พิมพ์หน้านี้ - :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: powl-the-2nd ที่ 14-11-2018 22:07:52

หัวข้อ: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 14-11-2018 22:07:52
อ้างถึง

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



:::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::




               คุณจะรู้สึกอย่างไรหากมีใบหน้าเหมือนดาราวัยรุ่นที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่ในขณะนี้

               หากคำตอบของคุณคือ ‘ดี’

               ผมอยากให้ลองอ่านเรื่องนี้ให้จบและมาเป็นผมสักวัน

               แล้วคำตอบของคุณจะเปลี่ยนไป...



___________________________________________________________________________


กลับมาแล้วค่ะ หวังว่าจะชอบเรื่องนี้กันนะ
ฝากพี่ธีร์กับน้องกันต์ไว้ด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนค่า  :กอด1:



แวะมาพูดคุยในแฮชแทก #เหมือนกันต์ ได้ทุกเมื่อเลยนะคะ

ทวิตเตอร์ >> https://twitter.com/powl_2nd
แฟนเพจ >>  https://www.facebook.com/powl.the.2nd
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 01 (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 14-11-2018 22:17:36
:: CHAPTER1 ::





               “ไม่ใช่ครับ”

                ชายหนุ่มในชุดพนักงานบริษัทเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยใบหน้าที่จริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่ใช่คนชอบต่อล้อต่อเถียงจึงทำได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองไม่ให้คนขับได้ยินเท่านั้น

                ...ให้ตายเหอะ น่าจะขึ้นบีทีเอสมา

                ชีวิตของ ‘นายธาริณ รัตนเทวา’ ค่อนข้างธรรมดาทั่วไป เขาดำรงชีวิตมาอย่างเรียบง่ายเท่าที่คนๆ หนึ่งจะเป็นได้ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาก็เข้าทำงานในบริษัทสื่อมวลชนระดับแนวหน้าแห่งหนึ่ง ด้วยความอุตสาหะและความใส่ใจในหน้าที่การงานทำให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจนได้เลื่อนขั้นจากพนักงานธรรมดาเป็นเลขาของผู้บริหารไปแล้ว โดยงานในตำแหน่งนี้ของเขานอกจากทำหน้าที่จัดการตารางงานแล้วบางครั้งยังต้องทำรายงานในเรื่องการเงินและผลประกอบการให้ผู้เป็นนายด้วยตนเอง ด้วยภาระงานขนาดนี้เงินเดือนที่ได้รับจึงถือว่าเพียงพอจนเหลือเฟือสำหรับใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่าเขาเป็นตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง

               “อย่ามาหลอกพี่เลย ขอถ่ายรูปด้วยหน่อย”

               “ก็ผมบอกว่าไม่ใช่ไงครับ! เอ้านี่ครับ ไม่ต้องทอน”

                สุดท้ายเขาก็หมดความอดทนก่อนจะดึงธนบัตรหนึ่งร้อยบาทให้คนขับในแบบที่เรียกว่ายัดใส่มือจะถูกต้องกว่า ความจริงบริษัทที่เขาทำงานไม่ได้อยู่ตรงนี้และค่ามิเตอร์ที่ขึ้นในจอยังไม่ถึงแปดสิบบาทแต่เพื่อรักษาความปลอดภัยของชีวิตตัวเองแล้วยี่สิบบาทก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่แย่นัก

               “แต่ว่า...”

               “ขอบคุณครับ!”

               ธาริณเอ่ยปฏิเสธโดยไม่สนใจแม้กระทั่งท่าทางของคนขับรถที่เหมือนอยากจะรั้งเอาไว้แล้วรีบลงจากรถปิดประตูอย่างแรงโดยไม่หันกลับไปมองอะไรอีกเลย เมื่อลงมายืนริมฟุตปาธแล้วเขาก็หยิบแว่นกันแดดและหมวกซึ่งจำเป็นต้องพกติดไว้ในกระเป๋าตลอดในช่วงนี้ออกมาใส่ก่อนจะเริ่มเดินฝ่าฝูงชน ควันหมูปิ้งไส้กรอกอีสานริมถนนและควันพิษจากรถที่กำลังติดไฟแดงอยู่จู่โจมเข้าโพรงจมูกและผิวหน้าของเขาทันที

               ...สงสัยวันนี้คงต้องเดินไปบริษัทเองอีกแล้วมั้ง

               เขาถอนหายใจอีกรอบ แม้อายุจะมากขึ้นนิสัยขี้รำคาญของเขาก็ยังคงแก้ไม่หาย ซ้ำยังจะมากขึ้นด้วยเมื่อมีปัญหาถึงแม้หน้าที่การงานจะทำให้เขากลายเป็นคนละเอียดรอบคอบเพราะต้องรู้ทุกเรื่องของเจ้านายและทำหน้าที่ตั้งแต่จัดตารางงานยันส่งดอกไม้ให้ผู้หญิง แต่ในความจุกจิกนี้เขาเองกลับเป็นคนหงุดหงิดง่ายเสียเอง

               ชายหนุ่มยังจำสีหน้าของเพื่อนตอนรู้ว่าเขาสมัครงานเป็นเลขาได้อยู่ สายตาทุกคนสื่อออกมาทันทีว่า ‘คนอย่างมึงเนี่ยนะ?!’ เอาจริงตอนนั้นก็คิดแค่ว่าลองทำดูก่อนแต่รู้ตัวอีกทีก็ปีที่หกแล้ว ยังอยู่ดีกินดีจนนึกว่านิสัยเสียๆ ของตัวเองหายไปเรียบแล้วแต่เปล่าเลย...

               เขาเดินจนมาถึงสี่แยกหน้าบริษัทที่มีคัทเอ้าท์แผ่นใหญ่ของหนังที่กำลังดังเป็นพลุแตกอยู่ช่วงนี้ มันเหมือนตัวกระตุ้นที่เพียงแค่ได้เห็นเขาก็อยากปีนขึ้นไปกระชากลงมาอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องที่ค่ายคู่แข่งจงใจมาติดโฆษณาหน้าบริษัทเหมือนจงใจฉี่ทับที่จนเจ้านายอารมณ์เสียไปหลายวันนี่ไม่ใช่ประเด็นสำหรับเขาเลย แต่เป็นดาราคนนี้ต่างหาก

               เขาเงยหน้ามองใบหน้าที่คล้ายเขาอย่างกับคลานตามกันมาผ่านแว่นตาดำ...คนที่เป็นสาเหตุของการถูกพวกวัยรุ่นวิ่งไล่ตามขอถ่ายรูปขอลายเซ็นมาตลอดสองอาทิตย์ตั้งแต่หนังเข้าโรงรวมถึงการเดินฝ่ามลพิษมาทำงานนี่ด้วย เขาคิดว่าหน้าตาตัวเองก็ไม่ได้โหลขนาดนั้นนะแต่


               ...แม่งเอ๊ย ชีวิตกูมาถึงจุดที่หน้าไปเหมือนดาราได้ยังไงวะ

 





               ทันทีที่วิ่งเข้าไปตอกบัตรแล้วธาริณก็รีบวิ่งเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำทันที ด้วยตำแหน่งหน้าที่แล้วจะให้คุณเมธาจะมาเห็นสภาพเหมือนผ่านสงครามมาตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด เขาจัดทรงผมจัดเสื้อของตัวเองอยู่สักพัก หยิบกระดาษซับมันมาซับเบาๆ บนใบหน้าก่อนจะลงแป้งฝุ่นเป็นครั้งสุดท้าย หันซ้ายหันขวาเช็คใบหน้าอย่างรวดเร็ว

               การแต่งตัวให้ดูดีตลอดเวลาทำงานเป็นอีกนิสัยที่ทำจนชินเพราะเขาจำเป็นต้องติดต่องานแทนเจ้านายตลอดเวลา รูปลักษณ์และการวางตัวของธาริณเลยถือเป็นหน้าตาของบริษัทไปอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มส่องกระจกเช็คตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบจนมั่นใจว่าใช้ได้แล้วจึงยืดหลังตรงเดินกลับออกมาในออฟฟิศ

               “พี่ธีร์สวัสดีค่ะ”

                ธาริณยิ้มทักทายและรับไหว้น้องในบริษัท เขาค่อนข้างเป็นที่รู้จักของพนักงานแผนกอื่นที่ทำงานในชั้นเดียวกันด้วยการที่ทำงานมาระยะหนึ่งและเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน อาจเพราะเป็นคนคุยง่ายและทุกคนในออฟฟิศรู้ธาตุแท้ของเขาแล้วว่าไม่ใช่คนหยิ่งจนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้เหมือภาพลักษณ์ที่ต้องแสดงออกภายนอก เขาเลยมักจะโดนลากตัวไปปาร์ตี้กับแผนกอื่นบ่อยครั้งจนน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในแผนกอื่นกล้าที่จะพูดดุยด้วยไปตามๆ กัน

               “ดีครับพี่ เช้านี้เดินมาอีกแล้วหรือครับ” เมื่อได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของ ‘ก้อง’ รุ่นน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ธาริณเลยหุบยิ้มแล้วทำหน้าเซ็งกลับไปแทน

               “เออ ตามนั้นเลย”

               “ฮ่าๆ คนมันเซเลปอ่ะนะ”

               “ก็แย่ละ”

               เขาส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของน้องพนักงานที่กำลังถือแก้วกาแฟกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ช่วงนี้ทุกคนในบริษัทต่างรู้กันดีว่าชีวิตเขากำลังวิกฤตเนื่องจากหน้าดันไปคล้ายดาราเข้ายิ่งทำให้ทุกคนพร้อมกันเห็นใจเขาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

               “แล้วพี่ธีร์ได้ดูหนังเรื่องที่ตัวเองเล่นยัง จะออกโรงแล้วนะ”

               “ยังเลย จะกล้าไปได้ไงวะ” แค่ต้องคอยปฏิเสธคนก็เหนื่อยแย่แล้ว เขาไม่มีทางเอาตัวเองไปโผล่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงแบบนั้นเด็ดขาด

               “เออ อย่าลืมไปดูนะพี่ ได้ไปแจกลายเซ็น” คนเป็นน้องล้อเลียนอย่างอารมณ์ดี ความจริงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเดือดร้อนของรุ่นพี่คนสนิทแต่เขากลับรู้สึกว่ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับธาริณนั้นน่าสนุก

               “ไปแจกเองเลยไป” คำประชดประชันของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากก้องได้เป็นอย่างดี ก่อนธาริณจะเหลือบไปเห็นคุณเมธาที่เพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิศชายหนุ่มจึงขยับมือเป็นเชิงบอกกับก้องว่าเดี๋ยวว่างแล้วค่อยคุยกัน แล้วยกมือไหว้ทักทายผู้เป็นนายทันที ก่อนจะปลีกตัวออกไปเตรียมเอกสารนัดหมายประจำวันที่โต๊ะทำงานตนเอง

               พื้นที่ทำงานของเขาอยู่หน้าห้องทำงานของคุณเมธา เป็นตำแหน่งที่สะดวกต่อการเข้าไปรายงานเรื่องต่างๆ รวมถึงการรับเรื่องจากฝ่ายอื่นก่อนไปถึงเจ้านายอย่างมาก ความจริงธาริณไม่ใช่คนเจ้าระเบียบแต่ด้วยหน้าที่การงานแล้วความเป็นระเบียบกลับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ นอกจากจะดูไม่เรียบร้อยน่าเชื่อถือแล้วยังมีเอกสารมากมายที่ถ้าเขาไม่จัดเรียงจะหาไม่เจอแน่นอน เขาจึงต้องหักห้ามความไม่ชอบของตัวเองมาสะสางจัดหมวดหมู่ทุกอย่างให้เป็นที่เป็นทางทุกวัน

               สำหรับวันนี้ก็เช่นกัน เขาวางแก้วกาฟลงบนต๊ะ หยิบสมุดหนังสีดำสำหรับจดตารางงานที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมาเปิดเช็คความเรียบร้อยและทบทวนสิ่งที่ต้องรายงานในวันนี้ก่อนจะเคาพประตูเดินเข้าห้องของเจ้านายทันที  เมื่อเห็นคุณเมธานั่งรออยู่แล้วเขาก็ดึงเอกสารตารางนัดหมายออกมาทันทีพลางยื่นเอกสารประกอบที่จัดแยกเป็นสามแฟ้มให้เจ้านายดู

               “ตารางของวันนี้ครับคุณเมธา”

               แต่แทนที่คุณเมธาจะรับไปเปิดดูทันทีเขากลับหยิบมาวางบนโต๊ะเฉยๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเลขาของตัวเองแทน

               “ธีร์ ได้ข่าวว่าดังแล้วหยิ่งเหรอ”

                เดอะฟัค

               ไม่คิดว่าข่าวกอสซิปแบบนี้จะมาถึงหูเจ้านายได้ ความจริงมันเป็นแค่ความมั่วของนักข่าวเองแหละ วันนั้นเขาโดนขอลายเซ็นที่สยามซึ่งพูดกันตรงๆ คือเขาเขียนลายเซ็นไอ้ดาราคนนั้นไม่เป็นเลยปฏิเสธไป คิดว่าคงมีการโพสลงโซเชียลแล้วหาว่าหยิ่งอะไรทำนองนี้ ซึ่งธีร์ก็ถือว่าไม่ใช่ปัญหาของเขา

               “ทำอะไรก็ระวังตัวหน่อยละกัน พี่หมวยที่นั่งด้านหน้าเขาฝากเตือนมาน่ะ”

               ...ยุ่งจัง

               “ครับ”

               โอ๊ย ทำไมวันนี้ตัวเขานิสัยไม่น่ารักเลยวะ

               ชายหนุ่มพยายามปรับสีหน้าและอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติแล้วหันมาสนใจกับตารางงานของคุณเมธาเหมือนเดิม เขามองที่โพสท์อิทซึ่งแปะสรุปสิ่งสำคัญเป็นหัวข้อไว้หน้าแฟ้มแล้วเริ่มรายงาน

               “วันนี้มีคุยสัญญากับคุณประยงค์เรื่องโฆษณาตัวใหม่นะครับ ผมจองโต๊ะไว้ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งที่ร้านอาหารไทย คาดว่าคุณประยงค์จะชอบ จองโต๊ะโซนในไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานเดี๋ยวผมโทรไปคอนเฟิร์มอีกครับ”

               “โอเค เหมือนเราจะไม่เคยไปร้านนี้เลยใช่ไหม”

               “ใช่ครับ แต่ผมลองดูเมนูกับรีวิวแล้วค่อนข้างดีเลยนะครับ”

               คุณเมธาพลิกดูภาพประกอบร้านอาหารที่ธาริณเลือกไว้ตั้งแต่เมื่อวานซึ่งคุณเมธาไม่อยู่จึงต้องเอามาให้ดูในวันนี้แทน ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ที่ธีร์มองว่าผู้ใหญ่แนวคุณหญิงคุณนายแบบนี้น่าจะชอบกัน การตกแต่งเป็นไทยดั้งเดิมไม้สักไม่แต่งสีแทรกด้วยผ้าไหมไทยเนื้อดี เขามองปฏิกิริยาของเจ้านายอย่างลุ้นๆ

               “อืม ดี”

               ...กูนี่ตาถึงจริงๆ

เขาชมตัวเองในใจอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะใช้โอกาสนี้ทำคะแนนเสนอร้านอาหารของวันต่อไปทันที

               “ส่วนหน้าถัดไปจะเป็นร้านอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้นะครับ มีนัดคุยน้องวินกับน้องเมย์ที่จะมาเล่นเรื่องใหม่ให้น่ะครับ ผมพยายามเลือกร้านที่ดูเฟรนด์ลี่ขึ้นมาหน่อย”

               คุณเมธาไล่มองร้านอาหารที่ผมเลือกมาเผื่อไว้สองสามที่ก่อนจะชี้ร้านสุดท้าย

               “จองร้านนี้ให้ฉันแล้วกัน”

               “ครับ”

               ว่ารับแฟ้มนั้นคืนมาก่อนจะหยิบปากการขึ้นมาวงร้านที่ถูกเลือกทันทีก่อนจะรายงานต่อไป

               “ช่วงเย็นมีไปงานกาล่ารอบปฐมทัศน์ของไรเดอร์ต่อนะครับ งานเริ่มห้าโมงเย็น ที่ผมลงตารางไว้คือสิบโมงครึ่งออกจากบริษัท สิบเอ็ดโมงถึงร้าน สิบเอ็ดครึ่งเริ่มคุยและจบภายในบ่ายสองโมงครึ่ง กลับมาแต่งตัวที่บริษัทแล้วบ่ายสี่โมงออกไปโรงแรมโมนาช ประมาณนี้นะครับ”

               “โอเค ขอบคุณมาก”

               ธาริณพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือไปเก็บแฟ้มจากโต๊ะทำงานคุณเมธากลับไปนั่งโต๊ะตัวเองเพื่อจัดการต่อไป เขาทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงตก วันนี้เจอคนมารุกรานตั้งแต่เช้าแล้วยังจะต้องไปรอบเปิดตัวหนังกับคุณเมธาอีก คือถ้าไม่มีเหตุการณ์พวกนี้เขาจะตื่นเต้นกับการไปร่วมกาล่าอยู่หรอกแต่ในเวลาแบบนี้ไม่น่าจะเวิร์คเท่าไหร่ คิดดูแล้วกาล่านี่น่าจะเป็นสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเพราะนอกจากจะต้องพบปะพวกสื่อแล้วยังเสือกใส่ผ้าปิดปากไม่ได้

                ไม่เอาไอ้ธีร์ไม่พูดคำว่าเสือกเนอะ







               เวลาในวันนี้เหมือนจะเดินเร็วเป็นพิเศษเมื่อรู้ว่าตอนเย็นธาริณต้องเข้าร่วมงานกาล่ากับคุณเมธา ไม่ทันได้ตั้งตัวเขาก็มานั่งข้างคุณเมธาในชุดสูทที่เนี้ยบที่สุดเสียแล้ว ชายหนุ่มกวาดสายตามองคนนั้นคนี้อย่างหวาดระแวง... ให้ตายเถอะ เขาไม่ควรกลายเป็นคนกลัวสังคมแบบนี้เลย แสงแฟลชจากช่างภาพสำนักข่าวต่างๆ สว่างขึ้นเป็นระลอกๆ เมื่อมีดาราคนใหม่มาถึง บริเวณโถงหน้าโรงภาพยนตร์ประดับตกแต่งด้วยโคมสีน้ำเงินซึ่งน่าจะเป็นไปตามคอนเสปท์ของเรื่อง พร้อมกับมีแบคดร็อปให้ผูร่วมงานไปถ่ายรูปซึ่งตอนนี้บริเวณนั้นก็ยังเต็มไปด้วยผู้คน โชคยังดีที่คุณเมธาถูกลากตัวไปคุยกับเจ้าของค่ายคนอื่นที่มุมห้องเขาจึงพลอยรอดพ้นจากสายตานักข่าวไปได้

              “ดีเลยครับ” ธาริณดึงสติกลับมาจดจ่อกับการสนทนาของคุณเมธากับคุณโชติเจ้าของค่ายคู่แข่ง ความจริงนอกจากติดป้ายโฆษณาภาพยนตร์ของตัวเองหน้าบริษัทเขาแล้ว ผู้บริหารค่ายสองคนนี้ก็ดูไม่ได้แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรอะไรต่อกันเท่าที่คิด

              “ได้ข่าวว่าหนังกำลังรุ่งเลยใช่ไหม ยินดีด้วยนะครับ” คุณเมธาพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนั้น

              “ขอบคุณมากครับ น้องกันต์เขาเล่นดีน่ะ” คุณโชติเอ่ยอย่างถ่อมตน

             “โชคดีนะครับได้นักแสดงมีฝีมือขนาดนั้น”

             “แต่กว่าจะจีบติดก็ยากอยู่” สองผู้บริหารหัวเราะพร้อมกันเนื่องจากเข้าใจความยากนี้เป็นอย่างดี

             “ฮ่าๆ แน่สิครับ ฝีมือระดับนั้นก็น่าจะมีหลายค่ายติดต่อไปเหมือนกัน”

              พอบทสนทนาเริ่มพาดพิงไปถึงนักแสดงคนนั้ ธาริณก็พยายามทำตัวลีบที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาไม่อยากมีเรื่องตรงนี้หรือเป็นเป้าสายตาเลย แล้วโชคก็เหมือนจะเข้าข้างเขาเมื่อได้ยินเสียงประกาศจากพิธีกรที่กำลังเชิญทุกคนเข้าห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มจึงได้โอกาสทำหน้าที่เลขาที่ดีทันที เขาจึงเข้าไปกระซิบข้างๆ คุณเมธาอีกฝ่ายจึงหันไปตัดบทสนทนานั้น

            “เอ้อ เขาเรียกเข้าแล้วคุณพงศ์ เราเข้าไปกันเถอะ”

 





               ภาพยนตร์เดอะไรเดอร์ค่อนข้างเป็นที่พอใจของคนร่วมงานส่วนใหญ่ ด้วยเส้นเรื่องที่กระชับและเอฟเฟกต์ที่ทำได้ค่อนข้างแนบเนียนทำให้เมื่อออกมาจากโรงแล้วเหล่าเซเลปต่างเวียนเข้าไปชื่มชมแสดงความยินดีกับผู้กำกับยกใหญ่ คุณเมธาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ธาริณจะรู้ดีว่าความจริงเจ้านายของเขาไม่ค่อยชอบหนังแอคชั่นแบบนี้แต่เรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีสำหรับหมดหมู่นี้ด้วยกันจริงๆ

               “ดีมากเลยครับพี่ ขอให้ได้รางวัลนะครับ”

               “ฮ่าๆ ก็พูดไป ปีนี้มีดีๆ ตั้งหลายเรื่อง”

               “เอาอีกสักปีสิครับ”

               “เออ พูดถึงรางวัลสงสัยคุณพงศ์น่าจะได้มากกว่ามั้ง”

               “รายนั้นก็มีสิทธิ์ครับ ปีนี้มาเหนือมาก”

               “จะว่าไปคุณพงศ์ไปไหนแล้วล่ะ พาพี่เดินไปหาหน่อย”

               “ได้สิครับ”

               คุณเมธาพูดถึงตรงนี้ก็หันกลับมาหาธาริณ เขาเข้าใจความลำบากของเลขาคนสนิทเป็นอย่างดีเพราะหลังจากดาราที่ชื่อกันต์โด่งดังเป็นพลุแตกแล้วลูกน้องของเขาก็เหมือนพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมไปเลย ที่เขาขอให้มาด้วยในรอบกล่าแบบนี้ก็ถือว่าฝืนใจกันมากพอแล้ว

               “ธีร์ไม่ต้องไปก็ได้ รออยู่ตรงนี้แหละ”

               ธาริณชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมากครับ เสร็จแล้วก็โทรเรียกได้เลยนะครับ”

               “โอเค อยู่ดีๆ ล่ะ”

               “ครับ”

               เมื่อคุณเมธาเดินออกไปจนกลืนไปกับฝูงชนแล้วธาริณก็ได้แต่ยืนพิงหลังแนบกับกำแพง ถ้าแทรกตัวเข้าไปในวอลเปเปอร์ได้คงทำไปนานแล้ว เขาดึงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพยายามก้มหน้ามองจอเปิดแอพขึ้นมาไถซ้ำทั้งที่เขาก็อ่านข่าวเหล่านี้ทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่บ่าย เขาเลื่อนเปิดแอปนู้นแอปนี้ไปเรื่อย ด้วยหน้าที่ของเขาทุกวันนี้ก็แทบจะทำให้เขาไม่อยากรู้เรื่องของคนอื่นอีกเลยแต่คราวนี้มันจำเป็น และหนึ่งในข่าวเหล่านั้นย่อมต้องมีดาราคนนั้นรวมอยู่ด้วย

               นิ้วของเขาค้างอยู่ตรงบทสัมภาษณ์ที่พาดหัวด้วยภาพถ่ายแบบของดาราคนนั้น ธาริณใช้โอกาสนี้จ้องใบหน้านั้นอีกครั้ง แต่เมื่อเขาดูแล้วก็ไม่ได้คิดว่าหน้าตาจะเหมือนตัวเองไปเสียทั้งหมด แค่คล้ายพอสมควรในระดับที่มองผ่านๆ อาจเหมือนเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยเจออาจคิดว่าเหมือนล่ะมั้ง

              “คุณกันต์! นี่คุณกันต์ใช่ไหมคะ ทำไมไม่มีแจ้งว่าจะมาเลย”

              "เอ่อ...”

               ธาริณรีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนมาหยุดอยู่ด้านหน้า

              ...ฉิบหาย

              “พี่แก้ว! น้องกันต์มา” ไม่ใช่แค่ทักทายธรรมดา ผู้หญิงคนนี้กลับไปเรียกเพื่อนซึ่งมาเป็นแพคกับกล้องและไมค์สัมภาษณ์ เลวร้ายเกินไปแล้วมั้ง

              “อ้าว! สวัสดีค่ะน้องกันต์ นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

             “ใช่มะ พี่แก้วเอาสคริปท์ของน้องกันต์มาเลย”

             “คือผม...”

             ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อมีกล้องและไมค์ของสำนักข่าวหนึ่งมาจ่อหน้าเขาแล้วย่อมต้องเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที ธาริณพยายามเลี่ยงออกมาแต่ก่อนจะพูดอะไรได้ก็มีไมค์ของสำนักข่าวอื่นมารุมจ่อล้อมรอบเขาเช่นกัน มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ และตามด้วยแสงแฟลชวูบวาบจากหลายทิศทางตรงมายังเขา

           ...แม่งเอ๊ยตาจะบอด

           เมื่อเห็นความวุ่นวายตรงหน้าธาริณเองจึงเค้นสมองพยายามหาวิธีปฏิเสธที่สวยามที่สุด แต่เมื่อจวนตัวเข้าจริงๆ เขากลับนึกออกแค่

           “ผมไม่ใช่กันต์นะครับ”

           “ตอนนี้เราอยู่กับ กันต์ จิณห์วรากุล ผู้ชายที่แซ่บที่สุดในตอนนี้ค่ะ”

            “...” ให้ตายเถอะ ที่พูดไปคือสูญเปล่าใช่ไหมวะ

           “ได้ข่าวว่าวันนี้ติดคิวถ่ายแบบ ทำไมถึงมาได้ล่ะคะ”

           ...โห คำถาม

           ธาริณขยับตัวอย่างลำบากใจ กวาดสายตามองไมค์ทุกตัวและนักข่าวทุกคนที่ล้วนส่งสายตาคาดหวังกับคำตอบมาที่เขา ถ้าจะยืนกรานปฏิเสธตอนนี้แม่งไม่น่าจะเวิร์คแล้วเขาเลยตัดสินใจแถคำตอบไปให้ทันที

           “พอดีเสร็จเร็วกว่ากำหนดเลยมาได้ทันน่ะครับ”

            รอด!

          “แล้วไม่ได้มาพร้อมกับคุณเจนหรือครับ ได้ข่าวว่ากุ๊กกิ๊กกันอยู่”

               ...ใครคือเจน

               เขาพยายามนึกถึงดาราทั้งหมดที่ชื่อเจนแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นคุณเจนจากค่ายเดียวกับกันต์ที่เพิ่งเล่นละครดังๆ นั่นแหละมั้ง ถึงทุกวันจะต้องนั่งอัพเดทข่าวในวงการบันเทิงแต่กอสซิปเรื่องนี้เขาเองก็ไม่เคยได้ยิน ธาริณลอบถอนหายใจ ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตจะมีวันที่เขาจะต้องพูดประโยคคลาสสิคขนาดนี้ออกมา

               “เราเป็นแค่เพื่อนกันครับ”

               หลังจากประโยคนี้หลุดออกไป เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นทันที เขาไม่รู้เลยว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไรบ้างหรือพวกนักข่าวตกใจขนาดนี้ทำไม แต่ตอนนี้ถ้าจะให้รอดเขาต้องหนี!

               “ขอตัวก่อนนะครับ”

               ธาริณอาศัยจังหวะที่นักข่าวหันไปซุบซิบกันเองนั้นปลีกตัวมุดออกมาจากวงทันที ก่อนจะฝ่าบรรดาผู้ร่วมงานและเซเลปทั้งหลายวิ่งไปหลบในห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลพอดี เขาเท้าแขนกับขอบอ่างล้างมือ หอบหายใจจนตัวโยนพลางมองใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งจากการวิ่งเมื่อกี้ สภาพตอนนี้ของเขาไม่ต่างอะไรจากตอนเช้าเลยสักนิด

              ครืด ครืด

               แรงสั่นของโทรศัพท์ทำให้เขารีบยกขึ้นมาดู และเมื่อพบว่าเจ้านายของเขาโทรมาพอดีจึงกดรับ เตรียมจะเล่าสถานการณ์ให้คุณเมธาฟัง ทว่าประโยคที่ดังออกมาทำเอาเขาแทบล้มทั้งยืน

               “ธีร์ อยู่ไหน”

               “ผมอยู่ในห้องน้ำครับ”

               เขาได้ยินเสียงปลายสายหัวเราะน้อยๆ “ฉันจะกลับแล้ว”

               “เอ่อ...สักครู่นะครับพอดีผม...”

