ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #09
บทความส่วนใหญ่ถูกแก้ไขจนเกือบจะเป็นน่าพอใจคือการปิดท้ายวันศุกร์ได้อย่างน่ายินดี ดีนออจากบริษัทในตอนเกือบห้าโมงเย็นเพื่อไปร้านกาแฟใกล้ ๆ กันนี้ตามนัดหมายของเพื่อนฝูง อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก นาน ๆ ทีเพื่อนจะนัดเจอกันนอกร้านเหล้า และคนที่นัดก็เป็นนายแพทย์เสียด้วย แน่นอนว่าไม่ใช่ธันวาแน่ รายนั้นโผล่หัวมายากเสียเหลือเกิน
ชีวิตแพทย์ใช้ทุนที่ฝากไว้กับลูกปิงปองในการจับฉลากเพื่อกำหนดชะตาชีวิตถึงสามปีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว ดีหน่อยที่เพื่อนของเขาทั้งสองคนได้ทำงานอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งคู่ ถึงจะเป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ หน่อยแต่ก็อยู่ใกล้เพื่อน และใกล้พี่แรมของธันวามันด้วย
เดินเข้ามาก็ต้องตกใจเล็กน้อย เพราะไม่ใช่แค่เพื่อนตัวเองที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมในสุดของร้าน แต่ข้าง ๆ กันนั้นก็มีหญิงสาวอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในระดับที่เรียกได้ว่าสนิทเสียด้วย
“หวัดดีสาว ๆ”
“ไม่เจอกันนานเลยนะดีน” ชายหนุ่มยิ้มบาง หญิงสาวสี่คนที่นั่งโต๊ะนี้ล้วนเป็นเพื่อนร่วมคณะของเขาทั้งสิ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือผิง ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเขาในคณะที่มีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เขาต้องมีเพื่อนสนิทเป็นพวกเธอ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว เดิมทีเขาสนิทกับผิงก่อน เพราะมีโอกาสได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างร่วมกันตามการแรนดอมของอาจารย์จนพาลให้มาสนิทกับพวกเธอด้วย
“เข้ามาถึงก็ทักสาวก่อนเลยนะมึง” ทีมแซว ดีนจึงหันไปมองแล้วสังเกตเห็นว่าวันนี้ขาดธันวาจริง ๆ อย่างที่คิดไว้ ขณะที่แฝดนรกก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในมือถือ
ดีนนั่งลงโต๊ะเดียวกับเพื่อนชาย แต่กลับหันไปพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนสาวต่อ “ผิงไม่เห็นบอกเลยว่าพวกเธอจะมา”
“ก็คิดว่าไม่ว่าง วีคนี้ดูธุระเยอะนี่” ธุระที่มีเด็กฝึกงานคนนั้นร่วมด้วยเสียทุกครั้ง ดีนไม่ต่อความอะไร เขาพูดคุยทักทายสารทุกข์สุขดิบกับพวกเธอพอประมาณก่อนหันมาหาเพื่อนชายตัวเองบ้าง
“มาหากูหรือมาหาใครวะ” คำถามนี้จงใจส่งไปให้นายแพทย์หนุ่มที่เอาแต่นั่งมองหน้าผิงไม่ละสายตา
“มาหามึงแหละสัด…แต่บังเอิญเจอผิงนั่นคือความโชคดี” เปลี่ยนน้ำเสียงและสีหน้าเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสีเสียอีก ดีนส่ายหน้าระอา ถามย้อนกลับถึงสาเหตุที่มาหา
“คิดถึงไงวะ เหงาอ่ะ เบื่อด้วย ว่างทั้งทีก็อยากจะมาหาเพื่อนบ้าง”
“ไอ้ธันว์ก็อยู่โรง’บาลเดียวกับมึงไม่ใช่รึไง” ทีมย้อนถามขำ ๆ รู้กันอยู่แก่ใจทั้งกลุ่มว่าถึงจะอยู่โรงพยาบาลเดียวกันก็ใช่ว่าธันวาจะตัวติดกับเก่งเหมือนสมัยยังเป็นนักศึกษาแพทย์ที่เจ้าตัวเปิดเผยให้เพื่อน ๆ รู้ตอนใกล้จบว่ามันไม่ได้ตัวติดกันมาตั้งแต่ที่พี่แรมเข้ามาในชีวิตธันวาแล้ว
