Fallen and Destined 18
“งั้นฟังนะ ตั้งใจฟังให้ดี ห้ามขัด ห้ามแทรก ...อ้อ ห้ามมึงหลับด้วย” ชี้หน้าคาดโทษให้เขานึกสงสัยว่าเขาเคยหลับใส่อีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ “ถ้าแต่ก่อนมีใครสักคนมาบอกว่าวันหนึ่ง กูจะรักคนคนหนึ่งสุดหัวใจ กูคงหัวเราะฟันร่วง อ้อ แล้วยิ่งถ้าบอกว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย กูคงต่อยไอ้คนพูดฟันหัก”
ขอบฟ้าเหลือบมองหน้าคนพูดแล้วเอนตัวหนีนิดหน่อย “อ้อ”
“กูรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่กูรวย แล้วถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองไป กูก็ว่ากูหล่อ” คนนิยามตัวเองเสร็จสรรพกระแอมไอ “ก็นั่นล่ะ มันทำให้มีคนเข้าหากูเยอะมาก แต่ละคนเข้ามาแบบมีเป้าหมาย ถ้าไม่เรื่องเงินก็เรื่องเซ็กส์ มันก็สนุกดีอยู่หรอกแต่พอนานๆ ไป กูก็เริ่มเบื่อ เบื่อรูปแบบเดิมๆ เบื่อวงจรชีวิตเดิมๆ แล้วตอนนั้นมึงก็เข้ามา กูก็คิดว่า...แค่แก้เบื่อ”
พูดแล้วกรก็ลอบมองสีหน้าเขา ถ้าไม่ติดว่าโดนสั่งห้ามขัด ห้ามแทรก ขอบฟ้าก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องคิดมาก มันไม่ใช่ความลับ เรื่องพวกนี้กรเป็นคนพูดกรอกหูตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ไม่ต้องกลัวเขาลุกขึ้นมาหาอะไรแพ่นกบาลขนาดนี้ก็ได้
“เรื่องระหว่างเรามันก็เริ่มต้นได้แย่มากๆ แย่เสียจนกูคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติ มึงคงไม่มีวันยอมยกโทษให้ เรื่องต่อๆ มาแม่งก็แย่ แย่ไปหมดทุกเรื่อง ทั้งข่มขืน ทั้งแบล็คเมล์ หน่วงเหนี่ยวกักขัง ...กูนี่มันเหี้ยได้ใจจริงๆ”
ถึงอยากจะพยักหน้ารับเห็นพ้องต้องกัน แต่ขอบฟ้าก็อดกลั้นนั่งนิ่งแทน ไม่รู้สิ ด่าตัวเองกรคงด่าได้ แต่ไอ้เรื่องจะให้คนอื่นมานั่งผสมโรงด่าด้วยนี่คงไม่ใช่
“ครั้งก่อนเราแยกกันแบบไม่ค่อยดีนัก ทิ้งมึงในสภาพแบบนั้นไว้คนเดียว กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ยังมีแต่เรื่องแย่ๆ เออ กูรู้ กูจำได้ กูเป็นคนทำเอง นิสัยกูมันก็เหี้ยแบบนี้ล่ะ ทำไงได้”
เมื่อไหร่กรจะพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียที เขาชักเริ่มเบื่อเรื่องแย่ๆ กับตัวเหี้ยๆ ของกรแล้วนะ
“ทำไมไม่ยอมบอกเรื่องขา” เบี่ยงจากเรื่องแย่ๆ กรก็เริ่มเรื่องที่เขาไม่ค่อยอยากพูดถึงต่ออีก “คิดว่าตัวเองเป็นนางเอก ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ หรือแค่อยากให้กูพ้นไปจากชีวิตแค่นั้นเป็นพอ แค่เสียขาข้างเดียวแลกกับการไม่ต้องเจอหน้ากูอีก คงคิดแบบนั้นสิ”
“พี่กร” แม้คำพูดจะประชดประชัน แต่สีหน้าคนพูดที่ดูเหมือนกับจะร้องไห้ทำให้เขาไม่รู้จะพูดอะไร “มันไม่ใช่แบบนั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมันเป็นแบบไหน รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตจะไม่เหมือนเดิม แต่ยังทำตัวเป็นพ่อพระ ไม่เรียกร้องอะไร ปล่อยให้กูทำตัวโง่ๆ อยู่สบายๆ ไม่ต้องเดือดร้อนห่าเหวกับการทำให้มึงแทบจะกลายเป็นคนพิการ คงรู้สึกดีมากสินะ”
