Soon We'll be found 1
แท้จริงแล้ว เราชอบฝนหรือชอบเพียงแค่บรรยากาศฝนตกกันแน่...
เขาชอบฤดูฝน แต่ตอบไม่ได้ว่าชอบฝนหรือชอบเพราะบรรยากาศอึมครึม เย็นชื้น หรือเพราะความหนาวจากสายฝนทำให้รู้จักโหยหาความอบอุ่นเยี่ยงมนุษย์
เดินย่ำไปยังแอ่งน้ำขัง หยดน้ำกระเพื่อมกระเฉาะเลอะเต็มขา ไม่ใคร่จะสนใจ เขาเพียงออกจากห้องมาเพื่อหาซื้ออุปกรณ์บางอย่างเท่านั้น อุปกรณ์ที่จะทำให้เขาได้ปลดปล่อย ปลดตัวเองจากโลกใบที่หนึ่งไปสู่โลกใบที่สองอย่างที่วาดหวังไว้ตั้งแต่เมื่อคราก่อน
เสียงฝนตกเปาะแปะน่ารำคาญ แต่เพราะอากาศเย็นชุ่มฉ่ำทำให้เขาไม่โทษฝน
เปาะแปะ เปาะแปะ
ไม่ใช่เสียงย่ำน้ำฝนของเขา จังหวะการเดินของเขาไม่ได้ส่งเสียงออกมาผิดจังหวะกับการที่พื้นรองเท้ากระทบน้ำเช่นนี้ เขาหยุดเดิน เสียงย่ำโคลนดังมาสองจังหวะก่อนหยุดตาม
ซอยถนนเปลี่ยวและมืด รกร้างไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ว่ายามตอนกลางวันไม่ค่อยมีคนเดินผ่านแล้ว กลางคืนยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง คงมีเพียงคนบ้าเช่นเขาที่ยอมเดินออกมาท่ามกลางความมืดและหยาดฝน
คงเป็นแมว
สรุปความคิด เขาย่ำเท้า เคลื่อนตัวออก เดินผ่านเสาไฟฟ้าแสงริบหรี่ เสียงจังหวะย่ำฝีเท้าตามมาข้างหลัง แน่แท้ ฝีตีนแมวย่อมไม่มีเสียง เขาหลอกตัวเองไม่ได้ แต่ก็คร้านเกินกว่าจะยอมรับ
ว่ามีมนุษย์ตนหนึ่งเดินตามเขาอยู่ข้างหลัง
ห่างจากเสาไฟฟ้าเลวหนึ่งช่วงแขน เขาหยุดย่ำเท้า หันตัวไปข้างหลัง ร่างมนุษย์เปียกโชกยืนอยู่กลางแสงไฟสลัวตามที่เขาคาดไว้ ที่ผิดคาด เห็นจะเป็นเนื้อตัวที่เปียกโชกนี้ อะไร...ไปอยู่ที่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าฝนตกหนักทั้งวันมาสามคืนติดแล้ว
หรือรู้อยู่แล้วแต่จงใจมาอาบน้ำฝน?
