:: CHAPTER 4 ::
“ครับ คอนเฟิร์มบุ๊คกิ้งของวันที่ยี่สิบสามครับ...ได้ครับ...ขอบคุณครับ”
ธาริณตอบรับก่อนจะวางสายโทรศัพท์ลง เขาเอื้อมมือไปหยิบปากกแล้วขีดรายการแรกของลิสท์ออกไป ธาริณกวาดสายตามองรายการที่เขาจะต้องจัดการในวันนี้แล้วอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ สัปดาห์นี้คุณเมธาตารางแน่นจนแทบขยับอะไรไม่ได้ รายการร้านอาหารและที่พักรวมถึงตั๋วเครื่องบินที่ต้องจองนั้นยาวเป็นหางว่าว ยังดีที่วันนี้คุณเมธาดูเห็นอกเห็นใจเขาเป็นพิเศษ จึงเรียกให้คนอื่นไปจดบันทึกการประชุมแทนแล้วยอมให้เขาจัดการเคลียร์ทุกอย่างอยู่ที่บริษัท ธาริณไม่มีเวลาจะบ่นได้นานเพราะต้องจัดการโทรไปย้ำกับรานอาหารสำหรับพรุ่งนี้ต่อทันที
“สวัสดีครับ ผมจองโต๊ะไว้เมื่อวัน...”
“พี่ธีร์ครับ!” ธาริณขมวดคิ้วแล้วหันไปมองรุ่นน้องคนสนิททันที ปกติแล้วไม่ว่าใครจะโทรศัพท์อยู่ตามมารยาทแล้วก็ไม่ควรพูดเสียงดังแทรกแบบนี้ ยิ่งเป็นไอ้ก้องที่รู้จักเขาดีกว่าใครแล้วยิ่งไม่น่าจะทำ เขายกมือขึ้นเป็นเชิงให้หยุดพูดแต่เหมือนจะไม่ได้ผลเอาเสียเลย
“ด่วน-มาก!”
...เชี่ยไรเนี่ย
“สักครู่นะครับ” ธาริณบอกกับปลายสาย เขายกมือขึ้นปิดไม่ให้เสียงเข้าไปในโทรศัพท์ก่อนจะหันมาเพื่อดุรุ่นน้องทันที
“ไอ้ก้องหุบปาก”
“พี่ คุณเมธาบอกให้ออกไปภายในเที่ยง” แต่สีหน้าแตกตื่นและท่าทีร้อนรนของรุ่นน้องก็ทำให้ธาริณเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ปกติแล้วก้องจะฟังเสมอถ้าเขาออกปากห้าม ทั้งยังไม่ใช่คนเสียมารยาท
“เดี๋ยว ขอกูเคลียร์ร้านนี้ก่อน” แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องคุยกับทางร้าอาหารต่ออยู่ดี ธาริณจึงตัดสินใจให้ความสำคัญกับการจองร้านอาหารแต่พูดให้รวบรัดและจบลงภายในไม่ถึงนาที เมื่อวางสายแล้วจึงหันมาทางรุ่นน้องคนสนิท
“มีไรวะ”
“คุณเมธาโทรมาบอกให้พี่ธีร์ออกไปตึกMuse คุณโชติเขามาขอร้องทางเราให้ส่งพี่ไปช่วยน้องกันต์”
...โฮลี่ชิท
“ทำไมต้องให้เราช่วย”
“คุณโชติเขาอยากให้กันต์เข้าประชุมไวรัลงานครบรอบจะได้เจอน้องโยของค่ายเรา ล็อกตารากันไว้แล้วแหละแต่งานมีทติ้งของกันต์มีคิวแทรกแล้วเลื่อนมาชน ทีนี้กันต์สัญญากับแฟนคลับไว้แล้ว”
แม่ง ถ้าไม่ติดว่าคุณเมธาสั่งก็อยากย้อนไปว่าเกี่ยวไรกับกูวะ
“แล้วทำไมเขาไม่แจ้งมาล่วงหน้า”
“โหพี่ ผมก็รู้แค่นี้ เรื่องคงจะไปดองไว้ที่ใครสักคน”
ธาริณไม่ค่อยเชื่อเพราะถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับคุณเมธาเขาควรจะได้รับรู้ก่อน แสดงว่าเป็นการติดต่อโดยตรงและจงใจให้เขาเพิ่งมารู้วันนี้แน่นอน เรียกว่าไม่ให้โอกาสปฏิเสธนั่นเอง
...ร้ายมาก
“เขาบอกว่าพี่ไม่ต้องแจกลายเซ็นนะ สโคปงานคือแค่ยืนถ่ายรูปพบปะประชาชนเฉยๆ อ่ะ ไปด่วนเลยพี่”
“แต่กูไม่ได้เตรียมตัว พลาดชัวร์”
