07 Be my lastเสียงฝักบัวในห้องน้ำหยุดลงแล้ว ผมนั่งอยู่ที่ปลายเตียง ไล่อ่านข้อความที่พี่เชนทร์ส่งมาให้แล้วถอนหายใจหนัก ๆ เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าโทรศัพท์ถูกปิดเครื่องตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าใครเป็นผู้หวังดีในการมีส่วนร่วมถนอมแบตเตอรี่ให้ผมในครั้งนี้โดยไม่ขอคำปรึกษา
สองสายที่ไม่ได้รับตั้งแต่ช่วงตีสองกับเกือบ ๆ ร้อยข้อความทำให้ผมต้องมากดไล่อ่าน ส่วนใหญ่ถามถึงว่าผมเป็นยังไงบ้าง พอเห็นขึ้นข้อความว่าอ่านแล้วนายช่างใหญ่ก็ยิ่งรัวข้อความมาไม่หยุด
Chain: วิน ทำไมไม่อ่านข้อความพี่ โทรไปก็ปิดเครื่อง แบตหมดเหรอ
Win: ครับ เพิ่งเปิดเครื่อง กำลังไล่อ่านอยู่เลย พี่เชนทร์มีอะไรหรือเปล่า
Chain: วันนี้พี่จะชวนเรามาเดินเล่นที่ไซต์แล้วตอนเย็น ๆ ไปดูหนังกันน่ะ แต่ติดต่อได้ป่านนี้คงต้องเป็นพรุ่งนี้แล้วมั้ง
Chain: วันนี้พักผ่อนไปก่อน พรุ่งนี้ให้พี่ไปรับกี่โมงดีครับ
Win: พอดีผมออกต่างจังหวัดน่ะครับ พรุ่งนี้กว่าจะกลับก็เย็น ๆ ไว้คราวหน้านะครับ
Chain: อ้าว ทำไมไม่บอกพี่ก่อน แล้วนี่ไปกับใคร
Win: ผมมากับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยน่ะครับ ค่อนข้างฉุกละหุก
Chain: ไปกันกี่คน ผู้หญิงหรือผู้ชาย พี่รู้จักหรือเปล่า
Win: มากั...“จิกขนาดนี้เลยเหรอ” เสียงของคนที่อยู่ในห้องน้ำทีแรกถามขึ้นชิดหู รู้ตัวอีกทีไอ้เฟยก็ยืนอยู่ตรงหน้า โน้มตัวลงมาต่ำ ผมสะดุ้งนิดหน่อยก่อนเครื่องมือสื่อสารในมือจะถูกฉกไปอย่างง่ายดาย
“ไหนบอกว่าไม่ได้อะไร ทำไมมันจี้มึงได้ขนาดนี้”
“ก็พี่เขาถาม”
“ไอ้ตี๋”
“กูไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริง ๆ”ผมพูดความจริง มองหน้ามันแต่ไม่กล้าสบตาตรง ๆ ไอ้เฟยทำหน้านิ่ง ปิดเครื่องผมอีกครั้งแล้วโยนไปบนโซฟาท่าทางหัวเสีย
“เคยให้มันจับมือไหม”
ผมเงียบ แต่ก็พยักหน้าแทนคำตอบ คนตั้งคำถามถอนหายใจหนัก ๆ “จูบล่ะ”
เป็นอีกครั้งที่ผมพยักหน้า ครั้งนี้เจ้าของร่างเปลือยท่อนบนเริ่มเสยผมไปด้านหลัง ตาคมจับจ้องดุดัน และกลายเป็นผมเองที่ก้มหน้ามองฝ่ามือที่จับประสานกันเอาไว้ ไอ้เฟยทำเหมือนทุกครั้ง มือใหญ่เอื้อมมาจับปลายคางผมให้เงยขึ้นสบตากับมันแล้วเค้นเสียงถาม “เคยนอนกับมันแล้วใช่ไหม”
สุดคำถามนั้นผมไม่ได้ตอบมันกลับไป เหลือเพียงเสียงเงียบและลมหายใจที่ติดจะฉุนเฉียวของเจ้าของร่างสูงโปร่ง ผมบอกมันแล้ว ผมไม่ใช่ไอ้ตี๋ที่ใสซื่อของมันเหมือนเมื่อก่อน และผมก็ทำใจไว้แล้วด้วยซ้ำว่าถ้ามันรู้มันคงจะรังเกียจแต่ก็อดเจ็บปวดกับสายตาแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี
“กูขอโทษ...”
