[XVII]“ลาเต้ คาปู รีบเข้านอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า อาฟี่จะพาลูกไปนะ..” โก้เดินออกมาจากในห้องครัว เขาเช็คประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยทั่วบ้านก่อนขึ้นนอน ลูกชายสองคนนั่งดูหนังสยองขวัญภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันอยู่หน้าทีวี
“ผมไม่ได้ไปด้วยสักหน่อยเรื่องอะไรจะนอนเร็ว..” เต้ตอบคุณพ่อของเขาทั้งที่ตายังไม่ละออกจากจอ “หนาวว่ะแคปมึงอย่าดึงผ้าห่มไปนักสิ ขอกูด้วย..” เขาขยับตัวเบียดเข้าหาน้องชายที่นั่งจ้องทีวีไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิด แคปมันไม่เห็นด้วยซ้ำว่าโก้มาเรียกให้เข้านอนได้แล้ว
“พี่เต้อย่ามาเอาผ้าห่มผมไปสิ ผมก็กลัวเหอะเดี๋ยวผีมาจับขา..” แคปดึงผ้าห่มกลับมาคลุมเท้าให้มิดชิด เขาถึงขนาดเหยียบปลายผ้าไว้ทำให้เต้ได้ห่มแค่นิดเดียว รายนั้นก็โวยวายขึ้นอีก
“เฮียเต้อย่าแกล้งผมนะ นี่มันผ้าห่มผมถ้ากลัวนักก็ไปเอาผ้าห่มตัวเองออกมาดิ”
“ไอ้แคปให้กูห่มด้วยสิวะมึงอย่าดึง!” สองพี่น้องทั้งเถียงทั้งดู แคปและเต้เห็นแมนๆแบบนี้แต่เรื่องผีอย่าให้บอก ขี้กลัวมากไม่แพ้กัน
พรึ่บ!“เฮ้ย!!!!!” สองพี่น้องร้องหวีดออกมาพร้อมกันเพราะจู่ๆจอทีวีก็ดับพรึ่บลง พวกเขาหันมองหน้ากันด้วยความกลัวสุดขีด แคปรีบดึงผ้าห่มเข้าหาตัว เต้เองไม่ยอมแพ้จะเอามาห่มไว้ที่ตัวเองเหมือนกัน แคปเลยถีบพี่ชายไหลตกลงจากโซฟา เต้โมโหกำลังจะลุกมาทำการฆาตกรรมน้องเจอโก้หิ้วคอเสื้อเขาไว้แล้วยกรีโมทในมือตัวเองให้ดู
“โหยพ่ออ่ะ!” เต้ร้องออกมาเพราะรู้แล้วว่าใครที่เป็นคนทำให้ทีวีดับ แคปเงยหน้ามองโก้อย่างงอนๆ “พ่อแกล้งพวกผมอ่ะ”
“ไม่ต้องมาทำงอน ขึ้นนอนได้แล้วทั้งคู่นั่นแหละ ก็รู้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้มีธุระจะต้องไป โดยเฉพาะเรานะคาปูอย่ามาทำเป็นต่อรองกับพ่อ”
“แล้วผมนอนกับพ่อได้ไหมล่ะครับ..” แคปลุกขึ้นมาอ้อน ความจริงเขากลัวผีนั่นแหละ ก็ใครกันล่ะจู่ ๆ เปิดหนังผีช่องนี้ให้ดู “ผ้าห่มอยู่นี่แล้วด้วย นอนได้เลยไม่เรื่องมาก..” แคปชูผ้าห่มตัวเองให้โก้ดู โก้ได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอากับเจ้าลูกคนเล็ก
“อะไรกันล่ะ งั้นผมไปนอนด้วยดิ เรื่องอะไรจะนอนคนเดียว” เต้เองก็ชิงบอก โก้ถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อมองหน้าลูกชายสองคนของเขา
“นอนน่ะนอนได้แต่ต้องนอนหน้าเตียง ลูกเข้าไปปูที่นอนเอาเอง”
“แล้วอาฟี่จะกลับตอนไหนอ่ะครับพ่อ..” แคปถามพลางกอดผ้าห่มส่วนตัวของเขาม้วน ๆ ใส่อก