“มันก็อยู่กับพี่แรมสิวะ กูไปอยู่ใกล้มันมาก ๆ พี่เขาได้งาบหัวกูกันพอดี”
“มึงก็กลัวไม่เข้าท่า ยังไงไอ้ธันว์ก็เข้าข้างเพื่อนอยู่แล้ว”
“กูรู้ว่ามันรักเพื่อน กูก็รักมัน เลยไม่อยากทำให้มันไม่สบายใจ”
“พี่แรมแม่งใจตุ๊ดว่ะ” โอมพูดขึ้นลอย ๆ แต่ตายังมองเกมในมือถือแฝดน้องอยู่
“พี่แรมอ่ะใจหล่อนะเว้ย แต่มึงลองคิดดู ชีวิตอินเทิร์นอย่างพวกกูแม่งอย่างกับเบ๊ เวลาว่างก็ไม่ค่อยมี แถมมันกับพี่แรมยังอยู่กันคนละหน่วย มีเวลาว่างทั้งทีเขาก็อยากจะอยู่กับแฟนป่ะวะ กูเป็นแค่เพื่อน อยู่ด้วยเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว”
“งั้นมึงก็หาแฟนบ้างสิวะ จะได้ไม่เหงา” นะโมเสนอแนวทาง ซึ่งก็ทำให้คนเหงาแห่งปีหน้าระรื่นขึ้นมาได้
“ก็มอง ๆ อยู่ แต่เขาไม่มองกูสักที”
“หึ”
เพื่อนฝูงพร้อมใจกันหัวเราะในลำคอ จะขำก๊ากออกมาให้สมกับความรู้สึกก็ไม่กล้า กลัวสาว ๆ โต๊ะข้าง ๆ จะตกใจ
“ดีน” เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียก เมื่อพบว่ามาจากกานดาเพื่อนสาวที่นั่งกลางโต๊ะข้าง ๆ ผิง เขาก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“คืนนี้ไปดริ้งค์กัน”
“หือ?” ดีนเลิกคิ้วแปลกใจมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ไม่รู้ว่าสาวอักษรฯ กลุ่มนี้เที่ยวกลางคืนเก่งพอตัว แต่ฟังจากรูปการณ์แล้วมันอดไม่ได้ที่จะเข้าใจว่าการเที่ยวครั้งนี้หมายรวมไปถึงผิง คนที่ไม่เคยเที่ยวกลางคืนเลยสักครั้งด้วย นัยน์ตาคมส่งคำถามถึงผิงทันทีอย่างไม่รีรอ ก่อนจะได้รับคำตอบจากคนชวนเสียก่อน
“ไปด้วยกันนะดีน เนี่ยผิงก็ไป”
คำเชิญชวนไม่เท่าสายตาล้อเลียนยามจ้องมองมาที่เขาและผิง ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มมุมปากเหมือนเคย จะผ่านไปกี่ปีพวกเธอก็ยังเข้าใจว่าเขากับผิงเป็นมากกว่าเพื่อนกันอยู่ ดีนไม่แปลกใจที่เพื่อนฝูงยังไม่เลิกเข้าใจแบบนั้น เพราะการที่ผิงตอบตกลงมาทำงานด้วยกันทันทีที่เอ่ยปากชวน ยอมมาเป็นลูกน้องเขาทั้งที่มีบริษัทดัง ๆ อีกมากมาจีบไปทำงานด้วย ถ้าเขาเป็นคนมอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดแบบพวกเธอเหมือนกัน
“พวกมึงก็ไปด้วยกันนะ ผิงก็ไปด้วย” ดีนหันไปชวนเพื่อนชายกลุ่มตัวเองด้วยประโยคคล้ายกันกับกานดา ทำเอาผิงหันขวับมาโวยเสียดัง
“เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ!”
“ก็พูดชวนเชิญตามดาไง”
“กวนตีน” ผิงกัดฟันพูด ริมฝีปากบางแทบไม่ขยับ แต่ถึงอย่างนั้นดีนก็ได้ยินชัดเจน
คนถูกว่ายกยิ้มมุมปาก ไม่บ่อยนักหรอกที่ทำให้สาวอักษรฯ คนนี้หลุดคำหยาบออกมาได้ แม้จะห่ามกว่าผู้ชายบางคนในคณะก็ตาม
ท้ายที่สุดหนุ่มสาวสองกลุ่มก็มารวมตัวกันในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่มีทางที่เก่งจะปล่อยให้หลุดมือ เพื่อน ๆ ต่างหยอกแซวกันมาตลอดทางว่าแม้จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดสาวเจ้ามากแค่ไหน อย่างไรก็ไม่พ้นต้องรับประทานแห้งอย่างแน่นอน
“เป็นอะไร” ดีนกระซิบถามผิงที่นั่งติดกัน เดิมทีจะถามว่าคิดอย่างไรถึงมาเที่ยวที่แบบนี้ แต่พอเห็นเธอรับแก้วเครื่องดื่มมึนเมามาจากเพื่อน จึงต้องสงสัยให้ลึกลงไปกว่าเดิม
“ก็โตแล้ว อยากลองดูบ้าง”