เขาไม่เอ่ยทัก มนุษย์สายฝนไม่เอ่ยถาม ไม่มีแม้แต่สีหน้าตกใจยามถูกเขาพบเจอ
เขาถอนหายใจ เดินต่อไป ปล่อยให้คนโรคจิตคอยตามหลังอยู่ไม่ห่างเช่นนั้น จนกระทั่งพาร่างตัวเองมาถึงหอพัก สภาพสถาปัตยกรรมเก่าโบราณคล้ายจะพังลงไปได้ทุกเมื่อ หากว่าอยู่ได้เกินห้าปีหลังจากนี้...คงได้ถูกบันทึกไว้เป็นโบราณสถาน
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ หอพักเก่าๆ ไม่ได้มีความหมายมากพอที่จะจารึกไว้
เขาเดินขึ้นบันไดเหล็กขึ้นสนิม ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดกึงกังตามจังหวะฝีเท้า แน่นอน...เสียงฝีเท้าคนข้างหลังตามมาติดๆ เขาไม่สนใจ เดินตรงไปหน้าห้องก่อนไขกุญแจ ประตูเปิดออก เขาก้าวเข้าห้องอย่างปกติไม่รีบร้อน
เปิดประตูอ้าไว้ มนุษย์ฝนยังคงตามติด ยืนเฝ้าเขาอยู่หน้าห้อง
“จะเข้ามาไหม”
สิ้นเสียงสัญญาณ ร่างเปียกชื้นลอดตัวผ่านช่องแคบของประตูไม้ผุพัง
2
เขาเปิดไฟ แสงไฟสีส้มส่องแสงเจือจางอย่างอ่อนแรงตกกระทบวัตถุ เผยให้เห็นห้องแคบไร้เครื่องเรือน มีเพียงฟูกเตียงอยู่กลางห้อง และเครื่องคอมพิวเตอร์ทันสมัยอยู่ริมหน้าต่าง วางอยู่บนกล่องลังผุๆ เปื้อนเชื้อรา ข้างๆ กันนั้นมีกล่องพลาสติกอยู่สองสามกล่อง
“ไม่มีอะไรให้ปล้น” นอกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงนั้นแล้ว ไม่มีสิ่งมีค่าใดอยู่ในห้องอีก แต่ดูท่าว่าคนมาเยือนมิใช่โจร
คงเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน
“ถ้าอยากอาบน้ำก็เชิญ” ว่าพร้อมผายมือไปทางขวา ห้องน้ำเล็กๆ คับแคบถูกเบียดเสียดอยู่ในห้องกว้างเท่ารูหนู คนมาเยือนทำตามอย่างว่าง่าย ปลดเปลื้องชิ้นผ้าในตัวออกกลางห้อง เดินเข้าห้องน้ำไป
เสียงฝักบัวดังขึ้น
เจ้าของห้องปล่อยแขกไม่ได้รับเชิญจัดการตัวเอง ก่อนก้มมองถุงพลาสติกบรรจุของที่ตนต้องการในมือ
เขาหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมา ปล่อยถุงพลาสติกเปียกน้ำฝนลงพื้นอย่างไร้ค่า
กำเชือกป่านขนาดกำลังพอดีมือ พร้อมมองโคมไฟที่ตั้งใจให้เป็นจุดติดตั้งเชือกเส้นนี้
เขามัดเชือกป่านเป็นรูปห่วงตามที่จำมาจากคำสอนจากอินเตอร์เน็ต ห่วงเชือกขนาดพอดีลำคอ ส่งสัญญาณคล้ายเชิญชวนให้เขานำศีรษะมาลอดห่วง ติดตั้งมันไว้ที่โคมไฟกลางห้อง ขยับเอากล่องพลาสติกแทนเก้าอี้เตี้ย ปีนขึ้นไปพร้อมหย่อนตัวลงมา ถีบกล่องใสไร้ค่าไป ฝ่าเท้าลอยจากพื้น มีเพียงลำคอที่อยู่ติดกับเชือกแข็งแรง ร่างกายตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาอากาศ
ไม่นานชีวิตเขาก็จะดับไป
เสียงฝักบัวเงียบลง
แผนการของเขาคงเริ่มไม่ได้หากมีคนนอกอยู่เช่นนี้
3
สภาพแมวจรดูดีกว่าที่คิด เขาจ้องมองร่างกายเปลือยเปล่าของคนตรงหน้า ผิวกายขาวเนียน สว่างราวกับเป็นลูกผู้ดีจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ หมดจดไร้ตำหนิ ใบหน้าสวยหวานละมุนกว่าที่คิด เส้นผมสีอ่อนดูนุ่มราวเส้นไหม คลอเคลียระต้นคอ ดูท่าว่า เขาคงเก็บแมวพันธุ์ดีมาเลี้ยง