“คืนนี้คงจะดึกเพราะรู้ว่าลูกสองคนจะกลับมา เห็นว่าเขาจะรีบเคลียร์งานให้พรุ่งนี้จะได้ว่างพาลูกไปได้ไงล่ะ..” แคปเดินตามโก้เข้ามาทิ้งตัวลงนอนกลิ้งเล่นบนเตียงกว้าง เต้จัดการปูที่นอนตรงที่ว่างหน้าเตียง เป็นแบบนี้ตลอดดูหนังผีกันทีไรที่นอนประจำคือหน้าเตียงเฮียโก้ เมื่อก่อนยังตัวเล็กๆก็จะนอนมุดกันอยู่บนเตียงเลยแต่ตอนนี้โตแล้ว ซ้ำบางวันอาฟี่ก็ขึ้นมานอนที่ห้องนี้เขาสองคนจึงต้องระเห็จลงมานอนหน้าเตียงแทน(เพราะเจอฟี่ถีบลงมา)
“พ่อปิดไฟแล้วนะ คาปูจะนอนบนเตียงกับพ่อรึไงเรา..” โก้ปิดไฟเสร็จเดินกลับไปนั่งลงที่เตียง แคปรีบเอาศีรษะมาวางบนตักนุ่มโก้ลูบหัวเล็กเล่นเบา ๆ สองสามทีก่อนที่แคปจะกลิ้งตัวตกลงมาใส่พี่ชายตัวเองที่กำลังนอนเช็คโทรศัพท์เสียงดังอึ่ก เต้โมโหใหญ่ โก้จึงหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะถอดแว่นสายตาวางไว้ที่หัวเตียงแล้วเอนตัวหลับตาลง
“นอนได้แล้ว..” เสียงทุ้มติดดุนิดๆดังเข้ามา เต้กับแคปมุดเข้าหากันอัตโนมัติ เนื้อหากับภาพสยองขวัญในหนังชวนให้สองพี่น้องหวนนึกขึ้นมาอีก พวกเขาหลับตาปี๋แค่คิดก็ยังนึกกลัว
“เฮียเต้ลุกไปลดแอร์หน่อยดิ ผมหนาวว่ะ” แคปพูดเบา ๆ
“มึงดิลุก มืดจะตายห่ากูไม่ลุกอ่ะ” เต้พูดทั้งหรี่ตามองแล้วรีบหลับลงแทบไม่ทัน เงาอะไรวะที่ปลายเตียง ตายๆ
“แต่ผมหนาวจริงอ่ะ” แคปเบียดเข้าหาพี่ชาย ผ้าห่มถูกเขาดึง ๆ จนจะคลุมถึงหัว ห้องโก้เปิดแอร์ไว้แรงมากจริง ๆ คิดว่าสิบห้าองศาน่าจะได้ ลมแอร์ตกลงที่พวกเขาพอดีด้วย เต้จึงตะแคงเข้าหาน้องชายตัวเอง เอามือดึงแคปเข้ามาให้อยู่ชิดๆกับตัวเขา
“เออน่าทนๆไปก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ากูลุกขึ้นไปลดให้ มึงต้องทนให้ได้”
“พรุ่งนี้เช้า?!” แคปทวนคำ
“อือก็พรุ่งนี้สิวะ รอให้สว่างก่อน ให้กูลุกตอนนี้ไม่เอานะ มืดจะตายชัก”
“พอๆไม่เถียงกัน เดี๋ยวพ่อลดให้เองก็แล้วกัน..” เสียงที่ดังขึ้นจากบนเตียงพร้อมกับโคมไฟสีส้มหรี่เปิดขึ้นมาแคปกับเต้มองโก้เป็นตาเดียว
“อาฟี่เขาชอบเปิดแอร์เสียเย็นจัดทุกคืน พ่อเองก็หนาวเหมือนกันกับลูกนั่นแหละ..” โก้กดรีโมทติ๊ดๆๆๆสี่ห้าครั้ง สองพี่น้องค่อยหายใจทั่วท้องขึ้นมาหน่อย จากนั้นโก้ก็หลับไปแคปกับเต้ที่ยังนอนยุกยิกไปมาเพราะติดนิสัยนอนดึกมากๆ จากที่หอ กลับบ้านแต่ล่ะทีนอนเร็วผิดเวลา มักจะหลับยาก แคปนอนนึกถึงเรื่องนามสกุลของเอสขึ้นมาจนได้ เขาจึงสะกิดเต้
“เฮียเต้..”
“หืม?” เต้หันมองนิดหน่อยแต่ก็พยายามจะหลับตาต่อ
“ไอ้เอสน้องรหัสเฮียน่ะ มันนามสกุลอะไร..”
