^
^
ไม่ลงพุงเว้ย
***
Part 12 (ฟังเพลงด้วยนะครับ)
ไอ้ซันจ้องตาผมสักพัก แล้วพลิกตัวลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะใกล้ๆ …โทรศัพท์เครื่องสีดำสั่นจนหมุนเป็นวงกลมพร้อมกับเสียงเพลงเป็นจังหวะเบาๆ ผมเองก็ลุกขึ้นนั่ง สายตามองไปยังทุกการกระทำของอีกฝ่าย…
มันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองดูหน้าจอ… แล้วถอนหายใจ ตาคู่นั้นเหลือบมาที่ผม
‘ครับแนท’ มันหยิบมือถือขึ้นแนบหู และเอ่ยทักทายคนปลายสาย… คนที่ผมเดาไม่ผิดว่าจะต้องเป็นเค้า
‘….’
‘ได้ อยู่บ้านแม่เหรอ…อืม โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าบ้านครับ’
‘….’
‘อืม ผมก็มีเรื่องจะคุยกับแนทเหมือนกัน เจอกันพรุ่งนี้นะ…ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ’
การสนทนาสั้นๆ จบลงภายในเวลาไม่กี่นาที…ผมลุกขึ้นมานั่งหัวเตียงแล้ว แต่สายตาก็ยังคงจ้องไปที่ไอ้ซัน… เมื่อมันวางสายเรียบร้อย พร้อมกับวางโทรศัพท์กลับที่ของมัน ก็เดินมาที่เตียง พร้อมกับหยิบเสื้อที่วางกองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวมหัว ผมมองสิ่งที่มันทำอย่างงงๆ
‘มีอะไรรึเปล่า?’ ผมถาม…เริ่มยันตัวขึ้นจากเตียง
‘ไม่มีอะไร ‘สำคัญ’ หรอก… แค่โทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้เข้ามาหาที่บ้านแม่ มีเรื่องจะคุย’ มันเน้นคำว่าสำคัญ แล้วเสตามองมาที่ผมเหมือนประชดประชัน แต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘ไปไหน…’ ผมรีบถามเพราะเห็นมันทำท่าจะเดินออกไปจากห้องนอน
‘ห้องน้ำ’
เสียงตอบกลับโดนที่ไม่ได้หันหน้ามามองยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี… มันเดินออกจากห้องไปแล้ว พร้อมกับเสียงปิดประตูเบาๆ ผมยังไม่เข้าใจว่าไอ้ซันมันเป็นอะไร มันโกรธผมรึเปล่านะ… อะไรวะ กูไม่ได้ทำไรผิดซักหน่อย ก็แค่บอกว่า… แนทอาจจะโทรมา? มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ หรือที่มันโกรธเพราะไม่ได้… เฮ้ออออ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว แม่มเอ้ยยย ไม่เข้าใจเว้ยยย
ผมนอนกลิ้งอยู่บนเตียงแบบนั้นเพื่อรอมันกลับมา… เวลาผ่านไปนานขึ้นเรื่อยจนผมมั่นใจว่าเกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้วก็ยังไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะเปิดประตูห้องเข้ามา เลยตัดสินใจลุกขึ้น หยิบเสื้อมาใส่บ้าง …บ่นเบาๆ กูอุตส่าห์นอนโป๊รอ เพราะกะว่ากลับมาจะได้… ฮึ่ย หายไปไหนของมันวะ
ว่าแล้วก็ค่อยๆ ย่องออกจากห้อง มองซ้ายมองขวา… เอ๊ะ แล้วทำไมต้องทำเหมือนมีความผิดด้วย นึกขึ้นได้เลยถอนหายใจแล้วเปลี่ยนไปเดินแบบปกติ ไหนบอกอยู่ห้องน้ำ ไฟยังคงดับอยู่ ผมมองเข้าไปข้างใน…ไม่มี…