คนตัวเปลือยไม่ใส่ใจสภาพตัวเอง เดินดุ่มเข้าหาเตียงก่อนล้มตัวนอน เขาถอนหายใจ จำใจเปิดกล่องพลาสติกใบหนึ่งขึ้นมา คว้าจับเสื้อตัวแรกได้ก็โยนใส่ชีเปลือยที่ครองเตียงอยู่
“ใส่”
สิ้นเสียงคำสั่ง แมวจรรับฟังและทำตามอย่างไม่ขัดขืน ก่อนล้มตัวนอนต่อ
ดูท่า...เขาต้องรื้อเครื่องนอนออกจากกล่องอีกครา ทั้งที่ตั้งใจเก็บห้องทุกอย่างให้สะอาด เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อคนที่จะเข้ามาจัดการต่อ แม้ไม่เคยพบปะคนในหอหรือแม้แต่เจ้าของหอ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากรบกวนใครมากไปกว่านี้อีก ขอแค่จัดการเรื่องร่างไร้วิญญาณของเขาหลังจากนี้ก็พอแล้ว
จัดแจงเครื่องนอนเสร็จ เขาถอดเสื้อคลุมออก โยนไปที่ใดที่หนึ่งของห้อง ใครจะสน เจ้าของห้องเดินไปปิดไฟ ล้มตัวนอนอีกฝั่งของเตียง
4
แมวจรทำหน้าที่เป็นนาฬิกา ส่งเสียงท้องร้องเมื่อถึงเวลากินข้าว แม้ร่างกายไม่ขยับ แต่ไม่อาจฝืนห้ามกลไกในร่างกายได้ เจ้าของห้องจำใจออกจากห้องอีกครั้ง ครั้งนี้เพื่อไปหาซื้อเสบียงมาให้ผู้มาเยือน
เขาไม่กินได้ ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็ตั้งใจไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว แต่เขาไม่ได้ต้องการให้ใครมาร่วมอุดมการณ์ไปด้วย
กวาดอาหารในชั้นของกินลงในตะกร้า คำนวณปริมาณแล้วเท่านี้คงมากพอให้ไม่ต้องออกไปไหนไปหลายอาทิตย์ แมวจรคงไม่เรื่องมาก เขาเดินไปจ่ายค่าอาหารแห้ง เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา
กลับมาที่ห้อง แมวจรยังคงนอนแช่อยู่บนเตียง สวมเสื้อตัวเดิมของเขาเพียงตัวเดียว ตัวเดิมกับที่เขาโยนให้เมื่อวาน เสื้อตัวใหญ่กว่าเจ้าของร่างกาย กระนั้นก็ยังปกปิดไม่ได้มิดชิด เรียวขาและบั้นท้ายโผล่พ้นนอกเสื้ออย่างที่เจ้าของร่างกายไม่ใคร่สนใจอะไร
เขาโยนเสบียงไว้กลางห้อง
“กิน”
แน่นอน เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเช่นกัน
5
แมวจรทำหน้าที่เป็นปฏิทิน รู้ตัวอีกที เวลาก็ผ่านไปจนอาหารที่เขาซื้อมาตุนหมดเสียแล้ว น่าจะไม่ถึงอาทิตย์ เหตุเพราะแมวดื้อไม่ยอมทานหากเขาไม่ร่วมทานด้วย
เขาออกไปซื้ออาหารใหม่อีกครั้ง
นำกลับมาเลี้ยงคนตัวขาวในห้อง ที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เพียงแต่ยอมเลี้ยงไว้เผื่อในอนาคตได้ใช้งาน เช่นว่าเป็นคนนำร่างเขาไปฝัง
ฝนหยุดตกนานแล้ว คนจรไม่มีทีท่าว่าจะออกไป เขาเองก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร ไม่คิดต้องการจะรู้ที่มาหรือเหตุผล หรือสัมภาษณ์ดังการทำโครงงานไร้สาระ
อยากอยู่ก็อยู่ อย่างไรเสีย ชีวิตนี้ก็ไม่ได้มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษเหลืออยู่แล้ว ปล่อยให้ร่างจรจัดนี้เป็นสิ่งบันเทิงครั้งสุดท้ายในชีวิตจะเป็นไร
ในห้องหับคับแคบ มีสองชีวิตสื่อสารกันด้วยความเงียบ เขาจำใจเปิดคอมพิวเตอร์คู่ใจอีกครั้ง หากต้องอยู่ต่อ ชีวิตก็ต้องใช้เงิน และเขาหาเงินได้จากช่องทางนี้
ส่วนอีกร่าง เขารื้อกล่องลังผุๆ เปิดหาหนังสือเก่าๆ ที่เก็บไว้ข้างล่างสุดออกมา ยื่นมันให้เพื่อนร่วมห้องคนใหม่
ต่างคนต่างใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อยู่เหมือนไม่อยู่ ไม่อยู่เหมือนอยู่
ต่างคนต่างอยู่คนละโลกของตัวเอง
ให้ความเงียบเป็นสื่อกลาง
ห้องว่างเปล่าในตอนนี้เริ่มมีข้าวของมากขึ้น
6
เขาเรียนรู้มันจากความเงียบ มันไม่ส่งเสียงร้องอะไรสักนิด ยกเว้นเมื่อตอนท้องว่าง นาฬิกาชีวิตมันจะทำงาน ส่งเสียงครางออกมาบ่งบอกให้เขารับรู้
มันแทบไม่ขยับตัวนอกจากอ่านหนังสือที่เขาให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จมดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเอง
มันไม่เคยร้องขออะไรเลย ใบหน้าสวยเพียบพร้อมด้วยร่างกายสมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งตำหนิ งดงามเกินกว่าจะเป็นเรือนร่างของผู้ชาย มันไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย แม้แต่ตอนที่เขาต้องการเสพสังวาสกับมัน มันก็ไม่ร้องปฏิเสธ
ไออุ่นจากร่างกายคนอื่น เขาไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
เขาเรียนรู้มันจากไออุ่นของร่างกาย
จังหวะรักของเขากับมันเข้ากันได้ดีเกินกว่าที่คิด
ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่เสียหาย
7
ร้อนรุ่ม รุนแรง ร่างกายสองร่างโรมรันกันอยู่บนฟูกเตียง กลิ่นเหงื่อไคลคละคลุ้ง เหนือสิ่งอื่นใด การร่วมรักแบบมิใช่คนรักกลับขับกลิ่นกามอารมณ์เข้มยิ่งกว่าสิ่งไหน
เขาสอดแก่นกายเข้าไป ให้อีกฝ่ายสวมรับมันไว้ แก่นกายผงาดขึ้นอีกเมื่อถูกสวมใส่ ท่อนเนื้อถูกบีบรัด กระตุกอารมณ์กามให้พุ่งขึ้นสูงแทบคลั่ง ขยับตัว เร่งจังหวะ เคลิบเคลิ้มไปกับห้วงตัณหา ห้องหับที่เคยเงียบงันถูกจู่โจมด้วยเสียงครวญสุข ต่างฝ่ายต่างโหยหาซึ่งกันและกันราวกับสัตว์ป่า
กระทุ้ง ดุนดัน แทรกสอดให้ลึกขึ้นไปอีก เชื่อมต่อกันราวกับโซ่ตรวนที่ฟันไม่ขาด อารมณ์กามราวกับสุนัขโหยหาอาหาร ไม่มีใครคิดหยุดยั้งการกระทำ ทุกท่วงท่าถูกใช้ขึ้นมาเท่าที่สภาพร่างกายและสิ่งแวดล้อมจะเอื้ออำนวย รอบแล้วรอบเล่า โรมรันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
จุมพิต ลากนิ้ววนไปทั่วแผ่นหลัง ผลัดกันปรนเปรอมอบความสุขให้กัน ร่างกายกระตุกปลดปล่อยน้ำกามออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่พอ มากยิ่งขึ้นไปอีก จนกว่าคนใดคนหนึ่งจะหมดแรง
แน่นอน ไม่ใช่เขาแน่ที่หมดแรงก่อน
8
รู้ตัวอีกทีเขาก็เลี้ยงแมวจรตัวนี้ไว้นานเกินไปแล้ว แมวจรไม่ทราบชื่อ ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่พูด ไม่กระทำ ราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบสวยงาม ตั้งอยู่อย่างไร้ชีวิตอยู่ ณ มุมห้องอับชื้น ช่างเสียของ
เขาออกจากห้องไป ไม่ใช่เพราะออกไปซื้ออาหารเหมือนทุกที
แต่ออกไป เพราะเขารู้ว่ากำลังเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเอง
อันตรายที่มีชื่อเรียกว่าความสัมพันธ์
9
เขากำลังเกิดความสัมพันธ์กับผู้มาเยือน แน่แท้ เขาหวาดกลัว วิตกกังวล ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัดได้ซึ่งทุกความสัมพันธ์ในชีวิตแล้ว เหตุใดตนถึงยอมให้เกิดความสัมพันธ์ใหม่นี้ขึ้นมาอีก เวลาที่ใช้ร่วมกับแมวจรตัวขาวในห้อง กำลังทำให้แผนการไปโลกอีกใบของเขาพังทลาย
เขาจะกล้าทิ้งให้มันอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร มันที่ไม่มีความสามารถในการใช้ชีวิตภายนอกเอาเสียเลย
ในวันนั้น เขาเดินวนรอบเมือง ขบคิดเรื่องคนตัวขาวในห้องทั้งคืน
ไม่ได้คิดถึงจิตใจของตุ๊กตากระเบื้องเคลือบไร้ค่าแม้แต่เสี้ยวเดียว
10
จากที่คิดว่ามีเพียงร่างกาย ไร้ซึ่งจิตใจ แน่แท้เขารู้ว่ามันไม่ใช่ คนตัวขาวรับรู้ความรู้สึกของเขาได้ และมีความรู้สึกเป็นของตัวเอง แต่ไม่ใคร่ที่จะแสดงออกมา
ไม่เคยที่จะแสดงออกมา
จนเขาคิดว่ามนุษย์ตนนี้ได้ตายเสียแล้ว ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ มีเพียงร่างกายเปลือยเปล่า
หากเพราะตุ๊กตาไร้ชีวิต ไม่เคยสื่อสารกับเขาด้วยวิธีไหนๆ ในตอนนี้เมื่อเขากลับเข้าสู่ห้องเก่าห้องเดิม มันกลับหลั่งน้ำตา
มีเพียงหยาดน้ำตาที่มันแสดงออกมาได้ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่แสดงถึงความรู้สึก
ซากไร้ชีวิตพูดกับเขาด้วยน้ำตา
หยดน้ำตาคล้ายกับหยาดน้ำฝน น้ำตาไหลรินอาบแก้มนวล ดั่งหยดฝนชโลมไปทั่วร่างกาย ท่ามกลางแสงอาทิตย์อบอุ่นเขาเหน็บหนาว ยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ แค่เห็น ใจก็แทบสลาย
ไม่มีคำพูดเช่นเก่า มีเพียงร่างเนื้อที่เขาคิดว่าไร้ชีวิตพุ่งเข้ามาสวมกอด มอบไออุ่นให้ร่างกายเขา พร้อมกับเสียงสะอื้นฟูมฟายที่ไม่เคยได้ยิน
เรียนรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จัก
เขาโอบกอดร่างตรงหน้า
เจ้าของชีวิตที่ต่อเติมลมหายใจให้เขา
หนึ่งชีวิตที่ทำให้เขาต้องการจะอยู่ในโลกใบแรกให้นานขึ้นอีกสักหน่อย
บัดนี้ เขาค้นพบแล้วถึงความหมายของชีวิต
11
“ไม่ไปไหนแล้ว”
คนร่วมห้องยังคงไม่เชื่อ มันยังคงเกาะตัวเขาไม่ปล่อย พันแข้งพันขาราวกับกลัวเขาจะหนีมันไปอีก มันไม่เชื่อคำพูดของเขาเสียแล้ว
“จริงๆ”
แม้ตอกย้ำเพียงไหน คำพูดก็เป็นเพียงเสียงลมพัดผ่าน มันยังคงพันอยู่รอบตัวเขาอย่างนั้น
เขาไม่เคยอยากรู้จัก เพราะหวาดกลัวว่าหากต้องรับรู้ชื่อของอีกฝ่ายแล้วเขาเกรงว่าจะผูกสัมพันธ์ไปมากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ใครเล่าจะสน ในเมื่อเขาตั้งใจจะเรียนรู้ชีวิตของคนตรงหน้านี้ให้มากขึ้นอีกหน่อย เพื่อต่อเติมชีวิตของตัวเองให้ยาวนานยิ่งขึ้น
เอื้อนเอ่ยถามชื่อคนตรงหน้า
เชือกป่านเมื่อครานั้นถูกใช้เป็นราวแขวนผ้า
end
✖ ✖ ✖ ✖ ✖ ✖
ขอบคุณสำหรับคำทักท้วงเรื่องชื่อเรื่องค่ะ เราพิมพ์ตกเอง แก้แล้วเรียบร้อยค่ะ^^
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