รักสองเมือง
บทที่ 3
วรกายแกร่งกล้าซุ่มหมอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่พลางเพ่งพระเนตรเข้าไปในตำหนักเบื้องหน้า เจ้าชายจักรธร
ตรัสเบาๆ กับความว่างเปล่ารอบองค์
“ตำหนักนี้แน่รึเจ้าหย็องกรอด”
ท่ามกลางความมึดมิดในยามดึกสงัดอากาศข้างองค์ก่อตัวเป็นโครงกระดูกเพียงชั่วพริบตา
“มั่นใจมากพะย่ะค่ะ หย็องกรอดไปสำรวจมาแล้ว เจ้าชายองค์น้องอยู่ที่ตำหนักนี้จริงๆ ว่าแต่พระองค์จะ
ลอบเข้าไปเพื่ออะไรพะย่ะค่ะ”
“ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม เจ้าผีสอดรู้”
ตรัสอย่างรำคาญ โครงกระดูกเบ้ปากจนกรามชนกันดังกึกๆ
“เชอะ เดี๋ยวก็ใช้เราทำโน่นทำนี่แล้วก็ไม่บอกเราหรอกว่าทำอะไร อย่าให้หย็องกรอดสืบรู้เองนะพะย่ะค่ะ”
มะเหงกโขกลงกลางกระหม่อมของกะโหลกอย่างหมั่นไส้เต็มกำลังเมื่อเจ้าชายแห่งมิถิลาเห็นท่าทางของมัน
ก่อนที่จะทรงเอ่ยโอษฐ์ไล่
“พูดมากจริงเจ้านี่ จะไปไหนก็ไปไป๊”
“ไล่อีกแล้ว เอะอะก็ไล่ ดีล่ะ หม่อมฉันไปจีบนางตานีท้ายวังก็ได้”
ส่ายพักตร์อย่างระอาเมื่อโครงกระดูกสลายร่างกลายเป็นอากาศธาตุดังเดิม แล้วจึงมองซ้ายขวาให้ถี่ถ้วน
ก่อนที่จะเร้นกายเข้าไปในตำหนักอย่างง่ายดายด้วยสวมใส่เสื้อผ้าสีดำกลมกลืนไปกับความมืด
ด้วยเป็นตำหนักเล็กๆ ของพระราชโอรสพระองค์รองจึงไม่ได้ใหญ่โตเหมือนตำหนักของเจ้าชายสหัสรังสี
ไม่นานนักเจ้าชายจักรธรจึงพบประตูห้องบรรทมอย่างไม่ยากเย็น เจ้าชายศศลักษณ์มิได้โปรดให้นางกำนัล
มาถวายการรับใช้ จึงยิ่งทำให้เจ้าชายจักรธรสามารถเปิดบานประตูเข้าไปยืนมองวรกายบอบบางที่
หลับใหลอยู่บนแท่นพระทมได้อย่างง่ายดาย
เรือนกายที่ทรงติดเนื้อต้องใจทอดกายตะแคงข้างอยู่กลางพระบรรจถรณ์ แพรผืนบางคลุมจนถึงพระอุระ
เรียวโอษฐ์อิ่มเผยอน้อยๆ ราวกับจะเชิญชวนให้แขกยามวิกาลก้าวขึ้นไปทอดกายนอนเคียงข้างแล้ววางมือ
ไปที่บั้นพระเอวเหนี่ยวเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว
ศศลักษณ์สะดุ้งกลางดึก เนตรงามเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของผู้บุกรุก แต่ก่อนที่จะทรงร้องอย่างตกใจ
โอษฐ์ของพระองค์ก็ถูกอีกฝ่ายชิงปิดไว้ด้วยปากของมัน ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่งทั้งทุบทั้งหยิกทั้งตี
แต่อีกฝ่ายกลับไม่สะดุ้งสะเทือน มิหนาซ้ำยังบดจูบอย่างจาบจ้วงแถมยังผลักให้กายบางนอนหงายแล้วขึ้น
คร่อมทับตัวคว้าข้อพระหัตถ์เล็กไปยึดตรึงไว้เหนือเศียร
“อื้ม ปล่อย อืมม...”