ดีนมองเธอดื่มเข้าไปแล้วทำหน้าเหยเกด้วยความขมแล้วก็ไหวไหล่ไม่สนใจ เขาไม่ใช่คนเซ้าซี้ แม้จะเป็นห่วงเพื่อน แต่ถ้าเธอไม่เล่า เขาก็ไม่อยากจะรบเร้าหาคำตอบอะไร
คืนนั้นผิงเมาอย่างไม่ต้องสงสัย แก้วที่สามยังไม่ทันหมดก็คอพับคออ่อน งานเลี้ยงจึงเลิกราในตอนนั้น ฝ่ายหญิงสาวพากันแยกย้ายกลับโดยที่กานดาเป็นคนไปส่งผิงถึงห้อง ขณะที่ชายหนุ่มยังนั่งคุยกันต่อ
“ตกลงมึงได้เจอเขาอีกไหมวะ” ทีมถามขึ้นลอย ๆ แต่สีหน้าเพื่อนอีกสามคนที่มองมานั้นบอกชัดว่าต้องการรูคำตอบจากเขามากแค่ไหน
ดีนส่ายหน้าระอา ดูท่าว่าเหตุผลที่แท้จริงของการนัดเจอครั้งนี้คงไม่ใช่เพราะว่าไอ้หมอเก่งมันคิดถึงเขาหรอก เห็นหน้าพวกมันอยากรู้ขนาดนี้เขาก็พอรู้ว่าหลังจากวันนั้นพวกมันก็คงจะเก็บเรื่องเขาไปเป็นหัวข้อสนทนากันแน่ ๆ
“ใคร?” แกล้งถามขึ้นเสียหน่อย นะโมถึงกับยื่นมือมาจะตบหัวแต่เขาหลบได้ทัน
“มีหน้ามาถามไอ้ห่า ก็ผู้ชายที่มึงเจอคืนวันงานนั้นไง ตกลงว่ามึงได้เจอเขาอีกไหมวะ”
…เจอสิ…
และคงจะได้เจอกันอีกนาน
“เรื่องของกู”
“ไอ้สัด!”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเจอแล้ว” โอมดักทางขึ้นพร้อมส่งสายตามาจับผิด
“ไม่เสือกสิวะ”
“เออ! เอาให้แน่นะเพื่อนกู เจอกันอีกไหมกูไม่สนนะเว้ย กูสนที่ความรู้สึกมึง” เก่งพูดขึ้นบ้าง
“เขาเป็นผู้ชาย และกูก็เป็นผู้ชาย”
“พวกกูไม่คิดมากเรื่องนั้น และกูคิดว่ามึงก็ไม่คิดมากนะ” ทีมพูดขึ้นอย่างใจเย็นขณะที่คนอื่นเริ่มนั่งไม่ติดที่
“กูไม่ได้รังเกียจเกย์ แต่กูแค่คิดว่ากูไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“แต่มึงสนใจเขา” เก่งสวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย
ดีนส่ายหน้าช้า ๆ “มึงไม่คิดว่ากูอาจจะแค่ถูกชะตาเขาเหรอวะ เหมือนที่รู้สึกกับพวกมึงไง”
“ไอ้สัด! มึงเคยมองพวกกูด้วยสายตาแบบนั้นที่ไหนละวะ”
“แบบไหน?”
“แบบที่เอาไว้ใช้มองคนที่สนใจอ่ะ”
ดีนยังทำหน้าฉงน ยิ่งคิดตามก็ยิ่งไม่เข้าใจ ก็เขาไม่เคยสนใจใครนี่ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าสายตาแบบไหนที่ใช้มองคนที่สนใจ
“แม่งเอ้ย! ช่างแม่งเหอะ รอดูเอาแล้วกัน” โอมยีผมจนยุ่งเหยิง รู้สึกปวดหัวทุกทีที่คุยเรื่องพวกนี้กับดีน
บทสนทนาถูกเปลี่ยนหัวข้อไปแล้ว บรรยากาศกลับมาสนุกสนานเฮฮาได้เร็วราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มีการถกเถียงกันเกิดขึ้น แต่กับเจ้าของเรื่องอย่างดีนกลับยังรู้สึกติดค้างในใจ
。。。。。
“อีกไม่เกินสิบนาที ผมก็น่าจะถึงแล้ว”
ได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสายและคำยืนยันว่าจะลงมารอที่หน้าหอพัก เจ้าของรถยุโรปคันงามก็ยิ้มเสียหน้าชื่นตาบานก่อนจะวางสาย
ความจริงแล้วจะหาเบอร์อีกฝ่ายจากแฟ้มข้อมูลบุคคลก็ย่อมได้ แต่อยากจะขอกันตรง ๆ เสียมากกว่า เพราะไม่ใช่ว่าจะติดต่อกันเรื่องงานที่เป็นทางการเสียทีเดียว อีกอย่าง คนระดับผู้บริหารอย่างเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีเบอร์โทร.ของนักศึกษาฝึกงานด้วย และที่เอ่ยขอไป ก็ไม่ได้ขอในฐานะเจ้านายเสียด้วยสิ
ถึงจะเอางานมาอ้างก็เถอะ