               ...ถ้าให้เขาออกไปตอนนี้เขายอมกัดลิ้นตาย

               “ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวจะมีบอดี้การ์ดไปรับเธอในห้องน้ำ”

               “อะไรนะครับ?!”

               “ฉันวางละ เจอกันที่รถนะ”

               หลังจากนั้นสายก็ตัดไปทันที ธาริณเงยหน้าขึ้นสบตากับตัวเองในกระจกอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเหมือนกันว่าใบหน้าที่เห็นทุกวันจนคุ้นตานี้จะนำภัยอะไรมาให้จนถึงกับต้องมีบอดี้การ์ดมารับถึงห้องน้ำ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ



               ...นี่ชีวิตเขามาถึงจุดนี้จริงๆ เหรอวะ

 




___________________________________________________________

เปิดเรื่องใหม่แล้วว หลังจากห่างหายไปนานมากเลย ตื่นเต้น55
หวังว่าคงชอบกันนะคะ : ) 
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 01 (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 14-11-2018 22:28:28
ว้าววว น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 01 (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 14-11-2018 22:51:47
ทฤษฎีเนื้อคู่จะหน้าเหมือนกันหรอคะ ติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 01 (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 15-11-2018 01:49:16
นี่ต้องบอกว่า เนื้อคู่ คู่แท้100% เล่นหน้าตาเหมือนกันซะ  o13
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 01 (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-11-2018 09:51:04
เมื่อไหร่เขาจะเจอกัน น่าติดตาม รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 01 (14.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-11-2018 18:05:35
นึกขึ้นได้ว่าตอนอ่านงงกับชื่อ หลายจุดเลยค่ะเช่น ตกลงเจ้านายชื่ออะไรแน่ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 02 (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 21-11-2018 22:38:16
:: CHAPTER 2 ::




                      “น้องกันต์!”

               เสียงกรีดร้องของคนเข้ามาใหม่ทำให้เจ้าของชื่อซึ่งกำลังนั่งแต่งหน้าเตรียมออกรายการต้องหันกลับไปมองทันที ชายหนุ่งถึงได้เห็นผู้จัดการส่วนตัวกำลังวิ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่นสุด

               “แอบไปกาล่ามาเหรอ! ไหนบอกปฏิเสธไง!!”

               ...อะไรเนี่ย

               “พี่พิ้งค์ผมไม่ได้ปะ...”

               “ไม่ต้องมาอ้าง! แอบไปแล้วก็ไปให้สัมภาษณ์อะไรก็ไม่รู้”

               “เฮ้ยพี่ ผมไม่ได้ไปจริงๆ ครับ” เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างเหมือนยอมแพ้ สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาทำงานทุกวัน พอถึงวันเสาร์เลยยอมปฏิเสธคำเชิญงานกาล่าภาพยนตร์แลกกับการใช้ชีวิตขยะอยู่ในห้องอย่างคุ้มค่า เขาดูหนังอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อยทั้งวัน จะไปให้สัมภาษณ์ใครได้ยังไง

               “ก็เนี่ย” พิ้งค์ยื่นสกู๊ปข่าวที่ปริ้นท์ออกมาส่งให้เจ้าของเรื่องดูทันที

               “เฮ้ย”

                ชายหนุ่มดึงกระดาษแผ่นนั้นไปทันทีแล้วมองภาพอย่างไม่เชื่อสายตา เขาไปจะไปใส่สูทยืนให้สัมภาษณ์ได้ไง เขาพยายามคิดว่าสำนักข่าวไปดึงรูปของอีเวนท์ไหนมาตัดต่อแทนรึเปล่าแต่ไม่น่าเป็นไปได้ เขาเลยยังไม่ข้ามไปอ่านบทสัมภาษณ์แต่ยังคงพิจารณารูปของตัวเองอย่างจริงจัง

               “แล้วน้องกันต์จะบอกให้พี่ไปปฏิเสธเขาทำไมคะ เสียหน้าไปหมดแล้ว ถ้าไม่อยากให้พี่ไปทำไมไม่บอกมาตรงๆ”

               “พี่พิ้งค์เดี๋ยวก่อน” กันต์พยายามบอกให้พิ้งค์ใจเย็นกว่านี้เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย

               “อะไร ยังจะแก้ตัวอะไรอีกคะน้องกันต์ ปกติดาราใหม่ปฏิเสธงานพี่ก็ว่าไม่ค่อยดีแล้วนะ นี่ยัง...”

               “ในรูปนี่ไม่ใช่ผม” กันต์กล่าวพลางยื่นกระดาษคืนให้ผู้จัดการส่วนตัว

               “อย่ามาล้อเล่น”

               เพราะเป็นใบหน้าตัวเองเขาจึงคุ้นเคยดีและมั่นใจว่าจดจำทุกดีเทลได้ มุมนี้มองเผินๆ อาจดูเหมือนเขาแต่พอมองให้ดีแล้วเขาก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ตัวเอง แต่ยังไงพิ้งค์ก็เป็นคนดื้อมากถ้าอยู่ในช่วงที่อารมณ์ไม่ดีแบบนี้ เขาถอนหายใจ หันไปบอกช่างแต่งหน้าเพื่อขอเวลาก่อนจะลุกไปยืนข้างผู้จัดการแล้วหยิบกระดาษกลับมาอีกครั้ง

               “พี่ดูดีๆ นะครับ โครงหน้าเขาไม่เหมือนกับผมสักหน่อย ปากก็ไม่เหมือน...” กันต์พยายามชี้รูปในข่าวเพื่ออธิบาย

               เมื่อเห็นกันต์ตั้งใจอธิบายพิ้งค์จึงยอมพยักหน้าตามด้วยอารมณ์ที่สงบลง ถ้าดูเทียบกันขนาดนี้แล้วก็แตกต่างกันจริงอย่างที่กันต์พูด เมื่อเห็นผู้จัดการส่วนตัวเงียบไปเขาเลยกลับไปนั่งหน้าโต๊ะแต่งหน้าเหมือนเดิมพร้อมหยิบสคริปท์ของรายการขึ้นมาอ่านต่อ แต่แล้วพี่พิ้งค์ก็เดินเข้ามาหาอีกรอบ

               “กันต์พอจะรู้จักเขาไหม”

               “อ้าว ผมจะไปรู้ได้ยังไงครับ” เขาพูดติดตลก เพิ่งจะรู้เมื่อกี้เลยเหมือนกันว่ามีคนหน้าคล้ายขนาดนี้อยู่ด้วย เมื่อคิดอีกทีเขาก็รู้สึกขำไปด้วย ไม่รู้ว่าตอนโดนสัมภาษณ์คนๆ นั้นจะรู้สึกยังไงนะ

               “ก็ดูรู้ละเอียด”

               “นั่นเพราะเป็นหน้าผมไงล่ะ เห็นก็รู้ว่าไม่เหมือน”

               “เออๆ เอาเถอะ พี่ไปแล้วนะกันต์ก็ตั้งใจล่ะ”

               “ครับ ขอบคุณครับ”

               เขาพยักหน้ารับและกล่าวขอบคุณไปตามเรื่องก่อนจะหันกลับมาบอกช่างแต่งหน้าให้ทำงานต่อได้ แต่แล้วในขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวกำลังเดินกลับออกไปนั้นสายตาของเขาก็เหลือไปเห็นแผ่นกระดาษเมื่อครู่พอดี ด้วยอะไรดลใจไม่รู้เขาก็เผลอเรียกผู้จัดการของตนเองไปแล้ว

               “พี่พิ้งค์”

               “ว่าไง”

              “ผมขออ่านหน่อยครับ บทสัมภาษณ์นั้นน่ะ”

              “อ่านบทเสร็จแล้วเหรอนั่น” พิ้งค์หรี่ตามองเด็กในการดูแลอย่างไม่ค่อยเชื่อใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าเป็นกันต์ เด็กคนนี้เพิ่งเข้าวงการไม่นานก็จริงแต่เหมือนจะปรับตัวเข้ากับทุกอย่างได้อย่างดี เรียกได้ว่าปรับตัวเก่งเป็นกิ้งก่าและแถเก่งเป็นปลาไหล

              “ยังครับ แต่พี่พิ้งค์...” เขามองพี่พิ้งค์พร้อมทำหน้าตาน่าสงสาร

               “เออๆ เอาไป อย่าลืมท่องบทให้ดีด้วย”

               พิ้งค์กล่าวตัดบทแล้วยื่นกระดาษให้ ไม่ว่ายังไงเธอก็มักจะแพ้ทางเด็กนี่เสมอทั้งที่ทำงานเป็นผู้จัดการของนักแสดงหลายคนจนน่าจะรับมือได้แล้วแต่ก็ยังแอบเอ็นดูคนนี้ที่สุด อาจเพราะเขายังเด็กด้วยจึงรู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ขัดหูขัดตา ยกเว้นบางทีก็ดื้อจนเธอต้องอารมณ์เสีย

               “โอเค ได้เลยครับ” กันต์รับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างอารมณ์ดี เขาวางบทของรายการลงบนโต๊ะอย่างไม่ลังเลแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านบทสัมภาษณ์ทีละประเด็นอย่าอารมณ์ดีจนมาถึงประเด็นข่าวของเขากับพี่เจนซึ่งเคยทำงานร่วมกันแต่นักข่าวดันกระจายเป็นเรื่องใหญ่โต

               ‘เราเป็นแค่เพื่อนกันครับ’

               “ฮ่าๆๆๆๆ”

               ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมากับคำตอบนี้ มันเป็นประโยคที่เขาสัญญากับตัวเองตั้งแต่เริ่มเข้าวงการว่าจะไม่มีวันพูดเด็ดขาด เพราะมันฟังดูโคตรเชยไม่เข้ากับนิสัยและภาพลักษณ์อันตรงไปตรงมาของเขาเลยสักนิด แต่ในวันนี้กลายเป็นว่ายังไงถึงไม่พูดเองก็หลบไม่พ้นประโยคนี้อยู่ดีนั่นแหละ

               “น้องกันต์อย่าหัวเราะสิคะ พี่เกลี่ยแป้งไม่ได้”

               “อ้อ ครับๆ ขอโทษครับ”

               “อย่ายิ้มด้วย”

               เขาแทบจะต้องกัดแก้มเพื่อกลั้นยิ้ม ให้ตายเหอะยิ่งพูดว่าอย่าขำอย่ายิ้มยิ่งอยากหัวเราะ เขาพยายามทำหน้านิ่งให้มากที่สุดแต่ก็ต้องหลุดทุกครั้งที่เห็นบทสัมภาษณ์และรูปของคนที่หน้าเหมือนเขาอย่างกับแกะ

               ...คนๆ นี้นี่เป็นคนยังไงกันนะ

 



               นอกจากเรื่องที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นั้นแล้ววันนี้ก็เหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสำหรับกันต์ เขามีงานตลอดทั้งวันตั้งแต่ตอนเช้าที่ไปถ่ายรายการและตอนบ่ายก็ต้องรีบไปให้ทันอีเว้นท์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างกันไกลพอควร ทำให้เขาต้องกินข้าวกลางวันในรถอย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งวันนี้ยิ่งฉุกละหุกเป็นพิเศษจนพิ้งค์ต้องขับรถมาให้ด้วยตนเองเนื่องจากรอรถของทีมงานไม่ทัน เขานั่งเหม่อมองท้องฟ้าก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความสว่างสดใสของมันที่ตรงข้ามกับความเหนื่อยของเขาเหลือเกิน

               “ถึงแล้วค่ะน้องกันต์ ลงไปก่อนเลยได้มั้ยเดี๋ยวพี่ตามเข้าไป”

               “ได้ครับ” กันต์คว้ากระเป๋าของตนเองแล้วเปิดประตูลงจากรถไปก่อนที่พิ้งค์จะรีบลดกระจกแล้วเรียกเขาไว้เพื่ออธิบายอย่างรีบร้อน

               “เดินตรงเข้าไปประตูนี้แล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอลิฟท์นะ พี่เพิ่งโทรบอกทีมจัดงานให้ส่งคนลงมา”

               “ครับ”

               กันต์ตอบรับพร้อมพยักหน้า เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่ามันสายเกินเวลานัดไปประมาณห้านาทีแล้ว เขาอดรู้สึกผิดไม่ได้เพราะการมาตรงเวลานี่ถือเป็นคุณสมบัติข้อแรกๆ ที่น้องใหม่อย่างเขาควรทำได้ เขารีบเดินกึ่งวิ่งไปตามที่พี่พิ้งค์บอกจนได้เจอกับทีมงานคนหนึ่งที่เพิ่งลงมาจากลิฟท์พอดี

               “น้องกันต์! สวัสดีครับ มาเร็วๆ”

               เขารับไหว้กันต์ด้วยความรีบก่อนจะตรงเข้าไปกดลิฟท์ทันที โชคดีที่ลิฟท์ตัวเดิมยังจอดรออยู่เขาเลยเข้าไปได้ทันที กันต์ลอบมองพี่ทีมงานจากด้านข้างและยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นไปอีก เขาหายใจแรงพลางปาดเหงื่อบนใบหน้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขชั้นของลิฟท์เหมือนกับจะเร่งให้มันเลื่อนไปเร็วขึ้น

               “ขอโทษครับ” เขารู้ว่าการบอกเหตุผลว่ามีงานตอนเช้าและได้รีบที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วนั้นไม่นับเป็นข้ออ้างสำหรับสายอาชีพนี้ แต่บางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้ เขาจึงไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลอะไรไปเพิ่ม

               “ไม่เป็นไรหรอก” คำตอบที่ได้รับทำให้กันต์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่คราวนี้เขาได้ทีมงานใจดีไม่อย่างนั้นถ้าทีมงานไปบ่นกับพี่พิ้งค์แล้วมีหวังเขาจะต้องโดนต่อว่า

               เมื่อลิฟท์จอดที่ชั้นถัดไปแล้วทีมงานก็รีบเดินนำไปทันที บริเวณที่เขาเข้ามานั้นเป็นด้านหลังของห้างเลยทำให้บรรยากาศมีแต่ทางเดินแคบๆ ให้เลี้ยวไปมา กันต์จึงต้องใช้สมาธิกับการรีบเดินให้ทันพลางก้มดูนาฬิกาด้วยความกังวลใจ จนกระทั่งทีมงานพามาหยุดที่ประตูบานหนึ่งแล้วเปิดออก

               สภาพความวุ่นวายเบื้องหน้าแม้จะเป็นสิ่งกันต์เห็นมาหลายสิบครั้งในช่วงปีนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกเวียนหัวอยู่ดี ทีมงานไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนกำลังทำงานตามหน้าที่อย่างรีบเร่งเพื่อให้ทันเวลางาน ทุกคนเดินสวนกันไปมาไม่หยุดทำให้เขาไม่สามารถมองหาตำแหน่งของโซนแต่งตัวได้เขาจึงตัดสินใจหันไปถามทีมงานที่พามาแทน

               “ช่างแต่งหน้ากับสไตล์ลิสท์รออยู่ห้องนั้นครับ”

               กันต์มองตามเข้าไปจนเห็นโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมเครื่องสำอางมากมายกองอยู่หลายตัว เขาไล่สายตามองเรื่อยๆ เพื่อหาโต๊ะแต่งหน้าของตนเองก่อนจะชะงักไปทันที

               ...มีคนนั่งอยู่

               เขาเห็นช่างทำผมกำลังวุ่นกับการเซ็ทผม กันต์พยายามมองผ่านกระจกเพื่อให้เห็นใบหน้าของคนนั่งแต่ช่างแต่งหน้ากลับเขยิบตัวมาบังกระจกได้พอดี เขาจึงเดินตรงเข้าไปเพื่อรายงนตัวกับช่างแต่งหน้า แต่แล้วประโยคที่ได้ยินก็ทำให้ต้องชะงักไปอีกรอบ

               “น้องกันต์ช่วงนี้ทำงานหนักหรือคะ”

               กันต์ตัดสินใจหยุดเดินทันที พี่พิ้งค์สอนเขาเสมอว่าถ้าได้ยินใครกำลังนินทาตัวเองอยู่ก็อย่างเพิ่งเดินเข้าไปเพื่อไม่ให้ทำตัวไม่ถูกกันทั้งสองฝ่าย และเขาเองก็จะได้รู้ข้อเสียของตัวเองในสายตาของคนอื่นด้วย

               “เอ่อ...คงอย่างนั้นครับ” ผู้ชายที่นั่งหันหลังตอบตะกุกตะกัก

               “เดี๋ยวพี่จะคุยกับพิ้งค์ให้ ปล่อยให้เราโหมงานขนาดนี้ได้ยังไงตาดำไปหมดแล้ว”

               “...”

               ประโยคแรกว่างงแล้วประโยคถัดมานี่ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจขึ้นไปใหญ่ ส่วนคนที่นั่งหันหลังอยู่ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

               “ตายแล้วน้องกันต์ ใครกันคิ้วให้เนี่ย เละเทะไปหมดเลย”

               ...เฮ้ย!

               เขาเผลอยกมือจับคิ้วตัวเองโดยอัตโนมัติก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าช่างแต่งหน้าไม่ได้กำลังพูดกับเขาแต่กับผู้ชายตรงนั้นที่เมื่อกี้ถูกเรียกว่า ‘กันต์’

               มีคนชื่อเหมือนเขาหรือว่าจะเป็น...

               กันต์นึกย้อนไปถึงบทสัมภาษณ์ที่เพิ่งได้อ่านไปเมื่อเช้าจึงรีบก้าวตรงเข้าไปเพื่อมองหน้าผู้ชายที่กำลังแต่งหน้าคนนั้นทันที แต่ก่อนที่เขาจะเข้าไปเขาก็ถูกทีมงานอีกคนที่วิ่งจากไหนไม่รู้มาจับตัวเขาให้หันไปอย่างแรง ก่อนจะอาศัยจังหวะที่เขายังตกใจอยู่สบถออกมาอย่างลืมตัว

               “ฉิบหาย”

               “...”

               “พี่ครับ!! เกิดเรื่องแล้วครับ!!”             

               “เฮ้ยอะไรน่ะ”

               อยู่ๆ น้องคนนั้นก็หันไปตะโกนเสียงดังจนทุกคนต้องหยุดทำงานแล้วหันกลับมามอง แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจเองกลับกลายเป็นสายตาเหมือนเห็นผีของทุกคนในที่นั้นจ้องตรงมายังเขาคนเดียว บรรยากาศในตอนนี้เงียบกริบเหมือนความวุ่นวายไม่เคยเกิดขึ้น จนในที่สุดน้องเจ้าของเรื่องก็เป็นคนเอ่ยขึ้นอีกรอบ

                “คะ...คุณกันต์มาแล้วครับ”

                ในจังหวะนั้นเองกันต์จึงได้สติแล้วรีบหันไปมองผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นซึ่งกำลังมองกลับมาเช่นเดียวกัน ทั้งสองสบสายตากันครู่หนึ่งก่อนที่กันต์จะเป็นฝ่ายถอนสายตาออกมา

                ...หน้าเหมือนจริงด้วยแฮะ

 




                หลังจากที่ความวุ่นวายในห้องสงบลงได้ระดับหนึ่งและกันต์แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วทีมงานจึงพาเขามานั่งสแตนด์บายในบริเวณใกล้ประตูทางเข้าหลังเวที เมื่อเขาเดินมาถึงก็พบว่าผู้ชายคนที่หน้าเหมือนกับเขานั้นก็โดนลากมานั่งตรงนี้เช่นดียวกัน แต่ที่ไม่คาดคิดกว่านั้นคือหัวหน้าทีมอีเว้นท์ก็นั่งอยู่ด้วยทั้งที่ความจริงแล้วเวลานี้ควรไปอยู่ตรวจเช็คความเรียบร้อยมากกว่า

               “อะไรกันเนี่ย เหมือนมากเลย” คนที่นั่งอยู่ก่อนทักขึ้นมาทันทีเมื่อกันต์เดินมาถึง เขามองใบหน้าที่คล้ายกันสลับไปมาเหมือนพยายามพิจารณาหาส่วนที่แตกต่าง

               “ฮ่าๆ จริงครับพี่โอ” กันต์ตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะพลางเหลือบมองอีกคนที่ร่วมหัวเราะไปด้วย

               “ไหนลองยืนเทียบกันหน่อยสิ”

               หัวหน้างานพูดมาแบบนี้ทั้งสองจึงลุกขึ้นมายืนข้างกัน เขามีรูปร่างที่สูงกว่ามาตรฐานทั้งคู่ประกอบกับใบหน้าที่คล้ายกันเมื่อยืนขึ้นจึงกลายเป็นจุดรวมสายตาของทีมงานทุกคนในบริเวณนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายคนเริ่มเดินเข้ามายืนมองด้วยความสนใจ แต่สำหรับกันต์แล้วมองว่าในเวลานี้อีกฝ่ายดูค่อนข้างแตกต่างเพราะเขาแต่งหน้ามาพร้อมออกงานส่วนอีกฝ่ายนั้นลบเครื่องสำอางออกเรียบร้อยแล้ว

                “โห ขนาดหุ่นก็ยังเหมือน กันต์สูงกว่านิดเดียวเองอ่ะ”

                “นี่ถ้าไม่ยืนเทียบกันพี่ก็ไม่สังเกต”

                “แต่กันต์ดูหน้าเด็กกว่านิดนึงนะ” คำกล่าวนั้นทำให้คนที่กำลังตกเป็นประเด็นหัวเราะไปด้วย

                “แน่สิครับ คุณกันต์ยังเรียนอยู่ ส่วนผมห่างจากวัยนั้นมาหลายปีแล้ว” คำตอบนี้เรียกเสียงหัวเราะของคนถามและคนที่มายืนฟังได้อย่างดี

                 เมื่อมีเสียงหัวเราะก็ยิ่งมีคนเข้ามายืนคุยมากขึ้นจนกันต์อดเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ได้ เขารู้สึกเกรงใจขึ้นมาเมื่อคิดว่านอกจากจะโดนจับมานั่งแต่งหน้าด้วยความเข้าใจผิดแล้วคนๆ นี้ยังต้องมาเป็นจุดสนใจของทีมงานอีก ถึงเขารู้ว่าพี่ในทีมแค่รู้สึกตื่นเต้นโดยไม่มีเจตนาจะทำให้ลำบากใจก็ยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจหรือเปล่า แต่เมื่อกันต์ได้เห็นใบหน้าที่ยังคงยิ้มและหัวเราะเหมือนไม่ได้เดือดร้อนแล้วจึงนึกได้ว่าอีกฝ่ายผ่านการสัมภาษณ์ในงานกาล่ามาอย่างราบรื่นแล้ว

                 ...เท่าที่ดูก็เหมือนจะชินแล้วมั้ง

                “เออคุยอยู่ตั้งนานพี่ก็ลืมถาม น้องชื่ออะไรนะ” คำถามนี้ทำเอากันต์หันมามองอีกครั้งด้วยความสนใจ

                “ธีร์ครับ”
 
               “พี่ชื่อโอนะ เป็นหัวหน้าจัดอีเว้นท์”

               “กันต์ครับ” เมื่อเห็นทั้งสองคนแนะนำตัวกันเขาเลยพูดไปด้วย

               “ฮ่าๆ น้องกันต์นี่ยังต้องแนะนำตัวอีกเหรอ”

               “นั่นสิครับ” ธาริณเสริมก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มประเด็นใหม่เสียเอง คราวนี้เขาหันมาพูดกับกันต์โดยตรง “วันก่อนผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ให้สัมภาษณ์แบบนั้น”

               กันต์เองกลับกลายเป็นฝ่ายตกใจกับการวางตัวและท่าทางอันเป็นธรรมชาติของคนตรงหน้า มองใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเขาอย่างพิจารณา คนตรงหน้าแต่งตัวเรียบร้อยดูเนี้ยบตั้งแต่ผมลงมาถึงรองเท้า กลิ่นน้ำหอมเบาบางแต่มีเอกลักษณ์แสดงถึงรสนิยม บุลคลิกดีและท่วงท่าการยืนเหมือนได้รับการฝึกมาจนติดเป็นนิสัย ขนาดรอยยิ้มที่ส่งมายังชวนให้ผู้รับรู้สึกประทับใจ เขาดูไม่มีความประหม่าซ้ำยังพูดจาได้นุ่มนวลน่าฟังเหมือนเชี่ยวชาญเรื่องการเข้าสังคมอย่างมาก บางทีกันต์เองที่มีประสบการณ์ออกสื่อในสองสามปีนี้อาจยังสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

               ...ดูลงตัวเหมือนคนที่หลุดออกมาจากภาพวาดล่ะมั้ง

               “ไม่เป็นไรครับ ผมเองควรจะต้องเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่า” กันต์ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อนึกย้อนไปว่าคนที่มีภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบนี้จริงเหรอที่เป็นคนพูดประโยคคลาสสิกอย่าง ‘เป็นแค่เพื่อนกัน’ ออกมา เพราะจากการวางตัวระดับโปรแล้วเขาไม่น่าจะเป็นคนที่ตอบแบบนั้นไปเลย

               “หัวเราะอะไรน่ะกันต์”

               “เปล่าครับพี่ ไม่มีอะไรหรอก” เขาตอบปฏิเสธอย่างไม่คิดจะอธิบายเพิ่มก่อนที่ทีมงานสเตจจะเดินเข้ามาบรีฟคิวครั้งสุดท้าย แล้วเรียกให้กันต์ไปเตรียมตัวในที่สุด

               “กันต์สแตนด์บายเลยครับ”

               “งั้นผมไปแล้วนะครับ...ไว้เจอกันครับ”

               เมื่อได้รับคำสั่งซ้ำอีกครั้งเขาจึงต้องตอบรับทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้เดินออกไปก็ถูกดึงตัวเอาไว้ก่อน และเมื่อหันกลับไปมองกลายเป็นว่าเขาต้องตกใจกว่าเดิมเพราะคนที่กำลังจับแขนเขาไว้คือธาริณ



               “คุณกันต์ครับ”



                “...”



