“เฮ้ย ไอ้หมอบ้า ไปลอยกระทงกันเถอะ” ผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกง ทอดสายตามองออกไปอย่างเลื่อนลอย พยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ และคิดแค่ช่วงเวลาก่อนที่หมอปีย์จะนั่งลงตรงนี้
“อืม ไปกันเถอะ” หมอนั่นก็คงเหมือนกัน เขาคงรู้สึกผิดในใจอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆก็พลั้งปากพูดอะไรในสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดในยุคสมัยนั้นออกมา
“เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียก
“หึ”
“ดึงเราขึ้นหน่อยเถิด เราลุกไม่ไหว” หมอนั่นยื่นมือมาให้ผม ผมมองมันครู่หนึ่ง ก่อนจะปัดมือมันและหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังฝูงชนที่กำลังรอคอยเวลาลอยกระทง
พิธีลอยกระทงของสยาม ณ เวลา เป็นพิธีที่ค่อนข้างจะเป็นทางการมากกว่าในยุคสมัยผม ผู้คนเดินถือกระทงที่ทำมาจากหยวกกล้วยคนละกระทง กระทงของบางคนก็ตกแต่งด้วยด้วยใบตองจับจีบธรรมดา ประดับประดาด้วยดอกบานไม่รู้โรย ดาวเรือง ธูปเทียน
ส่วนของผู้มีอันจะกินหน่อยก็จะจัดเต็ม สวยงามด้วยมาลัยดอกรักที่ร้อยขึ้นเป็นช่อ แซมด้วย ดอกบานไม่รู้โรยสีม่วง ที่ปลายของมาลัยนั้นผูกช่อเข้ากับชบาหนูสีแสดสด
“หมอ” ผมเรียกหมอเมื่อหันไปมองใครต่อใครมีกระทงกันหมด
“หมอ เราจะเอากระทงที่ไหนมาลอยกันล่ะ ลืมเสียสนิทเลย” ผมว่า
“นั่นนะซี เราก็มิได้เตรียมมาเสียด้วย”
ผมเกาหัวแกรกๆ จนปัญญา จะไปหากระทงมาที่ไหนก็ไม่รู้ ที่นี่ไม่เหมือนสมัยผมเสียด้วยสิ ที่มาแต่ตัว มาหาซื้อกระทงเอาข้างหน้า แต่ที่นี่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
“เอาไงอ่ะหมอ หรือว่า ไม่ต้องลอยก็ได้ ดูคนอื่นเอา” ผมหันไปหันมา
“ได้เยี่ยงไรกันเล่า เราอุตส่าห์ได้มีโอกาสลอยกับเจ้าทั้งที มิรู้คราหน้า เราจักได้มีโอกาสเยี่ยงนี้อีกหรือไม่”
“ทำไมจะตายแล้วรึไง”
“เอาเถิด รอเราอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวเราจักหากระทงมาให้เจ้าลอยให้ได้”
หมอปีย์เดินหายไปกับฝูงชน ทิ้งให้ผมยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ริมตลิ่ง
งานลอยกระทงของที่นี่นั้น สนเล่าให้ผมฟัง พระพุทธเจ้าหลวงทรงฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ ๔ เหตุเพราะไม่เข้าใจความหมายทางสังคม พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระประสงค์ให้จัดงานแบบเรียบง่าย และประหยัดที่สุด
ดังนั้นผมจึงเห็นเรือลอยพระประทีปซึ่งทำมาจากเรือลำเล็กๆจำลองจากขบวนเรือพระที่นั่งประดับประดาด้วยโคมไฟ เทียน และตะเกียงแก้ว แทนที่จะเป็นกระทงที่บรรดาเจ้านาย ขุนนาง และข้าราชการตกแต่งเป็นรูปต่างๆ และมีกลไกแสดงเรื่องราวต่าง ๆ แข่งกันลอยประกวด
