Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 56 – บ้าน สถานสงเคราะห์ของรัฐแค่คำนามธรรมดา แต่ได้ยินแล้วทำไมถึงรู้สึกแย่อย่างนี้
“ของปิ่นหยกพี่คิดว่าไม่น่ามีปัญหา” สามพลประสานมือไว้บนโต๊ะ ทิ้งช่วงอีกครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “ถึงยังเป็นผู้เยาว์ทำนิติกรรมด้วยตัวเองไม่ได้ แต่พี่เดาว่าเธอคงยังไม่ทำอะไรตอนนี้หรอกใช่ไหม”
ปิ่นหยกพยักหน้า อย่าว่าแต่นิติกรรมอะไรนั่น หากไม่ใช่สิ่งที่พยายามพร่ำบอกตัวเองให้เข้มแข็งพอเป็นที่พึ่งให้น้องสาวได้ตอนนี้เขาไม่อยากทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
“อีกไม่กี่ปีก็บรรลุนิติภาวะ แต่ถ้าระหว่างนี้มีปัญหาอะไรพี่จะช่วยเป็นธุระให้”
“....ขอบคุณครับ” เขาตอบแผ่วเบา พยายามคิดตามไปทีละเรื่องแม้รู้สึกยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนัก จากตรงนี้ยังเห็นจี้หยกกับอันนาเดินจูงมือกันอยู่ลิบ ๆ ในลานสายตา ที่ต้องห่วงมากกว่าเรื่องของตัวเองตอนนี้คือน้องสาวเขาต่างหาก “..แล้วจี้..?”
“ส่วนของจี้หยก” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก จากนี้คงต้องเลือกเฟ้นคำพูดให้ดีสักหน่อย “โดยส่วนตัวพี่เชื่อว่าเธอดูแลเขาได้”
“ผมจะพยายาม”
“แต่สองคนพี่น้องที่ยังเรียนอยู่ทั้งคู่ ลำบากนะ ...คิดอย่างนั้นไหม ลองมองในแง่คุณภาพชีวิตซึ่งพี่ว่ามันน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้น”
ปิ่นหยกยังมองไม่เห็น
‘ทางเลือกที่ดีกว่านั้น’ อย่างอีกฝ่ายว่า
“ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล พี่คุยกับอันนาแล้วก็คุณพ่อ” สามพลลอบสังเกตสีหน้าคู่สนทนา ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะราบรื่นอย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า แต่ในความคิดเขา...ปิ่นหยกไม่น่ามีความจำเป็นจะต้องปฏิเสธ
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง...ลึกและยาวกว่าเดิม
“คุณพ่ออยากช่วยเหลือด้วยการรับจี้หยกเป็นบุตรบุญธรรม”.
.
.
.
.
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน...สองวัน....สามวัน
จี้หยกกลับไปเรียนอีกครั้งโดยยังพักอยู่ห้องเดียวกับพวกเขา ปัญหาเรื่องการเดินทางหมดไปเมื่ออันนาอาสาแกมบังคับว่าจะให้คนขับรถจากที่บ้านไปรับไปส่งเด็กหญิงทุกวัน และบางครั้งก็ถึงกับไปส่งเองเมื่อว่างเว้นจากการเรียนและงานของเธอ
ราวกับหายใจทิ้งไปเพียงไม่กี่ครั้งอีกหนึ่งสัปดาห์ก็หมดไป เหลือแต่บรรยากาศสีเทาหม่นบางครั้งยามนึกถึงเรื่องราวที่ผ่าน ไม่มีน้ำตา ปราศจากถ้อยคำคร่ำครวญ พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออกเหมือนเดิม โมบายเหนือประตูหน้าร้านเค้กส่งเสียงต้อนรับเฉกเช่นที่เคยเป็นตลอดมา พวกเขาไปโรงเรียน ทำงาน อ่านหนังสือ วุ่นวายกับการสอบ ชีวิตดำเนินไปคล้ายกับไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง แต่ทุกคนรู้ว่ายังมีอะไรบางอย่างถูกตรึงไว้จุดเดิมแม้ในขณะที่กระแสเวลาไหลผ่าน
“กลับไปด้วยกันได้ไหมครับ?”
