Only You EP.11 :: Rude and Low. [50%]ตกเย็น พอเลิกเรียนกับสอบย่อยเสร็จ ผมก็ขึ้นไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อไปทำเรื่องลากับทางภาคและรับใบรับรองการทำงานให้กับทางมหาวิทยาลัย แอบรู้สึกผิดที่ติ่งของหัวใจ อาจารย์ใช้คำดูดีไปหน่อยที่บอกว่าไปทำภารกิจให้กับทางมหาวิทยาลัย คือตั้งแต่เจอหน้ากัน ผมกับไอ้ยักษ์ก็มีแต่เรื่องบนเตียง ยังไม่ได้ทำสารประโยชน์ให้แก่มหาวิทยาลัยเลยสักนิด คิดแล้วก็สะกิดใจ ช่างเอาประโยคอันดูดีนั้นมาบังหน้า เพื่อหาเวลาไปจู๋จี๋กับแฟน
“แล้วสรุปเธอกิ๊กกับเขาจริงรึเปล่า นี่เขาคุยกันไปทั่วมหา’ลัยแล้วจ้ะ” อาจารย์ณัฐวัฒน์ถามตอนที่กำลังยืนรอเอกสารจากหัวหน้าภาคในห้องภาคภาษาตะวันตก ผมยิ้มหน้าแหย ตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“เป็นพี่น้องครับอาจารย์” อาจารย์เบ้ปากใส่ผมแรงมาก แรงแบบว่าปากแทบจะบิดอยู่แล้ว
“พี่น้องท้องชนกันสนั่นเตียงล่ะสิ บุญดีนะยะเธอน่ะ ได้สามีทั้งทีมีดีกรีเป็นถึงพระเอกฮอลลีวูด” อาจารย์ไม่ต้องพูดดังก็ได้มั้งครับ คือในนี้คนไม่เยอะก็จริง แต่มันมีรุ่นน้องในเอกอยู่ด้วยนะ แล้วตอนนี้น้องๆ ก็มองมาทางผมและอมยิ้มให้ ผมยิ้มเหงือกแห้งกลับไป หันมามองหน้าอาจารย์ด้วยอาการเหงื่อตก
“ฉันก็ว่าแล้ว อะไรจะรีเควสขอเธอมาขนาดนั้น ไม่ยอมเอาคนอื่นด้วยนะ” อาจารย์แสร้งมองจิกด้วยความหมั่นไส้ ผมก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลยได้เกาหัวแก้เก้อ
รออีกประมาณยี่สิบนาที อาจารย์ก็จัดการทำเรื่องลาให้กับผมได้ ผมเซ็นชื่อตัวเองลงตรงการรับรองเอกสารในส่วนของนิสิตผู้ไปปฏิบัติงานให้ทางมหาวิทยาลัย แม้จริงๆ จะเรียกได้ว่าไปทำเรื่องส่วนตัวมากกว่า แต่อาจารย์ณัฐวัฒน์ก็ให้กำลังใจผมว่า ยังไงมันก็มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง งานนี้เป็นงานระดับประเทศ เขารีเควสมาแบบนี้ทางมหาวิทยาลัยเองก็ได้หน้าได้ตาไปด้วย ฉะนั้นก็ให้ผมช่วยดูเขาให้เต็มที่ ส่วนเรื่องสถานะความสัมพันธ์ของผมกับเขา อาจารย์เขาก็ไม่คิดจะบอกใคร เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม แต่จริงๆ ตอนนี้บอกไม่บอก คนก็เริ่มรับรู้กันเยอะแล้วละ
ผมลงลิฟต์มาข้างล่างตึก ในระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ก็มีหลายคนหันมามองผมอย่างเนียนๆ บางคนแกล้งส่องกระจกบ้าง แกล้งเอา