ขอบฟ้าทำอะไรไม่ถูกกับหยดน้ำใสๆ ที่เขาไม่อยากยอมรับว่ามันเป็นหยดน้ำตาของคนตรงหน้า ที่สำคัญ ดูท่าว่ากรจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เขาจึงเลือกที่จะเอื้อมมือไล้หน้าอีกฝ่ายเบาๆ “พี่ไม่ได้เป็นคนทำ แต่ผมเลือกที่จะทำเองต่างหาก สองอย่างนี้มันแตกต่างกันมากนะ”
“มึงก็ดีแต่ยกโทษให้ ด่ากูบ้าง โกรธกูบ้างก็ได้” ฝ่ามือกระด้างลูบไปตามท่อนขาใต้กางเกง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์พิศวาส หากเป็นอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น “ถ้ากลับกัน ถ้ากูเป็นคนที่ต้องเป็นแบบนี้ กูจะล่ามมึงผูกติดกับตัวไว้ชั่วชีวิต ...ให้รับผิดชอบไปชั่วชีวิต”
แม้จะเป็นการสมมติ แต่ขอบฟ้าคิดว่าหากเป็นเช่นนั้น กรคงทำจริงๆ นั่นล่ะ
“ที่กูโตมาเป็นคนแบบนี้ กูไม่คิดโทษครอบครัวหรือใครหรอกนะ ถึงตัวอย่างรอบๆ ตัวจะถนัดก่อแต่เรื่องฉาวโฉ่ก็เถอะ แต่มึงรู้ไหม...ว่ามึงเป็นสิ่งดีงามเพียงอย่างเดียวในชีวิต เป็นความถูกต้อง เป็นเรื่องดีชนิดไม่น่าเชื่อ ถ้าจะถามว่าตั้งแต่เกิดมา มีอะไรที่ทำให้กูมีความสุขได้บ้าง กูก็คงตอบว่า...” อยู่ๆ กรก็ทำหน้าจริงจัง ขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ จ้องลึกลงไปในตา นิ่งเสียจนคิดว่ากรมองลึกไปถึงหัวใจ “การที่กูได้รักมึงไง ไอ้หน้าจืด”
สรรพนามคำสุดท้ายถูกกระซิบออกมาชิดติดริมฝีปากเขา ก่อนกรจะแตะจูบลงเบาๆ ติดๆ กันหลายครั้ง ผละออกนิดหน่อย ใช้ปลายจมูกเกลี่ยปลายจมูกเขา ใช้ลมหายใจเดียวกัน
“พี่รักฟ้านะ”
....
เมื่อกรเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดในโลก
+++++++++++
ภาพในจอโทรทัศน์ดับวูบลงเมื่อเขากดรีโมทปิด ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ขอบฟ้าค่อยมีสมาธิคิดอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง
วันนี้เขาลาป่วย ใช่ ลาป่วยอีกแล้ว ตั้งแต่เจอกรเขากลายเป็นคนเสียประวัติไปหลายรอบ จากที่แทบไม่เคยลาหยุดหรือลาป่วยเลย แต่เป็นคำสั่งหมอบวกกับคำสั่งเจ้านาย เจ้านายแบบเจ้านายจริงๆ ที่อยู่เหนือพนักงานต๊อกต๋อยขึ้นไปหลายสิบขั้นนั่นล่ะ กรบอกให้เขาโทรไปลาป่วย
แม้การลาป่วยล่วงหน้าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับไม่ยากอย่างที่คิด หัวหน้าฟังเหตุผลเขาแล้วเอ่ยอนุญาตโดยไม่ซักไซ้ไล่เลียง ตอนแรกเขาก็นึกโล่งอก มาตอนนี้พออยู่คนเดียวเงียบๆ ขอบฟ้าค่อยนึกได้ว่ามันแปลกๆ หัวหน้าที่เคยตำหนิเรื่องราวใหญ่ๆ ไปจนถึงเรื่องจุกจิก ไม่น่าที่จะออกปากรับคำเขาง่ายๆ โดยไม่ไต่ถาม