               “ผมรู้นะว่าคุณหัวเราะอะไร”











-----------------------------------------------

ธีร์ได้เจอน้องกันต์แล้วววว เยย้ อย่าลืมมาพูดคุยกันใน #เหมือนกันต์ นะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ แล้วเจอกันค่า  :กอด1:


ปล. คุณ sirin_chadada ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่าา

หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 02 (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 22-11-2018 06:35:48
ธีร์รู้แต่เราไม่รู้อ่ะ กลับมาต่ออีกสักตอนสองตอนก่อนได้มั้ย อยากรู้ด้วยอ่ะ555555
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 02 (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-11-2018 17:51:45
 :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 02 (21.11.18)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-11-2018 19:21:35
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 03-12-2018 23:01:45


:: CHAPTER 3 ::





               บรรยากาศของคืนวันศุกร์ครึกครื้นสมกับเป็นคืนที่รวมความเหนื่อยตลอดสัปดาห์ของทุกคนเอาไว้ เช่นเดียวกับกันต์และกลุ่มเพื่อนที่นัดกันมาเลี้ยงฉลองหลังสัปดาห์ที่เหนื่อยยากผ่านพ้นไป การเป็นที่รู้จักทำให้เขาต้องพยายามเลี่ยงผู้คนโดยมาร้านที่แพงขึ้นมาหน่อยซึ่งสามารถให้ความเป็นส่วนตัวได้มากกว่าร้านทั่วไป เขาเคยนัดเพื่อนมาที่บาร์แห่งนี้หลายครั้งซึ่งทุกครั้งเป็นประสบการณ์ที่น่าพอใจด้วยการตกแต่งที่สวยงามน่าดู ดนตรีสดที่ค่อนข้างถูกจริต และการที่ไม่มีใครมายุ่งกับเขาเท่าไหร่ อย่างมากที่สุดก็แค่สะกิดเพื่อนให้หันมามองแต่ไม่ได้เข้ามาขนาดนั้น ด้วยเหตุผลหลักๆ นี้เขาจึงยอมจ่ายเพื่อซื้อความสงบสุข

               ท้องฟ้ากรุงเทพในตอนกลางคืนแม้มองไม่เห็นเมฆหรือดวงดาวแต่กันต์ก็ยังรักที่จะเงยหน้าขึ้นไปอยู่ดี เขาจึงมักจะเลือกมาสังสรรค์ในบาร์รูฟท็อปด้วยเหตุผลนี้ ท้องฟ้าเป็นสิ่งไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงไร้ขีดจำกัดเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว เขาไม่เคยนึกชอบรสชาติของแอลกฮอล์ยกเว้นตอนอยู่กับท้องฟ้า

               “หายเหนื่อยเลยนะมึง”

เสียงของ ‘นที’ หรือ ‘นนท์’ ดังขึ้น เรียกสติให้คนที่กำลังเหม่ออยู่กลับมาอยู่กับวงสนทนา นทียิ้มล้อเลียนมองเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมตั้งแต่มัธยม เขารู้ดีว่าถ้าเพื่อนคนนี้เหนื่อยมากเท่าไหนก็จะเหม่อง่ายเท่านั้น อย่างวันนี้กันต์เป็นคนชวนมาเองก็จริง แต่เขาเห็นเหม่อมาไม่ต่ำกว่าสิบนาทีแล้ว ปล่อยให้เขากับไอ้เมฆต้องมานั้งคุยกันสองคนได้ไง

               “เออดิ ช่วงนี้โคตรยุ่ง” กันต์หันมาสบตากับเพื่อนอีกสองคนอย่างคนเพิ่งรู้ตัวก่อนจะยกมือลูบหน้าเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง

               “ที่กองมีปัญหาเหรอ”

               “เปล่าหรอก แค่ช่วงนี้ตารางแน่นเพราะต้องเคลียร์คิวให้งานใหญ่อาทิตย์หน้า”

               “งานฉลองค่ายที่จะโคกันอะไรนั่นเหรอ” เมฆถามขึ้น เขาพอจะข่าวมาบ้างว่าจะมีโปรเจกต์ร่วมกันของสองค่ายอะไรทำนองนี้

               “เออดิ ฉลองครบรอบยี่สิบปีค่ายกู”

               “แล้วเกี่ยวอะไรกับอีกค่ายวะ”

               “เหมือนฝั่งนั้นเองก็จะครบยี่สิบห้าปีเหมือนกันเลยจะฉลองร่วมอะไรแบบนี้” เขาพยายามอธิบายเท่าที่ตัวเองเข้าใจเพราะความจริงแล้วก็ไม่ได้รู้เยอะในเชิงรายละเอียดฃยู่ดี

               “เออก็พีอาร์หนักๆ ครั้งเดียวเลย”

               “ทำนองนั้น” กันต์ตอบรับ เพราะเป็นงานชิ้นที่จะออกมาครั้งเดียวจากสองค่าย เขาเลยรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้แบกหน้าตาของทั้งสองบริษัทยังไงไม่รู้

               “ว่าแต่ช่วงนี้...มึงโดนด่าว่าดังแล้วหยิ่งเหรอ”

อยู่ๆ นนท์ก็โพล่งขึ้นมา บางครั้งกันต์ก็นึกเกลียดการที่มีเพื่อนทำงานด้านวารสาร ไม่รู้เป็นเพราะการเรียนหรือความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากกว่าชาวบ้านของนนท์กันแน่ที่ทำให้เพราะมันคอยตามข่าวทุกอย่าง ยิ่งเป็นเรื่องของเขาด้วยแล้วก็ยิ่งได้รับความสนใจเป็นพิเศษ และแน่นอนว่าข่าวนี้เขาปฏิเสธแบบแทบจะไม่ต้องคิด

               “เฮ้ย นั่นไม่ใช่กู”

               “แต่นี่มันมึงชัดๆ ” นนท์ไม่พูดเปล่า เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปที่แคปเก็บไว้ตั้งแต่วันก่อน ทำเอากันต์แทบจะทึ้งหัวตัวเองเพราะไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะจริงจังขนาดนี้

               “คือมีคนหน้าเหมือนกู...” กันต์แย่งโทรศัพท์ของนนท์มาถือไว้เองแล้วเลื่อนหน้าจอซูมจนเห็นรูปในข่าวชัดเจน เขาชี้ไปที่ใบหน้าที่คล้ายกัน “เนี่ย มึงดูดีๆ ดิ” พูดแล้วเขาก็ส่งมือถือคืนเจ้าของ เมื่อนนท์กับเมฆรับมาก็รีบมุงดูทันที ทั้งสองมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอุทานออกมา

               “เชี่ย”

               “พีคสัส”

               “ฮ่าๆ แล้วมึงทำไงต่อวะ”

พอหายตกใจแล้วแทนที่พวกมันจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เพื่อนทั้งสองกลับหัวเราะแทน กันต์มองหน้าตาที่ดูตื่นเต้นเหมือนได้เจอเรื่องน่าสนุกอะไรสักอย่างแล้วก็ได้แต่ด่าพวกมันอยู่ในใจ เห็นความเดือดร้อนของเขาเป็นเรื่องสนุกนี่โคตรเพื่อนแท้เลย

               “ก็ไม่ทำไงอ่ะ ทำไรไม่ได้”

ความจริงกันต์ก็ไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาทั้งยังแอบรู้สึกเป็นเรื่องตลกเองเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าพี่พิ้งค์จะเดือดร้อนหรือเปล่าแต่ตัวเขาเองกลับเชียร์ให้ปล่อยไว้แบบนี้ ดีไม่ดีเขาจะมีโอกาสได้เห็นบทสัมภาษณ์แปลกๆ อะไรขึ้นมาอีก

               “จะว่าไปเขาก็ดูดีเลยนะ รู้ไหมว่าเป็นใคร”

               “ทำไม มึงสนใจเหรอ” กันต์อดแซวไม่ได้เมื่อเห็นว่าเพื่อนเขาดูตั้งใจเกิน ถึงเขาจะรู้ว่ามันแค่ลุ้นไปกับเขาก็เถอะ

               “ก็แย่ละ แค่สงสัยโว้ย”

               “รู้แค่ว่าชื่อธีร์ แต่พี่โอเป็นคนเก็บนามบัตรเพราะกูต้องรีบสแตนด์บาย”

กันต์ยอมรับออกมาในที่สุดแม้เขาจะอยากล้อเพื่อนต่ออีกหน่อย คำตอบของเขาทำให้ทั้งเมฆและนนท์โห่ออกมาอย่างเสียดาย เขารู้ดีว่าเพื่อนพวกนี้แค่อยากหาประเด็นมาคุยแต่ทำท่าทางเหมือนกับว่าอยากรู้จักมากอย่างนั้นแหละ

               “ว่าแต่มึงล่ะ เป็นไงบ้าง”

กันต์หันไปถามเมฆซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนสามคนนี้ที่ทำงานคนละวงกันโดนสิ้นเชิง อย่างเขากับนนท์ทำงานสายบันเทิงทั้งคู่แต่เมฆแยกไปทางจิตวิทยา ซึ่งเรียกได้ว่าเมฆมันเลือกเรียนได้เหมาะสมกับตัวเองมาก ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมันก็ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาและสมองอะไรทำนองนี้อยู่เรื่อย ในขณะที่เขากับนนท์นั้นออกจะขลุกอยู่กับการดูหนังฟังเพลงไปคอนเสิร์ตมากกว่า

               “กูก็ไปเรื่อยนั่นแหละ ยังไหวอยู่”

               “ไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน กูหมายถึงพี่ตาล”

               “ฮ่าๆๆๆ”

คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะจากนนท์ได้แทบจะทันที ประเด็นของเมฆเองก็น่าสนใจไม่แพ้เขาเพราะตอนนี้มันกำลังโดนเพื่อนสนิทของพี่รหัสตามจีบทั้งที่ตัวมันไม่ได้สนใจอะไร แถมสเป็คของมันยังชอบคนเด็กกว่าแต่นี่กลับมีคนที่โตกว่าถึงสามปีมาจีบ

               ...คนเรามักไม่ค่อยได้สิ่งที่ต้องการหรอก

               “พวกมึงก็พูดแต่เรื่องนี้” เมฆบ่นพึมพำแต่ยังไงก็ยอมตอยคำถามอยู่ดี “วันก่อนเขาก็มาดักรอกินข้าวด้วย แต่กูปฏิเสธไปละ บอกว่ามีประชุม” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าเซ็งทันที

               “เอาเหอะน่า พี่เขาอาจเหงา” นนท์พยายามปลอบแม้จะไม่ยอมหยุดหัวเราะสักที คนอย่างเมฆไม่ค่อยสนใจใครในเชิงชู้สาวเท่าไหร่เพราะมองทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองกำลังศึกษาและเข้าใจอยู่ตลอดเวลา

               “โหมึงแม่ง...” กันต์กำลังจะออกปากเชียร์อย่างออกรส นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครพยายามเข้าหาเพื่อนของเขาขนาดนี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดต่อมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นเขาจึงรีบหยิบขึ้นมาดูทันที

                  ครืด ครืด


                “แปปนะ พี่พิ้งค์โทรมา”

เขาว่าพลางลุกขึ้นมาจากโต๊ะแล้วเดินเลี่ยงออกไปบริเวณหน้าห้องน้ำเพื่อไม่ให้เสียงรบกวนดังลอดเข้าไป เขาไม่ค่อยอยากให้พี่พิ้งค์รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะอีกฝ่ายจะชอบให้เขานอนพักผ่อนมากกว่าจะออกมาแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนในช่วงที่กำลังเหนื่อยอยู่แบบนี้ แต่ทำไงได้ ถึงร่ากายจะเหนื่อยแต่การได้เจอเพื่อนสนิทพร้อมหน้ามันเป็นอะไรที่ทำให้เขาได้พลังบวกกลับไปเยอะเหมือนกัน

               [กันต์ ว่างคุยไหม] เสียงที่ดังลอดออกมาดูร้อนรนจนเขาอดสงสัยไม่ได้

               “ว่างครับ”

               [ยังจำคุณธีร์ที่หน้าเหมือนแกได้ใช่ไหม ฉันรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร! ] เมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่เพิ่งเป็นประเด็นในวงสนทนาเมื่อครู่แล้วกันต์ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทำไมหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับตัวเขามันวนอยู่แค่นี้

               “จำได้สิครับ แต่เขาให้นามบัตรไปกับพี่โอแล้วนะ”

               [อ้าว แล้วทำไมโอมันเงียบไม่ยอมบอกฉัน] พี่พิ้งค์โวยวายทันที เนื่องจากเธอต้องใช้เวลาไปกว่าครึ่งวันในการตามหาว่าคนนี้เป็นใครทำงานอะไร ถ้าโอส่งนามบัตรมาทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเยอะ

               “แล้วเขาเป็นใครล่ะครับ ทำไมพี่พิ้งค์ตื่นเต้น”

               [เลขาคุณเมธา]

               “อะไรนะครับ” ชื่อของประธานบริษัทค่ายที่กำลังทำจะมีงานร่วมกันทำให้กันต์เป็นฝ่ายอุทานออกมาเสียเอง ตอนดูคลิปสัมภาษณ์ก็ว่าทำไมเขาจึงมีท่าทางการพูดจาตอบคำถามที่ดูโปรและเป็นธรรมชาติขนาดนั้น

               [เออสิ แล้วเดี๋ยวอาทิตย์นี้คุณเมธาก็จะมาคุยเรื่องโปรโมทด้วย อาจได้เจอกันอีก]

               “จริงด้วย”

               เขาเกือบลืมไปแล้วว่าพี่พิ้งค์ลงตารางไว้เรียบร้อยตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แค่คิดว่าต้องเข้าประชุมก็เซ็งแล้ว เขาชอบการประชุมบรีฟงานของพี่โอนะ แต่การประชุมกับคุณโชติที่มักจะน่าเบื่อยังไงไม่รู้ อาจเพราะคุณโชติมักจะเน้นประเด็นไปที่การวิเคราะห์ประเด็นเรื่องผลกำไรกับวิเคราะห์ตลาดด้วยล่ะมั้งเขาเลยมักจะรู้สึกว่ามันไม่น่าฟังเท่าไหร่

                [ข่าวดีคือ คุณโชติบอกว่าให้แกประชุมด้วยเลยตั้งแต่แรก]

                “แต่...”

                [เขาบอกว่าในเมื่อจะเป็นนักแสดงที่จะเล่นไวรัล ยังไงก็ควรรู้เนื้อหาแล้วคุณโชติมีเรื่องจะแจ้งด้วย]

                “โอเคครับ พอทราบไหมครับว่าเรื่องอะไร” กันต์ตอบกลับด้วยเสียงที่ห่อเหี่ยว ใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นโอกาสอันดี แต่อีกใจเขาก็คิดว่าไม่น่ามาดังในช่วงที่กำลังจะมีโปรเจกต์สำคัญอะไรแบบนี้เลย ไม่อย่างนั้นชีวิคงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้

                 [พี่ก็ไม่รู้ ยังไงก็เผื่อใจไว้เจอคุณธีร์ด้วยแล้วกัน] ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าพี่พิ้งค์กำลังยิ้ม อาจเพราะอีกฝ่ายเองก็ตื่นเต้นไม่ต่างจากเขา

               “ได้ครับ” กันต์ยิ้มกับตัวเองพลางกดวางสาย เขายังคงยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้สัปดาห์หน้าจะแย่ขนาดไหนแต่เขาจะได้เห็นคนที่เข้าสังคมเก่งจนไม่น่าเชื่อคนนั้นสักที



               ...ไว้เจอกันนะครับพี่ธีร์

             






               การประชุมครั้งนี้นัดไว้ตอนสิบโมง แต่เพราะเป็นการประชุมครั้งสำคัญทั้งคุณเมธาและธาริณจึงตัดสินใจมาก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อก้าวลงมาจากรถแล้วเขาก็หยุดมองประตูกระจกและตัวอักษรสีเงินที่ทำเป็นชื่อบริษัทบนผนังบริเวณทางเข้า คุณเมธาเลือกที่จะเข้าจากทางเข้าหลักตามปกติเพราะอยากถือโอกาสมาดูบรรยากาศโดยรวมของพนักงานไปตัว ธาริณหันไปมองใบหน้าด้นข้างของผู้เป็นนายซึ่งดูเป็นกังวลยิ่งกว่าใคร เรียกว่าเป็นนาทีประวัติศาสตร์สำหรับสองบริษัทเลยล่ะมั้งสำหรับการมาเยือนตึกของบริษัทคู่แข่งอย่างเป็นทางการขนาดนี้

               ความจริงการมีโปรเจกต์ร่วมกันไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น แต่เคยเกิดเมื่อนานมากแล้วตั้งแต่ก่อนธริณจะเข้าทำงาน เขาจึงอดตื่นเต้นตามไม่ได้ เขากวาดสายตามองความวุ่นวายของโถงทางเข้า เพราะเป็นเวลาเช้าเลยทำให้มีพนักงานมากมายยืนต่อแถวขึ้นลิฟท์กัน ร้านกาแฟมีคนยืนต่อคิวอยู่ประปราย บ้างก็กดโทรศัพท์บ้างก็พูดคุยกัน อาจเพราะเป็นบริษัทที่ทำงานลักษณะเดียวกันเลยทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ต่างจากบริษัทเขาเท่าไหร่

               ...แต่ยังไงตอนเช้าแบบนี้ก็โคตรน่ารำคาญ

                “ต้องขอโทษด้วยนะคะ เวลานี้คนจะเยอะหน่อย” พนักงานต้อนรับที่เดินมารับด้านหน้าเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลระหว่างเดินผ่านลิฟท์หลักไปยังลิฟท์อีกตัวที่อยู่ลึกกว่า เธอคงไม่กล้าไปพูดกับคุณเมธาที่เดินอยู่ด้านหน้าโดยตรงจึงเลี่ยงมาบอกเขาแทน

               “ไม่เป็นไรครับ ที่บริษัทผมก็แบบนี้ล่ะครับ” ธาริณตอบรับพร้อมรอยยิ้มพลางส่ายหน้าเพื่อย้ำว่าไม่ได้ติดใจอะไร ท่าทางของเขาทำให้พนักงานคนนั้นลอบถอนใจอย่างโล่งอกแล้วเดินนำต่อไปจนถึงลิฟท์ในที่สุด

                ห้องประชุมอยู่ชั้นสิบสอง เมื่อลิฟท์เปิดออกก็มีพนักงานอีกสองคนเดินมาต้อนรับและพาเข้าไปนั่งคอยที่บริเวณหน้าห้องประชุมทันที แต่เมื่อไปถึงแล้วเขากลับพบว่าตนเองและคุณเมธาไม่ใช่คนมาก่อน เพราะเขาได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนคุยงานด้วยสีหน้าจริงจังเสียก่อน และเมื่อได้เห็นไปเห็นคนที่คุณโชติกำลังพูดอยู่ด้วยเขาเองถึงกับเป็นฝ่ายชะงักไปเสียเอง

                ...กันต์ก็มาด้วย

                เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้เขาและเจ้านายรอนาน เพราะทันทีที่คุณโชติสังเกตเห็นคนมาใหม่ก็เปลี่ยนความสนใจจากคู่สนทนาก้าวเข้ามาหาคุณเมธาทันที

               “สวัสดีครับพี่เมธา มาเร็วจังเลย” ลักษณะท่าทางและการพูดของคุณโชติเป็นกันเองเช่นเดียวกับที่เคยได้เห็นในงานรวมและสัมภาษณ์ต่างๆ แต่ธาริณไม่คิดว่าเขาถึงกับเรียกคุณเมธาเป็นพี่ในทันที ถึงจะเป็นบริษัทคู่แข่งในทางธุรกิจแต่ดูทรงแล้วเจ้านายของเขาน่าจะเข้ากันได้ดี

                “ตื่นเต้นน่ะครับ ไม่ได้เจอกันมานานเลย” คุณเมธาเองก็เอื้อมมือไปแตะไหล่อีกฝ่ายด้วยท่าทางสนิทสนม ก่อนที่คุณโชติจะเลื่อนสายตามายังธีร์ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง

                “แล้วเลขา...เฮ้ย” เมื่อเห็นเขาแล้วคุณโชติก็หันกลับไปหากันต์ทันที “นี่มันกันต์ร่างสอง” ฟังถึงตรงนี้ธีร์จึงหันกลับไปมองเจ้าของชื่อบ้าง ก่อนจะพบว่ากันต์มองเขาก่อนอยู่แล้วพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

                ...ยิ้มอะไรของมันวะ

                “อ้อใช่ครับ เลขาผมหน้าเหมือนคุณกันต์” คุณเมธาหัวเราะกับท่าทางที่เหมือนยังตกใจไม่หายของประธานฝั่งตรงข้าม

                “กันต์บอกผมแล้วแหละ แต่ไม่คิดว่าจะเหมือนขนาดนี้”

“จะว่าไปผมเองต้องขอโทษแทนธีร์ด้วยที่ให้สัมภาษณ์ไปแบบนั้น เลยทำให้คุณกันต์ต้องเป็นข่าว” ประโยคสุดท้ายคุณเมธาหันไปพูดกับเจ้าตัวโดยตรง “ธีร์เขาไม่รู้ว่าจะปลอมลายเซ็นยังไงน่ะ”

                การกระทำนั้นทำให้กันต์ถึงกับหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ก่อนจะหันไปมองคู่กรณีแทน “ใช่ไหมครับพี่ธีร์” เขาหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นการชะงักเพียงเล็กน้อยของคนตรงหน้า

                “ครับ” ธีร์ก็ยังทำตัวได้เหมาะสมโดยการตอบรับพร้อมส่งยิ้มให้

                “คุณเมธาเชิญเข้าไปก่อนเลยได้นะครับเดี๋ยวผมต้องขอตัวคุยกับผู้จัดการก่อน” เจ้าของสถานที่เอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท แม้จะเป็นที่รู้กันว่าเขาแค่ต้องการจะคุยกับนักแสดงโดยไม่ให้ประธานค่ายอีกฝ่ายได้ยิน ซึ่งคุณเมธาก็ไม่ได้ขัดความต้องการแล้วเดินนำธาริณเข้าไปในห้องประชุมทันที

 





                หลังจากคนจากค่ายคู่แข่งเข้าไปในห้องประชุมและปิดประตูเรียบร้อยแล้ว โชติจึงหันกลับมาพูดคุยกับนักแสดงในสังกัดพร้อมผู้จัดการส่วนตัวอีกครั้ง เขามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำเอากันต์และพิ้งค์อดลุ้นไปด้วยไม่ได้

                “รู้หรือยังว่างานแฟนมีตติ้งรวมเลื่อนไปวันอังคารหน้า”

                “อะไรนะคะ...” ไม่ใช่แค่พิ้งค์แต่รวมถึงกันต์ด้วยที่ตกใจพอกัน เขาจำได้ว่าวันอังคารหน้าเป็นการนัดประชุมใหญ่กับอีกบริษัทเกี่ยวกับเรื่องไวรัลที่เชิญทีมงานทุกฝ่ายของทั้งสองบริษัทมารวมตัวกัน เรียกได้ว่าเป็นประชุมแจ้งข้อสรุปของการประชุมในครั้งงนี้ให้ทุกฝ่ายทราบทั่วกัน

                “ฝ่ายสถานที่เขาแจ้งมาว่ามีคิวอื่นมาแทรกขอใช้พื้นที่” โชติมองสีหน้าของทั้งสองคนแล้วเขาเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน “น่าจะใหญ่มาก เพราะเจ้าของที่ถึงกับยอมเลื่อนเรา”

                “แล้วประชุมล่ะคะ”

                “ผมนัดทุกฝ่ายของทางนั้นไว้ตั้งแต่เดือนก่อนเขาเลยเคลียร์ตารางกันไว้หมดแล้ว คงเลื่อนไม่ได้จริงๆ ” โชติตอบก่อนหันมาพูดกับนักแสดงตรงหน้า “ส่วนกันต์ยัไงคงต้องมาล่ะนะ เพราะทางนั้นเขาแจ้งมาว่าอยากให้นักแสดงมาคุยกันเลย”

                ...ให้มันได้อย่างนี้สิ

               “ได้ค่ะ เดี๋ยวพิ้งค์แจ้งผู้จัดงานให้แล้วกัน”

               “แต่ผมบอกแฟนคลับไปแล้ว” อย่าเรียกว่าแค่บอกแฟนคลับเลย เขาถึงขั้นเอ่ยปากสัญญาไปแล้วว่าอย่างไรจะไปแน่นอน พอคิดว่ามีคนรอเขาในฐานะนักแสดงเลยอดรู้สึกผิดไม่ได้

               “ควมจริงกันต์ยังเพิ่งเริ่มไม่อยากให้ผิดสัญญา” พิ้งค์พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง เป็นไปได้ในช่วงต้นของการทำงานในวงการเธอไม่อยากให้กันต์โดนว่าเรื่องการรับปากแล้วไม่ทำตาม ถึงจะเป็นเหตุสุดวิสัยแต่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของตัวนักแสดงได้

               “นั่นสิ” เมื่อได้เข้าใจสถานการณ์แล้วโชติถึงกับคิดอะไรไม่ออก ฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธไมได้ ทางนี้ก็ไม่ควรเลื่อน

               พิ้งค์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง พยายามนึกถึงทางแก้ปัญหาในหนทางอื่น ถ้าเป็นมุมมองของผู้จัดการอย่างเธออาจเห็นว่าความน่าเชื่อถือส่งผลในระยะยาวกว่า การประชุมอาจนัดฝ่ายนั้นมาอีกครั้งยังได้ แต่เมื่อโชติเป็นคนออกปากนัดล่วงหน้าเองเธอก็ไม่อยากให้เขาเสียหน้าเหมือนกัน ยกเว้นแต่ว่าฝ่ายนั้น

               ...หรือจะให้ฝ่ายนั้นช่วยอะไรสักหน่อย

               “คุณโชติคะ!” พิ้งค์เผลอขึ้นเสียงด้วยความตื่นเต้น

               “ว่าไง คิดอะไรออกเหรอ”

               “ติดต่อคุณเมธาเลยค่ะ” พิ้งค์พยายามเรียบเรียงคำพูดให้ถูกต้องอย่างสุดความสามารถ “ว่าจะทางเราจะขอยืมตัวคุณธาริณสักวัน”

               “...”

                ได้ยินพิ้งค์พูดอย่างนั้นโชติจึงเดินเข้าไปใกล้กระจกห้องประชุมอีกเล็กน้อยเพื่อพิจารณาเลขาของเมธาซึ่งเป็นทางรอดทางเดียวของนักแสดงคนสำคัญในสังกัด เมื่อครู่เขาไม่ทันได้สังเกตอีกฝ่ายมากนอกจากว่าหน้าตาของเขาดูคล้ายกันต์ แต่เมื่อได้มาเห็นอีกครั้งเขาก็คล้อยตามกับการแก้ปัญหาแบบนี้ทันที

                “เขาดูโอเคเลยนะคุณพิ้งค์”

                “ใช่ค่ะ” พิ้งค์ตอบพลางเหลือบสายตาไปมองหัวข้อสนทนาบ้าง “เท่าที่เคยเจอเขาน่ารักมากเลยนะคะ พูดจาดี แล้วก็ดูไม่ได้โมโหอะไรกับการที่ถูกคนเข้าใจผิด” น้ำเสียงของหญิงสาวแฝงความชื่นชมไว้ไม่น้อย “เขาน่าจะไม่ว่าอะไรถ้าทางเราย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ”

                “อืม” โชติรับคำโดยที่สายตายังเหลือบมองอยู่ดังเดิม “เดี๋ยวฉันลองไปขอดู”

                ได้ยินแล้วกันต์ก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจหงุดหงิดแค่ไม่แสดงออก เขาไม่อยากคิดเลยว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ถึงแผนการของพี่พิ้งค์แล้วจะไม่พอใจหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากแย้งอะไรเมื่อคุณโชติพูดต่อ

                “แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”

                “เจอในงานอีเว้นท์เปิดตัวแชมพูน่ะครับ แต่ความจริงก็คุยกันแค่สองสามประโยคเท่านั้นล่ะครับ” กันต์ตอบไปตามความจริง

                “แค่นี้ไม่เรียกว่ารู้จักนะ” ได้ยินคำตอบของคุณโชติแล้วกันต์ก็ได้แต่เถียงในใจว่าเขาเองก็ไม่เคยบอกเหมือนกันว่ารู้จัก มีแต่คุณโชติเองที่ตีความไปอย่างนั้น แต่แล้วเขาก็นึกอะไรบางอย่างก็ได้

                “ผมก็ไม่ได้รู้จักจริงๆ นี่ครับ...”

                กันต์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เหลือบสายตามองผ่านกระจกใสของห้องประชุม สายตาจับจ้องอยู่กับคนที่กำลังกลายเป็นประเด็นของวงสนทนา เขากำลังยืนคุยกับเจ้านายด้วยบุคลิกที่เหมือนถอดออกมาจากระเบียบแบบแผนของมารยาทสากล หลังเหยียดตรงและถือสมุดเล่มหนึ่งไว้ในมือ ท่าทางการพูดคุยรวมถึงรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้ากลายเป็นเหมือนองค์ประกอบที่เข้ามาเติมเต็มภาพวาด ถ้าไม่พูดถึงเรื่องหน้าตากันต์ก็ต้องยอมรับว่าไม่เคยเห็นเลขาของคนใหญ่โตคนไหนที่มีภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบเท่าคนนี้



                ...น่าสนใจ



                “แต่ผมจะพยายามทำความรู้จักเขานะครับ”







------------------------------------------------------------

มาแล้วค่าาา เพิ่งผ่านช่วงไฟนอลไปได้ค่ะ ฮืออ

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ  :กอด1:





หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-12-2018 13:25:02
งานเข้าพี่ธีร์ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 04-12-2018 14:15:18
อยากทำความรู้จักด้วยเหมือนกันอ่ะ //ทะลุมือถือเข้าไป
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 04-12-2018 15:04:19
รอดูน้องกันต์จะทำความรู้จักพี่ธีร์แบบไหนบ้าง
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-12-2018 22:40:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ฟหกดเ่ส ที่ 06-12-2018 09:54:41
รออยู่นะคะ♡♡♡♡
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 03 (03.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: bree ที่ 09-12-2018 21:52:39
อยากทำความรู้จักพี่ธีร์ด้วยคนค่ะ แอรร๊  :o8: :o8: :impress2:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 10-12-2018 22:19:37
:: CHAPTER 4 ::




               “ครับ คอนเฟิร์มบุ๊คกิ้งของวันที่ยี่สิบสามครับ...ได้ครับ...ขอบคุณครับ”

               ธาริณตอบรับก่อนจะวางสายโทรศัพท์ลง เขาเอื้อมมือไปหยิบปากกแล้วขีดรายการแรกของลิสท์ออกไป ธาริณกวาดสายตามองรายการที่เขาจะต้องจัดการในวันนี้แล้วอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ สัปดาห์นี้คุณเมธาตารางแน่นจนแทบขยับอะไรไม่ได้ รายการร้านอาหารและที่พักรวมถึงตั๋วเครื่องบินที่ต้องจองนั้นยาวเป็นหางว่าว ยังดีที่วันนี้คุณเมธาดูเห็นอกเห็นใจเขาเป็นพิเศษ จึงเรียกให้คนอื่นไปจดบันทึกการประชุมแทนแล้วยอมให้เขาจัดการเคลียร์ทุกอย่างอยู่ที่บริษัท ธาริณไม่มีเวลาจะบ่นได้นานเพราะต้องจัดการโทรไปย้ำกับรานอาหารสำหรับพรุ่งนี้ต่อทันที

               “สวัสดีครับ ผมจองโต๊ะไว้เมื่อวัน...”

