Chapter 29 : ความกลุ้มใจนี้ ชายหนุ่มเจ้าของห้องพักในคอนโดมิเนียมริมหาดนั่งกอดตุ๊กตาปลาฉลาม เอนหลังอยู่บนเก้าอี้แบบที่ปรับให้เอนนอนได้ซึ่งตั้งอยู่บนระเบียง สายตาทอดมองท้องทะเลซึ่งดูสงบนิ่งและดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือปลายฟ้าอย่างเชื่องช้า เขาถอนหายใจหนักๆ หลายครั้ง พลางเอื้อมมือไปหยิบน้ำเต้าหู้แบบกล่องมาดูดเฮือกใหญ่
น้ำก้มลงมองกล่องน้ำเต้าหู้ในมือ พร้อมกับส่ายหน้าไปมาให้กับสภาพตัวเองในเวลานี้ เขาบ่นอยู่ในใจ...
เท่ฉิบหายเลยกู กลุ้มใจจนนอนไม่หลับ ต้องลุกมาแดกน้ำเต้าหู้แต่เช้าแบบนี้
ก็เพราะเมื่อคืน... พอกลับมาถึงห้องเขาก็ต้องรีบไปปลดปล่อยตัวเองในห้องอาบน้ำ คนอย่างเขาเนี่ยนะ มีแฟนแล้วแต่ยังต้องอาศัยมือของตัวเอง ถ้าพวกไอ้ตั้งใจรู้เข้า พวกมันคงหัวเราะเยาะดังไปถึงชายหาดพัทยา สะเทือนไปทั้งอ่าวไทย
“เฮ้อ...” ใครจะรู้ว่าไอ้เสืออย่างเขามันกลายเป็นเสือสิ้นลายไปแล้ว กับเมฆนี่ เขาไม่กล้ารุก ไม่กล้าทำอะไรเลย ใจกังวลอยู่แต่กับความรู้สึกของอีกฝ่าย
ขณะที่กำลังหายใจทิ้งไปเรื่อยเปื่อย เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มจึงรีบลุกไปเปิดประตู ถ้าเป็นตอนเช้าวันอาทิตย์ ก็คงไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน
“อยากกินข้าวมันไก่” คนเปิดประตูบ่นทันทีที่เห็นถุงพลาสติกขนาดใหญ่ในมือเพื่อน
“ไม่มีโว้ย มึงไม่เสือกบอกก่อนล่ะ วันนี้มีข้าวหมูแดง”
“ลืม... มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ” น้ำเดินคอตกกลับเข้าไปในห้อง
เพื่อนพ้องกรูกันเข้าไปในห้องครัวเฉกเช่นทุกครั้ง ตั้งใจ ไข่ย้อยและใบตองหยิบจานและแก้วน้ำมาจัดโต๊ะอาหาร ส่วนที่เหลือแกะห่ออาหารจัดใส่จานให้เรียบร้อย ฝ่ายเจ้าของห้องน่ะหรือ เขานั่งคอยอย่างราชาเหมือนทุกที
“เป็นห่าไรวะไอ้น้ำ เมื่อวานเพิ่งไปเดตมาแท้ๆ ทำไมทำหน้าเหมือนโดนหนังกะติ๊กรัดไข่แบบนี้วะ”
“เออ ไม่หนุกเหรอ” เพื่อนพ้องถามด้วยความเป็นห่วง
นัยน์ตาเรียวรูปเมล็ดอัลมอนด์หลุบลงต่ำ เขาตอบเพื่อนๆ ไปเสียงอ่อย “หนุกอะหนุกอยู่ แต่แบบ... ไอ้เหี้ย... กูทำอะไรไม่ถูกเลย”
เต้าหู้ซึ่งกำลังเทน้ำราดหมูแดงลงในชามแทบจะทำถุงหลุดมือ เนื่องจากไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากไอ้เพื่อนที่ได้รับฉายาเจี๊ยวหวานมาก่อน “หา! ผีเข้าไอ้น้ำเหรอวะ พวกมึงถอดพระมาใส่ให้แม่งที”
“มึงเคยมีแฟนมาเป็นสิบ ไอ้สัตว์น้ำ อย่ามาทำกระแดะเป็นสดซิง!”
