C h a p t e r 0 6เสียงนาฬิกาปลุกดังเป็นทำนองสูงต่ำตามตัวโน้ต แอร์เย็นฉ่ำ แต่ปวดร้าวทั่วหลัง ดวงตาพร่าเลือน เห็นเพียงความมืดเข้าปกคลุม เมื่อขยับตัวยืดปรับม่านตา อาศัยแสงรำไรที่ลอดจากผ้าม่านสีน้ำตาลเข้ม หนาทึบ ก็พอรู้ว่าเช้าวันใหม่มาเยือน
ไม่ได้กลับบ้าน เมาเละเป็นหมา เดินกอดกันกลมจากชั้นดาดฟ้าลงมาชั้นสองที่เป็นห้องทำงาน ยังพอมีสติที่จะรื้อผ้าห่มกับหมอนมาคลุมกาย ไม่ได้อาบน้ำ ก่ายกันจนหลับไปทั้งคู่ ความทรงจำผมมาๆ หายๆ แต่เรื่องราวเป็นประมาณนี้ไม่ผิดแน่ เสื้อผ้าอยู่ครบ ไม่มีการเมาแล้วได้เสียเหมือนนิยายสมัยก่อน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นผมจำไม่ได้แล้ว รู้แค่ตอนนี้ปวดหัวชะมัด
กระดาษโน้ตใบเล็กๆ ถูกวางทิ้งไว้ เป็นคำอนุญาตจากหุ้นส่วนร้านให้เปิดตู้เย็นหาอะไรรองท้องได้ พี่ธามมีงานตั้งแต่เช้าตรู่ รีบออกไปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่มาทักทาย ผมเองก็ด้วย ถึงอยากจะนอนแอ้งแม้งแค่ไหนแต่ใจยังพะวงถึงสิ่งมีชีวิตอีกตัวที่บ้าน ป่านนี้คงชะเง้อคอมองตาละห้อยตั้งแต่เมื่อคืน โชคร้ายของหมา มันไม่มีโทรศัพท์ ไม่สามารถอ่านข้อความได้ การรอคอยโดยที่ไม่รู้อะไรคงสร้างบาดแผลให้มันพอสมควร ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ผมไม่ค่อยทิ้งไว้แบบนี้
แต่โทษที เป็นกฎของโลกที่เราอยากได้อะไรก็ต้องรู้จักลงทุน ถ้าไอ้เหลืออยากมีเจ้านายอีกคนไปพะเน้าพะนอ ซื้อขนมราคาแพงไปให้ก็ต้องสละเวลาของผมมาหลอกล่อนายใหม่มาบ้าง
นึกถึงตรงนี้แล้วขำ ทำไมพูดเหมือนตัวเองเริ่มจริงจังกับพี่ธามไปได้ก็ไม่รู้
เสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์คันเดิมเรียกหูที่ตกลู่ของสุนัขพันทางให้ยกชู มันโหยหวนสลับกับเสียงเห่าที่แหบต่ำ ผมไขกุญแจบ้าน ตั้งรับการกระโจนของเพื่อนซี้สุดแสบแทบไม่ทัน บุญเหลือวิ่งวนรอบตัว ใช้จมูกสีดำดมฟุดฟิดไปตามร่างกาย
“ไง ได้กลิ่นใครเหรอมึง”
ก้มลงไปกอดให้กลิ่นของพี่ธามชัดขึ้นในจมูกมัน หัวเราะกับท่าทางดีใจ แววตาที่ซื่อสัตย์ ว่ากันว่าคนกับสัตว์เลี้ยงจะนิสัยคล้ายกัน ผมเป็นมิตร อัธยาศัยดี แต่ก็ซื่อสัตย์ อย่างน้อยก็ซื่อสัตย์กับตัวเองว่าก่อนหน้านี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่คิดจะคบหาจริงจังได้เลย ไม่รู้ว่าไอ้เหลือมันเจ้าชู้ กะล่อนหรือเปล่า แต่คำบอกเล่าของพี่จิ๊บชอบพูดถึงผมในทำนองนั้นบ่อยๆ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าไอ้เหลือก่อนโดนตัดจู๋ก็ต้องเป็นหมาเพลย์บอยตัวหนึ่งเหมือนกัน