               “พี่ธีร์ครับ!” ธาริณขมวดคิ้วแล้วหันไปมองรุ่นน้องคนสนิททันที ปกติแล้วไม่ว่าใครจะโทรศัพท์อยู่ตามมารยาทแล้วก็ไม่ควรพูดเสียงดังแทรกแบบนี้ ยิ่งเป็นไอ้ก้องที่รู้จักเขาดีกว่าใครแล้วยิ่งไม่น่าจะทำ เขายกมือขึ้นเป็นเชิงให้หยุดพูดแต่เหมือนจะไม่ได้ผลเอาเสียเลย

               “ด่วน-มาก!”

               ...เชี่ยไรเนี่ย

               “สักครู่นะครับ” ธาริณบอกกับปลายสาย เขายกมือขึ้นปิดไม่ให้เสียงเข้าไปในโทรศัพท์ก่อนจะหันมาเพื่อดุรุ่นน้องทันที

               “ไอ้ก้องหุบปาก”

               “พี่ คุณเมธาบอกให้ออกไปภายในเที่ยง” แต่สีหน้าแตกตื่นและท่าทีร้อนรนของรุ่นน้องก็ทำให้ธาริณเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ปกติแล้วก้องจะฟังเสมอถ้าเขาออกปากห้าม ทั้งยังไม่ใช่คนเสียมารยาท

                “เดี๋ยว ขอกูเคลียร์ร้านนี้ก่อน” แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องคุยกับทางร้าอาหารต่ออยู่ดี ธาริณจึงตัดสินใจให้ความสำคัญกับการจองร้านอาหารแต่พูดให้รวบรัดและจบลงภายในไม่ถึงนาที เมื่อวางสายแล้วจึงหันมาทางรุ่นน้องคนสนิท

               “มีไรวะ”

               “คุณเมธาโทรมาบอกให้พี่ธีร์ออกไปตึกMuse คุณโชติเขามาขอร้องทางเราให้ส่งพี่ไปช่วยน้องกันต์”

               ...โฮลี่ชิท

               “ทำไมต้องให้เราช่วย”

               “คุณโชติเขาอยากให้กันต์เข้าประชุมไวรัลงานครบรอบจะได้เจอน้องโยของค่ายเรา ล็อกตารากันไว้แล้วแหละแต่งานมีทติ้งของกันต์มีคิวแทรกแล้วเลื่อนมาชน ทีนี้กันต์สัญญากับแฟนคลับไว้แล้ว”

               แม่ง ถ้าไม่ติดว่าคุณเมธาสั่งก็อยากย้อนไปว่าเกี่ยวไรกับกูวะ

               “แล้วทำไมเขาไม่แจ้งมาล่วงหน้า”

               “โหพี่ ผมก็รู้แค่นี้ เรื่องคงจะไปดองไว้ที่ใครสักคน”

               ธาริณไม่ค่อยเชื่อเพราะถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับคุณเมธาเขาควรจะได้รับรู้ก่อน แสดงว่าเป็นการติดต่อโดยตรงและจงใจให้เขาเพิ่งมารู้วันนี้แน่นอน เรียกว่าไม่ให้โอกาสปฏิเสธนั่นเอง

               ...ร้ายมาก

                “เขาบอกว่าพี่ไม่ต้องแจกลายเซ็นนะ สโคปงานคือแค่ยืนถ่ายรูปพบปะประชาชนเฉยๆ อ่ะ ไปด่วนเลยพี่”

               “แต่กูไม่ได้เตรียมตัว พลาดชัวร์”

               ธาริณเถียงทันที บางคนอาจไม่รู้ว่าการออกงานในทุกโอกาสของเขาต้องผ่านการรีเสิร์ชอย่างหนักขนาดไหนเพื่อวางตัวให้เหมาะสม คราวนี้ถ้าจะให้เขาไปเป็นตัวแทนของอีกคนนอกจากจะต้องศึกษาลักษณะท่าทางและนิสัยแล้วอาจต้องศึกษาไปถึงข้อมูลแฟนคลับ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน เขาไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียวแน่นอน

               “ศึกษาไปเท่าที่ทำได้แล้วกันพี่”

               ก้องยื่นชุดที่ถืออยู่ในมือให้อย่างแรงจนเหมือนจงใจยัดเสื้อผ้าให้เขาเสียมากกว่า ธาริณเลยจำต้องรับมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะว่าไปเขาก็ยังไม่ได้รับคำสั่งโดยตรงจากเจ้านายตัวเองเขาจึงยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่แล้วความคาดหวังของเขาก็ต้องสลายไปเมื่อมีข้อความจากคุณเมธาเข้ามาในมือถือ

               มาถึงภายในเที่ยงนะ งานเริ่มบ่ายสอง

                ธาริณอ่านข้อความเสร็จก็เหลือบสายตาไปทางรุ่นน้องคนสนิททันทีก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มกวนตีนของมัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

               “รีบเลยพี่ เร็วๆ”

               “เออ มึงหุบปากเดี๋ยวนี้เลย”

               ธาริณชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นแบบนี้ ถ้าวันไหนมันมีปัญหาขึ้นมาเขาจะซ้ำเติมให้ดูบ้าง!




               สภาพของเขาหลังฉีกยิ้มถ่ายรูปกับแฟนคลับวัยรุ่นนับร้อยนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเหมือนผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือด บางทีทั้งคุณโชติและคุณเมธาอาจลืมไปแล้วว่าอายุของเขาก็เลยวัยที่จะชื่นชอบกิจกรรมทำนองนี้ไปแล้ว ธาริณเอียงคอไปมาเพื่อคลายกล้ามเนื้อหลังจากหันหน้าเปลี่ยนมุมเซลฟี่มานับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเซลฟี่เยอะขนาดนี้มาก่อน นอกจากคอแล้วเขาก็ยังรู้สึกเมื่อยปากเมื่อยหน้าไปหมดจนต้องสัญญากับตัวเองไว้เลยว่า วันนี้ที่เหลือเขาจะไม่พูดไม่ยิ้มกับใครอีกแล้ว

               “พี่กันต์คะ ขอถ่ายรูปหน่อยค่า”

               เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งเรียกให้ธาริณหันกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเธอมีมือถืออยู่ในมือ ธาริณก่นด่าอยู่ในใจ เขาบอกไปอย่างชัดเจนแล้วว่าจะกลับแล้วแต่ก็ยังมีคนมาตามอีก เขาจึงตัดใจยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วหันไปถ่ายรูป พยายามปลอบใจตัวเองว่าคงจะเป็นคนสุดท้ายจริงๆ แล้วแหละ

               “ขอบคุณนะคะ” เด็กสาวพูดจบก็เก็บมือถือไป แต่แล้วกลับกำมือแล้วยื่นออกมาด้านหน้า ทำเอาธาริณชะงักไป พอจะทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้ เพราะเมื่อเห็นเขาไม่สนใจเธอก็ยิ่งยื่นมือเข้ามา เขาไม่รู้เลยว่าปกติกันต์มีท่าทางประจำตัวไว้เล่นกับแฟนคลับยังไงบ้าง สุดท้ายเลยตัดสินใจกำมือแล้วยกขึ้นชนเบาๆ กับคนตรงหน้า

               แต่กลายเป็นว่าเด็กสาวกลับทำหน้าไม่พอใจปนสงสัย “พี่กันต์ต้องแบมือสิคะ”

               “จริงด้วย” ธาริณแสร้งเป็นจำไม่ได้แล้วพยายามทำสีหน้าให้ดูสมจริงที่สุด ก่อนแบมือแล้วไปชนกับกำปั้นของแฟนคลับอย่างถูกต้องในที่สุด

               เมื่อเด็กสาวมีท่าทีพอใจแล้วเขาก็ลอบถอนใจก่อนจะส่งยิ้มกลับไปให้ดังเดิม “ครั้งหน้ามาเจอกันอีกนะครับ”

               “ไปแน่ๆ ค่ะพี่กันต์”

               “ขอบคุณครับ”

               ดูเหมือนรอยยิ้มสุดท้ายของเขาจะทำให้เด็กสาวลืมเรื่องที่เขาทำท่าทางผิดเมื่อครู่ไปทันทีเพราะเธอยิ้มไม่หุบและหลุดกรี๊ดออกมาเบาๆ เห็นดังนั้นธาริณจึงฉวยโอกาสบอกลาแล้วตรงเข้าด้านหลังทันที


               “ขอบคุณมากๆ เลยนะคะคุณธีร์ นารายงานคุณโชติเรียบร้อยแล้วค่ะ”

               หลังจากจบงานและเปลี่ยนชุดกลับเรียบร้อย ผู้จัดการอีเว้นท์ก็เดินเข้ามาหาในโซนแต่งตัวก่อนจะเข้ามาขอบคุณเขายกใหญ่ ปกติแล้วใครขอบคุณได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เขาจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่คราวนี้เขาจะไม่พูดคำนั้นเด็ดขาดเพราะมันลำบากสำหรับเขามาก แล้วพี่นาอะไรนี่ก็ควรต้องขอบคุณเขาจริงๆ นั่นแหละ

               “ครับ” เขาตอบรับคำขอบคุณนั้นพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท

               ...เชี่ย เขาต้องยิ้มอีกแล้ว!

               “คุณโชติฝากบอกว่าถ้ามีโอกาสอยากเลี้ยงตอบแทนคุณธีร์ด้วยค่ะ”

               ความจริงธาริณก็คิดว่าอีกฝ่ายควรเลี้ยงตอบแทนแหละ แต่ถ้าต้องมาเจอคนเหล่านี้เขาก็พร้อมจะปฏิเสธอย่างสุภาพทันที แค่คิดว่าจะต้องเจอความวุ่นวายแบบนี้อีกเขาก็เซ็งมากแล้ว

               “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เรื่องเล็กน้อยมาก ผมเกรงใจ”

               “แต่ว่า...”

               “ไม่ เป็น ไร จริงๆ ครับ”

               ธาริณย้ำทุกพยางค์อย่างหนักแน่นเพื่อสื่ออย่างชัดเจนว่ายังไงเขาก็ไม่ใจอ่อน ใบหน้าของเขาคงแสดงความหงุดหงิดออกมามากจริงๆ เพราะหลังจากพูดไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตามตื๊อให้เขาดตอบรับคำชวนอีกเลย แต่แล้วประโยคถัดไปของเธอก็ทำให้เขาต้องนิ่งไป

               “คุณพิ้งค์แจ้งมาว่าเดี๋ยวจะเข้ามารับคุณธีร์นะคะ”

 



               เนื่องจากฝ่ายนั้นยืนยันมาขนาดนี้เขาจึงจำใจต้องนั่งรออีกสักพักจนกระทั่งพิ้งค์โทรมาบอกว่าถึงด้านหน้าอาคารแล้วจึงได้เดินลงไปตรงจุดนัดหมาย และความซวยก็ไม่ปล่อยให้คนอย่างเขาได้รอดพ้นจากวันเหนื่อยๆ ไปอย่างสงบสุข เพราะทันทีที่เขาออกมายืนหน้าอาคารก็มีแฟนคลับบางส่วนที่ยังคงอยู่ในบริเวณนั้นวิ่งตรงเข้ามาหา

               “พี่กันต์!!!”

               “ขอถ่ายรูปหน่อยค่า”

               เร็วกว่าคลิปไวรัลก็คงเป็นการที่ชื่อของเขาโดนกระจายจากวัยรุ่นกลุ่มนั้นไปจนถึงคนรอบข้างในเวลาไม่กี่นาที ตอนนี้ธาริณไม่มีสมาธิพอในการพูดโทรศัพท์กับพี่พิ้งค์อีกต่อไป เขาจึงบอกว่าจะติดต่อไปทีหลังพร้อมขอโทษอีกที่ไม่สามารถเดินไปที่อื่นที่สะดวกกว่าสำหรับอีกฝ่ายได้แล้วรีบวางสายไป เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝ่ายนั้นจะวนรถเข้ามาตรงนี้ได้ไหม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวคือ...เขาต้องรอด!

               คิดได้แบบนั้นธาริณเลยรีบวิ่งหนีออกไปอีกทิศทาง โชคยังดีที่เหล่าแฟนคลับไม่คุกคามจนวิ่งตามมาแต่ดูจากจำนวนมือถือที่ยกขึ้นมาถ่ายเมื่อครู่ก็พอรู้แล้วว่าใบหน้าของเขาคงได้ไปโผล่ในโซเชียลมีเดียไม่ต่ำกว่าสิบรูปแน่นอน เขาหยุดวิ่งทันทีเมื่อได้ที่หลบตรงซอกระหว่างอาคารกับเสาต้นใหญ่ เขาเอามือข้างหนึ่งยันเสาไว้ หอบหายใจพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ยิ่งเพิ่มขึ้นจากเมื่อกี้ ตอนนี้สภาพของเขาเรียกว่าดูไม่ได้และความเปียกความเหนียวนี้ก็เหมือนเพิ่งไปอาบน้ำมา

               ...แล้วสภาพแบบนี้จะไปเจอใครได้วะ

               ธาริณลอบถอนใจอย่างปลงๆ พลางต่อสายหาพิ้งค์อีกครั้งพร้อมบอกตำแหน่งที่ยืนอยู่ เขาแอบได้ยินอีกฝ่ายบ่นทำนองว่าทำไมไปยืนอยู่ตรงนี้ได้ แต่แน่นอนว่าเขายังไม่พร้อมจะอธิบายอะไร

               “คุณธีร์คะ ตรงนั้นรถเข้าไปไม่ได้ค่ะ” พี่พิ้งค์เส้นช่วงไปเหมือนกำลังเช็คเส้นทาง “รบกวนเดินออกมาตรงหน้าประตูหลังแทนแล้วกันค่ะ”

               เขากำลัจะเถียงว่านั่นมันที่ๆ เข้าเจอกับแฟนคลับเมื่อกี้ แต่แล้วพิ้งค์ก็รีบแทรกขึ้นก่อน

               “เดี๋ยวสักห้านาทีค่อยออกมานะคะ จะได้รีบวิ่งขึ้นรถเลย”

               “...อย่างนั้นก็ได้ครับ”

               หลังจากรอจนครบห้านาทีแล้วเขาจึงเดินออกมาด้านหน้าอีกครั้งก่อนจะพบว่าแฟนคับกลุ่มเดิมยังอยู่ ซำยังดูเหมือนมีจำนวนมากขึ้นด้วย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเดินผ่านไปอยู่ดี ธาริณสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของตนเองก่อนจะเดินต่อไปในทิศทางนั้น

               “พี่คะขอถ่ายรูปได้ไหมคะ” เวร เอาแล้วไง

               “คือว่า...”

               “กันต์! ขึ้นรถเร็ว เราต้องรีบไปแล้วนะ” 

               ถือว่าเขายังทำบุญมาดี เพราะด้านหน้าของเขามีรถสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่และลดกระจกลงทันทีเมื่อเห็นเข้าเดินมา พิ้งค์ยิ้มทักทายเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังรีบ สำหรับธาริณแล้วนี่เป็นเสียงที่เหมือนพระผู้ให้รอดเพราะมันทำให้เขาหันกลับไปปฏิเสธได้ทันที

               “พี่กันต์” เสียงของเด็กสาวตรงหน้าเริ่มอ่อนลง

               “ขอโทษนะครับ พี่ต้องรีบไป...เอ่อ ถ่ายแบบ”

               ณ จุดนี้เขาจะไม่สนใจว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริงหรือเปล่า จะถ่ายแบบหรือทำห่าอะไรช่างมันแล้ว! ธาริณรีบเปิดประตูข้างคนขับเข้าไปนั่งทันที แต่แล้วเด็กสาวคนนั้นกลับเรียกเขาไว้อีกที

               “งั้นสู้ๆ ค่ะพี่กันต์ หนูจะคอยติดตามนะคะ”

               “โอเคครับ ขอบคุณนะ” เขายิ้มหวานที่สุดเท่าที่ทำได้ แอบคิดอยู่ในใจว่าแฟนคลับกันต์ก็ไม่ได้เป็นซอมบี้วิ่งไล่ไปซะทุกคน เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกลาก่อนจะปิดประตูรถ

               “เฮ้อ ขอบคุณมากครับ” ธาริณถอนหายใจยาวออกมาทันทีและเขาคงจะถอนใจดังไปหน่อยเพราะมันทำให้คนบนรถหัวเราะขึ้นมา แต่มันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ธาริณตกใจเสียเองเพราะเสียงหัวเราะนั้นดังมาจากเบาะด้านหลัง

               อย่าบอกนะว่า...

               “เจ๋งมากเลยครับพี่ธีร์”

               เชี่ย กันต์ตัวจริงแม่ง อยู่ ใน นี้!

               ธาริณมองใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ในขณะที่เขาเจอความยากลำบากจากใบหน้าที่คล้ายกันนี้มาทั้งวัน อีกฝ่ายกลับไม่สลดใจอะไรทั้งนั้น

               “ฮ่าๆๆ แต่ผมไม่ได้ไปถ่ายแบบนะครับ”

               ...เออ ตลกมากดิ






               กันต์ไม่ได้ไปถ่ายแบบจริงอย่างที่พูด เพราะพี่พิ้งค์ผู้จัดการส่วนตัวไม่ได้ขับรถไปที่สตูดิโอไหนแต่เลี้ยวรถเข้าบริษัท ธาริณมองตึกของบริษัทคู่แข่งอย่างอดสะเทือนใจไม่ได้ เขาทำงานกับคุณเมธามาหลายปีไม่เคยได้มาที่นี่สักครั้งแต่พอได้มาครั้งหนึ่งแล้วก็เหมือนจะต้องมาติดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

               “กันต์ไปรอที่ห้องประชุมเลยนะ เดี๋ยวพี่วนไปส่งคุณธีร์ก่อน”

               “ครับ”

               “ถ้าพี่กลับมาไม่ทันฝากบอกด้วย รถน่าจะติด”

               “ได้ครับ”

               เมื่อดูจากสีหน้าเป็นกังวลที่มองสภาพการจราจรผ่านจีพีเอสในจอแล้วธาริณกลับเป็นฝ่ายเกรงใจเสียเอง ยังไงวันนี้เขาก็ออกมาแล้วแถมยังไม่ต้องกลับเข้าบริษัทอีก จะกลับบ้านช้าสักนิดคงไม่เดือดร้อนมาก

               “ถ้าอย่างนั้นผมรอกลับพร้อมกันต์ก็ได้ครับ”

               “ไปส่งดีกว่าคะ รบกวนคุณธีร์หลายเรื่องแล้ว”

               “ไม่เป็นไรครับ”

               “งั้นขอบคุณมากนะคะ” พิ้งค์กล่าวอย่างจริงใจก่อนหันไปบอกนักแสดงในความดูแล “กันต์พาคุณธีร์ขึ้นไปด้วยเลยแล้วกัน เดี๋ยวพี่เอารถไปจอดก่อน”

               “ได้ครับ”

               เมื่อพิ้งค์พูดแบบนี้กันต์จึงเป็นฝ่ายเปิดประตูรถเดินนำลงไปก่อนธาริณเลยค่อยเดินตามไป เขาเดินไปด้วยกันเงียบๆ โดยที่กันต์คอยทักทายคนที่เดินผ่านจนธาริณนึกแปลกใจว่าการเป็นนักแสดงต้องทักทายทุกคนขนาดนี้เลยเหรอ อาจเพราะกันต์ยังถือว่าอายุไม่มากและเพิ่งเข้ามาในค่ายไม่นานจึงต้องนอบน้อมกับทุกคน กว่าจะเดินไปถึงลิฟท์ธาริณก็อดเห็นใจไม่ได้ ขนาดเขาที่เป็นเลขามาค่อนข้างนาน ตอนเริ่มเข้าบริษัทยังไม่ต้องทำตัวนอบน้อมกับพนักงานรุ่นพี่ขนาดนี้ ทันทีที่ประตูลิฟท์ปิดลงกันต์ก็หุบยิ้มทันทีพร้อมถอนหายใจยาวเหยียดมองตัวเลขเคลื่อนไปเรื่อยจนหยุดอยู่ที่ชั้นสิบสอง

               “เดี๋ยวผมเข้าไประชุมในห้องนั้น พี่ธีร์เข้าไปด้วยก็ได้นะครับ”

               ธาริณก้มมองนาฬิกาในมือถือก่อนพยักหน้า จะกลับไปตอนนี้ยังไงรถก็ติดคงต้องอยู่รอก่อนสักชั่วโมง เขาเดินตามกันต์เข้าไปนั่ง ห้องประชุมของที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ตึกบริษัทเขาเท่าไหร่

               “พี่ธีร์ครับขอบคุณมากที่วันนี้ไปออกงานแทนนะครับ” หลังจากเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้วคนเด็กกว่าก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้น คำขอบคุณที่จริงจังแบบนี้จากคนตรงหน้าทำเอาธาริณปรับความคิดไม่ทัน

               “ไม่เป็นไรหรอก”

               “แล้ว...พี่ธีร์ไม่มีธุระอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ” กันต์ยิ้มพลางถามต่อ พยายามทำตัวให้ดูมีมารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้

               “ไม่ครับ”

               “งั้นผมฝากอยู่หน่อยนะ จะลงไปซื้อน้ำที่เซเว่นข้างล่าง” กันต์พูดพลางหยิบกระเป๋าสตางค์กับมือถือจากกระเป๋า

               “อ้าวแล้วถ้า...”

               “ช่วยอยู่แทนให้แปปนึงนะครับ ผมขี้เกียจฟังพี่บ่นเรื่องมาถึงแล้วไม่เจอตัวหรืออะไรแบบนี้แล้ว” ประโยคนี้ทำเอาธาริณงงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ ถึงจะหน้าเหมือนแต่เขาก็ไม่สามารถทำหน้าที่อะไรแทนได้

“แต่ถึงเป็นผมอยู่ก็ประชุมไม่ได้อยู่ดี”

“อย่างน้อยถ้าเขาเดินผ่านห้องมาก็จะได้คิดว่าผมมารอแล้วไง” ธาริณมองใบหน้าที่คล้ายตัวเองฉายแววเหนื่อยอย่างปิดไม่มิดประกอบกับคำพูดที่พยายามโน้มน้าว“วันนี้ผมออกไปทำงานตั้งแต่เช้า จะไม่เหลือแรงประชุมแล้วยัง...”

               “เออๆ โอเค ห้านาทีนะ” ในที่สุดธาริณก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้

               “ขอบคุณครับ!” พอได้ยินแค่สีหน้าของกันต์ก็เปลี่ยนทันทีเหมือนความเหนื่อยนั้นไม่เคยเกิดขึ้น เขาเดินออกไปซ้ำยังหันมาชูนิ้วโป้งให้อย่างร่าเริง “เดี๋ยวผมซื้อโค้กมาฝากกระป๋องนึง”

               ...นี่ผมไม่ได้ถูกหลอกใช่มั้ยวะ

 

               สามทุ่มครึ่ง

               เสียงการสนทนายังคงดังอย่างต่อเนื่องแต่เหมือนเขาจะไม่สามารถจับประเด็นได้แล้ว เขาอดมองคนที่ซื้อโค้กมาให้ไม่ได้ เมื่อกี้กันต์ยังมีท่าทางเหนื่อยอยู่เลยแต่ตอนนี้เด็กนั่นกลับเอาพลังจากไหนไม่รู้มานั่งเสนอไอเดียไม่หยุด จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าความแตกต่างนี้มันเป็นที่อาชีพหรืออายุกันแน่วะ

               “โอเค เอาประมาณนี้ก็ได้ครับ” จนเมื่อได้บทสรุปเบื้องต้นแล้วกันต์ก็รวบเอกสารทั้งหมดไว้รวมกันก่อนจะเก็บลงกระเป๋าทันที ส่วนพิ้งค์เองก็ทำท่าเหมือนจะจดอะไรต่ออีกเล็กน้อยแล้วเริ่มเก็บของ

               “มีอะไรเพิ่มเติมบอกมาทางพิ้งค์ได้เลยนะคะ” หลังจากนั้นพิ้งค์ก็เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจาต่อถึงรายละเอียดการติดต่อแล้วจัดแจงเดินนำผู้เข้าร่วมประชุมอีกสองสามคนออกไปจากห้องเพื่อไปคุยรายละเอียดเพิ่มเติม ทิ้งเขาให้อยู่กับกันต์ที่กำลังจัดของอยู่สองคน เมื่อกันต์กวาดดทุกอย่างลงกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็หันกลับมามองอีกคนที่อยู่ในห้องนี้ด้วย

               “พี่ธีร์กลับกับพี่พิ้งค์ใช่ไหมครับ”

               “ใช่ครับ” ความจริงกว่าเขาจะต้องรอพิ้งค์กลับมาคงอีกสักพักใหญ่เพราะพิ้งค์ต้องไปคุยกับผู้ร่วมประชุมต่อ คิดแล้วเขาก็อดเซ็งไม่ได้ นอกจากการไปรับแฟนคลับที่ดูดพลังงานไปแล้ว การประชุมยังยืดยาวกว่าที่คิดไว้จนเขานึกเสียใจไม่น่าปฏิเสธพิ้งค์ไปตั้งแต่ตอนนั้น เพราะตอนนี้เขาอยากกลับบ้านมากแล้ว

               “แล้วบ้านพี่ธีร์อยู่แถวไหนอ่ะ”

               “ผมอยู่แถวอารีย์ครับ เป็นคอนโด” เขาตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง สายตายังคงจับจ้องอยู่บนตัวเลขบอกเวลาในโทรศัพท์แต่แล้วประโยคถัดมาของกันต์ก็ดึงความสนใจของเขาเอาไว้

               “งั้นกลับด้วยกันก็ได้ครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน” คำพูดนี้เหมือนเป็นเสียงสวรรค์จากคนตรงหน้า ความช่วยเหลือตามปกติถ้ามันเข้ามาในเวลาที่เราต้องการก็เพียงพอจะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนเป็นพระเจ้าได้เลย

               “โอ...ขอบคุณมากครับ”

               กันต์ถึงกับชะงักไป ตั้งแต่เจอกันมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดของธาริณ ถึงแม้ว่าเขาจะยังระวังตัวอยู่เหมือนเดิมแต่แววตานั้นแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนี้วางตัวดีในระดับมืออาชีพแบบที่เรียกว่าน่านับถือ มองมุมไหนการกระทำไหนก็ดูสมบูรณ์แบบ แม้จะเป็นตอนนี้ที่กันต์รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงเหนื่อยมากแล้ว การรักษาภาพลักษณ์ได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

               ...พี่ธีร์ยังเป็นคนอยู่ไหมเนี่ย

               “ไม่เป็นไรครับพี่ แต่เดี๋ยวผมขอแวะซื้ออะไรกินระหว่างทางนะ ประชุมนานหิวอีกแล้ว” กันต์ว่าพลางกดปุ่มลิฟท์เมื่อเดินออกมาถึงด้านหน้า เขาขยับไหล่เล็กน้อยเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ในใจคิดไปถึงว่าจะกินอะไรโดยไม่รู้ว่าอีกคนยังคงติดใจอยู่กับประโยคเมื่อกี้

               “ปกติคุณกันต์กินมื้อดึกได้หรือครับ” ธาริณรู้ตัวว่าการถามแบบนี้อาจเป็นการเสียมารยาทแต่ด้วยความที่เขาเห็นอีกฝ่ายวางตัวเป็นกันเองแถมยังเด็กกว่าจึงอดถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้

               “ฮ่าๆ ไม่บ่อยหรอกครับ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็มีออกกำลังกาย” ช่วงเครียดหรืองานหนักเขาอาจกินเยอะก็จริงแต่ด้วยเพราะทำงานหนักประกอบกับการออกกำลังกายนี่แหละเขาจึงสามารถตามใจปากได้เป็นบางครั้ง แต่ถ้าเป็นช่วงที่งานไม่หนักแล้วเขาก็ต้องหันไปกินอาหารเดิมๆ ที่ไม่อร่อยเท่าไหร่อยู่ดี

               “อ้อ อย่างนี้เอง” ธาริณตอบงึมงำกับตัวเอง

               “พี่ธีร์หิวไหมล่ะครับ ไปนั่งกินเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ” กันต์ถามอย่างอารมณ์ดี เพราะงานสำหรับวันนี้เสร็จเรียบร้อยและผ่านไปได้ค่อนข้างราบรื่นทำให้เขาหายเครียดไประดับหนึ่งเลยนึกอยากนั่งกินข้าวสบายๆ

               ธาริณกำลังคิดจะปฏิเสธเพราะในหัวคิดแต่เรื่องกลับบ้านไปนอน แต่เมื่อมองสีหน้าที่เหมือนจะขอร้องอยู่ในตัวเขาเองก็เริ่มใจอ่อนแถมอีกฝ่ายยังเสนอตัวไปส่งให้ถึงบ้าน



