองบ้าง หากแต่ไม่เคยสนใจว่าต้องมีคนอื่นมาทำให้เช่นอย่างที่แม่ทำ
แพททริกคิดเสมอว่าเพราะมีเงินและทุกอย่างเรื่องแบบนี้จึงไม่จำเป็นนัก ทว่าพอเห็นอีกคนตั้งใจทำอะไรแบบนี้ให้ความรู้สึกดีกับแผ่ซึมไปทั่ว
“นายรีดเสื้อผ้าเองหรือไง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นในความเงียบ เห็นท่าทางคล่องตัวราวกับว่าอีกคนนั้นทำอยู่เป็นประจำ
“ครับ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ทำเองก็สนุกไปอีกแบบ ถ้างานยุ่งจริงๆค่อยส่งร้าน” คนตอบหันมาพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม กานต์รักรีดแขนเสื้อทั้งสองข้างจนเสร็จเรียบร้อย เนื้อผ้านั้นเรียบกริบจนต้องยิ้มกับตัวเองด้วยความภูมิใจ
“ใครสอน?”
“แม่ครับ...แม่เป็นคนสอนให้ทำทุกอย่างเลย บอกว่าเวลาไปอยู่ที่ไหนจะได้ไม่ลำบาก” กานต์รักยิ้มกว้างยามเอ่ยถึงผู้หญิงที่ให้กำเนิดซึ่งอาศัยอยู่ต่างประเทศ
ทุกอย่างที่ทำเป็นนั้นเพราะผู้เป็นแม่สั่งสอนและคอยหัดให้ทำมาตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าจะมีคนคอยจัดการเรื่องพวกนี้ให้พร้อมสับหากแต่ท่านก็ยังสอนเพื่อให้ทำอะไรด้วยตัวเองเป็น
แพทริกมองอีกคนรีดเสื้อให้ไปเรื่อยๆ มือเล็กจัดเสื้อเข้ามุมก่อนจะลูบไล้ให้เรียบแล้วเอาเตารีดทาบทับลงไป ทุกการกระทำดูง่ายดายและคล่องตัว ร่างบางพิถีพิถันกับเสื้อตัวนี้จนกว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาไปพอสมควร
“พอใส่ได้ไหมครับ” คนถูกถามจ้องมองผลงานของกานต์รักนิ่งเมื่อมันถูกสวมใส่ไม้แขวนให้เรียบร้อย คำตอบของประโยคคำถามนั้นแพทริกอยากบอกว่ามันยิ่งกว่าใส่ได้เสียอีก กานต์รักรีดได้ไม่ต่างจากแม่บ้านเลยซักนิด
“อืม”
“ถ้าคุณยังไม่โอเคผมรีดให้อีกรอบได้นะครับ” ระดับแพทริก เบรนเนแกน เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นย่อมต้องเนี้ยบไร้ที่ติ กานต์รักเองก็ไม่ได้เก่งระดับแม่บ้านมืออาชีพ แม้จะพยายามรีดให้ดีแค่ไหนหากแต่มันก็อาจจะยังไม่ดีพอ
กลัวว่าคุณแพทริกจะขายหน้าหากใส่เสื้อตัวที่ไม่เรียบนัก
“มันดีแล้ว” เมื่อได้ยินคำยืนยันจากร่างสูงอีกครั้งกานต์รักถึงได้เบาใจ
“งั้นเดี๋ยวผมเอาไปแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าให้นะครับ พรุ่งนี้คุณแพทจะได้หยิบมาใส่ได้เลย”
กานต์รักส่งยิ้มให้คนที่สูงกว่าก่อนจะเดินออกจากห้องให้อีกคนปิดไฟในนั้นแล้วเดินตามมา
เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนเรียบกริบถูกแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าในส่วนเดียวกับห้องน้ำอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กหมุนตัวกลับมาหาคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเมื่อเรียบร้อย
“เรียบร้อยแล้วครับ”
สองสายตาสบกันยามกานต์รักหันกลับมา นัยน์ตาคมทอดมองจนร่างเล็กต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะรู้สึกราวกับคนตรงหน้าอยากจะพูดอะไร
เรือนร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาชิด ก่อนริมฝีปากเล็กจะได้เอ่ยถามเรียวปากได้รูปก็ฉกวูบลงมา