ก่อนหน้านี้เขาโทร.ไปติดต่อนัดแนะเวลาที่เขาจะไปรับรณณ์ที่หอพัก แต่เด็กคนนั้นบอกว่าจะไปเอง จนแล้วจนรอดก็แพ้คนที่ยืนกรานจะไปรับอย่างเขา ด้วยข้ออ้างที่ว่าร้านกาแฟที่จะพาไปนั่งคุยงานนั้นไม่ได้อยู่บนเส้นทางของรถไฟฟ้า แถมยังอยู่ในตรอกซอยที่เดินทางลำบาก ไปด้วยกันเลยจะสะดวกกว่า เพียงเท่านั้นเด็กต่างจังหวัดอย่างรณณ์ที่ไม่เจนพื้นที่ซอกแซกของเมืองกรุงนักก็ตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้
จอดรถเทียบหน้าหอพักตามโลเคชั่นที่อีกฝ่ายส่งมาให้ทางโปรแกรมแชทก็เห็นเด็กหนุ่มที่ตนนัดไว้ทันที เลื่อนกระจกส่งสัญญาณให้เพราะรถติดฟิล์มดำทึบ คนนอกไม่มีทางมองทะลุเข้ามาได้
“สวัสดีครับ” รณณ์ยกมือไหว้ทักทายจนหนุ่มลูกเสี้ยวต้องรีบยกมือรับไหว้อย่างงง ๆ
“ปกติไม่เคยไหว้”
“แหะ ๆ ไหว้ในฐานะเจ้านายครับ”
ดีนพยักหน้าเข้าใจ “งั้นก็เก็บไว้ไหว้เฉพาะตอนอยู่ที่บริษัทเถอะ อยู่กันสองคนให้คิดว่าเป็นเพื่อนต่างวัยก็แล้วกัน”
รณณ์รับคำก่อนจะหันหน้าหนีเพื่อยิ้มขำให้กับสถานะที่อีกฝ่ายพูดถึง ‘เพื่อนต่างวัย’ อย่างนั้นหรือ
“ขำอะไร”
“เปล่าครับ” ปฏิเสธทั้งที่หลักฐานยังฉายชัดอยู่ทั้งตาและปากจนคนมองอยากจะบี้มันรวมกันด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ก็เห็นอยู่ว่ากำลังขำ”
“ครับ ๆ ผมขำที่คุณเรียกสถานะของเราว่าเพื่อนต่างวัย ฟังดูเหมือนห่างกันซักสิบ ยี่สิบปีเลยนะครับ”
“ผมไม่ได้แก่ขนาดนั้น” ดีนตอบกลับด้วยเสียงจริงจัง แต่สีหน้ากลับขัดแย้งด้วยการเปื้อนยิ้ม
“ผมไม่ได้ว่าคุณแก่นะครับ แค่คำพูดมันชวนให้คิดเท่านั้นเอง”
“โอเค ๆ ผมคงนิยามความสัมพันธ์ของเราผิด งั้นคุณช่วยคิดคำที่มันเหมาะกว่านี้หน่อยสิ ที่ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้องนะ”
“อืมมม” รณณ์มองไปยังถนนเบื้องหน้า นิ้วเรียวแตะปลายจมูกอย่างเช่นทุกครั้งที่ใช้ความคิด “ยากจังเลยนะครับ”
“ผมชอบคุณนะ” “ห๊ะ!!” รณณ์หันมองเจ้าของคำพูดที่ตายังมองถนนเบื้องหน้าเหมือนกำลังพูดเรื่องสภาพจราจรวันนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ ผมถูกชะตาคุณ” และอาจจะถูกใจด้วย…
อืม…ใช่แล้ว ที่รู้สึกเป็นมิตร เจอหน้าแล้วมีแต่ความยินดี รู้สึกอยากอยู่ใกล้ มีความสุขทุกครั้งที่ใช้เวลาด้วยกัน มันคงเป็นความรู้สึกของคนอยากเป็นเพื่อน
เพื่อนที่ถูกคอกัน
อาจจะต่างจากคนอื่น ๆ สักหน่อย ไม่สิ! อาจเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับธันวา หรืออะไรสักอย่าง แต่คิดว่าคงไม่ใช่อะไรที่เรียกว่า ‘สนใจ’ อย่างที่เพื่อนฝูงแซวแน่ ๆ
“…”
“หวังว่าคุณจะไม่ใจร้ายให้ผมเป็นแค่คนรู้จัก”
รถติดไฟแดง
คุณดีนหันมามองกันเต็มตา คราวนี้จริงจังทั้งน้ำเสียงและสีหน้า แล้วคนอย่างรณณ์ที่รอคอยการทำความรู้จักกับ ‘คุณดีนตัวจริง’ จะปฏิเสธได้หรือ
“ถึงคุณจะขอเป็นมากกว่านั้น ผมก็ให้ได้ครับ” รณณ์ตอบด้วยความกระตือรือล้นเหมือนเด็ก ๆ
ไร้ท่าทีประหม่าขลาดเขินยามมองสบกันด้วยความจริงใจ ดีนยิ้มให้ ‘เพื่อนใหม่’ อย่างยินดีก่อนละสายตาไปในตอนที่ไฟแดงใกล้จะหมดเวลา
เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่อง หลากหลายเพลงที่ล้วนเป็นเพลงไทยฮิตติดหูทั้งอดีตและปัจจุบันผลัดกันบรรเลง นานทีเดียวกว่าดีนจะรู้ตัวว่าตนเคยชินกับการขับรถคนเดียวจนลืมไปว่าตอนนี้มีผู้โดยสารร่วมทางมาด้วยอีกคน มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่มีสไตล์การฟังเพลงที่ต่างกับเขาด้วย
“คุณฟังเพลงพวกนี้ได้รึเปล่า?”