“พวกมึงไม่เข้าใจ เมฆไม่เหมือนคนอื่น”
“ไม่เหมือนสิวะ มันเป็นผู้ชายนี่หว่า”
“ไม่ใช่โว้ย” น้ำส่งสายตาดุๆ ใส่ “มึงเข้าใจมั้ย อารมณ์แบบ... กลัวไปหมด กลัวทำให้เขาไม่พอใจ กลัวทำให้เขาตกใจ... แต่ก็อยากใกล้ชิดอะ”
ตั้งใจพยักหน้าหงึกหงัก “ขนลุกว่ะ เพิ่งเคยได้ยินมึงปรึกษาเรื่องแบบนี้... แต่ว่านะ พวกมึงเพิ่งจะเดตกันครั้งแรกก็ประหม่าเป็นธรรมดา ครั้งต่อๆ ไปก็ดีขึ้นเองแหละ”
“หรือว่ากลัวจะเสียชื่อสัตว์น้ำของมึงวะ ไม่ได้ฟันในเดตแรกไม่ตายหรอก”
“ไอ้พวกเหี้ย!” ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอื้อมมือไปคว้าหนังสติ๊กที่วางกองอยู่บนโต๊ะมาดีดใส่เพื่อนทีละคน “กูซีเรียสนะ”
“โอ๊ยๆ กลัวแล้วครับไอ้สัตว์น้ำ!” พวกเพื่อนๆ หลบหนังสติ๊กกันเป็นพัลวันพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
“มึงทำตัวใสๆ แบบนี้ค่อยสมกับหน้าตาหน่อย” ใบตองลูบศีรษะเพื่อนรักอย่างเบามือ “ไม่ต้องคิดมากน่ะมึง ปล่อยให้ความรู้สึกของพวกมึงเพิ่มขึ้นตามตามเวลา ไม่ต้องรีบเร่งนักหรอก ค่อยๆ เรียนรู้ปรับตัวเข้าหากันไป”
น้ำเงยหน้าขึ้นมอง “อือ”
“กับคนที่ชอบน่ะ แค่นั่งอยู่ด้วยกันเฉยๆ ก็รู้สึกว่าสนุก สุขจนเหมือนตัวจะลอยแล้วใช่มั้ยล่ะ”
คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงักพลางยิ้มบาง “นั่นสินะ”
พอสบสายตากันใบตองก็ชะงักกึก จากนั้นจึงขยับเข้าไปโอบกอดศีรษะของน้ำไว้หลวมๆ “โอ๊ย! มึงแม่งน่ารักน่าปล้ำฉิบหาย! กูว่าถ้าไอ้เมฆเจอมึงทำหน้าแบบนี้ใส่แม่งก็คงอยากปล้ำมึงเหมือนกันนะ”
“น่าปล้ำ?” น้ำเลิกคิ้วขึ้น “มึงอยากปล้ำกูเหรอ”
ใบตองผลักศีรษะของน้ำออกห่าง “ไอ้ห่า! ถามอะไรน่าขนลุก! กูแค่พูดถึงเฉยๆ โว้ย!”
แต่น้ำยังไม่ยอมหยุด คราวนี้เขาหันไปถามตั้งใจ ไข่ย้อย เต้าหู้และป๊อกเด้งเรียงตัวทีละคน “มึงอยากปล้ำกูมั้ย”
ได้รับคำตอบมาเป็นคำเรียกสารพัดสัตว์แล้วก็ยังไม่พอใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด “พวกมึงว่าเมฆจะอยากปล้ำกูมั้ยวะ”
“มันก็เป็นผู้ชายนะมึง มันรักมึงมันก็น่าจะอยากปล้ำมึงน่ะแหละ” ตั้งใจเป็นตัวแทนทุกคนตอบให้แบบขอไปที ตบท้ายด้วยการแขวะอย่างรู้ทัน “ทีมึงยังคิดอยากจะปล้ำมันเลยไม่ใช่รึไง”
“กูยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นโว้ย แค่อยากใกล้ชิดให้มากขึ้นเฉยๆ” คนถูกถามแก้ตัวทันควัน
หากภาพของชายหนุ่มที่ค่อยๆ วางอาหารเม็ดเพ็ดดีกรีทีละเม็ดล่อให้เจ้าสุนัขแสนซื่อเข้ามาติดกับปรากฏขึ้นในศีรษะ น้ำจุดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์แบบที่เพื่อนพ้องเข้าใจความหมายของมันดี
