บทที่ 3
ผมมองร่างสูงที่ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าผม
“ฉันเป็นคนสัมภาษณ์นายยังไงล่ะ ไหนละแฟ้มผลงาน”
ผมก้มมองแฟ้มที่ถืออยู่ก่อนอีกฝ่ายจะดึงออกไปจากมือผมแล้วถือวิสาสะเปิดอ่านผ่านๆ เออ อ่านผ่านๆ เลยครับแล้วก็ปิดแฟ้มลง
“ผมรับเข้าทำงาน รายงานตัวพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า”
“เดี๋ยวๆ นี่จะ...ไม่ถามอะไรสักหน่อยเหรอ นายเป็นคนสัมภาษณ์งานนะ”
“ไม่ล่ะ ฉันจำได้ทุกชาติว่านายชอบอะไรไม่ชอบอะไร” เขาสบตาผมแล้วยิ้มบาง “จำได้ทุกอย่าง”
“...”
“กลับได้เลยนะ ฉันคิดว่านายคงต้องไปเตรียมตัวสำหรับเข้าทำงานวันพรุ่งนี้ ขอบอกเลยว่างานหินสุดๆ เหนื่อยสุดๆ”
“เดี๋ยว...สรุปว่าฉันได้งานอะไรเนี่ย” จู่ๆ ก็ได้งาน แต่จะว่าไปบริษัทนี้ผมไม่ได้สมัครด้วยซ้ำเพราะคุณสมบัติไม่ถึง ไม่รู้ทำไมจู่ๆ HR ถึงติดต่อให้มาสัมภาษณ์เหมือนกัน
“เลขาฯ ประจำตัวฉันไง”
“เฮ้ ฉันเรียนไอทีมานะ จะไปทำงานเลขาให้นายได้ไง”
“ไม่ต้องกังวล สิ่งที่นายเรียนก็ช่วยทำหน้าที่เป็นเลขาให้ฉันได้เหมือนกัน อีกอย่างทุกๆ ชาตินายก็คอยอยู่ข้างฉัน ดูแลฉันตลอด ชาตินี้ก็ดูแลอีกสักชาติเป็นไง”
“ไม่ ฉันว่าเราคุยกันแล้วนะว่าชาตินี้เราจะต่างคนต่างอยู่...”
ก๊อกๆ
“ท่านประธานครับ คุณมีประชุมในอีก 5 นาที” เสียงด้านนอกฟังดูเหนื่อยหอบเล็กน้อย
“เข้ามาก่อนสิ”
ชายชราคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาสวมสูทเนี้ยบอย่างดี ผมสีดอกเลาและใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบ่งบอกว่าเขาอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว
“นายดูเขาสิ เขาเป็นเลขาให้ฉันไม่ไหวแล้วหรอกนะ ถ้าไม่ให้เขาลาออกไปพักผ่อนฉันก็เป็นเจ้านายที่แย่มาก”
“แล้วทำไมนายไม่หาคนหนุ่มสักคนมาเป็นเลขาล่ะ”
“นายไง”
“ฉันหมายถึงคนอื่น คนที่มีประสบการณ์มากพอจะเป็นเลขาของนาย”
“ฉันไม่ได้ต้องการคนมีประสบการณ์มากมายแบบนั้น ฉันต้องการแค่คนที่จะไม่ทรยศฉัน”
“แค่เลขามันจะทรยศนายได้ไง” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่เขา เป็นเลขาแค่รับงานก็เหนื่อยจะตายแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทรยศวะ
“คุณคงเป็นคุณฟ่างเลขาคนใหม่ของท่านประธาน” ชายชราเอ่ยขัดยิ้มๆ “คุณฟ่างคงยังไม่ทราบว่าสังคมของท่านประธานนั้นไว้ใจใครไม่ได้เลย กระทั่งครอบครัวก็ยังหาวิธีทำร้ายเขา ดังนั้นการเป็นเลขาประจำตัวจึงไม่ใช่แค่การดูแลเรื่องงานแต่รวมไปถึงดูแลความปลอดภัยของท่านประธานด้วยครับ”
“แต่ผมไม่ได้เรียนต่อสู้มา จะไปสู้ใครเขาได้ไงล่ะครับ” ผมบ่นอุบกับคุณปู่ อายุขนาดนี้เรียกพี่ไม่ไหวจริงๆ ครับ
“เรื่องต่อสู้ไม่จำเป็นหรอกครับ เรามีบอร์ดิการ์ดของท่านประธานคอยดูแลอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีคนที่เชื่อใจได้อยู่ข้างกายท่านต่างหาก”
“ผมยิ่งเชื่อใจไม่ได้ใหญ่เลยครับ แค่มีเงินผมก็ไปแล้ว ตำแหน่งนี้ไม่เหมาะกับผมหรอก” ผมไม่ได้พูดโกหกเลยสักคำ โดยเฉพาะประโยคหลัง ตำแหน่งที่ต้องไว้เนื้อเชื่อใจกันขนาดนั้น ผมให้เขาไม่ได้หรอก กว่าผมจะสนิทใจกับไอ้ต๊อบกับไอ้เล้ง ยังใช้เวลาหลายปีเลย
“แต่ฉันเชื่อว่านายจะไม่ทำแบบนั้น” พิชิตเอ่ยขึ้นก่อนจะแตะไหล่ผม
“อย่าเอาเรื่องในอดีตมาเทียบกับฉันคนปัจจุบัน” ผมสะบัดตัวออกจากเขา รู้สึกหงุดหงิดที่เขายังคงยึดติดกับเรื่องความฝันเหล่านั้น ความฝันที่ผมเป็นคนดีจนน่ารำคาญ
“ขอตัวครับ ผมต้องรีบไปหางานที่อื่น”
“ฟ่าง...”
ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู แต่ก็ทำใจแข็งก้าวออกจากห้องไป เดินตรงดิ่งไปที่ลิฟต์โดยไม่หันกลับไปมองด้านหลัง
.
.
.
“มึงมันโง่จริงๆ”
“ใช่ โง่โคตรๆ”
“หุบปากไปเลยไอ้ต๊อบไอ้เล้ง กูเครียดจะตายห่าแล้วเนี่ย” ผมบ่นเพื่อนทั้งสอง หลังจากออกจากบริษัทนั้นผมก็ตรงดิ่งมารอไอ้ต๊อบที่บริษัทมันก่อนจะลากตัวมากินข้าวเที่ยงที่บ้านไอ้เล้งเพื่อขอคำปรึกษา
“เขาเสนองานดีเงินงามให้มึงทำไมไม่รู้จักรับไว้” ต๊อบว่าพลางหยิบลูกชิ้นปิ้งเข้าปาก
“ก็กูไม่อยากอยู่ใกล้มัน มึงอยู่กับกูทุกวันก็เห็นนิว่ามันทำให้กูฝันร้ายทุกคืน”
“มึงก็อย่าเอาเรื่องนั้นมาปนดิวะ คิดดูสิการที่เขาให้งานมึงอาจเป็นการชดเชยที่มึงตายเพราะเขาก็ได้นะ อีกอย่างตำแหน่งเลขาประธานบริษัท xxx เลยนะโว้ย เท่าที่กูรู้ตำแหน่งแม่บ้านทำความสะอาดก็มากกว่าเงินเดือนสตาร์ทคนเรียนจบปริญญาตรีอีก มึงจะหางานแบบนี้ได้ที่ไหน”
“ถูกของไอ้เล้ง ส่วนเรื่องฝัน มึงก็แค่ปล่อยเบลอไปซะ ถ้ามึงไม่ยึดติดฝันพวกนั้นก็ทำอะไรมึงไม่ได้ ท่องไว้ว่ามึงต้องทำงาน
หาเงินใช้หนี้กู!”
