Fallen and Destined 16
เมื่อกลับถึงห้องของกรในตอนเย็น ขอบฟ้าคาดหวังว่าชายหนุ่มจะรออยู่ในห้อง แม้ไม่ได้หวังถึงขั้นจะได้รับอธิบาย แต่เขาอยากแค่เห็นว่ากรยังไม่ลืม กรยังเห็นเขาในสายตา
หากห้องเงียบกริบทำให้ต้องผิดหวัง เขานั่งลงครู่หนึ่ง รู้สึกว่าควรต้องกินอาหารสักที เมื่อเช้ามัวแต่รีบเลยดื่มแค่นม ตอนกลางวันก็ไม่ได้กินข้าว ดื่มแต่น้ำไปนิดหน่อย ที่ยังมีแรงเดินกลับถึงบ้านได้นี่นับว่าโชคดีมาก
คุ้ยหาขนมปังที่แวะซื้อติดมาแกะ บังคับตัวเองให้กินแม้จะไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย ผลคือขนมปังยังไม่ทันหมดก้อนดี เขาก็วิ่งไปอาเจียนแล้ว
สุดท้ายจึงตัดใจ พยายามดื่มน้ำหวานๆ เข้าไปแทนแล้วอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นและกลับออกมานั่งรอกร
เขาอยากได้ยินสิ่งที่กรจะพูด ต่อให้ไม่ใช่คำอธิบาย เขาก็อยากได้ยินบางอย่างจากปากเจ้าตัว ไม่ใช่การอ่านข่าวเอาจากหนังสือพิมพ์
ดึกมากแล้วเมื่อขอบฟ้าได้ยินเสียงเปิดประตู ร่างสูงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหนื่อยๆ หากต้องชะงักเมื่อเห็นเขายังนั่งอยู่ที่โซฟาทั้งที่ปกติคงเข้านอนไปแล้ว
“ทำไมยังไม่นอน” กรพาดเสื้อสูทตัวนอกไว้กับเก้าอี้และเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์กระป๋องออกมา “เหนื่อยเป็นบ้า”
จับตามองกรที่ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัวด้วยอากัปกิริยาเหมือนปกติทุกประการ
กิจวัตรประจำวันธรรมดาๆ เสียจนขอบฟ้าคิดว่าข่าวในหนังสือพิมพ์ผิดพลาดหรือเปล่าด้วยซ้ำ คิดในแง่ดีไม่ถึงนาที ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น
“กูกำลังจะหมั้น” คนพูดเหลียวมามองหน้าเขา “ลินเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ไว้ว่างๆ จะพาไปรู้จัก”
พยายามทำความเข้าใจกับคำพูดที่ได้ยิน แต่สมองของเขาก็ประมวลผลได้ช้าเหลือเกิน “ทำไมต้องรู้จัก”
“เธอเป็นคนใจกว้าง คงรับเรื่องของมึงได้” กรเคาะนิ้วกับโซฟาพลางพูดเอื่อยๆ “คอนโดห้องนี้กูจะใส่ชื่อมึงเป็นเจ้าของ ส่วนเรื่องงาน...จะลาออกจากบริษัทก็ได้นะแต่ไม่ต้องห่วง จะใส่เงินไว้ให้ในบัญชีทุกเดือน”
คนฟังสูดหายใจ มองกรคล้ายกับไม่เข้าใจสักนิดเดียว
“คิดๆ ดู กูว่าลาออกให้หมดเรื่องเสียก็ดี งานที่มึงทำอยู่ก็ดูท่าจะไม่ได้รักได้ชอบอะไร บริษัทนี้ผลประกอบการก็ไม่ค่อยดี บางทีปีหน้าอาจจะแยกออกมาเป็นส่วนๆ แล้วทยอยขายหุ้น...”