ไอ้ห่าน้ำมันกำลังคิดอะไรมิดีมิร้าย อยู่ในหัวแน่ๆ เหล่าเพื่อนรักคิดอยู่ในใจ
สายตาทุกคู่จ้องมองเจ้าของห้องนิ่งอยู่สักพัก พวกเขาพร้อมใจกันเบะปากด้วยความหมั่นไส้ หลังจากนั้นก็มีเสียงของเพื่อนในกลุ่มดังขึ้นทีละคน
“แต่อาทิตย์นี้น่ะ ถ้าไอ้เมฆมันไม่มีเวลาให้มึงก็อย่างอนมันล่ะ อาทิตย์นี้มีงานสำคัญหลายงาน ทั้งชิงรุ่น รับเกียร์ บายศรี”
“แล้วอีกไม่นานก็จะมีสอบมิดเทอม”
“งานลอยกระทงด้วย”
“หลังจากนั้นก็ยังต้องเตรียมตัวสอบไฟนอลอีก”
“มีแฟนปีหนึ่งคงต้องทำใจหน่อยว่ะ อยากทำอะไรก็คงทำไม่ได้ง่ายๆ สมใจ”
“มึงคงรักษาชื่อสัตว์น้ำไว้ได้ลำบากแล้วล่ะ”
“ทำไมพวกมึงดูมีความสุขกับความทุกข์ของกูจังวะ” น้ำขมวดคิ้ว ขณะที่เพื่อนพ้องพากันขำ
“สมน้ำหน้ามึงแล้ว อยู่คู่ชื่อสัตว์น้ำต่อไปเถอะมึง!”
..
.....
..
หลังจากมื้ออาหารเช้า เมฆลากเพื่อนรักทั้งสองคนเข้าไปในห้องของตนที่หอสิบ วันนี้ไม่มีใครอยู่ เขาจัดการล็อกประตูแล้วสุมหัวกับเพื่อนๆ
“พวกมึงฟังนะ กูซีเรียสมาก” เด็กหนุ่มมีสีหน้าเครียด เขาผ่อนลมหายใจออกยาว จากนั้นจึงพูดต่อ “...พวกมึงคบกับกูมานานก็รู้ใช่มั้ยล่ะ ว่ากูน่ะ ยังซิง...”
“เออ รู้ด้วยว่าเกือบเสียซิงให้พี่เชอร์รี โอ๊ย!” ตำลึงพูดแทรก แต่แล้วก็โดนตบกบาลฉาดใหญ่
“ก็เพราะพวกมึงไม่ใช่เรอะไง!” เมฆเผลอตวาด แล้วลดเสียงลง “ประเด็นของกูคือ... สมมติว่า... วันหนึ่งกู... กูอยาก... พี่น้ำ...” ความเขินทำให้เด็กหนุ่มบิดตัวไปมา “แต่...”
“ทำไม่เป็น” แหนมพูดแทนอย่างรำคาญ “เมื่อวานมีของฝากให้กูเปล่า ไม่มีหัวไม่แล่นโว้ย”
“เหี้ย! ทำไมต้องทวงของฝากตอนนี้ด้วยวะ” เมฆชี้ไปยังกองถุงใส่ขนมจากและข้าวหลามที่ข้างเตียง “กองนั้นอะของพวกมึง ไปหยิบมาแดกแล้วฟังกูต่อ”
เสียงกรอบแกรบของใบขนมจาก เสียงพูดคุยปรึกษากัน และเสียงช้อนแคะข้าวเหนียวออกจากบ้องข้าวหลามดังคละเคล้ากันอยู่สักพัก
“คือว่า สถานะของกูตอนนี้อะนะ แค่จะทำให้พี่น้ำเขิน กูยังไม่มีปัญญาเลย”
เพื่อนทั้งสองเบะปาก “ถุย! แล้วเสือกจะข้ามขั้นไปแอดว้านซ์ ไอ้ลูกหมา!”
“กูก็ถามเผื่อไว้ก่อนไงโว้ย เผื่อโอกาสมากูจะได้ไม่วืด!”
“กว่าโอกาสจะมา มึงจะไม่ลืมวิธีทำไปแล้วเหรอวะ”
“นี่มึงคิดว่าโอกาสกูจะมาอีกห้าสิบปีข้างหน้าเลยเรอะ ไอ้เพื่อนเหี้ย ดูถูกกูเกินไปแล้ว กูจะบอกให้นะ เมื่อวานที่ไปเดตอะ พี่น้ำอ่อยกูด้วยโว้ย”
แหนมกับตำลึงพร้อมใจกันกลอกตามองบนแล้วเบะปากใส่ “มโน!”
