พี่โหดครับ มารักกับผมไหม?
ตอนพิเศษมากๆตอนจบ
เช้าวันหยุดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง วันนี้แดดไม่แรงสักเท่าไหร่หนำซ้ำยังครึ้มฟ้าครึ้มฝนคล้ายกับว่าฝนจะตก ชายชราคู่หนึ่งเดินเคียงข้างกันมาเพื่อที่จะกลับบ้านพักก่อนที่ฝนจะตกเสียก่อน
กี่ปีมาแล้วนะ ที่เขาอยู่เคียงข้างกันมา อาจจะนับแต่ครั้งยังเรียนมหาลัยมาด้วยกัน จนมาถึงวัยเกษียนเช่นทุกวันนี้
ความรักจะจืดจางไปบ้างไหมนะ จะมีสักครั้งไหมที่เผลอลืมไปว่ามีใครอยู่ในหัวใจแล้วแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้กับคนอื่น
สำหรับผมแล้ว ไม่เคยมีสักวินาทีที่ผมจะลืมว่าผมรักใคร.............
‘ผ้าใบ’ ผู้ชายคนเดียวที่ทำให้หัวใจดวงเท่ากำปั้นของผมสั่นไหวได้ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้ม ทุกคำพูดทุกการกระทำของไอ้ผ้า ผมไม่เคยรู้สึกไม่ดี ผมรักมัน รักมาก
แปลกที่หัวใจดวงเท่ากำปั้น แต่มันสามารถรักใครคนหนึ่งได้มากมายเท่าๆกับดาวทุกดวงในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี่ไม่ได้พูดเกินไปหรอกนะ จริงๆ
ผมมองตามคุณลุงสองคนที่เดินผ่านหน้าผมไปแล้วคิดอะไรมากมายอยู่คนเดียว ผมไม่แน่ใจว่าคุณลุงสองคนนั้นเป็นอะไรกัน แต่ถ้าผมมองไม่ผิด น่าจะเป็นแบบผมกับไอ้ผ้า
“พี่ซุส ผ้าอยากไปหาป๊า ผ้าคิดถึงเฮีย”
ไอ้เด็กน้อยขี้อ้อนเดินเข้ามานั่งลงข้างๆผมหลังจากไปวิ่งมาจนเหนื่อย มันส่งยิ้มมาให้ แนบแก้มนุ่มๆนั่นลงที่ต้นแขนของผม
“อืม ไปสิ วันไหนล่ะ”
“เย้ ต้นเดือนหน้า พี่ซุสไปกับผ้านะ เดี๋ยวผ้าบอกป๊าก่อนว่าจะไปวันไหน”
ผมมองไอ้ผ้าที่เล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆแล้วแอบยิ้มออกมาคนเดียว ผมเคยมองหน้ามันไปเรื่อยๆจนอยู่ดีๆผมก็ร้องไห้ออกมา ผมดีใจที่มีมันอยู่ในทุกวันนี้ ดีใจที่ผมเลือกที่จะเปิดใจให้มัน ดีใจที่ผมตัดสินใจยอมลงให้มันทั้งๆที่ผมไม่เคยลงให้ใคร
ความรู้สึกเหล่านี้มันมีค่ามาก เพราะฉะนั้น ต่อให้ใครที่ดีกว่าเข้ามาผมจึงไม่หวั่นไหว เพราะรักมาก
ผ้าใบไม่ใช่แค่โลกของผม แต่เป็นทั้งพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวและท้องฟ้า ทุกอย่างของผม คือผ้าใบจริงๆ...................วันนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้า ผ้าใบมันตื่นเต้นมากซื้อนู้นซื้อนี่ไปฝากพ่อกับพี่ชายของมันใหญ่เลย ทำอย่างกับนานๆทีผมจะปล่อยมันกลับบ้านอย่างงั้นแหละ
“พี่ซุส เราควรจะมีลูกกันไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
ห๊ะ?...............
ว่าอะไรนะ?
“มีลูก?”
ผมถามย้ำ ไอ้คนข้างๆพยักหน้าหงึกๆ นี่จริงจังหรืออะไรวะครับ?
“มีลูกยังไง? แบบพี่ชายมึงอะหรอ?”