                “ก็ได้ครับ”



               และเป็นอีกครั้งที่ธาริณต้องถามตัวเองว่า...นี่กูคิดถูกป่ะวะ





-------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่า ขอบคุณนักอ่านและทุกๆ คอมเม้นต์นะคะ ดีใจที่มีคนชอบ :กอด1: :กอด1:

เข้าไปพูดคุยกันในทวิตเตอร์ได้เสมอนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า




หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-12-2018 01:42:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 11-12-2018 14:30:04
หร้อม ทำไมรู้สึกมันไม่ใช่หน้าที่ของธีร์ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 11-12-2018 18:28:05
 :katai1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 11-12-2018 18:45:49
พี่ธีร์ตกหลุมน้องกันต์ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 11-12-2018 20:37:57
คนพี่นี่ก็น่าสงสาร5555555
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-12-2018 22:10:01
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-12-2018 20:12:11
ความใจอ่อนของพี่ธีร์นี่จะทำเด็กเหลิงนะคะ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: bree ที่ 13-12-2018 22:05:07
พี่ธีร์ก็คือยอมเก่งงง เอ็นดู๊
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 04 (10.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-12-2018 14:04:05
สงสารแทนเลย
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 16-12-2018 22:19:24


:: CHAPTER 5 ::





               “พี่ธีร์มีร้านไหนอยากกินไหม” เสียงจากคนที่กำลังขับรถอยู่ทำให้ธาริณหันกลับมา ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนชวนแท้ๆ แต่ทำไมถึงให้เขาเลือกแทนซะงั้น แถมยังขับรถมาเกือบครึ่งชั่วโมงแต่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนเนี่ยนะ

               ...อะไรของมันเนี่ย

               “ไม่มี คุณกันต์เลือกเลยครับ” เขาพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้ประโยคไม่ฟังดูห้วนเกินไป

               “ตอนแรกผมว่าจะไปร้านแถวบ้านแต่คิดไปคิดมาก็เบื่อแล้ว” คนพูดเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งเพื่อเหลือบมองใบหน้าที่ไม่ค่อยเปิดเผยความรู้สึกกำลังขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่รู้ตัว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิดแต่ทำไมเขาอารมณ์ดีขึ้นมาก็ไม่รู้ เหมือนกับการได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของใครสักคนมันน่าสนใจล่ะมั้ง เขาลอบยิ้มพลางพูดต่อ “แถวคอนโดพี่ธีร์มีร้านไหนแนะนำไหมครับ”

               เป็นคำถามที่ธาริณฟังแล้วยิ่งขมวดคิ้วกว่าเดิม อะไรของมันวะเนี่ย แล้วจะรู้ได้ไงว่าอยากกินแบบไหน “จะว่ามีก็มีครับ เป็นร้านข้าวต้นเปิดถึงเที่ยงคืน แต่...” พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงสภาพร้านอาหารเจ้าประจำที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะสักเท่าไหร่ “ไม่แน่ใจว่าคุณกันต์จะกินได้รึเปล่า”

               “ข้าวต้มผมกินได้นะ” กลายเป็นกันต์เองที่สงสัยขึ้นมา ถ้าเป็นข้าวต้มยังไงเขาก็กินได้แน่นอน

               “ข้าวต้มน่ะใช่ แต่มันไม่ค่อยสะอาดน่ะครับ” คำว่า ’ไม่ค่อย’ อาจน้อยเกินไป เพราะถ้าประเมินจากสภาพแวดล้อมที่ดูไฮโซของกันต์ประกอบกับอาชีพนักแสดงแล้วร้านนี้คงจะถือว่าโคตรสกปรกก

               “ผมไม่ซีเรียสหรอก บอกทางเลยครับพี่ธีร์”

               ธีร์ได้ฟังประโยคที่ดูง่ายและชิลแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ ยิ่งมองไปรอบๆ ภายในรถบีเอ็มสภาพใหม่เนี้ยบเหมือนได้รับการดูแลสม่ำเสมอที่เขากำลังนั่งอยู่ รวมถึงกระเป๋าสตางค์แบรนด์เนมกับไอโฟนรุ่นล่าสุดด้านข้างแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีทางที่เด็กนี่จะ‘ไม่ซีเรียส’อย่างที่บอก แต่ถ้ามันยืนยันเสนอให้เลือกขนาดนี้เขาก็จะสนองเต็มที่



               ...เดี๋ยวได้รู้กัน

 



               กันต์มองป้ายนีออนของร้านอาหารอย่างพูดไม่ออก หากไม่มีชื่อที่เขียนตรงตามที่คนเลือกบอกแล้วเขาอาจคิดว่ามาผิด เพราะร้านนี้เรียกได้ว่าโลคอลสุดๆ จนความกังวลว่าแฟนคลับจะมาเจอหายไปทันที ที่ตั้งของร้านอยู่ใกล้คอนโดอย่างที่ว่าก็จริงแต่อยู่ลึกเข้าไปในซอย เป็นตึกแถวหนึ่งคูหาที่มีน้ำแอร์หยดลงมาจากกันสาดไม่หยุด มีมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนจอดสะเปะสะปะอยู่หน้าร้าน กะละมังล้างจานใบใหญ่บรรจุจานชามวางกองเป็นตั้งพร้อมเศษอาหารตั้งอยู่ด้านหน้าติดกับท่อระบายน้ำสาธารณะซึ่งมีน้ำสีเทาเข้มและเศษอาหารปะปนจนแยกกันไม่ออก เหมือนต้องการจะโชว์ลูกค้าว่าล้างจานอย่างไร กันต์ไม่อยากจินตนาการต่อว่าเขามีโอกาสได้เดินสวนกับหนูและแมลงสาบแน่นอนในร้านแห่งนี้ ไม่ต้องพูดถึงกองจานชามที่ไม่รอดพ้นจากสัตว์ทั้งสองชนิดนี้แน่นอน และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์สุดๆ สำหรับการเป็นทางเข้าร้านอาหาร

               ...บางทีเขาอาจประเมินพี่ธีร์ต่ำไป

               เขามองตามแผ่นหลังของคนเลือกร้านที่กำลังเดินเข้าไปทักทายเจ้าของร้านอย่างคุ้นเคย แม้ธีร์จะยังดูภูมิฐานตามภาพลักษณ์แต่บรรยากาศรอบตัวกลับผ่อนคลายขึ้นอยากเห็นได้ชัด เขาถลกแขนเสื้อขึ้นไปจนถึงข้อศอก  ใบหน้าเผยรอยยิ้มจริงใจเหมือนหายเหนื่อยเมื่อเจอคนที่คุ้นเคย การทักทายแม้จะสั้นแต่ออกรสจนกันต์ต้องเลิกคิ้วอย่างอดแปลกใจไม่ได้ ที่บอกว่ามาบ่อยก็คงมาบ่อยจริงๆ นั่นแหละ

               “แล้วนี่พาใครมาด้วยน่ะ” กันต์คงยืนมองนานไปหน่อยจนเจ้าของร้านเป็นฝ่ายทักขึ้นมา

               “รุ่นน้องธีร์เองครับ” ธีร์พยายามคิดหาคำอธิบายความสัมพันธ์ของเขากับกันต์แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้ ในขณะที่คนเป็นน้องกลับชะงักไปกับคำแทนตัวเองว่า‘ธีร์’ การเรียกตัวเองแบบนี้ทำให้คนตรงหน้าดูเด็กลงและเป็นกันเองขึ้นเยอะ แต่ก่อนที่เขาจะเคลิ้มไปกว่านี้แรงสะกิดของอีกฝ่ายก็ดึงสติของกันต์กลับมาที่บทสนทนา

               “สวัสดีครับ” กันต์ยกมือไหว้พลางส่งยิ้มให้ตามมารยาท

               “เอ หน้าตาคล้ายกันมากเลยนะเนี่ย”

               “หลายคนก็บอกแบบนั้นน่ะครับ” กันต์พยายามจะไม่หัวเราะออกมาเมื่อธีร์สะกิดหลังเขาแล้วแทรกบทสนทนาต่อทันทีโดยไม่รอให้เจ้าของร้านพูดอะไรต่อ

               “เอ่อ...น้องเขาเพิ่งบ่นว่าหิว เดี๋ยวผมไปนั่งก่อนนะครับป้าแสง”

               “ได้เลยลูก”

               กันต์เดินตามอีกฝ่ายไปถึงโต๊ะริมสุดแม้เขาจะอยากแย้งว่ากลัวพัดลมเพดานที่เก่าและฝุ่นจับนั้นจะหล่นลงมา แต่ธีร์ก็นั่งลงไปก่อนแล้ว เขาจึงเลี่ยงไม่ได้แล้วดึงเก้าอี้พลาสติออกมาจากใต้โต๊ะ พยายามไม่สนใจความรู้สึกเหนียวๆ ที่มือสัมผัสได้แล้วนั่งลงไป เขาเห็นพี่ธีร์หยิบแผ่นเมนูที่มีคราบบ่งบอกว่าผ่านการใช้งานอย่าหนักขึ้นมาดูก่อนจะหยิบตามบ้าง

               “คุณกันต์ได้ยังครับ” เมื่อจดเมนูของตัวเองลงบนกระดาษเรียบร้อยแล้วเขาจึงเลื่อนไปให้คนตรงข้ามเขียนต่อ

               “เดี๋ยวๆ ผมยังดูไม่ครบเลยครับ” ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับการมาร้านแบบนี้ทำให้เขาต้องใช้เวลาเลือกนานกว่าปกติในขณะที่คนตรงหน้ากลับให้เวลาเขาแค่ไม่กี่นาที

               “อย่าคิดมาก” ธีร์หัวเราะพลางหยิบแก้วสเตนเลสใส่น้ำแข็งสองใบที่เด็กเสิร์ฟเพิ่งเอามาวางให้แล้วจัดแจงเปิดขวดน้ำเปล่าที่ตั้งไว้อยู่บนโต๊ะมาริน

               ความจริงกันต์ตัดสินใจไม่ได้จนต้องตัดใจกินอย่างเดียวกันกับคนเลือกร้าน เขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะบอกแต่กลับต้องเป็นฝ่ายนิ่งไปเมื่อเห็นการหยิบใบเมนูและปากกาที่ดูคล่องแคล่วของอีกฝ่าย คนตรงหน้าเหมือนไม่ใช่คนเดียวกับเลขาที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าที่เขาคุ้นเคย กลับกันบรรยากาศแบบตอนนี้ดูเข้าถึงง่ายและเป็นธรรมชาติกว่ามาก

               “มองผมนี่เลือกได้ยังครับ” การพูดปนเสียงหัวเราะแบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่กันต์เคยเห็นจากคนตรงหน้าเช่นกัน ธีร์เงยหน้าขึ้นมาสบตาเหมือนจะทวงคำตอบก่อนเลื่อนแก้วน้ำที่รินจนเต็มแล้วให้เขา กันต์จึงเขียนเติมเมนูที่เขียนไว้แต่เดิมจากเลขหนึ่งเพิ่มเป็นสองก่อนจะยกมือเรียกพนักงานมารับใบไปเอง เขาเหลือบมองคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือก่อนจะเป็นคนเริ่มบทสนทนา

               “พี่ธีร์ทำงานมานานหรือยังครับ”

               “หือ...เรียกว่านานก็ได้ครับ” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามชะงักไปเล็กน้อยเหมือนไม่คาดคิดว่าเขาจะชวนคุย แต่เมื่อเขาเริ่มนำแล้วอีกฝ่ายก็กดปิดจอมือถือแล้วเปลี่ยนมาพูดกับเขาทันที

               “แต่ยังดูยังเด็กอยู่เลยนะครับ” พูดจบเขาก็ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของธีร์อีกครั้ง มันดูเป็นมิตรกว่าทุกครั้งเมื่อเจ้าตัวไม่ทันระวังตัว ทำให้กันต์อดคิดไม่ได้ว่าถ้าธีร์ยิ้มอย่างนี้บ่อยๆ ก็คงจะดี

               “คิดไปเองมั้งครับ ผมจบมาหลายปีแล้วนะ” ธีร์เกาท้ายทอยด้วยความประหม่า ไม่ค่อยมีใครพูดประโยคนี้กับเขา อาจด้วยภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างเป็นงานเป็นการทำให้คนที่พบเจอส่วนมากจะค่อนข้างเกรงใจและไม่กล้าพูดคุยเล่นด้วย อีกอย่างอาจเป็นเพราะเป็นร้านนี้จึงทำให้บรรยากาศระหว่างเขากับกันต์สบายขึ้นด้วยล่ะมั้ง

               ...ความจริงเด็กนี่ก็โอเคกว่าที่คิด

               “อาหารได้แล้วลูก” ก่อนที่กันต์จะได้ตอบอะไรเจ้าของร้านก็นำข้าวต้มซี่โครงหมูสองชามวางไว้บนโต๊ะ กันต์จัดแจงเลื่อนชามแรกไปไว้หน้าธีร์แล้วจึงเลื่อนอีกชามเข้าหาตนเอง

               “ขอบคุณครับ” กันต์มองตามอีกฝ่ายที่หันไปยิ้มให้เจ้าของร้าน พี่ธีร์ก็ยังวางตัวได้เหมาะสมกับทุกคนทุกโอกาสอย่างน่าประหลาดใจ สักวันเขาอาจต้องขอเรียนรู้จากอีกฝ่ายบ้างแล้ว

               “จ้า กินให้อร่อยนะ วันนี้กลับดึกเชียว” เจ้าของร้านเองก็ดูจะสนิทสนมกับพี่ธีร์มากเหมือนรู้จักกันมานานเพราะเธอมองคนโตกว่าด้วยความเมตตาจากใจจริง

               “วันนี้งานยุ่งน่ะครับ”

               “แล้วพรุ่งนี้เช้ามีอะไรกินหรือยัง” ธาริณยิ้มให้กับคำถามนี้ ตั้งแต่เขาได้มาอยู่คอนโดก็มักจะฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารของป้าแสงเพราะถูกใจรสชาติและอัธยาสัยของเจ้าของร้าน หลายปีผ่านไปป้าแสงจึงกลายเป็นคนที่เขานับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่และรู้สึกสนิทใจด้วย เธอมักจะเป็นห่วงความเป็นอยู่และปากท้องของเขาเสมอ

               “มีแล้วครับ ป้าแสงไม่ต้องเป็นห่วงธีร์หรอก” 

               “จะไม่ห่วงได้ไง ก็เราน่ะเอะอะก็ขี้เกียจเดินแล้วกินแต่มาม่าอยู่ในห้อง” คำพูดเหมือนบ่นตามปกติของป้าแสงทำเอาธีร์แทบอยากเอื้อมมือไปปิดปากเจ้าของร้านเอาไว้ทันทีแต่เหมือนไม่เห็นผลนัก “คราวนั้นป้าไม่เห็นลงมาเกือบอาทิตย์จนนึกว่าเป็นอะไรไปแล้ว” ความขี้เกียจเป็นนิสัยที่ไม่ควรให้ใครได้รู้ โดยเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้านายเขาเหมือนเด็กคนนี้ เขาจึงรีบหันไปหากันต์และได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังแอบหัวราะอยู่ด้านหลัง

               ...เออ ตลกมากดิ

               “โถ่ อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” เขาพยายามทำให้เจ้าของร้านคนสนิทหยุดพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่ายิ่งกระตุ้นความอยากพูดของเธอ

               “ไม่ให้พูดได้ไง แล้วไม่อาบน้ำ...”

               “ป้าครับ! ข้าวต้มเย็นหมดแล้ว ให้น้องเขากินก่อนเถอะครับ” ธีร์พูดขัดจังหวะทันทีก่อนที่ป้าแสงจะ ‘เผา’ชีวิตส่วนตัวของเขาให้คนตรงหน้าฟังไปมากกว่านี้ ซึ่งคราวนี้มันได้ผลเพราะเขาตัดสินใจเอาอีกฝ่ายมาอ้างแทน

               “โอเคๆ งั้นป้าไม่กวนแล้ว” ธีร์ถึงกับถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเจ้าของร้านเดินกลับไปที่เดิม  แต่เขาก็โล่งใจได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีเพราะเมื่อหันกลับมาก็พบว่าคนที่อยู่ตรงข้ามกำลังจ้องมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

               “ผมอยากรู้อ่ะ”

               ...เรื่อง’มึง
               
               “อย่าดีกว่าครับคุณกันต์ ไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก” กันต์มองคนตรงหน้าเหมือพยายามจับผิดเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของอีกฝ่าย จากการที่ได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มักจะต้มมาม่ากินเพราะาขี้เกียจเดินถึงจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าช่างไม่เข้ากับภาพลักษณ์เอาเสียเลย

               ...แต่มันก็ขัดมาตั้งแต่พี่ธีร์เดินเข้าร้านนี้แล้วนี่นา

               “กินได้แล้วครับคุณกันต์” ดูเหมือนเขาจะเผลอนิ่งคิดนานไปหน่อยอีกฝ่ายจึงกระตุ้นให้รีบจัดการกับข้าวต้มตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะเป็นฝ่ายเอื้อมมาหยิบช้อนกลางในกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะยื่นให้เขาเอง

               “ครับๆ ขอบคุณครับ” กันต์รับมาก่อนจะเริ่มกิน ความจริงข้าวต้มร้อนๆ ที่กำลังส่งกลิ่นหอมปนกับควันบางเบาชามนี้ก็เป็นอาหารจานดึกที่ดีเหมือนกัน เรียกได้ว่าดีกว่าที่คิดไว้ตั้งแต่ต้น กลิ่นของกระเทียมเจียวและพริกไทย รวมถึงซี่โครงหมูที่เคี่ยวจนเปื่อยนั้นสามารถทำลายอคติต่อสภาพร้านไปทั้งหมด เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมธีร์จึงเลือกให้เขามากินที่นี่ แม้คนตรงหน้ากับสภาพร้านจะไม่เข้ากัน แต่ความร้อนที่พอเหมาะกับอากาศยามดึกกลับเข้ากันได้ดีเหมือนกับเบียร์กับทองฟ้า

               ...พี่ธีร์ทำให้เขาแปลกใจ

               “เชี่ย มีผม” คำสบถของธีร์แม้จะเบาเหมือนพูดกับตัวเองแต่ทำให้กันต์ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าวต้มทันที และภาพที่เห็นทำให้เขาได้รู้ว่าพี่ธีร์ยังให้ได้มากกว่านี้อีกมาก

               ธาริณก้มหน้าลงพร้อมขยับปากเหมือนลืมตัวไปแล้วว่ายังมีอีกคนนั่งอยู่ด้วย ซ้ำยังไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง เขาจดจ่อและตั้งสมาธิกับการพยายามใช้ลิ้นดันเส้นผมที่ติดอยู่ในหมูที่กำลังเคี้ยวอยู่จนกระทั่งทำให้มันหลุดออกมาจากชิ้นเนื้อได้สำเร็จ เขาจึงดันต่อให้ผมเส้นนั้นมาอยู่บริเวณริมฝีปากแล้วงับไว้ด้วยฟันหน้าโดยเหลือปลายผมให้ยื่นออกมา จากนั้นจึงเผยอริมฝีกปากเพียงเล็กน้อยแล้วใช้มือดึงผมเส้นนั้นออกในที่สุด

               “เยส” เขาเอ่ยอย่างดีใจกับตัวเองก่อนจะนำเส้นผมมาพาดไว้ที่ขอบชามตามความเคยชิน แต่ในจังหวะที่กำลังก้มหน้ากลับไปหาข้าวต้มดังเดิมเขาก็สะดุดกับสายตาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

               ...ฉิบหายละ

               ไอ้ธีร์ ไอ้เวร มึงพลาดได้ไงเนี่ย

               “เอ่อ คือ...”

               “ผมยังไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ” กันต์หลุดหัวเราะเมื่อเห็นความกระวนกระวายของคนตรงหน้า

               คำพูดพร้อมเสียงหัวเราะอย่างนั้นแทนที่จะทำให้สบายใจอย่างที่ต้องการสื่อ กลับกลายเป็นยิ่งทำให้ธาริณรู้สึกไม่ไว้ใจยิ่งกว่าเดิม แต่พอคิดจะแก้ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มพูดตรงไหน จะให้อธิบายว่ามีผมในเนื้อหมูก็จะฟังดูน่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า แถมยังเป็นเมนูเดียวกันอีก จะบอกว่าเป็นเรื่องปกติของร้านข้าวแกงก็อาจโดนหาว่าพามากินอะไรสกปรก

               “พี่ธีร์ครับ...”

               ทำไงดีวะ ทำไง

               “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ”

               “...โอเคครับ”

               เออ งั้นช่างแม่งเหอะ

               ธาริณตอบรับพลางยกมือเป็นเชิงยอมรับ เขาพยายามไม่ติดใจเรื่องคนตรงหน้าจะคิดอย่างไรเพราะมันเกิดขึ้นไปแล้ว ถึงจะรู้ว่ากันต์คงไม่เอาเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ไปเที่ยวบอกใคร แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำงานพลาดอย่างไรอย่างนั้น

               “เป็นพี่ธีร์นี่ต้องคิดเยอะเหมือนกันนะครับ”

               ธาริณไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำพูดนั้น เขาเพียงแค่ยิ้มรับอย่างฝืนๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มตรงหน้าต่อ ยังดีที่กันต์เองก็เหมือนจะไม่ได้ตอแยอะไรเช่นกัน ชายหนุ่มสองคนจึงก้มหน้าก้มตาจดการกับอาหารตรงหน้าอย่างเงียบๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงพากันลุกขึ้นไปจ่ายเงิน ธาริณใช้เวลาร่ำลากับป้าแสงเพียงครู่เดียวก่อนที่เขาจะได้รับอาหารมาอีกหลายถุงโดยเจ้าของร้านอ้างว่ามีอาหารเหลือจึงอยากให้ธาริณเก็บไว้กินตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

               กันต์เดินออกมาหน้าร้านเพื่อกลับขึ้นไปบนรถแต่แล้วอีกคนกลับไม่มีทีท่าจะเปิดประตูรถออก ธาริณกลับยืนอยู่อย่างนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน

               “เดี๋ยวผมเดินกลับแล้วกัน”

               “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” แม้จะเหนื่อยมากจนอยากขับรถกลับทันทีเขาเป็นคนชวนอีกฝ่ายมากินข้าวเอง จึงคิดว่าอย่างน้อยก็ควรไปส่ง

               “ปกติผมเดินอยู่แล้วน่ะ”

               “งั้นก็ได้ครับ ผมไปแล้วนะ” เมื่อธาริณพูดแบบนั้นกันต์จึงยอม เขายกมือไหว้คนอายุมากกว่าแล้วขึ้นรถของตัวเอง แต่เมื่อกำลังเอื้อมมือไปดึงประตูรถปิดอีกฝ่ายกลับขัดขึ้นมาก่อน

               “คุณกันต์เอาไปถุงนึงสิ” โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ธีร์ก็ยื่นถุงพลาสติกในมือให้ ใบหน้าเขาดูเหนื่อยเกินกว่าจะปั้นรอยยิ้มใดๆ อีก ภาพที่กันต์เห็นจึงกลายเป็นใบหน้านิ่งเรียบของพี่ธีร์ที่กำลังยื่นถุงมาตรงหน้า

                “ขอบคุณครับ”

               เขายิ้มก่อนจะรับถุงมา น่าแปลกที่ท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจนี้กลับทำให้เขารู้สึกเหนื่อยน้องลงอย่างน่าประหลาด การให้อย่างเรียบง่ายและจริงใจเมื่อเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว แม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความประทับใจได้ไม่ยาก เขามองอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินจากไปแล้วตัดสินใจเรียกไว้ทันที


               “พี่ธีร์ครับ”


               “...”


               “เรายังไม่ได้แลกนามบัตรกันเลยนะ”

 




               วันพุธมักจะเป็นว่าที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อสำหรับคนทำงานในออฟฟิศอย่างธาริณ ยิ่งเป็นสัปดาห์นี้ด้วยแล้วคุณเมธาไม่ได้มีกำหนดการออกไปนอกสถานที่มากนักเลยพลอยทให้เขากลายเป็นนั่งติดโต๊ะ เมื่อจัดการจองร้านอาหารสำหรับสัปดาห์หน้าล่วงหน้าเรียบร้อย เขาจึงได้รับมอบหมายให้จัดการตรวจสอบข้อมูลทางเศรษฐกิจแทน

               “พี่ธีร์ ผมปริ้นท์กราฟมาแล้วนะ”

               “โอเค ขอบคุณมาก วางไว้แล้วหยิบตารางนี้ไปเลย” เขาชี้ไปทางกองเอกสารด้านซ้ายมือโดยที่สายตายังคงจับจ้องข้อมูลในจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม จึงไม่ได้สังเกตว่ารุ่นน้งคนสนิทยังคงงยืนมองเขาอยู่โดยไม่ยอมเดินออกไปสักที

               “ว่าแต่พี่ธีร์...”