นั่งเล่นฟัดกับมันเต็มอิ่ม ซื้อตับย่างมาฝากด้วยสองไม้ ผมเทอาหารเม็ดให้มัน ขยี้หัวไปอีกทีแล้วเข้าบ้านมาจัดการตัวเอง บ่ายวันนี้มีนัดถ่ายรูปรับปริญญานอกรอบกับน้องไอติม เน็ตไอดอลอันดับต้นๆ ในโลกโซเชียล บอกแล้วผมเล่นทุกอย่างแหละ ตามทันหมด อายุ 25 ยังไม่นับว่าแก่นี่ครับ
“เหลือ เดี๋ยวค่ำๆ กลับมา วันนี้เฝ้าบ้านนะ”
มันทำตาละห้อยเมื่อผมหยิบกุญแจรถ น่าสงสาร “ไม่ทิ้งหรอกน่า ถ้าเย็นๆ พี่ธามว่างจะไปลักพาตัวมาเล่นด้วย โอเคไหม” ไอ้นิสัยคุยกับหมานี่ก็ด้วย เมื่อก่อนไม่ชอบแท้ๆ แต่พอเลี้ยงแล้วกลายเป็นพูดภาษาหมารู้เรื่องเฉย ผมลูบหัวมันอีกครั้งส่งท้าย บุญเหลือยังคงร้องหงิง อย่าด่าผมว่าอยากเลี้ยงหมาแต่ไม่มีเวลาให้เลยนะ ไอ้เหลือมันเหมือนกาฝาก อีกาข้างบ้านมาไข่ให้ผมฟูมฟักทุ่มเทให้เท่านี้ก็ดีแค่ไหนเชียว
แดดตอนเที่ยงกว่าร้อนจัด เป็นเรื่องที่ดีของตากล้องและงานวันนี้ ไม่มีเมฆ ถ่ายภาพง่าย ผมจอดมอเตอร์ไซค์คันเก่งไว้ในลานสำหรับรถประเภทเดียวกัน ไอ้เดี่ยวไม่ว่างมาช่วยถือเอฟเฟคต์ แต่มีน้องที่คณะหลายคนอยากมาด้วย ผมยังติดต่อรุ่นน้องบ้าง เฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูปจริงๆ สุดท้ายก็ได้คนหนึ่ง อยู่ปี 4 เรียนจบแล้วจะชวนมาทำงานด้วยกัน เพียงแต่วันนี้มันขอตามมาสักบ่ายสองหลังจากกินมื้อเที่ยงกับอากงที่ป่วยหนักก่อน
ผมนัดนางแบบไว้ล่วงหน้าเพื่อสรุปบรีฟครั้งสุดท้าย ดังนั้นเมื่อมาถึงเลยโทรหาน้องไอติมเป็นอันดับแรก ไม่นานก็รับสาย นัดแนะกันไว้ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถบนั้น ใช้เวลาไม่นานมากก็หากันจนเจอ ผมคุ้นหน้าเธอ ไม่ค่อยได้คุยเป็นการส่วนตัว แน่ล่ะ เวลาให้หมายังไม่มีจะให้ไปตอบแชทเป็นกิจวัตรกับสาวน้อยหน้าแฉล้มได้ยังไง ถึงอยากแค่ไหนก็เถอะ
“พี่แซคตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวาน ขาวสวยหมวยเอ็กซ์สเป็คในฝัน ถ้าไม่ถูกนิธานทำลายไปเมื่อหลายวันก่อนน่ะนะ “แต่จริงๆ ติมเคยเห็นพี่ตามงานอีเวนท์บ่อยๆ นะคะ แค่ไม่มีโอกาสได้คุย โชคดีจังเลยที่พี่รับงานนี้ ได้ยินมาว่าหลังๆ ไม่ค่อยรับงานนอกแล้ว”
“ก็รับบ้างค่ะ แต่ต้องไม่ให้เสียงานประจำ อีกอย่างติมเป็นเพื่อนเจเรมี่ด้วยนี่”
“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอเลยค่ะ ล่าสุดก็เมื่อสามสัปดาห์ก่อน”