ธาริณเถียงทันที บางคนอาจไม่รู้ว่าการออกงานในทุกโอกาสของเขาต้องผ่านการรีเสิร์ชอย่างหนักขนาดไหนเพื่อวางตัวให้เหมาะสม คราวนี้ถ้าจะให้เขาไปเป็นตัวแทนของอีกคนนอกจากจะต้องศึกษาลักษณะท่าทางและนิสัยแล้วอาจต้องศึกษาไปถึงข้อมูลแฟนคลับ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน เขาไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียวแน่นอน
“ศึกษาไปเท่าที่ทำได้แล้วกันพี่”
ก้องยื่นชุดที่ถืออยู่ในมือให้อย่างแรงจนเหมือนจงใจยัดเสื้อผ้าให้เขาเสียมากกว่า ธาริณเลยจำต้องรับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะว่าไปเขาก็ยังไม่ได้รับคำสั่งโดยตรงจากเจ้านายตัวเองเขาจึงยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่แล้วความคาดหวังของเขาก็ต้องสลายไปเมื่อมีข้อความจากคุณเมธาเข้ามาในมือถือ
มาถึงภายในเที่ยงนะ งานเริ่มบ่ายสอง
ธาริณอ่านข้อความเสร็จก็เหลือบสายตาไปทางรุ่นน้องคนสนิททันทีก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มกวนตีนของมัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“รีบเลยพี่ เร็วๆ”
“เออ มึงหุบปากเดี๋ยวนี้เลย”
ธาริณชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นแบบนี้ ถ้าวันไหนมันมีปัญหาขึ้นมาเขาจะซ้ำเติมให้ดูบ้าง!
สภาพของเขาหลังฉีกยิ้มถ่ายรูปกับแฟนคลับวัยรุ่นนับร้อยนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือด บางทีทั้งคุณโชติและคุณเมธาอาจลืมไปแล้วว่าอายุของเขาก็เลยวัยที่จะชื่นชอบกิจกรรมทำนองนี้ไปแล้ว ธาริณเอียงคอไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อหลังจากหันหน้าเปลี่ยนมุมเซลฟี่มานับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเซลฟี่เยอะขนาดนี้มาก่อน นอกจากคอแล้วเขาก็ยังรู้สึกเมื่อยปากเมื่อยหน้าไปหมดจนต้องสัญญากับตัวเองไว้เลยว่า วันนี้ที่เหลือเขาจะไม่พูดไม่ยิ้มกับใครอีกแล้ว
“พี่กันต์คะ ขอถ่ายรูปหน่อยค่า”
เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งเรียกให้ธาริณหันกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเธอมีมือถืออยู่ในมือ ธาริณก่นด่าอยู่ในใจ เขาบอกไปอย่างชัดเจนแล้วว่าจะกลับแล้วแต่ก็ยังมีคนมาตามอีก เขาจึงตัดใจยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วหันไปถ่ายรูป พยายามปลอบใจตัวเองว่าคงจะเป็นคนสุดท้ายจริงๆ แล้วแหละ
“ขอบคุณนะคะ” เด็กสาวพูดจบก็เก็บมือถือไป แต่แล้วกลับกำมือแล้วยื่นออกมาด้านหน้า ทำเอาธาริณชะงักไป พอจะทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้ เพราะเมื่อเห็นเขาไม่สนใจเธอก็ยิ่งยื่นมือเข้ามา เขาไม่รู้เลยว่าปกติกันต์มีท่าทางประจำตัวไว้เล่นกับแฟนคลับยังไงบ้าง สุดท้ายเลยตัดสินใจกำมือแล้วยกขึ้นชนเบาๆ กับคนตรงหน้า
แต่กลายเป็นว่าเด็กสาวกลับทำหน้าไม่พอใจปนสงสัย “พี่กันต์ต้องแบมือสิคะ”