แล้วเมื่อวานที่เกิดเรื่องมากมาย หลังจากได้ยินคำบอกรักของกรแบบชัดๆ ขอบฟ้าก็จำไม่ค่อยได้ว่าตนพูดหรือแสดงท่าทีอะไรออกไปบ้าง รู้สึกแค่เหมือนหินก้อนใหญ่ที่เคยถ่วงหนักมาตลอดหลุดหายไปพร้อมคำพูดดังกล่าว ต่อให้เขาโตจนเข้าใจว่าความรักไม่ใช่ทุกสิ่งและใช่ว่าความรักจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อยในความรู้สึกเขา คำบอกรักของกรก็มากเกินพอแล้ว ส่วนหลังจากนี้ พวกเขาคงค่อยๆ คลี่คลายไปได้ ช่วยปรึกษาคิดหาทางออก ให้คำแนะนำ เสนอทางเลือกหรืออะไรก็แล้วแต่ แค่ได้รู้ว่ามีคนอยู่เคียงข้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค มันก็เป็นกำลังใจที่ดีมากพอแล้ว
เมื่อวานเขาไม่ได้เอ่ยถึงพลชนะ กรก็ไม่ได้พูดถึงว่าที่คู่หมั้นคนสวย พวกเขาแค่นั่งคุย หัวเราะ ใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ทำอะไรเท่าที่คู่รักธรรมดาๆ คู่หนึ่งจะทำได้เมื่ออยู่ในโลกส่วนตัวที่มีกันอยู่แค่สองคน
แต่พอก้าวเท้าออกมาสู่โลกภายนอก ขอบฟ้าก็ตระหนักว่าเรื่องไม่ง่ายแน่ๆ
เขาบอกรักกรต่อหน้าคนเป็นร้อย เอ่อ...อาจไม่ถึงร้อย แต่ก็มากพอดูล่ะ บอกเสร็จ กรก็เดินมากอดเขา ตอนนั้นเขาไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาคนรอบข้างสักเท่าไหร่เพราะมัวแต่ตะลึง ตกใจ ดีใจ ความรู้สึกปนกันให้ยุ่ง
ถึงปวินจะประกาศว่าเขาไม่สบาย กรถึงเดินเข้ามากอด เพราะเขาต้องไปโรงพยาบาล พวกเขาเลยยืนแนบชิดพัวพันกันแบบนั้น ไม่น่ามีอะไรให้ต้องเป็นห่วง
แต่...ให้ตายเถอะ เป็นเขา เขาก็ไม่เชื่อ
เรื่องกร ถึงจะยังไม่จบเรื่องดี แต่ก็เริ่มคลี่คลาย มาตอนนี้ เรื่องสำคัญที่คงต้องคิดหาทางออกน่าจะเป็นเรื่องงานเขาเองนี่ล่ะ
เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น ขอบฟ้ารีบเดินกระเผลกๆ ไปรับ ผู้โทรมาคือพนักงานของคอนโดมิเนียม แจ้งว่ามีคนมาพบ หลังฟังว่าเป็นใคร เขาก็ยืนอึ้ง
เห็นทีงานนี้คงต้องอาศัยทั้งหัวใจ สมองและความกล้าหาญแบบเต็มเหนี่ยว
“ครับ” สูดหายใจลึกแล้วเอ่ยตอบ “ให้ขึ้นมาได้เลย”
++++++++++
เย็นนั้น เมื่อกรกลับมาถึงห้อง ขอบฟ้าก็ชะโงกหน้าออกจากครัวไปยิ้มต้อนรับ
“กลับมาแล้วเหรอครับ” เดินเตาะแตะลากขาเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ยืนมองมานิ่งๆ “วันนี้กลับเร็วจัง พี่กรหิวหรือเปล่า ผมยังเตรียมอาหารเย็นไม่เสร็จเลย”
กรยังเอาแต่ยืนมอง จนเขาเริ่มนึกเก้อ แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็ทิ้งกระเป๋า เดินมาเข้ามากอดไว้ทั้งตัว แถมยังเอาหน้ามาถู มาซุกแบบมันเขี้ยว
“พี่กร เล่นอะไรเนี่ย” ยิ่งร้อง ตอหนวดเขียวๆ ตรงคางคนตรงหน้ายิ่งซุกไซร้หนักจนทั้งเจ็บ ทั้งจั๊กจี้ “ปล่อยก่อน เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้”
“รู้ว่าไม่ดีหรอกนะ แต่ท่าเดินมึงน่ารักเหมือนเป็ดเลย” ก้มหน้ามาจูบปากเขาที่ยังงงว่าโดนด่าเป็นเป็ดเร็วๆ แล้วดึงเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงต่ออีกยก “ทำไงดี อยากกลืนเข้าไปทั้งตัวเลย ขอกินเลยได้ไหม หืม”
ชักเริ่มไม่คล้อยตาม ขอบฟ้าพยายามดันหน้าหล่อๆ ออกไปให้พ้นรัศมี “ไม่เล่นแล้ว พี่กร เรามีแขก...”