“พี่เพิ่งเจอเมื่อสัปดาห์ก่อนเอง แวะไปที่ร้านสิ”
“ติมไม่ว่างเลยน่ะสิคะ” นิ้วเรียวเกี่ยวผมตัวเองม้วน ปากกระจับเล็ก เคลือบด้วยลิปสติกสีสวยแต่ไม่เย้ายวนมากเท่าริมฝีปากที่ผมจรดจ้องตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา “เมื่อเช้าก็เพิ่งเป็นแบบให้พวกตากล้องที่สนิทๆ กัน”
“จริงๆ พี่ว่าคนอยากถ่ายฟรีให้ติมเยอะเลยนะ นึกยังไงถึงมาจ้างพี่น่ะเรา”
“อยากรู้จักเป็นการส่วนตัวนี่คะ” แลบลิ้นล้อเลียน จริงๆ ก็น่ารักอยู่หรอก แต่กฎของผมคือไม่ยุ่งกับลูกค้า (พี่ธามเป็นข้อยกเว้น) “ติมล้อเล่น ติมจะเก็บภาพเป็นพอร์ทด้วยค่ะเลยให้เจเรมี่แนะนำตากล้องมือดีสักคน”
“ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะแนะนำพี่นะ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“ช่างมันเถอะ พี่ว่าเราคุยเรื่องงานกันเลยไหม น้องติมทานข้าวหรือยังคะ หรืออยากทานก่อน”
“ยังเลยค่ะ แต่คุยไปกินไปก็ได้ พี่แซคสั่งมากินเป็นเพื่อนติมหน่อยน้า เดี๋ยวติมจ่ายเองมื้อนี้”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรไม่ได้น้า เดี๋ยวคราวหน้าพี่แซคไม่มากับติมอีกก็แย่น่ะสิ”
ผมเหลือบตาขึ้นมอง เข้าใจนัยยะของอีกฝ่ายแต่เลือกที่จะเงียบ สั่งอาหารของตัวเองกับบริกร ขณะรอโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น วันหยุดแบบนี้ไม่ใช่คนที่ทำงานแน่ อย่างมากก็ไอ้เดี่ยว ส่วนหวานหลังจากผมไม่ค่อยติดต่อไปก็เงียบหายไปเอง
Tham: ออกมาหรือยัง
Zac: ครับ วันนี้มีจ๊อบนอก ถ่ายรูปรับปริญญานอกรอบให้เพื่อนเจเรมี่น่ะ
Tham: เจเรมี่?
Zac: น้องพี่จิ๊บ
Tham: อืม
Zac: พี่ธามไปถ่ายงานที่ไหนอะ
Tham: สตูดิโอแถวสุขุมวิท
Zac: เย็นนี้มาทำกับข้าวกินที่บ้านผมปะ
ประโยคเอ่ยชวนเหมือนไม่มีอะไร แมนๆ คุยกัน แต่ใครจะรู้ว่ามือผมโคตรสั่น เชี่ย ความตื่นเต้นแบบนี้เมื่อไหร่จะหายไปสักทีวะ ยิ่งคู่สนทนาเงียบหายไปนานก็ยิ่งใจคอไม่ดี ตัดใจคว่ำมือถือลง แต่ก็อดหยิบมากดใหม่ไม่ได้
Zac: บุญเหลือคิดถึงทิ้งประโยคท้ายไว้ ไม่กล้าเอ่ยว่าเป็นตัวเอง พี่ธามเหมือนยาเสพติด ยิ่งพบเจอยิ่งหยุดไม่ได้ ใกล้ขึ้นอีกนิดก็อยากใกล้เข้าไปอีก ไม่จบไม่สิ้น
Tham: ไว้บอกอีกที จบแค่นั้นเป็นการตัดบทสนทนา อาหารที่สั่งมาเสิร์ฟ ของไอติมได้ก่อนผมไม่กี่นาที หน้าตาน่าทานพอกัน เงยหน้าจากจานอาหาร ดวงตากลมใสมองผมอยู่ก่อน บดริมฝีปากคล้ายจะมีคำถามและเอ่ยออกมาในที่สุด
“พี่แซคมีแฟนหรือเปล่าคะ”
“คะ?”
“ขอโทษที่เสียมารยาทน้า แต่ที่เล่นโทรศัพท์เมื่อกี้เหมือนคุยกับแฟนเลยค่ะ” ผมหัวเราะ ไม่ตอบ น้องแม่งรุกผมหนักมากครับ “จริงๆ ติมชอบพี่แซคมาก่อนหน้านี้แล้วน่ะค่ะ พอรู้จักกับเจเรมี่เลยให้ช่วยติดต่อให้หน่อย ขอโทษนะคะที่เมื่อกี้โกหกไป”
ไอ้เจมเล่นผมแล้ว ส่งอะไรมาวะเนี่ย
“ถ้าพี่แซคมีแฟนอยู่แล้ว ติมจะได้ทำใจ”
“ติมเชื่อพี่ มีหนุ่มๆ รอติมเยอะเลยค่ะ พี่มันคนธรรมดา” โคลงหัวไปมา บอกแล้วว่าผมไม่เล่นกับลูกค้า เสียเครดิตหมด “ทานข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวมีเวลาถ่ายรูปน้อยนะ ผู้ช่วยพี่จะมาแล้วด้วย”
อุปกรณ์เอฟเฟคต์อะไรก็อยู่รถมัน เอาไปฝากไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ความลำบากของคนไม่มีรถก็แบบนี้ สิ้นเดือนนี้ว่าจะไปเดินมอเตอร์เอ็กซ์โป สอยพริตตี้ เอ๊ย รถเล็กๆ มาสักคันเหมือนกัน
เด็กสาวตรงหน้าพยักหน้ายอมความ ไม่แน่ใจว่าเผลอทำใจดวงน้อยแตกสลายไปหรือเปล่า แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์ทำนองนี้ จบงานแล้วจะสานต่อหรือไม่ค่อยว่ากันอีกที แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เวลานี้
แสงแดดสุดท้ายจางลงไปแล้ว หนุ่มหล่อสุดเฟี้ยวเป็นคนมารับหญิงสาวจากไป ไอติมเป็นคนสวย คนสวยย่อมมีหนุ่มๆ เข้าหาเยอะ ผมเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ถ่ายรูปเก่ง มีชื่อเสียงพอประมาณในวงการภาพถ่าย ไม่ได้ใจร้าย แต่ใครก็รู้ว่ากล้องดี ฝีมือดี แบบจะปังแค่ไหน นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมไม่เชื่อในคำบอกเล่าของหล่อนที่พูดเพ้อคล้ายเชิญชวนให้ลุ่มหลง ผมไม่เชื่อในความรักแบบนี้ ที่หมายถึงรู้จักชื่อเสียง เจอตามอีเวนท์ไม่กี่งานแล้วชอบพอกัน ถ้าบอกว่าอยากสนิทสนมไว้เป็นตากล้องส่วนตัวกันตรงๆ ยังน่าฟังกว่า
“ไม่ไปกินข้าวด้วยกันต่อเหรอพี่”
“ไม่อะ มีนัด เอ็งไปเถอะ เดี๋ยวได้เงินแล้วโอนไปให้”
ผมบอกรุ่นน้องที่มาช่วยงาน มันยิ้มรับตาหยี ขอตามมาช่วยถือของเฉยๆ แต่ไม่ให้ส่วนแบ่งเลยก็ไม่ใช่ เสียเวลาเหมือนกัน แถมยังต้องคอยขนของให้อีก น่าจะได้อะไรกลับไปมากกว่าความรู้
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ วันไหนว่างเดี๋ยวเอาอุปกรณ์ไปคืนที่บ้าน”
ผมพยักหน้า โบกมือลาแล้วใช้มือข้างเดียวกันล้วงกระเป๋ากางเกง โทรศัพท์ผมนิ่งสนิทตั้งแต่บ่าย กำลังนึกถึงบางคนที่ไม่ตอบกลับมา มองท้องฟ้า ถ่ายมันด้วยกล้องโทรศัพท์ ส่งรูปพระอาทิตย์สีส้ม กลมโตเหมือนไข่แดงไปให้ สะท้อนกับผิวน้ำเหนือทะเลสาบในสวนหย่อม เป็นเพียงภาพนิ่ง ใบไม้หนึ่งใบหล่นค้างกลางอากาศเมื่อลมพัดมา
Zac: พระอาทิตย์สวย
ยังคงไม่มีใครอ่านอยู่พักใหญ่ ผมตัดใจเก็บกล้องลงกระเป๋า ยัดโทรศัพท์ลงไปด้วย เดินกลับมาที่รถ ถอนหายใจให้ความขุ่นมัวเหมือนเมฆหมอกในใจหนึ่งครั้ง ตัดสินใจยังไม่กลับบ้านในทันที