“ห๊ะ!” เต้ลืมตาโพลงขึ้นทันที
“ตกใจไรเล่า ผมแค่ถามเหอะ” แคปส่ายหัวเซ็งเลย ไม่รู้เต้จะตกใจทำไมทำเอาเขาพลอยตกใจไปด้วย ยิ่งนึกถึงเรื่องสยองขวัญในหนังอยู่หน่อยๆ
“มึงรู้แล้วดิ” เต้หันมองน้องชาย
“อัครรัชชานนท์นั่นใช่เหรอ ใช่ไหม” แคปถามขึ้น เต้จึงพยักหน้าบอกใช่
“ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกนอกจากรุ่นเดียวกัน ตอนกูรู้ว่าได้มันเป็นน้องรหัสกูตกใจเกือบตาย อาจารย์กำชับกูบอกแล้วบอกอีก ว่าให้เทคแคร์มันดีๆ มึงก็รู้ครอบครัววงศ์ตระกูลมันมีทั้งเงินทั้งอำนาจ ก็นึกว่าจะเป็นพวกลุกคุณหนูเอาแต่ใจไฮโซไลน์ไปดิ แต่เปล่าเลยว่ะ แม่งกลายเป็นคนง่ายๆขึ้นมาซะงั้น พวกกูกินอะไรได้มันก็กินได้เหมือนกัน อยู่กับเพื่อนฝูงมันก็ปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไปนะ ยกเว้นมันอยู่กับผู้หญิง ป๋ามากแต่ก็แค่ช่วงแรกๆ เพราะถ้าคนไหนที่รู้แล้วคิดจะจับนี่มันทิ้งก่อนทุกราย ส่วนเพื่อนฝูงมันก็มีแต่ธรรมดาอย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ ว่าแต่..มึงไปรู้มาจากไหนวะคาปู”
“ผม..บังเอิญรู้น่ะ” แคปชั่งใจโกหกออกไป เต้พยักหน้าเบา ๆ เขาขยับหันมองหน้าน้องชายตัวเอง “กูรู้มึงไม่ค่อยชอบคบกับพวกคุณหนูไฮโซ แต่กูสแกนมันให้แล้ว นิสัยมันโอเคใช้ได้ รู้จักเป็นเพื่อนกันไว้ไม่เสียหายหรอกเพราะพวกเราไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์อะไรจากเขาทั้งนั้น นอนได้แล้วว่ะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก” เขาจับหัวน้องชายขยี้เบา ๆ แคปมุดเข้าไปใกล้อกอุ่นของเต้อีกนิด
“เออกูว่าจะถามมึงหลายทีแล้วคาปู ตกลงที่ไอ้เอสมันไปคณะมึงบ่อยๆนี่ มันติดใจใครวะ เพื่อนมึงอ่อ? คนไหน แล้วสวยป่ะ ชื่อไรวะกูรู้จักไหม” เต้ร่ายคำถามยาวเป็นวา แคปอึ้งไปนิดๆเขาส่ายหัวไม่ตอบ เต้จึงก้มลงมอง
“ง่วงแล้ว?” เต้ถาม เสียงเล็กแสร้งงัวเงียตอบอือๆ
“อะไรของมึงวะจู่ๆง่วงขึ้นมาเฉยเลย ตอบกูก่อนดิเรื่องนี้พวกกูอยากรู้กันมากเลยนะ ตกลงว่าเด็กใหม่มันน่ะชื่ออะไรวะ”
“จะรู้ไปทำไมเล่า..” แคปพึมพำในคอเบา ๆแต่ทว่าเต้กลับได้ยิน
“ไอ้แคปมึงบอกกูมาเลย”
“ชื่อไรไม่รู้หรอก รู้แต่ไม่สวย ผมสั้น นิสัยไม่ดี ใจร้อน ขี้โมโห ที่สำคัญ ปากจัดมากกกกก..” แคปตอบออกมายาวๆตัดรำคาญ ความจริงทั้งหมดเหอะที่เขาพูดออกมา ขณะที่คนฟังอย่างเต้ถึงกับพ่นขำ แคปรีบเอามืออุดปากพี่ชายกลัวโก้จะตื่นมาดุ
“หัวเราะอะไรเล่า!” แคปกระซิบกระซาบ
“กูขำว่ะ ที่มึงบอกมาทั้งหมดนี่มันนิสัยมึงเลยนะไอ้คาปู ถ้ามันจีบมึงนี่กูคงช็อคอ่ะ”
“มันจะมาจีบผมทำไมเล่า!”
“กูก็เปรียบเทียบไอ้หมาแคป ไอ้เอสมันจะมาจีบมึงได้ไงล่ะวะ จะบ้าเรอะ!”
“อือๆ นอนเหอะนอน ผมง่วงแล้ว” แคปถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆไม่อยากคุย เขาคว้าเอาหมอนข้างหันไปกอดอยู่ที่ทางแล้วหลับตานอนเลย ไร้สาระมากคุยกับพี่เต้พูดมากๆเดี๋ยวโดนจับได้ตายห่าแน่ๆ นอนก่อนดีที่สุด
.
.