               “อะไร”

               “ไปเจอคุณกันต์เป็นไงบ้าง” คนถามทำหน้าตาระริกระรี้จนเขาชักไม่เข้าใจว่าจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น

               “ก็ไม่เห็นมีอะไร” ธาริณตั้งใจตอบแค่นั้นแต่เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยังคงจ้องหน้าเขาเหมือนพยายามจับผิด เมื่อวันก่อนคุณเมธาได้รู้เรื่องที่เขาได้เจอกับกันต์แล้วกลับไปพร้อมกันตอนดึกเลยทำให้ทั้งออฟฟิศพลอยรู้เรื่องไปด้วย ธาริณไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวแต่เมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วเขาเลยได้แต่ยอมเล่าให้น้องมันฟัง “กูพาเขาไปกินข้าวต้มป้าแสง”

               “เชี่ย” ได้ยินชื่อร้านแล้วชายหนุ่มถึงกับอุทานออกมาก่อนจะลดเสียงลงเหมือนพูดกับตัวเอง “จิตใจพี่ธีร์แม่งทำด้วยอะไรวะเนี่ย”

               “บ่นไร”

               “เปล่า ผมแค่สงสัยว่าทำไมเทพแห่งการเลือกร้านอาหารอย่างพี่ดันไปเลือกร้านแบบนั้นให้คุณกันต์” ก้องรู้จักร้านข้าวต้มเจ้าประจำของรุ่นพี่ดีเนื่องจากเขาเคยโดนลากไปกินอยู่หลายครั้ง เขาอาจเป็นคนเดียวที่เคยชินไปแล้วกับความโลคอลที่พี่ธีร์ชื่นชอบตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ช่วงนั้นพี่ธีร์ก็เหมือนนักศึกษาทั่วไปนั่นแหละ หลับในห้องเรียน กินข้าวแกง ไปร้านเหล้าหลังมหาลัย ไม่ได้มีแววจะมาทำงานเป็นเลขามาดเนี้ยบดูคุณชายเหมือนตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

               “ก็มันดึก แล้วกูก็ง่วง”

               “เออ ขอให้เขาไม่เอาไปเม้าท์แล้วกันพี่ธีร์”

               “เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ” ธาริณพูดแล้วอดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนไม่ได้ กันต์คง ‘ไม่ได้ว่าอะไร’ จริงๆ ถึงแม้เขาจะพลาดดึงผมออกจากปากอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้นก็เถอะ

               “อาจไม่ว่าแต่เขาไม่น่าจะชอบหรอกพี่” ก้องหัวเราะก่อนอธิบายต่อ “รายนั้นคุณชายจะตาย อย่างมากสุดก็ข้าวกล่องของกองถ่ายละมั้ง ขนาดน้ำยังรีเควสดื่มน้ำแร่เลย”

               ...เวรละ

               ธาริณไม่ค่อยรู้แบคกราวด์ของนักแสดงคนนี้เท่าไหร่นอกจากเรื่องยอดขายหรือข่าวทั่วไป ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวนั้นเขาไม่ค่อยรู้เพราะไม่ได้รู้จักคนฝั่งนั้นเป็นพิเศษ อย่างว่าแต่ฝั่งนั้นเลย แค่ในบริษัทตัวเองเขาก็รู้จักไม่มาก และด้วยตำแหน่งหน้าที่ก็ยิ่งทำให้ไม่ได้ไปคลุกคลีกับพนักงานคนอื่นนอกในออฟฟิศชั้นเดียวกัน

               “เออช่างมัน ผ่านไปแล้ว” ธาริณตอบกลับด้วยท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจทั้งที่กำลังแอบเก็บข้อมูลเอาไว้

               ...คราวหน้ากูจะไม่พลาดแล้วกัน

               “ฮ่าๆ งั้นถ้าใครเม้าท์พี่ ผมจะมาบอกแล้วกัน” ชายหนุ่มรุ่นน้องหัวเราะพลางหยิบข้อมูลเรื่องการวิเคราะห์ตลาดที่พี่ธีร์ทำไว้ขึ้นมา แค่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าข้อมูลนั้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามมาตรฐานของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขารับเอางานไปทำต่อได้ไม่ยาก

               “เออ ขอบคุณมาก”

               “สู้นะพี่ธีร์” ก้องมองคนที่กำลังห้มหน้าก้มตาทำงานอย่างตั้งใจอยู่อย่างนั้นแล้วหวนนึกไปถึงหัวข้อสนทนาของเพื่อนร่วมงานเมื่อเช้า แค่คิดว่าพี่ธีร์จะมีปฏิกิริยากับเรื่องนั้นยังไงเขาก็ขำแล้ว

               “สู้ไรวะ” ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอยู่เช่นเดิม



               “เดี๋ยวพี่ก็รู้”




-------------------------------------------------------------------

มาแล้วค่าา พี่ธีร์เริ่มเผยตัวตนแล้วว5555  :katai4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-12-2018 23:49:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 16-12-2018 23:54:40
 :L1 :pig4::
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-12-2018 00:19:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-12-2018 12:05:49
 :L2: :pig4:

สนุกดี ติดตาม
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 17-12-2018 21:20:18
รู้อะไรรร
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 05 (16.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-12-2018 16:35:21
งานน้องกันต์จะเข้าพี่ธีร์เรื่อย ๆ สินะ....
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 24-12-2018 22:26:35



:: CHAPTER 6 ::




 

               การทำงานในช่วงบ่ายของธาริณเป็นไปอย่างราบรื่นและสงบจนเจ้าตัวรู้สึกพอใจเนื่องจากหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาตารางของคุณเมธายุ่งจนเขาไม่ได้ทำอาหารกินเองเลยสักครั้งจนจะทำไม่อร่อยไปแล้วมั้ง ธาริณกดปิดคอมพิวเตอร์ก่อนจะรวบรวมแฟ้มรายงานทั้งหมดไปจัดแยกหมวดหมู่ไว้ เขาตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหยิบสมุกปกหนังที่คุ้นเคยขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องของผู้เป็นนาย เขาหยุดอยู่หน้าประตู นึกไปถึงเรื่องที่ก้องมาบอกไว้เมื่อครู่พลางขอให้วันนี้ราบรื่นไปจนช่วงสุดท้าย ธาริณก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วจ้องเข็มนาฬิกาอยู่อย่างนั้น

               ...ห้าสิบแปด ห้าสิบเก้า หกสิบ

               เอาล่ะ สี่โมงสี่สิบสี่ เลขมงคลเคาะประตูได้

               ธาริณยกมือเคาะทันทีก่อนจะเดินเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าของห้อง เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน คุณเมธาก็นั่งอ่านเอกสารเรื่อยๆ บรรยกาศดูเงียบสงบและเป็นปกติก็ไม่น่ามีอะไรเพิ่มเติมนักหรอก ธาริณเรียกความมั่นใจของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งแม้จะแอบสังหรณ์ใจไม่ดีเพราะคำพูดของรุ่นน้องคนสนิทเมื่อตอนกลางวัน

               ไม่มีอะไรหรอกมั้ง

               คิดได้ดังนั้นเขาจึงเปิดสมุดที่ถือมาแล้วรายงานความคืบหน้าประจำวันตามปกติ รายงานการจองและคอนเฟิร์มร้านอาหารสำหรับพรุ่งนี้ และจบลงที่การยื่นวิเคราะห์เศรษฐกิจและกราฟให้คุณเมธาตรจสอบซึ่งเจ้าตัวก็รับไปแล้วนั่งเปิดดูคร่าวๆ

               “อืม ขอบคุณมาก ทำได้ละเอียดเหมือนเดิมเลย”

               “ขอบคุณครับ” ธาริณกล่าวรับพร้อมรอยยิ้ม คุณเมธาก็ดูไม่ได้ติหรือวิจารณ์อะไร ทุกอย่างราบรื่นขนาดนี้คงไม่มีอะไรแล้ว...เย็นนี้ทำสเต๊กกินดีมั้ยวะ

               “งั้นพรุ่งนี้ผมจะคอนเฟิร์มร้านนี้เลยนะครับ ตารางของพรุ่งนี้นอกจากรับประทานอาหารกับคุณวิภาแล้วก็มีแค่ไปต้อนรับคนจากค่ายญี่ปุ่นเท่านั้นครับ”

               เมื่อกล่าวรายงานหัวข้อตามลิสท์ที่จดไว้ครบถ้วนแล้วเขาจึงปิดสมุดลงแล้วเตรียมกลับบ้านทันที

               “ถ้าคุณเมธาไม่มีอะไรแล้ว ผมขอ...”

               “ธีร์” แต่ก่อนที่จะได้พูดจบคุณเมธาก็ขัดเอาไว้ก่อน ทำเอาธาริณแทบหยุดความคิดตนเองไม่ทัน

               “ครับ”

               “ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ แต่ทางคุณโชติเขาบอกข่าวให้ฟังแล้วฝากขอโทษมาด้วย ธีร์ก็ลองไปดูแล้วกัน”

               ....ทำไมรู้สึกไม่ดีเลยวะ

               พูดจบคุณเมธาก็ยื่นกระดาษปึกหนึ่งมาให้เขาจึงหยิบขึ้นมาดูทันทีและพบว่ามันเป็นสกู๊ปข่าวที่มีภาพของเขากับกันต์ยืนอยู่ด้วยกันจำนวนหลายรูป มันเป็นภาพของเขากับกันต์ในซอยร้านข้าวต้มป้าแสง และเมื่อพลิกดูในหน้าถัดไปก็พบว่ากระดาษทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของเขากับกันต์จากสำนักข่าวต่างๆ รวมถึงสื่อออนไลน์ในแพลทฟอร์มอื่นทั้งหมด เมื่อเห็นรูปภาพทั้งหมดแล้วเขาจึงเลื่อนสายมาอ่านพาดหัวข่าวต่อทันที

               ‘หลอกลวง’

               ‘คนที่คุณเจอในแฟนมีทไม่ใช่กันต์ตัวจริง’

               ‘เรากำลังเสียเงินให้ใคร’

               ‘ธีร์แม่งเป็นใครวะ พี่กันต์อยู่ไหน'

               นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสความน่ากลัวของสื่อด้วยตัวเอง เขาไล่อ่านไปเรื่อยๆ ก่อนพบว่าส่วนหลังของกระดาษปึกนั่นเริ่มปรากฎเป็นชื่อของเขาเยอะขึ้นตามลำดับ มีทั้งกระทู้เปรียบเทียบที่มีคนไปขุดคุ้ยใบหน้าเขามเทียบกับกันต์บ้าง กระทู้ตั้งขึ้นมาเพื่อด่าบ้าง จนไปถึงข้อความในทวิตเตอร์ซึ่งดูเหมือนจะเป็นส่วนใหญ่ของทั้งหมด

               ‘ธีร์-บุคคลปริศนา’

               ‘มาเสนอหน้าแทนพี่กันต์ได้ไง’

               ‘ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะหน้าด้านทำแบบนี้ได้วะ พี่กันต์รู้ไหมเนี่ย’

               ‘รบกวนดูให้หน่อยว่าคนนี้ใช่พี่กันต์หรือเปล่า’

               ‘ฉันไปจับมือใครมาเนี่ย’

               ธาริณกวาดสายตาอ่านผ่านข้อความเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในใจมีแต่คำว่าฉิบหาย การต้องรับหน้าแทนก็ว่าแย่พอแล้วนะ การโดนจับได้แบบนี้ยิ่งแย่กว่า และที่สำคัญเลยคือความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด ที่ทำไปทั้งหมดเพราะโดนคุณเมธาคุณโชติร่วมกันไหว้วานทั้งนั้น แต่คนโดนด่ากลับเป็นเขาคนเดียว เขาก็เพิ่งมาได้รู้วันนี้เองว่าแฟนคลับของกันต์นี่จัดว่าแอนตี้แรงใช้ได้ แถมยังพร้อมที่จะปกป้องกันต์โดยไม่สงสัยเลยสักนิดว่าใครกันแน่ที่ผิด

               “ธีร์ไหวไหม” สงสัยเขาจะดูอินมากไปหน่อยคุณเมธาเลยเป็นฝ่ายทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

               ...แหม ถามมาได้

               “ไหวอยู่ครับ” เจ้านายถาม ถึงจะไม่ไหวก็ต้องบอกไหวอยู่แล้วสิครับ

               “คุณโชติฝากขอโทษมาและบอกว่าจะรีบจัดการให้เลย”

               ...เออ สมควร การสวมบทบาทเซ็นชื่อ ถ่ายรูป หรืออะไรทั้งหลายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการคุ้ยประวัติส่วนตัว แค่หน้าเหมือนกันธาริณก็รู้สึกเหมือนโดนทำลายความเป็นส่วนตัวระดับหนึ่งแล้ว มาโดนคุ้ยตั้งแต่ชื่อโรงเรียนยันงานอดิเรกนี่เรียกว่าขายวิญญาณไปเลยดีกว่า

               “ครับ รบกวนตามเรื่องให้ด้วยนะครับ” ปกติแล้วเขาไม่ค่อยย้ำอะไรกับคุณเมธาสักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่หือไม่อือก็ยังได้ แต่รอบนี้เขาจะถือว่าสำคัญก็แล้วกัน

               “ได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ มีอะไรก็โทรมาบอกเลย”

               “ขอบคุณมากครับ” ธาริณเอ่ยลาก่อนจะเดินออกจากห้อง เขาถือวิสาสะถือกระดาษปึกนั้นออกมาด้วย คืนนี้จะลองนั่งอ่านทั้งหมดดูสักครั้ง ไม่ได้อยากจะโดนด่าหรอกแต่แค่อยากรู้สถานการณ์ของตัวเองว่าถึงขนาดไหนแล้วเพื่อเขาจะได้วางตัวถูก

               แต่ที่แน่ๆ ต้องลงไปซื้อผ้าปิดปากแล้วล่ะ

 





               “พี่พิ้งค์ นี่แอคเค้าท์อะไรน่ะ ทำไมมันแปลก” เสียงคนที่นั่งอยู่ที่นั่งด้านข้างทำให้เธอต้องชะลอความเร็วในการขับลงเพื่อแบ่งสมาธิมาไว้กับบทสนทนา ก่อนที่เขาจะพลิกหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดู

               “เออ ช่างมันก่อนละกัน พี่กำลังรีบ” ที่บอกว่ารีบคือรีบกลับบ้านเพราะพิ้งค์รู้สึกว่าวันนี้มันชักจะวุ่นวายจนเธอยากให้มันจบไปเร็วๆ ทั้งงานตามตารางและข่าวเรื่องการใช้ตัวแทนที่ดันมีคนจับได้อีก ความจริงเธอก็น่าจะออกปากเตือนไว้หน่อยว่าให้นะวังตัวกันแต่เธอเองก็ไม่คิดว่าการกินข้าวในซอยตอนดึกจะนำมาสู่ปัญหานี้เช่นกัน ทำเอาเธอต้องมานั่งเครียดโทรปรึกษากับคุณโชติและติดต่อนักข่าวทั้งวันจนถึงเมื่อกี้ และหลังจากไปส่งเด็กนี่เสร็จแล้วเธอก็จะได้กลับสักที

               “พี่พิ้งค์ครับ แต่ว่า...”

               “เออ ฉันรู้ว่าแกกำลังกังวล ฉันก็กังวลไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” พิ้งค์พยายามใจเย็นและปลอบให้นักแสดงในความดูแลของตัวเองเลิกกังวล ”มีอย่างที่ไหนไปทำเลขาคุณเมธาเดือดร้อนขนาดนั้น”

               “นี่ ผมจริงจังนะ แอคนี้น่ากลัวมาก” แต่ไอ้เด็กนี่เหมือนไม่ใส่ใจกับความเหนื่อยของเธอเอาซะเลย! จนสุดท้ายเธอต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง

               “ไหน อ่านให้ฟังหน่อย” เมื่อได้ยินแบบนี้กันต์เลยรีบไล่อ่านทวิตเตอร์ที่กำลังเปิดดูให้อย่างรวดเร็วไปทีละบรรทัด ข้อความในแอคเคาท์นี้แต่ละทวิตนั้นไม่ยืดยาว ไม่มีคำด่า แต่มันเหมือนการสะกดรอยตามที่น่ากลัวกว่าคำด่าเสียอีก

               “บ่ายโมงยี่สิบ ธีร์ออกจากบริษัทไปร้านอาหารโรมานา บ่ายสามห้านาที ออกจากร้านกลับบริษัท บ่ายสี่เดินลงมาซื้อกาแฟสตาร์บั๊คส์ ห้าโมงครึ่งเดินไปขึ้นบีทีเอสกลับบ้าน” ยิ่งอ่านออกเสียงกันต์ยิ่งรู้สึกขนลุกแทน ขนาดเขาที่เคยเจอแอคเค้าท์ที่เปิดไว้ด่าตัวเองแล้วยังไม่รู้สึกไม่ปลอดภัยขนาดนี้เลย “พี่พิ้งค์ว่าจะเป็นอะไรไหมครับ”

               “พี่ว่ารอดูไปก่อนแล้วกัน” ความจริงแล้วพิ้งค์เองก็แอบรู้สึกว่ามันอันตรายอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เธอเคยเจอข้อความทำนองนี้มาก่อนโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอจึงตัดสินใจจะรอดูไปก่อน ทว่ากันต์เองกลับไม่คิดอย่างนั้น ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าควรเข้าไปดูรายละเอียดอีกครั้งพร้อมแคปหน้าจอเก็บไว้

               ดูจากลักษณะแล้วเป็นแอคเค้าท์ที่เพิ่งเปิดใหม่อย่างแน่นอน และเมื่อย้อนกลับไปดูทวิตแรกแล้วก็ตรงกับสองวันก่อนซึ่งเป็นวันที่ธาริณมาช่วยจนโดนจับได้นั่นเอง แฟนคลับสมัยนี้น่ากลัวและรวดเร็ว เพียงชั่วข้ามคืนก็สามารถขุดคุ้ยประวัติและข้อมูลส่วนตัวของใครสักคนได้ บางทีเขาก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ลองเสิร์ชคำว่า ‘ธีร์’ ลงไปจนได้เจอกับแอคเค้าท์นี้

เขานึกไม่ออกว่าเจ้าของแอคเค้าท์นี้เป็นใครถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด รูปโปรไฟล์นั้นเป็นแค่รูปเปลือกไข่พื้นหลังสีม่วงแต่ชื่อแอคเค้าท์และชื่อยูสเซอร์นั้นสื่อถึงจุดประสงค์ เนื้อหาของแต่ละทวิตเป็นเหมือนการรายงานตารางเวลา บางครั้งก็แทรกด้วยข้อความทำนองว่า ‘ยังไม่ลงมาสักที’ กันต์พยายามคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานา จะว่าคนในบริษัทก็ไม่เชิงเพราะด้วยตำแหน่งของธาริณน่าจะมีตารางเวลาที่ไม่เหมือนพนักงานคนอื่น

               แต่แล้วระหว่างที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้นก็มีทวีตใหม่เด้งขึ้นในไทม์ไลน์ กันต์จึ้งรีบเลื่อนขึ้นไปดูทันทีก่อนจะพบข้อความที่ทำให้เขาแทบนั่งไม่ติด



               @finding_t เดินออกมาในซอยแล้ว เข้าร้านเดิม

               @finding_t กลับออกมาสักทีสิ

               @finding_t วันนี้เอาแค่น้ำเปล่าก่อนแล้วกัน




                ...ฉิบหายละ

               เขาไม่รู้ว่าน้ำเปล่าที่ว่าจะสื่อความหมายอย่างไร แต่เจ้าของแอคเค้าท์นี้ต้องมีจุดประสงค์ที่ไม่ดีแน่นอนเขาจึงตัดสินใจบอกผู้จัดการทันที “พี่พิ้งค์แวะที่คอนโดของพี่ธีร์ก่อนได้ไหมครับ”

               “ทำไมล่ะ”

               “ผมรู้สึกไม่ดีเลย”

               “เอาก็เอา” ความจริงแม้จะเหนื่อยแต่พิ้งค์เองก็กังวลอยู่เหมือนกันเพราะคุณโชติกำชับให้ช่วยตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของฝ่ายนั้น “กดจีพีเอสให้หน่อย”

               กันต์รับมือถือของพิ้งค์มาแล้วเปลี่ยนพิกัดปลายทางทันที ก่อนที่ตัวเขาจะรีบเปิดกระเป๋าเพื่อค้นนามบัตรของอีกฝ่ายที่เพิ่งได้มาเมื่อวันก่อนแล้วกดเบอร์โทรออก เขารอสัญญาณไม่นานก่อนที่ปลายสายจะกดรับ

               “ฮัลโหล” น้ำเสียงของเขาดูงงนิดหน่อย อาจเพราะว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรมาตอนกลางคืน

               “พี่ธีร์ นี่กันต์นะครับ”

               “อ้อ มีอะไรหรือเปล่าครับ” แต่ชื่อของเขาก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายงงน้อยลง

               “พี่อยู่ในร้านป้าแสงหรือเปล่าครับ”

               “ฮะ...เอ่อ ใช่ครับ” เสียงเหมือนไม่ไว้ใจอะไรสักอย่างทำให้กันต์นึกขึ้นมาได้ว่าการโทรไปถามแบบนี้มันเหมือนเป็นโรคจิตเองยังไงไม่รู้ เขาจึงพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์อย่างรวบรัดที่สุด

               “พี่อย่าเพิ่งออกมานะครับ มีคนสะกดรอยตามพี่อยู่ ผมกำลังไปหา”

               “เอ่อ...ได้ครับ” กันต์พูดจบแล้วจึงตัดสายไปทันทีโดยไม่สนใจน้ำเสียงที่แม้จะตอบรับแต่แสดงความไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน อย่างน้อยเขาก็สบายใจได้ระดับนหนึ่ง นึกดูแล้วถึงไม่เดินออกมาจากร้านยังไงร้านของป้าแสงก็เป็นร้านเปิด และนั่นหมายความว่าหากเจ้าของแอคเค้าท์อยากเข้ามาประชิดตัวก็สามารถทำได้ไม่ยาก ดีไม่ดียังเป็นเป้านิ่งอีกต่างหาก เมื่อคิดได้แบบนี้กันต์จึงหันไปเร่งผู้จัดการส่วนตัวทันที “พี่พิ้งค์รีบหน่อยนะครับ”

               ทันทีที่ขับมาถึงหน้าปากซอยกันต์ก็รีบบอกทางมาร้านป้าแสง กันต์พยายามมองทางไปด้วยมองหาบุคคลต้องสงสัยไปด้วย ทว่าในซอยนั้นเองก็มีหลายคนเดินลงมาซื้อของกินทำให้แยกได้ยากมากว่าใครมีท่าทีน่าสงสัยจนเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเจอ เมื่อรถมาจอดหน้าร้านป้าแสงแล้วเขาจึงรีบหยิบผ้าปิดปากมาคาดไว้แล้วเดินเข้าไปในร้าน

               สภาพที่เห็นทำเอากันต์รู้สึกจุกอย่างบอกกไม่ถูก ธาริณเปียกเกือบทั้งตัวเหมือนไปตกน้ำมา แต่เจ้าตัวก็ยังก้มลงไปบิดน้ำออกจากขากางเกงของตนเองอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทางที่กันต์เห็นแล้วนึกชื่นชมอยู่ในใจ คนอะไรโดนน้ำสาดมาขนาดนี้ยังดูมาดดีเหมือนอยู่ในที่ประชุม พี่ธีร์ถึงจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรก็ยังคงเป็นพี่ธีร์อยู่ดี

               ...เขามาสายไปสินะ

               “อ้าว นี่เพื่อนของธีร์ใช่มั้ยลูก” เสียงทักทายของเจ้าของร้านทำให้เขาละสายตาจากคนที่นั่งเปียกอยู่กลับมา พร้อมกับธาริณที่เงยหน้าขึ้นมาเห็น

               “ใช่ครับ” กันต์ยกมือไหว้ทักทายในขณะที่ความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องอื่น

               “เนี่ย เมื่อกี้อยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เดินเข้ามาในร้านแล้วเอาน้ำมาสาดน้องธีร์ ตกใจแทบแย่”

               “ป้าแสงพอจะจำลักษณะของคนที่เข้ามาได้ไหมครับ”

               “อืม...เป็นผู้หญิงตัวประมาณนี้ ผมดำยาวประมาณไหล่ ใส่ผ้าปิดปากกับหมวกไว้ด้วย” จากส่วนสูงที่ป้าแสงทำให้ดูนั้นจัดว่าไม่ได้สูงมาก “เขาเดินเข้ามาแล้วพุ่งเข้าไปหาน้องธีร์เลย” ว่าแล้วเจ้าของร้านก็หันไปมองลูกค้าคนสนิทอย่างเป็นห่วง

               ในขณะเดียวกันพิ้งค์ก็เดินเข้ามาในร้านจึงได้เห็นสภาพเปียกปอนไปทั้งตัวของธาริณ ทำเอาเธอก็รู้สึกผิดไปด้วยที่ทำให้คนอื่นต้องมาเจอเรื่องลำบากแบบนี้  โชคดีที่เธอตัดสินใจทำตามที่กันต์บอกไม่อย่างนั้นเธอคงได้กลับบ้านไปโดยไม่รู้อะไรแล้ว เธอเอ่ยทักเจ้าของร้านเพียงเล็กน้อยแล้วเดินตรงเข้าไปหา

               “คุณธีร์เป็นอย่างไรบ้างคะ บาดเจ็บตรงไหนไหม”

               “ไม่ครับ แค่ตกใจนิดหน่อย” คำตอบของธาริณทำเอาคนฟังขมวดคิ้ว ไม่บาดเจ็บก็จริงแต่เขาดูเหมือนไม่ตระหนักถึงอันตรายหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย และคำตอบนี้เองทำให้กันต์ต้องเดินเข้ามาหาก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง

               “พี่ธีร์ครับ ตอนนี้มีคนกำลังสะกดรอยตามพี่อยู่นะครับ” กันต์อธิบายพลางเปิดให้ดูแอคเค้าท์ดังกล่าวซึ่งมีข้อความด้นบนสุดเขียนไว้ชัดเจนว่า ‘วันนี้เอาแค่น้ำเปล่าก่อนแล้วกัน’ เห็นดังนั้นธาริณก็ดึงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาเลื่อนดูทันทีและได้รู้ว่าเขาโดนตามมาเป็นวันที่สองแล้ว

               “ทางเราต้องขอโทษจริงๆ นะคะคุณธีร์” ยิ่งได้เห็นท่าทางตกใจจนนิ่งไปของเจ้าตัวแล้วพิ้งค์ก็ยิ่งรู้สึกผิด “พิ้งค์จะรีบแจ้งให้คุณโชติจัดการนะคะ”

               “ครับ ขอบคุณมาก” ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะแต่กันต์เองก็พอจะรู้ว่าพี่ธีร์ยังกังวลอยู่ แน่นอนว่าคนที่ผ่านเหตุการณ์แบบนี้และเพิ่งรู้ตัวว่าโดนสะกดรอยก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา

               “แล้วระหว่างนี้...” พิ้งค์เองก็เหมือนจับความรู้สึกได้เลยพยายามคิดหาทางออกให้อีกฝ่าย เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปหาเด็กในสังกัดตนเองทันที “คอนโดกันต์ยังพอมีห้องว่างใช่ไหม”

               “ใช่ครับ”

               “เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่โดนน้ำสาดเอง” ธาริณพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพและยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แม้จะตกใจมากและรู้สึกกลัวแต่ถ้าจะให้เขาไปอยู่ห้องคนอื่นเขายอมอยู่กับความกลัวดีกว่า

               “แล้วถ้าไม่ใช่น้ำเปล่าล่ะคะ” คำตอบแบบนี้แทนที่จะทำให้พิ้งค์กลับกลายเป็นว่าเธอยิ่งกังวล อ่านจากเนื้อความของทวิตล่าสุด ถึงคราวนี้จะแค่สาดน้ำเธอค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีการทำร้ายร่างกายครั้งต่อไปแน่นอน แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาบริษัทของเธอจะชดเชยกันได้ยังไง “คุณธีร์ไปนอนคอนโดน้องกันต์ก่อนแล้วกันนะคะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว”

               “แต่...”

               “ขอร้องเถอะค่ะ อย่างน้อยก็จนกว่าข่าวนี้จะซาลงนะคะ พิ้งค์รายงานให้คุณโชติเรียบร้อยแล้วด้วย” ไม่พูดเปล่า พิ้งค์ชูหน้าจอมือถือที่ส่งข้อความถึงเจ้าของค่ายให้ดูเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันและกึ่งบังคับให้อีกฝ่ายทำตามนี้ “คุณโชติอนุมัติแล้วและแจ้งต่อไปยังคุณเมธาแล้วค่ะ” ความจริงเธอไม่ได้อยากฝืนใจใครแต่ยิ่งธาริณเป็นคนสำคัญของบริษัทฝ่านนั้นด้วยและความปลอดภัยของเขาก็ต้องมาก่อน

               “เดี๋ยวผมขอติดต่อคุณเมธาสักครู่นะครับ” ไม่ใช่เขาไม่เชื่อแต่เขาจะหาโอกาสต่อรองกับเจ้านายอีกครั้ง

               เขาปลีกตัวออกไปเพื่อไม่ให้ใครได้ยินและยืนยันกับเจ้านายอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการไปอยู่กับกันต์ตามที่ฝ่ายนั้นเสนอมา แต่ความหนักแน่นของเขากลับไม่เป็นผลเพราะคุณเมธาเองกลับเห็นดีเห็นงาม ซ้ำยังย้ำกับเขาว่าคุณโชติแทบจะขอร้องให้เขาไปเพื่อสามารถรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยได้เต็มที่ เมื่อฝ่ายนั้นชี้แจงขนาดนี้คุณเมธาเองก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจเช่นกัน

               สุดท้ายธาริณเองจึงเดินกลับมาและยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เขาพยายามปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของงานและหวังให้ข่าวทุกอย่างจบลงโดยเร็ว

               “โอเค งั้นผมขอขึ้นห้องไปเก็บของก่อนนะครับ”

               “งั้นขึ้นรถเลยค่ะ เดี๋ยวพี่วนไปถึงหน้าประตูคอนโด” เธอหยิบกุญแจรถออกมาก่อนจะหันมาทางเด็กในสังกัด “กันต์ตามขึ้นไปช่วยเก็บของด้วย”

               “ได้ครับ” กันต์รับคำแต่โดยดีก่อนจะเดินตามผู้จัดการของตนเองไป แต่แล้วธาริณกลับจับแขนเอาไว้ก่อนเขาจึงหันกลับไปหาอีกฝ่ายทันที

               “ลำบากใจรึเปล่าครับ ความจริงแค่น้ำเอง”

               ...ลำบากสิ ลำบาก

               ธาริณแอบลุ้นคำตอบอยู่ในใจ เขาอาจดูเหมือนถามเหมือนเป็นมารยาทแต่ความจริงแค่อยากหาแนวร่วม หากกันต์ไม่อยากให้เขาไปพักด้วยอาจทำให้ฝ่ายนั้นเปลี่ยนใจได้ แต่กลายเป็นว่าผลที่ได้กลับกลายเป็นตรงข้าม

               กันต์ไล่สายตามองใบหน้าที่ดูเป็นกังวลและตัวที่เปียกโชก ก่อนจะยิ้มออกเป็นครั้งแรก ความจริงพี่ธีร์ควรเป็นฝ่ายโกรธ เป็นฝ่ายไม่ยินยอม ไม่ใช่มีน้ำใจมาถามความสบายใจของเขาเสียเอง เขาไม่รู้ว่าคำถามนี้เป็นเพียงสิ่งที่อีกฝ่ายปั้นแต่งขึ้นมาตามปกติหรือเป็นความจริงใจของเจ้าตัวแต่มันก็ทำให้เขาเอื้อมมือไปกระชับต้นแขนของอีกฝ่าย



               “พี่ธีร์”



               “...”



               “ผมยินดีนะครับ”





------------------------------------------------------------------

มาแล้วค่า Merry Christmas นะคะทุกคน
ขอให้สนุกกับการพักผ่อนและการอ่านนะคะ  :กอด1:



หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-12-2018 22:47:21
กรี๊ดด ติดตามค่ะ สนุกมาก

รอๆนะคะ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-12-2018 22:54:38
 :ling3:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-12-2018 23:32:42
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-12-2018 04:52:33
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-12-2018 15:52:34
ความคลั่งไคล้จนเกินพอดีช่างน่ากลัว

ติ่งอย่างมีสติกันนะ

ปล. เราไม่เหนด้วยที่เอาพี่ธีร์ไปเป็นตัวแทนนะ มันคือการหลอกลวงแหละ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 06 (24.12.18)
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 30-12-2018 17:31:27
คนเขียนเขียนได้ดีนะคะ สำนวนอ่านสบาย ไม่เจอคำผิด คาแร็กเตอร์ตัวละครแน่นพอสมควร แต่ส่วนตัวคิดว่าตัวละคร "ธีร์" คาแร็กเตอร์ค่อนข้างแปลก คือคาร์เค้าสม่ำเสมอดีค่ะ เพียงแต่ว่าเราไม่คิดว่าคนที่โดนน้ำสาด โดนตามมุ่งร้าย โดนด่า และก็รู้สึกตัวอยู่ว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองจะไม่ต่อต้าน ไม่โมโห ไม่แสดงท่าทางไม่พอใจ หรือ ไม่ปฏิเสธอย่างชัดเจนเด็ดขาดไปเลยขนาดนี้ เราเข้าใจการรักษาความสัมพันธ์ด้านธุรกิจ แต่มันคนละประเด็นกับความคิดในหัวหรือสภาวะอารมณ์ภายในของเขาอะค่ะ ทั้งๆฉากที่เป็นฝั่งของธีร์ อย่างตอนรู้ว่าโดนด่าทั้งๆที่ไม่ผิด น่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นได้มากกว่านี้ แต่เขาก็ดูไม่คิดอะไรมาก เรายอมรับว่าเราอ่านแล้ว ฉากนี้เรารู้สึกว่าธีร์เหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญ/ความสนใจกับผลกระทบที่มีต่อตัวเองแล้วมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ชัดเจนหนักแน่นเลย

กรณีที่ตอบบอสเมธา อันนั้นเราพอจะเข้าใจได้ในสถานะของธีร์ แต่ถึงขนาดโดนน้ำสาดแล้วยังโดนบีบกลายๆให้ไปอยู่กับกันต์ (aka อยู่ในความดูแลของฝ่ายที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน) แต่ธีร์ไม่มีปฏิกิริยาทางอารมณ์เท่าไหร่เลยเนี่ยเราว่าแปลก ถึงจะบอกว่าธีร์เป็นคนที่ควบคุมสภาพอารมณ์ได้ดีเยี่ยมก็ตาม จะถึงขั้นไม่หลุดเลยเนี่ยเราว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วสถานการณ์ที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะฝ่ายของกันต์(ทั้งทางตรงและทางอ้อม)ก็หลายครั้งแล้ว เราจึงรู้สึกว่าสภาพอารมณ์และความตัวละครนี้แปลกมาก ธีร์เป็นเลขา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต้องลงให้หรือไม่เอาเรื่องราวอย่างชัดเจนเด็ดขาดขนาดนั้นอะค่ะ

btw ไม่ใช่ว่าการปั้นตัวละครยังไม่ดี หรือตัวละครควรจะระเบิดอารมณ์อะไรแบบนั้นนะคะ แต่ถ้าจะให้เหตุผลว่าธีร์เป็นคนที่ควบคุม อารมณ์และภาพลักษณ์ได้สมบูรณ์แบบ เราคิดว่ามันยังอ่อนไปสักนิดนิดนึงเท่านั้นเอง เหมือนเรายังขาด background ที่จะทำให้เข้าใจธีร์มากขึ้นน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 05-01-2019 21:45:54





:: CHAPTER 7 ::




 
               คอนโดของกันต์ไม่ได้ต่างจากที่ธีร์จินตนาการไว้เท่าไหร่ แม้เขาจะไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวแต่เมื่อพิจารณาจากอาชีพและท่าทางคุณชายของเขาแล้ว ห้องขนาดสองห้องนอนที่มีพื้นที่กว้างขวางขนาดนี้ก็ดูเหมาะสมกับเจ้าตัวดี เขากวาดสายตาไปรอบๆ อย่างพิจารณา การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ดูลงตัว และทำที่เขาประหลาดใจกว่าตัวห้องคือความเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของทุกอย่างจัดไว้เป็นที่เป็นทางกว่าห้องของเขามาก

               “พี่ธีร์นอนห้องนี้นะครับ” เสียงของเจ้าของห้องดึงสายตาของเขากลับมาที่ประตูด้านหน้าก่อนที่กันต์จะเดินนำเข้าไป เปิดให้เห็นห้องนอนอีกห้องที่ตกแต่งไม่ต่างจากข้างนอก

               “ได้ครับ” ห้องเดิมของธาริณไม่ถือว่าคับแคบแต่เมื่อเทียบกับห้องของกันต์แล้วก็เล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด ธาริณกวาดสายตามองเตียงนอนมีผ้าคลุมไว้เหมือนไม่ได้ใช้งาน ก่อนจะสังเกตเห็นมุมทำงานที่มีข้าวของวางระเกะระกะทั้งบทละครและโน๊ตบุ๊ค

               “มันอาจยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นะครับพี่ธีร์ พอดีเพิ่งรู้เมื่อกี้เลยไม่ทันบอกแม่บ้านของคอนโดไว้น่ะครับ” เจ้าของห้องพูดก่อนจะวางของลงแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าปูเตียงและเครื่องนอนออกมาวางไว้ให้ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงจับจ้องไปที่โต๊ะของเขาไม่เลิกเลยออกปากทันที “เอ่อ...มันจะรกหน่อยนะครับ”

               “ไม่เป็นไรครับ ความจริงพรุ่งนี้ผมคงกลับแล้วครับ ” ธาริณมองสีหน้าที่แสดงความรู้สึกผิดของคนตรงหน้า พยายามย้ำว่าเขาจะยอมมาอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

               “พี่ธีร์อย่าเพิ่งกลับไปเลยครับ เดี๋ยวโดนอะไรแล้วคุณเมธาเอาผมกับพี่พิ้งค์ตายเลย” กันต์เถียงทันที

               ...ก็สมควรโดนแล้วเพราะปัญหามันเกิดจากฝั่งคุณทั้งนั้น

               ธาริณนึกเถียงในใจ เด็กนี่มันอะไรกันนะ ฝั่งตัวเองก่อปัญหาขึ้นมาแล้วยังมากลัวคุณเมธาเอาเรื่องอีก แต่กันต์เองก็พอจะมองสถานการณ์และความไม่พอใจตรงหน้าได้จึงดึงเครื่องนอนขึ้นมาคลี่ออก พยายามอำนวยความสะดวกอีกฝ่ายเท่าที่ทำได้

                “เดี๋ยวผมปูให้ พี่ธีร์ไปอาบน้ำสระผมก่อนดีกว่าครับ”

               “โอเคครับ” ธาริณรับคำโดยไม่ขอบคุณ เมื่อคิดว่าตัวเองโดนสาดน้ำมาจนเปียกโชกแล้วปล่อยให้แห้งเองแถมยังนั่งตากแอร์มาในรถตลอดทางแล้วก็เริ่มเห็นว่าอีกฝ่ายควรจะทำอะไรให้เขาบ้าง จึงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและของที่ต้องใช้ตรงเข้าห้องน้ำไป

               ธาริณใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำสระผมก่อนจะกลับออกมาในสภาพผมเปียกผ้าขนหนูคล้องคอ มันอาจดูไม่สุภาพสักหน่อยแต่ในใจเขากลับบอกว่าช่างแม่งเถอะ คนจะหลับจะนอนคงไม่ต้องดูดีอะไรมากหรอกมั้ง จนเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูกันต์ที่กำลังเก็บของบนโต๊ะทำงานหันกลับมา และภาพที่ได้เห็นก็ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะธาริณในลุคเสื้อยืดกางเกงบอลไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคยเลย เส้นผมที่เปียกนั้นทำให้เส้นผมที่มักจะจัดทรงไว้เสมอแนบลงมาปรกใบหน้าบางส่วน เมื่อรวมกับผ้าขนหนูที่พาดไว้ตรงบ่าแล้วยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขาดูสบายขึ้นถึงจะตรงข้ามกับสีหน้าในตอนนี้ก็เถอะ ยิ่งมองต่อกันต์ก็ยิ่งได้รู้ว่าความจริงธาริณเป็นคนหน้าเด็กกว่าอายุมาก

               “มองทำไมครับ” ธาริณชักจะไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ที่เขาต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้ก็เพราะคนตรงหน้านี่แหละ แล้วยังมีหน้ามามองเขาอีก

               “เปล่าครับ แค่คิดว่าพี่ธีร์ลุคนี้ดูโคตรเด็กเลย” กันต์ไม่พูดเปล่า เขายังทำหน้าตาตื่นเต้นเกินจริงทั้งยังทำท่าเหมือนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “น่าถ่ายเอาไปอวดพี่พิ้งค์”

               “ลามปาม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มพูดเล่นกับเขาธาริณเองก็เผลอหลุดปากบ้าง

               “ขอโทษครับ ผมแปลกใจจริงๆ นี่” เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูอารมณ์เสียเขาเลยกลับมานิ่งอีกครั้ง

               “ช่างมันเถอะ” ธาริณเอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจ “ไว้แค่นี้ก็ได้ครับคุณกันต์ ผมจะนอนแล้ว” เขาพยายามไล่เจ้าของห้องอย่างรักษามารยาท แต่ไม่คิดว่าคราวนี้อีกฝ่ายกลับไม่เข้าใจขึ้นมาจริงๆ

               “ผมขอเก็บของแป๊บเดียวนะครับ พี่ธีร์ปิดไฟนอนก่อนก็ได้” กันต์พูดพลางหันไปเก็บของบนโต๊ะต่อ ฟังแล้วธาริณแทบจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด เด็กนี่มันเป็นแบบนี้ตลอดเหรอวะ

                “ความจริงคุณกันต์ไม่ต้องเคลียร์ออกก็ได้ครับ” เขาพูดต่อทันที “ผมอยู่กับคุณไม่นานแน่นอน”

              ...จริงๆ คือใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ‘ได้’ ไม่นานแน่นอน

              “ไม่เป็นไรครับ เผื่อจะใช้โต๊ะ” เมื่ออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้เขาเลยไม่รู้จะเถียงอะไร ได้แต่ยืนรอให้อีกฝ่ายเก็บกวาดแล้วยกของตัวเองออกไปทั้งอย่างนั้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะออกไปแล้วเขาเลยเดินไปส่งถึงหน้าประตูห้องทันที แต่แล้วเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดของเขาจึงขัดไว้ก่อน

               “เดี๋ยวผมไปหยิบคีย์การ์ดกลับมาให้นะครับ อย่าเพิ่งนอน”

               กันต์รีบไปหยิบคีย์การ์ดในห้องตัวเองกลับมาเพราะเขากลัวอีกฝ่ายนอนไปก่อน เมื่อเข้ามาในห้องอีกทีแล้วยังเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งเล่นมือถือจึงโล่งใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากมาอยู่กับเขาสักเท่าไหร่ พอจะบอกตามตรงไปว่าคุณเมธากับคุณโชติให้ระยะเวลาถึงสามเดือนเขาก็ไม่รู้จะพูดกับคนตรงหน้าอย่างไร

               “นี่ครับพี่ธีร์”

               “ขอบคุณครับ” ธาริณรับไป มองเล็กน้อยแล้วเก็เข้ากระเป๋าสตางค์โดยไม่พูดอะไรอีก

               “พี่ธีร์ใช้ห้องได้เต็มที่เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ ถ้าจะทำอาหารก็เปิดครัวเลย ทีวีก็ดูได้นะครับ” กันต์พยายามแนะนำอย่างห้องอย่างที่ควรจะทำ แต่เขารู้ดีว่าถ้าพอไปเดินดูอีกฝ่ายคงไม่อยากแน่

               “ได้ครับ”

               “แล้วตอนเช้าพี่จะทำยังไงครับ ผมไม่ทันได้ซื้ออะไรเตรียมไว้เลย” 

               “ผมซื้อกินก่อนเข้างานได้อยู่แล้ว คุณกันต์เชิญเลยครับ” คราวนี้กันต์ไม่ได้พูดเพื่อให้ตัวเองดูดีหรืออะไรทั้งนั้น แต่ยิ่งในเวลาแบบนี้เขาไม่อยากให้ใครมายุ่ง คิดไปคิดมาแล้ว ถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะมีสาเหตุมาจากฝ่ายนั้นและกันต์เองก็โดนบังคับทางอ้อมเหมือนกับเขา ดังนั้นการต่างคนต่างอยู่อาจเป็นทางออกที่ดี

               “โอเคครับ ไว้เจอกัน”

 




               การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนที่เรียกได้ว่าเกือบจะแปลกหน้านั้นสำหรับธาริณที่เคยชินกับการใช้ชีวิตคนเดียวแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ในตอนแรกเขาคาดหวังไว้ว่าจะได้กลับไปนอนคอนโดตัวเองในวันรุ่งขึ้น แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้างเมื่อฝ่ายนั้นยืนกรานว่าสมควรให้เขาอยู่ที่นี่ไปจนกว่ากระแสข่าวจะซาลง ทำเอาจิตใจห่อเหี่ยวไปไม่น้อย อย่างไรก็ตามการอาศัยร่วมกับกันต์ในหลายวันที่ผ่านมาก็เหมือนอย่คนเดียวเพราะเขาเลือกที่จะไม่ออกไปใช้พื้นที่ส่วนกลางเลยสักครั้ง ถึงจะลำบากสักหน่อยแต่เมื่อเทียบกับการที่เขาต้องอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าซึ่งนำความเดือดร้อนมาให้นับว่ายอมลำบากดีกว่า

               ช่วงนี้เรื่องการเดินทางของเขาเหมือนอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายนั้นเพราะคุณโชติถึงกับส่งคนมารับส่งให้เป็นพิเศษ หรือถ้าวันไหนพิ้งค์ว่างก็จะรับหน้าที่นี้ไปแทน แน่นอนว่าเป็นข้อที่ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นเพราะไม่ต้องไปต่อสู้กับผู้คนหรือเจอความโชคร้ายในด้านอื่น แต่ธาริณยอมรับว่าอึดอัดมากจนในที่สุดก็ตัดสินใจลองเข้าไปคุยกับคุณเมธาเสียเอง

               “เรื่องอยู่คอนโดคุณกันต์ คุณเมธาพอทราบไหมครับว่าต้องอยู่ถึงวันที่เท่าไหร่” เมื่อรายงานตารางประจำวันแล้วธาริณเลยรีบพูดต่อทันที

               “ทางนั้นแจ้งมาว่าจะรีบจัดการให้”

               “แต่ผมไม่สะดวกที่จะอยู่กับทางนั้นเท่าไหร่” นี่อาจเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมาที่สุดสำหรับเขาแล้ว แต่ช่างเถอะ ถึงคุณเมธากับคุณโชติจะสนิทกันในช่วงนี้แต่นั่นไม่เกี่ยวกับเขา อย่างน้อยคุณเมธาควรรู้ว่าเขาไม่แฮปปี้

               “โชติบอกมาว่าจะจัดแถลงขอโทษในสองสามวันนี้”

               “ดีครับ” ได้ยินว่าอีกฝ่ายจะจัดการให้ตามที่รับปากเขาก็เบาใจ “ทางที่ดีอย่าให้ผมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีกเลย”

               “เดี๋ยวจะย้ำให้แล้วกัน” เมธารับปาก เขาอดเห็นใจเลขาของตนเองไม่ได้ “แต่รอบนี้คุณโชติเขาบอกว่าเพื่อความปลอดภัยเขาอยากให้อยู่ไปก่อนสักสามเดือน”

               ...เชี่ยแม่ง

               “ผมไม่ไหวนะครับ” เขาเผลอสวนออกไปทันที ทำเอาคนเป็นนายอดขมวดคิ้วไม่ได้เนื่องจากไม่ค่อยได้เห็นเลขาตอบแทรกอย่างนี้เท่าไหร่นอกจากเรื่องมันหนักหนาจริงๆ

               “กันต์เขาทำตัวไม่ดีเหรอ”

               “เปล่าครับ” ธาริณเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “ผมไม่ค่อยชอบอยู่ร่วมกับคนอื่นน่ะครับ ลำบากใจในหลายๆ อย่าง”

               “เฮ้อ” เมธาถอนหายใจออกมายาวเหยีดพลางทิ้งตัวลงพนักเก้าอี้อย่างแรง เขาไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเหมือนกันเพราะฝ่ายนั้นถือเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบเลยพยายามดูแลธาริณทุกอย่าง ในขณะที่เลขาของเขากลับต้องการแค่ให้คนอื่นหยุดยุ่งกับตนเอง ในฐานะคนกลางเขาย่อมตัดสินใจไม่ถูก ปฏิเสธฝ่ยนั้นก็ไม่ได้เพราะจะเหมือนหักหน้าซ้ำยังต้องทำงานร่วมกันระยะยาว ส่วนธาริณจะบังคับก็ไม่ได้เหมือนกัน “ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลย”

               ...ก็ปฏิเสธฝ่ายนั้นไปดิวะ

               “รบกวนไปคุยอีกทีได้ไหมครับ” ธาริณพยายามเสนอ “ให้ผมไปคุยด้วยก็ได้ครับ”

               “โอเคฉันจะลองดู” เมธาตอบทั้งที่ยังไม่มั่นใจนัก เขารู้ว่าคนอย่างโชติคงจะไม่ยอมเปลี่ยนอะไรง่ายขนาดนั้น เพาะฝ่ายนั้นปักใจไปแล้วว่าจะต้องเห็นธาริณอยู่รอดปลอดภัยให้ได้ “แต่คิดว่ายากหน่อยนะ”

               “ขอบคุณครับ”

 





               หลังจากนั้นไม่ถึงสามวันธาริณก็ได้รับการยืนยันว่าโชติอยากให้เขามาอยู่กับกันต์อย่างเดิมต่อไปส่วนเมธาเองก็ยิ่งย้ำเชิงขอร้องกับเขาว่าให้อดทนไปหน่อย เขายอมรับว่ารู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ ทำไมฝ่ายที่ต้องอนทนกลายเป็นเขาได้วะ  แต่เมื่อเปิดเช็คข่าวในช่วงนี้แล้วก็ต้องเข้าใจว่ามันดูรุนแรง แม้จะผ่านการแถลงข่าวขอโทษที่ส่งผลให้ความนิยมของกันต์และชื่อเสียงของค่ายตกลงไม่น้อยจะทำให้ความรุนแรงของแฟนคลับที่ต่อต้านด่าเขาลดลง แต่ก็ยังเรียกได้ว่าไม่ปลอดภัยอยู่ดี

               สุดท้ายธาริณจึงได้แต่กลับไปเก็บของเพิ่มเติมที่คอนโด จากเดิมที่เขาจัดไปแค่เสื้อผ้าบางส่วน คราวนี้จึงจำเป็นต้องเอาข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ติดไปด้วย หลังจากวันที่ขนของไปเพิ่มเขาก็ยังคงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้อนอนเช่นเคย และเลือกที่จะออกไปใช้ห้องกินข้าวหรือรับแขกในเวลาที่เจ้าของห้องไม่อยู่เท่านั้น โชคยังดีที่ตารางของเขากับกันต์ไม่ค่อยตรงกันนัก รายนั้นเหมือนจะกลับไม่ตรงเวลาเกือบทุกวันในขณะที่เขาเองส่วนใหญ่ค่อนข้างตรง จึงทำให้มีระยะที่เขาออกไปนอกห้องนอนได้อย่างสบายใจมากขึ้น

               ทว่าสำหรับวันนี้นั้นธาริณเมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาก็ได้เห็นเจ้าของห้องกำลังนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เขาแอบเหลือบตามองบนในความโชคร้ายเพราะวันนี้เขาหิวมาก! หิวจนตั้งใจว่าจะลงไปซื้ออะไรขึ้นมากินอย่างยิ่งใหญ่หลังจากกลับห้องมา

               “อ้าว พี่ธีร์กลับมาแล้ว” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยปากทักพร้อมยกมือไหว้ “ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะครับ”

               ...แหงสิ

               “คงงั้นมั้งครับ” ธาริณไม่พูดอะไรมาก ทันทีที่เขาเข้ามาก็ตรงไปที่ประตูห้องนอนตนเองทันที แล้วก็ต้องโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ไล่ต้อนอะไรมากมาย พยายามปลอบใจตัวเองว่าเขาก็แค่ต้องทนหิวหน่อย เพราะการกินโดยที่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วยคงไม่อร่อยแน่นอน ไว้รอจนกันต์กินเรียบร้อยจนเข้าห้องไปแล้วเขาค่อยลงไปซื้อของกินจากเซเว่นในคอนโดกินยังจะดีกว่า

               แต่เหมือนความตั้งใจของธาริณจะไร้ประโยชน์เพราะเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น และเมื่อเปิดออกก็ได้เห็นเจ้าของห้องยืนอยู่พร้อมรอยยิ้ม

               “พี่ธีร์มากินข้าวกันครับ”

               ...สดใสมากดิ

               เขามองสีหน้าคาดหวังของอีกฝ่ายพลางคิดหาขออ้างให้ตนเอง “คุณกันต์กินไปเลยครับ”

               “แต่พี่ธีร์ยังไม่ได้กิน”

               “ผมกินแล้วครับ” เขาพยายามจะไม่โกหกแล้วนะแต่สุดท้ายก็ต้องทำจนได้ แต่ถ้าไม่พูดแบบนี้อีกฝ่ายก็จะไม่เลิก

               “ผมถามพี่พิ้งค์แล้วพี่ธีร์ยังไม่ได้กิน” กันต์ยิ้มอีกครั้งเหมือนรู้ทัน “เลยซื้อมาเผื่อด้วย”

               ธาริณอดถอนหายใจไม่ได้ ขนาดเลี่ยงการอยู่ร่วมกันแล้วอีกฝ่ายยังตามชีวิตส่วนตัวของเขาอีกเหรอ นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง “คุณกันต์ครับ”

               “...”

               “ไม่ยุ่งกับผมได้ไหมครับ”

                “...”

                กันต์เงียบไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ ธาริณเองเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อเขาจึงเลือกที่จะเดินกลับเข้าห้องแล้วปิดประตู ก่อนเข้าไปอาบน้ำเพื่อปรับอารมณ์ตัวเองให้ดีขึ้นหน่อย แต่แล้วเมื่อเดินกลับออกมาเขาก็ได้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งสอดเข้ามาบนพื้นผ่านร่องประตู เขาจึงก้มลงหยิบกระดาษที่มีแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน


                ‘ขอโทษครับ’

               ...อะไรของมันวะ

               แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดว่าจะตอบโต้อย่างไรดี กระดาษอีกแผ่นก็สอดตามเข้ามา


               ‘ผมซื้อข้าวต้มป้าแสงมาให้’


               เมื่ออ่านกระดาษครบทั้งสองแผ่นแล้วธาริณถึงกับนิ่งไป เขาแปลกใจเรื่องการเขียนสอดใต้ประตูมากกว่าการที่อีกฝ่ายถึงกับไปซื้อข้าวต้มป้าแสงแถวคอนโดเก่ามาให้เขาเสียอีก นี่แสดงว่าอีกฝ่าลงทุนยืนรอหน้าประตูจนเห็นเขาหยิบกระดาษแผ่นแรกไปอย่างนั้นเหรือ ธาริณนิ่งไปครู่หนึ่ง อีกฝ่ายคงจะอยากเจอหน้าเขาจริงๆ ละมั้ง...เอาก็เอาวะ สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไป และได้เห็นอีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ด้านหน้าอย่างที่คาดไว้

              “พี่ธีร์ครับ” อีกฝ่ายพูดขึ้นทันทีเมื่อธาริณเปิดประตูออกมา “วันนี้ผมเลิกเร็วเลยแวะไปซื้อร้านป้าแสงมาเผื่อพี่ธีร์คิดถึง”

               ธาริณพยักหน้า “ขอบคุณครับ”

               “ผมรู้ว่าพี่ธีร์ลำบากใจที่ต้องมาอยู่กับคนอื่นแบบนี้ ผมไปคุยกับพี่พิ้งค์และคุณโชติหลายครั้งแล้ว” กันต์ใช้โอกาสนี้พูดออกไปตามตรง “คุณโชติพยายามหาทางแก้ไขแล้วแต่พี่ธีร์อาจต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน ส่วนผมเองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจได้ ขอโทษจริงๆ กับทุกอย่างนะครับ”

               เขาไม่สบายใจที่เห็นอีกฝ่ายอยู่อย่างคอยหลบหน้าและลำบาก เขารู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นฝั่งเขาผิดเต็มๆ และถึงจะไม่ใช่ไอเดียของเขาแต่คนอื่นในบริษัทที่เป็นคนตัดสินใจก็เกี่ยวข้องกับเขานั่นแหละ เรียกว่าถึงกันต์เองจะไม่ใช่สาเหตุทางตรงแต่ก็เป็นในทางอ้อมอยู่ดี

               “...”

              “ถ้าต้องอยู่ด้วยกันแล้วผมเลยอยากให้พี่ธีร์แฮปปี้ด้วย”

              “...”

              “ยังไงก็กินหน่อยเถอะครับ”

               กันต์พูดจบก็เดินตรงไปที่โต๊ะกินข้าวโดยไม่สนใจว่าธาริณจะเลือกมากินข้าวพร้อมกันหรือไม่ เขาเพียงต้องการให้อีกฝ่ายได้รับรู้ไว้เท่านั้น จะกินเมื่อไหร่เขาไม่ห้ามแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเอาใจใส่ที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมานี้ทำให้ธาริณโกรธน้อยลงไปชั่วขณะ เพราะไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายคอยสังเกตและพยายามพูดให้เขามาตลอด  ซ้ำยังไปซื้อข้าวต้มมาให้ทั้งที่ร้านป้าแสงก็ไม่ได้อยู่ในเส้นทางเลย

               ...เอาวะ ยังไงก็มีคนเห็นใจกูบ้าง

               คิดอย่างนั้นธาริณจึงเลือกที่จะเดินตรงไปยังโต๊ะกินข้าว นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก่อนจะพบว่ากันต์ได้จัดข้าวต้มอีกชุดใส่จากให้เขาเรียบร้อยแล้ว เขาเอ่ยขอบคุณก่อนที่ต่างฝ่ายต่างก็กินของตัวเองจนหมดโดยไม่ได้มีการพูดคุยเพิ่มเติมอะไร นับว่ามื้อแรกที่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ

               เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วธีร์จึงหยิบชามของตนเอไปล้างที่อ่างล้างจาน แต่แล้วกันต์ก็เดินเข้ามาขัดไว้

               “วางไว้เลยครับ เดี๋ยวมีแม่บ้านเข้ามาตอนเช้า”

               “ล้างเลยดีกว่า ทิ้งไว้มันจะเหม็น” ธาริณว่าพลางหยิบสก็อตไบรท์ขึ้นมาเรียบร้อย แต่แล้วอีกฝ่ายกลับแย่งเขาไปเสียอย่างนั้น

               “งั้นผมล้างให้เองครับ”

               ได้ยินอย่างนั้นธาริณจึงเพียงแค่เอ่ยขอบคุณและเตรียมจะกลับเข้าห้องตัวเอง แต่ก่อนจะได้ทำอะไรอีกกันต์ก็หันกลับมาด้วยหน้าตาจริงจังเสียก่อน ทำเอาเขาเป็นฝ่ายชะงักไป


               “มีอะไร...”

               “ฝันดีครับพี่ธีร์” แต่ก่อนที่ธาริณจะได้ถามจนจบประโยคกันต์กลับเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนและคำพูดที่ได้ยินทำเอาเขาโล่งใจ นึกว่ามีเรื่องด่วนอะไรที่แท้ก็แค่นี้ การบอกฝันดีนับเป็นเป็นอีกอย่างที่คอยย้ำธาริณว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว

               “ฝันดีเช่นกันครับคุณกันต์”

               “พี่ธีร์ครับ”

               “...”

               “เรียกผมว่ากันต์เฉยๆ ได้ไหมครับ” กันต์นึกอยากให้คนตรงหน้าสบายใจเวลาอยู่กับเขามากขึ้น อย่างน้อยก็เริ่มจากการเรียกชื่อก่อนแล้วกัน “เรียกว่าคุณแล้วมันรู้สึกเหมือนทำงานอยู่น่ะ”

               “กันต์เฉยๆ”

               ...เชี่ย เขาโดนพี่ธีร์กวนตีน

               กันต์ถึงกับนิ่งไปเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรดี อีกฝ่ายเหมือนจะเล่นมุกแต่ใบหน้ากลับเรียบนิ่งดังเดิมเหมือนไม่ขำเสียอย่างนั้น แต่ในระหว่างที่เขาคิดคำตอบอย่างหนักธาริณก็เป็นฝ่ายเอ่ยตัดประโยคเสียเอง

               “โอเคๆ ฝันดีครับกันต์”

               เจ้าของชื่อรู้สึกเหมือนยังตกใจไม่หายแต่ก็ตอบรับไปด้วยรอยยิ้ม เขามองตามจนอีกฝ่ายเข้าไปในห้องแล้วจึงถอนหายใจยาวเหยียด ช่วงนี้เขาเจอเรื่องน่าตกใจติดกันหลายเรื่องมากเกินไปจนทำให้เหนื่อยกว่าปกติ แต่อย่างน้อยวันนี้ข้าวต้มที่เขาลงทุนไปซื้อเพื่อล่อคนร่วมห้องออกมากินข้าวสักมื้อก็ไม่เป็นหมัน



               ...แค่นี้ก็ดีแล้วแหละ

 



 
------------------------------------

กลับมาแล้วค่ะ สวัสดีปีใหม่นักอ่านทุกคน ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนค่ะ :กอด1:

ขอบคุณที่คอยติดตามกันมาตลอดค่า

ปล. ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ ดีใจมากๆ เลย รวมถึงคำแนะนำของคุณKamidere ละเอียดมาก ขอบคุณจริงๆ ค่ะ จะพยายามปรับปรุงนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-01-2019 22:02:47
บทนี้ถ่ายทอดได้ดีจังค่ะ รู้สึกถึงความอึดอัด ความไม่สบายใจ ทั้งของธีร์และกันต์

ปล. พี่ธีร์กวนติงหน้าตายว่ะ เรายังอึ้งเลย ฮ่าๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-01-2019 23:39:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-01-2019 04:10:15
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 06-01-2019 07:19:27
กันต์เฉยๆ คุณธารินมีอารมณ์ขันนะคะ (?)
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-01-2019 16:53:20
นังนั่นมันเป็นใครรรรรรรร  :m31:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: waiieiei ที่ 06-01-2019 22:06:55
เนื้อเรื่องสนุก ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: bree ที่ 07-01-2019 21:57:12
พี่ธีร์นี่เห็นนิ่งๆแต่กวนนะจ๊ะะ นังร้ายยยยย
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 08-01-2019 15:42:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-01-2019 15:14:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 07 (05.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 13-01-2019 08:59:03
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: powl-the-2nd ที่ 13-01-2019 22:58:36




:: CHAPTER 7 ::




                หลังจากมีการกินข้าวร่วมกันครั้งแรกเกิดขึ้นแล้วก็เหมือนจะเกิดครั้งที่สองสามตามมาเรื่อยโดยกันต์มักจะเป็นฝ่ายส่งไลน์มาบอกว่าจะซื้ออาหารเข้ามาหรือบางทีก็ให้ธาริณเป็นฝ่ายเลือก ธาริณยอมรับว่าเขาค่อนข้างพอใจกับการมีรถรับส่งและการที่ไม่ต้องคิดว่ามื้อเย็นจะกินอะไรแบบนี้ ถึงแม้จะมีความลำบากใจอย่างมากเมื่ออยู่ร่วมห้องกับใคร อย่างไรก็ตามการกินข้าวด้วยกันบ่อยขึ้นก็ทำให้เขาชินกับการมีอีกคนอยู่ในห้องมากขึ้นจนเริ่มออกมาใช้ห้องครัวเองเป็นบางครั้ง แต่จะให้ออกมานอนเล่นดูทีวีในห้องรับแขกพร้อมอีกฝ่ายยังถือว่าลำบากใจอยู่

               ...ยกเว้นว่าอีกฝ่ายไม่อยู่

               ความจริงเขาเคยออกมาดูทีวีอยู่หลายครั้งในวันที่กันต์ไปออกกองที่ต่างจังหวัด นับเป็นช่วงเวลาที่เขาสามารถใช้ชีวิตแบบเดิมโดยไม่ต้องสนใจสายตาใครหรือคอยลุ้นว่าอีกฝ่ายจะเปิดประตูมาเมื่อไหร่ ดูทีวีจอใหญ่จนไปถึงเอาเครื่องเล่นเกมออกมาต่อและเล่นอย่างยิ่งใหญ่อยู่หลายวัน หลังจากนั้นเมื่อเจ้าของห้องกลับมาเขาจึงทำตัวเหมือนคนติดห้องอีกครั้ง แต่เริ่มหาช่องทางในวันที่อีกฝ่ายไม่อยู่ออกมานอนเอกเขนกเล่นเกมที่ห้องรับแขกบ้างแล้ว

               “ธีร์ วันนี้มีนัดคุณโชตินะ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ธาริณละสายตาจากคอมพิวเตอร์รวมถึงออกจากความคิดของตัวเองด้วย จึงได้เห็นว่าเจ้านายเดินออกมาจากห้องทำงานใหญ่มาอยู่หน้าห้องทำงานของเขานี่เอง

               “ทราบแล้วครับ” เขารับคำไป เมธาคงกลัวว่าเขาจะลืมหรือเบี้ยวไม่ไป เพราะการนัดหมายวันนี้เกิดขึ้นจากเรื่องของเขาโดยตรง จึงทำให้เกิดสถานการณ์ตลกๆ ที่เจ้านายมาเตือนตารางงานของเลขาแบบนี้

               ...ใครมันจะไปลืมวะ

               หลังจากที่ฝ่ายนั้นแถลงข่าวขอโทษกับสื่อและจัดการเรื่องตามหาคนในแอคเค้าท์ที่พยายามทำร้ายเขาไปแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้อีก จนกระทั่งเมธามาบอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าโชติยังอยากนัดรับประทานอาหารเย็นและอยากขอโทษเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง จึงทำให้ตารางงานของเมธาวันนี้ยืดยาวไปถึงมื้อเย็น

               “งั้นธีร์ไปเตรียมตัวเลยก็ได้นะ ค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้”

               “ได้ครับ เดี๋ยวผมส่งไฟล์ให้ก้องไปส่วนหนึ่งก่อนแล้วกันครับ”

               เมธาพยักหน้า มองเลขาของตนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองเอกสารอยู่ครู่หนึ่ง “ธีร์อาจลำบากใจ แต่ถือว่าไปกินอาหารไคเซกิกับฉันสักมื้อแล้วกัน”

               “ครับ”

               เมื่อส่งไฟล์งานเสร็จเรียบร้อยธาริณจึงปิดคอมพ์แล้วเดินไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เขานั่งทำงานหน้าคอมพ์จนหน้ามันมาทั้งวัน จะให้ไปโผล่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ หรืออาหารที่เสิร์ฟในลักษณะเป็นทีละจานอย่างประณีตจนครบคอร์ส หัวละหกเจ็ดพันในสภาพแบบนี้ไม่ได้แน่นอน เขาจึงเปิดกระเป๋าหยิบกระเป๋าห้องน้ำ โฟมล้างหน้า และกระดาษซับมันตรงไปที่ห้องน้ำ เมื่อปรับสภาพจัดทรงผมของตนให้เรียบร้อยแล้วเขาก็หยิบเสื้อนอกที่พาดทิ้งไว้บนพนักเก้าอี้ทำงานขึ้นมาสวม เช็คความเรียบร้อยโดยรวมอีกทีแล้วจึงตรงไปยังห้องทำงานของเมธา

               การจราจรที่ไม่แน่นอนของกรุงเทพทำให้เขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าที่คาดไว้แต่ก็ยังถือว่าตรงเวลาอยู่ ร้านอาหารแห่งนี้เขาเคยมาใช้บริการอยู่หลายครั้งเมื่อต้องคุยธุระกับลูกค้าที่สำคัญ นับเป็นร้านไม่กี่ร้านในลิสท์ที่เขาค่อนข้างวางใจในคุณภาพและความเรียบร้อยในด้านต่างๆ จนกลายเป็นว่าเมื่อเขากับเมธามาถึงพนักงานถึงกับจำได้และตรงเข้ามาต้อนรับเป็นพิเศษทันที

               “สวัสดีค่ะคุณเมธา”

               “สวัสดีครับ วันนี้ผมไม่ได้จองไว้นะครับ” เมธาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพนักงานพยายามค้นหารายชื่อการจองเพื่อพาไปที่โต๊ะ “ผมมีนัดกับคุณโชติน่ะครับ”

               “อ้อ งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ” เธอนำทางอย่างคล่องแคล่วจนไปถึงห้องกินข้าวส่วนตัวห้องหนึ่งซึ่งมีการตกแต่งอย่างประณีตงดงามเป็นพิเศษ และเมื่อเปิดประตูออกจึงได้พบว่าคุณโชติมาถึงเรียบร้อยแล้ว ธาริณชะงักไปเมื่อเห็นว่านอกจากเลขาของคุณโชติได้พาผู้จัดการส่วนตัวของกันต์มาด้วย แต่เมื่อสังเกตจำนวนตะเกียบที่วางเตรียมไว้แล้วเขาก็เผลอผ่อนลมหายใจออกมา

               ...กันต์ไม่ได้มาด้วย

               ธาริณเอ่ยทักทายและยกมือไว้ทุกคนรอบโต๊ะแล้วจึงนั่งลงที่นั่งตรงข้ามแดนซึ่งเป็นเลขาของโชติ เมื่อทุกคนนั่งลงและทักทายกันเรียบร้อยแล้วโชติจึงหันมาพูดกับธาริณโดยตรง

               “ที่นัดมาวันนี้ ผมอยากขอโทษคุณธีร์อย่างเป็นทางการน่ะครับ”

               “...”
               “หลังจากเกิดเรื่องผมจัดงานแถลงข่าวและเจอตัวคนทำแล้ว” โชติกล่าวอย่างรวบรัด “ทางเราต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ แต่สถานการณ์ตอนนั้นค่อนข้างฉุกละหุกจริงๆ”

               “ครับ” ธาริณรับคำโดยไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ความจริงคืดเขาไม่รู้จะพูดอย่างไรมากกว่า

               แต่ก่อนที่คุณโชติจะพูดอะไรต่อ พิ้งค์ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “ความจริงพิ้งค์เองต้องเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่าค่ะ พิ้งค์เป็นคนออกความคิดเรื่องนี้เอง” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “พิ้งค์คาดไม่ถึงว่าเรื่องจะเลยเถิดขนาดนี้”

               “มันผ่านไปแล้วล่ะครับ”

               ...เริ่มมาขนาดนี้จะให้เขาตอบอะไรนอกจากนี้ได้วะ

               “พิ้งค์จะพยายามเดินเรื่องให้เร็วที่สุดนะคะ” เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “เผื่อว่าคุณธาริณจะไม่ค่อยสะดวกใจ...” เธอต่อคำว่า ‘ไม่สะดวกใจที่จะอยู่กันกันต์’ อยู่ในใจ ความจริงเธอรู้มาสักพักแล้วจากคำบอกเล่าของกันต์เกี่ยวกับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงอย่างเปิดเผยของอีกฝ่าย

               ...แน่สิ จะให้เขาสบายใจได้ไง

               “ขอบคุณครับ” ธาริณเอ่ยเรียบๆ ไม่แสดงท่าทียอมรับหรือปฏิเสธ ซึ่งท่าทีแบบนี้ทำให้พิ้งค์มีท่าทีกังวลกว่าเดิม

               “ถ้าคุณธีร์มีปัญหาอะไรติดต่อพิ้งค์ได้โดยตรงเลยนะคะ”

               “ครับ” ธาริณเอ่ยรับพลางลอบถอนใจ

               ...กูจะพูดไม่พูดดีวะ

               “ส่วนเรื่องเดินทางไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” คราวนี้โชติเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

               “ไม่มีครับ”

               “งั้นถ้ามีอะไรติดขัดหรือไม่สะดวกก็บอกได้ตลอดนะ” โชติเอ่ยอย่างจริงจัง “ติดต่อพิ้งค์หรือแดนได้เลย”  โชติเคยบอกผ่านเมธาไปแล้วแต่เขาเลือที่จะเอ่ยย้ำด้วยตนเอง อย่างน้อยธาริณต้องมาอยู่กับกันต์เพราะปัญหาจากฝั่งเขา ก็ควรมีการเป็นอยู่ที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย ธาริณลอบมองสีหน้าของเจ้าของค่าย ในใจนึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะรับคำไปเรื่อย หรือพูดสิ่งที่ตนต้องการออกไปตรงๆ

               ...เชี่ย กูพูดแล้วกัน

               “ขอบคุณครับคุณโชติ แต่ผมอยากขออย่างหนึ่ง” ธาริณเว้นช่วงเพื่อเรียบเรียงคำพูด เขาอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เนื่องจากไม่เคยยื่นข้อเสนอหรือต่อรองอะไรกับคนระดับหัวหน้าอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ เล่นเอาคนทั้งโต๊ะอดตั้งหน้าตั้งตารอฟังไม่ได้

               “ขออย่าให้มีแบบนี้อีกได้ไหมครับ”

               “...”

               เมื่อเห็นคนทั้งโต๊ะเงียบกริบทำอะไรไม่ถูกแล้ว ธาริณจึงได้รู้ว่าเขาเผลอใส่ความจริงจังลงในน้ำเสียงและสายตามากเกินไปหน่อย ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำให้บรรยากาศมาคุ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้วเพราะทุกคนจะได้เกรงใจหรือกลัวเขาบ้าง ธาริณจึงตัดสินใจใช้อาศัยโอกาสนี้รีบเอ่ยต่อ

               “ผมอยู่กับกันต์สามเดือนอย่างที่คุณขอก็ได้นะครับ แต่หวังว่าครบสามเดือนแล้วเรื่องจะจบจริงๆ”

               การยื่นคำขาดด้วยท่าทีจริงจังเป็นพิเศษทำเอาทั้งโต๊ะอาหารเงียบไปครู่ใหญ่ ขนาดคุณเมธาเองก็ยังไม่ขัดหรือลงมือแก้สถานการณ์เองแต่อย่างใด จนในที่สุดโชติก็เอ่ยขึ้น

               “ได้ เดี๋ยวผมจัดการให้”

               หลังจากนั้นการพูดคุยรวมถึงบรรยากาศบนโต๊ะก็ดีขึ้น และจบลงอย่างราบรื่นพร้อมการย้ำประโยคเดิมของโชติว่า ‘จะจัดการให้’ และให้เบอร์ติดต่อโดยตรงของแดนและพิ้งค์เอาไว้ การนัดคุยกันครั้งนี้อย่างน้อยก็ทำให้ธาริณสบายใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยผ่านเรื่องทุกอย่างขนาดนั้น ถึงเขาจะตกใจอยู่บ้างว่าเจ้าของความคิดนี้จะเป็นพิ้งค์เสียเอง

               หลังจากที่เขาเอ่ยลาคนจากทางนั้นเรียบร้อยแล้วเขาก็เห็นว่าโชติเรียกพิ้งค์เข้าไปคุยอีกครั้ง ธาริณมองสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนักของเธอจึงคาดว่าผู้จัดการคนนั้นคงจะโดนตำหนิและลงโทษไม่น้อยซึ่งธาริณเห็นด้วย เขาไม่รู้ว่าพิ้งค์เข้าทำงานมานานขนาดไหนหรือเพิ่งงานนี้งานไม่นาน แต่สำหรับหน้าที่นี้สกิลการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำคัญอย่างยิ่ง และควรกระทำอย่างเรียบร้อยไม่ใช่ทิ้งปัญหาหรือดึงคนอื่นเข้าไปอย่างนี้

               ...ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของเขาแล้วแหละ

               คิดดังนั้นธาริณก็เลิกให้ความสนใจกับภาพตรงหน้า ถึงจะรีบเร่งแก้ปัญหาเท่าไหร่ เขาก็คงต้องอยู่ต่อไปแบบนี้นั่นแหละ ความจริงสภาพจิตใจของเขานับว่าดีกว่าช่วงสัปดาห์แรกมากแล้วเพราะเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะหาช่องว่างระหว่างที่อีกฝ่ายไม่อยู่ รวมถึงการที่อีกฝ่ายเองพยายามหาเรื่องกินข้าวด้วยบ่อยๆ ทำให้เริ่มชินและคิดปลอบใจตัวเองว่ากันต์ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย

             


 

               เหมือนว่าวันนี้ธาริณจะมีโชคมากกว่าวันอื่นอยู่บ้าง เพราะถึงเขาจะกลับมาเกือบสี่ทุ่มแล้ว แต่เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปกลับพบว่าเจ้าของห้องยังไม่กลับมา เป็นไปได้ว่าหลังแยกกันแล้วพิ้งค์คงต้องกลับรับกันต์ที่ทำงานต่ออีกและนั่นอาจใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ ธาริณรู้สึกโล่งอก นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสที่ได้อยู่คนเดียวในช่วงเวลานี้ เขารีบยกของไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเห็นกระดาษโน๊ตแปลกปลอมแปะไว้ที่หน้าตู้เย็น

               ‘วันนี้กลับตีหนึ่งนะ พี่ธีร์นอนไปได้เลยครับ’

               “เยส!” ธาริณดีใจจนถึงกับหลุดอุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

               ...นี่กูออกตัวแรงไปป่ะวะ

               ธาริณอ่านประโยค ‘นอนไปได้เลย’ อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ปกติเขาก็ไม่ใช่คนที่จะมาตื่นรอใครกลับบ้านเสียหน่อย เขาจึงย้อนกลับไปอ่านประโยคแรกอีกครั้ง อีกฝ่ายไปทำอะไรที่ไหนก็เรื่องของเขาแต่กลับตีหนึ่งนี่หมายความว่าธาริณจะมีเวลาทำอะไรก็ได้ถึงสี่ชั่วโมงนับจากนี้ เขาผิวปากพลางหันไปคุ้ยถุงใส่ของที่ซื้อมาวันก่อน หยิบซุปกระป๋องมาเทใส่ชามอย่างสบายอารมณ์ก่อนเดินเอาไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา เขามองจอทีวีขนาดใหญ่โฟร์เคแล้วก็ยิ้มกับตัวเอง ความจริงเขาประทับใจการเล่นเกมที่นี่มาตั้งแต่คราวที่แล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสที่นานพอจะเล่นได้อย่างแนบเนียนอีกเลย

               วันนี้แม่งโคตรโชคดีเลยเว้ย

               เมื่อวางแผนเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งดึงเนคไทและเข็มขัดออก เปลี่ยนกางเกงลำลอง ปลดกระดุมบนอย่างลวกๆ ก่อนจะหยิบเครื่องเล่นเกมคู่ใจที่แอบขนมาด้วยพร้อมแผ่นเกมแล้วเดินออกมาทันที นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาจำใจต้องอาบน้ำแปรงฟันทันทีเมื่อกลับมาถึง ต้องฝืนตัวเองจัดเก็บของให้เรียบร้อยทันทีเมื่อซื้ออะไรกลับมา ในเมื่อกันต์ยังไม่กลับมาเขาก็จะทำตัวปกติจนห้าทุ่มค่อยเก็บของอาบน้ำแล้วกัน

               ธาริณต่อกล่องเกมแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างสบายใจ เขาลากโต๊ะกาแฟเข้ามาแล้วยกขาขึ้นพาดทันที มือเอื้อมหยิบชามซุปมะเขือเทศขึ้นมาตักกินพลางใช้มือที่ถือช้อนกดจอยเลือกโหมดเข้าเกมไปเรื่อยๆ จนเลือกเสร็จเรีบร้อยแล้วเขาจึงวางชามซุปลงแล้วตั้งหน้าตั้งตาใช้สมาธิกับเกมเต็มที่ ธาริณชื่นชอบการเล่นเกมมาตั้งแต่เด็กเพราะมันทำให้เขาเหมือนได้หลุดเข้าไปอีกโลก เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนสนิทว่าธาริณมีของสะสมเป็นแผ่นเกมมากมายแต่อันที่เขากล้าพูดเต็มปากว่าเล่นได้ดีคือเกมGTAที่เคยโดนผู้ใหญ่ในบ้านแบนไปนั่นแหละ เขาเล่นเกมนี้มาตั้งแต่เด็กและตามเก็บมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความผูกพันไปแล้ว เจ้าตัวถึงกับยิ้มออกมา รู้สึกเหมือนความเครียดที่มีมาทั้งวันหายไปได้ด้วยการปล้นธนาคาร



               ...การได้เห็นคนโกยเงินนี่มันดีจริงๆ

 





               ตีหนึ่งครึ่ง

               หลังจากเสร็จจากงานวันนี้พิ้งค์ก็เป็นคนขับรถมาส่งกันต์ถึงคอนโด ปกติแล้วถ้างานเลิกดึกกันต์จะเสนอตัวขับรถกลับเองเพื่อให้ผู้จัดการไม่ต้องลำบาก แต่วันนี้เป็นกรณียกเว้นเนื่องจากเขาออกมากองละครตั้งแต่เช้าและรับอีเว้นท์ต่อเนื่องจนถึงเที่ยงคืนกว่า แม้จะรู้ว่าพิ้งค์ต้องปลีกไปทำธุระขอโทษทางนั้นแต่อย่างไรเขาเองก็ขับรถเองไม่ไหวจึงต้องขอให้มารับ และนั่งหลับมาตลอดทางกลับคอนโด จนเมื่อถึงที่แล้วเขาจึงค่อยหอบสังขารตัวเองขึ้นห้องมา ในหัวคิดไปถึงเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ คืนนี้เขาตั้งใจจะนอนอย่างเต็มที่

               แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเปิดประตูห้องมาเขากลับพบกับสิ่งที่ทำให้ตาสว่างในทันที ของที่ยังไม่ได้เอาออกจากถุงยังไม่เท่าไหร่ แต่กระป๋องซุปที่เปิดทิ้งคาช้อนไว้บนเคาน์เตอร์กับซุปสองสามหยดที่แห้งติดโต๊ะทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย ถ้าไม่ได้เห็นร่างของผู้ร่วมห้องบนโซฟาเขาคงคิดว่าเข้าห้องผิดไปแล้ว

               ...นี่มันอะไรเนี่ย

               กันต์ตัดสินใจปล่อยซุปไว้อย่างนั้นก่อนแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนที่เป็นต้นเหตุทันที เขาขมวดคิ้วให้เครื่องเล่นเกมที่เขาไม่เคยมีพลางสงสัยว่าอีกฝ่ายไปได้มาจากไหน ธาริณยังคงไม่รู้สึกตัว นอนเอาขาพาดโต๊ะดวงตาปิดอยู่พร้อมน้ำที่ไหลออกจากมุมปาก

               “ฮ่าๆๆ” กันต์เผลอหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะรีบปิดปากตัวเองไว้เพราะกลัวเจ้าตัวจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน ความจริงที่ห้องของเขาเรียบร้อยเสมอแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ แต่เป็นเพราะวันๆ กลับมาก็ตรงเข้านอนเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ใช้ห้องต่างหาก พอมาเห็นสภาพที่เป็นธรรมชาติของห้องที่มีคนอยู่อาศัยแล้วเลยพลอยรู้สึกดีใจไปด้วย มันทำให้ห้องนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

                “พี่ธีร์ครับ” กันต์ก้มลงสะกิดแขนของอีกฝ่ายเบาๆ

               “อืออ” แต่เจ้าตัวไม่เพียงไม่ลืมตาขึ้น แต่ยังเขยิบตัวหนี เอียงหน้าเข้าไปพิงโซฟาอีกด้วย

               “เฮ้ย พี่ธีร์ อย่า...” อย่าหันไปแบบนั้น นั่นมันโซฟาแบรนด์คาสสินาตัวละสามแสนนะเว้ย กันต์หลับตาลงเพื่อเลี่ยงภาพบาดตาก่อนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองน้ำลายที่เปื้อนผ้าบุโซฟาเป็นวง เขาตัดสินใจนั่งลงด้านข้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เขย่าตัวก็แล้วสะกิดก็แล้วธาริณก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว กันต์เองก็ไม่อยากให้เขามาหลับทั้นคืนที่นี่เลยได้แต่แขย่าอย่างต่อเนื่องพลางกวาดตามองหน้าจอทีวี

               ...GTA นี่พี่ธีร์เล่นอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย

               เป็นอีกครั้งที่เลขาคนสนิทประธานค่ายคนนี้ทำให้เขาประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าคนที่ดูภูมิฐานเอางานเอาการคนนี้นอกจากกินข้าวร้านโลคอลขนาดนั้นแล้ว ยังมีงานอดิเรกเป็นการเล่นเกมแนวอันธพาลเกรียนป่วนเมืองแบบนี้

               “นี่ โซฟาผมเปื้อนแล้วครับ”

               “ปะ...ปล้น” คำที่ได้ยินทำเอากันต์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

               “พี่ธีร์จะปล้นอะไรครับ”

               “ธนาคาร” นี่มันอะไรวะเนี่ย นี่ถ้าอีกฝ่ายเป็นนักแสดงเขาคงคิดว่าเอาบทละครไปฝัน ยิ่งเห็นพี่ธีร์หลับไม่รู้เรื่องเหมือนยิ่งปลุกยิ่งหลับแล้วกันต์จึงเปลี่ยนไปตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือให้มันดังไปเรื่อยๆ แล้วลุกขึ้นหยิบชามที่มีซุปมะเขือเทศนั้นไปวางไว้อ่างเสียเอง

               ไม่นานเกินรอ ระหว่างที่เขากำลังเช็ดคราบซุปบนเคาน์เตอร์อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายปนงัวเงียของคนบนโซฟาดังขึ้น

               “เฮ้ยยย นี่มันกี่โมงแล้ววะ” ธาริณสะดุ้งตกใจตื่นด้วยเสียงปลุกจากโทรศัพท์ก่อนจะรีบป้ายน้ำลายออกจากปากทันที เมื่อกี้เขาจะพักสายตานั้นกลาเป็นเผลอหลับสนิท

                “ตีหนึ่งครึ่ง”

               “!!!” เสียงของอีกฝ่ายทำให้คนเพิ่งตื่นตาสว่างทันที ในใจมีแต่คำว่าฉิบหาย

               ...กันต์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?!

               ไม่ต้องคิดเลยว่าภาพลักษณ์ของเขาจะเสียหายป่นปี้ไปเท่าไหร่แล้ว เมื่อสติมาความทรงจำก็กลับมาเช่นเดียวกันเขาลุกพรวดรีบเอื้อมมือจะคว้าชามซุปที่ตัวเองวางทิ้งไว้แต่กลับคว้าได้แต่อากาศ ชามซุปแม่งอยู่ไหนแล้ววะ!

               “เอ่อ คือ...” และธาริณก็ยิ่งตกใจเมื่อเห็นกันต์กำลังยืนจัดการกับกระป๋องซุปที่เขาเปิดทิ้งและคาช้อนไว้อย่างนั้น

               “พวกซุปนี่ผมจัดการแล้วครับพี่ธีร์” กันต์พยายามอย่างหนักที่จะไม่ยิ้มออกมา “แต่รบกวนพี่เช็ดน้ำลายออกจากโซฟาเองนะครับ” ยิ่งมองเขาก็ยิ่งขำ เขานึกชอบความเป็นปุถุชนของคนตรงหน้านี้ คนที่เนี้ยบกริบจนดูเหนือธรรมดาบางทีอาจเป็นคนกินง่ายนอนน้ำลายไหลแบบนี้ก็ได้

               กันต์ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าแต่พี่ธีร์กำลังเขิน!

               “ได้ครับได้ งั้นขอทิชชู่แผ่นนึง” ธีร์รับคำอย่างรีบๆ เขาเปลี่ยนจากท่าทางขัดเขินเมื่อครู่เป็นสภาวะปกติ...เอาวะ ไหนๆ ก็เสียหายมามากขนาดนี้แล้วช่างแม่งไปเลยแล้วกัน เขารับทิชชู่ที่เจ้าของห้องส่งให้แล้วรีบหันหลังเดินกลับไปที่โซฟา แต่ประโยคถัดมาทำเอาเขาหันกลับมาทันที

               “แล้วพี่ธีร์ก็อย่าไปเที่ยวปล้นธนาคารอีกนะครับ” 

               คนฟังหน้าตาบูดบึ้ง แต่เมื่อกันต์ได้เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมห้องคราวนี้เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่



               ...เชี่ย



               เมื่อกี้พี่ธีร์แอบชูนิ้วกลางว่ะ





---------------------------------------------------------------

มาแล้วค่าา เอาแล้ว พี่ธีร์เริ่มเปิดเผยตัวตนแล้วว
สำหรับเรื่องโพที่คุยกันย้ำอีกครั้งว่าเดี๋ยวจะชัดเจนเองค่า ไม่ต้องกังวล 5555

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์และการติดตามนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-01-2019 23:23:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 13-01-2019 23:52:39
 :m20:  :m20:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-01-2019 23:58:54
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-01-2019 00:14:47
เห็นใจพี่ธีร์ในความหน้าแหก ฮ่าๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: bree ที่ 14-01-2019 22:30:28
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: ืNtop ที่ 31-01-2019 23:13:41
พี่ธีร์  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: :::::: เ ห มื อ น กั น ต์ :::::: ch. 08 (13.01.19)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 01-05-2019 18:23:08
ตลกพี่ธีร์5555555555 :m20:
มาต่อเถอะนะคะ