คราแรกนั้นกานต์รักตกใจจนแน่นิ่งไป ก่อนจะรู้ว่าโดนจูบก็เมื่อริมฝีปากบางถูกไล้เลียละเลียดขบเม้มอย่างแผ่วเบา มือหนายกขึ้นมาไล้ข้างแก้มนุ่มและบังคับให้ได้ทิศทางที่ต้องการ อีกข้างนั้นก็วางลงบนเอวคอดแล้วรั้งให้กานต์รักขยับเข้ามาแนบชิด ดวงตาโตค่อยๆปรือปิดลงเพื่อซึมซับทุกความรู้สึกทุกการสัมผัส
เรียวลิ้นร้อนไล้เลียตามรอยแยกของปากบางราวกับขออนุญาตก่อนจะค่อยๆแทรกเข้าหาความอ่อนนุ่มโดยที่อีกคนนั้นก็ยินยอมพร้อมใจ ความหวามไหวแล่นพล่านไปทั่วยามลิ้นเล็กถูกดูดกลืนอย่างอ่อนโยน สัมผัสที่บางเบายิ่งกว่าครั้งไหนๆ
เมื่อถูกกระตุ้นตามแรงอารมณ์กานต์รักจึงเผลอตอบสนองกลับอย่างไร้เดียงสา และนั่นทำให้แพทริกครางฮือในลำคออย่างพึงพอใจ
มือหนาเค้นคลึงสะโพกบางไปมาเบาๆ ขณะที่เรียวลิ้นก็ยังไม่หยุดกวาดต้อนความหอมหวานตรงหน้า กระทั่งต้องตัดใจถอดถอนริมฝีปากออกเมื่อสัมผัสได้ว่าคนในอ้อมแขนนั้นกำลังจะหมดลม
“ขอบใจ” แพทริกเอ่ยกระซิบข้างหูของคนที่ซบหน้าเข้ากับไหล่กว้างอย่างอ่อนแรง เสียงหอบหายใจเล็กๆดังขึ้นในความเงียบ กานต์รักยังคงมึนเบลอจากจูบเมื่อครู่จึงยังไม่เข้าใจนักว่าที่อีกคนเอ่ยหมายถึงเรื่องใด
มือหนาที่กำลังโอบเอวเล็กลูบไล้แผ่นหลังบางไปมาอย่างแผ่วเบา กระทั่งความรู้สึกอบอุ่นนั้นทำให้กานต์รักผ่อนคลายลงจนทิ้งน้ำหนักพิงร่างสูงไปทั้งตัว ใบหน้าเล็กก็เอียงซบราวกับลูกแมวตัวน้อย
“...ไม่เป็นไรเลยครับ” แม้จะยังไม่เข้าใจนักหากแต่เสียงหวานก็เอ่ยตอบเสียงแผ่ว
ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรแต่สำหรับกานต์รักแล้วเขาพร้อมจะทำเพื่ออีกคนทั้งนั้น...
ไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านไปนานแค่ไหนที่ทั้งสองยังอิงแอบแนบชิด กระทั่งแพทริกเป็นคนค่อยๆผละออก มองใบหน้าหวานเนียนนิ่งก่อนจะเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่านี่คงเป็นเวลาดึกมากแล้ว
“ดึกแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนมือใหญ่จะเอื้อมมาคว้าฝ่ามือเล็กกระชับเข้าหาแล้วเดินนำกลับเข้ามายังห้องนอน
แพทริกดันร่างเล็กให้นั่งลงบนเตียงก่อนที่จะเดินไปปิดไฟทั่วห้องจนเหลือเพียงดวงเดียว กานต์รักมองตามคนตัวสูงอย่างเงียบๆ ความรู้สึกอุ่นละมุนยังคงติดอยู่รอบกายและค่อยๆแทรกซึมเข้าไปถึงข้างใน
ถ้าหากตอนนี้เป็นความฝัน มันเป็นฝันที่ไม่กานต์รักอยากตื่นเลย
“ดึกแล้วก็ควรจะนอน” แพทริกเอ่ยบอกคนที่ยังนั่งนิ่งก่อนจะก้าวขึ้นเตียงอีกด้าน เมื่อได้ยินคำสั่งจากร่างสูงกานต์รักจึงเอนกายลงนอน ร่างกายทำตามคำประกาศิตนั้นทุกอย่าง
อ้อมแขนแข็งแรงตวัดคว้าร่างเล็กเข้ามาในอ้อมกอด อีกหนึ่งความเคยชินในทุกค่ำคืน หากกานต์รักไม่เผลอขยับมากอดแพทริกก็จะเป็นฝ่ายกอดเสียเอง ยามตื่นมาเรือนร่างบอบบางจึงตกอยู่ในอ้อมแขนใหญ่จนกานต์รักเองเริ่มคุ้นชิน หากแต่วันนี้พอโดนกอดซึ่งๆหน้าก็อดใจเต้นไม่ได้
“ฝันดี” เสียงทุ้มเอ่ยบอกในความเงียบก่อนจะเอื้อมมือไปปิดไฟบนหัวเตียงให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด กานต์รักหลับตาลงกักเก็บทุกสัมผัสและความรู้สึกให้ซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ
“ฝันดีครับ” สิ้นเสียงหวานที่เอ่ยตอบกลับมา คนทั้งสองก็ค่อยๆหลับตาลงก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมๆกัน
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
“ช่วงนี้เจ้านายดูอารมณ์ดีนะครับ” แซมเอ่ยเหย้าผู้เป็นเจ้านายพร้อมกับอมยิ้มล้อเลียน แม้แต่โจเซฟที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็หันมามองอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
“ฉันก็ปกติ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบก่อนจะแสร้งทำเป็นอ่านเอกสารในมือต่อ หากแสดงท่าทางอะไรออกไปยิ่งทำให้ลูกน้องหาเรื่องแซวได้อีก
“แต่ผมกับแซมไม่คิดอย่างนั้นนะครับ”
“พวกนายจะพูดอะไร”
“พวกผมแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ดูเจ้านายมีความสุขเป็นพิเศษ...เป็นเพราะใครบางคนหรือเปล่าครับ” แพทริกปิดเอกสารในมือลง ดวงตาคมกวาดมองผู้เป็นลูกน้องที่เปรียบดั่งเพื่อน รู้แล้วว่าทั้งสองคนนั้นกำลังไล่ต้อนเรื่องของกานต์รัก
“ไม่ต้องมาอยากแซว เรื่องที่ให้จัดการไปถึงไหนแล้ว”
“หึ โอเคครับ ถ้าเจ้านายอยากจะเปลี่ยนเรื่องผมเปลี่ยนให้ก็ได้...เราไม่สามารถรู้อะไรเกี่ยวกับคุณกานต์รักได้เลยครับ ผมรู้สึกเหมือนว่าใครบางคนตั้งใจปกปิดมันไว้ และเหมือนเขารู้แล้วว่าตอนนี้เรากำลังตามสืบอยู่”
“ไม่รู้เลยเหรอว่าเป็นคนของฝั่งไหน” แพทริกเอ่ยถาม
“ไม่รู้อะไรเลยครับ...ผมกับโจเซฟเลยลองไปสืบฝั่งที่เป็นศัตรูใหญ่ๆของเราแทน อันนี้มั่นใจได้ว่าคุณกานต์รักไม่ได้เป็นพวกของใครซักคน”
“ผมว่า...คุณกานต์รักไม่น่าจะเข้ามาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดี อยู่กับเจ้านายใกล้ชิดขนาดนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายอะไร เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจคือเขาเป็นใครกันทำไมเราถึงสืบข้อมูลอะไรไม่ได้เลย” โจเซฟรายงานเจ้านายตามที่ตัวเองและแซมวิเคราะห์
“อืม ยังไงก็พยายามต่อไป ฉันอยากรู้เรื่องราวของเด็กนี่มากกว่านี้”
“ที่อยากรู้เป็นเพราะอะไรกันแน่ครับ จับเขาขังไว้ไม่ให้ห่างตัว บ้านใหญ่ก็แทบไม่ยอมกลับไปนอน...คงไม่ใช่แค่เพราะกลัวว่าจะเป็นคนของศัตรูแล้วล่ะ” แซมเอ่ยออกมาพร้อมหรี่ตามอง
“ดูท่าว่าพวกนายอยากจะซ้อมการป้องกันตัวกับฉันใช่ไหม ไม่โดนไม่นานแล้วหนิ”
แพทริกเอ่ยเสียงเข้มจนคนสนิททั้งสองก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แซมและโจเซฟรู้ดีว่าหากได้ซ้อมกับผู้เป็นนายมันคือการโดนลงโทษดีๆนี่เอง สู้กันทีไรพวกเขาอ่วมจนมีสภาพยับเยิน ในเมื่ออีกคนนั้นถูกฝึกอย่างโหดมาตั้งแต่เด็ก แม้พวกเขาจะตัวใหญ่และถูกฝึกมาดีแค่ไหนก็ยังต้องยอมแพ้
“ฉันว่าเราไปดูเรื่องร้านของคุณกานต์รักกันดีกว่าว่ะโจเซฟ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น...งั้นเชิญเจ้านายทำงานครับ พวกเราขอตัวก่อนซักครู่”