คำถามที่อยู่ดี ๆ ก็ดังขึ้นทำลายความเงียบเรียกให้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงหันมองด้วยความสงสัย “ปกติคุณดีนถามคนที่ร่วมทางมาด้วยแบบนี้ทุกคนเลยรึเปล่าครับ”
“ทำไม?”
“ผมแค่คิดว่าผู้ร่วมทางไม่มีสิทธิเจ้ากี้เจ้าการอะไรบนรถคนอื่น เจ้าของรถมีสิทธิที่จะฟังอะไรก็ได้ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิท แต่ก็ทำได้แค่แหย่ ๆ เท่านั้น”
“ไม่เคยถามคนอื่น ผมถามแค่คุณ”
ผู้ร่วมทางเลิกคิ้วแทนคำถาม ดีนจึงต้องอธิบายต่อ “เพราะเราชอบฟังเพลงคนละแนว ผมเลยกลัวว่าคุณจะไม่แฮปปี้กับการนั่งรถไปกับผม”
รณณ์ยิ้มให้กับความใส่ใจของ ‘เพื่อนใหม่’ “วิทยุก็ไม่ได้เปิดแต่เพลงที่คุณชอบเหมือนกันนี่ครับ”
ดีนยิ้มกว้าง
“ดี จะได้นั่งไปด้วยกันนาน ๆ ได้”“หือ? ที่นั่นอยู่ไกลจากที่นี่มากเหรอครับ”
“เปล่าหรอก ผมหมายถึงในระยะยาว”
…ระยะยาว…
เกือบครึ่งชั่วโมงจากหอพักของรณณ์ รถยุโรปคันงามก็พาสองหนุ่มมาถึงที่หมาย การเดินทางลำบากจริงอย่างที่คนสูงวัยกว่าได้บอกไว้ รณณ์ยืนมองหน้าร้านด้วยความทึ่ง ร้านกาแฟขนาดกลางตกแต่งแนวธรรมชาติตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงดูร่มรื่นให้อารมณ์จิบน้ำชายามบ่ายตลอดเวลาแม้จะเป็นเวลาเที่ยงวันก็ตาม
ภายในยิ่งเป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจของรณณ์ได้ยิ่งกว่า เพราะมีการออกแบบสไตล์คลาสสิคขาวดำเรียบหรูดูแพงและได้ใจชาวอาร์ทิส ติสต์แตกทั้งหลายแหล่ การตกแต่งที่เรียบง่ายเน้นแค่สีที่ดูเข้ากันแต่ไม่กลืนก็ให้ความรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด สภาพแวดล้อมเป็นใจให้นั่งดีลงานหรืออ่านหนังสือสอบเสียจริง
“คุณมาที่นี่บ่อยหรือครับ?”
“เปล่า เพื่อนแนะนำมา” …ทาสชาเขียวอย่างธันวาบอกว่าชาเขียวที่นี่อร่อย
“ชอบไหม?”
“ชอบครับ ชอบมากด้วย”
สองหนุ่มสั่งเครื่องดื่มกันคนละอย่าง ของดีนยังเป็นกาแฟร้อนเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากอเมริกาโนเป็นมอคค่า ไม่อยากดื่มกาแฟเข้มมากเพราะตอนเช้าก่อนออกมาเขาชงกาแฟดำดื่มไปแล้วหนึ่งแก้ว ขณะที่รณณ์ยังคงสั่งมัทฉะลาเต้เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นแบบร้อนเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศร่มรื่นด้านนอกร้าน นอกจากนี้ดีนยังสั่งของทานเล่นมาอีกสองสามอย่าง
“เป็นไง ถูกปากไหม”
“อร่อยมากเลยครับ” รณณ์ยิ้มกว้างอย่างพอใจหลังจากดื่มไปอึกหนึ่ง ทำเอาคนที่จ้องมองด้วยความลุ้นสุดตัวถึงกับโล่งใจ นับว่าลิ้นของเพื่อนรักยังทำงานได้ดี ไม่เสียแรงที่โทร.ไปปรึกษา
.
.
.