“จริงด้วย” ธาริณแสร้งเป็นจำไม่ได้แล้วพยายามทำสีหน้าให้ดูสมจริงที่สุด ก่อนแบมือแล้วไปชนกับกำปั้นของแฟนคลับอย่างถูกต้องในที่สุด
เมื่อเด็กสาวมีท่าทีพอใจแล้วเขาก็ลอบถอนใจก่อนจะส่งยิ้มกลับไปให้ดังเดิม “ครั้งหน้ามาเจอกันอีกนะครับ”
“ไปแน่ๆ ค่ะพี่กันต์”
“ขอบคุณครับ”
ดูเหมือนรอยยิ้มสุดท้ายของเขาจะทำให้เด็กสาวลืมเรื่องที่เขาทำท่าทางผิดเมื่อครู่ไปทันทีเพราะเธอยิ้มไม่หุบและหลุดกรี๊ดออกมาเบาๆ เห็นดังนั้นธาริณจึงฉวยโอกาสบอกลาแล้วตรงเข้าด้านหลังทันที
“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะคุณธีร์ นารายงานคุณโชติเรียบร้อยแล้วค่ะ”
หลังจากจบงานและเปลี่ยนชุดกลับเรียบร้อย ผู้จัดการอีเว้นท์ก็เดินเข้ามาหาในโซนแต่งตัวก่อนจะเข้ามาขอบคุณเขายกใหญ่ ปกติแล้วใครขอบคุณได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เขาจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่คราวนี้เขาจะไม่พูดคำนั้นเด็ดขาดเพราะมันลำบากสำหรับเขามาก แล้วพี่นาอะไรนี่ก็ควรต้องขอบคุณเขาจริงๆ นั่นแหละ
“ครับ” เขาตอบรับคำขอบคุณนั้นพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท
...เชี่ย เขาต้องยิ้มอีกแล้ว!
“คุณโชติฝากบอกว่าถ้ามีโอกาสอยากเลี้ยงตอบแทนคุณธีร์ด้วยค่ะ”
ความจริงธาริณก็คิดว่าอีกฝ่ายควรเลี้ยงตอบแทนแหละ แต่ถ้าต้องมาเจอคนเหล่านี้เขาก็พร้อมจะปฏิเสธอย่างสุภาพทันที แค่คิดว่าจะต้องเจอความวุ่นวายแบบนี้อีกเขาก็เซ็งมากแล้ว
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เรื่องเล็กน้อยมาก ผมเกรงใจ”
“แต่ว่า...”
“ไม่ เป็น ไร จริงๆ ครับ”
ธาริณย้ำทุกพยางค์อย่างหนักแน่นเพื่อสื่ออย่างชัดเจนว่ายังไงเขาก็ไม่ใจอ่อน ใบหน้าของเขาคงแสดงความหงุดหงิดออกมามากจริงๆ เพราะหลังจากพูดไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตามตื๊อให้เขาดตอบรับคำชวนอีกเลย แต่แล้วประโยคถัดไปของเธอก็ทำให้เขาต้องนิ่งไป
“คุณพิ้งค์แจ้งมาว่าเดี๋ยวจะเข้ามารับคุณธีร์นะคะ”
เนื่องจากฝ่ายนั้นยืนยันมาขนาดนี้เขาจึงจำใจต้องนั่งรออีกสักพักจนกระทั่งพิ้งค์โทรมาบอกว่าถึงด้านหน้าอาคารแล้วจึงได้เดินลงไปตรงจุดนัดหมาย และความซวยก็ไม่ปล่อยให้คนอย่างเขาได้รอดพ้นจากวันเหนื่อยๆ ไปอย่างสงบสุข เพราะทันทีที่เขาออกมายืนหน้าอาคารก็มีแฟนคลับบางส่วนที่ยังคงอยู่ในบริเวณนั้นวิ่งตรงเข้ามาหา
“พี่กันต์!!!”
“ขอถ่ายรูปหน่อยค่า”
เร็วกว่าคลิปไวรัลก็คงเป็นการที่ชื่อของเขาโดนกระจายจากวัยรุ่นกลุ่มนั้นไปจนถึงคนรอบข้างในเวลาไม่กี่นาที ตอนนี้ธาริณไม่มีสมาธิพอในการพูดโทรศัพท์กับพี่พิ้งค์อีกต่อไป เขาจึงบอกว่าจะติดต่อไปทีหลังพร้อมขอโทษอีกที่ไม่สามารถเดินไปที่อื่นที่สะดวกกว่าสำหรับอีกฝ่ายได้แล้วรีบวางสายไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายนั้นจะวนรถเข้ามาตรงนี้ได้ไหม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวคือ...เขาต้องรอด!