ผมไม่ได้รอมัน ไม่เคยคิดว่าจะรอเพียงแค่มันไม่เคยลืม ผมใช้ชีวิตทุกวันเรื่อย ๆ เพียงเพื่อกลบความรู้สึกที่มันถูกซ่อนไว้จนลึก ไขว่คว้าหาความสุขมาเติมชีวิตให้เต็มไปวัน ๆ ยิ่งมันไม่พอก็ยิ่งขวนขวาย ไม่เคยนึกไปถึงว่าวันหนึ่งสิ่งที่เคยมีแล้วทำหลุดมือไปจะหวนกลับมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้าย ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ ไม่รู้แม้กระทั่งควรจัดการยังไงกับตัวเองอีกต่อไป
"มึงก็รู้ว่ากู..."
"กูรู้ กูไม่แคร์อดีตแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะทนเห็นคนที่เคยเอากับเมียกูอยู่ในสายตาได้ แถมยังวอแวเหมือนเด็กยังไม่หย่านมแม่กูยิ่งไม่ชอบ ไหนจะเรื่องที่กูสั่งให้มึงเลิกยุ่งกับมัน มึงก็ไม่ทำให้อีก"
"กูขอโทษ..."
“ถ้าอยากจะขอโทษจริง ๆ ก็ถอดเสื้อผ้าซะ”
“แต่...”
“กูบอกให้ถอด!”หน้าไอ้เฟยแดงจัด ไม่ใช่เขิน แต่เป็นโกรธมากกว่า ผมเม้มปากเข้าหากัน ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้มันกอด แต่ไม่อยากถูกกอดด้วยอารมณ์แบบนี้ กลับมาเจอกันอีกครั้ง อยากให้กอดกันด้วยความรักที่ยังมีอยู่หรือความคิดถึง ห่วงหาอาทรกันมากกว่า ผมก้มหน้าลง จับคอเสื้อกระชับเข้าหากันแล้วส่ายหน้า “ไม่เอา”
“อย่าดื้อกับกู”
“กูไม่อยากให้มึงทำด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะพี่เชนทร์!”
“กูจะทำด้วยอารมณ์ไหนมันก็เรื่องของกู ใครสอนให้มึงมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ตี๋ กูไม่ใช่เหรอ แล้วจะเล่นตัวกับกูทำเหี้ยอะไร ทำไมทีกับมันถึงยอมง่าย ๆ”
“กูไม่ได้รักเขา! กูไม่ได้ต้องการอะไรจากเขาแต่กูต้องการจากมึง...”
น้ำตาผมไหลลงมา ผมอ่อนแอ อ่อนแอเสมอเฉพาะกับมัน ไอ้เฟยยังคงจ้องมาที่ผม แต่สายตาอ่อนลงกว่าเก่า ผมพูดหมดแล้ว ผมไม่เคยแคร์ว่าร่างกายนี้จะเป็นของใครตั้งแต่ที่เสียมันให้คนอื่นนอกจากไอ้เฟยครั้งแรก ผมสกปรก ไม่ใช่สมบัติของมันแต่เพียงผู้เดียวแต่หัวใจของผมก็ไม่เคยยกให้ใคร
ความรู้สึกของผม...มีค่าเกินจะเหยียบย่ำได้ด้วยร่างกายโสมม ๆ แบบนี้
แรงสวบสาบของเนื้อผ้าดังขึ้นเมื่อมันเสียดสีกัน คนที่ยืนอยู่ในทีแรกทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าทำให้สายตาของเราประสานกันพอดี ไอ้เฟยเป็นคนหน้าสวย ใบหน้ารูปไข่รีได้สัดส่วนกับตา แก้มมีสีเลือดฝาดนิด ๆ ชวนมอง ถ้าจะเรียกควรเรียกว่าหน้ามันเหมือนตุ๊กตาปั้น นอกจากหน้าดีแล้วก็รวย กับเรียนเก่ง ดูมีอะไรดีไปเสียทุกอย่างจนใคร ๆ ก็อยากได้อยากครอบครอง มันโตมาในครอบครัวที่เพียบพร้อม เป็น Perfectionist อย่างตัวละครในบทกวี
งดงามจนไม่กล้าจับต้อง
แต่คนที่รู้ลึกไปกว่านั้นคือผม ผมเป็นคนเดียวที่มองมันไม่เหมือนคนอื่น มันไม่ใช่คนรั่ว ๆ มึน ๆ ไปวัน ๆ ไม่ใช่คนคิดอะไรน้อยจนน่าอิจฉา ตรงกันข้าม มันเป็นคนคิดมากและขี้เหงาที่สุดเมื่อเทียบกับทุกคนที่ผมเคยรู้จักต่างหาก
ดังนั้น เมื่อมันเรียนรู้ที่จะรักใครสักคน มันถึงหวงแหนเขามากเป็นพิเศษ
“ตี๋...ต่อไปนี้อย่าทำแบบนั้นอีกนะ”
ผมพยักหน้า ดึงบ่ามันเข้ามาหาจนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่พาดบ่าในทีแรกร่วงลงพื้น ถ้ามันให้โอกาส ผมหมายถึงโอกาสที่จะมองข้ามอดีตของผมไปจริง ๆ ก็จะไม่ทำให้มันผิดหวังอีก ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึก ๆ ผมปรารถนาจะมีแค่มัน แค่มันคนเดียวและตลอดเวลา ผมกอดมันไว้ มันเองก็กอดผมกลับ ไม่เคยมีอ้อมแขนจากใครที่จะทำให้ผมอุ่นใจได้เท่านี้อีก
“กูรักมึงนะตี๋ กูไม่อยากให้มึงเป็นของใคร”
“กูสัญญา ไม่ทำอีกแล้ว” จะให้สาบานเลยก็ได้ แค่มีมันโลกของผมก็สงบแล้ว ไม่ต้องไขว่คว้าความสุขจอมปลอมอะไรอีก เฟยผละตัวออกจากผม ทำให้เห็นรอยสักบนอกซ้ายที่ต่ำกว่าไหปลาร้าลงมานิดหน่อยซึ่งระกับเส้นผมสีดำขลับของมันบางส่วน เป็นรอยสักรูปนกอินทรีกำลังโผบิน ปีกยาวสยายจนบางส่วนลามไปเกือบถึงหัวไหล่
“ไปสักมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ปีสอง”
“ช่วงที่เลิกกับกูน่ะเหรอ”
มันพยักหน้า แต่ตามองผม ขณะที่ผมกลับยกมือขึ้นลูบรอยสักของมันเบา ๆ อย่างลืมตัว เป็นรอยสักที่สวยงามสะกดสายตาแม้จะเป็นสีดำล้วนก็ตาม “หมายถึงอะไร”
“ไม่บอก”
“กวนตีน”
“ไว้บอกตอนจำเป็น นี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายของกู” พูดพลางทำตาหวานเยิ้ม ผมสบตามันอีกครั้งก่อนม่านตาอีกฝ่ายจะขยายขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผมขยับหน้าเข้าไปจูบเบา ๆ ที่ปลายจมูกมน แก้มของไอ้เฟยเพิ่มสีสันชัดเจนขึ้นเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเขิน ๆ “นี่ยั่วเหรอ”
“เปล่า แค่มันเขี้ยว”
“กูก็มันเขี้ยวมึงเหมือนกัน มาให้ตรวจภายในหน่อยซิ”
“ทะลึ่งแล้ว ๆ”
“เขาเรียกว่าเป็นคนทะเล้น”
“ทะเล้นพ่อมึงสิ ไอ้ที่ตั้งอยู่นี่เรียกทะเล้นเหรอ” ว่าพลางปรายตาลงต่ำ ไอ้เฟยหัวเราะในลำคอก่อนเท้าแขนลงบนเตียงขนาบผมซ้ายขวา แววตาสีดำขลับพราวระยับ ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างนิสัยคนเจ้าเล่ห์ “แอบมองของกู จะจ่ายค่าสึกหรอยังไง”
“มองก็สึกเหรอ เพิ่งรู้”
“อย่าใช้คำว่าไม่รู้ในแง่ของกฎหมาย” มันพูดพลางคลี่ยิ้มอ่อน จับแก้มมันด้วยมือทั้งสองข้าง กร้านกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อยอาจมีสาเหตุเดียวกับสีผิวที่เปลี่ยนไป เฟยเอียงคอให้แก้มมันแนบกับฝ่ามือผมเต็มที่ นัยน์ตาสีดำขลับสะท้อนภาพของผมที่กำลังยิ้มอยู่
“อยากทำไหม”
เฟยหัวเราะในลำคอเมื่อคำถามของผมสิ้นสุด ยืดตัวขึ้นมาจูบที่หน้าผากตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง “ตักบาตรอย่าถามพระ”
ผมหลับตาลง ฟังเสียงของหัวใจตัวเองที่มันเต้นแรงขึ้นเมื่อริมฝีปากนุ่มลากผ่านสันจมูกกระทั่งจรดลงที่กลีบปากเพียงผะแผ่ว ไม่มีคำพูดอะไรแล้ว คนที่กึ่งเปลือยตั้งแต่แรกเอนตัวมาไซ้คอผมแล้ววกขึ้นมาที่ริมฝีปากอีกรอบ ย้ายจมูกไปกดข้างแก้ม สลับกับกดจูบเป็นพัก ๆ มันเรียกผมว่าตี๋ กระซิบอยู่ข้างหูแต่ไม่เคยเรียกว่าวินเลยสักครั้ง ผมไม่โกรธ ไม่เคยไม่ชอบใจจริง ๆ จัง ๆ เพราะรู้ว่านั่นเป็นชื่อที่มันจงใจจะให้พิเศษสำหรับเรา เพียงแต่มันเรียกต่อสาธารณะจนกลายเป็นว่าคนที่เรียนอยู่ด้วยกันเข้าใจว่าผมชื่อตี๋ไปโดยปริยาย
“เฟย...” ผมเรียกมันกลับ เรียกคล้ายละเมอกึ่ง ๆ กับเป็นเด็กน้อยหัดพูด ยกมือขึ้นโอบกอดมันแล้วเอนหลังลงแนบเบาะเตียงเมื่อริมฝีปากนั้นประกบลงมาอีกครั้ง บดเบียดราวกับเป็นคำสั่งให้ผมยอมศิโรราบได้ง่ายดาย ผมจูบมันกลับ รสจูบที่คุ้นเคยราวกับเป็นลูกอมรสที่ถูกใจ สักพักมันก็ผละหนีมาไซ้กกหูผมอีกครั้ง จูบจนได้ยินเสียงชื้นแฉะของปลายลิ้นกับซอกหูอย่างชัดเจน
“ให้กูเป็นคนสุดท้าย...”
ผมครางตอบมันในลำคอคล้ายคนไม่มีสติ แต่ที่พูดออกไปนั่นเต็มไปด้วยสติทุกอย่าง มือของมันไล่เลื้อยไปกับเสื้อยืดของมันบนตัวผม พอไล้ลงต่ำมาจนถึงชายเสื้อด้านล่างก็สอดเข้ามาสัมผัสกับผิวเนื้อโดยตรง เฟยกดปลายนิ้วลงมาบนเรือนร่าง จากขอบสะดือ ขึ้นมายังหน้าท้องและใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือสัมผัสกับยอดอกให้เกิดเสียงครางต่ำ ผมหลับตาลง แต่แม้จะหลับตาแบบนี้ก็ยังรู้สึกได้ว่าคนที่กำลังโอบกอดผมเป็นมัน
“อิ๊...”
ผมร้องเสียงหลงเมื่อแผ่นอกอีกข้างถูกฟันคมขบลงไปผ่านเสื้อ สักพักก็เลีย เสื้อยืดตัวบางชื้นเป็นวง อุ่นสลับเย็นเมื่อปลายลิ้นแตะและผละออกห่าง ความรู้สึกแล่นริ้วผ่านเส้นประสาทไหลไปทั่วร่าง แต่ที่รู้สึกดีคือแก้มทั้งสองข้างร้อนวาบเหมือนทุกครั้งที่ถูกสัมผัส ปรือตาขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายผละตัวขึ้น ใช้ข้อศอกยันร่างทิ้งระยะห่างระหว่างกันไม่ให้ไกลกันนัก
สายตาของมันที่ทอดมองมาเหมือนจะหยอกล้อ แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เราต่างรู้กันว่ามันคือแบบไหน
เฟยก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง มือที่จับหน้าอกผมเลื่อนลงต่ำมาที่กางเกง ดูดที่กลีบปากซ้ำ ๆ ก่อนผละออกมายันตัวลุกขึ้นพร้อมกับดึงกางเกงผมออกทางข้อเท้าแล้วโยนมันให้พ้นรัศมีของเตียง กลับมาจัดการกับเสื้อที่ยับย่นอีกครั้ง แรงกดทับจากมันทำให้ผิวของผมเป็นรอยแดง ปลายเสื้อยืดถูกม้วนขึ้นจนหลุดออกไปทางหัว ก่อนถูกเหวี่ยงไปรวมกับกางเกงที่ถูกกำจัดอย่างไม่สนใจใยดีเมื่อครู่
ลมหายใจของอีกฝ่ายหนักขึ้นเมื่อผมนอนเปลือยเปล่าบนเตียงต่อหน้ามัน ดวงตาสีดำขลับจับจ้องเป็นประกายวับเหมือนเด็ก ๆ ถูกใจของเล่นใหม่ เพียงแต่ผมไม่ใหม่แล้ว ร่างกายนี้มันควรจะคุ้นตาเสียด้วยซ้ำแต่ก็ยังมีปฏิกิริยาเหมือนครั้งแรกที่มันมีโอกาสได้เชยชมไปเสียทุกที
“ผิวมึงสวย”
คนพูดพูดพลางเลียริมฝีปากไปด้วย มากกว่านั้นคือมือใหญ่บรรจงลูบไล่ผมอย่างทะนุถนอม แก้มที่เคยร้อนรุม ๆ ในทีแรกเปลี่ยนเป็นร้อนฉ่า เพิ่งรู้ว่าไม่ว่านานแค่ไหน คนที่ทำให้ผมรู้สึกได้แบบนี้ ก็มีแค่มัน
ไอ้เฟยใช้สายตาโลมเลียผมตลอดทั่วร่างที่ปลายนิ้วสัมผัสผ่าน จากเอวมาเป็นต้นขา สะโพก ก่อนจะใช้ริมฝีปากทาบทับตามมา จุมพิตไล่ไปทุกสัดส่วนของร่างกาย ขณะที่ผมได้แต่หลับตา แต่ก็ยังคงรับรู้ได้ชัดเจนว่ามันกำลังเคลื่อนตัวไปทางไหนโดยมีลมหายใจร้อนเป็นตัวนำ สักพักพอสมใจกับเรือนร่างแล้วอีกฝ่ายก็ขยับกายขึ้นมาจูบปิดริมฝีปากที่ครางฮือด้วยอารมณ์วาบหวาม ผมเกาะบ่าทั้งสองข้างไว้แน่นเมื่อจูบของอีกฝ่ายเร่งเร้ามากกว่าทีแรก ปลายลิ้นที่แทรกตัวเข้ามากอบโกยไปราวกับจะออกคำสั่งให้ผมพลีทุกลมหายใจให้ ผมเลื่อนมือสัมผัสอีกฝ่ายที่คอ จับแก้มขาวเอาไว้เหมือนคนละเมอเมื่อมันเอียงจมูกหลบและแทรกลิ้นลึกขึ้นมากว่าเก่า จากนั้นมันก็ไซ้กกหูอีกครั้ง จับมือผมให้แตะต้องร่างกายมันก่อนจะชี้นำให้สัมผัสกับสัดส่วนที่ต่ำลงกว่าสะดือ
ระหว่างที่หัวใจเต้นโครมคราม กลิ่นของมันที่คุ้นจมูกกำลังทำให้ผมตื่นเต้นก็รู้สึกเจ็บนิด ๆ ที่ต้นคอเพราะจากที่จูบเพียงผะแผ่วอีกฝ่ายกำลังดูดดึงให้มันเกิดรอย ไอ้เฟยเป็นพวกชอบแสดงความเป็นเจ้าของไปทั่ว เหมือนหมาที่มักจะฉี่แสดงพื้นที่อาณาเขต เมื่อก่อนเคยบอกมันแล้วว่าไม่ชอบแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ได้แต่ขอร้องให้ทำในที่ ๆ สามารถรอดพ้นจากสายตาคนทั่วไปให้หน่อย
“เป็นของกู...” เสียงพูดสั่นพร่า และแหบต่ำ จากที่เคยมองว่าน่ารักตลอดเวลามันจะดูเซ็กซี่ขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะเวลาแบบนี้ ผมยังไม่ทันได้ตอบอีกฝ่ายก็พลิกตัวให้นอนคว่ำโดยมีมือของอีกฝ่ายรั้งเอวเอาไว้ก่อนหยิบหมอนบนหัวเตียงมาคั่นให้ยกสะโพกขึ้นสูงเด่น ผมหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายจุมพิตเบา ๆ ที่ไหล่ลาดแล้วเปลี่ยนมาเป็นแผ่นหลัง มันจูบตามแนวกระดูกสันหลังลงมาจนถึงก้นกบ สักพักก็ลุกออกจากเตียงไปหยิบอุปกรณ์ที่พกติดกระเป๋าสตางค์ไว้กับโลชั่นขวดเล็ก ๆ ในกระเป๋าเดินทางกลับมาที่เตียง สัมผัสเย็นวาบแตะลงเบา ๆ ก่อนนิ้วจะถูกส่งเข้ามาเป็นอันดับแรก ผมสั่นไปทั้งตัวจนรู้สึกได้ สั่นเหมือนคนไม่เคยถูกกอดแม้จะผ่านเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม
“เป็นอะไร...”
เฟยกระซิบถาม มันเองก็คงเห็นถึงความผิดปกติแต่ก็ยังไม่หยุดมือ ผมรับรู้ได้แม้กระทั่งการงอของข้อนิ้ว กัดริมฝีปากล่างเอาไว้ไม่ให้เสียงน่าอายหลุดออกมา
“กู...”
“กลัวเหรอ”
เปล่า...ไม่ใช่...ผมส่ายหน้าติดกับหมอน มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ถูกต่างหาก ถ้าสมมติทำไปครึ่งทางแล้วเกิดนึกรังเกียจร่างกายที่ไม่ได้ซื่อสัตย์เพียงแค่มันขึ้นมา...ถ้าสมมติ...ถ้า...
เต็มไปด้วยคำถามที่ผมไม่กล้าเอ่ยออกไป
เราจะมีเซ็กซ์กันอีกครั้งโดยไม่ตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยได้จริง ๆ หรือสุดท้ายผมก็ควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ เผลอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ร่างกายที่ตื่นตัวก่อนหน้านี้ค่อย ๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ข้อมือที่ขยับอยู่เมื่อครู่นิ่งค้างแต่ยังไม่ดึงออกมา
“เป็นอะไร บอกกูสิ...ตี๋...กูเป็นห่วงมึงนะ เป็นอะไร”
ผมยังคงส่ายหน้า สักพักก็หลบมันด้วยการฝังหน้าลงบนหมอนเสียเลย ไอ้เฟยดึงนิ้วออกมาช้า ๆ แต่โอบเอวผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง แนบแผ่นอกลงบนแผ่นหลังแล้วซุกจมูกลงบนซอกคอ เสียงของมันถามอู้อี้แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน
“มึงไม่อยากให้กูทำ กูไม่ทำก็ได้ แต่อย่าเป็นแบบนี้...กูรู้สึกไม่ดีเลย”
“ไม่ใช่....” พยายามเปล่งเสียงพูด แต่กลับยากลำบากเหลือเกิน “...กู...กูเคยเป็นของคนอื่น”
“กูบอกแล้วไงว่าแค่ต่อจากนี้ แค่หลังจากนี้มึงเป็นของกูคนเดียวกูก็จะไม่พูดถึงเรื่องอดีตอีก กูโตแล้วนะวิน กูรู้ว่าเราย้อนเวลากลับไปกันไม่ได้”
“...แต่”
“ไม่ต้องกังวล...” เสียงกระซิบของมันนุ่ม นุ่มจนผมเชื่อว่ามันหมายความว่าอย่างนั้น “...กูไม่โกรธมึง”
ผมพยักหน้าลง ขยับข้อศอกให้มืออยู่ในองศาที่จับมันไว้ได้ เฟยจูบที่หัวไหล่ผมซ้ำ ๆ หลายครั้งจนผมเอี้ยวตัวไปหยุดการกระทำนั้นด้วยริมฝีปาก จุมพิตที่เต็มไปด้วยความรักและความคิดถึงซึ่งความปรารถนาถูกจุดขึ้นเป็นลำดับต่อไป ฝ่ามือร้อนและนิ้วเรียวยาวเริ่มเลื่อนออกจากกันอีกครั้ง รุกไล่บนร่างกายที่ชื้นเหงื่อของผม ปลุกเร้าความต้องการตามธรรมชาติให้ลุกโชนขึ้นมาได้ไม่ยาก
“กูไม่ได้โกรธมึงจริง ๆ”
“อือ...” ผมรับคำในลำคอ เราสานต่อกองไฟที่คุกรุ่นด้วยริมฝีปาก สะโพกผมถูกบีบด้วยมือแกร่งก่อนเปลี่ยนมาเป็นลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์ กลีบปากและปลายลิ้นพรำจูบไปทั่วแผ่นหลัง ยิ่งเมื่อหลับตายิ่งรับรู้ได้ว่ามันกำลังเน้นย้ำไปยังชีพจรตรงส่วนไหน
ใช้เวลาไม่นานสติสัมปชัญญะที่มีก็หลุดลอยไป ถูกบดบังด้วยความรู้สึกที่ปราศจากความกังวลใด ๆ โดยสิ้นเชิงทำให้เห็นภาพสะท้อนของความรู้สึกบนร่างกายที่ชัดเจน ความปรารถนาที่จะตกอยู่ในภวังค์รักของอีกฝ่ายเด่นชัดขึ้น พร้อมกับเสียงหยุบหยับของพลาสติกห่อหุ้มถุงยาง สักพักฝ่ามือที่ชุ่มด้วยโลชั่นก็ชโลมลงบนเรือนร่างผมเพื่อปลุกเร้าพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ในใจ ส่วนที่ถูกเตรียมความพร้อมเมื่อครู่ถูกสานต่อด้วยนิ้วเป็นอันดับแรก นวดคลึง ฟอนเฟ้นและสัมผัสให้ผมแทบดิ้นเร่าอยู่บนเตียง มันยังจำได้ว่าจุดไหนที่ทำให้ผมเตลิดเปิดเปิงและยังเน้นย้ำอยู่ตรงจุดนั้นจนผมอ่อนระทวยไปทั้งร่าง เผลอเคลิบเคลิ้มกับรสสัมผัสเอาอกเอาใจนั่นได้ไม่นานก็ต้องลืมตาโพรงเมื่ออีกฝ่ายกดร่างกายเข้ามาฉับพลัน ผมอ้าปากค้างเมื่อร้องครางอู้ ทั้งเจ็บและจุก สั่นสะท้านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย
ริมฝีปากดูดดึงจนเป็นรอยม่วงช้ำที่หัวไหล่ไล่จุมพิตมาจนถึงต้นคอของผมอีกครั้ง บดขยี้กลีบปากลงมาแล้วใช้จมูกดันแก้มบังคับให้ผมเอียงคอหลับมาจูบ เรากดริมฝีปากเข้าหากัน ใช้ปลายลิ้นต่อสู้และฟาดฟันอย่างไม่มีใครยอมใครขณะที่สะโพกเบื้องล่างเดินหน้าต่อ ร่างที่นอนทาบทับอยู่เบื้องบนเสือกตัวเข้ามาลึกเรียกเสียงกรีดร้องของผมออกมาอย่างไร้ยางอาย มือข้างหนึ่งของมันจับขอบเอวผมไว้ ยึดให้เป็นหลักเมื่อดันตัวเข้ามาเติมเต็มช่องว่าง ขณะที่อีกข้างปรนเปรอให้สติผมล่องลอยไปไกลสุดไกล พาทุกอณูแห่งประสาทให้รู้สึกแปลบปลาบ ร่างกายของมันที่ฝังเข้ามาลึก เป็นจังหวะซ้ำ ๆ ราวกับอยากจะสลักมันลงในใจผมตราบนานเท่านาน ผมครางเรียกชื่อมัน ความรู้สึกประหลาดแล่นริ้วเสียวซ่านไปทั้งร่าง ทั้งทรมาน วาบหวาม และอุ่นใจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
เสียงครางดังลั่น หอบหายใจเป็นจังหวะสลับกับเสียงผิวเนื้อตีกระทบ ร่างกายเสียดสีกันจนร้อนราวไฟ ภายใต้แสงนีออนที่ยังสว่างอยู่ ผมกลับหลับตาสนิทเพราะเขินเกินกว่าจะสู้หน้า เสียงหัวใจเต้นแรง และแรงขึ้นเมื่อประสาททุกเส้นเครียดขมึง ความตื่นเต้นพุ่งทะยานจนถึงขีดสุด ก่อนระเบิดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
เสียงของคลื่นยามซัดชายฝั่งดังซาบซ่าน ร่างสูงหยัดกายฝังลึกและแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก่อนถอนตัวออกมาเมื่ออารมณ์ค่อย ๆ ทุเลาลงกว่าเก่า ถุงยางอนามัยถูกถอดแล้วรัดปากถุงไว้แน่นหนาก่อนไอ้เฟยจะโยนทิ้งให้พ้นทาง มันพลิกตัวผมให้นอนหงายแต่ยังคงตามมาทาบทับอยู่
“อยากกอดมึงให้แนบชิดกันมากกว่านี้” มันพูดสลับหอบ ผมเข้าใจว่าหมายถึงอะไร อยากให้มันสัมผัสโดยตรงเหมือนกันแต่ที่ผ่านมาผมเองก็ไม่มั่นใจ ทั้งตัวเองและมัน เพราะต่างมีอดีตที่ไม่ขาวสะอาดเหมือนกันตั้งแต่แรก แต่เพราะหมดเรี่ยวแรงจะอธิบายสุดท้ายก็ได้แต่นอนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน หลับตานิ่ง ๆ รับสัมผัสอ่อนโยนจากริมฝีปากที่ยังเฝ้าจูบเผ้าหอมที่ข้างแก้มซ้ำ ๆ
“ไว้กลับไปแล้วไปตรวจเลือดกันนะ”
ผมพยักหน้าลง ปรือตามองมันที่จับมือผมไว้แล้วจูบที่ปลายนิ้ว ไอ้เฟยยิ้มตาหยี มีเม็ดเหงื่อขึ้นประปรายบริเวณไรผม บางส่วนไหลชโลมมารวมกันเป็นเม็ดเหงื่อใกล้คอขาว “ต่ออีกรอบไหวหรือเปล่า”
“ขอ...เวลานอก...” พูดพลางเผยอปากขึ้นหายใจ ไอ้เฟยหัวเราะแต่ก็ยอมทิ้งตัวลงข้าง ๆ มันสอดแขนเข้าใต้คอผม แล้วดึงบ่าให้ขยับตัวขึ้นมานอนซบบนอกเปลือยของมันเบา ๆ
“ล้อเล่น พักไปเถอะ เดี๋ยวก็ป่วย หรืออยากอาบน้ำ?”
ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมากอดเอวมันไว้ “อยากนอน...แบบนี้มากกว่า” เฟยไม่ตอบ มันเงียบแต่ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ติดบนแก้มผมขึ้นไปทัดหู ขณะเดียวกันก็โน้มตัวลงมาจุมพิตแผ่วเบาที่กลางกระหม่อม
“งั้นก็…ฝันดี”
ผมพยักหน้าลง หลับตาสัมผัสความรักและความอ่อนโยนที่มันมีให้ไว้มากที่สุด มันไม่ใช่เซ็กซ์ ผมรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับมันเป็นราวของขวัญสำหรับคนรักกันที่อยากสัมผัสซึ่งกันและกันให้มากที่สุดต่างหาก
“ขอบคุณนะ”
ผมพูดเพียงผะแผ่วแต่มั่นใจว่ามันรู้ว่าผมหมายถึงอะไร ขอบคุณที่ไม่โกรธ ขอบคุณที่ให้โอกาส ขอบคุณที่กลับมาหากันอีกครั้ง ไอ้เฟยหัวเราะ ผมรู้เพราะอกที่ผมนอนทับอยู่กระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นว่ามันจ้องอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีคำพูดอะไรต่อจากนั้น เราจูบกันที่ริมฝีปากเบา ๆ อีกครั้ง ก่อนจะอนุญาตให้ความเหนื่อยอ่อนพัดพาสติสัมปชัญญะที่มีอยู่ล่องลอยไปกับสายลม
TBC
หวานยัง??? หวานแล้วนะ ฮริ้งงง นี่รู้สึกว่าตัวเองเขียนฉากเรทถี่เหลือเกินช่วงนี้ โฮรวววว อันนี้เรทแบบที่เต็มไปด้วยความกังวลแต่ก็เสพย์สมบ่มิสมกันจนแล้วจนรอดนี่นะ !!
รอยสักรูปอินทรีของพี่เฟยกำลังบอกกลายๆค่ะว่าที่จริงแล้วพี่เฟยชอบนุ้งอิน ฮาาา เดี๋ยวมีโผล่มาค่ะ แต่ขอเดินเรื่องไปอีกนิดก่อนเนอะ ขอบคุณที่เข้ามาติดตามกันค่ะ เจอกันใหม่อาทิตย์หน้าน้าาา