ราวกับโดนกระตุกหนวดเสือ เมฆทำเสียงเข้มข่มเพื่อน “กูไม่ได้มโนนะเว้ย ถึงกูจะไม่เคยคบกับใคร แต่ก็ไม่ใช่ว่ากูไม่เคยมีคนมาอ่อยนี่หว่า”
“เออ เชื่อก็ได้” เพื่อนรักทั้งสองเออออไปเพราะขี้เกียจจะเถียง หากก็ไม่วายพึมพำเสียงเบา “อย่างพี่น้ำเนี่ยนะ หน้านิ่งอย่างกับฉาบปูนไว้แบบนั้น กูนึกท่าไม่ออกเลย”
ตำลึงใช้กระบอกข้าวหลามที่เขาจัดการเนื้อในจนเกลี้ยงแล้วเคาะลงบนพื้นหลายๆ ครั้ง พลางขมวดคิ้ว “กูว่าเรื่องแรกสุดที่มึงต้องกังวลคือ ไอ้นั่นของมึงกับของพี่เขาจะตั้งได้มั้ยตอนที่ต้องลงสนามรบอะ พี่เขาเป็นผู้ชายนะมึง มีแท่งๆ เหมือนมึงด้วย”
“.....” เมฆนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาใช้นิ้วชื้ทั้งสองข้างจิ้มกันรัวๆ ก่อนจะตอบออกมาเสียงแผ่ว “กูมั่นใจว่ากูอะได้”
“มึงเคย... เอ้อ...” ตำลึงทำท่าสาวไหมบอกใบ้ ซึ่งพออีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักเขาก็ถามต่อ “แล้วมึงว่าพี่น้ำจะได้มั้ย”
“อันนี้กูก็ไม่รู้ว่ะ”
“เอาเหอะ อย่างน้อยมึงตั้งได้ก็หมดปัญหาไปเปลาะแล้วล่ะมั้ง”
“แต่ที่สำคัญคือพอลงสนามแล้วกูไปต่อไม่เป็นไงมึง”
ในขณะที่ตำลึงกับเมฆกำลังปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด แหนมย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง “เอาจริงๆ นะ ไอ้เหี้ยเมฆ มึงมาถามพวกกูนี่ คงจะได้เรื่องหรอก มึงไปดูเอาจากหนังโป๊โน่น ทำเหมือนๆ กันแหละ”
“เออ จริงของไอ้แหนม แต่ถ้าอยากเจาะลึก มึงต้องดูหนังโป๊เกย์” ตำลึงช่วยเสริม
“แล้วกูจะไปหามาจากไหน... จะให้ไปหาซื้อ... โอย... ไม่มีทาง” เมฆยกมือขึ้นกุมขมับ
“กูว่าพี่มดดำมีแหงๆ”
“กูไม่ไปขอนะ!” แต่แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธกันไปมา
ตำลึงนั่งกุมขมับ “เอางี้ มึงไปสำรวจมาก่อนไอ้เมฆ ว่าพี่น้ำของมึงเนี่ยจะออกรบกับมึงได้มั้ย แล้วค่อยมาคิดเรื่องตำแหน่งกับท่ากันต่อ”
เมฆกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้ว “ตำแหน่ง?”
เพื่อนทั้งสองคนหยุดชะงัก แล้วหันไปจ้องคนที่นั่งทำหน้าซื่อบื้อโดยพร้อมเพรียงกัน “มึงอยากจะรุกหรืออยากจะรับไงไอ้เหี้ย!”