‘หายไปไหนวะ’
อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงจาม ฮัดเช้ยย เสียงดังออกมาจากที่ไหนซักแห่ง… เล่นเอาสะดุ้งกันเลยทีเดียว ผมรีบมองหาต้นเสียง แม้เป็นเพียงเสียงจามแต่ผมก็จำได้ว่ามันเป็นของใคร… และแล้วก็ได้คำตอบ เมื่อผมมองผ่านประตูกระจกใสแผ่นใหญ่ออกไปที่ระเบียง ผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อย้วยๆ กับกางเกงขาสั้นบางๆ ยืนเกาะราวระเบียง มือข้างนึงถูจมูกตัวเอง สายตายังคงจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าสีเข้มและแสงสีสวยงามส่องสว่างไสวของตัวเมือง
ผมเดาว่าข้างนอกจะต้องหนาวและลมแรงมากๆ เพราะสังเกตจากผมมันที่โดนลมพัดจนยุ่งเหยิงไปหมด… แล้วไหนจะอาการสั่นหงึกๆ นั่นอีก ไอ้บ้าเอ้ย…
ผมค่อยๆ เดินไปเลื่อนบานกระจกเปิดออก เสียงดังครืดทำให้อีกฝ่ายหันหน้ามา…
‘เข้ามาข้างในเถอะ’ ผมบอก พร้อมกับยิ้มให้
‘อีกแป๊บนึง ไปนอนเถอะ ง่วงไม่ใช่เหรอ’ น้ำเสียงเรียบๆ ของมันแฝงด้วยอาการตัดพ้อเล็กๆ ที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ… ผมไม่ตอบ แต่เดินออกข้างนอกระเบียง แล้วยืนข้างๆ มัน สองมือยกขึ้นกอดอกเพราะตรงนี้อากาศมันหนาวจริงๆ ครับ นอกจากจะอยู่สูงแล้วช่วงนี้กรุงเทพยังหนาวอย่างประหลาดเล่นเอาผมขนลุกซู่เลยทีเดียว
‘ออกมาทำไม ไปนอนซะ’ ไอ้ซันพูด…มือมันผลักหัวผมแบบเล่นๆ เป็นเชิงให้กลับเข้าไปในห้อง แต่ผมต้านเอาไว้ พร้อมกับดึงมือมันมากุมแก้หนาว
‘ไม่เอา…ไม่นอนคนเดียว’ ผมบอกตามตรงแบบไม่ได้คิดอะไร แล้วหันไปมองวิวของเมืองกรุงยามค่ำคืน…กว้างและสวยงาม
‘…เข้าข้างในเถอะ เดี๋ยวไม่สบายนะ’ อีกฝ่ายพูดเพราะเห็นว่าผมเริ่มจะสูดน้ำมูกฟืดๆ แต่ผมไม่ทำตาม ยังยืนดื้ออยู่แบบนั้นไม่สนใจอาการร้อนรนของคนข้างๆ ยิ่งแกล้งทำเป็นจามเท่าไหร่ มันยิ่งกระตุกแขนเป็นเชิงเตือน ส่วนผมเหรอ… ยิ่งเห็นปฏิกิริยาแบบนี้ยิ่งสนุกน่ะสิ เลยแกล้งทำเป็นตัวสั่นนิดๆ กอดอกตัวเองแน่น ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้หนาวอะไรมากมาย เกิดเมืองหนาว อยู่เมืองหิมะมานาน กะแค่ลมเย็นหน้าหนาวของกรุงเทพไม่ได้ระคายผิวผมแม้แต่น้อย
ในที่สุดไอ้คนข้างๆ มันก็ตกหลุมพราง… ทนไม่ไหว ถึงกับต้องลากผมเข้ามาในห้อง พร้อมกับตัวมันด้วย พอเข้ามาข้างในปุ๊ป ไอ้ซันก็รีบปิดประตูกระจกแล้วกอดผมทันที
‘หนาวมั้ย’ มันถามที่ข้างใบหูผม
‘นิดหน่อย’ ในใจคิด… แต่ตอนนี้อุ่นขึ้นเยอะเลย
‘เฮ้ออ บอกให้เข้ามาก็ไม่เชื่อ’ มันยังบ่นไม่เลิก มืออุ่นนั่นลูบหน้าลูบหลังผมราวกับจะช่วยให้ร่างกายปรับอุณหภูมิสูงขึ้น
‘ก็ออกไปก่อนทำไมล่ะ…ทำไมไม่ยอมเข้าห้อง’
ไร้คำตอบ มีเพียงเสียงลอบถอนหายใจเล็กจากคนตรงหน้า… อ้อมกอดนั่นที่รัดดูเหมือนจะกระชับแน่นขึ้นอีกหลายเท่า ผมเองก็เงียบเพื่อรอฟังเหตุผล…
‘โกรธไรกูอ่ะ’ ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ชิ่งถามก่อน ถ้ารอมันพูดเองเห็นทีคืนนี้คงไม่ได้รู้
‘…เปล่า’
‘อย่ามาโกหก ไม่โกรธทำไมต้องหนีกูออกมานอกห้องด้วย แถมยังทำเสียงเย็นชาอีก’ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ครับ… ปกติเวลามันพูดจะไม่ดูเฉยๆ แบบนี้ เลยทำให้ผมใจหายพิกล
‘เฮ้ออออ’ ไอ้ซันถอนหายใจอีกเฮือก
‘มาร์ช…กูดูพึ่งพาไม่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอ’ คำถามของมันเล่นเอาผมอึ้งและงงงวย…จนต้องดึงหน้าตัวเองออกจากไหล่มันมามองดวงตาสีเข้มที่เยิ้มไปด้วยน้ำสีใสและเจือความกังวล
‘…มะ หมายความว่าไง’
‘ตลอดเลย… ตั้งแต่ที่หนีกูไปเมกาทีนึงแล้ว… รู้มั้ยตอนนั้นกูเจ็บขนาดไหน ถึงมึงจะกลับมา ถึงมึงจะบอกว่ารักกู แต่ทุกการกระทำของมึง… ทำให้กูไม่เคยไว้ใจ’
ผมยืนฟังนิ่ง…ไม่ไว้ใจ?
‘ทำไมต้องทำเหมือนกับว่ามึงพร้อมที่จะไปจากกูเมื่อไหร่ก็ได้’ น้ำเสียงสั่นเครือที่ท้ายประโยคของมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าโดนขวานจามที่หัวใจอย่างแรง…
‘ก..กูเปล่า’
‘ทำไมมาร์ช…ทำไมมึงชอบผลักไสให้พวกเราออกห่างกัน กูผิดอะไรเหรอ… รักมึงไม่พอใช่มั้ย กูเป็นคนเลวใช่มั้ย’
ถึงตอนนี้ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว… ผมไม่รู้ ไม่รู้เลยว่าไอ้ความคิดบ้าๆ ของผมที่โทษตัวเองมาตลอด โทษตัวเองเรื่องแนทว่าถ้าไม่ใช่เพราะตัวเรา ทั้งแนทและซันเองก็คงมีความสุข ผมรู้สึกผิดที่ต้องทำลายชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง และพยายามทำตัวเข้มแข็งถ้าต้องเสียคนๆ นี้ไป… แต่ไม่รู้เลยว่า มันมันไม่ได้ส่งโทษให้เฉพาะตัวเองเท่านั้น…
‘ไม่ใช่…ไม่ใช่ เพราะกูเอง ขอโทษ…ขอโทษนะ’ ผมลูบหน้าลูบตามัน พร้อมกับช่วยเช็ดหยาดน้ำใส่ที่ไหลร่วงลงมาเงียบๆ
‘ต้องให้กูวิ่งตามมึงอีกเท่าไหร่มาร์ช…ในเมื่อมึงพยายามวิ่งหนีกูต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ กูรู้สึกว่าบางครั้งเหมือนมึงอยู่ใกล้เหลือเกิน … แต่ในบางครั้งก็เหมือนมึงอยู่ไกลแสนไกล ไกลจนกูเข้าไม่ถึง…’ มันพูดเสียงพร่า มืออุ่นสองข้างนั้นจับที่มือผมแน่น ประทับจูบลงเบาๆ
‘…ฮึก ขอโทษ’ ผมไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาอธิบายให้มันไม่รู้สึกอย่างนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ…ไม่ได้ตั้งใจให้มันรู้สึกไม่ดี ครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าความคิดสับสนของตัวเองส่งผลกระทบคนข้างๆ อย่างจัง
‘มึงรักกูบ้างมั้ยมาร์ช?’ อีกฝ่ายจ้องลึกเข้ามาในแววตาผม