“อะแฮ่มๆ” เสียงกระแอมที่ดังแทรกดึงกรให้เงยหน้าขวับ นิ่งอึ้งไปอึดใจก่อนเอ่ยเสียงกระชาก “เธอมานี่ได้ยังไง”
“แหม แวะมาดูหน้าศัตรูหัวใจนี่ผิดด้วยเหรอคะ” หญิงสาวสวยจัดที่ยืนกอดอกอยู่ตรงประตูครัวเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ “ไม่คิดเลยนะว่าลินจะต้องมาแข่งเรื่องความรักกับผู้ชายแบบนี้”
“หุบปากได้แล้ว! อย่ามาพูดมั่วๆ” ตวาดใส่หญิงสาวแล้วกรก็รีบหันมาจับบ่าเขาแน่น “เรื่องนี้กูอธิบายได้นะ มันไม่ใช่...”
“ผมเข้าใจเรื่องทุกอย่างหมดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ” ตอบด้วยความเข้าอกเข้าใจแต่ร่างสูงกลับยังเอาแต่ส่ายหน้ารัว
“ไม่ๆ มึงยังไม่เข้าใจ ที่กูทำไปเพราะมีเหตุผล” กรรีบร้อนพูดจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง “ลินไม่ใช่... เราไม่ได้... ที่เห็นวันนั้น ข่าวในหนังสือ...”
“พี่กร ผมเข้าใจ พี่ไม่ต้อง...”
“ไม่! กูยังไม่อยากไปตายที่ไหน แล้วมึงก็ห้ามไปไหนทั้งนั้นด้วย!”
ดูท่ากรจะฝังจิตฝังใจกลัวเขาไล่ให้ไปตายจริงๆ ขอบฟ้ารีบกุมมือใหญ่ไว้ คลี่ยิ้ม “ครับๆ ผมไม่ไป พี่ก็ไม่ต้องไป เราสองคนจะไม่ไปไหน ตกลงไหม”
กรหยุดพูดและจ้องเขาอยู่นานราวกับรอให้คำพูดดังกล่าวตกตะกอนแล้วซึมลึกเข้าสู่ทั้งสมองและหัวใจ จึงค่อยพยักหน้า รับคำในคอ “อืม”
“ที่ผมบอกว่าเข้าใจคือเข้าใจเหตุผลแล้วจริงๆ วันนี้คุณลินมาหาผมตั้งแต่บ่าย เราได้คุยกันหลายเรื่องเลย”
เขาดึงร่างสูงที่ยังยืนทื่อเป็นตอไม้ให้ไปนั่งสงบจิตสงบใจทางโซฟา ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
หญิงสาวสวยจัดหน้าตาลูกครึ่งจ๋าที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูเหยียดยิ้มเมื่อเห็นหน้าเขาชัดๆ เจ้าตัวเดินแทรกเข้ามาภายในห้องโดยไม่รอคำเชิญ มาถึงก็สะบัดผม ทิ้งตัวลงนั่งด้วยมาดนางพญา
“เมื่อวานเจอกันยังไม่มีเวลาแนะนำตัว ฉันชื่อลินดา ลูกครึ่งไทย แคนาดา ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ครับ เอ่อ...ผมขอบฟ้า พ่อมีเชื้อจีนนิดหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” เขาตอบสุภาพ มองอีกฝ่ายใกล้ๆ แล้วยิ่งสวย น่าจะสวยกว่าป่านด้วยซ้ำ “ไม่ทราบคุณมีธุระอะไรครับ”
“ฉันไม่ชอบอ้อมค้อม ขอบอกนายไว้เลยว่าคุณกรน่ะ ฉันขอแล้วกัน” ถึงจะพอคาดเดาได้ลางๆ หากพอฟังกับหูแล้วเขาก็อดใจหายไม่ได้ แต่ก็แค่ใจหายล่ะนะ “กรกับฉัน...เราสองคนสนิทกันมากตั้งแต่สมัยเรียนเมืองนอกด้วยกัน ตอนนั้นเราต่างคนยังไม่พร้อม ฉันก็ยินดีรอ พวกผู้ใหญ่ก็รับรู้เรื่องของพวกเราดี”
