EP31 - P1พี่กัปตัน-น้องอะตอม “ผู้โดยสารเดินได้ไหมคะ” ปากสีสวยถามเสียงหวานระรื่นหู
“ไม่ได้ครับ” กัปตันตอบเสียงเรียบๆ
"ไม่ได้เลยเหรอคะ" เธอไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดขาของกัปตัน สายตามีแววอยากรู้อยากเห็น ช่างไม่มีมารยาทเอาซะเลย
"จะเอาข้อมูลไปทำอะไรครับ" กัปตันย้อนถาม หน้าหล่อใสเชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววไม่สบอารมณ์นัก เมื่อหันดูซ้ายขวาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นเป้าสนใจของผู้โดยสารอื่นที่กำลังเข้าแถวรอเช็กอินไปแล้ว เขาคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจพอดู ใครล่ะอยากเล่าเรื่องส่วนตัวต่อหน้าคนไม่รู้จัก
“แล้วผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องเองได้ไหมคะ พอดีมันเป็นบัสเกต ไม่มีงวง ทางเราไม่สามารถอุ้มผู้โดยสารได้ เรามีกฎเรื่องความปลอดภัยค่ะ ถ้าผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องเองไม่ได้หรือว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราอาจจะต้องขอปฏิเสธการให้บริการ แต่เราจะให้รีฟันด์ตั๋วค่ะ" พนักงานสาวสาธยายเจื้อยแจ้วหน้าตาเฉย ไม่สนใจที่กัปตันถามเมื่อกี้ด้วยซ้ำ เธอช่างไม่รู้สึกรู้สาว่าที่พูดมาคือการเลือกปฏิบัติต่อผู้โดยสาร ไม่มีสายการบินมืออาชีพที่ไหนเขาทำกันหรอก
ผมชักไม่ชอบใจจึงพูดแทรกเสียงขุ่น “แล้วไม่มีบริการอำนวยความสะดวกเลยเหรอครับ ถ้าไม่มีแล้วทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มาบิน แบบนี้ถือว่าผิดกฎหมายหรือเปล่า หรือว่าสายการบินนี้เป็นสารการบินเถื่อน”
หน้าสวยๆ อึ้งสนิท คราวนี้จุดสายตาเปลี่ยนมาที่เธอบ้าง แก้มที่แดงเพราะเครื่องสำอางอยู่แล้วแดงขึ้นไปอีก ทีอย่างนี้กลับรู้สึกโกรธ ไม่นึกบ้างที่เธอปฏิบัติต่อกัปตันเมื่อกี้น่าละอายแค่ไหน ทว่าไม่นานเธอก็แสร้งยิ้มและอธิบายต่อ
“พอดีมันเป็นกฎของเราน่ะค่ะผู้โดยสาร ถ้าผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องเองไม่ได้ เราจะไม่สามารถให้บินได้ เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน เราจะไม่สามารถช่วยอุ้มได้”
“สายการบินนี้มันเกิดเหตุฉุกเฉินทุกเที่ยวบินเลยเหรอครับ ถ้างั้นผมบินกับสายการบินอื่นไม่ดีกว่าเหรอ" ผมขัดขึ้นอย่างเหลืออด
เจ้าหน้าที่คนเดิมเริ่มชักสีหน้า ก่อนเชิดหน้าบอกอย่างเย่อหยิ่ง
“แต่ทางเราจะไม่รีฟันด์ตั๋วให้คุณนะคะ เพราะว่าเราไม่ได้ปฏิเสธคุณ เรารีฟันด์ให้ได้เฉพาะผู้ป่วยที่เดินขึ้นเครื่องเองไม่ได้เท่านั้นค่ะ”
ผมจวนเจียนหมดความอดทน เพราะรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจแทนกัปตัน จึงพูดขู่เสียงเข้ม “ถ้ากล้าทำก็กล้ารับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยนะครับ เดี๋ยวกลับมาผมจะจัดการ ไปกัปตัน ไม่ต้องบินแม่งแล้วสายการบินนี้ เดี๋ยวกูซื้อตั๋วให้มึงใหม่”