มือถือมาเช็กหน้าตาตัวเองบ้าง ผมก็ได้แต่เฉย ผมคงห้ามให้ใครมองไม่ได้ แต่ขออย่างเดียวว่ามองแล้วอย่าเอาจอบมาขุดหัวผมก็แล้วกัน
“อะ แม่คนดังมาละ ไปๆ พวกมึง หิวมาก” พวกเรากำลังจะไปหาอะไรทาน ผมอยากกินส้มตำ น้ำตกหมู พวกนี้ก็เลยนัดกันว่าจะไปกินร้านประจำที่เราชอบไปกินกัน
“เออ พวกแฟนฉันไปด้วยนะแก แต่ว่ามันนั่งคนละโต๊ะ” เหมียวบอกตอนที่เราทุกคนเก็บของลุกขึ้นจากโต๊ะ เราพยักหน้ารับรู้ พากันเดินออกจากโต๊ะไป
ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาที่มองมา บางคนถึงขั้นยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปผมเลยด้วยซ้ำ แอบอึดอัดเล็กๆ เริ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกดารานักแสดงที่ชอบโดนตามถ่ายหน่อยๆ
“ทำใจนะมึง เดี๋ยวพอกระแสมันซาแล้ว เขาก็คงมองมึงน้อยลงเองแหละ” ผมยักหน้าขึ้นสองทีให้ไอวอร์ม เดินออกไปนอกตึกพร้อมเพื่อนๆ ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูหน้าจอเป็นเบอร์ไม่คุ้นตา ผมขมวดคิ้ว แต่ก็กดรับสาย
“ฮัลโหล”
[Done? (เลิกเรียนรึยัง)] อ้อ วิคเตอร์นี่เอง ผมยังไม่ได้เมมเบอร์เขาที่เมืองไทยไว้ เพราะเพิ่งได้มือถือ แต่เขาเมมเบอร์ผมใส่ไว้ในเครื่องตั้งแต่เช้าแล้วละ
“Already, but I’m gonna go to have a dinner with friends. (เสร็จแล้วครับ แต่ผมกำลังจะไปทานอาหารเย็นกับเพื่อนๆ)” ผมตอบเสียงเนือย หน้าตายังงอนเขาอยู่ เพื่อนๆ หันมามองอย่างตื่นเต้น
[And what about me? Dinner alone? แล้วฉันล่ะ อาหารเย็นโดดเดี่ยวงั้นเหรอ] น้ำเสียงเย็นชาดังมาตามสาย นึกหน้าเขาออกเลยว่าคงกำลังขึงตึงแค่ไหน ผมถอนหายใจ แต่เท้าก็ยังไม่หยุดเดินตามเพื่อน
“I will go with you. (เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน)”
[No. I want you to go to have a dinner with me. (ไม่ ฉันต้องการให้นายไปกินด้วย)]” เขาตอบเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ ผมย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ อีกฝ่ายนิงเงียบรอฟังคำตอบจากผมอยู่
“Fine! Pick me up, now. (ก็ได้! มารับผมตอนนี้เลยละกัน)” ผมตอบเสียงกระแทกใส่โทรศัพท์
[You want a piece of me? (จะเล่นใช่มั้ย)] เขาถามเสียงขู่ ผมเม้มปาก แล้วถอนหายใจออกมา
“I’m sorry. Call me when you are here. (ขอโทษครับ โทรหาผมแล้วกันถ้าคุณถึงแล้ว)” ผมตอบเสียงตึง พอๆ กับใบหน้าตอนนี้ วิคเตอร์ไม่พูดอะไรแต่กดตัดสายไป ผมยัดโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเซ็งๆ