ลิ้นร้อนสอดลึกดูดเกี่ยวพลิกไปมาอย่างชำนาญ จนเจ้าชายน้อยด้อยเดียงสาเผลอใจวูบตวัดปลายลิ้นเล็ก
ตอบโต้ให้มันครางลึกอยู่ในลำคออย่างพออกพอใจ ความเร่าร้อนยิ่งเพิ่มพูนจนเจ้าชายศศลักษณ์หายใจจน
อกกระเพื่อมกว่าที่มันจะยอมลดราวาศอกถอนปลายลิ้นออกไปอย่างอ้อยอิ่ง
“เจ้าคนชั่ว”
สุรเสียงแหบพร่าด่าทอใส่หน้าทั้งที่พระอัสสาสะยังไม่เป็นปกติแต่กลับเรียกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูจากอีกฝ่ายได้
ง่ายดายนัก
“ถึงหม่อมฉันจะชั่วแต่ก็เป็นพระสวามีของพระองค์”
พักตร์เข้มก้มลงกระซิบที่ข้างหูของคนที่ถูกทาบทับ
“หรือว่าเจ้าชายทรงลืมบทรักกลางป่าของเราสองคนไปแล้วพะย่ะค่ะ แต่หม่อมฉันไม่เคยลืมว่าร่างกายของ
พระองค์นั้นหวานขนาดไหน”
“บ้าที่สุด เราจะสั่งให้ทหารกุดหัวเจ้า”
เจ้าชายศศลักษณ์ตวาดใส่หน้าอย่างเจ็บใจ
“เอาสิพะย่ะค่ะ ตอนนี้เลยไหม ทรงตะโกนให้ดังๆเข้าไว้ ทหารของพระองค์จะได้แห่กันมาแล้วเห็นว่าทรงทำ
อะไรกับหม่อมฉันอยู่ อย่างน้อยหม่อมฉันก็จะได้มีความสุขก่อนถูกกุดหัว”
เสียงหัวเราะอย่างถูกใจทำให้เจ้าชายศศลักษณ์เม้มโอษฐ์อย่างขัดใจ เนตรงามเปียกชื้นด้วยอัสสุชลที่ใกล้
จะหยดเต็มที
“กันแสงทำไม หรือว่าทรงอับอายที่มีสวามีเป็นแค่คนต่ำต้อย ทั้งที่ทรงเป็นถึงพระราชโอรสแห่งกษัตริย์เมือง
พาราณสี”
“หุบปากได้แล้ว เราไม่มีเอ่อ..สามีสักหน่อย”
เสียงเล็กตวาดเบาๆ ปรางนวลแดงก่ำอยู่ในความมืด
“หึ งั้นหรือพะย่ะค่ะ คงจะลืมไปแล้วว่าหม่อมฉันทำให้พระองค์สุขสมแค่ไหน งั้นคืนนี้เรามาทบทวนความ
ทรงจำกันหน่อยดีไหม เผื่อว่าพระองค์จะจำทางขึ้นสวรรค์ที่หม่อมฉันพาไปได้”
“อยะ...อย่านะ”
เอ่ยทันเพียงแค่นั้นโอษฐ์อิ่มก็ถูกปิดลงอย่างเร่าร้อน มือหนาที่จับยึดข้อพระหัตถ์ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
แต่มันกลับโยกย้ายเข้าไปในฉลองพระองค์บางเบาแล้วดึงออกจนเหลือแต่เนื้อเนียนนุ่มให้อีกฝ่ายลูบไล้
ฟอนเฟ้นไม่หยุดหย่อน ผ้านุ่งหลุดลุ่ยไปตั้งแต่จักรธรเบียดแนบตัวลงใช้สะโพกถูไถ ไม่นานนักเจ้าชาย
ศศลักษณ์จึงได้อวดกายงดงามอยู่กลางพระแท่นบรรทมให้จักรธรเชยชมอย่างพึงใจ
“อื้อ......”
ส่งเสียงอึกอักเพราะโพรงปากหวานยังถูกซุกไซ้หาความหวาน ในขณะที่จุดอ่อนไหวเริ่มถูกมือสากกอบกุม
จักรธรเองก็อดหัวใจเต้นรัวด้วยความกระหายในเรือนร่างงามนี้ไม่ได้ เขาใช้ช่วงเวลาที่ศศลักษณ์ยังเคลิ้มไป
กับการจู่โจมถอดอาภรณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วกดร่างเปลือยแนบลงกับเนื้อเย็นๆ จนแท่งร้อนตื่นจาก
หลับใหลอวดกายสง่าน่าเกรงขามอยู่กลางตัว
แก่นกายงามถูกรวบให้แนบชิดติดกับงูยักษ์ด้วยมือใหญ่ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้าของจะรูดรั้งไปพร้อมกันพร้อมกับที่
จักรธรเปลี่ยนเป้าหมายมาลงลิ้นที่ยอดอก ขบเม้มเม็ดเล็กให้ชูช่อรับ ลากปากครอบแล้วดึงขึ้นจนร่างบาง
สะท้านไปทั้งตัว
“อ๊ะ...เรา อื้อ...เสียว..เจ้า...”
“หม่อมฉันชื่อจักร”
เสียงทุ้มพึมพำอยู่แถวยอดอก
“อา...จักร เรา...”
ทรงบิดวรกายพล่านเมื่อแท่งร้อนในมือใหญ่ถูไถกันจนร้อนวูบ น้ำใสเริ่มไหลจากส่วนปลายผสมปนเปกันชื้น
อยู่ในมือยิ่งเร่งเร้าให้จักรธรปั่นมือจนไฟแทบลุก
“ใส่เข้ามาเสียทีสิ อือ...”
ครางฮือเมื่อไฟสวาทถูกปลุกให้ติด เจ้าชายศศลักษณ์เม้มโอษฐ์แน่น ดวงเนตรปรือฉ่ำแดงเรื่อ หัตถ์ที่เคยทุบ
ตีบัดนี้โอบกระชับไปรอบร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เบียดตัวแนบชิดจนชื้นไปด้วยพระเสโท
“เรียกหม่อมฉันว่าพี่จักรก่อนสิพะย่ะค่ะ”
“มะ..ไม่ อ๊า...”
ร้องลั่นเมื่อแก่นกายถูกบีบเบาๆ พาให้ยิ่งเสียวซ่าน จนกลั้นเสียงครางไม่อยู่ ลมหายใจหนักหน่วงสะท้อนอยู่
ในอก
“พะ..พี่จักร เรา...อืม ใส่เข้าไปเถอะนะ”
ต้องฝืนความอับอายวิงวอนเมื่อร่างกายถูกโลมเล้าไม่ได้พัก เจ้าชายศศลักษณ์ร้อนไปทั้งวรกายจนต้องตั้ง
พระชานุขึ้นเปิดทางสวรรค์รอให้งูยักษ์ที่จ่ออยู่แทรกตัวเข้าไปทีละน้อย
“เร็วอีกนิดเถอะพี่จักร เราจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
ทรงวอนขอ แถมยังเป็นฝ่ายกดพระโสณีรับการมาเยือน จักรธรเผลอครางอู้เร่งกระทุ้งแก่นกายเข้าไปสุดแรง
“โอว้......”
ศศลักษณ์ร้องลั่นเมื่อแท่งร้อนกระแทกเข้าจุดกระสัน ร่างบางสะดุ้งเฮือก แอ่นกายบดเบียดเล็บจิกลงบน
แผ่นหลังจนเป็นรอยเลือดซิบ
“อืม...ศศลักษณ์ เจ้านี่ช่างยั่วข้านัก”
จักรธรพึมพำเสียงสั่นพร่า เขารวบเอวบางไว้ในอ้อมแขนแล้วลุกขึ้นนั่งบนท่อนขาของตัวเองแล้วจับ
ศศลักษณ์ให้นั่งคร่อมอยู่บนหน้าขาก่อนที่จะกระแทกสะโพกรัวเร็ว
“อ๊า...”
เจ้าชายน้อยปล่อยเสียงครางลั่น สองมือโอบกอดไปรอบลำคอให้จักรธรขบเม้มลงลิ้นที่ยอดอกจนเปียกชุ่ม
ในขณะที่ด้านล่างก็ถูกสอดเข้าไปจนลึกกว่าเคย
“ขยับสะโพกสิเจ้า จะรอช้าอยู่ใย”
มือใหญ่วางแนบที่เอวบางพลางสอนด้วยการช่วยยกเอวและกดลงรับกับสะโพกแกร่งที่กระแทกลึก
ศศลักษณ์เม้มโอษฐ์แน่นเมื่อกล้ามเนื้อบีบรัดไปหมด
“อืมม รัดข้าจนแทบหายใจไม่ออกเลยนะเจ้า ช่างร้อนแรงจริงๆ”
“พี่จักร...เรา..อะ จะไม่ไหวแล้ว”
จักรธรจับมือเรียวให้กอบกุมแก่นกายตนเองให้รูดรั้งขึ้นลง เขาเด้งตัวดันลึก แน่น เน้น ถี่เร็ว กดเอวบางรับ
แรงกระแทก เสียงครวญเรียกชื่ออีกฝ่ายดังระงม
“อ๊า.....พี่จักร....”
“น้องเรา....”
ศศลักษณ์เบิกเนตรค้าง สมองขาวโพลนเมื่อกล้ามเนื้อบีบตัวค้างพร้อมกับที่งูยักษ์พ่นพิษอัดแน่นไหลเยิ้มอยู่
ในช่องทางรัก ลมหายใจหอบกระเส่าดังผสานเมื่อทรงแนบพักตร์ลงกับไหล่กว้างอย่างเหนื่อยอ่อน
“ขนาดนี้แล้ว จะทรงยอมรับหรือยังว่าทรงมีพระสวามีแล้ว”
จักรธรเชยคางมนให้สบตากับเขา เจ้าชายศศลักษณ์ที่ยังไม่หยุดหายใจหอบเบือนพักตร์หนีแต่ก็ถูกมือแกร่ง
บังคับให้หันกลับมาจนได้
“จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา เจ้าเป็นใครเรายังไม่รู้จักเลย แล้วเราจะรับมาเป็นสามีได้เยี่ยงไร”
“ก็ทรงรู้แล้วว่าชื่อจักร”
“แล้วอย่างไรต่อล่ะ”
“สามีของพระองค์เป็นทหาร หม่อมฉันเป็นทหารของเจ้าชายสหัสรังสี”
“ทหารของเจ้าพี่”
ทรงอุทานอย่างแปลกพระทัย
“ทำไมเราไม่เคยเห็นเจ้า..เอ่อ..พี่จักรล่ะ”
“ก็หม่อมฉันมันเป็นแค่ทหารใหม่ต่ำต้อยที่บังเอิญไปเจอเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กำลังมีอันตรายถึงแก่พระชนม์ชีพ
อยู่กลางป่า และนึกหลงรักโดยไม่รู้ฐานันดรไงล่ะพะย่ะค่ะ”
“ขอบใจที่ช่วยชีวิต แต่ก็ไม่เห็นต้องทำ...ขนาดนั้น”
ปรางนวลแดงก่ำเมื่อพูดจบประโยคเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากจักรธรได้ไม่ยาก
“ใครเล่าจะอดใจไหว ก็ทรงงดงามเสียขนาดนี้ อย่างเช่นตอนนี้หม่อมฉันก็จะอดใจไม่ไหวอีกแล้ว”
“อื้อ...พี่จักร เรายังไม่หายเหนื่อยเลย อ๊ะ...”
เสียงเล็กขาดหายเมื่อวรกายงดงามถูกจับให้นอนลงไปกับพระแท่นอีกครั้ง
โอ้ว่าเดือนเพ็ญช่างงามงด ดูหมดจดผ่องแผ้วกลางเวหา
สาดแสงสวยลอยเด่นกลางนภา รอผู้กล้าปีนป่ายมาเชยชม
เฝ้าไขว่คว้าจนได้มาเก็บไว้ ช่างตรงใจราวกับเทพมาอุ้มสม
ไม่ยอมปล่อยหลุดลอยไปตามลม จะเกลี่ยวกลมบ่มฟักรักนานเนาว์
(ศศลักษณ์ แปลว่า พระจันทร์:ผู้แต่ง)
มีต่ออีกนิด..........