ดีนเป็นคนชอบถ่ายรูป เพราะฉะนั้นเขาจึงมีรูปเยอะแยะมากมายให้เด็กหนุ่มได้เลือก ดีนตั้งใจว่าหากรูปหลายพันรูปที่เขานำมาในวันนี้ไม่ถูกใจรณณ์เลย เขาก็จะออกไปถ่ายรูปตามความต้องการของอีกฝ่ายในเย็นวันนี้เช่นกัน
“โห! เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”
รณณ์มองโฟลเดอร์บนหน้าจอแลปท็อปเครื่องบางของดีนด้วยความตกใจ นัยน์ตาเบิกกว้างไล่อ่านชื่อโฟลเดอร์เกือบห้าสิบไฟล์แบบผ่าน ๆ
“ก็ถ่ายมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลายแล้ว”
“แล้วผมควรเริ่มจากไหนดีละครับเนี่ย”
“จากไหนก็ได้ เปิดได้ทุกโฟลเดอร์ ผมไม่หวง”
การเลือกรูปสักรูปมาประกอบคอลัมน์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วรณณ์คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะขอรูปของเขาที่ดีนเคยอัพลงอินสตราแกรม เขาชอบรูปนั้น มันให้ความรู้สึกถึงการวนเวียนอยู่ใกล้กันและกันแต่ก็ยังไม่ได้เจอกัน ในเมื่อเลือกไว้ในใจได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงสนุกกับการดูรูปนั้นรูปนี้ของดีนพร้อมกับถามที่มาที่ไปของพวกมันอยู่ตลอด บางรูปสวยมากแต่ก็ไม่เคยเห็นดีนอัพให้ชาวโลกได้ดูเลยสักครั้ง ครั้นจะถามถึงเหตุผลก็กลัวอีกฝ่ายจะล่วงรู้ว่าตนแอบตามอย่างเงียบ ๆ มานานแล้ว
จะว่าไปแล้ว จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจคุณดีนอาจจะเริ่มจากทวีตที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นทวีตเดียว แต่ที่ทำให้หลงใหลปราบปลื้มมาถึงทุกวันนี้คือฝีมือการถ่ายภาพพร้อมการเล่าเรื่องของคุณดีน ดูไปดูมาจนเกิดความรู้สึกผูกพันเหมือนเขาเป็นใครอีกคนที่ใกล้ชิดกันในชีวิตจริง เริ่มสนใจชีวิตของเขามากขึ้น ยินดีเวลาเขาเจอเรื่องดี ๆ เป็นห่วงเวลาเขามีเรื่องไม่สบายใจ และทุกข์ใจตามไปด้วยเสียทุกครั้ง
ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งจะได้มาใกล้ชิดกันในชีวิตจริง…จริง ๆ
“หืมม คุณดีนจบมาจากมหา’ลัยเดียวกับผมเลยนะครับ”
รณณ์ชี้ชื่อโฟลเดอร์ที่เป็นชื่อเดียวกับมหาวิทยาลัยให้ดีนดู คนตัวสูงกว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะกลับมาสนใจกาแฟต่อ “งั้นคุณก็เป็นรุ่นน้องผมน่ะสิ”
“ห่างกันกี่รุ่นครับเนี่ย” เด็กหนุ่มลากเสียงยาวคล้ายจะล้อเรื่องอายุกับอีกฝ่ายเหมือนตอนอยู่ในรถจนดีนหันมองตาเขียว
“เดี๋ยวเถอะ ผ่านไปจะสองชั่วโมงแล้ว เลือกรูปได้รึยังล่ะ”
“ยังเลยครับ…” ยังหาไฟล์รูปนั้นไม่เจอ “…แต่ผมขอเข้าไปดูโฟลเดอร์นี้หน่อยนะครับ”
ดีนพยักหน้า ก่อนเขยิบตัวเข้าไปใกล้เพราะรู้ว่าคนช่างซักถามอย่างรณณ์ต้องอยากรู้จักมหาวิทยาลัยในมุมมองที่เขาถ่ายอย่างแน่นอน
ในโฟลเดอร์นั้นยังมีโฟลเดอร์แยกย่อยตามปีพ.ศ.อีกเจ็ดโฟลเดอร์ ยังไม่ทันได้เปิดเข้าไปดู คำถามแรกก็ถูกส่งมาถึงเจ้าของเสียแล้ว
“หลังเรียนจบ คุณยังกลับไปที่นั่นทุกปีเลยเหรอครับ”
“อืม ไปงานประจำปีน่ะ ไปถ่ายรูปเล่น ไปเยี่ยมน้อง ๆ อ้อ! ผมแวะไปที่คณะคุณทุกปีเลยนะ นิเทศฯจัดงานดีเลยล่ะ กิจกรรมหลากหลายทุกปี”
“ถ้าอย่างนั้น ปีนี้เรียนเชิญอีกนะครับ”
“จัดช่วงไหนนะ เดือนหน้าใช่ไหม”
“ครับ ต้นเดือน หลังปิดเล่มฉบับเลิฟสัปดาห์นึง”
“ได้สิ ยังไงก็ตั้งใจว่าจะไปทุกปีอยู่แล้ว”