คำถามเก่า....หนึ่งในอีกหลาย ๆ คำถามที่เขายังไม่ได้ตอบ“ขนาดพี่อันยังกลับไปอยู่บ้านแล้วเลย”
“.....”
“ปิ่นหยก?”
“บ้านแก แกกลับคนเดียวก็ได้นี่” ในที่สุดก็เป็นคำพูดอ้อมค้อมที่เอ่ยออกไป “ตามไปแล้วใครจะทำงานร้าน”
“ถ้าห่วงเรื่องนั้น ฉันว่ากริชยินดีทำ แต่ถ้ายังอีก..จะให้ที่บ้านหาคนมาทำงานแทนก็ยังได้”
ปิ่นหยกเผลอขมวดคิ้ว สายตาจับอยู่ที่ร่างของเด็กหญิงผู้เป็นน้องสาวซึ่งหลับไปแล้ว เขารู้ตัวว่ากำลังห่วงเรื่องที่ว่าจริงแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่เอ่ยปฏิเสธ ความรู้สึกบางอย่างรบกวนจิตใจซึ่งเขาไม่รู้ชัดนักว่ามันคืออะไร ศักดิ์ศรี? ความลังเลสงสัย? หรือเรื่องอื่น
“กลัวอะไรอยู่หรือ?”
มืออุ่นโอบอยู่ที่ไหล่ ครู่หนึ่งก็ดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ เด็กหนุ่มมองหน้าอาทิตย์และได้รับแววตาจริงจังตอบกลับมา ความรู้สึกยามจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำขลับคู่นั้นเหมือนกำลังลอยคออยู่กลางน้ำลึก ใต้ฝ่าเท้ามีเพียงความเวิ้งว้างสัมผัสไม่ถึงพื้น ไม่รู้จะหมดเรี่ยวแรงจมดิ่งลงไปเมื่อไร
เขาอาจกำลังกลัวอยู่จริง ๆ “..ฉันไม่รู้”
“...ปิ่นหยก”
“.....”
“ฉันรักนาย...รักมากจริง ๆ"
สายตาสบกันเนิ่นนาน น่าแปลกที่ยิ่งคำพูดหนักแน่นกลับยิ่งทำให้รู้สึกหวั่นไหว ต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่กว่าร่างกายเขาจะจดจำวิธีหายใจได้อีกครั้ง
"แค่เรื่องนี้...ที่อย่าทำเหมือนไม่รู้”
เขาจุกตื้อไปหมดจนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ ทำได้เพียงยกแขนขึ้นโอบรอบคออาทิตย์ไว้แน่น น้ำตาเอ่อคลอจากความรู้สึกอื่นที่ไม่ใช่เสียใจ
"ฉันรู้...รู้ดีที่สุด"
กลางน้ำลึกนี้ บางทีเขาอาจเหยียบลงบนโขดหินมั่นคงสักแห่งแล้ว....................................................
....................................
.
.
.
.
.
.
.
วัน...สัปดาห์...เดือน
พวกเขายังวิ่งไปกับโลกที่ยังหมุนแม้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงใด
“เปิดขึ้นไหมครับ?”
เด็กหนุ่มสองคนกดรีเฟรชหน้าเว็บประกาศผลสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยที่เพิ่งจัดสอบไม่นานมานี้ตั้งเกือบยี่สิบรอบเห็นจะได้ ไม่รู้ระบบล่มไปแล้วหรืออย่างไรจึงเข้าไปดูไม่ได้สักที ยิ่งถึงเวลาที่ควรทราบผลแต่ยังไม่เห็นรายชื่อก็ยิ่งพากันลนลาน หรือหากพูดให้ถูกคือมีแต่อาทิตย์ที่ดูลุ้นออกหน้าออกตา
“ไม่ได้แฮะ..” ปิ่นหยกบ่นงึมงำ แม้ตัวเองจะได้ที่เรียนไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ยังอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ นิ้วมือขยับบนคีย์บอร์ดอีกครั้งอย่างไม่หวังผลทว่า...