รอจนแน่ใจว่าหญิงสาวพูดจบ ขอบฟ้าค่อยกระแอม เอ่ยขึ้นบ้าง
“พี่กรกับผม รู้จักกันมาหลายปีแต่ที่เจอหน้าพูดคุยกันจริงๆ ก็ไม่ถึงปีดี อันที่จริงเราไม่ได้คบกันเป็นเป็นราวด้วยซ้ำ คนรอบข้างก็ไม่มีใครเห็นด้วยสักคน”
“พูดง่ายๆ แบบนี้ก็ดี ตกลงนายจะเก็บของไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่” รอยยิ้มบนเรียวปากทาสีแดงสดยิ้มกว้างเบิกบาน หากต้องหุบฉับเมื่อเขาตอบเสียงดังฟังชัด
“ผมไม่คิดจะไปจากที่นี่” สิงโตๆ ตานายแล้ว “และจะไม่หลีกทางให้คุณด้วย!”
“หมายความว่ายังไง ฉันพูดยังไม่ชัดอีกเหรอว่าฉันกับกร เรารักกัน นายไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาอีก” มือบางบนตักกำหูกระเป๋าแน่น หรี่ตาจ้องเขาอย่างโกรธแค้น
“ผมได้ยินคุณพูดอยู่ฝ่ายเดียวว่ารักกัน ตราบใดที่ไม่ได้ยินจากปากพี่กรโดยตรง ผมก็ไม่เชื่อคุณหรอก” ขอบฟ้าสูดหายใจลึก พูดด้วยความใจเย็น “ส่วนเรื่องสิทธิ์ในตัวเขา ดูจากว่าที่ผ่านมาผมอาศัยอยู่ในห้องนี้ รวมถึงเป็นคนอนุญาตให้คุณผ่านลอบบี้ขึ้นมาพบได้ ดังนั้นผมคิดว่าผมนี่ล่ะที่มีสิทธิ์ ทั้งห้องนี้ ทั้งตัวพี่กรด้วย”
นายทำได้ดีมาก เจ้าหุ่นไล่กา เพราะเขายังไม่คิดจะลงไม้ลงมือตบตีกับผู้หญิงเพื่อแย่งผู้ชายหรอกนะ
ฝ่ายตรงข้ามอึ้งไปก่อนแค่นเสียง ร่างระหงผุดลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเหนือกว่า
“อย่าลืมสิว่านายเป็นผู้ชาย ส่วนกรเป็นคนมีหน้ามีตาเป็นที่นับถือมากแค่ไหน ถ้าใครเกิดรู้ว่าเขามีคนรักเป็นผู้ชาย...เป็นเกย์ นายจะทำยังไง จะรับผิดชอบ จะรับผลที่ตามมาไหวเหรอ ฉันแนะนำให้รีบถอนตัวเสียดีกว่า เผื่อว่านายยังไม่รู้ ฤทธิ์ของปากคนมันร้ายแรงมากนะ ฉันขอเตือน”
ฟังแล้วเขาอดหวนนึกถึงเรื่องราวสมัยมหาวิทยาลัยไม่ได้ ตอนนั้นเขาประสบพบเจอแบบจัดเต็มทีเดียว รู้ว่าการถูกจับจ้องกล่าวหา การถูกโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนสักคนให้หันไปหามันรู้สึกยังไง รสชาติมันยังขมฝาดในความทรงจำ ยังประทับแน่น เขาคิดว่าคงไม่มีวันลืมช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้ตลอดชีวิต