กัปตันยื่นมือไปขอบัตรประชาชนคืนมา เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นส่งให้แต่โดยดี สีหน้าเธอดูหวั่นๆ พอสมควรเมื่อผมทำหน้าจริงจัง ก่อนไปผมก็ไม่ลืมทิ้งท้ายหลักการบริการให้เธอเอาไปนอนคิด ความคิดพวกนี้ผมได้มาจากการทำโครงการที่ผ่านมานั่นเอง
“ผมแนะนำว่าไม่ควรถามผู้โดยสารว่าเดินได้หรือเปล่าต่อหน้าคนอื่นนะครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าผมถามพี่ว่าพี่มีไฝที่ก้นหรือเปล่าต่อหน้าคนอื่นพี่จะรู้สึกยังไง ทำไมไม่บอกมาว่ามีบริการอะไรหรือไม่มีบริการอะไรล่ะครับ ผมจะบอกให้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้โดยสารเดินได้หรือไม่ได้หรอก แต่สายการบินพี่นั่นแหละที่ไม่มีมาตรฐานในการให้บริการ ถ้าสายการบินพี่มีบริการหรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ จะเดินได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นเครื่องได้เหมือนกัน ผมว่าไม่ถูกนะที่พี่มาโยนความผิดให้ผู้โดยสารว่าเดินไม่ได้แบบนี้ เขาเสียเงินซื้อตั๋วเพราะต้องการเดินทาง ไม่ได้ต้องการเงินรีฟันด์ ถ้าไม่รับแต่แรกก็เขียนไว้ในหน้าจองตั๋วสิครับว่าไม่รับผู้โดยสารเดินไม่ได้ เขาจะได้ไม่ซื้อ ปฏิเสธหน้างานแบบนี้มันเสียเวลาผู้โดยสาร เสียความรู้สึกด้วย!”
ผมใส่ไปชุดใหญ่จนเธอหน้าเหวอ ตอนแรกว่าจะพอแค่นี้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมจะเล่นให้ครบทุกประเด็นเลยละกัน ก็เลยจัดให้อีกดอกสุดท้าย
“อ้อ พี่ต้องแยกให้ออกด้วยว่าคนพิการกับคนป่วยไม่เหมือนกัน เขาแค่ใช้รถวีลแชร์ ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรซะหน่อย คิดว่าเขาจะไปชักแหง็กๆ บนเครื่องหรือไง ผู้โดยสารอื่นมีเป็นร้อย พี่เช็คหมดหรือยังว่ามีใครป่วยหรือเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า ถ้าจะกลัวเรื่องนี้ก็ต้องกลัวให้หมดทุกคน ไม่ใช่มาโฟกัสคนใช้วีลแชร์คนเดียว แล้วที่มากล่าวหาว่าเขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้น่ะ คิดใหม่นะครับ เขาขับรถเองได้ ไปเรียนหนังสือเองได้ ดูแลตัวเองได้ ทำอะไรตั้งหลายอย่างเองได้ ถามหน่อยว่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตรงไหน เลิกยัดเยียดความคิดแบบนี้ให้คนพิการได้แล้ว ถ้าไม่มีบริการก็บอกมาเลยว่าไม่มี จะได้ไปใช้สายการบินอื่น ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ เขาแค่ใช้รถวีลแชร์ แต่พี่ปฏิเสธไม่ให้เขาขึ้นเครื่องเหมือนเขาเป็นผู้ก่อการร้ายเลย ไม่ถูกนะครับ”
หมดเรื่องที่ผมอยากพูดพอดี แค่นี้ก็สบายใจและไปต่อได้แล้ว
“ไปเหอะกัปตัน”
พูดจบผมก็ลากกระเป๋าสองใบออกไป กัปตันรีบเข็นหลบฝูงชนตามมาแทบไม่ทัน ผมได้ยินเสียงผู้โดยสารอื่นซุบซิบคุยกันเรื่องเมื่อกี้เซ็งแซ่ เข้าใจว่าหลายคนคงเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด ถ้าผมพูดขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