"ไม่ดีเหรอ"
เด็กหนุ่มลูกครึ่งฝรั่งในเสื้อกล้ามตัวย้วย กางเกงสีชาห้าส่วน รองเท้าอดิดาสรุ่นลิมิเต็ดถามพลางเคี้ยวหมากฝรั่งด้วยกรามข้างหนึ่ง มีรอยยิ้มปรากฏเยาะมุมปากอีกข้าง ท่าทางยียวน กวนประสาทอย่างเป็นเอกลักษณ์ “คนชอบติมเยอะจะตาย”
"ดีกับผีน่ะสิ เอาอะไรมาฟาดปากหน่อยซิ"
"ขวดไหมล่ะ"
"กวนละ" เคาะนิ้วกับเคาน์เตอร์บาร์ สักพักเบียร์เย็นๆ ก็ถูกวางตรงหน้าพร้อมแตงกวาดอง ร้านของเจเรมี่เป็นสถานที่ที่ผมเลือก ไม่ได้บอกพี่จิ๊บ แต่เข้ามาแล้วคาดว่าเจ้าของร้านคงไม่ไปไหน
“มึงมีแฟนไหมวะเจม”
“เพี้ยนเหรอ อยู่ๆ มาถาม”
“ผู้ใหญ่ถามก็ตอบเถอะน่า”
“เคย” มันพูด เป่าลูกโป่งจากยางหมากฝรั่ง เด็กหนุ่มย้ายที่นั่งจากด้านในบาร์มาเป็นเก้าอี้ทรงสูงข้างๆ ผม จิ้มไอแพดอ่านรีวิวร้านอาหารที่อื่นไปด้วย “ถามทำไม”
“ไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ”
“ใช่เรื่องนายแบบที่ชื่อนิธานหรือเปล่า”
“เจ๊เล่าเหรอ” หลิ่วตาถาม ไหล่บางยกขึ้นเบาๆ ผมไม่ค่อยชอบสไตล์การแต่งตัวของมัน ดีหน่อยที่ไม่ค่อยลงครัวเอง เห็นแล้วไม่ค่อยถูกสุขอนามัยยังไงชอบกล “เล่าว่าไงบ้าง”
“ไม่เชิงเล่าหรอก บังเอิญได้ยินพี่จิ๊บคุยโทรศัพท์ มีสายรายงานว่าตากล้องมือดีไปวอแวนายแบบเข้าให้”
“แล้วว่าไงอีก”
“ก็ไม่ว่าไง คุยกันแล้วนี่ พี่จิ๊บไม่ค่อยเชื่อหรอก พี่แซคไม่เคยยุ่งกับลูกค้า”
“ประวัติกูดีไง”
“น่าจะเสียก็รอบนี้แหละ” เจเรมี่หัวเราะหยัน ผมมองตรงไป ด้านหน้าเป็นขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วางเรียงละลานตา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสารเคมีปรับอากาศทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เจเรมี่ก็เหมือนกัน ท่าทางไม่คาดคั้นทำให้รู้สึกเต็มใจที่จะเล่า
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากูจะชอบผู้ชาย ทำไมวะ”
“ชอบก็คือชอบ ทำไมต้องหาเหตุผล ผมว่าเหตุผลมีไว้ตอนที่เราเลิกชอบอะไรสักอย่างเท่านั้นแหละ”
“ก็ถูก...”
“เวลาซื้อเสื้อผ้า พี่เจอถูกใจอย่างหนึ่งก็ซื้อเลย เคยได้ตัดสินนิสัยใจคอมันหรือไง”
ผมคิดตาม ความสับสนที่เกิดเป็นควันขมุกขมัวในใจจางลง “จริงๆ ก็ถามไปงั้น ชอบไปแล้วนี่หว่า”
“ไม่ได้คิดจะตัดใจแล้วมากลุ้มเรื่องอะไรวะ”
“กลัวเขาไม่เล่นด้วย”
“พี่จริงจังกับเขาหรือยังล่ะ”
“จริงจังคืออะไร” ยักคิ้วข้างหนึ่งถาม หมายถึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะครองรักกันไปชั่วนิรันดร์อะไรแบบนี้น่ะเหรอ การ์ตูนไปหน่อยไหม
“พี่แซค เมื่อไหร่จะนึกจริงจังกับใครสักทีวะ”
“มึงถามเหมือนเจ๊เลย เจเรมี่”
“ผมรู้ว่าพี่รักสนุก แต่จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดเหรอ"
"เอ็งอายุเท่าไหร่วะเจม" ท่าทางพูดแบบมีวิชาการณ์ เหมือนพวกคนแก่กำลังบ่นลูกหลาน เด็กหนุ่มไม่ตอบ ดนตรีบรรเลงที่เปิดให้เข้ากับบรรยากาศยังทำตามหน้าที่ของมัน ขับกล่อมเยียวยาจากความเหนื่อยล้าของคนเมือง บ้างก็หลอกล่อให้คู่หนุ่มสาวที่มาลุ่มหลงกับคู่เดท เจเรมี่วางไอแพดลงกับพื้นมันเลื่อมของเคาน์เตอร์บาร์ ริมฝีปาดสีชมพู ตัดกับผิวขาวซีดตามลักษณะของลูกครึ่งยุโรปปิดสนิท
"ผมเคยคบผู้ชาย ตอนไปเรียนเชฟ"
"พูดจริง"
"แค่เวลาสั้นๆ" เขาตอบเหมือนไม่แยแส "อย่าบอกพี่จิ๊บล่ะ"
"สัญญาลูกผู้ชาย แล้วทำไมเลิก"
"เพราะคนจริงจังมีคนเดียวน่ะสิ" แววตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นว่างเปล่า ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยนึกมาก่อนว่าเด็กที่เห็นมาร่วมสิบปีจะมีรสนิยมทางเพศแบบนี้ แต่น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกว่ามันผิดปกติ แค่ประหลาดใจนิดหน่อยเท่านั้น
"ถึงได้บอกว่าอยากให้พี่จริงจังไงล่ะ"
"จะเอากลับไปคิดดูแล้วกัน แต่...จริงจังกับผู้ชายน่ะนะ" ผมนึกภาพตัวเองใช้ชีวิตร่วมกับนิธานไม่ออก เช่นกันกับหญิงสาวสักคนและลูกเล็กๆ ผมอยู่กับตัวเอง กับชีวิตประจำวัน ไม่เคยวาดฝันถึงอนาคต ห้าปี สิบปี ยี่สิบปี ไม่รู้สิ
"ผู้ชายไม่มีหัวใจเหรอวะ"
คนถามมีแววตาเจ็บปวด ผมละสายตาออกมา นึกสรรหาคำพูดไม่ออก ฟังเสียงตัวเองในหัว ดังวิ้ง วิ้ง ยกเบียร์ขวดเล็กขึ้นมาดื่ม จรดริมฝีปากกับขวดแก้วทรงกลม ความเย็นเยียบและรสขมปร่าซาบซ่าทำให้จิตใจสงบลงเล็กน้อยกระทั่งโทรศัพท์สั่น ข้อความที่เด้งขึ้นมาไม่ทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายแผ่นดินไหวในอกเท่าชื่อเจ้าของข้อความ
Tham: กำลังไปที่บ้าน
“เฮ้ยเจม เดี๋ยวต้องไปแล้วว่ะ”
“เขาโทรมาตามเหรอ”
พยักหน้าแทนคำตอบ เจเรมี่ยักยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “ไม่เคยเห็นกระตือรือร้นล้นกับใครแบบนี้”
“อะไรวะ”
“จริงจังกับเขาไปแล้วแต่ยังไม่รู้ตัวหรือเปล่าเหอะ”
“พูดมาก” ผมว่ามัน วางค่าเบียร์ให้เกินราคาเล็กน้อย “วันนี้ไม่ลงบัญชี ไม่ต้องทอนด้วย”
“ป๋าเว้ย”
“เออ แล้วที่คุยวันนี้ก็ไม่ต้องบอกเจ๊จิ๊บล่ะ” สั่งกำชับ คู่สนทนาตกปากรับคำ สัญญาใจระหว่างผมกับมัน ความลับที่บอกให้หัวหน้ารู้ไม่ได้ ผมคว้ากุญแจรถ กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่จอดมอเตอร์ไซค์คันเก่า เอาหมวกกันน็อกที่ซ่อนตัวอย่างสงบออกมาจากใต้เบาะนั่ง พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ดาวประจำเมืองขึ้นตามหน้าที่ ผมบิดคันเร่ง ผ่านสีดำมืดของมหานครตรงกลับบ้านภายในไม่กี่นาที
“นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
ผมเห็นเขานั่งยองอยู่ริมรั้วบ้านในตอนค่ำ ลูบจมูกสีดำเมี่ยมของสุนัขพันธุ์ทางที่ฉอเลาะคนแปลกหน้าได้ไม่สมศักดิ์ศรีหมาเฝ้าบ้านด้วยความสงบ นิธานจอดรถขวางประตูไว้ พอเห็นเจ้าบ้านก็เลื่อนเอารถไปไว้อีกฝั่ง แต่ดึงดันว่าจะไม่เก็บในบ้านเพราะไม่ค้างแน่นอน
ผมแวะซูเปอร์ ซื้อผักไม่กี่อย่างกับเนื้อสัตว์ รวมไปถึงน้ำจิ้มสุกี้ เห็นของที่ห้อยบนแฮนด์นายแบบหนุ่มก็รู้ทันทีว่าวันนี้เรามีหม้อไฟกินกัน
“ตอนแรกก็จะไม่มาหรอก อยู่คอนโดเบื่อๆ”
“ไม่อ่านไลน์ผม”
“ปิดnotificationไว้”
“นี่” ผมมองหน้า เขาไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด “พี่ทำแบบนี้พี่นิดไม่ว่าเอาเรอะ”
“ถ้าไม่ได้ก่อเรื่องอะไรไว้ นอกตารางงานแล้วจะทำอะไรก็ทำได้” ตาคมมองน้ำร้อนที่เดือดปุด เขาฉีกผักกาดหอมด้วยมือเปล่า เสียงกรอบดังเมื่อมันฉีกขาดออกจากกัน น้ำที่ใช้ล้างสารพิษยังสะเด็ดไม่ดี ดังนั้นจึงมีบางส่วนกระเด็นมาที่หน้าตัก
“หลับไปงีบ พอตื่นมาแล้วก็คิดว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับอีกยาวเลยแวะมาเล่นกับบุญเหลือดีกว่า”
“มีใจจะบอกว่าคิดถึงผมสักหน่อยก็ไม่ได้”
“อยากให้โกหก?”
เป็นคำถามที่เจ็บจี๊ดถึงในทรวง ผมตอกไข่ เจียวลงในถ้วยใบเล็กๆ แล้วใช้หมูสไลด์สำเร็จรูปจากห้างร้านชุบลงไป แกว่งวนจนแน่ใจว่าติดดีค่อยหย่อนลงในน้ำร้อน
“แล้วถ่ายงานวันนี้เป็นยังไงครับ”
“ก็เหมือนเดิม”
“ไม่สนุกเหรอ”
“ก็แค่ทำตามหน้าที่” ว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หมูสุกแล้ว ผมใช้ตะเกียบคีบใส่จานเขาก่อน “ไม่ต้องบริการก็ได้นะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่นายต้องดูแลขนาดนั้น”
“ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงหรือผู้ชาย อยากทำให้”
“ระวังไม่ได้กินของตัวเอง”
“พี่ธามจะกินสักกี่คำเชียว” หุ่นผอมบางขนาดนี้ เดี๋ยวสักพักก็เลิก เขาไม่ตอบ เป่าหมูในจานให้ควันสีขาวลอยขึ้นมา ผ่านม่านหมอกของไอร้อน ผมเห็นขนตาเรียงเป็นแพหนา ชัดเจนกว่าทุกครั้งเพราะตาหลุบลงต่ำ ไล่มองจากตรงนั้น จมูกสันและปลายที่รั้นขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้เป็นรูปสวยงามราวปูนปั้น แต่มันเป็นธรรมชาติและรับกับใบหน้าได้พอดิบพอดี
เป็นคนที่ดูดี แม้แต่ตอนคีบเนื้อหมูเข้าปาก
“มองอยู่ได้”
“อ้าว ผิดอีก”
“รีบๆ กินได้ไหม เดี๋ยวจะไปเล่นกับบุญเหลือ”
“มันก็กินข้าวอยู่เหมือนกัน” ตับไก่ทอดบดละเอียด คลุกกับข้าวเสาไห้ มื้อของนิธานผมเป็นคนทำ ไม่ทรงเกียร์ติเท่าไอ้บุญเหลือที่มีนายแบบมาจัดการตั้งแต่หุงข้าวยันบดตับให้หรอก
“แล้ววันนี้ไปถ่ายงานเป็นยังไง รูปพระอาทิตย์ตกสวยดี ที่ไหน”
“สวนรถไฟไง เคยไปป่าว” เขาส่ายหน้า ใช้ตะเกียบกวนน้ำในหม้อให้เนื้อสัตว์ที่จมลงไปแล้วลอยขึ้นมา
“มีหลายที่ที่ฉันไม่มีโอกาสได้ไป”
“ทำไมล่ะ อยากไปก็ไปสิพี่”