เจ็ดโมงเช้า
“ฮ้าววววววววววววววววว..” เสียงหาวหวอดยาวดังมาจากคนที่เดินหัวยุ่งออกมาจากห้องนอนใหญ่ชั้นล่าง เสื้อเชิ้ตราคาแพงที่คงจะสวมใส่กลับมาเมื่อคืนยังไม่ถูกผลัดเปลี่ยนออก มันดูยับยู่ยี่หมดราคาลงไปเป็นกอง มีผ้าขนหนูสีขาวผืนโตพาดคล้องอยู่ที่คอเหมือนเตรียมจะเข้าอาบน้ำหรืออะไรสักอย่าง แคปกับเต้ที่ถูกโก้ปลุกลงมาตั้งแต่หกโมงเช้า สองพี่น้องแต่งตัวเสร็จสรรพนั่งกินนมกล่องกันอยู่หน้าทีวี วันนี้แคปต้องไปที่สถานีวิทยุกับฟี่เรื่องเซ็นต์สัญญางานดีเจ ขณะที่โก้จะพาเต้ไปช่วยเลือกอุปกรณ์ตกแต่งร้านบางอย่างที่สองคนเคยคุยและนัดหมายกันไว้ โก้กำลังวุ่นอยู่กับอาหารเช้าแบบง่ายๆในครัวเสียงไมโครเวฟตัดสุกดังสะท้อนเข้ามา
ติ๊ง~
“เมื่อคืนอาฟี่กลับตอนไหนวะพี่เต้..” แคปที่ดูดนมจากกล่องอยู่ใช้ศอกสะกิดถามเต้เบา ๆ มองเห็นอาฟี่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำนานแล้วราวกับวิญญาณเร่ร่อนที่เขาดูในหนังเมื่อคืนไม่มีผิด หัวยุ่ง ๆหน้ามุ่ยๆ เขาคิดว่าคุณอาเขาอาจจะยืนหลับต่อก็เป็นได้
“ตีสี่ กูรู้สึกตัวตอนที่พ่อลงไปเปิด” เต้ทำเสียงกระซิบกระซาบบอก แคปคิ้วขมวด “ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ”
“ก็มึงมันขี้เซา นอนกอดกูแทบจะกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ หลับหูหลับตาซุกอกกูอย่างกับเด็กๆ มึงจะไปรู้เรื่องอะไรวะ”
“ผมไม่เคยทำแบบนั้นเหอะ”แคปเบะปากขึ้นทันที เขาคิดว่าเต้เมคเรื่องชัวร์ๆ
“หึหึ ขำว่ะ อย่าพูดให้กูขำหน่อยเล๊ย..” เต้ส่ายหัวเซ็ง แคปน่ะไม่ใช่แค่มันขี้เซาปลุกยากหรอก เวลามันนอนจะติดนิสัยซุกสิ่งใกล้ตัวทั้งหมดนั่นแหละ อยู่ใกล้คนซุกคน ถ้าไม่มีใครนอนข้าง ๆ มันก็จะซุกหมอนข้างใบใหญ่ๆ มุดๆๆๆหัวเข้าไป เมื่อคืนถ้าไม่ติดว่ากลัวผีกันทั้งคู่ สองพี่น้องจะยอมมานอนข้างกันได้ยังไง
“กูว่าต่อไปมึงคงจะซุกอกเมียมึงแน่ๆอ่ะ”
ผั๊วะ!“ตีกูทำไมเล่า”
“ปากไม่ดีเอง สมน้ำหน้า หมัดผมแปรผันไปตามคำด่าที่ระแคะระคายหู เฮียเต้พูดมากเองทำไม”
“กูพูดจริง”
แคปทำตาเหลือกๆใส่พี่ชายตัวเองก่อนจะสังเกตเห็นว่าคุณอาของพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ในจุดเดิมนั้นแล้ว ฟี่กำลังเดินผ่านห้องรับแขกเลี้ยวตัดเข้าไปที่ครัว ไม่สนใจทักหลานสองคนที่นั่งหัวโด่อยู่สักนิด ทั้งแคปทั้งเต้หันตามไปที่ห้องครัวในทันทีที่เห็นแผ่นหลังกว้างเดินเข้าไปหาพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง ฟี่เดินเข้าไปซ้อนหลังโก้ในลักษณะแนบชิด ไม่รู้พูดหรือทำอะไรกันสักพักเสียงตะหลิวลอยมาตกโครมครามลงแถวๆเคาน์เตอร์ข้าง ๆ เตาอบ ทั้งเต้ทั้งแคปรีบลุกพรวดขึ้น ขณะที่ฟี่เดินหน้างอหงิกออกมาจากนั้นตรงดิ่งเข้าห้องตัวเองเลย
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงงๆ โก้เดินหน้ายุ่งมาหยิบตะหลิวที่ตกขึ้น เขาส่ายหัวทำหน้าเหมือนหงุดหงิดจัดบวกกับเซ็งสุดขีด
“พ่อกับอาฟี่ทะเลาะกัน?” แคปกระซิบถามพี่ชาย โดนเต้โบกหัวมาหนึ่งที
“ไม่มีทางเหอะ ยี่สิบสองปี่ที่ผ่านมา กูยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง อาฟี่ไม่เคยขัดใจเฮียโก้ได้เลยสักอย่าง”
“แล้วทำไมพ่อถึงโยนตะหลิวออกมาแบบนั้น”
“โดนกวนอ่ะดิ”
“กวนยังไงวะพี่เต้” แคปซักต่อ ใช้ฟันกัดหลอดดูดเล่น
“กูจะรู้ไหมล่ะ กูกะนั่งอยู่กับมึงเนี่ย..” เต้หันไปทำเสียงดุใส่ ขณะที่แคปกลับนิ่งเงียบไปเพราะกำลังคิดตาม เสียงโก้เรียกดังออกมาจากในครัวเขาสองพี่น้องจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ
“พ่อครับ อาฟี่ทำอะไรให้พ่อโกรธน่ะ” แคปปากล่องนมลงถังแม่นยำมาก เต้ชี้หน้าบอกถ้ามันหกเรี่ยราดคนที่ต้องถูพื้นคือเขาไม่ใช่ใคร ทำอะไรให้ระวังหน่อย แคปยักไหล่เมิน
“โกรธที่ไหน พ่อกับอาฟี่ของลูกไม่เคยโกรธกันนะ”
“แต่ผมเห็น.....”
