ตอนที่ 47
“ฮ๊าาา”
ผมส่งเสียงด้วยความชื่นใจหลังจากได้หย่อนตัวแช่อยู่ในน้ำอุ่นที่พี่ตุลย์เป็นคนเตรียมให้ก่อนจะหันมองอีกฝ่ายที่กำลังเตรียมกะละมังอ่างน้ำของตอนต้นที่กำลังแกะผ้าเดินช้างห้อยตุเลง ๆ
พอเห็นแผ่นหลังพี่ตุลย์ผมก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม เขาเป็นคนเข้มแข็งผมรู้อยู่แล้ว แต่วันนี้ที่รู้เพิ่มคือเขาเป็นคนที่เข้มแข็ง ‘มาก’ พี่ตุลย์สามารถยอมรับความจริงได้ว่า มันไม่มีอะไรที่จะสมใจไปเสียทุกอย่าง แล้วเขาก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้พร้อมกับสิ่งที่ยังเหลืออยู่
ผมคิดนะว่าคนอื่นที่เจอแบบเขาจะเข้มแข็งได้แบบนี้ไหม หรือตัวผมเอง ในวันที่อายุเท่าเขาแล้วต้องเจอกับการสูญเสียจขนาดนี้ผมจะทนได้อย่างเขาหรือเปล่า จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไหวอยู่ไหม...
“ตอนต้นมานี่มาลูก” พี่ตุลย์ลุกไปอุ้มตอนต้นใส่กะละมัง ได้ยินเสียงหัวเข่าลั่นเพราะนั่งยอง ๆ เป็นเวลานานพอดี “ใส่นี่ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวน้ำตาสระผมจะเข้าตาเอา”
“...”
ผมเองก็คงต้องยอมรับสิ่งที่เป็นแล้วก็เดินหน้าต่อไปเหมือนกัน ถ้าผมอยู่ที่นี่ต่อไป มีแต่จะรั้งให้ตอนต้นถูกพาตัวไปเร็วขึ้น ผมไม่อยากให้ตอนต้นถูกพาตัวไปอีก เพราะถ้าเสียไปอีกคน ผมก็ไม่รู้ว่าความเข้มแข็งของเขาจะมากพอให้ยืนอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า แต่ผมไม่อยากเสี่ยงกับมัน ผมไม่ต้องการให้พี่ตุลย์ต้องสูญเสียใครไปมากกว่านี้ เพราะงั้นถ้าเมื่อไหร่ผมหายดี มันก็คงถึงเวลาที่ต้องออกไปจากที่นี่แล้วดำเนินชีวิตของใครของมัน
ผมพลิกตัวกลับเงยหน้าวางขอกับขอบอ่างเซรามิก
วันหนึ่งผมก็จะยอมรับมันได้ แล้วก็คงมองย้อนความสุขที่ผ่านมาได้โดยไม่มีอะไรติดใจ
“หล่อมากเลยครับที่หนึ่ง!”
ทอฟ้าชมเป๊าะหลังจากที่จัดเสื้อผ้าของลูกชายให้เข้าที่เข้าทาง ใบหน้าของเธอแพรวพราวไปด้วยความชอบอกชอบใจผิดกับลูกชายที่รู้สึกไม่ชอบใจกับสไตล์เสื้อผ้าที่เขาโดนบังคับให้ใส่ มันจะไม่น่าหงุดหงิดได้ยังไง เขาสิบขวบแล้วแต่ต้องมาถูกจับแต่งตัวเหมือนตัวเองสามสี่ขวบอย่างนี้
“ที่หนึ่งไม่ค่อยชอบเลย”
“ทำไมละ? หล่อมากเลยนะ เนี่ยชุดนี้น้าวีเลือกซื้อนานแหนะ สไตล์คล้าย ๆ กับแบบที่น้าวีชอบใส่ด้วยนะ เดี๋ยววันนี้แม่จะใส่ชุดเขากับลูกด้วย โอเคไหมครับ?”