นอกจากนั้นในบริเวณแม่น้ำนั้นยังมีกระทงที่ทำเป็นรูปเรือสำเภา, เทวดาโปรยทาน จุดไฟแล้วสีทองอร่ามสว่างงดงามจนบรรยายไม่ถูก
ตรงกลางสระมีประติมากรรมรูปปั้นสัมฤทธิ์ที่หล่อเป็นรูปเด็กในอริยาบทต่างๆ บ้างก็เป็นเด็กผมจุก กำลังชูมือหัวเราะร่า บ้างก็กำลังจับมือเด็กอีกคนยกขึ้นเหนือหัว รูปปั้นเด็กเหล่านั้น ล้อมวงกันอยู่ โดนมี รูปปั้นเด็กอีกคนที่กำลังขี่ควายและดูคล้ายเหมือนกำลังจะวิ่งพุ่งเข้าใส่เด็กกลุ่มนั้น
ข้างๆประติมากรรมเด็กกลุ่มนั้น ผมเห็นกระทงที่ทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยกระดาษสาสีขาวทำเป็นรูปโดมทรงครึ่งวงกลม บนนั้นมีรูปรุกขเทวดา กำลังโปรยของมีค่า
ผู้คนที่นี่ดูจะตื่นเต้นกับภาพบรรยากาศนี้มาก พวกเขาไม่มีกล้อง ไม่มีมือถือ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่จะช่วยเก็บภาพงดงามเหล่านี้ได้นอกจากความทรงจำ
ความทรงจำที่จะคอยเล่าสู่ลูกสู่หลาน ว่าครั้งหนึ่ง ประเทศสยามของเรา เคยมีพิธีลอยกระทงที่งดงามและน่าจดจำ......เช่นนี้
“เจ้าบ้า” หมอนั่นสะกิดหลังผม อีกมือไพร่หลัง
“หือ” ผมละสายตาจากภาพชายคนหนึ่งที่พยายามจุดเทียนกับขีดไฟที่มีรูปที่กล่องเป็นพญานาคกำลังพ่นน้ำ หันไปหามัน
บัดนี้ใบหน้าของหมอปีย์และแววตาของเขาดูผ่อนคลายลง ไม่เหมือนคนอมทุกข์อีกต่อไป เขาคงรู้สึกโล่งใจที่ได้พูดสิ่งนั้นออกมา แต่เขาหารู้ไม่ว่า เขาได้หยิบยื่นความทุกข์จากเขามาใส่มือผมแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เราหากระทงมาให้เจ้าได้แล้วนะ” เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นเองที่ผมไม่เห็นได้บ่อยนักจากคนชื่อหลวงพินิจคนนี้ ภาระหน้าที่ และหัวโขนทางสังคม สิ่งต่างๆเหล่านี้ถาโถมเข้าใส่หมอ จนทำให้เขาลืมรอยยิ้มแบบนี้ไปในที่สุด ทั้งๆที่ หมอนั่นอายุก็ไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่นัก
“ไหนหล่ะ กระทง” ผมถามหา
เขายิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือที่ไพร่หลังออกมา
“นี่อย่างไร กระทง”
“ไหน”
“ก็นี่กระไร กระทงของเจ้า”
“ไหนวะ ชั้นเห็นมีแต่ดอกบัว” ผมทำหน้าสงสัย
“ดอกบัวหลวงนี่อย่างไรเล่า ที่จะเป็นกระทงของเราในค่ำคืนนี้ เราหาให้เจ้าได้แค่นี้” เขาทำหน้าสลด จนผมรู้สึกสงสาร
“เอาน่า เอาน่า บัวหลวงนี่ก็ใช้ได้นะนี่ สวยด้วย กลีบแน่นเชียว ไปหามาจากไหน” ผมยิ้มปลอบใจ
“เราไปเอามาจากบึงหลังเรือนกระนู้น”เขายิ้มอีกครั้ง “แต่ว่า........................”