ผมพากัปตันไปซื้อตั๋วสายการบินหนึ่งที่เคาน์เตอร์ เพื่อความสะดวกผมให้กัปตันรออยู่ใกล้ๆ และเฝ้ากระเป๋าไว้ ส่วนผมเดินไปเข้าแถวรอคิวซื้อตั๋ว ตอนซื้อผมถามย้ำกับคนขายจนมั่นใจว่ากัปตันจะไม่ถูกปฏิเสธ โชคดีที่เขามีบริการให้ทั้งๆ ที่เป็นสายการบินต้นทุนต่ำเหมือนกัน ผมก็เลยหมดห่วงและหายกังวล เสร็จธุระจากตรงนั้นเราก็หาที่นั่งรอ เพราะอีกกว่าชั่วโมงถึงจะเช็คอินได้
“จัดชุดใหญ่เลยนะมึง ขนาดกูเจอเองกูยังไม่กล้าพูดแบบมึงเลยว่ะ เอาเรื่องเหมือนกันนะมึงเนี่ย” กัปตันขำกับวีรกรรมของผมเมื่อครู่นี้
“มึงก็ดูเขาพูดดิ มันน่าโมโหไหมล่ะ เสียเวลาเลย แทนที่จะได้ไปเที่ยวอย่างสบายใจ แม่งต้องมาอารมณ์เสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สายการบินเมื่อกี้เขาไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย” พูดถึงแล้วผมก็ชักหงุดหงิด
“กูดีใจนะเว้ยที่มึงเข้าใจ ที่มึงพูดเมื่อกี้ ตรงกับที่กูคิดหมดเลย คนชอบเข้าใจว่ากูช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือไม่ก็ชอบคิดว่ากูป่วย แรกๆ กูก็พยายามอธิบายแหละ แต่พอเจอทุกวัน กูก็ขี้เกียจพูด อธิบายไม่ไหวว่ะ เมื่อกี้ตอนที่กูรอมึงซื้อตั๋ว มีคนเดินเข้ามาถามกูตั้งหลายคนว่ามีอะไรจะให้ช่วยไหม กูบอกตรงๆ ว่าบางทีกูก็รำคาญนะเว้ย เข้าใจแหละว่าหวังดี แต่มึงคิดดู เดี๋ยวคนนั้นก็มาถาม เดี๋ยวคนนี้ก็มาถาม กูก็ต้องคอยตอบว่าไม่เป็นไรครับๆ ไม่รู้กี่รอบ เขาคิดว่าคนพิการต้องการความช่วยเหลือตลอดเวลาหรือไงวะ กูก็อยู่ของกูดีๆ”
“เขาอยากทำบุญมั้ง” ผมหัวเราะ
“ก็ไปทำที่วัดสิวะ กูไม่ใช่ตัวทำบุญนะเว้ย ไม่ใช่ปลาไหลซะหน่อย บางทีกูก็อยากพูดนะเว้ยว่าปล่อยให้กูอยู่คนเดียวสงบๆ เหอะ ถ้าอยากให้ช่วยเดี๋ยวกูบอกเอง” กัปตันเล่นเสียงสูงต่าให้ฟังดูตลก
“ตอนที่กูเจอมึงครั้งแรก แล้วกูวิ่งเข้าไปช่วยมึง มึงไม่หงุดหงิดเหรอวะ” ผมแกล้งแหย่
“กูไม่หงุดหงิดมึงหรอก หงุดหงิดบันไดมากกว่า แต่อันนั้นมันเมกเซนส์กว่าไง เพราะมันเห็นชัดว่ากูต้องการให้ช่วย แต่อันนี้กูนั่งอยู่ดีๆ เว้ย คนนั่งเฉยๆ จะมาช่วยเรื่องอะไรวะ กูจำได้ว่าเคยมีคนเอาเงินมายัดใส่มือกูยี่สิบบาทตอนกูไปเที่ยวพัทยากับพี่โดม กูนั่งชมวิวอยู่ดีๆ แต่งตัวก็โอเคนะเว้ย ดูน่าสงสารตรงไหนวะ” กัปตันส่ายหัวไปมาอย่างระอาใจ จากนั้นก็ถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น
“เออ ว่าแต่ทำไมมึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดีเหมือนมึงเป็นแบบกูเลยวะ มึงเพิ่งรู้จักกูไม่นานเองนะเว้ย”
“ไม่รู้ว่ะ สงสัยเพราะกูคิดจะจีบมึงมั้ง” ผมตอบตลกๆ กัปตันก็เลยประท้วง
“เอาจริงๆ ดิ”
ผมทำท่านึก แต่พอจะคิดหาคำตอบก็รู้สึกว่าหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ “กูไม่รู้จริงๆ นะเนี่ย สงสัยเป็นเพราะว่ากูอยู่กับมึงทุกวันมั้ง ก็เลยค่อยๆ เข้าใจไปเอง แล้วมึงก็สอนกูด้วย แต่บางอย่างมันก็เป็นคอมมอนเซนส์เปล่าวะ อย่างตอนพี่สามาชวนมึงไปสมัครคิวท์บอย แต่พอเขาเห็นมึงใช้รถวีลแชร์เขาก็ตกใจ กูก็ว่ามันไม่ถูกนะเว้ย แต่ตอนนั้นกูก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมกูคิดแบบนั้น เหมือนที่กูชอบมึงตอนแรกๆ แล้วก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงชอบไง” ผมยิ้มและทำตาหวานๆ ใส่ เปลี่ยนบรรยากาศที่ร้อนแรงให้เย็นลง