“โห่วววววววววววว ผ้าไม่ได้บ้าแบบไอ้เฮียนะ ผ้าหมายถึง รับเด็กมาเลี้ยงสักคน”
“มึงไม่ไหวหรอก เชื่อกูสิ ตอนเด็กๆมึงอาจจะเลี้ยงเขาไหว แต่มึงรู้ไหมว่าพอเขาโตมา เขาต้องมีสังคมของเขา เขาจะอายที่มีพ่อสองคนแต่ไม่มีแม่”
ไอ้ผ้าหน้างอไปทันที
“ทำไมล่ะ เราเลี้ยงเขามา ทำไมเขาต้องอายที่มีพ่อสองคนด้วย”
ผมถอนหายใจ จับแก้มคนข้างๆไว้เบาๆ
“มึงอายุ23แล้วนะผ้า มึงยังไม่รู้อีกหรอว่าโลกแม่งโหดร้ายขนาดไหน คนรับได้มันก็มี แต่เทียบกับคนที่ยังไม่ยอมรับแล้ว มึงว่าส่วนไหนมากกว่ากัน หือ?”
“แต่ว่า ผ้าอยากให้เราเป็นครอบครัว พี่คิดดูสิ ถ้าวันนึงเราแก่ไป บ้านของเราก็จะมีผู้ชายแก่ๆสองคนนั่งกินข้าวด้วยกัน ดูทีวีด้วยกัน ผ้าไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น คำว่าครอบครัวของผ้า ไม่ได้หมายถึงผ้ากับพี่ซุสนะ”
ผ้ามันพูดไปก็น้ำตาคลอไป เห็นแล้วก็อดสงสารขึ้นมาไม่ได้ สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้
“โอเคๆ รู้แล้ว กลับจากบ้านพ่อค่อยคุยกันอีกที”
“เย้ พี่ซุสน่ารักสุด รักนะเด็กโง่อิอิ”
มันพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขวางชนิดที่ว่าถึงใบหู ไอ้เด็กคนนี้นี่มันจะรู้ตัวบ้างไหมเนี่ยว่าได้เปลี่ยนราชสีห์เจ้าป่าให้กลายเป็นแมวบ้านไปแล้ว เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออ
“ป๊า ผ้าสุดหล่อมาแย้วววววววววววววววว”
พอรถจอดลงที่หน้าบ้านปุ๊บ ไอ้เตี้ยมันก็วิ่งลงจากรถเข้าไปหาพ่อทันที แล้วของที่แม่งซื้อมาเต็มคันรถนี่คือกูต้องแบกให้ใช่ไหม? ไอ้เด็กเหี้ย
“พ่อสวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้พ่อด้วยความทุลักทุเลเพราะของที่ถืออยู่เต็มมือทำให้ไม่ถนัดนัก ส่วนไอ้เด็กห่าแม่งก็วิ่งขึ้นไปบนบ้านเรียบร้อย
“เออๆ หวัดดี ซื้อเหี้ยไรกันมาเยอะแยะวะนั้น”
พ่อก็ยังคงความฮาร์ดคอร์ไม่มีเปลี่ยนไป
“อาหารเสริม ของบำรุงร่างกายแล้วก็เสื้อผ้าครับพ่อ”
“ซื้อของแบบนี้มา มึงว่ากูแก่ใช่ไหม”
“เปล่าครับพ่อ..................อันที่จริงคือใช่”
“เฮ้ยยยยยยยยย ไอ้ผัวลูกชาย มึงพูดแบบนี้ มาแข่งกับกูไหมว่าใครมันจะแก่กว่าใคร”
ผมยิ้มมุมปากเมื่อได้ฟัง คิดจะแข่งกันเรื่องนี้ เหอะ..............
“งั้นก็จองห้องไอซียูไว้เลย ลูกชายพ่อ เดี้ยงแน่”“อื้อหือ กูจะฟ้องไอ้ผ้าว่ามึงจะเอามันจนเดี้ยง ไอ้โหดร้าย กูยอมรับว่าแก่ก็ได้วะ”
พ่อพูดพลางหัวเราะ ท่านยื่นมือมาตบไหล่ผมแล้วพาเดินเข้าบ้าน
“ป๊า พี่ซุสจะยอมให้ผ้ามีลูกแล้วนะ ป๊าจะมีหลานแล้วววววววววววววว”
ไอ้เตี้ยมันวิ่งตึงตังลงมาจากบ้าน พ่อดูเหวอไปแวบนึงที่ได้ยินก่อนจะหันมามองหน้าผม
“เฮ้ย น้ำมึงเป็นน้ำวิเศษหรอวะ จะทำให้ผู้ชายท้องได้”
“ไม่ใช่แล้วป๊า ถ้าผ้าจะท้อง ผ้าก็ท้องตั้งแต่ปีสองแล้ว”
ผ้ามันพูดจบก็ยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างลืมตัว รู้สึกถึงความซวย
“.....................”
“มึงได้กันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยหรอวะ หนอย ไอ้พวกเชี้ย กูส่งให้มึงไปเรียนแต่มึงไปเสียตัว ศักดิ์ศรีน่ะมีบ้างไหมไอ้ผ้า”
“อ่าว เป็นผู้ชายก็เสียตัวระหว่างเรียนไม่ได้หรอป๊า ผ้านึกว่ายกเว้น ผ้าจำได้เลยนะ ครั้งแรกของผ้า ตอนวันเกิดด้วย”
มึงหยุดพูดเถอะผ้า มึงยิ่งพูดกูยิ่งรู้สึกชะตาขาด คนผิดน่ะกูต่างหาก ไม่ใช่มึงงงงงงงงงง
“อ๋อที่มึงรีบกลับกรุงเทพฯเพราะแบบนี้เองหรอ? โถ ไอ้ลูกเหี้ย มึงเองก็เหมือนกันไอ้ผัวลูกชาย ไม่ให้เกียรติน้องมันบ้างเรอะ มึงมั่นใจแค่ไหนว่ามึงจะรักไอ้ผ้าตลอดไป ชิงสุกก่อนห่าม ไอ้ผ้ามันผิดที่ยอมมึง แต่มึงเองก็ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ กูจะบ้าตาย ไอ้ผ้า มึงไปถอนหญ้าในสวนเป็นการสำนึกผิดซะ”
ไอ้ผ้าตาโตเมื่อได้ยินที่พ่อพูด
“ป๊า สวนมันกว้างนะ ผ้าจะไม่เป็นลมไปก่อนหรอ?”
“อย่างมึงเนี้ยนะจะเป็นลม ถุยเถอะ ไปเลย รีบไป”
“ก็ด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ผ้าจะฟ้องม้า ว่าป๊าใจร้ายยยยยยยยยยยยยย”
แล้วมันก็สะบัดตูดออกไป ทุกอย่างเงียบลงเมื่อผ้าเดินออกไป ผมเงียบรอฟังที่พ่อพูด พ่อเองก็เงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“รู้ไหม พ่อมีลูกสามคน ไอ้วาด ไอ้ผ้าแล้วก็ไอ้พู่ แต่คนที่พ่อเป็นห่วงมากที่สุดกลับไม่ใช่ลูกสาวคนเดียว คนที่พ่อเป็นห่วงที่สุดคือผ้าใบ ผ้ามันเป็นเหมือนเทพอะไรสักอย่างที่ได้ยินเสียงความทุกข์ของคนในบ้าน และทุกครั้งที่มันได้ยิน มันก็จะทำร้ายตัวเอง พ่อพลาดที่รักษาครอบครัวไว้ไม่ได้ และพ่อไม่อยากสูญเสียใครในครอบครัวไป เอ็งก็เห็นว่ามันน่ะทำจริง ความรักน่ะมันไม่แน่นอนหรอกนะ พ่อกับแม่มันน่ะคบกันมาตั้งแต่อายุ16 จนตอนที่เลิกกันน่ะ 25ปีแล้วนะเอ็งรู้ไหม? ความรักมันเข้าใจยาก วันนี้รักอีกคน พรุ่งนี้อาจจะรักอีกคน ผ้ามันอาจจะดูบ้าไปบ้าง แต่เอ็งเชื่อเถอะ ต่อให้ผ่านไปอีกสักกี่สิบปี เอ็งก็จะไม่เสียใจที่เลือกคนอย่างมัน”
“ตั้งแต่ผมอยู่กับมันมา ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่ทำให้เราทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่มีสักครั้งที่ผมคิดจะหันหลังให้มัน อ้อมกอดของเรามีค่าเสมอ พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ วันแรกผมรู้สึกรักไอ้ผ้ายังไง วันต่อๆไปผมจะรักมันเท่าเดิม”
พ่อพยักหน้าสองสามทีก่อนจะยืนมือมาจับไหล่ผม
“เรื่องหลานน่ะ เอ็งไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ พ่อไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น”
“ผมตามใจไอ้ผ้ามันน่ะครับ”
“อือ ตามใจแล้วกัน ถ้าคิดจะมีก็รักเขาให้เป็นลูกแท้ๆ เงินทองขาดมือมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าขาดความอบอุ่นไปล่ะก็ เด็กมันน่าสงสาร เอ็งไปดูไอ้ผ้าไป ป่านนี้งอแงใหญ่แล้ว”
พ่อพูดแล้วหัวเราะเบาะๆ ผมยิ้มรับก่อนจะเดินมาทางหลังบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกผักสวนครัว ผมยืนกอดอกมองไอ้ผ้าที่มันนั่งยองๆหันหลังให้ผมแถมยังแหกปากร้องเพลงซะลั่นเลยด้วย
“ข้าขอสาบาน ต่อหน้าสุราจอกนี้ จะรักและเป็นคนดี ชีวิตนี้มอบให้เอ็ง...............
บอกอย่างไม่อาย จากชายหัวใจนักเลง หากข้าคิดนอกใจเอ็ง ชาติหน้าให้เป็นกะเทยยยยยยยยย~~~~~”“เป็นแค่ชาติเดียวก็คุ้มแล้วมั้ง”
“เหวย!!!!! พี่ซุส มาเงียบแบบนี้เกิดผ้าหัวใจวายตายขึ้นมาทำไงล่ะ!”
ผมหัวเราะที่ได้เห็นอีกคนตกใจจนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเดินลงไปนั่งข้างๆ
“แป๊บเดียวถอนได้เยอะขนาดนี้เชียว เชี่ยวชาญเรื่องหญ้านี่หว่า”
ไอ้ผ้ามันย่นหน้าก่อนจะยื่นหญ้าที่ถอนแล้วมาตรงหน้าผม
“หม่ำๆนะครับน้องซุส”
“เหี้ย มึงก็รู้ว่ามึงยื่นอะไรให้กูกิน กูก็กินหมดนั่นแหละ”
“หญ้าก็กินหรอ?”
“กิน”
ไอ้ผ้ามันยิ้มกว้าง หันกลับไปถอนหญ้าต่อเขินๆ
“คนอะไร เลี้ยงง่ายจัง”
“แค่รักก็พอ ต่อให้ป้อนดินก็จะกินให้หมดเลย”รู้สึกเลี่ยนตัวเองยังไงพิกลที่ต้องมานั่งป้อแฟนตัวเองให้เขินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พอได้เห็นหน้าไอ้ผ้าเขินก็นับว่าคุ้มล่ะนะ
“พักหลังๆนี้ ทำไมมึงไม่ค่อยตื้อกูเรื่องแต่งงานเลยวะ ตอนแรกเห็นตื้อชิบหาย ไม่อยากแต่งแล้วหรอ?”
“อยู่กินกันมาขนาดนี้แล้ว ทำไมพึ่งจะมาถามเล่า...........ผ้าคิดว่าแบบนี้มันก็โอเคแล้ว ไม่ต้องมีงานแต่งงาน ไม่ต้องมีเซอร์ไพรส์ใหญ่โต ผ้าพอใจที่เป็นอยู่แบบนี้ ไม่..........”
“แต่งงานกันนะ”“...............”
“คือกูคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่โมเมว่ามึงเป็นของกูทั้งๆที่กูไม่ได้ทำอะไรให้มันถูกต้องเลยสักอย่าง กูรักมึง กูบังคับให้มึงมาอยู่ด้วย กูมีอะไรกับมึงทั้งๆที่เราคบกันแค่ไม่กี่เดือน พอได้ฟังที่พ่อพูดกูยิ่งรู้สึกผิดกับมึง มันเท่ากับว่ากูไม่ให้เกียรติมึงเลย แต่งงานกันเถอะ ทำให้มันถูกต้อง กูจะคืนศักดิ์ศรีของมึงที่กูเอามาให้มึง ดีไหม?”
“................”
“ขอขมาพ่อ ที่ทำให้ท่านเสียใจ”
“................”
“สร้างครอบครัวที่มึง....ไม่สิ ที่เราอยากให้เป็น กูจะเป็นพ่อที่ดีของลูก เป็นคนรักที่ดีของมึง”
“พอแล้ว..........ฮึก จะให้ผ้าซึ้งจนน้ำตาท่วมสวนผักเลยปะล่ะ พี่ซุสรังแกผ้า ฮืออออออออออออ ไม่ไหวแล้ว เช็ดน้ำตาผ้าเลย”
ผมหัวเราะ ดึงไอ้คนที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆเข้ามากอดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ด้วยเสื้อของผมเอง ผมน่ะ จะยอมให้มันร้องไห้เพราะดีใจเท่านั้นแหละนะ
[[สวัสดีครับ ผมคือผ้าใบ]]
งานแต่งงานของผม ไม่สิ พิธีขอสู่ขอผมจัดขึ้นที่บ้านของผมเอง มันเป็นพิธีเรียบง่ายมากแต่ผมกลับชอบบรรยากาศแบบนี้จนน้ำตาจะไหลหลายรอบ เพื่อนๆผมมากันครบแม้บางคนจะมีงานที่สำคัญกว่าต้องทำ เพื่อนพี่ซุสเองก็มาพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นสามบอยแบนด์เช่นเดิม ส่วนพี่เป้ พี่พลับ ไอ้สน ก็ไม่ได้พลาด ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาทำให้เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปช่วงสมัยที่ยังเรียนมหาลัยกันอยู่ และทุกคนก็ดูมีความสุขกับผมมากๆ พูดไปน้ำตาก็จะไหล แอบไปร้องไห้ได้ไหมเนี่ย โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“อย่าคิดแม้แต่จะร้องไห้เชียวนะ”
ซินนี่เดินเข้ามายืนข้างๆก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้
“ไม่ได้ร้องโว้ย”
“หรอ ก็เห็นอยู่ว่าน้ำตาคลอเบ้า แต่ก็นะ ไม่ร้องสิแปลก กว่าจะมีวันนี้ กูเองยังคิดไม่ถึงเลย ดีใจด้วยนะเพื่อน”
ผมโผเข้ากอดซินนี่ทันทีที่มันพูดจบ ไอ้เต้เดินมาแตะไหล่ผมเบาๆ
“วันนี้งานมึง ไม่แน่คราวหน้าอาจจะเป็นงานกูก็ได้นะ”
เต้มันพูดแล้วหัวเราะ ผมชกไหล่มันเบาๆด้วยความหมันไส้
“ผ้า มีคนอยากจะคุยกับมึงว่ะ”
ในขณะที่เราสามคนกำลังหยอกกันอยู่ เอมก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่เดินตามหลังมาด้วย ผมปล่อยซินนี่ออกแล้วหันไปมองด้วยความแปลกใจนิดหน่อย
“เปรม?”
“งั้น........พวกกูไปรอที่หน้างานนะ”
เต้มันพูดแล้วผละออกไปพร้อมกับเอมและซินนี่
“มาด้วยหรอ? ทางเข้าบ้านเราลำบากปะ โทษทีนะที่กันดารไปหน่อย”
“ยินดีด้วยนะ”
“ห๊ะ.......อืม”
“ที่เรามาวันนี้ ไม่ใช่ว่าเราทำใจได้หรอกนะ แต่พอเรากลับไปคิดทบทวนดู สิ่งที่เราทำมันน่าเกลียดจริงๆ.............ตอนเราเดินเข้ามา เราเจอพี่ซุสอยู่กับเพื่อนๆที่หน้างาน เขาพูดถึงนาย ดูมีความสุขมาก ความจริงเราอยากให้เป็นเรา แต่ในเมื่อเราทำไม่ได้แล้ว เราก็จะมาแสดงความยินดี...............ขอบคุณที่ทำให้พี่ซุสมีความสุขนะ”
ผมยืนเงียบเมื่อเปรมพูดจบ เขาแอบก้มหน้าปาดน้ำตาเบาๆ ผมยกมือขึ้นจับไหล่อย่างปลอบประโลม
“ขอบคุณที่มาแสดงความยินดีนะ เปรมไม่ต้องร้องไห้หรอก ยังไงดีล่ะ คือเราปลอบคนไม่เก่งอะ ขอโทษนะ”
“อืมไม่เป็นไร”
“ไปถ่ายรูปกับพวกเราป่าว”
“เอาไว้ตอกย้ำเล่นใช่ปะ?”
“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ อ่า งั้นไม่ถ่ายก็ได้”
“เราล้อเล่น ไปสิ เดี๋ยวเราก็จะไปแล้ว”
“หือ? ไปไหน? กลับกรุงเทพหรอ?”