“แต่ว่าอะไร”
“แต่ว่าเราหามาได้เพียงดอกเดียว”
“อ้าว แล้วนายไม่ลอยเหรอ”
“ลอยสิ ก็เราจักลอยกับเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น ผมรู้ทันมันในที มันลากแขนผมมาที่ริมแม่น้ำ บริเวณที่ห่างไกลออกมาจากผู้คน ผู้คนส่วนใหญ่ไปออกันอยู่ตรงปรัมพิธี ที่ตรงนี้จึงมีเพียงเด็กๆที่กำลังเล่นดอกไม้ไฟกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ย จะลากชั้นไปไหน” ผมร้องโวยวาย
“ตามเรามาเถิด” เขาว่าพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนในที่สุดก็มาถึงริมตลิ่งของเรือนหลังหนึ่ง ที่เจ้าของเรือนคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบริเวณงานฝากกระนู้น
“ตรงนี้เห็นจะดี” เขาหยุดเดิน และปล่อยมือผม
ท่าน้ำที่เรามาหยุดยืนกันอยู่นั้น เป็นบริเวณลานหญ้าหน้าบ้านของเรือนไม้หลังใหญ่ ชาวบ้านแถวนี้มักนิยมหันหน้าบ้านเข้าสู่แม่น้ำ และไม่ใคร่จะทำรั้วกั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเดินลัดเลาะไปมาระหว่างบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่งได้โดยง่าย
ผมเดินตามหมอปีย์มาถึงท่าเรือของเรือนนี้ที่ทำด้วยไม้แข็งแรงสีดำขลับนำมาเรียบเรียงไว้ยื่นลงไปสู่แม่น้ำ ลมพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นของควันธูป เปลวเทียนวิบวับระยิบระยับจากระทงของชาวบ้านนับร้อย กำลังลอยเรียงรายมาสู่บริเวณที่เรายืนอยู่
“นั่งลงสิ” ผมสะดุ้งหันมามองหมอปีย์ เพราะกำลังเพลิดเพลินกับภาพแม่น้ำสีทองข้างหน้านั้น
“หา อ่ะ ได้ๆ” ผมนั่งคุกเข่าลงห่างจากเขาพอสมควร หมอนั่น มองผมและยิ้ม ก่อนจะขยับมาชิด
“เราขอโทษนะที่หากระทงที่ดีกว่านี้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก กระทงแบบไหนก็เหมือนกันแหละน่าขอให้มันลอยได้ก็พอ”
“เจ้ารู้ความหมายของพิธีลอยกระทงรึไม่” เขาว่า
“รู้สิ ชั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกันนะเว้ย เราลอยกระทงก็เพื่อขอขมาพระแม่คงคา” ผมตอบ
หมอนั่นไม่พูดอะไรแต่หันมายิ้มกับผม ก่อนจะยื่นกระทงมาที่หน้าผม
“เจ้าจักอธิษฐานสิ่งใดหรือไม่”
ผมหันกลับมาก้มหน้านิ่ง
จะอธิษสิ่งใดเหรอ อธิษฐานอะไร สิ่งใดที่ผมอยากได้ในชีวิตเหรอ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าชีวิตผมคนนี้เกิดมาเพื่อสิ่งใด
“อื้อ” แต่ผมก็พยักหน้า รับกระทงมา มือของผมโอบอุ้มไปที่ดอกบัวหลวงที่กลีบดอกไหวไปตามแรงลม ผมรับดอกบัวนั้นมาอย่างเบามือ แต่.............
.............
แต่ มือของหมอปีย์กลับไม่ยอมดึงออก เขากุมมือผมไปด้วยพร้อมๆกับดอกบัวนั้น ผมหันไปมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ และบอกให้เขาปล่อยมือ
“เราจักปล่อยมือได้เยี่ยงใด ในเมื่อเราก็กำลังจะอธิษฐานด้วยเช่นกัน” หมอปีย์ตอบหน้าตาเฉย
เมื่อมันไม่ปล่อยมือ ผมปล่อยเองก็ได้
มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆคลายออกมา แต่ไม่สำเร็จ หมอปีย์กลับกุมมือผมไว้แน่น เขาบอกผมเป็นเชิงว่า
“จะปล่อยมือไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
ผมหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูก นี่หมอบ้านี่มันกล้าขนาดนี้เลยเหรอ ไม่กลัวใครมาเห็นเลยรึไง ผู้ชายสองคนนั่งจับดอกบัวอธิษฐานด้วยกัน เรื่องพวกนี้ คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาของยุคสมัยนี้แน่ๆ
ผมหันมองไปรอบๆอีกครั้ง และพบว่า บัดนี้ รอบข้างเราไม่มีใครอีกแล้ว เด็กๆกลุ่มที่วิ่งเล่นดอกไม้ไฟกันอยู่เมื่อครู่ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
ที่นี่จึงเหลือแต่เรา
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ผมตัดสินใจ พยายามดึงมึงออกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
“เจ้าจักอธิษฐานรึยัง” เขาหันมายิ้ม
“เออ อธิษฐานก็อธิษฐาน” ผมพูดขอไปที
เราทั้งคู่จับดอกบัวหลวงอย่างเบามือ ก่อนจะยกมันขึ้นจรดหน้าผาก
มือของหมอปีย์นิ่มและอุ่นราวกับกำลังแช่อยู่ในน้ำซาวข้าว เขากุมมือผมเบาๆแต่มั่นคง
ถึงแม้ผมจะหงุดหงิด รำคาญ และเหนื่อยหน่ายกับหมอนี่ไปบ้าง แต่ผมก็รู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่อยู่ในสายตาของเขา และอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เราทั้งคู่หลับตานิ่งอธิษฐานในสิ่งที่แต่ละคนคิด ผมมิอาจล่วงรู้ความคิดของหมอปีย์ได้ ว่าสิ่งที่เขาอธิษฐานคืออะไร แต่สิ่งที่ผมอธิษฐานอยู่ในใจนี้มีเพียงสิ่งเดียวนอกจากการขอขมาแม่น้ำคงคาแล้วนั่นก็คือ
“ขอให้ผมมีความสุข” สิ่งเดียวที่ผมต้องการและโหยหาที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่เงินทอง ไม่ต้องการยศศักดิ์ แค่ความสุขเท่านั้น ผมต้องการเพียงเท่านั้น
คำอธิษฐานถูกถ่ายทอดลงไปไปสู่กระทงดอกบัว ผมอธิษฐานเสร็จแล้ว แต่หมอปีย์ยังคงก้มหน้านิ่ง คำอธิษฐานของเขาคงเผื่อแผ่ไปให้ใครต่อใครมากมาย
หมอปีย์ในยามที่หลับตาพริ้มนั้น ช่างงดงามยิ่งนัก ใบหน้าที่อาบแสงจันทร์ ดวงตาที่คมกริบราวกับคันศร คิ้วที่เข้มขลับ จมูกงุ้มได้รูป ริมฝีปากบางเป็นกระจับ รอยยิ้มจางๆ ยามที่หลับตา เขาดูเยือกเย็น อบอุ่น และในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจสำหรับบางสิ่งที่ผมก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
ผมนั่งมองหมอปีย์จนเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมมองเขาอยู่อย่างนั้น
แต่ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา และถามผมว่า
“มองอันใดรึ พ่ออัชย์”
นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว
“เปล่า” ผมหันหน้ากลับมา
บัดนี้กระทงดอกไม้หลากสีของชาวบ้านได้ลอยอยู่ตรงหน้าผมเต็มไปหมด สีทองระยิบระยับยามเมื่อแสงเทียนต้องสายน้ำส่องประกายสะท้อนขึ้นมา แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วบริเวณ ไม่มีภาพใดงดงามไปกว่าภาพนี้อีกแล้ว
“พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกชื่อจริงผม “ลอยดอกบัวนี่กันเถิด” เขายิ้มเชื้อเชิญอย่างอ่อนโยน
ผมพยักหน้าคลานเข่าไปพร้อมกับเขาที่ริมท่า
มือของเราทั้คู่เกาะกุมอยู่ที่ดอกบัวหลวงสีขาวนวลที่บานรับแสงจันทร์ เราค่อยๆโน้มตัวลง และปล่อยมันลงสู่ผิวน้ำ
ดอกบัวสีขาวที่ไร้กลิ่นธูป แสงเทียนนี้ แตะผิวน้ำ มันลอยและไหวไปมาตามแรงคลื่น หมอปีย์ใช้มือกวักน้ำให้ดอกบัวดอกนี้ลอยออกไป
ท่ามกลางกระทงนับร้อยที่ส่องประกายสีทองจากเปลวเทียว
ยังมีกระทงดอกบัว น้อยๆดอกหนึ่งที่ลอยอยู่
ดอกบัวสีขาวธรรมดาที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระทงธูปเทียน
และยังมีผู้ชายสองคนจากสองยุค ที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตต่อไปของพวกเขาจะเป็นเยี่ยงไร
พวกเขาหวังเพียงแค่ว่า ดอกบัวหลวงดอกนั้น จะเป็นสื่อนำทางให้เขาทั้งคู่ พบเจอสิ่งที่พวกเขารอคอยได้ ในที่สุด
................................................................................................