“หา! มีงี้ด้วยเหรอวะ!” ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “เอ้อ... กู... ยังไม่เคยคิดไกลถึงขนาดนั้น ตอนที่...” เมฆทำมือสาวไหมประกอบบทบรรยายอีกครั้ง “กูก็นึกถึงแค่หน้าพี่เขาไง”
“ไอ้เวร! ไอ้เมฆ! มึงไม่ต้องลงดีเทลได้ปะ” แหนมยกมือขึ้นตบศีรษะเพื่อนไปหนึ่งที
“ถ้างั้น... แล้ว... แล้วไอ้ตำแหน่งนี่มันจะดูยังไงวะเนี่ย”
“ก็แบบ...” ตำลึงเกาศีรษะแกรกๆ “เอางี้ ก็เหมือนเวลาดูหนังโป๊อะ มึงคิดว่าตัวเองเป็นคนถูกจิ้มหรือเป็นคนจิ้มล่ะวะ”
“ไอ้ห่า ก็ต้องเป็นคนจิ้มสิวะ กูเป็นผู้ชายนี่หว่า”
แหนมขมวดคิ้ว “ถ้ามึงคิดงั้น พี่น้ำเขาก็เป็นผู้ชายนะมึง พี่เขาก็คงไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจิ้มแล้วร้องอิคึๆ อยู่ใต้ตัวมึงหรอก”
สีหน้าของเมฆยิ่งงงหนัก “แล้วไอ้ตำแหน่งนี่ มันผลัดกันได้ปะวะ”
“ผลัดกันได้ไม่ได้กูก็ไม่รู้ กูว่าอันนี้มึงต้องไปตกลงกับพี่น้ำของมึงว่ะ”
“แล้วกูจะรู้ตำแหน่งกูได้ไงวะ”
แหนมนั่งนิ่ง ลูบคางไปมาด้วยท่าทีแบบขงเบ้ง ก่อนจะตั้งทฤษฏีขึ้น “คือว่านะ กูจะบอกให้เอาบุญ ทฤษฏีการรุกรับข้อแรก ตามสมการการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ให้มึงแบ่งแยกที่ความสูงก่อน”
“เคลื่อนที่ในแนวดิ่งเกี่ยวอะไรด้วยวะ” เมฆสบสายตาคนเสนอทฤษฏีอย่างงงๆ
“เสือก! เรื่องของกู มึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อฮะ!” แหนมใช้วิธีโวยวายไว้ก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถามอะไรมาก “ฟังกูให้ดีๆ นะ ใครสูงกว่าก็ควรจะเป็นฝ่ายรุก แต่มึงกับพี่น้ำตัวสูงใกล้เคียงกัน ถ้าไม่ยืนคู่กันก็แยกด้วยตาเปล่าลำบาก เพราะงั้นอาจจะต้องตัดกันที่หน่วยมิลลิเมตร”
“แต่ไอ้เมฆมันอาจจะยังสูงได้อีกนะมึง” ตำลึงแย้ง “ดังนั้นถ้าวิธีแรกวืด มึงมาดูทฤษฎีการรุกรับข้อที่สองของกูดีกว่า อ้างอิงจากทฤษฏีสัมพันธภาพของไอร์นสไตน์ ยิ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง เวลาจะยิ่งเดินช้าลง เพราะงั้น... ใครจู๋ใหญ่กว่าเป็นรุก”
แหนมหันไปเหน็บเบาๆ “มึงเชยจังว่ะ ถ้าจะพูดถึงไอร์นสไตน์ ยุคนี้มึงต้องพูดถึงคลื่นความโน้มถ่วงแล้วมั้ย”
ตำลึงเถียงกลับ “คือเรื่องคลื่นความโน้มถ่วงมันยากไงมึง กูยังอ่านไม่เข้าใจเลยเนี่ย”
“เดี๋ยวๆ สนใจกูก่อน ทฤษฎีเหี้ยอะไรของพวกมึงวะเนี่ย! มันเกี่ยวอะไรกันตรงไหนวะ!” เมฆลุกขึ้นตวาดเพื่อนรักช่างมั่วทั้งสอง “แล้วขนาดอะไรนี่กูจะไปหาดูจากไหน ของกูเองยังไม่เคยวัดเลย!”
ตำลึงเงยหน้าขึ้นตอบ “มึงก็เริ่มวัดตั้งแต่วันนี้เลยสิวะ ถ้ามึงวัดลำบากก็เรียกพวกกูนี่”
เด็กหนุ่มอยากจะจับเพื่อนรักทั้งสองไปถ่วงน้ำเสียเหลือเกิน ปากเอ่ยคำสรรเสริญออกไปไวกว่าความคิด “ไอ้พวกเหี้ย!”
“เอาน่ะๆ ไอ้เมฆ ใจเย็นๆ ก่อน” แหนมกระตุกชายเสื้อของเพื่อนเบาๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟนขึ้นมากูเกิลหาข้อมูล “นี่ไงมึง วิธีสังเกตขนาด จะได้กะขนาดของพี่น้ำคร่าวๆ ได้ไง มาๆ พวกมึง มามุงกัน”
“วิธีการดูความยาว ให้ดูจากความยาวของสันดั้ง รูปแบบของสันดั้งสามารถบอกหน้าตาของจู๋ได้ โอ้โห!” คนอ่านเงยหน้าขึ้นพิจารณาสันดั้งของเพื่อนรักทันที “ไอ้ตำลึง มึงจมูกแบน แล้วก็บานด้วย...”
