A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม [แจ้งข่าวจ้า] P.111  (อ่าน 1171523 ครั้ง)

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
Re: A moment in Siam กาลครั้งหนึ&#
«ตอบ #1050 เมื่อ29-03-2011 21:11:02 »

ยังจำได้เลยว่าตอนเข้าห้องพักครั้งแรกเปิดประตูเข้าไป เจอรูปปั้นนางยักษ์ร่ายรำในท่าบิดเบี้ยว หล่อนเอียงคอมาทางประตูมองมาที่ผม ตาเบิกโพรง ปากแสยะยิ้ม คล้ายกับกำลังจะบอกผมว่า
“ไอ้เหี้ย เข้ามาทำไมไม่ถอดรองเท้าวะ สัส”

อย่างฮา ... แต่จะบอกว่า คิดเหมือนกันเลยว่ะ

ออฟไลน์ celegana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกจุกไปเลยเต็มๆ  :sad4:

ที่ปอพูดมานั่นมันตัวเรานี่หว่าาา ไหนจะเรียนกีต้าร์ เต้นโคฟเวอร์

ขอบคุณค่ะที่ทำให้เรารู้สึกรักเมืองไทยมากขึ้น ^____^

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

ท้าวทองกีบม้า หรือ มารี กีมาร์ เดอ ปีนา
(Marie Guimar de Pihna) (พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 - พ.ศ. 2265)
ภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)
เธอเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับทำขนมไทย ประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง
ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าวิเสท
ซึ่งได้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตฝรั่งเศสที่มาเยือนในสมัยนั้น
มีผู้ยกย่องว่าท้าวทองกีบม้าเป็น "ราชินีแห่งขนมไทย"

๒๓๖ + ๑ = ๒๓๗
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด


ออฟไลน์ dragonnine

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-16
เป็นคนไทยต้องรักประเทศไทย ถูกต้องที่สุด ต้องช่วยกันสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของบรรพบุรุษด้วย

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากๆค่ะเรื่องนี้ ก่อนอ่านเรื่องนี้ ก็หัดทำอาหารไทยจนได้มาอ่านเรื่องนี้ ทำให้อยากทำกว่าเดิมค่ะ

ออฟไลน์ suginosama

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
สนุกมากค่ะ รู้สึกเหมือนได้ความรู้เพิ่มเลย
ชอบมากค่ะ^^

ออฟไลน์ peppier

  • ขาดคนรักนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีแค่ใจที่รักตัวเองก็พอ.. ~ ♥
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้ผมก็พยายามรักษาวัฒนธรรมไทยเท่าที่จะทำได้  :เฮ้อ:
หมอปีย์น่ารักมากกกกกก  :กอด1:

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



   ประเทศไทยมีสิ่งดีๆหลายอย่างมากกว่าประเทศอื่นๆที่เราไปไล่ตามเค้า
   บางอย่างเป็นสิ่งที่ถูกละเลยจนคนไทยเองไม่เคยรู้ว่าเรามี
   แต่ส่วนใหญ่ เราได้รับรู้สิ่งดีๆจนกลายเป็นเรื่องเคยชิน จนไม่ได้สังเกตว่าสิ่งดีๆมันอยู่ตรงนั้นซะมากกว่า




ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
อ่านแล้วอยากร้องให้  มันให้อารมณ์คิดถึงอนาคตของชาติเราว่าจะเป็นไปอย่างไร

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
 :fire: เลือดรักชาติ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
ยาวได้ใจมาก 555+
แต่พออ่านตอนนี้แล้ว รักทุกอย่างที่เป็นไทยมากขึ้น
ในสมัยนี้เด็กจะชอบไปเรียนพวกเครื่องดนตรีตะวันตกไม่ค่อยมาสนใจเครื่องดนตรีของชาติเราแล้ว
เฮ้อ~~

bow55

  • บุคคลทั่วไป
สุดยอดอ่ะ

รักประเทศไทย

ออฟไลน์ Tinton

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มาต่อบ่อยๆๆนะครับ แต่งได้สนุกจริงๆ

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
สายลมหนาวพัดลอยกิ่งต้นคูนและต้นประดู่มาไหวๆ เงาของใบไม้ต้องแสงจันทร์เคลื่นอไหวคล้ายกำลังร่ายรำไปตามเสียงปี่พาทย์บรรเลงเพลงที่ดังคลออยู่บริเวณนั้นตลอดเวลา แสงไฟจากเปลวเทียนและโคมไฟสว่างโร่ราวกับกลางวัน ผู้คนยิ้มแย้มมีความสุข
หญิงสาววัยแรกแย้มเกาะกลุ่มกันพูดคุยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ส่วนกลุ่มกระโน้นเป็นเหล่าชายหนุ่มวัยกำหนัด ที่คอยเหล่มองดรุณีเหล่านั้นไม่วางตา