“อ๊ะ!”
“หือ?”
“ขึ้นแล้ว ๆ มาดูนี่”
“อา..เดี๋ยวก่อน ขอทำใจแป๊บนึง”
เขาหันไปเลิกคิ้วใส่ รู้สึกทั้งขำทั้งเวทนาในเวลาเดียวกัน ดูท่าทางท่านชายจะเป็นเอามากทีเดียว “บ้าเปล่า ไร้สาระว่ะ”
“ปิ่นหยกใจร้าย”
เจ้าของชื่อหัวเราะอยู่ในลำคอ ขยับเมาส์เลื่อนเคอร์เซอร์บนมอนิเตอร์ไปทีละบรรทัดขณะที่อีกฝ่ายยืนทำหน้าวิตกจริตอย่างกับลูกเจี๊ยบเตรียมตัวขึ้นเขียงอยู่ข้างหลังเขา ไม่แม้แต่จะชายตามองมายังตัวหนังสือซึ่งปรากฏรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยที่ตัวเองไปสอบเลยสักนิด
“ไหนตอนสอบบอกว่าทำได้”
“ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว”
“เสียชื่อคนสอนจริง ๆ”
“นายสอนไปยั่วไปสมาธิหายหมด”
“โทษฉันได้ไงไอ้ปัญญาอ่อน! ใครไปยั่วแก” เด็กหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจว่าปรี๊ดหรืออายมากกว่ากัน ตัดสินเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นก่อนจะพูดจาเลยเถิดไปไกลกว่านี้ “คิด’ไรมาก ติดไม่ติดก็ช่าง แกได้ที่อื่นแล้วด้วยนี่”
“อยากเรียนที่เดียวกับปิ่นหยก”
เสียงทุ้มออดอ้อนนั้นทำเขาถึงกับใจอ่อนไปวูบหนึ่ง...วูบใหญ่ ๆ เลยทีเดียว น่าขายหน้าฉิบหาย
“ประสาท!” บ่นงึมงำแต่ยังวางฟอร์มออกท่าทางเบื่อหน่ายใส่หวังกลบเกลื่อนความร้อนวูบวาบซึ่งมาเป็นคอมโบเซ็ตกับอาการใจเต้นโครมครามตอนจมูกโด่งยื่นจากด้านหลัง ตามด้วยเข้ามาคลอดเคลียแถวผิวแก้มพร้อมกับมือปลาหมึกเลื้อยอยู่แถวเอวเขาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อนาทีที่แล้วเพิ่งปั้นหน้ากังวลอยู่แท้ ๆ แต่เอาเข้าจริงเรื่องหื่นกามอย่างนี้ก็ดูจะมาก่อนเรื่องอื่นตลอดเวลา มันน่านัก!
“อืม...ไม่มีชื่อแกว่ะไอ้ลูกเจี๊ยบ” แถมด้วยฟาดมือไปหนึ่งทีประกอบคำชี้แจงก่อนเอามือดันหน้าอีกฝ่ายซึ่งดูคล้ายจะซีดลงนิดหน่อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เห็นแล้วถึงกับอดลอบยิ้มมุมปากออกมาไม่ได้
“...จริงหรือ?”
“ไม่เชื่อมาดู”
หลังจากเสียเวลาไปกับการอิดออดซึ่งดูไม่ใช่คุณชายหน้ามึนในสภาวะปกติเลยสักนิดอยู่อีกสองสามอึดใจ เด็กหนุ่มร่างสูงก็ตัดสินใจย้ายก้นไปนั่งเบียดบนเก้าอี้ตัวเดียวกันหน้าคอมพิวเตอร์ ปิ่นหยกซึ่งนั่งอยู่ก่อนกำลังจะลุกให้ก็ถูกกดไหล่ให้ลงมานั่งอย่างเดิมทั้งสีหน้าเหวอ ๆ
“อย่าเพิ่งลุกครับ”
“จะตกเก้าอี้แล้วเว้ย”
“ต้องการกำลังใจ”
อ้อนเป็นลูกไก่เลยไอ้เวร! ลูกไก่ปกติอ้อนอย่างนี้ไหม “ไอ้บ้านี่! ถ้าตัวเล็กเป็นเด็กสองขวบจะไม่ว่าเลย!”
“เกินมาแค่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง” ท่านชายลูกเจี๊ยบยังเถียงต่อข้าง ๆ คู ๆ ขณะที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มอนิเตอร์
‘นายแสงอรุณ วิจิตรนิรันดร์’เพื่อจะพบชื่อและนามสกุลตัวเองปรากฏเด่นหราอยู่ท่ามกลางรายชื่อผู้สอบผ่านข้อเขียนคนอื่นตามลำดับตัวอักษร ชื่อเขาเด่นขัดกระแทกตาเลยทีเดียวเพราะปิ่นหยกทำไฮไลท์เอาไว้ให้แล้วทั้งที่เพิ่งบอกว่าไม่มีชื่อแท้ ๆ ร้ายกาจจริง ๆ
แต่ถึงจุดนี้ก็หน้าบานเป็นร่มพังที่หุบไม่ได้ไปแล้ว ทว่ายังทำเป็นขรึมหันมาจ้องใบหน้าเจ้าของร่างโปร่งข้างกายราวกับจะประกาศโทษ
“คนโกหก”
ปิ่นหยกยักคิ้วหลิ่วตา “ปิ๊งป่อง!” เห็นลูกเจี๊ยบหงอยนาน ๆ ครั้งแม้ในระยะเวลาสั้นเพียงหนึ่งชั่วเคี้ยวข้าวละเอียดถือเป็นความบันเทิงส่วนตัวของเขา
“ต้องทำโทษให้เข็ด”
ความบันเทิงเหมือนเริ่มลดลงนิดหน่อย และสายตาที่จ้องมองมาก็ดูไม่น่าไว้วางใจมากเข้าไปทุกที “ทำอะไร!?”
“นั่นสิ” ใบหน้าคมคายแย้มยิ้มกรุ้มกริ่ม ลุกขึ้นจากเก้าอี้ปุบปับแล้วเอาเข่าค้ำไว้กับเบาะนั่งก่อนจะกักเขาไว้ในวงแขนพลางพ่นลมหายใจร้อนผ่าวรดปลายจมูกให้ขนที่คอตั้งชันเล่น เสียงทุ้มนุ่มซึ่งกดลงต่ำกว่าปกติชักชวนสติหลุดจากร่างไปวิ่งเริงร่าอยู่กลางสนามหญ้าหน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยกับประโยคต่อมา “ทำอะไรกัน
สองคนดีนะครับ วันนี้ยิ่งครึ้มอกครึ้มใจอยู่ด้วย”
“หยุดเลย ไอ้ทะลึ่ง!”
“ทะลึ่งอะไร? ปิ่นหยกคิดลามกไปถึงไหนแล้ว”
เทพเจ้าแห่งเงินตราลืมเขาหรือยัง ถ้ายังก็มาช่วยหน่อยเพราะประกายระยิบระยับในดวงตาที่เจือรอยยิ้มแพรวพราวนั้นคงกะฆ่าเขาให้ตายไปตรงนี้แน่ ๆ!
“เดี๋ยวก็ทำจริงซะหรอก”
ปิ่นหยกยอมพนันทุกอย่างหมดหน้าตักก็ยังได้ว่าไอ้ความคิดอกุศลเรื่องจะทำ(ทำอะไร?)ของมนุษย์หน้ามึนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเขาท้วงว่าทะลึ่งแล้ว การมาอ้างว่าเป็นเพราะเขาคิดลามกนั้นยิ่งทำให้คนพูดดูโรคจิตได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่พบกันครั้งแรกนกระทั่งบัดนี้
“ครั้งสุดท้ายนานมากแล้วนะครับ”
ครั้งสุดท้ายนั่นคือไก่ปิ้งอะไร เสิร์ฟเค้กครั้งสุดท้ายหรือ? นานแล้วเหมือนกันตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แม้จะคุยกันไว้ว่าแค่ชั่วคราวจนกว่าคุณอานนท์จะหายใกล้เคียงปกติก็ตาม
“คืนนี้นะ...นะ...เป็นรางวัลที่ฉันสอบติดที่เดียวกับนาย”
อ้อ...คืนนี้จะกลับไปเป็นพนักงานที่โน่นเป็นรางวัลที่สอบติดสินะ
“จะอ่อนโยนที่สุดเลย”
บัดซบ! ฟังยังไงก็ไม่ใช่เรื่องเสิร์ฟเค้กอย่างที่พยายามแถเองอยู่ในใจสักนิด!“คนที่ควรได้รางวัลต้องเป็นฉันต่างหากที่มานั่งติวข้อสอบให้แกน่ะ!” ปิ่นหยกเถียง ถึงเวลาเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองบ้างแล้ว
“ปิ่นหยกเอาแต่ใจจริง ๆ” อาทิตย์ส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมกับอมยิ้มไปด้วยเหมือนผู้ใหญ่กำลังต่อว่าต่อขานเด็กด้วยความเอ็นดูซึ่งเขารู้สึกว่าช่างผิดกาลเทศะอย่างน่าโดดหนุมานถวายแหวนเป็นที่สุด “เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวคืนนี้จะดูแลทั้งคืนเลย เป็นรางวัลที่ช่วยติวให้นะเด็กดี”
“เลว! พูดยังไงก็เอาแต่ได้”
“เอาใจยากจัง ไม่พูดก็ได้”
ตัดพ้อเสร็จก็เอื้อมมือมาปลดกระดุมคอเสื้อเขาทันที
“เดี๊ยวววว!!! นี่มันกลางห้องสมุดนะไอ้เวร!”
“ห้องสมุดที่บ้าน” อาทิตย์ช่วยต่อให้ “เป็นส่วนตัวสุด ๆ”
“ส่วนตัวบ้านพ่อแกดิ!”
“อือ น่ารักจัง บ้านคุณพ่อฉันจริง ๆ นั่นแหละ ส่วนตัวมาก” อาทิตย์เอ่ยรับเสียงเนิบนาบ ก้มลงงับเบา ๆ ที่หลังมืออีกฝ่ายซึ่งรีบยื่นมาตะครุบข้อมือเขาไว้
จริงไหมล่ะ? ที่นี่บ้านวิจิตรนิรันดร์ แล้วเขาพูดผิดตรงไหน?“อ..อาทิตย์” ปิ่นหยกพูดเสียงอ่อน นั่นแหละที่เขารอฟังอยู่ถึงได้ชอบแกล้งนัก
“ครับ?”
“เด็กดีของฉัน”
“อือ..ของปิ่นหยกครับ” ฟังอย่างนี้แทบจะเอาหน้าเข้าไปถูไถแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อนั่น(ความจริงไม่ใช่แค่
‘แทบจะ’ เพราะถูไถไปแล้วเพียงแต่ไม่รู้ตัว) ถ้าให้เรียงลำดับเขาชอบปิ่นหยกในเวลาแบบนี้พอกับปิ่นหยกเวลาเมานิดหน่อยเลยทีเดียว ฟังแล้วรู้สึกอย่างกับจะลงไปละลายตายเสียให้ได้
ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามแกะกระดุมอีกฝ่ายต่ออย่างขะมักเขม้น เผื่อจะได้ยินอะไรดี ๆ อีกหน่อย คนเรามันก็ต้องมีความหวังกันบ้าง
“ไม่ชอบคนดื้อ...ครับ”
อาทิตย์ยิ้มกว้าง แทบกระโดดไปรอบห้อง ปิ่นหยกพูด
'ครับ' กับเขาอีกแล้ว ชาตินี้คงไปไหนไม่รอดแน่ ๆ พอมองพวงแก้มแดงระเรื่อแล้วจึงคิดได้ว่าแทนที่จะกระโดดโลดเต้นดีใจให้เสียบรรยากาศ สู้ก้มหน้าลงไปใกล้จนปลายจมูกแตะกันแผ่วเบาแบบนี้ดูเข้าท่ากว่าเป็นไหน ๆ
“จูบก่อน”
เขาได้กลิ่นวานิลลาหอมกรุ่นอีกแล้ว“จูบแล้วจะไม่ดื้อเลย”
อีกฝ่ายหลุบตาลงต่ำ มองเห็นขนตาเป็นแพรับกับรูปคิ้วเรียวเมื่อดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยปิดลงพร้อมกับโน้มคอเขาเข้าหาเชื่องช้าจนชวนให้ทรมาน แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คุ้มเกินกว่ากล้าจะเรียกร้องอะไรอย่างอื่น
รสวานิลลาตรงหน้านอกจากหอมละมุนแล้วยังหวานติดปลายลิ้นจนแทบลืมหายใจ“แฮ่ม!”หากปิ่นหยกกระโจนขึ้นไปยืนเต้นบนเก้าอี้เขาจะไม่แปลกใจเลย หน้าเหวอออกขนาดนั้น แถมยังแดงแจ๋น่ารักน่าฟัดเป็นบ้าตอนที่ตะโกนเรียกชื่อน้องสาวตัวเองออกมา
“จี้!!!!”“ไม่ ๆ จี้ไม่ได้ยิน ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นด้วย พวกพี่ตามสบาย”
เด็กหญิงว่าพลางทำท่ายกมือปิดตา ทว่านิ้วถ่างออกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนซึ่งนั่นไม่ช่วยให้พี่ชายเธอสงบสติอารมณ์ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย “แค่จะมาบอกเฉย ๆ ว่าพี่อันลองหัดอบคุกกี้ เลยให้มาเรียกไปชิม”
“ไป ๆ กินด้วย กำลังหิวเลย!” ร่างโปร่งยกมือยกไม้ เตรียมถลาตามน้องสาวออกไปอย่างน้อยก็ตั้งใจจะเลี่ยงสถานการณ์ชวนขายหน้าเมื่อครู่ ไม่ทันได้มองว่าเด็กหญิงลอบขยิบตากับคนที่ยืนหน้ามึนอยู่ข้างหลังเขาเป็นเชิงรู้ทัน
“แต่ไม่ต้องรีบนะพี่ปิ่น”
เธออมยิ้มท่าทางเจ้าเล่ห์ ซึ่งปิ่นหยกไม่รู้ตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า แต่มันช่างดูคลับคล้ายคลับคลารอยยิ้มของอันนาพี่สาวคนสวยบ้านนี้เข้าไปทุกวัน หรือพักนี้จะคลุกคลีกันบ่อยเกินไปหน่อยแล้ว
“จะต่ออีกสักพักก็ได้ เดี๋ยวจี้เก็บคุกกี้ไว้รอเผื่อหมดแรง”To be continued…==========================
ฮว้ากกกกก แต่งเข้าบ้านแล้วววววว (ไม่ใช่ละ) //โดนแม่ไก่โบกหัวทิ่ม

เครียดมาระยะใหญ่ ฮุ่วว...สิ้นสุดกันทีค่ะ ส่วนไปไงมาไงเชื่อว่าคงเดากันพอได้ อิ___อิ ถึงอย่างนั้นก็จะมีพูดถึงในตอนต่อ ๆ ไปค่ะ รอนิดนึง

ขอบคุณคนอ่านผู้น่ารักที่ยังไม่ทิ้งกันนะคะ ฮืออออ *กอดดดด*

หลังจากนี้ไม่มีดราม่าหนักเท่านี้อีกแล้ว สปอยล์ซะเลยนี่แน่ะ ๆ (ฮา)
พบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยค่ะ ^^
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***