เจ้าของชื่อส่ายหน้ารัว “ไอ้เหี้ย วิธีนี้แม่งไม่จริง จู๋กูไม่แบนนะ ดูวิธีต่อไปเลย”
“อะๆ ให้ดูความยาวจากปลายนิ้วกลางถึงกลางฝ่ามือ หรือเอานิ้วนางกับนิ้วก้อยมาต่อกัน”
คราวนี้สองหนุ่มหันไปคว้ามือของเมฆขึ้นมาดู “โห! ไอ้เมฆแม่งนิ้วโคตรยาว! ไหนๆ มึงเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งทำรูปตัวโอดิ๊”
“ทำทำไมวะ” เมฆพยายามจะดึงมือกลับ แต่เพื่อนรักทั้งสองก็จับไว้แน่น
“เขาว่ามันเป็นขนาดเส้นรอบวงเว้ย”
“ไอ้บ้า ก็นิ้วกูยาว ทำตัวโอแล้วแม่งก็ใหญ่สิวะ อันจะเท่าบ้องข้าวหลามอยู่แล้ว วิธีพวกนี้แม่งเชื่อไม่ได้!”
“แปลว่าของมึงยาวไม่เท่านิ้วมึงด้วยใช่มั้ย?”
“ไม่รู้เว้ยไม่เคยวัด! ดูนิ้วพวกมึงเองสิ!”
“เฮ้ยๆ แต่อันนี้น่าสนใจ” แหนมดึงความสนใจของเพื่อนรักกลับมาที่ตัวเขาอีกรอบ “ปลายจมูกงองุ้มเป็นรูปหยดน้ำ แปลว่า เย้เยเก่ง”
“งี้พวกพีน็อคคิโอก็เก่งมากเลยสิวะ”
“เขาหมายถึงงองุ้ม ไม่ใช่เดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาวป่ะวะ”
“......” สามหนุ่มนิ่งงัน ดูเหมือนว่าผลการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตจะช่วยพวกเขาไม่ได้เสมอไป “กูว่าใช้ไม้บรรทัดวัดเถอะว่ะ” แล้วก็สรุปกันได้เช่นนี้
แหนมตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ “ถ้าจะดูหนังเอวีเพื่อการศึกษาล่ะก็ ที่ห้องกูมีเยอะพอๆ กับเครื่องครัวเลยว่ะ เดี๋ยวหอบขนมไปแดกต่อที่ห้องกู แล้วดูหนังโป๊กันให้จนเย็นเลย ติวเข้มเพื่อมึงเลยนะไอ้เมฆ ถ้าของขึ้นขึ้นมามึงจะได้วัดขนาดของมึงได้ด้วยไง กูโคตรหวังดีเลยนะ”
เด็กหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากัน หากก็คิดว่าดูไว้เพื่อความแม่นทางทฤษฏีบ้างก็คงจะดีเหมือนกัน คงไม่มีอะไรจะเสียหายมากไปกว่านี้แล้ว “อือ เอางั้นก็ได้”
ในตอนบ่ายๆ หลังจากดูหนังเอวีกันไปจนตาแฉะ ภายในห้องของแหนมหนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาร่วมวงศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ด้วยกัน ส่งเสียงเชียร์เฮฮาดังสนั่นไปทั้งชั้น ทว่าสำหรับเมฆเขาดูจนเอือมแล้ว แม้จะดูไปหลายเรื่อง แต่ก็ไม่เห็นได้ความรู้อะไรสักเท่าไหร่เลย ของก็ไม่ขึ้น วัดขนาดก็ไม่ได้ เสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เขาจึงขอตัวกลับไปนอนเรียบเรียงความคิดที่ห้องพักของตน
ระหว่างทางที่เดินกลับ เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรไปหารุ่นพี่ ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งดูหนังโป๊จนหลังขดหลังแข็งแบบนี้
“พี่น้ำ”
ปลายสายตอบกลับมาพร้อมกับเสียงโวยวายดังลั่นเป็นแบคกราวน์ “ว่าไง นอนพักเต็มอิ่มรึยัง”
“ผมตื่นตั้งแต่เมื่อตอนสายๆ แล้วล่ะ ว่าแต่เพื่อนพี่น้ำอยู่ที่ห้องเหรอ”
“อื้อ กำลังดูหนังกันอยู่ รอเดี๋ยวนะ” น้ำรีบรุดออกไปยังระเบียงพร้อมกับปิดประตูกั้นเสียงไว้ภายใน “แล้ววันนี้ทำอะไรมาบ้างล่ะ”
...จะบอกได้อย่างไรว่าตะบี้ตะบันดูหนังโป๊มันทั้งวัน เขาจำใจต้องตอบเลี่ยง “เอ่อ... ก็ดูหนังแล้วกินขนมกัน ไม่มีอะไรมากหรอกครับ อ้อ! แต่ก็คิดถึงพี่น้ำด้วยครับ คิดถึงทั้งวันเลย”
ชายหนุ่มที่ปลายสายหัวเราะ “ดูหนังแล้วคิดถึงพี่เหรอ หนังอะไรนะ”
แวบหนึ่งเมฆรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ฉากรักในหนังเอวีนับสิบฉากที่ผ่านศีรษะไปแล่นกลับมาเวียนวน ชวนให้รู้สึกตึงๆ ที่ตรงส่วนกลางร่างชอบกล
“เมฆ?”
เสียงที่เรียกชื่อตนยิ่งส่งผลให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบรับแบบแปลกๆ ทั้งที่ตลอดวันมันสงบนิ่งแท้ๆ เขาก้มลงมองตรงส่วนที่พองขึ้นมาเล็กน้อยภายในกางเกง
...ฉิบหายแล้ว!
“พี่น้ำครับ คือ... เดี๋ยวผมโทรกลับนะครับ” เด็กหนุ่มรีบกดวางสายแล้ววิ่งตรงไปยังห้องน้ำในหอพักของตน
สายถูกตัดไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความงุนงงให้กับคนที่อยู่ปลายสาย ชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์มือถือในมือพลางขมวดคิ้ว “....”
บานประตูระเบียงเปิดออกกว้าง พร้อมด้วยคำถามแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจากเต้าหู้ “ไอ้น้ำ เย็นนี้แดกไรดี”
“พวกมึงจะแดกอะไรกันล่ะ”
“กู ไอ้ตั้งกับไอ้ย้อยจะแดกเตี๋ยวเป็ด แต่ไอ้ตองกับไอ้เด้งเสือกจะแดกข้าวขาหมู เลยว่าจะแยกกันไป”
น้ำหยุดคิดแล้วยิ้มมุมปาก “พวกมึงไปหาแดกตามใจเลย เดี๋ยวกูหากินแถวนี้แหละ ขี้เกียจออกไปข้างนอก”
“มึงจะแดกอะไรล่ะ เดี๋ยวซื้อมาให้”
“ไม่ต้องๆ” เจ้าของห้องโบกไม้โบกมือ “เดี๋ยวกูจัดการเอง”
“มึงจะจัดการยังไง ทำกับข้าวก็ไม่เป็น”
คนถูกถามทำหน้ากรุ้มกริ่ม “กูมีวิธีหาอาหารของกูน่า มึงไม่ต้องห่วง”
เต้าหู้มองหน้าเพื่อนแล้วก็อ้ำอึ้ง แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ “เอางั้นก็ได้ ตามใจมึงนะ”
ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอ่ยปากบอกลาขณะที่ยืนมองเพื่อนพ้องทยอยกันออกจากห้องไป เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟาเพื่อรอให้เมฆโทรกลับมา ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“พี่น้ำ เมื่อกี้ขอโทษนะครับ”
“อือ ไม่เป็นไร ว่าแต่วันนี้เมฆว่างรึเปล่า มาทำมื้อเย็นให้พี่กินหน่อยได้มั้ย”
“เห! พี่น้ำไม่ไปกินกับเพื่อนเหรอ”
“โดนทิ้งแล้วล่ะ” น้ำแสร้งพูดเสียงเศร้า
“งั้น... พี่น้ำอยากกินอะไรครับ ผมจะได้แวะตลาดก่อน”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่เมฆ แต่ว่า... คืนนี้อยู่ดึกหน่อยได้มั้ย”
“อ่า คือ... พรุ่งนี้ผมมีเรียนเช้า มีนัดประชุมก่อนเข้าเรียนด้วย”
“อืม... ถ้างั้นก็ค้างกับพี่สิ”
“ค้างเลยเหรอครับ!” เมฆเบิกตาโพลง ทำไมโอกาสพุ่งเข้าชนไวนักวะ นี่เขาเพิ่งศึกษาหนังเอวีไปเองนะ สมองยังไม่ทันประมวลผล ยังไม่พร้อมใช้งานเลย ขนาดก็ยังไม่ได้วัดไว้อะ!