“อ๋อนั่นน่ะ ก็แค่สั่งสอนคนเท่านั้นแหละ มือไม้ไม่อยู่สุขก็ต้องโดนแบบนี้ล่ะนะ กวนกันแต่เช้าดีนัก” โก้วางไข่ดาวแดจานสุดท้ายลงให้ แคปคว้าขวดซอสมะเขือเทศมาบีบใส่เป็นรูปสายฟ้าฟาดทันที
“กวนเหรอครับ? กวนแบบไหนกันน่ะ..” แคปทำหน้าสงสัย กวนแบบไหนวะคนถูกกวนถึงขนาดขว้างตะหลิวใส่แบบนั้น เขาถามถามออกไปตรงๆเลย
“เรื่องของผู้ใหญ่น่าคาปู กินข้าวได้แล้วจะซักฟอกทำไมเล่า ก็แค่พ่อกับอาฟี่เล่นกันน่ะ..” โก้เอามือวางบนหัวแคปแล้วขยี้เล่น เขาอมยิ้มบาง ๆ ขณะที่ฟี่อาบน้ำแต่งตัวออกมาใหม่เรียบร้อย หล่อและหอมมาก แคปกับเต้มองกันเป็นตาเดียว เสื้อเชิ้ตเข้ารูปธรรมดาๆจะดูแพงขึ้นมาทันทีที่สวมอยู่บนเรือนร่างของเขา จะว่าไปความเท่ของฟี่เป็นไอดอลให้กับเต้และแคปมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว จนถึงปัจจุบัน ฟี่ก็ยังคงผู้ชายที่มีหน้าตาและรูปร่างอ่อนกว่าอายุอยู่มากจริง ๆ
“คาปูไปชงกาแฟมาให้กู..” ฟี่ใช้สายตาบอกแคปลุกไปให้จัดการกาแฟร้อนให้ สูตรพิเศษที่จะมีแต่คนในครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้ กาแฟของฟี่ไม่รู้ทำไมต้องเติมผงโกโกหนึ่งช้อนชาเสมอ แคปเคยถามนะแต่ไม่เคยได้คำตอบ
“ไข่สี่ฟอง พอไหมวะ? เมื่อคืนมึงกลับดึกมากนะ ช่วงนี้รับงานอะไรน่ะ..” โก้ชี้ให้น้องชายดูไข่ดาวในจานที่เตรียมไว้ให้ ฟี่พยักหน้าบอกว่าพอ แคปมองคุณอาของเขาอย่างสงสัย แหม่ ก็ตอนเพิ่งจะตื่นนี่ท่าทางอ้อนพ่อเขาน่าดูเลยนี่หว่า แต่พอเข้าไปอาบน้ำแปลงกายออกมาเท่านั้นแหละ คอนเซ็ปไม่สนใจใครกับใบหน้าไร้รอยยิ้มแบบนั้นกลับมาเป็นคาแรคเตอร์เดิมๆอีกแล้ว
“งานคดีพักนี้ไม่รู้ว่าทำไมเกิดไปเกิดเหตุอยู่แถวๆสถานเริงรมย์ทั้งนั้นเลย เล่นใช้ให้พรางตัวกันหนักขนาดนี้กูแย่เลยว่ะโก้”
“แล้วครั้งนี้มึงสวมรอยเข้าไปทำงานอะไรวะ”
“ก็คล้ายๆครั้งก่อน แต่เมื่อวานทำบาร์เทนเดอร์อยู่ที่ผับใหญ่แถวทองหล่อ กูเซ็งมากๆคนแม่งเยอะฉิบหายแล้วไอ้พวกที่เข้ามาจีบกูที่เคาน์เตอร์นี่ก็นะโอ๊ย กูนับหนึ่งถึงร้อยไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบ พยายามคิดว่ามันเป็นงานมันเป็นงาน คอยดูเหอะเดี๋ยวกูจะปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุดเลย”
“หึหึ ทำไมวะกลัวสาวๆมาจีบรึงไง รับมือไม่เป็นว่างั้น..” แคปชงกาแฟมาวางลงให้ทั้งโก้ทั้งฟี่ ส่วนของเขากับพี่เต้ไม่มี เพราะกินนมกล่องกันแล้ว
“มันไม่ใช่แค่ผู้หญิงหรอกที่เข้าหา..” ฟี่ว่าแล้วส่ายหัวทำสีหน้าหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ โก้ขำออกมาเบา ๆ พวกเขาสี่คนทานอะไรกันจนเสร็จ ฟี่จึงบอกแคปว่าจะไปรออยู่ที่หน้าบ้าน
“ช้าเกินสิบนาทีกูทิ้งเลย..” มือหนาจุดบุหรี่ขึ้นสูบพลางบอกหลานชายคนเล็กที่ตัวเองจะต้องพาออกไปทำธุระ แคปที่กำลังหยิบขนมปังจิ้มนมกินเป็นชิ้นสุดท้ายถึงกับเกือบสำลัก
“ค่อยๆกินน่าคาปู อาฟี่เขาก็พูดไปเรื่อย..”โก้ช่วยลูบหลังพร้อมกับยื่นแก้วน้ำส่งให้ แคปยกซดรวดเดียวจบ วิ่งไปคว้ากระเป๋าที่โซฟาก่อนกระโดดโหยงๆสวมรองเท้ากีฬาคู่เก่ง