‘ซัน…กูขอโทษ กู…กูไม่รู้ กูไม่เคยมีความรัก ถึงเคยผ่านอะไรในชีวิตมามากมาย แต่ก็ไม่เคยชอบใครจริงๆ จังๆ …กูไม่รู้ว่านี่…เรียกว่าความรักได้มั้ย แต่ที่รู้คือกูรู้สึกดีทุกครั้งที่มึงอยู่ใกล้ๆ… เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้รับจากใคร เพราะไม่คิดว่าคนอย่างกูสมควรได้รับเลยสักนิด…’
ผมพูดไป….น้ำตาก็ไหลไป ทำไมมันเจ็บแบบนี้…
‘ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงจริงๆ กูรู้สึกเหมือนกำลังหลงทาง หันซ้ายก็เจอกำแพง ขวาก็ไม่มีทางออก ….ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องเดินกลับไปจุดเริ่มต้น หรือต้องก้าวต่อไปข้างหน้าโดยที่ไม่รู้ว่าจุดหมายคืออะไร ต้องเจออะไรน่ากลัวบ้าง…ทุกอย่างตอนนี้มันดูไม่แน่นอนไปหมด…กูอยากรักมึงนะ… แล้วก็ไม่อยากรักมึงด้วย เพราะถ้าวันไหนต้องเสียมันขึ้นมาอีก…’
‘ซัน…กูกลัว’
ผมรู้สึกถึงอ้อมกอดอีกฝ่ายกระชับแน่น…รวมถึงผมที่สนองกลับ ใบหน้ากลับมาซุกไหล่กว้าง ควานหาความอบอุ่นและมั่นคง ผมไม่เคยรู้สึกเกลียดการเป็นมนุษย์มากเท่าตอนนี้เลย… ที่พยายามทำตัวเย็นชาและออกห่างจากผู้คน ไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ไปยึดติดกับสิ่งนั้นๆ มากจนเกินไป ถึงเหงาก็ไม่เจ็บเท่าการสูญเสีย ยิ่งถ้าต้องเสียไปทั้งๆ ที่รักมาก…ผมคงทนไม่ได้ มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
สู้ไม่มีความรู้สึกไปเลยเสียยังดีกว่า…
‘มาร์ช…’ อีกฝ่ายดึงผมออกจากซอกคอตัวเอง แล้วเช็ดน้ำตาให้
‘กูขอโทษที่รู้สึกลังเลมาตลอด… เพราะในชีวิตกูไม่เคยได้รับความได้รับอะไรแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับมันยังไง… อย่าบังคับให้กูเลือก… เพราะกูไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเลือกอะไร ทุกครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองเลือกไปแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว… แต่ก็มักกลับมาคิดว่ามันดีแล้วเหรอตลอด กูไม่อยากทำให้ใครเจ็บอีกแล้ว ซัน…ถ้ามึงไม่อยากเจ็บ มึงก็ไม่ควรมาจมปลักกับไอ้คนเลอย่างกู…มึงมีสิทธิ์เลือกนะ’
ผมรู้สึกว่าความลังเลและสับสนของผมคงไม่มีวันจบสิ้นจริงๆ เพราะชีวิตทั้งชีวิตที่เพาะบ่มมาให้ผมกลายเป็นคนแบบนี้เสียแล้ว จะให้แก้กันเพียงข้ามคืนมันเป็นไปไม่ได้
ทำไปแล้ว… หลายครั้งที่ผมถูกบังคับให้เลือก ตอนนี้…ผมเสนอทางเลือกให้อีกฝ่าย และพร้อมที่จะรับมัน …พร้อมที่จะกลับไปหาเพื่อนตายที่ไม่ยอมจากผมไปเสียที… “ความเหงา”
‘พูดอะไรโง่ๆ’ ผมนิ่ง…ก้มหน้าเตรียมรับชะตากรรม
‘มึงนี่นอกจากจะโง่แล้วยังขี้ลืมไม่เปลี่ยน ไอ้ขี้แย…ไอ้อ่อนแอ… ไอ้โลเล…’
‘กูเลือกแล้ว .. เลือกตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคนๆ นี้… ถามจริงเหอะ ชาติที่แล้วมึงโดนกูทำอะไรให้เจ็บแค้นใช่มั้ย ชาตินี้ถึงได้ตามมาหลอกมาหลอนกูไม่เลิก…’
ผมเงียบ… รอฟังว่ามันจะพูดอะไร ในสมองเริ่มสับสนขึ้นอีกครั้ง
‘หลอกให้กูรักมึงอยู่ได้…ไอ้ตัวแสบ’
อยู่ๆ ก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาที่หน้าผาก… เปลือกตา ปลายจมูก และริมฝีปากที่สั่นระริก… ไอ้ซันลากปากนิ่มๆ ของมันไปตามใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของผม พร้อมกับพร่ำบอกว่า ‘รัก’ ทุกพื้นผิวที่สัมผัสผ่าน… มันอุ่นวาบเข้ามาถึงขั้วหัวใจ ผมไม่เคยรู้สึกถึงคำว่า ‘รัก’ ได้มากเท่าครั้งนี้เลย…
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมพยายามบอกให้เค้าเลือกคนอื่น
ไม่ว่ากี่ครั้งที่การกระทำและคำพูดของผม ทำให้เค้าเสียใจ
ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมทำร้ายเค้า
แต่คำว่า “รัก” ก็ยังคงออกมาจากปากคนๆ นี้…ไม่เคยขาด
ผมสนองอีกฝ่ายด้วยการจูบตอบเบาที่ริมฝีปากนุ่ม… เมื่อผละออกมา ทำอะไรไม่ถูกได้แต่เม้มปากตัวเองแน่น สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ
‘อย่ากลัวไปเลยนะ เพราะจากนี้ ตั้งแต่วันนี้…เราจะเดินไปด้วยกัน เมื่อใดที่รอบกายมันมืดและน่ากลัว อย่างน้อย มือข้างนี้…’ ไอ้ซันกำมือผม แล้วยกขึ้นจูบเบาๆ
‘จะจับไว้ไม่ให้ห่างเสมอ’
ผมโผเข้าหาร่างอีกฝ่าย สองมือกอดก่ายแน่น ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายอีกต่อไป… ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลมันพุ่งทะยานและตื้นตันจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก สิ่งที่ผมทำได้อย่างเดียวตอนนี้คือ.. กอดไอ้คนข้างหน้านี้ให้แน่น
ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากอ้อมกอดที่เติมเต็มให้กันและกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น…http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2C04G0PB0&Autoplay=0ในโลกที่มี ความวกวน
ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
ที่สับสน ร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ
ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร
แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
ในอุปสรรค ที่มากมาย
ในความหวาดหวั่น ที่วุ่นวาย
และอนาคต ในปัจจุบัน และอดีต
ในความเป็นจริงที่ต้องเจอ
แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
แต่ฉันรู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใครๆ
แต่ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่กับฉัน