คิดได้แบบนั้นธาริณเลยรีบวิ่งหนีออกไปอีกทิศทาง โชคยังดีที่เหล่าแฟนคลับไม่คุกคามจนวิ่งตามมาแต่ดูจากจำนวนมือถือที่ยกขึ้นมาถ่ายเมื่อครู่ก็พอรู้แล้วว่าใบหน้าของเขาคงได้ไปโผล่ในโซเชียลมีเดียไม่ต่ำกว่าสิบรูปแน่นอน เขาหยุดวิ่งทันทีเมื่อได้ที่หลบตรงซอกระหว่างอาคารกับเสาต้นใหญ่ เขาเอามือข้างหนึ่งยันเสาไว้ หอบหายใจพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ยิ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อกี้ ตอนนี้สภาพของเขาเรียกว่าดูไม่ได้และความเปียกความเหนียวนี้ก็เหมือนเพิ่งไปอาบน้ำมา
...แล้วสภาพแบบนี้จะไปเจอใครได้วะ
ธาริณลอบถอนใจอย่างปลงๆ พลางต่อสายหาพิ้งค์อีกครั้งพร้อมบอกตำแหน่งที่ยืนอยู่ เขาแอบได้ยินอีกฝ่ายบ่นทำนองว่าทำไมไปยืนอยู่ตรงนี้ได้ แต่แน่นอนว่าเขายังไม่พร้อมจะอธิบายอะไร
“คุณธีร์คะ ตรงนั้นรถเข้าไปไม่ได้ค่ะ” พี่พิ้งค์เส้นช่วงไปเหมือนกำลังเช็คเส้นทาง “รบกวนเดินออกมาตรงหน้าประตูหลังแทนแล้วกันค่ะ”
เขากำลัจะเถียงว่านั่นมันที่ๆ เข้าเจอกับแฟนคลับเมื่อกี้ แต่แล้วพิ้งค์ก็รีบแทรกขึ้นก่อน
“เดี๋ยวสักห้านาทีค่อยออกมานะคะ จะได้รีบวิ่งขึ้นรถเลย”
“...อย่างนั้นก็ได้ครับ”
หลังจากรอจนครบห้านาทีแล้วเขาจึงเดินออกมาด้านหน้าอีกครั้งก่อนจะพบว่าแฟนคับกลุ่มเดิมยังอยู่ ซำยังดูเหมือนมีจำนวนมากขึ้นด้วย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเดินผ่านไปอยู่ดี ธาริณสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของตนเองก่อนจะเดินต่อไปในทิศทางนั้น
“พี่คะขอถ่ายรูปได้ไหมคะ” เวร เอาแล้วไง
“คือว่า...”
“กันต์! ขึ้นรถเร็ว เราต้องรีบไปแล้วนะ”
ถือว่าเขายังทำบุญมาดี เพราะด้านหน้าของเขามีรถสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่และลดกระจกลงทันทีเมื่อเห็นเข้าเดินมา พิ้งค์ยิ้มทักทายเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังรีบ สำหรับธาริณแล้วนี่เป็นเสียงที่เหมือนพระผู้ให้รอดเพราะมันทำให้เขาหันกลับไปปฏิเสธได้ทันที
“พี่กันต์” เสียงของเด็กสาวตรงหน้าเริ่มอ่อนลง
“ขอโทษนะครับ พี่ต้องรีบไป...เอ่อ ถ่ายแบบ”
ณ จุดนี้เขาจะไม่สนใจว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริงหรือเปล่า จะถ่ายแบบหรือทำห่าอะไรช่างมันแล้ว! ธาริณรีบเปิดประตูข้างคนขับเข้าไปนั่งทันที แต่แล้วเด็กสาวคนนั้นกลับเรียกเขาไว้อีกที
“งั้นสู้ๆ ค่ะพี่กันต์ หนูจะคอยติดตามนะคะ”
“โอเคครับ ขอบคุณนะ” เขายิ้มหวานที่สุดเท่าที่ทำได้ แอบคิดอยู่ในใจว่าแฟนคลับกันต์ก็ไม่ได้เป็นซอมบี้วิ่งไล่ไปซะทุกคน เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกลาก่อนจะปิดประตูรถ
“เฮ้อ ขอบคุณมากครับ” ธาริณถอนหายใจยาวออกมาทันทีและเขาคงจะถอนใจดังไปหน่อยเพราะมันทำให้คนบนรถหัวเราะขึ้นมา แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ธาริณตกใจเสียเองเพราะเสียงหัวเราะนั้นดังมาจากเบาะด้านหลัง
อย่าบอกนะว่า...
“เจ๋งมากเลยครับพี่ธีร์”
เชี่ย กันต์ตัวจริงแม่ง อยู่ ใน นี้!
ธาริณมองใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ในขณะที่เขาเจอความยากลำบากจากใบหน้าที่คล้ายกันนี้มาทั้งวัน อีกฝ่ายกลับไม่สลดใจอะไรทั้งนั้น
“ฮ่าๆๆ แต่ผมไม่ได้ไปถ่ายแบบนะครับ”
...เออ ตลกมากดิ
กันต์ไม่ได้ไปถ่ายแบบจริงอย่างที่พูด เพราะพี่พิ้งค์ผู้จัดการส่วนตัวไม่ได้ขับรถไปที่สตูดิโอไหนแต่เลี้ยวรถเข้าบริษัท ธาริณมองตึกของบริษัทคู่แข่งอย่างอดสะเทือนใจไม่ได้ เขาทำงานกับคุณเมธามาหลายปีไม่เคยได้มาที่นี่สักครั้งแต่พอได้มาครั้งหนึ่งแล้วก็เหมือนจะต้องมาติดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
“กันต์ไปรอที่ห้องประชุมเลยนะ เดี๋ยวพี่วนไปส่งคุณธีร์ก่อน”
“ครับ”
“ถ้าพี่กลับมาไม่ทันฝากบอกด้วย รถน่าจะติด”
“ได้ครับ”
เมื่อดูจากสีหน้าเป็นกังวลที่มองสภาพการจราจรผ่านจีพีเอสในจอแล้วธาริณกลับเป็นฝ่ายเกรงใจเสียเอง ยังไงวันนี้เขาก็ออกมาแล้วแถมยังไม่ต้องกลับเข้าบริษัทอีก จะกลับบ้านช้าสักนิดคงไม่เดือดร้อนมาก
“ถ้าอย่างนั้นผมรอกลับพร้อมกันต์ก็ได้ครับ”
“ไปส่งดีกว่าคะ รบกวนคุณธีร์หลายเรื่องแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นขอบคุณมากนะคะ” พิ้งค์กล่าวอย่างจริงใจก่อนหันไปบอกนักแสดงในความดูแล “กันต์พาคุณธีร์ขึ้นไปด้วยเลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่เอารถไปจอดก่อน”
“ได้ครับ”
เมื่อพิ้งค์พูดแบบนี้กันต์จึงเป็นฝ่ายเปิดประตูรถเดินนำลงไปก่อนธาริณเลยค่อยเดินตามไป เขาเดินไปด้วยกันเงียบๆ โดยที่กันต์คอยทักทายคนที่เดินผ่านจนธาริณนึกแปลกใจว่าการเป็นนักแสดงต้องทักทายทุกคนขนาดนี้เลยเหรอ อาจเพราะกันต์ยังถือว่าอายุไม่มากและเพิ่งเข้ามาในค่ายไม่นานจึงต้องนอบน้อมกับทุกคน กว่าจะเดินไปถึงลิฟท์ธาริณก็อดเห็นใจไม่ได้ ขนาดเขาที่เป็นเลขามาค่อนข้างนาน ตอนเริ่มเข้าบริษัทยังไม่ต้องทำตัวนอบน้อมกับพนักงานรุ่นพี่ขนาดนี้ ทันทีที่ประตูลิฟท์ปิดลงกันต์ก็หุบยิ้มทันทีพร้อมถอนหายใจยาวเหยียดมองตัวเลขเคลื่อนไปเรื่อยจนหยุดอยู่ที่ชั้นสิบสอง
“เดี๋ยวผมเข้าไประชุมในห้องนั้น พี่ธีร์เข้าไปด้วยก็ได้นะครับ”
ธาริณก้มมองนาฬิกาในมือถือก่อนพยักหน้า จะกลับไปตอนนี้ยังไงรถก็ติดคงต้องอยู่รอก่อนสักชั่วโมง เขาเดินตามกันต์เข้าไปนั่ง ห้องประชุมของที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ตึกบริษัทเขาเท่าไหร่
“พี่ธีร์ครับขอบคุณมากที่วันนี้ไปออกงานแทนนะครับ” หลังจากเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้วคนเด็กกว่าก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้น คำขอบคุณที่จริงจังแบบนี้จากคนตรงหน้าทำเอาธาริณปรับความคิดไม่ทัน
“ไม่เป็นไรหรอก”
“แล้ว...พี่ธีร์ไม่มีธุระอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ” กันต์ยิ้มพลางถามต่อ พยายามทำตัวให้ดูมีมารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ครับ”
“งั้นผมฝากอยู่หน่อยนะ จะลงไปซื้อน้ำที่เซเว่นข้างล่าง” กันต์พูดพลางหยิบกระเป๋าสตางค์กับมือถือจากกระเป๋า
“อ้าวแล้วถ้า...”
“ช่วยอยู่แทนให้แปปนึงนะครับ ผมขี้เกียจฟังพี่บ่นเรื่องมาถึงแล้วไม่เจอตัวหรืออะไรแบบนี้แล้ว” ประโยคนี้ทำเอาธาริณงงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ ถึงจะหน้าเหมือนแต่เขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่อะไรแทนได้
“แต่ถึงเป็นผมอยู่ก็ประชุมไม่ได้อยู่ดี”
“อย่างน้อยถ้าเขาเดินผ่านห้องมาก็จะได้คิดว่าผมมารอแล้วไง” ธาริณมองใบหน้าที่คล้ายตัวเองฉายแววเหนื่อยอย่างปิดไม่มิดประกอบกับคำพูดที่พยายามโน้มน้าว“วันนี้ผมออกไปทำงานตั้งแต่เช้า จะไม่เหลือแรงประชุมแล้วยัง...”
“เออๆ โอเค ห้านาทีนะ” ในที่สุดธาริณก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้
“ขอบคุณครับ!” พอได้ยินแค่สีหน้าของกันต์ก็เปลี่ยนทันทีเหมือนความเหนื่อยนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เขาเดินออกไปซ้ำยังหันมาชูนิ้วโป้งให้อย่างร่าเริง “เดี๋ยวผมซื้อโค้กมาฝากกระป๋องนึง”
...นี่ผมไม่ได้ถูกหลอกใช่มั้ยวะ
สามทุ่มครึ่ง
เสียงการสนทนายังคงดังอย่างต่อเนื่องแต่เหมือนเขาจะไม่สามารถจับประเด็นได้แล้ว เขาอดมองคนที่ซื้อโค้กมาให้ไม่ได้ เมื่อกี้กันต์ยังมีท่าทางเหนื่อยอยู่เลยแต่ตอนนี้เด็กนั่นกลับเอาพลังจากไหนไม่รู้มานั่งเสนอไอเดียไม่หยุด จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าความแตกต่างนี้มันเป็นที่อาชีพหรืออายุกันแน่วะ
“โอเค เอาประมาณนี้ก็ได้ครับ” จนเมื่อได้บทสรุปเบื้องต้นแล้วกันต์ก็รวบเอกสารทั้งหมดไว้รวมกันก่อนจะเก็บลงกระเป๋าทันที ส่วนพิ้งค์เองก็ทำท่าเหมือนจะจดอะไรต่ออีกเล็กน้อยแล้วเริ่มเก็บของ
“มีอะไรเพิ่มเติมบอกมาทางพิ้งค์ได้เลยนะคะ” หลังจากนั้นพิ้งค์ก็เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจาต่อถึงรายละเอียดการติดต่อแล้วจัดแจงเดินนำผู้เข้าร่วมประชุมอีกสองสามคนออกไปจากห้องเพื่อไปคุยรายละเอียดเพิ่มเติม ทิ้งเขาให้อยู่กับกันต์ที่กำลังจัดของอยู่สองคน เมื่อกันต์กวาดดทุกอย่างลงกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็หันกลับมามองอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วย
“พี่ธีร์กลับกับพี่พิ้งค์ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ” ความจริงกว่าเขาจะต้องรอพิ้งค์กลับมาคงอีกสักพักใหญ่เพราะพิ้งค์ต้องไปคุยกับผู้ร่วมประชุมต่อ คิดแล้วเขาก็อดเซ็งไม่ได้ นอกจากการไปรับแฟนคลับที่ดูดพลังงานไปแล้ว การประชุมยังยืดยาวกว่าที่คิดไว้จนเขานึกเสียใจไม่น่าปฏิเสธพิ้งค์ไปตั้งแต่ตอนนั้น เพราะตอนนี้เขาอยากกลับบ้านมากแล้ว
“แล้วบ้านพี่ธีร์อยู่แถวไหนอ่ะ”
“ผมอยู่แถวอารีย์ครับ เป็นคอนโด” เขาตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง สายตายังคงจับจ้องอยู่บนตัวเลขบอกเวลาในโทรศัพท์แต่แล้วประโยคถัดมาของกันต์ก็ดึงความสนใจของเขาเอาไว้