“แฮ่ๆ กูเป็นหนี้มึงเท่าไหร่” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อนตาตี่
“เจ็ดหมื่นสามพันเก้าร้อยสามสิบหกบาทห้าสิบสตางค์”
“เศษสตางค์มาจากไหน”
“ค่ารถเมล์เมื่อกี้”
ค่ารถเมล์ก็ไม่เว้นเลยนะเพื่อนกู
“เออๆ กูจะรีบหาเงินคืนให้”
“แค่มึงเข้าทำงานที่นั่นก็ไม่เป็นภาระกูแล้ว”
“กูต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ...”
“มึงยังมีเวลาว่างมาตัดสินใจอีกเหรอ”
“ต๊อบบบบบบบบบบบ”
“กูให้มึงตัดสินใจในอีกห้านาที ถ้าไม่รับงานนี้มึงย้ายข้าวของออกจากห้องกูแล้วกลับบ้านนอกไปซะ”
“มึงมันเพื่อนใจร้าย” ผมค้อนขวับใส่เพื่อน ก่อนจะหันไปหาเล้งที่หลบตาผมทันควัน
“กูให้มึงอยู่ด้วยไม่ได้ บ้านกูคนอยู่เยอะมึงก็เห็น”
“กูก็นอนห้องมึงไง”
“แต่กู...นัดน้องจ๊ะจ๋ามาค้างที่บ้าน”
“สัด!”
นี่ผมไม่มีทางเลือกแล้วใช่ไหม
“เออ ไปก็ไปวะ”
ทำงานสักพักให้พอให้จ่ายหนี้เพื่อนและอยู่รอดไปอีกสองเดือนผมจะลาออกทันทีเลย!
...........................
“ฉันคิดไว้แล้วว่านายต้องมา” เขายิ้มให้ผมก่อนจะผายมือไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ข้างกัน ข้างกันเลยครับไม่ใช่นอกห้องหรือมุมใดมุมหนึ่งของห้องอย่างที่ผมคิดไว้
“เลขาไม่ควรจะนั่งใกล้เจ้านายเกินไปหรือเปล่า”
“ใกล้กันสิดี ฉันจะได้สอนงานนายได้”
“แล้วคุณปู่เลขาล่ะ หายไปไหนแล้ว”
“กลับไปเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านแล้ว” เขาตบเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัว “มานั่งสิ ฉันมีงานต้องสอนนายเยอะเลย”
ผมก้าวเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเขา ก้มมองเอกสารและแฟ้มต่างๆ ที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะแล้วถอนหายใจ ใช้เวลากี่วันวะถึงจะเคลียร์งานพวกนี้เสร็จ
“อันนี้มาจากฝ่ายขาย นายลองอ่านสิ่งที่เขาเสนอฉันมา...” ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้และกลิ่นจากน้ำหอมราคาแพงก็ทำให้สติผมกระเจิดกระเจิง ไอ้เรื่องที่ฟังอยู่ก็คล้ายจะฟังไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกที เพราะพาลให้นึกไปถึงฝันเมื่อคืน
‘ฉันจะสอนนายว่าการทำรักน่ะ มันเป็นยังไง’
‘ยังไงเหรอ...’“นายคิดถึงเรื่องเมื่อคืนเหรอ...”
“แว้กกกกกกกก” ผมสะดุ้งสุดตัว เหลือบมองคนข้างๆ ที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก็รีบดันหน้าเขาออกไปทันที “อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้นะ!”
“เขินเหรอ”
ผมหลบตา แล้วอ้อมแอ้มถามเรื่องที่เขาพูด “นาย...ฝันเรื่องอะไร” ภาวนาให้เราฝันไม่เหมือนกันเถอะ
“ฉันเหรอ...ฉันขี่ม้าตามนายเข้าไปในป่า แล้ววันนั้นก็ดันเป็นช่วงที่นายฮีทพอดี...”