เขาไม่ค่อยรู้เรื่องการทำธุรกิจเท่าไหร่หรอก แต่ก็อดแทรกขึ้นไม่ได้ “แล้วพวกพนักงานล่ะ พวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรใช่ไหม”
“พวกที่ยังใช้งานได้คงต้องให้ลาออกแล้วโอนเข้าบริษัทตั้งใหม่ในเครือ ส่วนที่เหลือ...” ชายหนุ่มชะงัก ตวัดตามองเหมือนไม่พอใจ “เลิกห่วงเรื่องชาวบ้านได้แล้ว กูถามจริงเหอะ มึงห่วงคนอื่นแต่พวกมันเคยแคร์มึงบ้างไหม ในบริษัทมีใครที่คบเป็นเพื่อนมึงอย่างจริงใจสักคนหรือเปล่า”
“มีสิ อย่างน้อยผมก็มีโอ้ มีหมูตอน มี...” ถึงจะเพิ่งเคยคุยกันแค่ครั้งเดียวแต่ขอบฟ้าก็นับรวมไปด้วย หากร่างสูงกลับลุกพรวด ตะคอกใส่หน้า
“นี่มึงยังนับไอ้กิ๊กหน้าอ่อนนั่นเป็นเพื่อนอีกเหรอ! นี่โง่หรือซื่อบื้อวะ! บอกไว้เลยนะว่าถ้ากูเห็นมึงยังกล้าไปหามันอีก กูจะไล่มันออกจากบริษัทวันนั้นเลย แล้วจะขึ้นแบล็คลิสต์เป็นของแถมให้อีกอย่าง” ตวาดตาขวางก่อนร่างสูงจะลุกมายืนค้ำหัว “สงสัยอะไรอีกไหม”
มีอีกหลายเรื่องที่อยากรู้ ขอบฟ้าอยากรู้ว่าทำไมกรถึงใจร้ายขนาดนี้ ทำไมยังสั่งให้อยู่ตรงนี้ในเมื่อชายหนุ่มมีคนที่ต้องการมากกว่าเขา ทำไมถึงไม่ไล่เขาไปให้พ้น ทำไมไม่ยอมปล่อยมือ ทำไมกรถึงไม่รักเขา
“...ไม่มีแล้วครับ”
พวกเขาสบตากันโดยไม่มีใครพูดคำใด ท้ายสุด กรเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี
“เข้าใจแล้วก็ดี คืนนี้กูจะไปค้างที่อื่น”
ขอบฟ้ารีบลุกตาม ใจหายเมื่อคิดว่ากรจะไปแล้ว แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่ก็อยากรั้งกรเอาไว้ พยายามเค้นสมองคิดหาหนทางที่จะไม่ให้กรเดินหันหลังจากไปจากห้องนี้และจากชีวิตของเขา
หากก่อนที่ปลายนิ้วจะทันแตะแผ่นหลังกว้าง เสียงพูดทุ้มแหบพร่ากลับหยุดเขาไว้เพียงเสี้ยววินาที
“บางครั้งกูก็เคยคิดนะ ว่าถ้าเราไม่ได้กลับมาเจอกัน... ถ้าเราไม่เคยพบเจอกันเสียตั้งแต่แรก... อะไรๆ มันอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้”
ทั้งที่เคยคิด...ว่าไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่เสียใจที่ชีวิตนี้ได้พบกับกร หากดูเหมือนว่ากรจะคิดไม่เหมือนกัน
มือที่เอื้อมออกไปชะงักค้าง เขาทำได้เพียงแค่ปล่อยกรไปและเดินกลับมาหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า พยายามเลือกหาเสื้อผ้าของตนเอง ที่ซื้อด้วยตัวเอง เหลือบไปเห็นถุงกระดาษข้างๆ จึงลากเข้ามาดูและพบชุดใหม่ๆ ที่เมื่อเช้าเขายังแอบนั่งลูบคลำ