“พ่อครับ พี่เต้ ผมไปนะ” เขาร้องเข้ามาพร้อมโบกมือบอก
“อย่าแกล้งลูกมากสิวะมึงก็..” โก้เดินออกมาส่งถึงข้างนอก เขาเดินเข้าไปหาฟี่ที่เสร็จจากการสูบบุหรี่พอดี เขากำลังจะก้าวขาขึ้นรถ ฟี่ขยับสายตามองพี่ชายฝาแฝดที่อยู่ในชุดกันเปื้อนสีดำแบบเท่ ๆ ก่อนเอื้อมมือสอดเข้ามาผูกสายผ้ากันเปื้อนให้ใหม่ เพราะว่าสายมันหลุดลุ่ยลงมา
“เป็นเด็กรึไงต้องให้กูดูแลอยู่เรื่อย”
“มึงสิเด็ก” โก้ว่าพร้อมฟาดผั๊วะลงที่มือแกร่งนั้นหนึ่งที ฟี่หัวเราะแล้วบอกว่าจะพาแคปออกไปแล้ว หลังจากนั้นราวๆหนึ่งชั่วโมง รถเล็กซัสสีดำมันวาวของฟี่ก็มาจอดอยู่ที่หน้าตึกไพร์มไทม์มีเดียฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตสถานีวิทยุและรายการเพลงชื่อดังหลายรายการของเมืองไทยที่ถูกผลิตออกจากที่นี่ทั้งหมด
“ชั้นไหน?” เขาถอดแว่นกันแดดสีเข้มออกแล้วเปลี่ยนเป็นแว่นสายตากระจกใสแจ๋วแทน แคปเหลือบมอง ถึงจะคุ้นเคยอยู่แล้วแต่แคปก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเฮียโก้พ่อของเขามาเองไม่มีผิด
“มองไรวะ กูหล่อกว่าโก้ไหม..” ฟี่จัดๆทรงผมใหม่เล็กน้อย เขาปัดผมที่เสยขึ้นไว้ให้หน้าม้ามันปรกลงมา ก่อนมองดูความเรียบร้อยของหน้าตาที่กระจกมองหลัง
“แหวะ เฮียโก้หล่อกว่าเหอะ” แคปเบะปาก เจอฟี่ผลักหัวอย่างแรงจนเงิบ จากนั้นคุณอาของเขาเปิดประตูลงไปรอที่ด้านนอก
“ชั้นไหนบอกมาเร็ว” ฟี่ถามขึ้นมาอีกแคปจึงเดินเข้าไปหา “ชั้นสิบสองครับ”
“มึงขึ้นไปคนเดียวหรือว่าจะให้กูพาไปวะ”
“ผมไปคนเดียวสิ” แคปแกล้งทำหน้าดื้อดึง ฟี่มองแล้วเมินทันที
“ดีมาก งั้นกูพามึงขึ้นไป” หึ ก็ไม่รู้จะถามมากไปทำไม รู้อยู่แล้วว่าตอบยังไงอาฟี่ก็ต้องพาเขาเข้าไปอยู่ดี
“คิดว่าจะทำจริงใช่ไหม ไอ้ดีเจอะไรเนี่ย..” หลังจากยื่นจดหมายเชิญผ่านพี่ยามด้านหน้าแล้ว เขาสองคนก็มายืนกันอยู่ในลิฟต์ มือใหญ่ของฟี่ยื่นมาขยับปกเสื้อเชิ้ตของแคปให้เข้าที่เข้าทาง
“ก็แค่งานพาร์ทไทม์หรอกน่า ตอนส่งเดโม่มาก็ปิดเทอมพอดี ใครจะรู้เป็นปีถึงจะเรียกมาแบบนี้ล่ะ”
“ตอนนั้นเขาคงยังไม่มีคอนเซ็ปรายการที่เข้ากับเสียงและสไตล์ของมึงไง ทุกอย่างเลยถูกดร็อปไว้ก่อน”
“แสดงว่าตอนนี้มี? อาฟี่รู้ได้ยังไงครับ..”แคปขยับเข้าไปหาเงยหน้าขึ้นถาม ฟี่ตัวสูงใหญ่รูปร่างพอกันกับเอส บางทีเวลาแคปพูดด้วยยังต้องเงยหน้ามอง
“ก็ไม่แน่ เพราะถ้ากูเป็นผู้บริหารที่นี่ก็คงจะทำอย่างนั้น..” ลิฟต์เปิดตัวออกพอดี หมายเลขห้องที่นัดแนะไว้อยู่ชั้นสิบสองเลี้ยวซ้ายห้อง A12-3 มีพนักงานเดินกันให้วุ่นเลย แต่ล่ะคนแขวนป้ายสต๊าฟอยู่ที่คอเต็มไปหมด แคปดูคุ้นตามากๆกับป้ายสีส้มที่ทุกคนห้อยกันอยู่ที่นี่
“สวัสดีค่ะ นัดไว้ที่ห้องไหนคะ..” พี่สาวตัวเล็กๆในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน เสียงเธอสวยมากจริงๆในตอนที่เข้ามาถามหน้าตายิ้มแย้มดูเป็นมิตร