ที่นี่มันเมืองฟ้าเมืองสวรรค์หรือไร ทำไมทุกอย่างช่างสวยงามเพลิดแพล้วอะไรเช่นนี้
ผู้คนแต่งตัวเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งกาลเทสะ หญิงสามัญธรรมดาจะแต่งกายด้วยผ้าโจงกระเบนพื้นเมือง และห่มผ้าแถบสีสันสดใส เข็มขัดที่รัดโจงกระเบนทำมาจากเงินบ้าง ทองแดงบ้างที่ฉะลุเป็นลายกนกงดงาม  ทรงผมที่ถูกจัดแต่งเป็นทรงดอกกระทุ่มเป็นอย่างดี ไม่กระดิกแม้แต่น้อยยามต้องลม
ส่วนผู้ชายนั้นส่วนใหญ่มักนิยมแต่งกายด้วย กางเกงแพรสีต่างๆที่เรียกว่ากางเกงจีน ส่วนเสื้อก็เป็นเสื้อขาวบางที่แทบจะเห็นเนื้อ
เหล่าสตรีสูงศักดิ์นั้น มักนิยมแต่งกายด้วยโจงกระเบน ใส่เสื้อระบายลูกไม้ แต่คอจะลึกกว่าเก่าและนิยมแขนยาวเสมอศอก แขนไม่พองมาก และไม่รัดปลายแขนเป็นชั้นๆ มีผ้าสไบพาดไหล่โดยรอบ ตอนหัวไหล่ติดเข็มกลัดแล้วปล่อยให้หย่อนลงมา รวบชายสไบไว้ข้างลำตัว ทิ้งชายยาว

พวกนางเหล่านั้นถึงหน้าตาจะไม่งามเท่าสตรีสมัยผม
แต่จริตของพวกเธอนั้นงามหยดย้อยกว่าหญิงสาวยุคผมมากนัก

“มองอะไรรึเจ้าบ้า ทำเหมือนว่า เจ้ามิเคยพบเห็นพิธีเยี่ยงนี้มาก่อน” หมอปีย์เดินเลียบชิดผม ผู้คนเบียดกันแน่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังริมตลิ่ง
“ก็ไม่เคยนะสิ” ผมตอบ
“เจ้านี่มาจากแห่งใดกันแน่ เหตุใดประเพณีนิยมเช่นนี้ เจ้าถึงมิเคยเห็น”
“อ้าว ก็ชั้นบอกนายแล้วไงว่า เฮ้อ ................” ผมถอนหายใจ ตัดสินใจอยู่ว่าจะพูดดีไม่ดี “ว่าชั้นมาจากสยามเมื่อปี 2553 นายก็ไม่เชื่อ”
“ แล้วเจ้าจักให้เราเชื่อได้เยี่ยงไร เรื่องมันพิศดารเสียขนาดนั้น” เขาส่ายหน้า เดินนำผมไป ผมถอนหายใจอีกครั้ง จนใจไม่รู้จะทำให้มันเชื่อได้ยังไง
สายลมพัดมาเป็นระยะๆ เลียบไล้เสื้อบบางสีขาวของหมอปีย์ลู่ไปตามลม เผยให้เห็นเรือนร่างกำยำ สมส่วน และผ่าเผย
สายลมสายเดิมพัดมาที่ผม ผมมองดูสารรูปตัวเอง
“พุงพลุ้ยแล้วนะมึงน่ะ” ผมเตือนตัวเอง


ทุกครั้งที่ผมมองหมอนั่น ผมมักสงสัยเสมอว่า  คนอย่างมันจะเป็นยังไงหากหลุดไปอยู่ในโลกของผม มันอยู่รอดในสังคมแห่งการล่าและเอาตัวรอดได้รึปล่าว
มันจะอ้าปากกว้างขนาดไหน หากมันเห็นว่าเราพูดกับโทรศัพท์ทั้งวัน แต่ไม่พูดกับคนข้างๆ
มันจะหัวเสียเหมือนผมมั๊ยหากเห็นใครก็ไม่รู้ มามองหน้าเราแล้วหัวเราะ
มันจะล้มตึงลงเลยรึปล่าว หากเห็นนกขนาดยักษ์เหาะพาคนนับร้อยขึ้นไปบนอวกาศ
และมันจะตายลงตรงนั้นมั๊ย หากมันเห็นคนไทยแบ่งแยกกันด้วยสี
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมเผลอหัวเราะกับความคิดตัวเองออกมาอย่างลืมตัว
“หัวเราะอันใด” มันหันมาถาม
“ปล่าวนี่” ผมยิ้ม “ เออ นี่นายไม่เป็นห่วงคู่หมั้นนายมั่งเหรอ ไม่เห็นพูดถึงเลย”
หมอปีย์ไม่พูดอะไร
“ให้สนไปรับคำแก้วมาก็ได้นี่ ชั้นว่านะ เธอคงจะดีใจแหละ แหม นี่อะไร พอตกใจปุ๊บเสือกทิ้งกันเลย เป็นชั้น ชั้นคงไม่เอามาทำ......................”
“เรามีความสุขที่ได้มากับเจ้า” หมอนั่นพูดแทรกขึ้นมา เล่นเอาผมอึ้งแดกไปเลย




“มีความสุข” ผมถามย้ำด้วยสีหน้าสงสัย “ที่มากับชั้นเนี๊ยะนะ”
“ใช่ มีความสุขที่อยู่กับเจ้า เราผิดมากเลยหรือ”
คราวนี้เป็นผมที่เงียบไปครู่ใหญ่



“นาย เอ่อ นายเป็นอะไรรึปล่าว”

หมอนั่นทิ้งตัวนั่งลงบนขอบตลิ่งที่กั้นไม่ให้น้ำจากแม่น้ำไหลเข้าเรือนแถวนั้น

“พ่ออัชย์ เราขอถามอะไรเจ้าสักเรื่อง ได้หรือไม่” น้ำเสียงของหมอปีย์ดูเคร่งเครียด ผมเดินไปยืนข้างๆเขา แต่ไม่ยอมนั่ง
“อืม ได้สิ เรื่องอะไร”
“เจ้าเชื่อในเรื่องพรมลิขิตหรือไม่” เขาถาม
“หา พรมลิขิตเหรอ” ผมเหม่อมองออกไปสุดสายตา ทอดอารมณ์ไปตามสายลมที่พัดเอื่อย

 “ไม่รู้สิ เชื่อมั้ง ดูอย่างชั้นกับนายสิ ไม่ว่านายจะเชื่อชั้นหรือไม่นะว่าชั้นมาจากอนาคต แต่สำหรับชั้น พรมลิขิตก็พาชั้นมาที่นี่ มาพบกับใครหลายต่อหลายคน รวมทั้งนายด้วย อย่างนี้ชั้นจะเรียกมันว่าพรมลิขิตได้รึเปล่าหละ” ผมย้อนถาม
หมอนั่นนิ่งไป
“เรารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าที่เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพราะมีพันธะผูกพันสัญญาเฝ้ารอใครคนหนึ่ง ซึ่งเรามิรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เรารอเขามาจนชั่วชีวิต เฝ้ารอว่าใครคือคนที่เรามักเห็นลางเลือนในความฝัน แลจักหายลับไปเมื่อเราสะดุ้งตื่น เฝ้ารอว่าสักวันเงาที่ลางเลือนนั้นจักชัดเจนขึ้น จนเราจับต้องแลสัมผัสได้ เราเฝ้ารอมาตลอด”

ผมปล่อยให้หมอปีย์พูดไปเรื่อยๆ
“เรามิรู้ดอกว่า การรอคอยคนๆนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แต่เราเชื่อว่า เมื่อถึงเพลานั้น เราจักรับรู้เอง


 และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เงาของเขาคนนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น  ชัดเจนขึ้น เรารู้ทันทีว่าการรอคอยนั่นกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว เรารู้ได้ทันที
แต่เมื่อเงาของผู้นั้นแจ่มชัดขึ้น เรากลับพบว่า.....................................................”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งยืนฟังหมอปีย์พูดได้นานที่สุด ผมไม่รู้ว่า “เขา ของหมอนั่นคือใครหรอก แต่ที่ยังทนฟังอยู่ได้ก็เพราะ มันเหมือนกับว่า ผมจะรู้จัก “เขา” ของหมอนั่นดี

“เขาคนนั้น กลับเปนคนที่เรามิอาจจับต้องได้เลยแม้แต่ในจินตนาการ”
ไม่มีผู้ใดนอกจากเราสองคนในที่แห่งนั้น  ทั้งๆที่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ผู้คนต่างออกันมากมายที่ริมตลิ่ง ที่ที่แห่งนั้นกลับไม่มีใคร นอกจากเราสองคน

ฟังแล้วช่างสิ้นหวังอะไรเช่นนี้
“นายหมายถึงอะไรอ่ะ” ผมถาม
“ฮือ” เขาถอนหายใจ ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง และเงยหน้าขึ้นมามองผม

“เจ้าคือคนที่เรารอมาชั่วชีวิต พ่ออัชย์”

เสียงมโหรีปี่พาทย์ เสียงประทัด เสียงผู้คนจอแจ เสียงสายน้ำกระทบฝั่ง ทุกสรรพเสียงดับวูบไป เหลือแต่เสียงหวีดหวิวในหูคล้ายมีมีอากาศที่รอปะทุอยู่ในนั้น

ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยแม้แต่เสียงหายใจของตัวเองทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเองจากหมอนั่น
หากจะให้ผมอธิบายความรู้สึกตอนนั้น มันก็คงเหมือนผมกำลังยืนอยู่บนโขดหินที่ยื่นไปในหน้าผาที่ลึกสุดลูกหูลูกตา
ความรู้สึกมั่นคงกับไม่ปลอดภัย
ความรู้สึกอยากก้าวไปข้างหน้ากับอยากถอยหลัง
ความรู้สึกอยากนั่งลงกับอยากกระโดดออกไป
ความรู้สึกอยากสูดหายใจกับกลั้นหายใจ

และความรู้สึกเสียใจกับความรู้สึกดีใจ

นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกในตอนนั้น
ผมยืนหลับตาแน่นิ่ง ร่างกายโงนเงนไปมา ตอนนี้ มือทั้งสองข้างหนักอึ้งราวกับลูกตุ้มเหล็ก ส่วนขานั้นก็เหมือนกับจะจมดิ่งลงสู่พื้นดินดินข้างล่าง มันหนักเสียจนผมยืนอยู่ไม่ไหว ต้องทรุดตัวลงนั่งข้างๆหมอนั่น โดยที่ไม่แม้แต่มองหน้ามัน

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากเราสองคน
หมอปีย์พูดทุกอย่างที่อยากจะพูดหมดแล้ว
ส่วนผมนั้นกลับไม่มีคำพูดใดๆสักคำที่อยากจะพูด



เหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาที่หมอนั่นทำกับผม ผมเข้าใจมันหมดแล้วในตอนนี้
ท่าทีที่เย็นชาหมางเมิน
แววตาที่เหมือนคอยจับจ้องเอาผิดอยู่ตลอดเวลา
น้ำเสียงแดกดัน คำพูดที่เย้ยหยัน
ทั้งหมดวันนี้ผมรู้แล้ว


ณ สยามตอนนี้ เวลาดึกดื่น
ณ สยามตอนนี้อากาศเย็นสบาย
ณ สยามตอนนี้พระจันทร์กำลังส่องประกาย
และ ณ สยามตอนนี้ มีชายสองคน กำลังนั่งเหม่อลอย
.
.
.


ออฟไลน์ KOWPOON

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: 



แวะมาจิ้มก่อนอ่าน  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ เซ็งเป็ด

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 596
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +602/-2
“เฮ้ย ไอ้หมอบ้า ไปลอยกระทงกันเถอะ” ผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกง ทอดสายตามองออกไปอย่างเลื่อนลอย พยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ และคิดแค่ช่วงเวลาก่อนที่หมอปีย์จะนั่งลงตรงนี้
“อืม ไปกันเถอะ” หมอนั่นก็คงเหมือนกัน เขาคงรู้สึกผิดในใจอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆก็พลั้งปากพูดอะไรในสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดในยุคสมัยนั้นออกมา
“เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียก
“หึ”
“ดึงเราขึ้นหน่อยเถิด เราลุกไม่ไหว” หมอนั่นยื่นมือมาให้ผม ผมมองมันครู่หนึ่ง ก่อนจะปัดมือมันและหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังฝูงชนที่กำลังรอคอยเวลาลอยกระทง








พิธีลอยกระทงของสยาม ณ เวลา เป็นพิธีที่ค่อนข้างจะเป็นทางการมากกว่าในยุคสมัยผม ผู้คนเดินถือกระทงที่ทำมาจากหยวกกล้วยคนละกระทง กระทงของบางคนก็ตกแต่งด้วยด้วยใบตองจับจีบธรรมดา ประดับประดาด้วยดอกบานไม่รู้โรย ดาวเรือง ธูปเทียน
ส่วนของผู้มีอันจะกินหน่อยก็จะจัดเต็ม สวยงามด้วยมาลัยดอกรักที่ร้อยขึ้นเป็นช่อ แซมด้วย ดอกบานไม่รู้โรยสีม่วง ที่ปลายของมาลัยนั้นผูกช่อเข้ากับชบาหนูสีแสดสด
“หมอ” ผมเรียกหมอเมื่อหันไปมองใครต่อใครมีกระทงกันหมด
“หมอ เราจะเอากระทงที่ไหนมาลอยกันล่ะ ลืมเสียสนิทเลย” ผมว่า
“นั่นนะซี  เราก็มิได้เตรียมมาเสียด้วย”
ผมเกาหัวแกรกๆ จนปัญญา  จะไปหากระทงมาที่ไหนก็ไม่รู้ ที่นี่ไม่เหมือนสมัยผมเสียด้วยสิ ที่มาแต่ตัว มาหาซื้อกระทงเอาข้างหน้า แต่ที่นี่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
“เอาไงอ่ะหมอ หรือว่า ไม่ต้องลอยก็ได้ ดูคนอื่นเอา” ผมหันไปหันมา
“ได้เยี่ยงไรกันเล่า เราอุตส่าห์ได้มีโอกาสลอยกับเจ้าทั้งที มิรู้คราหน้า เราจักได้มีโอกาสเยี่ยงนี้อีกหรือไม่”
“ทำไมจะตายแล้วรึไง”
“เอาเถิด รอเราอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวเราจักหากระทงมาให้เจ้าลอยให้ได้”

หมอปีย์เดินหายไปกับฝูงชน ทิ้งให้ผมยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ริมตลิ่ง

งานลอยกระทงของที่นี่นั้น  สนเล่าให้ผมฟัง พระพุทธเจ้าหลวงทรงฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ ๔ เหตุเพราะไม่เข้าใจความหมายทางสังคม พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระประสงค์ให้จัดงานแบบเรียบง่าย และประหยัดที่สุด
ดังนั้นผมจึงเห็นเรือลอยพระประทีปซึ่งทำมาจากเรือลำเล็กๆจำลองจากขบวนเรือพระที่นั่งประดับประดาด้วยโคมไฟ เทียน และตะเกียงแก้ว แทนที่จะเป็นกระทงที่บรรดาเจ้านาย ขุนนาง และข้าราชการตกแต่งเป็นรูปต่างๆ และมีกลไกแสดงเรื่องราวต่าง ๆ แข่งกันลอยประกวด
นอกจากนั้นในบริเวณแม่น้ำนั้นยังมีกระทงที่ทำเป็นรูปเรือสำเภา, เทวดาโปรยทาน จุดไฟแล้วสีทองอร่ามสว่างงดงามจนบรรยายไม่ถูก
ตรงกลางสระมีประติมากรรมรูปปั้นสัมฤทธิ์ที่หล่อเป็นรูปเด็กในอริยาบทต่างๆ บ้างก็เป็นเด็กผมจุก กำลังชูมือหัวเราะร่า บ้างก็กำลังจับมือเด็กอีกคนยกขึ้นเหนือหัว รูปปั้นเด็กเหล่านั้น ล้อมวงกันอยู่ โดนมี รูปปั้นเด็กอีกคนที่กำลังขี่ควายและดูคล้ายเหมือนกำลังจะวิ่งพุ่งเข้าใส่เด็กกลุ่มนั้น

ข้างๆประติมากรรมเด็กกลุ่มนั้น ผมเห็นกระทงที่ทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยกระดาษสาสีขาวทำเป็นรูปโดมทรงครึ่งวงกลม บนนั้นมีรูปรุกขเทวดา กำลังโปรยของมีค่า
ผู้คนที่นี่ดูจะตื่นเต้นกับภาพบรรยากาศนี้มาก พวกเขาไม่มีกล้อง ไม่มีมือถือ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่จะช่วยเก็บภาพงดงามเหล่านี้ได้นอกจากความทรงจำ
ความทรงจำที่จะคอยเล่าสู่ลูกสู่หลาน ว่าครั้งหนึ่ง ประเทศสยามของเรา เคยมีพิธีลอยกระทงที่งดงามและน่าจดจำ......เช่นนี้


“เจ้าบ้า” หมอนั่นสะกิดหลังผม อีกมือไพร่หลัง
“หือ” ผมละสายตาจากภาพชายคนหนึ่งที่พยายามจุดเทียนกับขีดไฟที่มีรูปที่กล่องเป็นพญานาคกำลังพ่นน้ำ  หันไปหามัน
บัดนี้ใบหน้าของหมอปีย์และแววตาของเขาดูผ่อนคลายลง ไม่เหมือนคนอมทุกข์อีกต่อไป เขาคงรู้สึกโล่งใจที่ได้พูดสิ่งนั้นออกมา แต่เขาหารู้ไม่ว่า เขาได้หยิบยื่นความทุกข์จากเขามาใส่มือผมแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เราหากระทงมาให้เจ้าได้แล้วนะ” เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นเองที่ผมไม่เห็นได้บ่อยนักจากคนชื่อหลวงพินิจคนนี้ ภาระหน้าที่ และหัวโขนทางสังคม สิ่งต่างๆเหล่านี้ถาโถมเข้าใส่หมอ จนทำให้เขาลืมรอยยิ้มแบบนี้ไปในที่สุด ทั้งๆที่ หมอนั่นอายุก็ไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่นัก
“ไหนหล่ะ กระทง” ผมถามหา
เขายิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือที่ไพร่หลังออกมา
“นี่อย่างไร กระทง”
“ไหน”
“ก็นี่กระไร กระทงของเจ้า”
“ไหนวะ ชั้นเห็นมีแต่ดอกบัว” ผมทำหน้าสงสัย
“ดอกบัวหลวงนี่อย่างไรเล่า ที่จะเป็นกระทงของเราในค่ำคืนนี้ เราหาให้เจ้าได้แค่นี้” เขาทำหน้าสลด จนผมรู้สึกสงสาร
“เอาน่า เอาน่า บัวหลวงนี่ก็ใช้ได้นะนี่ สวยด้วย กลีบแน่นเชียว ไปหามาจากไหน” ผมยิ้มปลอบใจ
“เราไปเอามาจากบึงหลังเรือนกระนู้น”เขายิ้มอีกครั้ง “แต่ว่า........................”
“แต่ว่าอะไร”
“แต่ว่าเราหามาได้เพียงดอกเดียว”
“อ้าว แล้วนายไม่ลอยเหรอ”
“ลอยสิ  ก็เราจักลอยกับเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า”  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น ผมรู้ทันมันในที มันลากแขนผมมาที่ริมแม่น้ำ บริเวณที่ห่างไกลออกมาจากผู้คน ผู้คนส่วนใหญ่ไปออกันอยู่ตรงปรัมพิธี ที่ตรงนี้จึงมีเพียงเด็กๆที่กำลังเล่นดอกไม้ไฟกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ย จะลากชั้นไปไหน” ผมร้องโวยวาย
“ตามเรามาเถิด” เขาว่าพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนในที่สุดก็มาถึงริมตลิ่งของเรือนหลังหนึ่ง ที่เจ้าของเรือนคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบริเวณงานฝากกระนู้น
“ตรงนี้เห็นจะดี” เขาหยุดเดิน และปล่อยมือผม
ท่าน้ำที่เรามาหยุดยืนกันอยู่นั้น เป็นบริเวณลานหญ้าหน้าบ้านของเรือนไม้หลังใหญ่ ชาวบ้านแถวนี้มักนิยมหันหน้าบ้านเข้าสู่แม่น้ำ และไม่ใคร่จะทำรั้วกั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเดินลัดเลาะไปมาระหว่างบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่งได้โดยง่าย
ผมเดินตามหมอปีย์มาถึงท่าเรือของเรือนนี้ที่ทำด้วยไม้แข็งแรงสีดำขลับนำมาเรียบเรียงไว้ยื่นลงไปสู่แม่น้ำ ลมพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นของควันธูป เปลวเทียนวิบวับระยิบระยับจากระทงของชาวบ้านนับร้อย กำลังลอยเรียงรายมาสู่บริเวณที่เรายืนอยู่  
“นั่งลงสิ” ผมสะดุ้งหันมามองหมอปีย์ เพราะกำลังเพลิดเพลินกับภาพแม่น้ำสีทองข้างหน้านั้น
“หา อ่ะ ได้ๆ” ผมนั่งคุกเข่าลงห่างจากเขาพอสมควร หมอนั่น มองผมและยิ้ม ก่อนจะขยับมาชิด
“เราขอโทษนะที่หากระทงที่ดีกว่านี้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก กระทงแบบไหนก็เหมือนกันแหละน่าขอให้มันลอยได้ก็พอ”
“เจ้ารู้ความหมายของพิธีลอยกระทงรึไม่” เขาว่า
“รู้สิ ชั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกันนะเว้ย เราลอยกระทงก็เพื่อขอขมาพระแม่คงคา” ผมตอบ
หมอนั่นไม่พูดอะไรแต่หันมายิ้มกับผม ก่อนจะยื่นกระทงมาที่หน้าผม

“เจ้าจักอธิษฐานสิ่งใดหรือไม่”
ผมหันกลับมาก้มหน้านิ่ง
จะอธิษสิ่งใดเหรอ อธิษฐานอะไร สิ่งใดที่ผมอยากได้ในชีวิตเหรอ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าชีวิตผมคนนี้เกิดมาเพื่อสิ่งใด
“อื้อ” แต่ผมก็พยักหน้า รับกระทงมา มือของผมโอบอุ้มไปที่ดอกบัวหลวงที่กลีบดอกไหวไปตามแรงลม ผมรับดอกบัวนั้นมาอย่างเบามือ แต่.............
.............
แต่ มือของหมอปีย์กลับไม่ยอมดึงออก เขากุมมือผมไปด้วยพร้อมๆกับดอกบัวนั้น ผมหันไปมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ และบอกให้เขาปล่อยมือ
“เราจักปล่อยมือได้เยี่ยงใด ในเมื่อเราก็กำลังจะอธิษฐานด้วยเช่นกัน” หมอปีย์ตอบหน้าตาเฉย
เมื่อมันไม่ปล่อยมือ ผมปล่อยเองก็ได้
มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆคลายออกมา แต่ไม่สำเร็จ หมอปีย์กลับกุมมือผมไว้แน่น เขาบอกผมเป็นเชิงว่า
“จะปล่อยมือไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
ผมหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูก นี่หมอบ้านี่มันกล้าขนาดนี้เลยเหรอ ไม่กลัวใครมาเห็นเลยรึไง ผู้ชายสองคนนั่งจับดอกบัวอธิษฐานด้วยกัน  เรื่องพวกนี้ คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาของยุคสมัยนี้แน่ๆ
ผมหันมองไปรอบๆอีกครั้ง และพบว่า บัดนี้ รอบข้างเราไม่มีใครอีกแล้ว เด็กๆกลุ่มที่วิ่งเล่นดอกไม้ไฟกันอยู่เมื่อครู่ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
ที่นี่จึงเหลือแต่เรา

“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ผมตัดสินใจ พยายามดึงมึงออกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ

“เจ้าจักอธิษฐานรึยัง” เขาหันมายิ้ม
“เออ อธิษฐานก็อธิษฐาน” ผมพูดขอไปที

เราทั้งคู่จับดอกบัวหลวงอย่างเบามือ ก่อนจะยกมันขึ้นจรดหน้าผาก
มือของหมอปีย์นิ่มและอุ่นราวกับกำลังแช่อยู่ในน้ำซาวข้าว เขากุมมือผมเบาๆแต่มั่นคง

ถึงแม้ผมจะหงุดหงิด รำคาญ และเหนื่อยหน่ายกับหมอนี่ไปบ้าง แต่ผมก็รู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่อยู่ในสายตาของเขา และอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา  ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เราทั้งคู่หลับตานิ่งอธิษฐานในสิ่งที่แต่ละคนคิด ผมมิอาจล่วงรู้ความคิดของหมอปีย์ได้ ว่าสิ่งที่เขาอธิษฐานคืออะไร แต่สิ่งที่ผมอธิษฐานอยู่ในใจนี้มีเพียงสิ่งเดียวนอกจากการขอขมาแม่น้ำคงคาแล้วนั่นก็คือ
“ขอให้ผมมีความสุข”  สิ่งเดียวที่ผมต้องการและโหยหาที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่เงินทอง ไม่ต้องการยศศักดิ์ แค่ความสุขเท่านั้น ผมต้องการเพียงเท่านั้น

คำอธิษฐานถูกถ่ายทอดลงไปไปสู่กระทงดอกบัว ผมอธิษฐานเสร็จแล้ว แต่หมอปีย์ยังคงก้มหน้านิ่ง คำอธิษฐานของเขาคงเผื่อแผ่ไปให้ใครต่อใครมากมาย
หมอปีย์ในยามที่หลับตาพริ้มนั้น ช่างงดงามยิ่งนัก ใบหน้าที่อาบแสงจันทร์ ดวงตาที่คมกริบราวกับคันศร คิ้วที่เข้มขลับ จมูกงุ้มได้รูป ริมฝีปากบางเป็นกระจับ  รอยยิ้มจางๆ ยามที่หลับตา เขาดูเยือกเย็น อบอุ่น และในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจสำหรับบางสิ่งที่ผมก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
ผมนั่งมองหมอปีย์จนเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว





เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมมองเขาอยู่อย่างนั้น
แต่ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา และถามผมว่า
“มองอันใดรึ พ่ออัชย์”

นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว

“เปล่า” ผมหันหน้ากลับมา

 บัดนี้กระทงดอกไม้หลากสีของชาวบ้านได้ลอยอยู่ตรงหน้าผมเต็มไปหมด สีทองระยิบระยับยามเมื่อแสงเทียนต้องสายน้ำส่องประกายสะท้อนขึ้นมา แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วบริเวณ ไม่มีภาพใดงดงามไปกว่าภาพนี้อีกแล้ว
“พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกชื่อจริงผม “ลอยดอกบัวนี่กันเถิด” เขายิ้มเชื้อเชิญอย่างอ่อนโยน
ผมพยักหน้าคลานเข่าไปพร้อมกับเขาที่ริมท่า
มือของเราทั้คู่เกาะกุมอยู่ที่ดอกบัวหลวงสีขาวนวลที่บานรับแสงจันทร์ เราค่อยๆโน้มตัวลง และปล่อยมันลงสู่ผิวน้ำ
ดอกบัวสีขาวที่ไร้กลิ่นธูป แสงเทียนนี้ แตะผิวน้ำ มันลอยและไหวไปมาตามแรงคลื่น หมอปีย์ใช้มือกวักน้ำให้ดอกบัวดอกนี้ลอยออกไป




ท่ามกลางกระทงนับร้อยที่ส่องประกายสีทองจากเปลวเทียว
ยังมีกระทงดอกบัว น้อยๆดอกหนึ่งที่ลอยอยู่
ดอกบัวสีขาวธรรมดาที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระทงธูปเทียน
และยังมีผู้ชายสองคนจากสองยุค ที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตต่อไปของพวกเขาจะเป็นเยี่ยงไร
พวกเขาหวังเพียงแค่ว่า ดอกบัวหลวงดอกนั้น จะเป็นสื่อนำทางให้เขาทั้งคู่ พบเจอสิ่งที่พวกเขารอคอยได้ ในที่สุด
................................................................................................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2011 22:58:35 โดย เซ็งเป็ด »

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ายยยย คุณหมอมีพัฒนาการนะค่ะเนี๊ย  ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำเลยแหะ


เขินๆๆๆ :-[ :-[ :-[

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2011 00:05:57 โดย Little Devil »

Mileson

  • บุคคลทั่วไป
หมอบอกความในใจแล้ว เมื่อไหร่ตาบ้าของเราจะเปิดใจรับซะทีน้อ

ออฟไลน์ igaga

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
หมอได้สภาพรักพ่ออัชย์แล้ว  :-[

ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2
อ่านตอนนี้ สุดแสนโรแมนติก :give2:
ดอกบัวเพียงดอกเดียว ที่นำมาเป็นกระทง
สามารถแปลความหมายของคำว่า"ความรัก"ได้ดีทีเดียว
ลึกซึ้งมาก :L1:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
ในที่สุดก็บอกความในใจออกมาเสียทีนะคะหมอปีย์ ความจริงตอนนี้มันสมควรจะหวานใช่ไหมคะ? ทำไมดิฉันจึงรู้สึกเศร้าล่ะ รู้สึกเหมือนว่าในอนาคตอัชย์กับหมอปีย์จะต้องแยกกันอะ กรี๊ด ไม่! :serius2:

กอดคุณเซ็งเป็ดแรงๆหนึ่งครั้งค่ะ พร้อมกับกดบวกให้หนึ่งอัน

หัดดิน เอ้ยหัดกิน

  • บุคคลทั่วไป
ไอ่หมอ เจ้าทำได้ถูกต้องแล้ว เยส!!!!!!!
 o13 o13
ว่าแต่นายอัชย์จะว่าอย่างไรหล่ะ??

แต่เอาจริงๆ ประเด็นน่าจะอยู่ที่ว่า
เมริงสองคนจะอยู่ด้วยกันได้อีกกี่วันหรอ
ยังไงก็เก็บเอาความรู้สึกดีๆ เอาไว้แล้วกัน
แม้จะแยกจากกันแล้วก็ให้รู้ว่า ครั้งหนึ่ง เรายังเคยมีประสบการณ์ดีๆ ในชีวิตอยู่ ^^
แต่อย่าลืมนะนายอัชย์ ความสุขมักมาพร้อมกับความทุกข์เสมอ
เพราะว่ามันคือของคู่กัน ^^

ออฟไลน์ KOWPOON

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
 :-[ :o8: :impress2: :impress2: :-[ :o8: :impress2: :impress2:



อ่านแล้วเขิลเลย 555 



เดี๋ยวนี้หมอโรแมนติกขึ้นนะ    :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

    ชอบๆ

Zymphoniz

  • บุคคลทั่วไป
หมอปีย์สารภาพรักแล้ว  :o8:
เหลือแต่เจ้าบ้า รับรักไปเหอะ  :impress2:

ออฟไลน์ →Yakuza★

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-0
ในที่สุด~!!!!!! ทีนี้ก็เหลือแต่ให้เจ้าบ้า รักหมอปีย์บ้าง

รูปประกอบก็สวยจ๊ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
โรแมนติกมาก!

ฟังเพลงเราจะข้ามเวลามาพบกันประกอบด้วย จะยิ่งอิน  o13

BF-e

  • บุคคลทั่วไป
 งดงามเสียนี้กระไร  :-[
  เค้ารักกันเเล้ว เค้ารักกันเเล้ว(ยัง! อย่ามามั่ว!!) :impress2: :impress2:

kong_cup

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้อ่านแล้วมีความสุขจัง หลังจากที่อึดอัดกับการปากหนังของหมอปีย์

แต่เหมือนมีลางสังหรณ์ ว่าหมอปีย์จะได้ไปเที่ยวยุคของเจ้าบ้า555+ ที่นี้หมอจะได้เชื่อเจ้าบ้าสักที

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด