(ต่อจากด้านบน)
นี่ไม่ใช่พรหมลิขิต อาจใช้คำว่าเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่มันไม่ใช้พรหมลิขิตแน่นอน
“โอ่ยยยย ยอมแพ้! ยอมแพ้แล้ว!”
ฉันโอด ทิ้งตัวลงนอนกับลานอเนกประสงค์หลังจากสอนติ๋มจุมพลเต้นท่าแนะนำตัวของเรามาหลายชั่วโมง แต่เหมือนเพื่อนเก่าของฉันจะมีกำแพงบางอย่างกับท่าเต้นเกาหลี...หรือไม่ก็ตัวฉันเนี่ยแหละ!
ไม่เข้าใจ ท่าดึงธนูของโซนยอชิแดมันยากตรงไหน! แค่ดึงก้านธนูแล้วค่อยๆ ปล่อยอะแกรรรรรรรรร๊
“คนเนี้ยมาแรง สัญชาตญาณบอก!”
ฉันเสมองพี่สันทนาการที่ตั้งวงร้องเพลงแซวน้องกันตรงตีนบันไดคณะ หันไปรอบๆ ก็เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกำลังคิดท่าแนะนำตัวกับบัดดี้ตัวเองกันขมักเขม้น (โดยเฉพาะอัฐสุดหล่อกะยัยสโนไวท์ที่มีแต่คนไปรุม) เห็นแล้วยิ่งอิจฉา ฮือออ ทำไมฉันไม่มีบุญแบบนั้นบ้างว้า
“ขอโทษนะครับที่ผมเต้นไม่เก่งเลย” ติ๋มจุมพลหย่อนก้นลงข้างๆ ตัวฉันแล้วเริ่มพูดเสียงอ่อย ทำหน้าจ๋อยยิ่งดูน่าสงสาร x10
ฉันถอนหายใจแรง
“นายไม่ผิดหรอก” ถึงจะหัวร้อนแต่เห็นอย่างนั้นก็อดใจอ่อนไม่ได้ “ทำดีสุดแล้วนิ”
“ผมไม่เคยเก่งเรื่องแสดงออกเลย”
“ฉันรู้ ก็สงสัยอยู่ตอนรู้ว่านายเรียนสื่อสารมวลชน ความคิดแรกฉันแบบ...จริงเหรอวะ” ฉันแซว เห็นมุมปากเขากระตุกนิดนึง
“ผมอยากทำแมกกาซีนครับ” เขาอธิบาย
“รู้ นายเขียนเก่ง” ตอนเรียนม.ปลาย ติ๋มจุมพลอยู่ในทีมทำวารสารของโรงเรียนทุกปี
“คุณจีบล่ะครับ” เขาถามบ้าง “มาเรียนแมสคอมทำไม”
“ฉันอยากทำงานในวงการ”
“วงการอะไรเหรอครับ”
“ไก่ชนมั้ง ปัดโถ่” ถามมาได้เนาะไอ้ติ๋ม “วงการบันเทิงสิ”
“แบบแฟนพี่ชายคุณ” เขาหมายถึงธีร์ ดำรงเดช อดีตดาราดังที่ฉันเคยตามติ่ง เขาเป็นแฟนกับจุ๊บ ลูกพี่ลูกน้องของฉันมาสองปีแล้ว ใครๆ ก็รู้จักพวกเขาจากวีรกรรมเขย่าวงการเมื่อธีร์ออกมาเปิดตัวว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย
ฉาวมาก แต่ฉันก็รักพวกเขามากเช่นกัน
“ช่าย แต่ไม่ใช่ดารานะ” ฉันเล่า บิดขี้เกียจไปด้วย “ฉันอยากเป็นนักแสดงที่ขายฝีมือมากกว่าข่าวฉาว”
ติ๋มจุมพลพยักหน้ารับคำ “คุณจีบทำได้แน่ครับ”
“อันนั้นก็รู้ววววว” ฉันยอตัวเองอีกรอบ ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากเขา มันเป็นเสียงหัวเราะจริงใจที่ฉันไม่ได้ยินมาตั้งแต่ม.ต้น…นาทีนั้นก็นึกได้ว่าติ๋มจุมพลเป็นไม่กี่คนที่จะบ้าจี้ขำไปกับการยอตัวเองของฉันในตอนนั้น ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่จะหมั่นไส้มากกว่า
คนอะไรขำได้ทุกอย่างที่ฉันพูด จะว่าไปก็คิดถึงเสียงหัวเราะเขาเหมือนกันแฮะ
เราเงียบกันไปสักพัก แล้วฉันก็ตัดสินใจทำลายความเงียบนั้น
“ทำไม...เชียงใหม่?”
ติ๋มจุมพลหันมามองฉันแบบงงๆ ฉันก็งง ถามอะไรของมันวะ
“หมายความว่า...ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยว่านายจะแอดมาเชียงใหม่ด้วย แถมยังคณะเดียวกันอีก”
เขาหน้านิ่วไปเพราะคำถามนั้น ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นให้ชิดจมูกโด่ง “เอ่อ...เพราะผมไม่เคยคุยกับคุณจีบเรื่องนี้ครับ”
“อันนั้นก็รู้ไง้” ฉันหัวเราะ “นายไม่เคยคุยกับฉันสักเรื่องเลยเหอะที่จริง”
“...”
“ตั้งแต่จบม.ต้น ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรกับฉันเลยวะ”
ติ๋มจุมพลดูตกใจที่อยู่ๆ ฉันก็ถามคำถามที่อยู่ในใจมาตลอด เขาเงียบไปสักพัก
“ผม...ผมไม่รู้จะคุยอะไร”
“เร้อ”
“อาจเพราะเราต่างคนต่างแยกกันไปมีเพื่อนกลุ่มใหม่มั้งครับ”
“หื้มมมม” ฉันทำท่านึก “แต่สามปีที่ผ่านมา ฉันคิดมาตลอดเลยนะว่านายโกรธฉัน”
“...”
“นายโกรธอะไรฉันสักอย่าง จริงปะ”
“คุณจีบ ผมไม่รู้จะคุยอะไรจริงๆ” เขายืนยัน “ผมไม่กล้าโกรธคุณหรอกครับ”
“ไม่ได้โกรธ...งั้นก็แปลว่าชอบดิ”
ฉันหยอด คราวนี้เขาหันมามองฉันด้วยแววตาตกใจนิดหน่อย
“เอ๊า เหมือนในนิยายไง พระเอกไม่คุยกับนางเอกเพราะชอบ และกลัวทำลายความเป็นเพื่อนระหว่างเรา เลยต้องมองห่างๆ มาตลอด”
“...”
“พอเรียนจบแล้วก็ยังตัดใจไม่ได้ ก็เลยยอมแอดตามฉันมาที่เชียงใหม่ ใช่ปะ”
ติ๋มจุมพลไม่ตอบ และการไม่ตอบของเขาดันทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเราขึ้นแทน
เขาสบตาฉัน ทันใดฉันก็รู้สึกว่าแววตาที่เขามองฉันเจือไปด้วยความไม่มั่นใจอยู่ในนั้น …แถมแก้มยังแดงระเรื่ออย่างกับตำลึงสุก
ติ่มจุมพล...นายกำลังทำให้ฉันคิด...ว่าสิ่งที่พูดไปมันจริงนะเว้ย
แง
“ซ้อมดีกว่าครับ!” อยู่ๆ เขาก็ถลาลุกขึ้น แต่เหมือนจะลุกขึ้นเร็วเกินไป แว่นของเขาจึงกระเด็นตกลงบนพื้น
และนั่นเป็นครั้งแรก...ที่ฉันได้เห็นติ๋มจุมพลตอนถอดแว่น
“ก็ไม่ติ๋มนี่หว่า” ฉันเอื้อมมือไปเก็บแว่นให้แต่ยังไม่ละสายตาไปจากเขา คนตรงหน้าอ้าปากหวอ
“อะ...อะไรนะครับ”
“ฉันบอกว่านายถอดแว่นแล้วก็ไม่ติ๋มนี่หว่า” ฉันลุกขึ้น ยังไม่คืนแว่นให้ ทว่าเอื้อมมือไปจับหน้าเขาเบาๆ
“หน้านายโคตรใส ดูเฉิ่มเพราะแว่นที่ใส่จริงๆ นะ”
“คะ...คุณจีบ”
“หล่อว่ะ” “...อย่าทำแบบนี้เลยครับ”
“เอ๊า ฉันพูดจริง”
“คะ..คืนแว่นผมเถอะคร้าบ”
“รู้แล้วๆ แหมหยอดนิดหยอดหน่อยเอง” ฉันแซวเพราะหน้าติ๋มจุมพลเปลี่ยนจากลูกตำลึงไปเป็นมะเขือเทศสดแล้ว เขารับแว่นไปใส่ ก้มหน้างุด
“ระ...เรามาซ้อมกันต่อดีกว่าครับ”
เขาพูดเสียงสั่นทำให้ฉันขำ ทว่า...ก่อนที่เราจะทันได้ซ้อมต่อ เสียงนกหวีดบอกสัญญาณหมดเวลาก็ดังขึ้นซะก่อน
ปรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!
“น้องๆ มารวมกันตรงนี้เลยค่า” เจ๊โทรโข่งประกาศ “ถึงคราวต้องโชว์ท่าแนะนำตัวให้พวกพี่ดูล้าวววววว”
“ฮะ? ฮะ?!!!” ฉันกระวีกระวาดมองนาฬิกาข้อมือลายคิตตี้ของตัวเอง ตัวเลขบนนั้นโชว์หราว่า 16:55 “พี่ เหลืออีกตั้งห้านาที!!!”
“ห้านาทียังจะนับอีกเหรออออ”
“นับสิโว้ยยยค้าาาา”
“เอ๊า ห้านาทีก็ห้านาที!”
ฉันกระโดดเย้ แต่ในใจร้องไห้แรง ติ๋มจุมพลมันยังดึงธนูไม่ได้โว้ยยยยย
“อยากต่อเวลาสักชั่วโมงจัง” ฉันบ่น และเริ่มซ้อมกับเขาอย่างมุ่งมั่น
ไม่ทันรู้ตัวว่าในนาทีนั้นบางอย่างเกิดขึ้น
“เอออย่างนั้นแหละ เยสสสสส”
ราวยี่สิบนาทีผ่านไป...ในที่สุดติ๋มจุมพลก็ทำได้สักที เขาซ้อมเต้นจนเหนื่อย ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาอยู่หลายรอบ
“ทำไมห้านาทีมันนานจังเลยนะครับ”
“จริง ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่ายังไม่หมดเวลาอีก”
ฉันบอกเขา รู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง พอยกมือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาบ้างก็ต้องตกใจ ไม่ใช่แค่เพราะเวลาเหมือนไม่เดินจริงๆ...แต่ตอนนี้ท้องแขนข้างขวาของฉันปรากฏตัวเลขดิจิตอลสีส้มสว่างขึ้นมา มันขึ้นเวลา 16:55 และกะพริบถี่เหมือน...เหมือนเราต่อเวลาได้
น่าตกใจกว่านั้น คือฉันเคยเห็นตัวเลขแบบนี้ที่แขนของพ่อและแม่
อยากต่อเวลาสักชั่วโมงจัง ...ฉันนึกไปถึงคำที่ตัวเองพูดไปแบบส่งๆ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
หรือว่าฉัน...
“คุณจีบ แขนคุณมี...ตัวเลขเหรอครับ”
“นายก็เห็นเหมือนกันเหรอ”
โคตรน่าตกใจของตกใจคือ...ติ๋มจุมพลก็เห็น!
เฮ้ย!! เดี๋ยวๆๆๆ เดี๊ยววววววว
“จิ๋มตุมพล!” ฉันร้องเสียงดังด้วยความหวาดระแวง รีบพูดเกิน ลิ้นพันเลยอีผี “จีบฉันซิ!”
“อะ...อะไรนะครับ”
“นายช่วย...จีบฉัน ชมว่าฉันสวย อะไรก็ได้” ฉันพยายามหาเหตุผลมาซับพอร์ตสิ่งที่เกิดขึ้น ความสะพรึงท่วมท้นจิตใจ แต่ก็คิดไว้ว่าพิสูจน์ไปเลยมันจะได้จบๆ
“คุณจีบ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ติ๋มจุมพลดูกลัวฉัน ฉันก็กลัวตัวเองตอนนี้ แง้
“แค่พูดว่าฉันสวยมันยากรึไงหาาาาา” ฉันเข้าไปยื้อคอเสื้อของเขา คนใส่แว่นหลับตาปี๋ “แค่พูดมันออกมาาาา”
“คุณจะ...”
“พูด!”
“สวยครับสวย!” เขายอมพูดในที่สุด “คุณจีบสวยครับ!”
ฉันสูดลมหายใจ เปล่งวาจาออกมาดังลั่น
“ฉันอยากให้เวลากลับมาเดินเหมือนเดิม” ทันใดนั้น ตัวเลขนาฬิกาบนแขนขวาของห้องหยุดกระพริบชั่วครู่ มันเดินต่อไปที่ 16:56
“อีกสี่นาทีนะคะน้องๆ” เจ๊โทรโข่งประกาศ เพ่งเล็งมาที่ฉันเป็นการส่วนตัว
“คุณจีบ ผมไม่เข้าใจอะ มันเพิ่งเกิดอะไรขึ้นครับ”
“ฉันมีพลัง...” ฉันกระซิบ เขย่าข้อมือช้าๆ “ฉันมีพลังแล้ว!”
“พลังเหรอครับ?”
“ขออีกทีนึง” ฉันยังไม่สาแก่ใจเพราะนึกไปถึงคำของยายในจดหมาย ท่านบอกว่าฉันจะเป็นคนที่มีพลังเยอะที่สุดในบ้าน เป็นเดอะฮัลค์ของทีมอเวนเจอร์อะไรเทือกนั้น
ซึ่งจากสันนิษฐานของฉัน...น่าจะเป็นแบบนี้
“นายไม่ใส่แว่นแล้วหล่อมากๆ มากแบบมากๆๆๆๆ” ฉันบอกต่อหน้าเขา “ฉันชอบนาย!”
“เฮ้ยยยยย”
“ฉันอยากให้เวลาหยุด!” ฉับพลัน ทุกเสียงรอบข้างก็เงียบสงัด ฉันเห็นไม้กลองของพี่สันทนาการลอยอยู่เหนือกลอง ฉันเห็นยัยตุ๊ดสโนไวท์กำลังทำท่ากระโดดโลดเต้นอยู่กลางอากาศ และฉันเห็นใบไม้ที่หล่นลงมาจากต้นกำลังเท้งเต้งห่างจากพื้นดิน...สิ่งมีชีวิตที่รายล้อมตัวเรานิ่งค้างเหมือนถูกหยุดไว้ชั่วขณะ
ภาพแบบนี้ที่จุ๊บเคยเล่าให้ฉันฟัง…ตอนที่เขากับธีร์ยังใช้พลังกันได้อยู่
“โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า โอ้ววววพร๊าจ๊าวววววว!” ฉันกรี๊ดในลำคอ ส่วนติ๋มจุมพลเหวอกินกว่าเดิม “นี่มันบ้าไปแล้ว”
“คุณจีบ คุณทำอะไรครับ” เขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ละ...ละทำไมรอบๆ เราถึง...”
“ฉันต้องโทรหาพ่อกับแม่เดี๋ยวนี้เลย!” ฉันบอกเขาแล้วควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า รอสายไม่นานเสียงพ่อก็ดังทักทาย
“จีบว่าไงลูก”
“พ่อ แม่อยู่นั่นเปล่า”
“นั่งอยู่ข้างๆ กันเนี่ย มีอะไรหรือเปล่า”
“หนูอยากให้ทั้งสองคนฟังพร้อมๆ กัน” ฉันสูดลมหายใจตั้งสติ พูดสิ่งที่ทั้งคู่ไม่อยากได้ยินที่สุดในวันแรกของการเปิดเทอมออกไป
“หนูว่าหนูจะได้แฟนเป็นเด็กเนิร์ด”
“ลูกว่าไงนะ!” พ่อแม่
“อะไรนะกั๊บบบบบบ T_T” ติ๋มจุมพล
“และหนูว่าเจอพลังของหนูแล้ว”
“ห๊าาาาาาาา”
“หนูสั่งเวลาได้”
#จีบที
#จุ๊บที
30 พฤษภาคม 2559 เป็นวันที่เราเริ่มแต่งจุ๊บที
ครบรอบสองปีก็เลยคิดถึง จึงเขียนหา
คันมืออยากเขียนเรื่องน้องจีบมานาน ตอนแต่งก็จินตนาการว่าความรักของเด็กแสบแบบนี้จะเป็นยังไงนะ
หวังว่าทุกคนจะชอบกันค่ะ
ตัวแม่*