“...ก็ได้”
ที่หนึ่งมองสภาพของตัวเองผ่านกระจก เขาอยากใส่แค่เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงยีนส์เหมือนปกติ แต่วันนี้เขาต้องมาใส่เชิ้ต ทับด้วยเสื้อแขนยาว แล้วยังมีหูกระต่ายอีก กางเกงยีนส์ที่ใส่สบาย ๆ ก็ยังมีเข็มขัดมารัดให้ชวนอึดอัด ผมของเขาก็โดนจัดทรงจนแข็งไม่นิ่มมือเอาเสียเลย
จากที่เห็นในกระจกไม่มีอะไรเลยที่ชอบสักอย่าง แต่มันช่วยไม่ได้ในเมื่อแม่ของเขายิ้มไม่หุบเลย และเขาก็ชอบที่แม่ยิ้มแบบนั้น อีกอย่างก็อุตสาห์ปลุกตั้งแต่เช้าเพื่อออกไปเที่ยวด้วยกันสามคนในวันอาทิตย์นี้ แต่งตัวแค่นี้ให้แม่ เขาทำได้อยู่แล้ว
“อะ! ที่หนึ่งครับ เดี๋ยวแม่ไปดูน้าวีก่อนนะ ไม่รู้ตอนนี้แต่งตัวเสร็จหรือยัง ที่หนึ่งใส่ถุงเท้าแล้วก็ไปดูทีวีรอก่อนก็ได้นะ”
“อืม” เด็กน้อยรับคำ
หลังจากที่แม่ของเขาออกจากห้องไปแล้ว ที่หนึ่งก็กระโดดขึ้นเตียงพร้อมกับของ ๆ ตัวเองที่เขากวาดขึ้นไว้บนเตียง ก่อนจะคว้ากระเป๋าที่ถูกเอามาพร้อมกัน แต่ก่อนจะได้เก็บของใส่กระเป๋านั้น ที่หนึ่งก็ยังอุตสาห์ใส่ถุงเท้าลายน่ารักที่เขาก็ไม่ชอบตามคำสั่งของแม่เสียก่อน
วันนี้คงจะได้กลับบ้านแล้วสินะเพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ก็ต้องไปโรงเรียนแล้ว หลังจากที่หยุดอยู่กับแม่ตั้งแต่วันพฤหัสฯ 4 วันเต็ม ๆ
“แต่พ่อจะมารับกี่โมงนะ ไม่เห็นแม่บอกเลย” เด็กน้อยพึมพำขณะเก็บของ ช่างเถอะ อย่างน้อยพ่อมารับเมื่อไหร่ก็จะได้พร้อมไปทันทีไม่ต้องมาเร่งรีบเก็บของอยู่อีก
ที่หนึ่งเก็บของเข้ากระเป๋าตัวอย่างเรียบร้อย แต่ทว่าชุดนอนตัวโปรดที่เขาใส่อยู่ตอนที่ถูกพามาด้วยกลับหาไม่เจอ เด็กน้อยหันรีหันขวางก่อนจะเช็คที่ตู้เสื้อผ้าและตระกร้าอีกรอบ รวมถึงใต้เตียงที่อาจจะเผลอเตะเข้าไป แต่ว่าไม่ว่าเขาจะหาซอกไหนของห้อง ก็ไม่เจอชุดนั้น
ชุดตัวโปรดด้วยแท้ ๆ...
ที่หนึ่งตั้งใจจะไปถามแม่ เลยหันมารูดซิปปิดกระเป๋าก่อนจะยกขึ้นสะพายแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้อง โชคดีที่แม่ของตนกำลังง่วนอยู่ในครัวไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกห้องอย่างที่นึกกังวลไว้
“แม่ แม่เห็นชุดนอนของที่หนึ่งไหมอะ ที่ใส่มาที่นี่ด้วย”
“อยู่ในตู้เสื้อผ้าหรือเปล่า หรือไม่แม่ก็พับไว้ข้างเตียงแล้วละมั้ง” ทอฟ้าตอบลูกชายแต่สายตาก็ยังไม่ละจากไข่ที่เธอกำลังใช้ส้อมตีให้เข้ากัน
“ที่หนึ่งหาแล้วนะ แต่หาไม่เจอเลย”
“แม่น่าจะวางไว้บนชั้นข้างบนในตู้เสื้อผ้านะ ลูกลองไปหาดู”
“มันสูงอ่า แม่ไปหยิบให้ที่หนึ่ง...”
“ที่หนึ่งครับ แม่ทำอาหารอยู่นะลูก อย่าเพิ่งกวนแม่นะครับ แล้วนี่มันก็ยังเช้าอยู่เลย ลูกจะถามหาชุดนอนไปทำไม” ทอฟ้าพูดขณะที่เทไข่ใส่กระทะส่งเสียงฉู่ฉ่า
...กลบความเงียบที่เธอไม่รู้ตัวว่าก่อมันขึ้น
“ฟ้า กาแฟของพี่ได้หรือยัง?”