“ไม่ได้เหรอ”
“ดะ... ได้สิครับ พี่น้ำรอสักพักนะครับ ผมจะรีบออกไป” เด็กหนุ่มกดวางสายไปด้วยปลายนิ้วที่สั่นระริก หัวใจเต้นแรงราวกับกลองใหญ่ที่ถูกตีรัว
...ค้างคืนด้วยกันครั้งแรกหลังจากคบกัน บางทีเขาอาจจะมีโอกาสพิสูจน์ว่าดาบของพี่น้ำจะออกมาฟาดฟันในสนามรบกับเขาได้หรือไม่ แล้วเผื่อว่าจะได้หาข้อมูลไว้พิสูจน์ทฤษฎีของไอ้แหนมกับไอ้ตำลึงด้วย
โอย... นี่กูต้องเตรียมตัวยังไงบ้างวะ
เมฆหันรีหันขวาง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ก่อนจะตัดสินใจลุกไปเปิดตู้ค้นหากางเกงในตัวใหม่ๆ ที่ขอบยังไม่ทันย้วยก่อน แล้วจึงหยิบเสื้อนักศึกษากับกางเกงมาพับใส่เป้ ตามด้วยหนังสือเรียน
รูมเมตชะโงกหน้าออกมามอง “ไปไหนวะเมฆ”
“ไปค้างข้างนอกหน่อย”
“อ้อ...” เพื่อนร่วมห้องยิ้มกรุ้มกริ่ม จากนั้นจึงโยนซองแบบฟอยล์ขนาดเล็กซึ่งสะท้อนกับแสงภายในห้องวูบวาบให้กับเด็กหนุ่ม “เอ้า เผื่อได้ใช้”
เมฆตะปบรับซองมาทันควัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าซองนั้นคืออะไร เผื่อบางทีเขาอาจจะต้องใช้ เขารีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้ “ขอบใจว่ะ”
“ห่อเดียวพอทาทั้งแขนทั้งขาป่ะวะ”
“ฮะ? ทาอะไรวะ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ชักรู้สึกแปลกๆ เขาเลยล้วงหยิบซองนั่นออกมาดูอีกครั้ง “ยาทากันยุง”
...ไอ้เหี้ย หลอกให้กูดีใจ นึกว่าดูเร็กซ์
“ฮั่นแน่ คิดว่าซองยากันยุงเป็นอะไร จุ๊ๆ อย่าแก่แดดสิครับไอ้คุณเมฆ”
“ไอ้!” เมฆอ้าปากกำลังจะด่า แต่มาคิดดูอีกที... เขาเสียเวลามามากแล้ว เด็กหนุ่มก้มลงรูดซิปกระเป๋าเป้แล้วยกขึ้นสะพายบ่า “ฝากไว้ก่อนเหอะมึง ครั้งนี้กูต้องรีบไปก่อน”
เพื่อนร่วมห้องตัวดีหัวเราะไล่หลัง “เออ รีบๆ กลับมาเอาคืนเลยนะมึง~”
TBC~*เหนือเมฆตอนนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไปปรึกษาไอ้เพื่อนที่ไร้ประสบการณ์เช่นกัน มันจะพากันออกทะเล พุ่งออกอ่าวไทยไปโผล่คลองสุเอชแล้วก็ยังไม่กลับเข้าเรื่อง พี่น้ำกับน้องเมฆกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวเข้าหากันค่ะ ก็เพิ่งคบกัน แถมเป็นผู้ชายทั้งคู่ด้วย 555555 ให้เวลาสองหนุ่มอีกหน่อยนะคะ
เรื่องนี้ฮัสกี้จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนค่ะ (ความจริงคือเขียนไม่ทัน...) เบลอก็ยังไม่ได้เขียนตอนพิเศษเลยง่ะ ฮืออออ ถ้าเสร็จทำเล่มเบลอแล้วอาจจะลงได้ถี่ขึ้นนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า เยิฟฟฟฝุดๆ