“พอๆ” ผมไม่อยากฟังเรื่องราวต่อจากนั้น โดยเฉพาะตอนที่เราทำอะไรกันหลังพุ่มไม้นั่น
“แต่ฉันอยากเล่านิ นายก็ฝันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แถมยัง...รัดแน่นขนาดนั้น”
“หยุดพูดเลยนะ” ผมเอื้อมมือไปปิดปากเขาไม่ให้พูดเรื่องน่าอายพวกนั้น “มันเป็นแค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง และนายก็ควรลืมมันไปซะ”
เขาดึงมือผมออก “หึ จะให้ลืมว่านายหมดแรงตายคาอกฉันน่ะเหรอ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ลืมได้ง่ายๆ เลยนะ”
“หมดแรงแล้วไง อย่างน้อยก็ตาไวช่วยนายจากธนูอาบยาพิษนะ!”
“...”
“เอ่อ...”
“ใช่...นายเอาตัวบังฉันไว้แบบนั้น” เขาสบตาผม “แล้วอยากรู้ไหมว่าคราวนี้ฉันฆ่าตัวตายยังไง”
เขาไม่ต้องบอกผมก็จำได้ดี
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคืออ้อมกอดของเขาที่โถมเข้ามา กดธนูที่ปักอยู่บนร่างผมให้แทงทะลุหัวใจตัวเองเพื่อจะตายไปพร้อมกัน
“นายไม่ต้องพูด...” ผมคว้าตัวเขาเข้ามากอดไว้ ไม่รู้ว่าทำไมต้องกอด แค่รู้สึกว่าการทำแบบนี้จะช่วยลบฝันร้ายที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย
เขาไม่พูดอะไร แค่กอดผมตอบเนิ่นนาน จนกระทั่ง
โครกคราก
เสียงท้องร้องขัดช่วงเวลาปลอบใจ ผมจึงต้องผละออกจากเขาด้วยใบหน้าร้อนๆ
ไอ้ท้องไม่รู้จักเวร่ำเวลา!
“นายคงหิวแล้ว งั้นเราไปหาข้าวกินกันก่อนดีกว่า”
“นี่ยังไม่เก้าโมงเลยนะ” ผมเหล่มองปฏิทินของเขา “และดูเหมือนท่านประธานจะมีประชุมตอนนั้นพอดีด้วยนะครับ”
“ยกเลิกก็ได้มันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก ผมยกเลิกอาจจะดีกับพนักงานมากกว่า พวกเขาจะได้มีเวลาเตรียมตัวนำเสนองานมากขึ้น”
“งั้นเหรอ”
“อย่างนั้นแหละ” เขาพยักหน้า หยิบกระเป๋าทำงานแล้วส่งแฟ้มสองสามอันให้ผมถือไว้ “พวกเขาจะได้ไม่คิดว่านายมาอยู่ว่างๆ”
“ฉันมาทำงานจะอยู่ว่างๆ ได้ไง”
เขายิ้มแล้วเดินนำผมออกมาจากห้อง
“อยู่ๆ ไปนายจะเข้าใจสถานะของตัวเองนั่นแหละ”
“ก็แค่เลขาปะวะ” ผมบ่นพึมพำจนกระทั่งลิฟต์มาหยุดอยู่ที่ชั้น 20 เหล่าชายหนุ่มที่รอลิฟต์ก็เดินคุยกันเข้ามาในลิฟต์โดยไม่ทันสังเกตอะไร
“คุณนายส่งสายมาสืบเรื่องบอสอีกแล้วว่ะ มึงว่าคราวนี้ใครจะตกเป็นเหยื่อของสายคนนั้นวะ”
“คนที่คุณนายเขาเล็งไว้ก็น่าจะเป็นเลขาใหม่ของบอสไม่ใช่เหรอ ยิ่งอยู่ชั้นเดียวกันรู้ความเคลื่อนไหวดีขนาดนั้น ยังไงก็ไม่รอดโดนดึงตัวไปแน่”
“บอสเราก็ไม่ได้อ่อนขนาดนั้นปะ เลือกคนมาเป็นเลขาทั้งทีคนคนนั้นก็น่าจะเก่งพอตัว รับมือคุณนายได้อยู่แล้วล่ะ”
“แต่กูว่าน้องเขาเด๋อๆ ดูไม่ค่อยรู้ความนะ กูว่า...”