น่าเสียดาย แต่คงไม่มีโอกาสใส่เสียแล้ว
เพราะสัมภาระที่ขนมามีไม่เยอะ ขอบฟ้าจึงใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บข้าวของส่วนตัวได้หมด ตัวเขากับกระเป๋าหนึ่งใบมาถึงป้ายรถเมล์ก่อนหยุดพัก
เนื่องจากคืนห้องเช่าไปแล้วจึงตั้งใจจะกลับบ้าน แต่พอนั่งรอไปสักพักถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าดึกป่านนี้คงไม่มีรถเมล์วิ่งแล้ว ขอบฟ้าที่นั่งรอพักใหญ่เลยตัดสินใจออกเดิน ไม่คิดหรอกว่าจะเดินไปจนถึงบ้านไหว เพียงแต่ตอนนี้เขาแค่อยากกลับบ้านมากๆ เท่านั้น
ไม่รู้ว่าเดินมานานแค่ไหน แต่ขาที่เริ่มแสดงอาการปวดตุบก็เริ่มล้า เขาลงนั่งพักอีกครั้ง นานกว่าครั้งแรก แม้จะไม่หายปวดแต่ก็ดีขึ้น จึงเลิกคิดสั้นพยายามหาแท็กซี่สักคันแทน หากแถวที่เดินมานี่ไม่ค่อยมีแทกซี่วิ่ง จึงกระโผลกกระเผลกขึ้นเดินต่อเพื่อหวังไปถึงบริเวณลานเบียร์ที่เคยนั่งรถผ่านอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยคิดจะแวะกิน คิดว่าถ้าไปถึงแถวนั้นน่าจะหารถแทกซี่ได้ง่ายกว่า
“เฮ้ย มึงดูนั่น” หากแค่เฉียดเข้าใกล้บริเวณที่เปิดไฟสว่างไสวของจุดหมาย ตามองเห็นแทกซี่จอดเรียงอยู่ไกลๆ หูเขาก็ดันได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยินเสียแล้ว “คนขาเป๋ว่ะ”
ฟังจากเสียงอ้อแอ้ เขาก็เดาได้ว่าคนพูดคงเมาเลยตั้งใจเดินต่อไปข้างหน้าเงียบๆ
“เฮ้ย น้องๆ” แม้จะไม่แน่ใจ แต่ก็อดเหลียวไปตามเสียงเรียกไม่ได้ “เอ้า นี่”
ขอบฟ้าหน้าชาเมื่อเห็นคนที่ส่งเสียงเรียกยื่นเงินยี่สิบบาทให้ ไม่ว่าจะด้วยความไม่รู้หรือเจตนา หากเขารีบเดินให้เร็วขึ้นเพื่อหวังไปให้พ้นจากจุดนั้นโดยไม่ใส่ความเจ็บปวดหรือท่าทางว่าจะยิ่งตุปัดตุเป๋มากแค่ไหน
ยิ่งเห็นโต๊ะอื่นที่ไม่ได้เมามองมาอย่างนึกเห็นใจ เขายิ่งอยากร้องไห้
ทันใดนั้น กลับมีมือข้างหนึ่งคว้าบ่าเขาไว้ เหลียวขวับไปด้วยอาการตกใจแต่พอเห็นใบหน้าคุ้นเคยจึงเอ่ยตะกุกตะกัก “พะ...พี่อาย”
“เออ พี่เอง” พี่ชายของอักษรพยักเพยิดหน้าทักทายตอบพลางขมวดคิ้ว “เห็นแว่บแรกคิดว่าไม่ใช่ ดึกป่านนี้มาทำอะไรแถวนี้”