“อ้าว นี่แกทะเลาะกันเหรอวะ” ผมหันหน้าเนือยๆ ไปมองแบม
“นิดหน่อย”
“อะไรวะ เพิ่งเจอกันเมื่อวาน มึงงอนกันละเหรอ” ไอ้แชมป์ถามสีหน้าเหลือเชื่อ
“อือ ปัญหาจุกๆ จิกๆ อ่ะ มีแฟนนี่ก็ยากเนอะ ตอนไม่มีใครกูก็อิสระดี ไม่เห็นต้องคอยรายงานหรือขออนุญาตจากใคร” ผมบ่นเซ็งๆ นึกถึงตัวเองเมื่อก่อนที่อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องพะว้าพะวงว่าใครจะโกรธจะงอนมั้ย ผมชิลนะ แค่มีเพลงให้ฟัง ผมก็เดินห้างได้คนเดียว กินข้าวคนเดียวก็ได้แล้ว ดูหนังก็ดูคนเดียวออกตั้งบ่อย
“ใช่ทุกคนซะที่ไหน อันนี้เป็นที่ผัวมึงละครับน้องแมท สงสัยคงหวงมึงจัด” พูดถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ย่นจมูกเหมือนเหม็นอะไรสักอย่างจนเพื่อนๆ หัวเราะออกมา
“กูมีอะไรให้น่าหวงเนี่ย มึงดูสิ ถ้าหนังหน้ากูดี กูจะไม่ว่าเลย เออ ถ้ากูฮ็อต กูป๊อบปูล่ามาก ค่อยหวงก็ยังสมเหตุสมผล”
“สำหรับเขา มึงไม่หน้าเหี้ยไง แม้จริงๆ หน้ามึงจะเหี้ยก็ตาม”
“โถ อีวอร์ม! จะดีอยู่แล้วเชียว ไอ้แอนิมอล!” เหมือนมันจะให้กำลังใจ แต่ปิดท้ายเล่นซะแทบหัวทิ่ม ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก
“แล้วนี่แกทะเลาะอะไรกัน ฉันอยากจะรู้อ่ะ ว่าพวกพระเอกดังๆ เวลาเขาทะเลาะกับแฟน เขาจะทะเลาะเรื่องอะไรกันบ้าง” แคทเดินถอยหลังมาถามด้วยอาการตื่นเต้น
“ก็แค่บอกว่าจะไปกินข้าวกับพวกแก แล้วเขารอกินข้าวด้วยอยู่” แคทอ้าปากหวอ สีหน้าแลดูตกใจมาก ตอนแรกผมคิดว่ามันจะต้องแบบว่าอึ้งที่ผมกับวิคเตอร์ทะเลาะกันเพราะเรื่องแค่นี้ แต่เปล่าเลย
“เฮ้ยยย! น่ารั๊กอ้า! รอกินข้าวกับแฟน พอแฟนจะไม่ไปกินข้าวด้วยเลยงอน เฮ้ยๆๆๆ โมเมนต์ดีเว่อร์ ทำไมอดีตผัวกูไม่เป็นงี้บ้าง” แล้วเราทุกคนก็หัวเราะให้กับความฮาของแคทอีกครั้ง มันบ่นงุ้งงิ้งๆ คนเดียวว่าสมัยคบกับแฟนคนเก่า แฟนมันมึน เอาแต่ติดเกมส์ไม่ค่อยสนใจมัน สุดท้ายมันทนไม่ไหวก็เลยเลิกกันไป ปัจจุบันผู้ชายมีแฟนใหม่แล้ว ซึ่งก็เป็นผู้หญิงในเกมส์นั่นแหละ แคทเม้าท์ว่าวันๆ มันคงเอาแต่คุยกันผ่านเกมส์มากกว่าตัวจริง
“แล้วนี่มึงจะไปกินข้าวกับพวกกูอยู่ป้ะเนี่ย แฟนมึงไม่งอนเอาหรอ” ผมทำหน้าลำบากใจ ไม่อยากมีกรณีกับวิคเตอร์เพิ่ม แต่ก็อยากกินส้มตำกับหมูน้ำตก
“กินสักแปบก็ได้ จากโรงแรมมานี่ก็น่าจะทันสักจาน”
“โอย ลำบากเนาะมึง” ไอ้วอร์มมันว่าหน้านิ่ว