“คุณมีนัดมาสัมภาษณ์รึเปล่าค่ะ” เธอเงยหน้าถามฟี่ เขาส่ายหน้าบอกไม่ เริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนสายตาเธอจ้องเอาๆแบบนั้น ไอ้อาการที่ไม่ค่อยถูกกันกับผู้หญิงนี่ค่อนข้างแย่นิดๆ ได้แต่ขยับเข้ามาหาหลานชายตัวเองขณะที่แคปเห็นแล้วนึกขำ เธอคงนึกว่าอาฟี่เป็นนายแบบหรือดาราที่ถูกนัดมาสัมภาษณ์แน่ ๆ เพราะฟังจากวิธีการเชื้อเชิญหรือคำทักทาย มันก็ไม่น่าแปลกหรอกเพราะพวกไอ้อาร์กับไอ้ปอมันยังเคยบอกว่าอาฟี่น่ะหล่อยิ่งกว่าดาราหุ่นดีราวกับนายแบบขนาดนั้น แคปยื่นใบนัดหมายส่งให้เธอดู
“อ๋อ..น้องถูกนัดมาออดิชั่น งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ..” หลังจากเธออ่านดูรายละเอียดเรียบร้อย เธอจึงบอกให้แคปกับฟี่ตามเธอไป แคปสังเกตดีๆที่ป้ายชื่อของเธอ
ดีเจอ้อน เขานึกขึ้นมาได้ทันทีเคยฟังรายการวิทยุที่เธอจัดอยู่บ่อย ๆ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะจัดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ช่วงเช้ากับบ่าย
“เชิญค่ะ ห้องนี้เลย” เธอเคาะประตูสองทียื่นหน้าเข้าไปบอกคนด้านในให้ก่อนผายมือเชิญทั้งสองคนเข้าไปอย่างสุภาพ
“ยินดีต้องรับนะ มาทำงานด้วยกันนะจ๊ะ” เสียงเล็กน่ารักบอกกับแคป
“ขอบคุณมากครับ..” แคปค้อมหัวลงให้เธอ ก่อนที่เขากับคุณอาจะเดินเข้าไปด้านใน ฟี่จัดการคุยเรื่องรายละเอียดของสัญญาให้จนเรียบร้อย ซึ่งใช้เวลากันอยู่สักพักขณะที่แคปนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ทุกอย่างผ่านไปด้วยจนกระทั่งในท้ายที่สุด พวกพี่ๆสต๊าฟแซวว่าคุณพ่อของแคปทำไมดูหล่อและยังหนุ่มมากๆแคปยิ้มแห้งๆมองหน้าคุณอาของตัวเองที่นั่งนิ่งๆไม่สนใจคำชม
“ตอนที่เห็นใบรับรองของน้องเขา พวกเราเองก็ยังคิดกันอยู่เลยว่าคุณพ่อทำไมยังดูหนุ่มจัง แต่พอมาเจอตัวจริงโอ้โห คุณพ่อครับสนใจมาเดบิ้วท์เป็นวีเจกับพวกเราด้วยไหมครับ คุณพ่อแน่ใจเหรอครับว่าเกิดปีXX ถ้าให้ผมดูจากภายนอกเนี่ยผมว่าอายุคุณพ่อไม่น่าเกินยี่สิบห้าเลยครับเอาจริง ๆ”
“หึ..” อาฟี่แค่นยิ้ม แคปขนลุกซู่ อายุยี่สิบห้านั่นมันมากกว่าเฮียเต้แค่สามปีเองนะจะบ้าเรอะ! เขามองไปที่คุณอาของเขาอีกครั้งเห็นแล้วก็รู้เลยว่าอาฟี่กำลังข่มอกข่มใจแน่นอน อาฟี่ไม่ชอบให้ใครมาชม ยิ่งวิ่งเข้าใส่ชมมากๆดีไม่ดีมีเรื่องได้แบบง่ายๆ ไอ้นิสัยใจร้อนของเขาได้มาจากคุณอาแบบเต็มๆ
“ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ครับคุณมีเคล็ดลับอะไรรบกวนแบ่งปันบ้างสิ ปีนี้ผมเพิ่งสามสิบสี่แต่ดูหน้าผมสิครับไปสี่สิบสามแล้วเนี่ย..” หนึ่งในสต๊าฟดันพูดเปรียบเปรยแบบขำๆขึ้นอีก แคปรีบขยับเข้าหาดึงๆเสื้ออาบอกใจเย็นๆ คนรอบข้างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องมองอาฟี่ราวกับสัตว์ประหลาดหรืออะไรสักอย่าง แคปกำลังหาทางจะดึงความสนใจจากบรรดาสต๊าฟออกจากคุณอาของเขา แต่ทว่าก่อนที่อะไรๆจะเลยเถิดมากไปกว่านี้เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนพนักงานชายอีกคนโผล่แต่หน้าเข้ามาบอกทีมงานในห้องว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว พี่ชายสองคนที่นั่งสัมภาษณ์แคปกับพี่ผู้หญิงอีกหนึ่งคนพยักหน้าให้กันแล้วลุกขึ้น