มือซ้ายและขวาค้อมตัวลงให้ผู้เป็นนายอย่างทำความเคารพแล้วรีบเดินออกจากห้องไปก่อนจะโดนซ้อมจริงๆ เรื่องร้านของกานต์รักแพทริกส่งคนไปจัดการดูแลอยู่เสมอ แม้พนักงานที่นั่นจะยังระแวงบ้างแต่เพราะมีรูปถ่ายยืนยันว่ากานต์รักสบายดีและความเป็นแพทริก เบรนเนแกนทุกอย่างจึงเรียบร้อย
และเพราะมีงานเข้ามาให้ตรวจดูมากมายและมีประชุมเรื่องผลกำไรของบริษัททำให้วันนี้นั้นแพทริกกลับขึ้นห้องช้ากว่าทุกวัน เวลาล่วงเลยเข้าสู้วันใหม่มาถึงสองชั่วโมงกว่าที่ร่างสูงจะถึงห้องซึ่งอยู่ชั้นบนสุด ยามเปิดประตูเข้าไปมีเพียงไฟเปิดอยู่ไม่กี่ดวงเพื่อไม่ให้ทั้งห้องนั้นตกอยู่ในความมืด แพทริกก้าวเท้าไปเรื่อยๆกระทั่งถึงห้องนอนที่มีใครบางอยู่
แกร๊ก
แต่แล้วยามเห็นร่างเล็กที่ควรหลับกำลังนอนพิงกายกับพนักเตียงเพื่ออ่านหนังสือกลับทำให้ต้องแปลกใจ
“ทำไมยังไม่นอนอีก” คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันมุ่นพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม
กานต์รักมองคนที่ตนเฝ้ารอก่อนริมฝีปากสีสดจะถูกขบเม้มเข้าหากันอย่างประหม่า จะให้บอกได้อย่างไรว่าทำยังไงตัวเขาก็นอนไม่หลับเมื่อไม่มีอีกคนนอนอยู่ข้างกันเช่นทุกคืน
“ผมไม่นอนไม่หลับครับ” เสียงเล็กเอ่ยแผ่วเบา ใบหน้าหวานก้มลงมองหนังสือในมือเพราะไม่กล้าสบตา
“ทำไมนอนไม่หลับ” แพทริกเอ่ยถามเสียงเข้มยิ่งกว่าเดิม ดึกขนาดนี้แล้วยังดื้อไม่ยอมนอน ตัวเองใช่ว่าร่างกายจะแข็งแรงมากนัก
ประโยคคำถามนั้นทำให้คนที่ไม่รู้จะตอบยังไงทำเพียงแค่ส่ายหน้า
“ฉันจะไปอาบน้ำ ออกมาแล้วต้องนอน”
“ครับ” กานต์รักรับคำเสียงเบา เมื่อแพทริกเดินเข้าไปในส่วนของห้องน้ำมือบางจึงวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วขยับตัวลงนอน
เปลือกตาสีอ่อนปิดลงตามคำสั่งหากแต่ประสาทสัมผัสทุกส่วนยังคงทำงานคอยฟังว่าเมื่อไหร่แพทริกจะออกมา กระทั่งผ่านไปไม่นานนักเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น ต่อมาห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดเมื่ออีกคนปิดไฟ เตียงอีกฝั่งยวบลงตามน้ำหนักของคนที่ทรุดตัวลงมา
“ต้องให้ตบตูดนอนหรือเปล่าถึงจะนอนได้” ยามอ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างเล็กเข้าไปในอ้อมกอดเสียงทุ้มเรียบก็เอ่ยขึ้น แพทริกนั้นรู้ดีว่าอีกคนยังไม่นอน
“ผะ ผมโตแล้วนะครับ” กานต์รักขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว เขาไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ที่ยังนอนไม่หลับแค่เพราะยังไม่ชินก็เท่านั้น
ใครกันเล่าที่ทำให้ติดนิสัยต้องนอนซุกตัวเข้ากับอ้อมกอดอุ่นนี้...คุณแพทริกนั่นแหละที่ทำให้เขาเสียนิสัย
“โตแล้วก็นอนซักที”
“ครับ...ฝันดีนะครับคุณแพทริก”
แปลกที่พอได้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของอีกคนความง่วงกลับครอบงำเข้ามาทันที เสียงหัวใจที่เต้นอย่างหนักแน่นมั่นคงอยู่ข้างหูราวกับเป็นยาขับกล่อมให้หลับใหล ก่อนจะหลุดเข้าสู่ห้วงนิทรานั้นกานต์รักรับรู้ได้ถึงสัมผัสหนักๆที่กดลงบนกลางหัวก่อนทุกอย่างจะมืดสนิท
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