รณณ์เลือกเข้าไปดูโฟลเดอร์ปีพ.ศ.แรก เพราะคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่ดีนเพิ่งเข้าเรียนเป็นเฟรชชี่ อยากจะรู้เสียจริงว่าชีวิตในวัยเอ๊าะ ๆ ของหนุ่มลูกเสี้ยวคนนี้จะเป็นแบบไหน
ดูไปดูมาแล้วก็นึกถึงสิ่งที่เคยสงสัย ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นคุณดีนลงรูปตัวเองเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วเขาไม่เคยถ่ายรูปตัวเองกันแน่ เพราะหลาย ๆ รูปที่ผ่านตามา ไม่มีรูปไหนเลยที่มีเจ้าตัวอยู่ในนั้น
แต่ไม่ทันได้เอ่ยถาม เสียงแผดร้องจากโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
“ว่าไง…อะไรนะ!…เกิดขึ้นจนได้สินะ!...ตอนนี้อยู่ไหน?...ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
รณณ์ไม่ได้ยินเสียงจากปลายสาย เขาได้ยินแต่เสียงติดจะหงุดหงิดของคุณดีนและสีหน้าที่สวนทางกัน ใบหน้าตี๋อินเตอร์นั้นทั้งเคร่งเครียดและ…เป็นห่วง
ใครกันนะที่โทร.เข้ามาแล้วทำให้คุณดีนเป็นห่วงได้มากขนาดนี้
หนุ่มลูกเสี้ยววางสายก่อนหันมาหาคนข้างกาย เขาจ้องนัยน์ตาใสคู่นั้นนิ่งอยู่อึดใจก่อนเอ่ยถาม “คุณว่างถึงกี่โมง?”
“วันนี้ผมไม่มีธุระที่ไหนครับ”
“งั้นไปด้วยกันก่อนนะ”
.
.
.
รณณ์ไม่รู้ว่าดีนจะพาไปที่ไหน ไม่รู้ว่าจะพาตนไปด้วยทำไม เขารู้เพียงแค่ว่าถ้าคุณดีนอยากให้ไปด้วย เขาก็จะไป
ตลอดทางภายในห้องโดยสารเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงเพลงที่เจ้าของรถชอบเปิดคลอ คนที่อยู่หลังพวงมาลัยเองก็เงียบ สีหน้าเคร่งเครียดจนเส้นเลือดบริเวณขมับขึ้นชัด หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันตลอดตั้งแต่รับสายของใครบางคน รณณ์อยากจะยื่นมือไปนวดคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้นให้เสียจริง แต่ก็ไม่กล้าทำลายสมาธิในการขับรถของอีกฝ่าย
ด้วยความเร็วที่มากกว่าตอนขับไปร้านกาแฟทำให้พวกเขาสองคนใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาทีก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ใกล้สำนักพิมพ์ของดีน
ดีนจอดรถแล้วหันมองเข้าไปในร้านชั่วครู่อย่างชั่งใจ ซึ่งเป็นมุมที่รณณ์มองไม่เห็น
“รอในรถแป๊ปนึงนะ”
“ครับ”
“อ้อ ย้ายไปนั่งรอที่เบาะหลังนะ”
รณณ์มองตามคนที่เดินออกไปอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
คุณดีนขอให้มาด้วยกัน เขาก็มา
คุณดีนบอกให้รอในรถ เขาก็รอ
คุณดีนบอกให้ย้ายไปนั่งเบาะหลัง เขาก็จะทำ
ด้วยความยินดีอย่างนั้นหรือ?...จริง ๆ น่ะเหรอ?
.
.
.
“หึ รีบมาตามแฟนเชียวนะ” ใบหน้าสวยแต้มรอยยิ้มเหยียดของคนที่ดีนไม่อยากเสวนาด้วยมากที่สุดคือสิ่งแรกที่เขาได้รับในตอนที่เดินมาใกล้โต๊ะที่มีบุคคลสามคนที่เขารู้จักนั่งร่วมโต๊ะกันอยู่
คริส ดาว และผิง
“ไป ผิง” ดีนไม่สนใจว่าบทสนทนาของทั้งสามจะจบแล้วหรือค้างอยู่ที่ตรงไหน สิ่งที่เขาทำคือถือวิสาสะดึงร่างเพื่อนตัวเองให้ลุกขึ้นยืนพร้อมคว้ากระเป๋าเจ้าตัวติดมือมาด้วย
“หวังว่าพวกคุณจะเสร็จธุระกับคนของผมแล้ว”
“เดี๋ยวดีน!” เสียงพี่ชายของเขาร้องเรียก เสียงที่ทำให้ผิงต้องกระตุกมือรั้งให้เขาหันไปหา แต่เขามุ่งมั่นที่จะออกจากตรงนี้เกินกว่าจะหันกลับไปอีกครั้ง
“Hey! You, Listen to me!!”