ขณะนั้นเองวีก็ออกมาจากห้องร้องถามหากาแฟอย่างเช่นทุกวัน เสื้อผ้าที่เขาใส่เกือบจะเหมือนกับที่หนึ่งทุกระเบียดนิ้วราวกับเป็นชุดพ่อลูก
“ได้แล้วค่ะ แต่พี่ไปนั่งรอก่อนนะ ฟ้าจะทอดไข่เสร็จแล้ว เดี๋ยวเอาไปให้ที่โต๊ะพร้อมกันเลย อา แล้วก็ที่หนึ่งครับข้าวเช้าลูกอยู่บนโต๊ะอาหารนะครับ เอาไปกินหน้าทีวี ดูการ์ตูนไปพลาง ๆ ปะลูกปะ” ประโยคสุดท้ายทอฟ้าหันมาบอกกับลูกชายที่ยังยืนอยู่ในครัวกับเธอ
ที่หนึ่งไม่ตอบ เขาเพียงเดินออกจากครัว หยิบจานข้าวไข่ดาวที่น่าจะเป็นของตัวเองไปนั่งกินที่โซฟา โดยไม่คิดจะสนใจหรือทักทายใครก็ตามที่นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวนั่นเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาคาดหวังไว้น่ะ...มันไม่ใช่แบบนี้
ที่หนึ่งมองซ้ายขวาด้วยความตื่นเต้น เสียงจอแจครึกครื้นทำให้เขาลืมเรื่องที่อยู่ในใจไปชั่วขณะ
เด็กน้อยน่ะไม่ค่อยได้ออกไปนอกบ้านบ่อยนักเพราะว่าพ่อของเขาไม่ค่อยว่างพาไปไหน ๆ ส่วนใหญ่การไปเที่ยวก็คือไปห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ เพื่อซื้อของเข้าห้องหรือไม่ก็หาอะไรกินธรรมดา ๆ ในวันพิเศษเพราะงั้นเลยไม่แปลกใจที่ที่หนึ่งจะตื่นเต้นกับสถานที่ท่องเที่ยวธรรมดาอย่างสยามแสควร์นี้ แม้ก่อนหน้านี้พ่อที่เคยบ้างานของเขาจะเริ่มพาเที่ยวที่อื่นบ้าง โดยมีเอสคอยหาเรื่องไปเที่ยวได้ตลอด
แต่ขณะที่ที่หนึ่งกำลังมองร้านรวงฝั่งตรงข้ามของถนน เขากลับโดนทอฟ้าซึ่งเดิมทีอยู่ตรงกลางดึงให้มาอยู่แทนที่พร้อมเปลี่ยนมือข้างที่จูงเอาไว้ เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองแม่เหมือนจะถามแต่ก็ตัดสินใจเงียบไป ไม่ทำตัวเป็นเด็กดื้อหลังจากที่แม่ของตนยิ้มแก้มปริหน้าบานกับคำซุบซิบของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ลูกที่น่ารักน่าชัง
ไม่ใช่สักหน่อย...ผู้ชายที่เดินอยู่ข้าง ๆ อีกด้านตอนนี้น่ะ ไม่ใช่พ่อของเขาสักหน่อย...