“มั่วแล้วมึง เหมือนกันตรงไหน” กัปตันว่าผมขำๆ
“เหมือนดิ เรื่องพวกนี้นะ แรกๆ มันจะไม่ค่อยชัดหรอก มันชอบมาชัดเอาตอนหลังๆ นี่แหละ อ้อ ตอนแรกๆ กูก็คิดเหมือนพี่คนเมื่อกี้แหละ กูคิดว่ามึงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่ามึงช่วยเหลือตัวเองได้ ที่สำคัญนะเว้ย ช่วยเหลือกูได้ด้วย เก่งอีกต่างหาก” ผมยิ้มทะเล้น กัปตันคงรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร
“เชี่ย สนามบินนะเว้ย คนเยอะแยะ” กัปตันแสร้งเอ็ดพลางหันไปมองรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวง
“เยอะตรงไหน ตรงนี้มีแค่กูกับมึงสองคน” ผมยักคิ้วหงึกๆ สองสามครั้ง
“แล้วมึงจะเล่นงานนุ๊กแอร์ยังไงวะ” กัปตันเปลี่ยนเรื่องทันที ผมเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“กูเรคคอร์ดไว้แล้วเว้ย เดี๋ยวกูปล่อยลงโซเชียล” ผมพูดพลางตบปุๆ บนกระเป๋ากางเกงข้างที่ใส่มือถือไว้
“ไม่ใช่เล่นเลยนะมึง” กัปตันทำหน้าทึ่ง
“ไม่งั้นกูจะชนะใจแม่มึงได้เหรอวะ”
“ถ้าแม่กูรู้ สงสัยได้ซื้อรถเบนซ์ให้มึงแน่เลยว่ะ”
“กูไม่อยากได้รถเบนซ์ตอนนี้หรอก อยากได้รางวัลที่ค้างไว้มากกว่า” ผมวกเข้าเรื่องอย่างว่าอีกแล้ว
“เอาอีกละ จนได้นะมึง” กัปตันหันมองซ้ายขวาอีก คงกลัวคนมาได้ยิน แต่ตรงนี้ก็มีแค่ผมกับกัปตันสองคนจริงๆ
“ยังไม่ได้เอาเลย รออยู่เนี่ย พร้อมแล้วใช่ไหม” ผมทำตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่
“เออ มึงนี่มัน…” กัปตันส่ายหน้าไปมาพลางขำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอีกรอบ “ไปหาอะไรกินดีกว่า กูหิว”
“เออๆ ไปๆ กูก็หิวเหมือนกัน”
แม้ว่าก่อนเดินทางจะมีเรื่องให้หงุดหงิดบ้าง แถมยังเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ผมก็เชื่อว่าเมื่อเราไปถึงที่หมายแล้ว บรรยากาศดีๆ จะพัดพาเรื่องขุ่นเคืองใจให้หายไปจนหมดสิ้น เวลาห้าวันที่เราอยู่ที่นั่น เราคงจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สวยงามไปพร้อมๆ กับความรัก สถานที่ที่ไปอาจจะลำบากสำหรับกัปตันบ้าง แต่ผมก็ฟิตร่างกายมาอย่างดีแล้ว พร้อมที่จะเข็นกัปตันขึ้นภูเขาเป็นลูกๆ และเผื่อแรงไว้ทวงของรางวัลชิ้นงามอีกเหลือเฟือ[/size]
TBC...// พอเรื่องจบไปแล้วก็รู้สึกว่ามีคนมาอ่านเยอะขึ้นนะครับ
// แต่มันก็เหมือนได้สิ่งที่อยากได้ตอนที่มันเลยเวลาช่วงที่อยากได้มาแล้ว
// คนเขียนอยากได้กำลังใจตอนที่กำลังเขียนมากที่สุดครับ
// แต่พอจบแล้ว ภาระกิจก็จบ ผมก็จะไปทำอย่างอื่นหรือเขียนเรื่องอื่น
// ไม่ค่อยได้เข้ามาดูเรื่องนี้บ่อยๆ เหมือนเดิมแล้ว
// อย่างไรก็ขอบคุณและดีใจที่มีคนชอบเรื่องนี้
// เอาตอนพิเศษส่วนแรกมาฝากก่อนนะครับ วันอาทิตย์จะมาต่อให้จบ
// ใครถามหาแฟนเพจก็ดูที่ภาพประกอบนิยายเลยครับ