“ดีน” ผิงกระตุกข้อมือที่ถูกจับกุมอีกครั้งจนถูกอีกฝ่ายหันกลับมามองพร้อมสายตาที่ดุดันจนน่ากลัว
“ถ้าอยากอยู่ตรงนั้นแล้วจะโทร.ตามฉันมาช่วยทำไม” ดีนไม่ได้ขึ้นเสียงใส่ แต่เสียงนิ่ง ๆ แข็ง ๆ ก็ทำให้ผิงยอมเดินตามอย่างว่าง่ายไปถึงรถแล้ว
ใบหน้าหวานหงอยจนเกือบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่อารมณ์ก็ถูกกระชากอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ในรถของดีนด้วย
“รณณ์!!…มาด้วยกันได้ไงเนี่ย” หญิงสาวมองเพื่อนชายคนสนิทกับเด็กฝึกงานของสำนักพิมพ์สลับกันไปมา แต่คล้ายจงใจส่งคำถามให้เพื่อนตัวเองเสียมากกว่า
“ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกัน” ดีนตอบเรียบ ๆ
ผิงพินิจเพื่อนตัวเอง “เหรอ…แล้วรณณ์จะลงตรงไหน?”
ดีนหันมองเพื่อนสาวในทันที ใบหน้าหล่อคมเผยความหนักใจออกมาชัดเจนจนคนนั่งเบาะหลังรับรู้ได้ “จอดที่บีทีเอสที่ใกล้ที่สุดก็ได้ครับบอกอ ผมกลับรถไฟฟ้าได้ สะดวกด้วยครับ” ตบท้ายด้วยบอกข้อดีของมันเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
ดีนพยักหน้า ส่งสายตาขอโทษไปทางกระจกมองหลัง ซึ่งอีกคนก็มองสบมาก่อนยิ้มบางให้อย่างเข้าใจ ก่อนรณณ์จะลงจากรถ ดีนก็ยังหันไปมองด้วยความรู้สึกผิดพร้อมเอ่ยขอโทษ เขาไม่ได้ตั้งใจพาอีกฝ่ายมาด้วยเพื่อทิ้งไว้กลางทางแบบนี้ แต่ตั้งใจจะพาไปส่งให้ถึงที่หลังจากส่งผิงเรียบร้อยแล้ว แต่ครั้นจะให้อีกฝ่ายรอเขาคุยกับเพื่อนเสร็จก่อนก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่กับสถานะ
นัยน์ตาคมดุมองตามแผ่นหลังบางไปจนสุดสายตาก่อนหันกลับมามองถนนแล้วออกรถ
“ดีน นี่นาย…” ผิงมองเพื่อนชายอย่างไม่เชื่อสายตาว่าชีวิตนี้ตนจะได้เห็นเพื่อนมองใครด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างเมื่อครู่นี้ได้
“ที่เธออยากให้เด็กนั่นลงไปเพราะเธออยากคุยเรื่องของตัวเองไม่ใช่เหรอ?”
.
.
.
ใครบอกว่าบก.ด้านชา ใครบอกว่าบก.ไม่สนใจ ไม่เคยแคร์ใคร พี่ผิงนี่ไงที่เป็นคนลบล้างความเข้าใจผิด ๆ ของคนทั้งสำนักพิมพ์
คนที่มีศักดิ์เป็นแค่นักศึกษาฝึกงานคิดด้วยความหมองหม่น จากตรงนี้กลับหอพักก็แค่สี่สถานีเท่านั้นเอง แต่ทำไมรณณ์รู้สึกว่ามันนานจนเรื่องราวต่าง ๆ ตีรวนในหัวสมองได้มากขนาดนี้
เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณดีน
รณณ์ไม่ได้เคืองที่ถูกปล่อยทิ้งกลางทาง แค่คุณดีนแสดงออกว่าเสียใจกับการที่ต้องทำแบบนี้ เขาก็ดีใจมากแล้ว แต่ที่แปลกใจตัวเองคือทำไมต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลก ๆ ที่อีกฝ่ายเลือกผิง ทั้งที่การกระทำของคุณดีนในวันนี้ก็ชี้ชัดแล้วว่าผิงเป็นคนเดียวจริง ๆ ที่บอกได้ว่าคุณดีนเป็นคนด้านชาหรือเปล่าอย่างที่ดาวบอก
ทั้งที่ทุกอย่างก็กระจ่างชัดแล้วว่าคุณดีนแคร์และเป็นห่วงผิงขนาดไหน แต่เหมือนว่าเขาจะไม่จบอยู่แค่ที่ได้รู้คำตอบ เพราะคำตอบของคำถามที่เคยสงสัยมันคอยตอกย้ำซ้ำ ๆ ให้รู้สึกแย่ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
…ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย…
TBC.
---------------------------------------------------------
นี่มาเร็วแล้วใช่ไหม แหะๆ ช้ากว่าที่ตั้งใจไปนิด ช่วงนี้อบรม 2 สัปดาห์เต็มๆ
ตอนต่อไปอาจจะช้านิ๊ดดดดนึงนะคะ
#ไม่ดิ้นรนหาด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์