“ฉันเข้าวงการตั้งแต่อายุสิบห้า” นิธานเท้าความ อายุสิบห้าในเวลานั้นไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เสียทีเดียว “ตอนเด็กๆ แม่จะบังคับให้ทำนั่นนี่ วางตัวแบบนั้น ห้ามไปในที่แบบนี้ โดนแดดมากไม่ได้เดี๋ยวผิวเสีย ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ เดิมทีเรื่องมาจากโฆษณาขนมขบเคี้ยวที่เพื่อนของแม่ชวนไปเล่นโดยบังเอิญ เงินดีเชียว หลังจากนั้นก็ถูกผลักดันให้ทำงานนี้มาตลอด”
“ผมนึกว่าพี่ชอบเสียอีก”
“ฉันดูเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าไหมล่ะ นั่นแหละคำตอบ” เว้นคำพูดไปช่วงหนึ่ง เมื่อเห็นผมตั้งใจฟังด้วยใจจรดจ่อก็ยอมเล่าต่อ
“รู้ตัวอีกทีก็ เป็นได้แค่นายแบบ ถูกสอนมาให้เป็นแบบนี้มาเป็นสิบๆ ปี ช่วยไม่ได้ เงินก็ดีจริงๆ น่ะ”
“เหมือนถูกขโมยช่วงเวลาของวัยรุ่นไปเลย”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าถูกขโมยไปไหม” ประโยคนั้นไม่มีความรู้สึก แต่ชวนให้ผู้ฟังหดหู่ตาม “เห็นนายแล้วก็ดีนะ ใครจะไปคิดว่าตากล้องจะเป็นอาชีพหลักได้ เหมือนเล่นสนุกไปวันๆ แท้ๆ”
“เฮ้ย อย่าดูถูกผมนะพี่ กว่าจะมาเป็นทุกวันนี้ได้ก็เหนื่อยอยู่ สมัยเรียนผมแบกของตามตากล้องมืออาชีพไปถ่ายรูปรับปริญญาตั้งหลายปีเชียวกว่าเขาจะยอมสอนถ่ายทอดความรู้มาให้”
ร้อนก็ทน เหนื่อยก็ทน ได้เงินมาก็เก็บหอมรอมริบกว่าจะซื้อกล้องดีๆ สักตัวได้ความฝันก็เกือบล่มสลายไปหลายหน โชคดีที่ความใฝ่รู้มีมากกว่า สุดท้ายเลยได้มาเป็นช่างภาพของพี่จิ๊บได้
“นายมีชีวิตแบบที่ฉันอยากมี” เขาพูด หลบตา ตักสุกี้ในหม้อลงจานตัวเองอีกครั้ง ควันสีขาวยังลอยฉุย ผมจ้องมองริมฝีปากนิธาน ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างต่อมา
ดวงตาสีดำสบเข้ากับผมเมื่อคู่สนทนาเงยขึ้น เราจ้องตากันนิ่ง และนาน อาจเป็นระยะเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ของมดงานหรือหนึ่งวินาทีของเต่าทะเล แต่ผลจากการรอคอยของผมก็งดงาม
“เพราะแบบนั้นฉันเลยมาที่นี่”
“มาหาผม”
“มาดูชีวิตที่ฉันทำหายไป อย่างนั้นล่ะมั้ง”
หัวใจผมพอง ในท้องคล้ายมีผีเสื้อเป็นพันตัวโบยบินลอยละล่อง นิธานเลิกพูดเรื่องนี้ เปลี่ยนเป็นข่าวการเมืองในโทรทัศน์ แต่หัวผมกลับจดจำและพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าประโยคเมื่อครู่มีความหมายลึกซึ้งเพียงใด เพลงสัมพันธ์ของวงพอสบรรเลงในมโนสำนึกจนแทบฮัมออกมา
ลองซิลองเข้ามา ลองค้นหาทางออก
สิ่งที่เธอได้มองข้ามไป ใช้ใจหาคำตอบ
ใจและใจแค่ลองแลกกัน
มันก็อาจะเกิดความสัมพันธ์
ความรู้สึกที่มีให้กัน อาจเป็นรัก … เข้าสักวันTBCขอบคุณสำหรับคำแนะนำ/ช่วยแก้คำผิดในตอนก่อนๆนะคะ ฮรี่
พี่ธามค่อยๆเปิดใจ(?) ทีละนิดแล้ว อิแซคก็เอาหมาเข้าล่อลูกเดียวจ้า
ึคนเชียร์แซครับเยอะมาก
ตอนถามในทวิตใครบอกอยากอ่านเคะราชินีห้ะ!
กอดหนึ่งทีเลย นี่แหนะ