เปรมส่งยิ้มพร้อมส่ายหน้าให้ผมทั้งที่จมูกยังแดงๆอยู่เลย
“เราอยู่ที่นี้ไม่ไหวหรอก ประเทศไทยมันแคบนะผ้า เรามองไปมุมไหนก็เหมือนจะเห็นแต่อดีตของเราเต็มไปหมดเลย เราอยู่ไม่ไหวจริงๆ”
ผมเม้มปากแล้วดึงอีกคนเข้ามากอด ผมปลอบใจคนไม่เก่ง หากพูดอะไรออกกไปมันอาจจะตอกย้ำเปรมเอาก็ได้ เพราะงั้นผมขอกอดเปรมเงียบๆแบบนี้แหละนะ
ผมพาเปรมเดินมาที่ซุ้มถ่ายรูปหลังจากที่เขาร้องไห้จนพอใจ อย่าวาดหวังว่าซุ้มของเราจะมีดอกไม้เบ่งบานอะไรแบบนั้น ซุ้มถ่ายรูปของเราอุดมไปด้วยถังสี ขาตั้งวาดรูป กระดาษ ส่วนฉากหลังนี่เป็นลวดลายละเลงสีที่แบบว่าใครผ่านมาก็รู้ว่าไม่เจ้าบ่าวก็เจ้าสาวที่จบ’ถาปัตย์มาแน่นอน ส่วนอีกซุ้มก็เป็นของพี่ๆวิศวะเขาน่ะครับ จัดโดยพี่พลับและพี่เป้ พี่พลับน่ะโดนพี่ติวบังคับมา แล้วพี่พลับก็ไปบังคับพี่เป้เพื่อนยากมาอีกที สรุปพี่ติวแม่งเลว
“เห็นแบบนี้แล้ว อยากกลับไปเรียนเนอะ”
ไอ้หนุ่มพูดขึ้น แม่งจะพูดทำไม อุตส่าพยายามไม่ใจหายแล้วนะ T^T ขอไปเรียนอีกรอบได้ไหม สัญญาจะเป็นเด็กดี
“พอเรียนอยู่ก็อยากเรียนจบเร็วๆ คนเรามันก็แปลกจริง”
เอมมันพูดขึ้นบ้าง ผมมองหน้าเพื่อนๆ รวมถึงทุกๆคนในที่นี้แล้วแอบใจหายแรงๆ ทุกคนโตขึ้นเยอะ แม้ว่าจะปัญญาอ่อนเหมือนเดิมแต่ทุกคนมีความคิดความอ่านและความเป็นผู้นำ มีช่วงนึงตอนที่เราใกล้จะจบม.6 ผมบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรน่า เรายังมีเวลาใช้ชีวิตในมหาลัยอีกตั้งสี่ปี
และในวันนี้ เราใช้สี่ปีนั้นหมดไปแล้ว...........“คนเรามักจะเห็นค่าของสิ่งที่มันเคยมีในวันสายไปแล้วนะครับ”
น้องโปรดพูดขึ้นมาบ้าง ไอ้เต้หันไปมองแฟนมันขวับ
“พูดถึงใครปะเนี่ย ไอ้เมฆใช่ไหม?”
“เปล่า โปรดแค่พูดเฉยๆเอง พี่ผ้าดูสิครับ พี่เต้โวยวายใส่โปรดอีกแล้ว”
“อย่าทะเลาะกันทุกคน เรามาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึกกันดีกว่า ใครทำหน้าหล่อหน้าสวย โดนตบรอบกลุ่ม”
ไอ้หนุ่มยกมือห้ามน้องโปรดกับไอ้เต้และตั้งกติกาส้นตีนขึ้นมาอีกแล้ว ตลอดอะแม่ง แม้กระทั่งวันที่กูอยากหล่อมากที่สุดแม่งก็จะไม่ให้กูหล่อ ทำไม?
1
2
3
แชะ
บอกเลยว่าหน้าเหี้ยสมใจอยาก!!!!!
************************************************************************************************************************
สวัสดีจ้า ยังจำกันได้ไหมนิ นี่หายสาบสูญไปนานกว่าหกเดือน(หรือห้า?)ยังมีใครรอน้องผ้าอยู่หรือเปล่าน้า ไม่มีเวลาแต่งนิยายเหมือนก่อนเลย ฮือออออ อยากจิคราย แต่พอได้มาแต่งน้องผ้าต่อปุ้บ คือลื่นมาก แต่งอย่างมีความสุข (แอบกระซิบว่าเราลบเรื่องน้องจีไปแล้ว) เพราะไม่มีเวลาแต่งต่อ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานต่อๆไปของเค้าด้วยน้า จุ๊บบบบบบบบ