“ว่าอะไร”
“กูว่าบอสหลอกน้องมาแดกแล้วเฉดหัวทิ้งมากกว่า”
“ฮ่าๆ” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังไปทั้งลิฟต์
“พวกนายดูว่างกันจังเลยนะถึงมาพูดถึงเลขาฉันแบบนี้” เสียงเข้มจากด้านหลังทำเอาคนที่หัวเราะกันอยู่เมื่อครู่เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้าเหลือบมองด้านหลัง มีเพียงพนักงานคนหนึ่งที่ทำใจกล้ากดลิฟต์ลงชั้นถัดไปทันที
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ช่วยทำโปรเจคใหม่แล้วขึ้นไปนำเสนอฉันทีละคนด้วยล่ะ”
“คะ...ครับ”
“ดี บริษัทจะก้าวหน้าถ้าพวกนายตั้งใจกันทำงาน”
ติ้ง
ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก ทุกคนก็พุ่งออกจากลิฟต์ไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่กำลังจะก้าวเข้าลิฟต์ก็ยืนชะงักอยู่กับที่แล้วยกมือไหว้
ท่านประธานบริษัททันที
“สวัสดีครับ/ค่ะ ท่านประธาน”
“สวัสดีทุกคน ฝากแจ้งฝ่ายบริหารด้วยว่าวันนี้ยกเลิกการประชุม” เขาสวมมาดประธานบริษัท รอจนกระทั่งลิฟต์ปิดลงก็หันมายิ้มกับผม “เป็นไง ผมเป็นประธานที่ดีไหม”
“เหอะๆ” เอาเป็นว่าถ้าผมเป็นลูกน้องก็ไม่อยากจะแหยมกับเขาก็แล้วกัน
...................
หลังจากเขาพาผมออกไปทานข้าวเช้าและสอนงานจากเนื้อหาในแฟ้มที่ผมแบกไปที่ร้านอาหารตลอดช่วงเช้า เราก็กลับมาที่บริษัทในช่วงบ่าย จากนั้นเขาก็มอบหมายหน้าที่ให้ผมออกไปส่งเอกสารให้กับฝ่ายต่างๆ เพื่อทำความรู้จักและจำหน้าคนที่ผมต้องเกี่ยวข้องตลอดการทำงาน
“สวัสดีครับ คุณ...” ผมก้มมองชื่อบนบัตรพนักงานของเขา “คุณตุลาการ ท่านประธานให้ผมนำเอกสารที่คุณเสนอมาส่งครับ”
“ขอบคุณครับ อ้าว น้องคนนั้นนี่” เขายิ้มให้ผม “พี่ชื่อตุล เรียกพี่ตุลก็ได้”
“ครับ” ผมยิ้มรับรอยยิ้มของคนใจดีที่ผมจำได้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน
“สรุปว่า...เราเป็นเลขาท่านประธานจริงดิ”
“เอ่อ...ครับ แล้วพี่ตุลทำงานที่นี่นานหรือยังครับ”
“ก็ไม่นานนะ ก่อนเราแค่ 2-3 เดือนเอง แต่มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้ พี่สนิทกับคุณเลขาคนเก่าบอสน่ะ”
“จริงเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเวลาคุณปู่ทำงาน เขาทำอะไรบ้างครับ”
“ก็คอยตรวจเช็คเอกสารที่บอสต้องเซ็น ลงเวลานัดให้บอส ออกไปธุระข้างนอกกับบอส จองโรงแรม เตรียมอาหาร เตรียมรถให้บอส”
“โห...”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น เราสมัครงานนี้ไม่ใช่เหรอ”
“เปล่าสักหน่อย” ผมบ่นอุบ แต่จะให้บอกได้ไงว่าโดนยัดเยียดตำแหน่งนี้เพราะเขาไม่ไว้ใจใครนอกจากผม คนได้ยินคงได้ลือกันไปหมดว่าท่านประธานเลือกคนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ “ผมไปก่อนนะครับ ต้องเอาเอกสารไปให้พี่ๆ คนอื่นอีก”
“แล้วรู้เหรอว่าเขาเป็นใครนั่งโต๊ะไหน”
“ผมดูจากบัตรพนักงานก็ได้ครับ” อันที่จริงหมอนั่นก็ให้ผมจำหน้ากับตำแหน่งโต๊ะคร่าวๆ มาแล้วล่ะ แต่ผมลืม...
“สาวๆ คงได้ตบนายก่อนเพราะไปจ้องหน้าอกพวกเธอน่ะสิ” พี่ตุลยิ้มอย่างใจดี “มาๆ เดี๋ยวพี่พาไปแนะนำให้รู้จักกับพี่ๆ ฝ่ายอื่นๆ เวลาประสานงานกันจะได้ไม่ผิดคน”
“ขอบคุณครับ!” ผมยิ้มแป้น นึกว่าตำแหน่งนี้จะโดนคนเหม็นขี้หน้าจนไม่มีใครอยากช่วย หรือไม่ก็โดนมองเป็นอีหนูเหมือนเมื่อช่วงเช้า โชคยังดีที่ผมมีพี่ตุลที่แสนใจดีมาช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากอย่างผม
................
“เป็นอะไร ทำไมยิ้มหน้าบานขนาดนั้น” พิชิตมองผมเล็กน้อยก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารของตัวเอง
“ในบริษัทนายก็มีคนดีๆ เหมือนกันนะ”
“คนดี? ใคร”
“พี่ตุลไง พี่เขาเป็นผู้บริหารใหม่ที่นายเพิ่งเซ็นอนุมัติโปรเจกต์เขาไง ทั้งหน้าตาดี ทำงานเก่ง มีน้ำใจ เฮ้อ ไม่น่าเป็นผู้ชายเล้ย”
“ถ้าเขาเป็นผู้หญิงนายจะจีบหรือไง”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“...” คนข้างๆ ปิดแฟ้มเอกสารลงแล้วหันมามองหน้าผม
“อะไร”
“อยากจีบก็มาจีบฉันไม่ใช่หมอนั่น” เขาเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้ผม “หึ นายคงไม่รู้สินะว่าเขาเป็นใคร”
“เขาเป็นใครแล้วมันทำไม”
“ก็คนดีที่นายพูดถึงน่ะ...เป็นคนที่แม่เลี้ยงส่งมาสืบเรื่องฉัน เป็นสายสืบที่รอจะล้วงความลับของฉันจากนาย ฉันอยากจะเตือนนายให้รู้ไว้เพราะฉันเชื่อใจนายที่สุด อย่าให้ความดีเล็กๆ น้อยๆ ของเขาอยู่ในใจนายมากเกินไป”
“...นายรู้ แล้วทำไมยังปล่อยให้เขาเข้ามาอยู่ที่นี่”
“เอาศัตรูไว้ใกล้ตัว เราจะได้รู้แผนของมัน และนาย...ต้องช่วยฉันตลบหลังศัตรู”
ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ผมเนี่ยนะ ผมจะไปทำอะไรใครเขาได้ ลำพังยังเอาชีวิตตัวเองไม่รอดเลย
“นายมีความแค้นอะไรกับแม่เลี้ยงของนายนักหนาถึงต้องลากฉันไปยุ่งด้วย”
“ก็มันเกี่ยวกับนายตรงที่ว่า ทุกชาติที่ฉันถูกปองร้าย...เธอคือผู้บงการ”
..........................
Tbc.
งานสุมหัวจ้า