“จะไปเรียกแทกซี่กลับบ้าน” อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงบริเวณที่แทกซี่จอดรอผู้โดยสารอยู่แล้ว “ขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวไปส่ง รอตรงนี้แป๊บนึง” คนบอกง่ายเดินไปได้สองก้าวแล้วเปลี่ยนใจ ย้อนมาคว้าแขนเขา “เดินไปด้วยกันดีกว่า รถจอดอยู่ข้างหลังนี่เอง”
เพราะไม่ได้เอ่ยถามความสมัครใจ ขอบฟ้าจึงเดินไปในลักษณะถูกลาก กระนั้น ร่างสูงก็ไม่ได้เดินเร็ว กลับทอดขายาวๆ ในจังหวะเนิบช้าให้ขอบฟ้าเดินตามทัน ไม่นาน พวกเขาก็นั่งคู่กันอยู่ในรถที่กำลังขับไปตามถนนช่วงค่ำคืนแบบไม่รีบร้อน
บอกทางด้วยความเกรงใจขณะนิ่วหน้า แอบบีบนวดขาตัวเองไปด้วยหวังให้คลายอาการปวดเกร็งลงบ้าง คนขับชำเลืองมองเขาเป็นพักๆ แต่ไม่เอ่ยถามอะไรให้อึดอัดใจ จนกระทั่งถึงที่หมาย ขอบฟ้าจึงยกมือไหว้ขอบคุณและเดินไปหน้าตึกแถวคูหาที่มืดสนิทเนื่องจากไม่มีคนอยู่บ้าน
หากสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้เลวร้ายมากแล้ว การพบว่ากุญแจบ้านหายไปคงเลวร้ายมากยิ่งกว่า เขายืนล้วงหากุญแจอยู่นานจนเหงื่อตก ก่อนจะยอมรับด้วยความสิ้นหวังว่าทำกุญแจบ้านหายไปไหนก็ไม่รู้
“นี่ ถ้าไงไปนอนห้องฉันก่อนก็ได้” พี่อายซึ่งเดินตามมายืนข้างๆ เสนอแนะ “มาเถอะ ดึกมากแล้วนะ”
บางที เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งนึกเกรงใจหรือหาเหตุผลอะไรอีก จึงเดินตามร่างสูงกลับไปที่รถต้อยๆ ระหว่างทาง พี่อายก็พยักเพยิดหน้าถาม
“จะแวะหาหมอไหม ขาเจ็บไม่ใช่เหรอ”
ขอบฟ้าขมวดคิ้วก่อนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกครับ ผมมียาแก้ปวดอยู่ เดี๋ยวกินยาสักพักก็ดีขึ้นเอง”
คนขับจับพวงมาลัยรถด้วยมือข้างเดียวและใช้มืออีกข้างควานหาของข้างประตูรถมาส่งให้ “งั้นก็กินเลยสิ”
รับขวดน้ำมาถือไว้ก่อนควานหากระปุกยา โชคดีที่ไม่ได้ซุ่มซ่ามทำหายแบบกุญแจบ้าน กลืนน้ำตามจนหมดขวดแล้วเขาก็หลับตาพัก จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียก
“เอ้า ถึงแล้ว ลงมา” เหลียวมองรอบตัวก่อนเดินตามอย่างว่าง่าย ได้ยินเสียงอธิบายขณะเจ้าตัวพยายามไขกุญแจ “ที่นี่เป็นออฟฟิศของบริษัท แต่มีห้องพักไว้เวลาใครทำงานดึกมากๆ แล้วขี้เกียจกลับ”
คนเดินนำเข้าลิฟต์กดชั้นบนสุดของอาคารสูงห้าชั้นแล้วเหลียวมาบอก “ที่ไม่ได้พาไปบ้านเพราะคิดว่านายคงยังไม่อยากเจอเจ้าโอ้ ...ฉันคิดถูกหรือเปล่า”
ลังเลนิดหน่อยก่อนเขาจะตอบ “โอ้คงยังโกรธผมอยู่...”