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเคยอยู่ที่ไหน เคยพบเห็นอะไรมาบ้าง แต่ผมคิดว่าโลกเราทุกวันนี้มันเปิดกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ สังคมของเกย์ก็ถูกยอมรับในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต่อให้ต้องโดนเพ่งเล็งเพราะเรื่องนี้ ผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ผมทำหรือผมเป็นมันผิด การที่ผมรักเขาไม่ได้ทำให้ผมกลายเป็นอาชญากรสักหน่อย” เขาไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่เลวร้ายแต่สิ่งสำคัญคือ เขาอยู่กับมันได้ ไม่มีปัญหา
“ต่อให้โชคร้าย โดนดูถูกเหยียดหยามว่าวิปริตผิดเพศ ผมก็จะอยู่เคียงข้างเขา เราจะผ่านมันไปด้วยกันให้ได้ ตราบใดที่พี่กรยังไม่ปล่อยมือผม ผมก็จะไม่มีวันทิ้งเขาหนีไปคนเดียวเด็ดขาด”
หัวใจเขาสงบอย่างน่าประหลาด บางทีเขาอาจรอให้ใครสักคนมาเค้นคอให้พูดสิ่งเหล่านี้มาตลอดก็ได้ เหมือนกับหุ่นกระป๋องก๋องแก๋งผู้ค้นพบว่ามันมีหัวใจมาตั้งนานแล้วนั่นล่ะ
“ผมพูดจบแล้ว คุณยังมีข้อข้องใจอะไรอีกไหม”
ขอบฟ้ารอและรอ จนกระทั่งหญิงสาวนั่งลงตามเดิม พยักหน้าหงึก “แปดสิบคะแนน ฉันให้ผ่าน”
“อะไรนะครับ แปดสิบ...” เพราะโดนเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเหมือนมือกดโดนรีโมทโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงต้องถามซ้ำ “เมื่อกี๊ได้ยินเหมือนคุณบอกให้ผ่าน”
“ใช่ แปดสิบคะแนนนี่ถือว่าเป็นคะแนนที่ดีที่สุดที่ฉันเคยให้พวกวิ่งไล่ตามกรเชียวนะ” จู่ๆ หญิงสาวก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ รอยยิ้มกว้างดูจริงใจขณะเอ่ยกลั้วหัวเราะ “รู้ไหมว่าตอนอยู่เมืองนอก หมอนั่นโดนทั้งผู้หญิง ผู้ชายไล่ตอมอย่างกับแมลงวันตอม... เยอะมาก ไม่หวาดไม่ไหวจะเคลียร์ บางรายตื๊อหนักจนถึงขั้นสตอล์คเกอร์ด้วยซ้ำ พี่ปั้นเลยขอให้ฉันช่วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยฟรีๆ หรอกนะ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของคู่กรณีด้วย หึๆ งานนั้นเล่นเอาฉันรวยไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว”
เขายังกระพริบตาปริบ ระแวงว่าจะมีคนถือกล้องออกมาตะโกนว่าล้อกันเล่นด้วยซ้ำ
“ครั้งนี้กรขอให้ฉันแสดงเป็นคู่ควง ทำทีเหมือนจะมีงานหมั้น แต่ห้ามยุ่ง ห้ามให้สัมภาษณ์ ห้ามตั้งคำถามอะไรทั้งนั้น ทีแรกก็ไม่คิดจะยุ่งกับนายหรอก แต่พอเห็นท่าทีเมื่อวานแล้วมันอดไม่ได้ กะว่าถ้านายปอดแหกหนีไปจริง ฉันจะไปเก็บค่าจ้างเป็นสองเท่า ค่าที่ช่วยไม่ให้หลงงมงายอยู่กับคนที่ดีแต่วิ่งหนีอีก”
.........
.........
เขาพยายามเล่าให้กรฟังเท่าที่จำได้ อาศัยลินดาตะโกนช่วยเป็นพักๆ จากในครัว ในที่สุด เขาก็เล่าจนจบโดยไม่ได้เสริมว่าหลังจากนั้น พวกเขาก็นั่งกินข้าวโพดคั่วดูหนังด้วยกันไปสามเรื่อง จนเขาลุกมาเตรียมหุงหาอาหารเย็น
“แต่มีอย่างนึงนะที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ” เอ่ยพลางลูบหัวลูบหางปลอบขวัญผู้ชายตัวโตเที่ซุกหน้าอยู่กับอกเขาเหมือนลูกหมียักษ์ “ทำไมพี่ต้องจงใจพูดเรื่องหมั้น เรื่องจะยกห้องให้แถมเงินเดือนทุกเดือนเหมือนเสี่ยเลี้ยงเด็กด้วยล่ะ”
“กูแค่...” จากที่โดนกอดอยู่แล้ว ยิ่งเหมือนโดนกอดแน่นเข้า กรทำเหมือนอยากจะฝังตัวเองเข้ามาในอกเขาให้ได้ยังไงยังงั้น ...ตัวพี่โตกว่าผมตั้งเยอะ เข้ามาได้ ผมก็ระเบิดแล้ว ขอบฟ้านึกโอดครวญขณะพยายามฟังคำตอบ “แค่อยากให้หึงบ้างอะไรบ้าง ถ้ามึงยอมรับว่าหึงซะตั้งแต่ตอนนั้น กูก็ตั้งใจจะสารภาพทุกอย่างอยู่แล้ว แต่มึงปากแข็ง กูก็ใจเสียดิ หลบไปทำใจที่ห้องปั้นทั้งคืน แถมโดนด่าซ้ำจนหูชา”
ได้ยินชื่อนี้ปุ๊บ ขอบฟ้าก็ตัดสินใจเคลียร์มันให้จบทีเดียว “เรื่องคุณปั้น ผมถามพี่กรตรงๆ เลยนะว่าเคยคิดอะไรกับคุณปั้นเป็นพิเศษหรือเปล่า เคยมีอะไรกันไหม ผมก็ไม่อยากถามหรอกแต่มันคาใจ”
หนนี้ กรกลับชะงัก เงยหน้าขึ้นจ้องตาเขาในระยะประชิด ตาคมๆ หรี่ลง
“คิดอะไร มีอะไรของมึงนี่มันหมายความว่ายังไง อธิบายให้ชัดๆ”
“ก็...คิดว่าปั้นน่ารักจัง หรือเคย...เมาแล้วเผลอไปจูบอะไรทำนองนี้” ขอบฟ้าลดข้อสงสัยกับข้อสันนิษฐานลงชนิดฮวบฮาบเพราะรู้สึกถึงสัญญาณอันตรายในละแวกไม่เกินหนึ่งเมตร “ผมก็แค่คิดเล่นๆ พี่กรไม่ต้องตอบก็ได้”
“ในหัวนี่มีอะไรบ้างวะ มีหัวไว้กั้นหูอย่างเดียวหรือไง ตาสั้นแล้วยังตาถั่วอีก มึงไปตัดแว่นใหม่ได้แล้ว” เจ้าลูกหมียักษ์เริ่มทำตัวไม่น่ารักอย่างแรงเมื่อเริ่มออกล่าเหยื่อตามสัญชาตญาณ “ปั้นมันญาติกู เลิกคิดเพ้อเจ้อตั้งแต่วินาทีนี้เลย ไม่งั้นกูจับมึงจูนสมองใหม่แน่”
ชายหนุ่มผละไปเพื่อจะได้ใช้มือใหญ่ดันหัวเขาจนหน้าหงาย คนเก่าอาจยอมแต่ขอบฟ้าคนใหม่จะไม่ทน
“โอ๊ย! นี่ก็อีกอย่าง ทำไมพี่ชอบดันหัวผมนักวะ ถึงจะเงียบแต่ผมก็โกรธนะ ไม่ใช่ไม่โกรธ” เขาพูดฉุนๆ ไม่ต้องมามอง ไม่กอดแล้ว
“หึ อยากรู้จริงๆ เหรอ”
เจ้าผู้ชายปากร้ายแค่นยิ้มร้ายกาจระหว่างที่ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ขอบฟ้าหวนนึกถึงการพบกันครั้งแรกของพวกเขา ในดวงตาคู่ที่เคยดำมืดไม่เห็นก้นบึ้ง วิธีมองดูคนราวกับไม่เคยเห็นใครในสายตา มาบัดนี้พราวระยับอย่างมีความสุขขณะทอดสายตามองเขาด้วยความอ่อนโยน
“อยู่กับกูไปอีกสักห้าสิบ หกสิบปี กูอาจจะใจดียอมบอกมึงสักวัน”
ริมฝีปากที่ยังยกยิ้มกดแนบลงบนริมฝีปากเขาอย่างนุ่มนวล ถ่ายทอดความอบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาได้มาถึงจุดหมายปลายทางสักที
ขอบฟ้าอมยิ้มเมื่อจู่ๆ ก็นึกถึงตอนจบของนิทานออกจนได้
เช่นเดียวกับโดโรธี ผู้ค้นพบหนทางกลับบ้านของตนในที่สุด...
+++++++++++