“แกไม่ชวนวิคเตอร์เขามากินด้วยเลยวะ จะได้แนะนำอาหารเด็ดของไทยให้เขากินด้วยไง” แคทเสนอแนะตาวาว ผมมองมันแล้วก็เริ่มมีสีหน้าคล้อยตาม
“เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ มึงจะเอาเขามาทำไม กูทำตัวไม่ถูกนะ” ไอ้แชมป์แทรกเสียงลั่นพลางสั่นหัวรัวๆ แต่พวกผู้หญิงกลับร้องว่าเห็นด้วย เพราะอยากถ่ายรูปใกล้ชิดกับวิคเตอร์
“เหอะน่าไอ้แชมป์ ไอ้วอร์ม มึงก็ดูซีรีส์ที่เขาเล่นไม่ใช่รึไง ยังมาบ่นตอนล่าสุดให้กูฟังอยู่เลยว่าพระเอกโง่ เนี่ย มีโอกาสเจอนักแสดงแล้ว มึงบอกเขาไปเลยตรงๆ”
“โถ่ ไอ้เหมียว มึงคิดว่ากูจะกล้าพูดรึไง”
“หึ แต่กูพูดไปงั้นอ่ะ เอาเป็นว่าถ้าแมทชวนเขาได้ มึงก็ต้องไปกินด้วย” ไอ้สองมารทำหน้าเหมือนอยากจะอ้วก มันคงกลัวอึดอัดจนกินอาหารไม่อร่อย ผมเห็นแล้วก็สงสาร เลยลองพยายามเปลี่ยนความคิดสาวๆ แต่พวกนั้นบอกว่าให้ลองชวนวิคเตอร์ก่อน ผมเลยตัดสินใจลองโทรไปชวนเขาดู วิคเตอร์ทำน้ำเสียงประหลาดใจ ผมเลยต้องอธิบายว่าส้มตำคืออะไร เขาเลยบอกว่างั้นลองดูก็ได้
“กรี๊ดดด! เมื่อวานนี้กูถ่ายรูปเขาได้น้อยมาก วันนี้แหละมึง จะกดถ่ายไม่หยุดเลย!” แคทประกาศชัยชนะเมื่อตอนที่ผมหันไปบอกทุกคน
เรามาถึงร้านส้มตำเจ้าประจำที่อยู่ในซอยข้างๆ มหาวิทยาลัยของพวกเรา เป็นร้านคล้ายๆ เพิงหมาแหงน แต่ว่าไม่ได้ทรุดโทรม มีลานจอดรถให้ด้วยเนื่องจากลูกค้าร้านนี้จะแน่นมากแทบทุกวัน ทางร้านเลยขยับขยายพื้นที่ร้านให้กว้างกว่าเดิมในช่วงที่ผมอยู่ปีสอง แน่นอนว่าวันนี้ลูกค้าเยอะมากอีกเช่นเคย ส่วนมากก็เป็นนิสิตนักศึกษานั่นแหละ เรามองหาโต๊ะอยู่สักพัก พวกแฟนเหมียวก็ตะโกนเรียกให้ไปนั่งโต๊ะที่ใกล้กัน เหมียวแวบไปคุยกับแฟน ส่วนพวกเราก็นั่งลงบนเก้าอี้ ไอ้วอร์มยกเก้าอี้มาวางไว้ข้างผมตัวหนึ่ง คงกะเอามาให้วิคเตอร์นั่ง
“คนไหนแมทวะ” เสียงแว่วๆ ดังมาจากโต๊ะกลุ่มแฟนเหมียว ผมแอบตัวกระตุก หันไปมองวูบหนึ่งก็เห็นสายตาผู้ชายทั้งโต๊ะมองมาทางผม ก่อนที่จะใครสักคนส่งเสียงหัวเราะคล้ายว่าตลกอะไรสักอย่างออกมา
“ที่เขาแชร์กันในเฟซเยอะๆ ใช่มั้ยว่ามีแฟนเป็นฝรั่งแล้วเป็นดาราอ่ะ” ผมมองไปทางเหมียว มันได้แต่ยิ้มให้กับคนที่ถาม ผมรู้สึกขอบคุณมันที่ไม่ยืนยันหรือตอบรับกับคำถามนั้น
“เหี้ย ขุดทองกันมันส์เลยงานนี้” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังตามมาอีก ผมเริ่มหน้าเสียกับเสียงหัวเราะนั้น แต่พวกเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่มกลับหน้าตึง หันไปมองตาเขียวทันที แคทลุกขึ้นเป็นคนแรกแล้วเดินเข้าไปยืนมองหน้าพวกผู้ชายพวกนั้นเรียงตัวด้วยสายตาเอาเรื่อง
“นี่เรียนอยู่ปีสี่แล้วใช่มั้ยคะ” แคทถามน้ำเสียงเนิบนาบ แต่ว่ามันก็แฝงความเย็นยะเยือกเอาไว้
“ครับ ทำไมเหรอ” หนึ่งในที่ร่วมขบวนการหัวเราะเอ่ยบอก ทุกคนมองแคทงงๆ คนในร้านเริ่มหันมามองทางกลุ่มพวกเรา
“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าเรียนมาจนจะจบแล้ว ยังมีความคิดแบบนี้อยู่ในสมองอีก การศึกษาที่ได้รับมา ไม่ช่วยนำพาให้สมองคิดอะไรดีๆ เป็นบ้างเหรอ” พวกนั้นชะงักกันไป ก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วเริ่มโต้กลับ
“อ้าวเธอ จู่ๆ ก็มาด่ากันนี่มันยังไงวะ”
“ช่วยแก้คำด้วยค่ะ ไม่ใช่ว่าจู่ๆ เรามาด่า คุณมาด่าเพื่อนเราก่อน”
“เฮ้ย แค่แซวเล่นปะวะ” อีกคนในกลุ่มนั้นพูดสีหน้าไม่พอใจ
“ถ้ากูบอกว่าแม่มึงเป็นชู้กับยามหน้ามอ มึงจะชอบใจปะ” ไอ้วอร์มที่นั่งเงียบๆ มาสักพักโพล่งขึ้นมา และนั่นทำให้จุดเดือดของอีกฝ่ายพุ่งขึ้นสูงทันที
“อ้าวไอ้เหี้ย มึงเล่นถึงแม่เลยเหรอ”
“มึงโกรธไร กูก็แซวเล่นเหมือนที่มึงแซวเพื่อนกูไง” ไอ้วอร์มยิ้มกลับไปให้ แต่มันเป็นยิ้มว่ามันพร้อมมีเรื่อง
“อ้าวๆ ถ้าจะมีเรื่องกันออกไปจากร้านป้าเลย อย่ามาทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน” เสียงป้าเจ้าของร้านดังขึ้นมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดี ผมเองก็รู้สึกไม่ดีที่จู่ๆ ก็กลายเป็นชนวนให้คนทะเลาะกัน
“พวกมึงพอเถอะ คนเขามีปาก เขาก็พูดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าผ่านไปอีกกี่ปีคนประเภทนี้ก็ยังอยู่ร่วมโลกไปพร้อมๆ กับแมลงสาบนั่นแหละ” อ้าว ผมไม่ได้อยากมีเรื่องนะ แต่ไอ้ปากดีๆ ที่วิคเตอร์ชอบด่า มันกลับรู้สึกไม่อยากยอม
“เยี่ยมมากอีแมท!” เก้ายกนิ้วโป้งมาให้ ผมลุกขึ้นยืนมองหน้าพวกนั้นแต่ล่ะคน พิจารณาหนังหน้าแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวพร้อมเบ้ปากหน่อยๆ
มักจะเป็นแบบนี้เสมอ พวกผู้ชายที่เหยียดเพศ (ใช่ว่าผู้หญิงไม่มี) หนังหน้าไม่ได้มีดีสักคน ผมไม่ได้อยากเอาหน้าตามาวัด แต่ในเมื่อเขาแสดงกิริยาต่ำๆ ออกมาก่อน ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมองเนื้อหนังมังสาไปด้วย
“หล่อไม่เท่าแฟนเรา ยังปากเน่ากันอีกเหรอ เวลาแปรงฟัน ถามจริงว่าแปรงกันคนละกี่รอบอ่ะกว่าหมาจะหลุดออกจากปากได้”
ซ่า!
แล้วน้ำเปียกๆ ก็ถูกสาดเข้าหน้าผม ทั้งร้านร้องตกใจ ผมเองก็สะดุ้งตกใจไปด้วยเหมือนกัน เสียงป้าเจ้าของร้านเอ่ยไล่พวกเราให้ออกจากร้านทันที คนในร้านเริ่มนิ่งดูเหตุการณ์ บางคนเริ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปไว้ หรือไม่แน่อาจถ่ายมาตั้งนานแล้ว
“เอ้! มึงบอกเพื่อนมึงให้ขอโทษเพื่อนกูเลยนะ!” เหมียวร้องเสียงดัง ตีไหล่แฟนมันดังป้าบ แฟนเหมียวคงกำลังงงๆ ว่าไปเกี่ยวอะไรกับเขา ผมรับทิชชูมาจากต๊อดแล้วซับน้ำออกจากหน้าเบาๆ
“ถ้าอยากโดนต่อย มึงพล่ามอีกดิ อีตุ๊ด!” ผมสะบัดหน้าไปมองอย่างโกรธจัด ผมรู้ว่าผมสู้มันไม่ได้หรอก ผมตัวเล็กกว่าตั้งเยอะ เทควันโด้ที่เคยเรียนมาก็แค่สายเหลืองพื้นๆ เอง
“นั่นปากเหรอวะ?!” เหมียวมองอย่างเดือดดาล แฟนเหมียวเรียกเพื่อนตัวเองให้รู้ตัว แต่ไอ้คนที่เอาน้ำสาดผมกลับเอาหน้าดำๆ หนังเหี่ยวๆ ย่นๆ ตาโปนๆ จ้องมาทางผมอย่างไม่ลดละ ส่วนคนอื่นๆ ที่ร่วมขบวนการหัวเราะเมื่อกี้ก็มองตาขวางเช่นกัน
“ออกไปๆ ออกไปเลย ไปมีเรื่องกันที่อื่น ถ้าโตขนาดนี้แล้วยังคิดไม่ได้ ก็ไม่ต้องรับกันหรอกนะปริญญาน่ะ” ป้าเจ้าของร้านออกมายืนไล่ใกล้ๆ โต๊ะพวกเรา ผมขบกรามแน่นแล้วพ่นลมหายใจแรงๆ สะบัดหน้าหนีคนทุเรศพวกนั้น
“ไม่ต้องให้ออกหรอกป้า เดี๋ยวผมจัดการให้” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น พวกเราหันไปมองพร้อมกัน ผมมองด้วยความแปลกใจ
“เอิร์ท…” เขามองมาทางผม สีหน้าเขาเรียบนิ่ง ก่อนจะหันตาวาวๆ ไปมองพวกที่เอาน้ำสาดหน้าผม เพื่อนของเอิร์ทยืนเป็นแบคอัพนับสิบคนด้วยสีหน้านิ่งเช่นกัน
“นี่เราจะมาร่วมมีเรื่องด้วยรึไงเอิร์ท” ท่าทางเอิร์ทจะสนิทกับป้าเจ้าของร้านพอสมควรแฮะ
“ถ้ามีอะไรเสียหายเดี๋ยวผมจ่ายให้เองป้า ผมไม่เบี้ยวหรอก แต่ป้าไม่ควรเอาลูกค้านิสัยเหี้ยๆ แบบนี้ไว้ในร้าน เพราะเดี๋ยวความจังไรมันจะทำให้ป้าขายของไม่ออก” เอิร์ทกระแทกเสียงใส่หน้าไอ้พวกหน้าดำหนังเหี่ยว (หน้ามันดำๆ คล้ำๆ เกือบทุกคนเลยที่หัวเราะเยาะผมน่ะ)
“มึงว่าใครจังไร” หนึ่งในแก๊งค์หน้าดำหนังเหี่ยวลุกขึ้นถามสีหน้าโมโห
“โง่เนาะ เขาก็ด่าพวกมึงไงคะ กระแทกเสียงมาขนาดนั้น มึงว่ามวลเสียงแล่นผ่านอากาศไปด่าครกตำส้มตำของป้าเหรอ” แคทด่าสีหน้าเคียดแค้น แต่ผมมองว่ามันตลกมากกว่า แต่จะขำก็ขำไม่ได้ สถานการณ์กำลังเครียด
“ถ้าอยากมีเรื่องจริงๆ จัดมาเลยค่ะ นี่ไม่ได้ข่มนะคะ แต่บอกเลยว่า ชนะใสๆ นี่เป็นผู้หญิง แต่ตบแหลกนะคะ” พวกหน้าดำหนังเหี่ยวมองอย่างประเมิน เนื่องจากจำนวนคนฝั่งเอิร์ทกับฝั่งผมรวมกันแล้ว หนาแน่นกว่ากลุ่มพวกมันเยอะ และผมคิดว่าที่เหลือในกลุ่มอีกสี่ห้าคนก็คงไม่เอาด้วย เหลือพวกมันสามคนก็คงเละพอดีถ้าจะมีเรื่องจริงๆ
“โอ๊ย อีหนู อย่ามาตบกันในนี้นะ”
“หนูไม่ได้คิดจะตบเลยค่ะป้า ไม่ได้คิดจะมีเรื่องเลย…” แคทเงียบไป แล้วหันไปมองคนในร้าน
“…ถามในร้านก็ได้ว่าใครเริ่มก่อน ไม่ต้องถามหรอก เนี่ย คนอัดคลิปตั้งเยอะ อย่าลืมเอาไปลงโซเชียลนะคะใครที่ถ่ายคลิปไว้” พวกหน้าดำย่ำแย่ (ฉายาเปลี่ยนไปเรื่อย) มองไปรอบๆ ร้านด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะทุกสายตามองไปที่พวกมันเป็นหนึ่งเดียว ราวกับจะบอกว่าพวกมันนั่นแหละคือคนผิด
“มึงออกไปจากร้านเถอะ แล้วไม่ต้องมาคิดเล่นงานพวกกูแล้วก็เพื่อนกูทีหลังนะ ไม่งั้นมึงตายเงียบๆ แน่” เอิร์ทมองด้วยสายตาน่ากลัว แต่แน่ละว่าพวกนั้นมันคงไม่อยากเสียหน้า
“มึงคิดว่ากูกลัวมึงเหรอ” เอิร์ทหัวเราะเยาะเย้ยที่มุมปาก
“กูไม่ได้ให้กลัว กูให้มึงรู้จักรักษาชีวิตเอาไว้นอนในโลงสบายๆ ดีกว่า แล้วมึงจำไว้นะ ว่าโลกเขาไปไกลแล้ว ความคิดมึงมันเชยไปนานแล้ว”
“ไม่ใช่แค่โลกนี้นะ โลกในอดีตเขาก็มีชายรักชายมานานแล้ว รู้จักยุคกรีกโรมันมั้ยคะ อ๊ะ?! น่าจะไม่ เพราะดูจากหนังหน้าแล้วไม่น่าจะอ่านหนังสือดีๆ มีประโยชน์ออก” เก้าพูดแล้วยิ้มอ่อนจิกกัด แต่เล่นเอาให้สามขวานฟ้าหน้าดำคิ้วกระตุกไปตามๆ กัน แม้หน้ามันจะนิ่ง แต่สิ่งที่ซ่อนไม่มิดคือแววตาอันโกรธจัด
“แล้วไอ้คำว่าอัดถั่วดำ ขุดทอง อะไรทำนองนั้น พอเหอะ ครีเอทคำใหม่ๆ หน่อย น่าเบื่อว่ะคำพวกเนี้ย” ไอ้แชมป์เสริมทัพเก้าอีกที ผมมองหน้าเพื่อนๆ ตัวเองและพวกเอิร์ทด้วยความซึ้งใจ รู้สึกอบอุ่นหัวใจกับการปกป้องที่ได้รับเหลือเกิน
พวกผอมดำระยำบอนทั้งสามถึงกับอึกอักและมีสีหน้าเคียดแค้นเบาๆ เมื่อเจอไล่บี้ติดๆ กัน แถมเพื่อนในกลุ่มก็ยังไม่ช่วยอีก โดยเฉพาะแฟนเหมียวที่มองเพื่อนตัวเองอย่างผิดหวัง ไม่รู้ว่าเพราะเหมียวยืนค้ำหัวอยู่รึเปล่าเลยแสดงออกแบบนั้น
สุดท้ายพวกนั้นเลยเลือกที่จะเดินออกจากร้านไปพร้อมกันโดยมีเสียงโห่ไล่จากคนในร้านที่คงรอเวลาให้พวกมันเสียหน้าแบบนี้มาสักพักแล้ว เอิร์ทหันไปคุยกับป้าเจ้าของร้านสักพัก ป้าโวยวายหน่อยๆ แต่เอิร์ทกับเพื่อนที่น่าจะมากินบ่อยกว่าผมมากก็ออเซาะป้ากันคนละนิดคนละหน่อย ป้าแกเลยยอมแล้วเดินกลับเข้าไปที่เค้าน์เตอร์ทำอาหาร ผมนั่งลง ส่งยิ้มไปให้เอิร์ทที่ยิ้มตอบกลับมาอย่างอบอุ่น ผมทำปากว่า เดี๋ยวคุยกัน ให้เขา เอิร์ทพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งกับเพื่อนๆ ที่อยู่คนล่ะฝั่งกับผม ผมพยายามชะเง้อมองเพื่อนเอิร์ททุกคนจนพวกนั้นหันมา ผมเลยส่งยิ้มพร้อมโบกมือให้ ทุกคนยิ้มและโบกมือตอบกลับมาอย่างเป็นมิตรเช่นเคย
“ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะครับ” แฟนเหมียวบอกด้วยสีหน้าไม่ดี ผมส่งยิ้มให้เขาแล้วส่ายหน้าไปมาเชื่องช้า
“ขอโทษแทนทำไม เจ้าตัวเขายังไม่รู้สึกผิดเลย”
“เราเคยเตือนมันหลายครั้งเรื่องปากหมา แต่มันคงแก้ยากแล้วละ” หนึ่งในกลุ่มนั้นอีกคนบอกอย่างเอือมๆ ผมยิ้มให้และยืนยันว่าไมเป็นไร
“คนที่ใจแคบแบบนี้ โตมาขนาดนี้ได้ยังไงวะ” แบมยื่นทิชชูให้ผมซับน้ำที่ยังติดๆ อยู่ที่หน้าประปราย
“นี่แหละ ความจริงของโลก ใช่ว่าทุกคนจะรับเรื่องแบบนี้ได้ อย่างประเทศไทยเราเปิดกว้างเรื่องนี้ก็จริง แต่ความจริงแล้วรับไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก” ผมบอกน้ำเสียงปลงๆ กับความจริงของประเทศไทย เมืองไทยขึ้นชื่อว่าเสรีภาพเรื่องของเพศมากที่สุดในเอเชียหรือในโลกเลยก็ว่าได้ แต่ยังมีคนไทยด้วยกันเองอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ยอมรับกับเสรีภาพตรงนั้น แม้นไม่เหยียดออกมาตรงๆ แต่เอาจริงๆ คนรับเรื่องนี้ได้อย่างบริสุทธิ์ใจนั้น มีไม่มากนักหรอก ปากว่าเปิดกว้าง รับได้ แต่การเหยียดเพศก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอจากในสังคมบ้านเรา ก็เหมือนกับเรื่องเหยียดสีผิว เรื่องชนชั้นวรรณะเช่นกัน
เพราะคำพูด จะพูดให้สวยหรูยังไงก็ได้
ใช่แค่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะประเทศไหนๆ แม้กระทั่งประเทศที่เจริญแล้วก็ยังมีพวกนี้อยู่ ไม่ว่าจะทั้งหญิงหรือชายนั่นแหละ อยู่ที่วาคนพวกนั้นจะแสดงออกยังไง
...................................................TBC.
คนแบบนี้ในสังคมไทยเรายังมีอีกมากค่ะ ตอมเองก็เป็นแบบแมท ตอมเจอมาเยอะมาก พวกที่พูดสนุกปาก พูดไปเรื่อย โดยที่ไม่คำนึงถึงใจผู้อื่น คนแบบนี้ตอมไม่ให้ค่าเขาหรอกค่ะ แต่ยืมพฤติกรรมทรามๆ แบบนี้มาใช้ในนิยายหน่อยแล้วกันนะ 555555
ขอบคุณคนอ่าน ณ เล้าเป็ดมากเลยค่ะ ที่อยู่เป็นเพื่อนกัน
ปล.กำลังจะเปิดเรื่องใหม่เร็วๆ นี้นะคะ