“งั้นกลับด้วยกันก็ได้ครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน” คำพูดนี้เหมือนเป็นเสียงสวรรค์จากคนตรงหน้า ความช่วยเหลือตามปกติถ้ามันเข้ามาในเวลาที่เราต้องการก็เพียงพอจะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนเป็นพระเจ้าได้เลย
“โอ...ขอบคุณมากครับ”
กันต์ถึงกับชะงักไป ตั้งแต่เจอกันมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดของธาริณ ถึงแม้ว่าเขาจะยังระวังตัวอยู่เหมือนเดิมแต่แววตานั้นแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนี้วางตัวดีในระดับมืออาชีพแบบที่เรียกว่าน่านับถือ มองมุมไหนการกระทำไหนก็ดูสมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นตอนนี้ที่กันต์รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงเหนื่อยมากแล้ว การรักษาภาพลักษณ์ได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
...พี่ธีร์ยังเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย
“ไม่เป็นไรครับพี่ แต่เดี๋ยวผมขอแวะซื้ออะไรกินระหว่างทางนะ ประชุมนานหิวอีกแล้ว” กันต์ว่าพลางกดปุ่มลิฟท์เมื่อเดินออกมาถึงด้านหน้า เขาขยับไหล่เล็กน้อยเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ในใจคิดไปถึงว่าจะกินอะไรโดยไม่รู้ว่าอีกคนยังคงติดใจอยู่กับประโยคเมื่อกี้
“ปกติคุณกันต์กินมื้อดึกได้หรือครับ” ธาริณรู้ตัวว่าการถามแบบนี้อาจเป็นการเสียมารยาทแต่ด้วยความที่เขาเห็นอีกฝ่ายวางตัวเป็นกันเองแถมยังเด็กกว่าจึงอดถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้
“ฮ่าๆ ไม่บ่อยหรอกครับ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็มีออกกำลังกาย” ช่วงเครียดหรืองานหนักเขาอาจกินเยอะก็จริงแต่ด้วยเพราะทำงานหนักประกอบกับการออกกำลังกายนี่แหละเขาจึงสามารถตามใจปากได้เป็นบางครั้ง แต่ถ้าเป็นช่วงที่งานไม่หนักแล้วเขาก็ต้องหันไปกินอาหารเดิมๆ ที่ไม่อร่อยเท่าไหร่อยู่ดี
“อ้อ อย่างนี้เอง” ธาริณตอบงึมงำกับตัวเอง
“พี่ธีร์หิวไหมล่ะครับ ไปนั่งกินเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” กันต์ถามอย่างอารมณ์ดี เพราะงานสำหรับวันนี้เสร็จเรียบร้อยและผ่านไปได้ค่อนข้างราบรื่นทำให้เขาหายเครียดไประดับหนึ่งเลยนึกอยากนั่งกินข้าวสบายๆ
ธาริณกำลังคิดจะปฏิเสธเพราะในหัวคิดแต่เรื่องกลับบ้านไปนอน แต่เมื่อมองสีหน้าที่เหมือนจะขอร้องอยู่ในตัวเขาเองก็เริ่มใจอ่อนแถมอีกฝ่ายยังเสนอตัวไปส่งให้ถึงบ้าน
“ก็ได้ครับ”
และเป็นอีกครั้งที่ธาริณต้องถามตัวเองว่า...นี่กูคิดถูกป่ะวะ
-------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่า ขอบคุณนักอ่านและทุกๆ คอมเม้นต์นะคะ ดีใจที่มีคนชอบ
เข้าไปพูดคุยกันในทวิตเตอร์ได้เสมอนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า