“ฟ้า พี่ว่าที่ฟ้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะมีร้านอาหารน่ากินอะไรนั่นหรอก แต่เพราะจะไปซื้อเสื้อผ้าที่พารากอนใช่ไหมเนี่ย”
วีพูดหยอกภรรยาที่อยู่ถัดไปจากเด็กที่หนึ่งหลังจากที่เพิ่งสังเกตเห็นห้างฯ หรูอยู่อีกด้านไกลออกไป
“ใครบอก ฟ้ามาที่นี่เพื่อหาอะไรกินด้วยกันจริง ๆ นะ แต่ว่าก็อาจจะมีแวะบ้างตามภาษาผู้หญิง เสื้อผ้า รองเท้า บ้างอะไรบ้างเฉยๆ ทำไมคะ? หรือพี่ไม่อยากไปด้วยกัน ถ้างั้นพี่ก็แยกไปเดินดูอย่างอื่นก็ได้นะ กลับเมื่อไหร่จะโทรหา ฟ้าจะไปกับลูกสองคน ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน วันนี้ฟ้าจ่ายเงินเองได้ไม่ต้องง้อพี่เลย” ทอฟ้าหัวเราะพูดต่อปากต่อคำพอให้ได้หยอกเล่นกลับไปบ้าง
“ได้ไงเล่า มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ จะไปซื้อเสื้อผ้ารองเท้าอะไรก็ตามใจฟ้าเลย พี่ไปด้วยอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ต้องควักเงิน เมียพี่พี่ดูแลเอง”
เธอหัวเราะ “ค่ะ ๆ อย่าลืมที่หนึ่งด้วยนะ วันนี้พี่ไม่ได้มาจ่ายให้ฟ้าคนเดียวนะคะ~”
“ได้อยู่แล้ว”
“เพื่อไม่ให้เอาเปรียบพี่เกินไป งั้นฟ้าจะเป็นคนถือของเองหมดเลยก็แล้วกัน” ทอฟ้าพูดหยอกพร้อมยิ้มหวานให้กับชายคนรัก วีเองก็ทำได้เพียงแค่หัวเราะให้กับความน่ารักที่ไม่เคยเปลี่ยนของสาวผู้เป็นภรรยา
“เห็นพูดงี้ทีไรพี่ก็ได้ถือทุกที”
ใช่ ทอฟ้ารู้ดีว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้เธอต้องถือของพวกนั้นคนเดียวแน่
“ก็พี่เป็นคนอาสาถือเองทุกที”
ทั้งสองยิ้มให้กันเหนือหัวของเด็กน้อยที่ดูเป็นส่วนเกิน ที่หนึ่งมองมือของตัวเองที่จับอยู่กับแม่เงียบ ๆ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าแต่เขาว่ามันหลวมขึ้นทุก ๆ ที... อาจเพราะเหงื่อ หรือเพราะขนาดมือของเขามันเล็กเกินไปละมั้ง มันถึงทำท่าเหมือนจะหลุดตลอดถ้าเขาไม่ได้บีบมือเอาไว้แน่นขนาดนี้
“ว๊าว ดูร้านนั้นสิ เสื้อผ้าน่ารัก ๆ ทั้งนั้นเลย”
ฟ้าปล่อยมือที่จับกับลูกชาย ชี้เสื้อผ้าที่โชว์อยู่นอกร้านที่พวกเขากำลังเดินผ่าน เธอรีบปรี่เข้าไปในข้างในทันทีด้วยความชื่นชอบพร้อมกับคว้าแขนของชายคนรักเข้าไปช่วยเลือกด้วยความเคยชิน โดยที่ไม่รู้ว่าสำหรับที่หนึ่งภาพที่เธอปล่อยมือออกยังเคลื่อนไหวราวกับเป็นภาพช้าอยู่ในหัวของเขา
มือ...หลุดไปแล้ว
“หนูไม่เข้าไปพร้อมคุณพ่อคุณแม่หรอจ๊ะ?”
ที่หนึ่งเงยหน้ามองพี่พนักงานสาว
“เข้าครับ” เขาตอบเสียงเบาก่อนจะเดินตาม ‘คุณพ่อคุณแม่’ เข้าไปข้างใน
หลังจากที่ใช้เวลาเดินเที่ยวไปจนเกือบบ่ายสอง ทอฟ้าก็ชวนทุกคนไปร้านที่อาหารที่เธอดูรีวิวมาเป็นอย่างดีพร้อมบรรยายสรรพคุณของร้านที่กำลังไปให้ลูกและสามีของเธอฟังตลอดทาง
แต่ทว่าความตื่นเต้นนั้นก็ต้องถูกแทนที่ด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าร้านที่เธอจะมารับประทานนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เธอที่อยากมาลิ้มลอง มีคนยืนออกันเต็มหน้าร้านแน่นขนัดชนิดที่ว่าแทบไม่เห็นพนักงานที่เป็นคนเขียนคิวเลยด้วยซ้ำ
“เอาไงดีฟ้า เปลี่ยนร้านไหม?”
“ฟ้าอยากกินร้านนี้อะ นาน ๆ จะได้มาที่นี่ทั้งทีก็อยากกินที่เขาว่าให้มาลองนี่หน่า...แต่ว่าถ้าพี่กับที่หนึ่งหิวกันแล้วเราเปลี่ยนหาร้านอื่นแถวนี้กินกันก็ได้”
“ที่หนึ่งยังไม่หิวนะ”
เด็กน้อยรีบตอบเอาใจแม่ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีทางที่เขาจะไม่หิว ในเมื่อตอนเช้าเขากินแค่ข้าวไข่ดาวแล้วยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องอีกเลยนับจากตอนนั้น
“พี่ยังไงก็ได้อะ จะรอก็ได้ พี่ก็ไม่หิวเท่าไหร่ แต่ว่าพี่อยากกินกาแฟสักหน่อยเหมือนกินแค่ตอนเช้าจะเอาไม่ค่อยอยู่ ก็เลยว่าจะลงไปซื้อที่ชั้นล่างก่อน”
“ถ้างั้นเรากินกันที่นี่แหละเนาะ! พี่ก็ลงไปซื้อกาแฟของพี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวฟ้ากับที่หนึ่งจะรอคิวอยู่ที่นี่เอง” เธอยิ้มร่าอาสาอย่างอารมณ์ดี
“ได้สิ แล้วฟ้าจะเอาเครื่องดื่มอะไรด้วยหรือเปล่า? หรืออยากเอาอะไรไหม? เดี๋ยวพี่ซื้อมาให้ด้วยเลย”
“ฟ้าไม่เอาอะ...ที่หนึ่งอยากกินอะไรหน่อยหรือเปล่าลูก? เดี๋ยวน้าวีเขาจะได้แวะซื้อมาให้”
“ที่หนึ่งก็ไม่เอาอะ”
“เดี๋ยวหิวนะ”
“ไม่เป็นไร ที่หนึ่งยังไม่หิวหรอก”
“งั้นหรอ โอเค งั้นเอาเป็นว่าพี่จะซื้ออะไรก็ซื้อมาแล้วกันนะคะ”
“ได้ งั้นรอแป๊บนึงก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ” ทอฟ้าหยักหน้ารับ
หลังจากที่ชายคนรักลงลิฟต์ไปชั้นล่างแล้วทอฟ้าจึงค่อยพาลูกชายไปรับบัตรคิวอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะออกมาหาที่นั่งที่อยู่ไม่ไกลนักเพื่อรอเรียกคิวของตน
“ฮึบ” ที่หนึ่งถอดกระเป๋าเป้ที่ใส่ของเตรียมกลับบ้านออกจากหลังเพื่อให้ตนได้นั่งสบาย ๆ แล้วเอากระเป๋านั้นวางไว้บนตัก
“แม่ก็บอกแล้วว่าให้วางไว้บนรถ จะเอามาทำไมให้เกะกะหือ”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ มันก็ไม่ได้หนักมากขนาดนั้น” เด็กน้อยว่าพร้อมตบกระเป๋าปุ ๆ
“จ้า ๆ พ่อคนเก่ง”
ก่อนหน้านี้เธอเคยถามแล้วว่าจะเอากระเป๋ามาด้วยทำไม แต่ที่หนึ่งก็ไม่ได้ตอบอะไร เธอเองก็ไม่คิดจะถามซ้ำให้มากความ บางทีเด็กน้อยก็อาจจะเห็นว่ากระเป๋ามันเข้ากับชุดก็ได้ละมั้ง ถึงแม้เธอจะมองว่ามันขัดกับชุดมากก็ตาม
“ว่าแต่ แม่ วันนี้พ่อจะมารับที่หนึ่งเมื่อไหร่หรอ?”
ขณะที่ทอฟ้าหันกลับไปจดจ่อดูหมายเลขคิวที่กำลังขึ้นบนป้ายไฟ ลูกชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นเรียกเธอให้หันกลับมาสนใจอีกครั้ง
“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงถามถึงพ่อละครับ อยู่กับแม่ที่หนึ่งเบื่อแล้วหรอ?”
“เปล่านะ ที่หนึ่งจะไปเบื่อตอนอยู่กับแม่ได้ไง แต่ว่าวันนี้พ่อน่าจะต้องมารับที่หนึ่งแล้วก็เท่านั้นเอง เพราะว่าพรุ่งนี้ที่หนึ่งต้องไปเรียน แล้วพ่อก็คงไม่ให้หยุดแล้วด้วย แต่แม่ก็ไม่เห็นบอกที่หนึ่งเลยว่าพ่อจะมารับกี่โมง ที่หนึ่งก็เลยถามเฉย ๆ”
ทอฟ้ามีสีหน้าเหลอหลาอย่างเห็นได้ชัด เธอยังไม่ได้บอกที่หนึ่งว่านี่ไม่ใช่การมานอนค้างช่วยคราว แต่มันคือการย้ายที่อยู่ เธอยังไม่ได้บอกที่หนึ่งเลยว่า ต่อไปเขาน่ะจะอยู่กับเธอ....ตลอดไป
“ที่หนึ่ง...อ่า ที่หนึ่งมาถามอะไรตอนนี้ละครับ! เพิ่งจะบ่ายสองเองนะ เหมือนไม่อยากจะอยู่กับแม่แล้วอย่างนั้นแหละ” เธอเลือกที่จะพูดเบี่ยงประเด็นไปก่อน
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ที่หนึ่งแค่เพิ่งนึกขึ้นได้เฉย ๆ ที่หนึ่งอยากอยู่กับแม่จะตาย ไม่ต้องน้อยใจนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าที่หนึ่งค่อยมาใหม่ ถ้าพ่อไม่ว่านะที่หนึ่งจะมานอนค้างกับแม่ทุกอาทิตย์เลย!~”
ทอฟ้ายิ้มกับความสดใสร่าเริงนั่น ก่อนที่รอยยิ้มนั่นจะค่อย ๆ เลือนไปพร้อมสีหน้าจริงจังที่ฉายขึ้นมา
“...ที่หนึ่ง วันนี้พ่อน่ะ ไม่มารับที่หนึ่งหรอกครับ”
“อ้าวงั้น แม่จะไปส่งที่หนึ่งที่คอนโดฯ หรอ?” เด็กน้อยเอียงคอถามด้วยความไร้เดียงสา “หรือพ่อจะมารับวันอื่น?”
“ที่หนึ่ง....อยากอยู่กับแม่ไหมครับ? ที่เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่คืนวันพุธจนถึงตอนนี้ที่หนึ่งมีความสุขไหมครับ?”
“...ก็ต้องมีความสุขสิ ที่หนึ่งน่ะอยากอยู่กับแม่มาก ๆ เลยนี่หน่า นี่มันก็นานแล้วที่ที่หนึ่งไม่ได้อยู่กับแม่แบบนี้ ที่หนึ่งมีความสุขมากเลย”
“แม่น่ะอยากอยู่กับที่หนึ่งตลอดไปเลยนะลูก”
“ที่หนึ่งก็อยากอยู่กับแม่เหมือนกัน เหมือนเมื่อก่อนตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่คอนโดฯ ตอนที่แม่กำลังมีน้องให้ที่หนึ่ง ที่หนึ่งอยากอยู่กับแม่แบบนั้นไปตลอดเหมือนกัน”
อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อแม่ลูก และไม่มีใครคนอื่นเข้ามา...
ทอฟ้ามองลูกชายเธอ สายตาฉายแววความลังเลเพียงชั่วครู่ แต่เธอก็มั่นใจว่าที่หนึ่งก็ต้องยินดีที่จะได้อยู่กับเธอตลอดไปเหมือนกับที่เธอรู้สึก ที่หนึ่งจะได้เจอสิ่งที่ดีกว่าในทุก ๆ อย่าง เงินทอง บ้านหลังใหญ่ โรงเรียนดี ๆ สังคมดี ๆ
หรือแม้แต่พ่อ เธอก็มั่นใจว่าวีจะเป็นพ่อที่ดีให้ที่หนึ่งได้มากกว่าตุลย์แน่!
“ที่หนึ่งครับ ถ้างั้นต่อไปนี้ที่หนึ่งอยู่กับแม่นะ เราอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะครับ”
“เอ๋?”
“ก่อนหน้านี้แม่คุยกับพ่อแล้วว่าจะเอาที่หนึ่งมาเลี้ยงเอง แล้วพ่อก็ตกลงแล้วด้วย เพราะงั้นพ่อไม่มารับแล้วละครับ เพราะที่หนึ่งอยู่ด้วยกันกับแม่แล้วนะตอนนี้ อยู่ไปด้วยกันตลอดไปเลย ให้แม่ได้ทดแทนตอนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันนะลูกนะ”
“...”
“ส่วนโรงเรียนที่หนึ่งก็ไม่ต้องแล้ว แม่คุยกับน้าวีก่อนแล้วว่าจะให้ที่หนึ่งย้ายโรงเรียนมาอยู่ใกล้ ๆ บ้านเรา โรงเรียนแถวนั้นมีแต่โรงเรียนดี ๆ ทั้งนั้นเลย ที่หนึ่งจะได้เจอแต่เพื่อนดี ๆ สังคมดี ๆ แล้วที่หนึ่งก็ไม่ต้องขึ้นรถโรงเรียนอะไรนั่นแล้ว แม่จะพาที่หนึ่งไปโรงเรียนทุกวัน ไปรับทุกวัน แม่จะตื่นมาทำข้าวเช้าให้กิน จะทำกล่องข้าว แล้วเราก็จะไปเที่ยวด้วยกันสามคนบ่อย ๆ เลย แม่ไม่อยากให้...”
ทอฟ้ายังคงพูดอะไรอีกยาวเหยียด แต่ดูเหมือนว่าที่หนึ่งจะไม่รับรู้อีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างมันขาวโพลนตั้งแต่ประโยคแรกที่เขาได้ยิน...
“ก่อนหน้านี้แม่คุยกับพ่อแล้วว่าจะเอาที่หนึ่งมาเลี้ยงเอง แล้วพ่อก็ตกลงแล้ว เพราะงั้นพ่อคงไม่มารับแล้วละครับ”
ทำไมละ...ที่หนึ่งทำอะไรผิดหรอ…
“...แล้วพ่อก็ตกลงแล้ว เพราะงั้นพ่อคงไม่มารับที่หนึ่งแล้วละครับ”
เพราะที่หนึ่งงอแงบ่อย ๆ ว่าอยากมีแม่ อยากเจอแม่ อยากอยู่กับแม่อย่างนั้นใช่ไหม...?
“ฟ้า คิวเราคิวที่เท่าไหร่?”
“อะ!”
เสียงทุ้มของวีดังขึ้นพร้อมกับเครื่องดื่มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ทอฟ้าที่กำลังพูดอยู่กับที่หนึ่งหันมองคนที่เพิ่งกลับมาก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณแล้วรับแก้วเครื่องดื่มนั้น
“ยังไม่ถึงคิวเราอีกหรอ?” วีชะโงกหน้าดูใบคิวแล้วหันมองป้ายไฟ เธอเองเมื่อถูกทักก็มองตามก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อหมายเลขบนป้ายไฟนั้นเป็นหมายเลขคิวของเธอ
“ตายจริง ฟ้ามัวแต่คุยกับลูก ลืมดูคิวเลย...ที่หนึ่งลุกมาเร็วลูก คิวเราแล้ว”
ทอฟ้าคว้ามือของลูกชายกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหาพนักงานที่ชะเง้อมองหาเจ้าของคิวโดยมีวีเดินดูดกาแฟตามหลังไม่ห่าง
“ก่อนหน้านี้แม่คุยกับพ่อแล้วว่าจะเอาที่หนึ่งมาเลี้ยงเอง แล้วพ่อก็ตกลงแล้ว เพราะงั้นพ่อคงไม่มารับที่หนึ่งแล้วละครับ” พ่อ...
...ทิ้งที่หนึ่งแล้วหรอ
“ดีขึ้นแล้วหรอไง ถึงได้มาอ่านหนังสือไม่ยอมนอนเนี่ย”
“ก็ไม่ค่อยปวดหัวแล้วอะ ผมไม่อยากนั่ง ๆ นอน ๆ เท่าไหร่ ใกล้จะสอบแล้วด้วยเดี๋ยวได้เอฟมาจะทำยังไง ผมต้องรักษาเกรดนะ” ผมตอบโดยที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือก่อนจะเขียนโน๊ตเล็ก ๆ ลงในหนังสือ
“โอเค อย่าฝืนร่างกายก็แล้วกัน เดี๋ยวก็ไม่หายสักที”
“ไม่ได้ฝืนอะไรหรอกหน่า เนี่ยดีวันดีคืน ไม่รู้ว่ายาที่บ้านพี่กับยาที่บ้านเพื่อนมันต่างกันตรงไหนถึงได้ผลลัพธ์ต่างกันซะเหลือเกิน”
“งั้นวันนี้ก็ไม่อาบน้ำพร้อมกันแล้วสินะ”
“ไม่ต้องแล้ว!”
ผมเงยหน้าพรึ่บทันทีเมื่อพี่ตุลย์พูดเรื่องนี้ เมื่อวานนี้ตอนที่โดนลากอาบน้ำพร้อมตอนต้น หลังจากที่เขาอาบน้ำให้ตอนต้นเสร็จเขาก็จะมาอาบน้ำให้ผมต่อจริง ๆ ตอนแรกผมนึกว่าเขาพูดเล่นแต่เห็นบีบสบู่ใส่มือแล้วผมนี่รีบเบรกเขาเลยครับ ผมไม่ยอมก็เลยกลายเป็นว่าผมได้อาบเองโดยมีพี่ตุลย์ยืนคุม
“แต่มันก็ไว้ใจไม่ได้”
“ไม่ต้องจริง ๆ ครับ เมื่อวานพี่ปล่อยให้ผมอาบน้ำคนเดียวก็ได้นะ เห็นไหมเนี่ย ไข้ขึ้นอะไร ก็ยังเห็นสบายดี กำลังจะหายหวัดอยู่ร่อมร่อแล้วด้วยซ้ำ”
“ถ้าฉันไม่นั่งดูไว้ไม่ให้นายแช่น้ำนานเกินไป คิดว่าจะมีแรงมาเถียงฉันอยู่แบบนี้หรอ ป่านนี้นอนป่วยอยู่บนเตียงแล้ว”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย” ผมบ่นอุบ
พี่ตุลย์ส่ายหัวใส่ก่อนจะพาตอนต้นไปนั่งเล่นบนโซฟา ทิ้งผมให้นั่งอ่านหนังสือคนเดียวต่อ แต่ดูเหมือนว่าสมาธิผมจะลอยติดไปกับพี่ตุลย์ด้วย แทนที่จะมองหนังสือกลับดันเลื่อนไปมองมนุษย์หน้านิ่งที่กำลังเล่นอยู่กับลูกชายตัวเอง
ที่จริงในใจผมน่ะ แอบอยากป่วยแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เลยครับ ยืดเวลาที่จะอยู่กับเขาไปอีกสักพัก แต่โคตรจะไม่มีอะไรเข้าข้างผมเลย ขนาดร่างกายตัวเองก็ยังดีวันดีคืนเลยเฮ้อ แต่ก็ช่างมันเถอะ ก็แค่ความเพ้อบ้า ๆ บอ ๆ พี่ตุลย์รับกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้และก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ผมเองก็ต้องทำอย่างนั้นเหมือนกัน มันก็เป็นบท ๆ หนึ่งในชีวิต เริ่มขึ้นแล้วก็ต้องจบลง
...ตอนนี้ผมเองก็ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว แม้มันจะไม่ได้จบอย่างที่หวัง อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เศร้าสลด
“มองอะไร? ไม่อ่านแล้วหรอไงหนังสืออะ ไหนบอกต้องรักษาเกรดไง”
“กำลังพักสายตาไง”
“พักนานไปไหม อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายมองฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เออออ ไม่มองแล้วก็ได้” ผมหันขวับกลับมาที่หนังสือ มองนิดมองหน่อยทำเป็นบ่น ชิ!
Rrrrrrrrrrrrrrr
ผมหันตามเสียงโทรศัพท์ของพี่ตุลย์ที่เสียบชาร์จแบตอยู่ในครัว ตั้งใจว่าหยิบเอาไปให้ แต่พี่ตุลย์ก็อุ้มตอนต้นมารับโทรศัพท์นั้นเสียก่อน
“โทรมาทำไมฟ้า”
กึก...
ผมชะงักมือ ลุกขึ้นไปหาที่ตุลย์ที่กำลังคุยโทรศัพท์อย่างถือวิสาสะ ผมบอกแล้วไงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ผมยังอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ให้เขาเผชิญอะไรคนเดียว
“อะไร? พูดอะไรพี่ฟังไม่รู้เรื่อง ใจเย็นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยโทรมาใหม่ก็แล้วกัน”
พี่ตุลย์ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจะวางแต่ผมคว้าโทรศัพท์จากมือพี่ตุลย์มาเสียก่อน แล้วเปิดสปีคเกอร์โฟนเพื่อช่วยฟัง
/ฟ้าบอกว่า ที่หนึ่งหายตัวไปแล้ว!! ได้ยินไหม!/
TBCCome Backkkk I'm sorry But I LOVE U ค่ะ
เพื่อการติดตามการอะพเดททุกช่องทางค่ะ