“ถึงน้องชายฉันจะอายุขนาดนี้แล้ว แต่มันก็ยังมีนิสัยเหมือนเด็กอยู่หลายอย่าง โอ้เป็นลูกคนเล็ก เป็นน้องคนสุดท้องของบ้าน ทุกคนก็รุมตามใจมันตั้งแต่เด็ก สมัยก่อน เวลาอยากได้อะไรก็ร้องงอแงจะเอาให้ได้จนคนรอบข้างต้องยอม เวลาทำผิดพลาดก็มีคนคอยช่วย คอยตามแก้ไขให้ทุกอย่าง เพราะโดนสปอยล์มากขนาดนี้ เลยทำให้บางครั้งมันก็เหมือนคนเอาแต่ใจตัวเองไปบ้าง ฉันก็มีส่วนให้มันติดนิสัยเสียแบบนี้ อย่าไปถือสามันมากเลย”
“อื้อ ผมไม่ได้โกรธโอ้หรอก แค่...คิดว่ายังไม่เจอหน้าช่วงนี้น่าจะดีกว่า”
เรื่องราวค้างคาระหว่างเขากับอักษรดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นทุกวันจนขอบฟ้านึกวิธีสะสางไม่ออกเสียแล้ว
ห้องพักตรงมุมสุดทางเดินมีแค่เตียง โต๊ะวางของกับตู้เสื้อผ้า แต่ดูสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนทำความสะอาดเป็นประจำ
“ห้องน้ำใช้ห้องด้านนอกนี่ได้ มีฝักบัวอาบน้ำพร้อม ในตู้มีผ้าขนหนู แปรงสีฟันสำรองอยู่ นายหยิบใช้ได้ตามสบาย” พี่อายเปิดไฟ เปิดเครื่องปรับอากาศให้เสร็จสรรพ “จะพักกี่วันก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกเพื่อนไว้ให้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ส่วนของออฟฟิศก็ไม่เกี่ยวกับชั้นนี้ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมาวุ่นวาย”
ขอบฟ้ารับกุญแจมาและยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ แต่ผมคงรบกวนแค่คืนนี้ ไว้พรุ่งนี้คงจัดการเรื่องกุญแจบ้านได้ ส่วนกุญแจของที่นี่ ไว้ผมจะแวะไปคืนให้นะครับ”
“เออ เก็บไว้เหอะ ไม่ต้องรีบคืน” ร่างสูงถอยไปมองเขาขยับเก้งก้าง วางกระเป๋าเสื้อผ้าลงกับพื้นและนั่งนวดขาที่ยังปวดตุบๆ แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้น “เจ็บมากไหม”
เขาชะงักก่อนตอบไปตามใจคิด “เจ็บมากๆ มันปวดเหมือนขาจะหลุดเลย”
“บอกแล้วว่าจะพาไปหาหมอ ดื้อว่ะ” บ่นพลางเดินมาหยุดตรงหน้า มือใหญ่ยกลูบหัวเขาเบาๆ ขอบฟ้านึกถึงทิวหมอก พี่เขาก็เป็นแบบนี้ ดุ เข้มงวด แต่ในบางครั้งก็แสดงความเป็นห่วงน้องชายไม่ได้เรื่องอย่างเขา เป็นพี่ชายที่ภาคภูมิใจเสมอ “อ้าว เฮ้ย! เป็นอะไร เจ็บจนร้องไห้เลยเหรอวะ ไม่ได้การแล้ว รีบไปหาหมอ...”
“ไม่ ไม่ได้ร้องเพราะเจ็บขา” ขอบฟ้าแก้ตัวเป็นพัลวัน ยกมือปาดน้ำตาที่ไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ช่างมันเถอะครับ ขาผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”
“ขาไม่เป็นไรแล้วร้องไห้ทำไม” พี่อายย่อตัวลงนั่งยองๆ ใช้สองมือประคองหน้าเขาไว้ “ยังเจ็บตรงไหน ลองบอกพี่อายซิ”
แทนที่จะได้หยุดร้อง น้ำตากลับยิ่งหยดเอาๆ จนขอบฟ้าเริ่มสะอื้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ฮึก เจ็บ...เจ็บตรงนี้ครับ” เขาทุบหน้าอก ตบลงตรงตำแหน่งหัวใจ “มันเจ็บมากๆ ...เจ็บจนเหมือนกำลังจะตายเลย”
“เฮ้อ เด็กหนอเด็ก” ทรุดตัวลงนั่งด้านข้างพร้อมโยกหัวเขาเข้าไปให้ซบลง “เอาเถอะ อยากร้องก็ร้องไป อยากพูดอะไรก็พูดออกมาให้หมด เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น ต่อให้ฉันจะช่วยอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ช่วยรับฟังได้นะ”
อีกฝ่ายคงเห็นเขายังมีท่าทีอ้ำอึ้งไม่แน่ใจจึงเอ่ยนำแบบกึ่งคาดเดา
“เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า คนที่เคยเห็นอยู่กับนายที่ร้านกาแฟน่ะ”
จริงสิ พี่อายเองก็เคยเห็นกรมาแล้ว ตอนนั้นเขายังนึกกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องด้วยซ้ำ เมื่อนึกได้ว่าไหนๆ พี่อายก็รู้อยู่แล้วจึงพยักหน้ารับหงึก
“ครับ เขานั่นล่ะ เราทะเลาะกันนิดหน่อย”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขอบฟ้าได้แต่เก็บสิ่งที่คิดไว้ในใจเสมอ ด้วยเพราะไม่มีใครคิดจะรับฟัง ดังนั้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เขาจึงอดพูดเสียงกระท่อนกระแท่นด้วยแรงสะอื้นไม่ได้
“เขาบอกว่าผมไม่มีหัวใจ แต่ผมมีนะ ผมรักได้และเจ็บกับความรักนั้นมากๆ ด้วย จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า มันจะดีกว่าไหม...ถ้าผมไม่มีหัวใจจริงๆ”
คนข้างๆ ถอนหายใจ ลูบหัวเขาพร้อมกล่าวเสียงเรียบ
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนเราจะมีหัวใจไว้เพื่อเจ็บปวดเท่านั้น เพราะนายมีหัวใจ นายเจ็บแต่ก็ได้รักใครสักคนไม่ใช่เหรอ ดูอย่างเจ้าหุ่นกระป๋องในเรื่องพ่อมดแห่งออซสิ มันยังบากบั่นออกเดินทางผจญภัยเพื่อขอให้ตัวเองมีหัวใจเลย ฉะนั้นนายอุตส่าห์มีหัวใจดีๆ อยู่กับตัวแล้ว จะทิ้งมันไปทำไมกัน หืม”
ขอบฟ้าหยุดคิดนิดหนึ่ง กลืนน้ำลายก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่คลายเสียงสะอื้นลงไปมาก “ที่จริง ผมคงเป็นหุ่นไล่กาหน้าโง่ที่อยากได้สมองมากกว่า”
“หึ หึ” หัวเราะแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำ บิดพอหมาดมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ “ฉันว่านายน่าจะเป็นเจ้าสิงโตขี้ขลาดตัวนั้นนะ เจ้าตัวที่มันอยากกล้าหาญน่ะ เพราะเท่าที่เห็น นายแค่ดูเงียบๆ หงอๆ แต่ไม่ได้ดูโง่อะไรนี่นา”
ไม่รู้เพราะโดนแกล้งถูหน้าแรงๆ จนแสบหรือเปล่า เขาจึงหยุดร้องไห้ไปโดยปริยาย ก้มหน้าลงมองตักตัวเอง “คงงั้นมั้งครับ ผมมันคนโลภมาก ขาดตั้งหลายอย่างเองล่ะ”
“แล้วนายจำได้หรือเปล่าว่าสุดท้าย หุ่นกระป๋อง หุ่นไล่กากับเจ้าสิงโตนั่นได้เจอสิ่งที่ตามหาไหม”
ขมวดคิ้วมุ่นก่อนตอบอ้อมแอ้ม “จำไม่ได้ มันเลือนๆ อ่านตั้งแต่สมัยประถม แต่คิดว่าคงเจอมั้ง”
“ตอนจบ พวกมันได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ตามหาล้วนค้นพบได้ที่ตัวของมันเอง ขอเพียงแค่รู้จักมองเห็นคุณค่าในตัวเองก็พอ” พี่อายส่งยิ้มอบอุ่นให้เขาที่เงยหน้าขึ้นจากตักเพื่อสบตา “อะไรมันหนักนักก็โยนทิ้งไปเสียบ้าง นายไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างเอาไว้กับตัวหรอก ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองล่ะ ไม่เป็นไร”
คำปลอบโยนนั้นไม่ได้มีที่มาจากการรู้ตื้นลึกบางหนาใดๆ หากมันกลับช่วยประคับประคองอะไรในอกที่มันปวดเจียนตาย พาลให้คิดตามไปว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า วันที่เรื่องราวทั้งหมดจบลงในที่สุด เขาคงไม่เป็นไรอย่างที่พี่อายบอกจริงๆ
++++++++++