“เดี๋ยวเราขออนุญาตให้น้องแคปเข้าออดิชั่นรอบสองก่อนนะคะคุณพ่อ นิดๆหน่อยๆไม่มีอะไรมาก..” พี่ผู้หญิงนำแคปกับฟี่ให้ไปที่ห้องออดิชั่นงานดีเจ ที่นั่นมี ดีเจอ้อนรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณพ่อ น้องแคปทางนี้เลยจ๊ะ ให้คุณพ่อรออยู่ด้านนอกนะ..” เธอกวักมือแล้วยิ้มให้ แคปหันไปมองฟี่ที่พยักหน้าบอกให้รู้ว่าเขาต้องทำเต็มที่ก่อนเดินเข้าไปด้านใน เธอยื่นสคริปสั้นๆให้หนึ่งหน้าแล้วบอกให้เวลาสองนาที แคปรีบกวาดสายตาอ่านรอบเดียวจบ ใช้เวลานิดเดียวอยู่แล้วเพราะว่าเขาเป็นคนที่อ่านหนังสือไว นี่คือจุดดีอีกข้อของแคป
“พร้อมนะ” เธอถาม
“พร้อมครับ” แคปพยักหน้ารับ มองไปด้านนอกผ่านกระจกใสแผ่นใหญ่ ๆ อาฟี่ยืนมองเขาอยู่ตรงนั้น ทุกๆคนกำลังรองานออดิชั่นครั้งนี้ แน่นอนว่าหนึ่งในจำนวนนั้นที่ยืนมองอยู่คงเป็นคณะกรรมการ แคปครอบเฮดโฟนอันใหญ่ลงที่หู เมื่อได้สัญญาณพร้อม เขาเริ่มพูดจาตามสคริปในสไตล์ของตัวเขาเอง ใส่โทนเสียงที่แตกต่างลงไปในแต่ละเรื่องราว แคปเน้นอารมณ์ของเส้นเสียงมากเป็นพิเศษในแต่ละรายละเอียดที่ได้มาแต่ก็ยังไม่ทิ้งสไตล์ส่วนตัว ประกอบกับซาวด์ดนตรีที่ดีเจรุ่นพี่อย่างอ้อนเปิดคลอไปกับเนื้อหา ไหวพริบที่แตกต่างบวกกับลุกเล่นที่เข้ากันได้ดี การตอบโต้ของคนสองคนระหว่างแคปกับดีเจอ้อน สิ่งนี้คือสิ่งพิเศษที่แม้แต่คนยืนฟังอยู่ด้านนอกอย่างฟี่ยังรับรู้ได้
“นั่นคือสิ่งที่เราต้องการเลยครับคุณพ่อ แคปเขามีเนื้อเสียงที่บ่งบอกถึงระดับอารมณ์ โทนเสียงไม่ต้องปรับแต่งอะไรอีกเลย ลูกเล่นบางอย่าง ท่าทีสบายๆเป็นตัวของตัวเองนั่นคือสิ่งที่เราต้องการจากน้องเขา มันเข้ากับคอนเซ็ปรายการใหม่ของเรามาก..” หนึ่งในคณะกรรมการที่กำลังจ้องมองและฟังเส้นเสียงสำเนียงสไตล์การจัดรายการของแคปเอ่ยให้ฟี่ฟัง คนฟังยกมุมปากขึ้นนิดๆ
“หึ..” เสียงทุ้มพึมพำในคอ มองหลานชายคนเล็กที่เขาช่วยโก้เลี้ยงดูมากับมือกำลังทำในสิ่งที่มันรักและสนใจ แคปที่ค่อยๆเติบโตขึ้น เด็กตัวเล็กที่แต่ก่อนเขาพาไปที่ไหนๆก็จะดึงชายเสื้อเขาบอกแต่จะกลับบ้านเสมอ มาบัดนี้เติบโตขึ้นมากแล้วจริง ๆ
“คอนเซปของรายการใหม่ที่เรากำลังจะเปิดตัว เป็นรายการที่เปิดโอกาสให้กับผู้ฟังทางบ้านโทรเข้ามาหรืออีเมลมาบอกเล่าเรื่องราวหรือประสบการณ์ความรักของตัวเอง เราจะสร้างแบงค์กับแคปให้เป็นดีเจดูโอที่คอยรับฟังสารพันปัญหารักของเหล่าบรรดาวัยรุ่นวันเรียนทุกเพศ เราอยากได้คนที่อยู่ในวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันเพื่อที่จะเข้าถึงปัญหาเหล่านั้นได้ดีครับคุณพ่อ กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ที่เราจะคัดเลือกมาเป็นเคสสตั๊ดดี้ในแต่ละสัปดาห์เราจะเน้นกลุ่มวัยรุ่นเป็นเป้าหมายหลักครับ”
“ดีเจคู่?” ฟี่หันไปเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม