The Ghost Hunter School (โรงเรียนล่าผี โดย วารีอรุณ) *Update new 16/09/2025*
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Ghost Hunter School (โรงเรียนล่าผี โดย วารีอรุณ) *Update new 16/09/2025*  (อ่าน 1212 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

***********************************************************************

The Ghost Hunter School

“ออกัส” เด็กหนุ่มที่เกิดในตระกูลผู้มีพลัง แต่กลับไร้พลัง

“เปอร์” เด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่ควรเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ แต่กลับเป็นคนเดียวที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง

ท่ามกลางโรงเรียนล่าผีที่เต็มไปด้วยกฎห้าม ปริศนา และวิญญาณที่ไม่ยอมสงบ

ทั้งสองต้องเรียนรู้ว่า…

การปกป้องหัวใจใครสักคน อาจสำคัญกว่าการปกป้องโลกทั้งใบ

****************************




Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2025 21:32:13 โดย Sub_yo »

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน


คืนนั้นเป็นคืนเดือนดับ ฟ้าไร้แสงดาว
บ้านไม้หลังหนึ่งถึงแม้จะอยู่ใจกลางเมืองใหญ่แต่กลับได้ยินเสียงจิ้งหรีดกับเสียงลมครางจนน่าขนลุก
เด็กชายตัวเล็กนอนขดอยู่บนเตียง ร่างกายสั่นสะท้านทั้งที่อากาศไม่หนาวนัก มือกำผ้าห่มจนข้อนิ้วซีด


“กัส… ออกัส!”
เสียงเรียกของเด็กสาวดังขึ้น โอลีฟ พี่สาวคนโตวิ่งเข้ามานั่งข้าง ๆ กุมแขนเขาไว้แน่น


แต่ออกัสไม่ตอบรับใดๆทั้งสิ้น ไม่สะดุ้งด้วยซ้ำ…เพราะเขากำลังได้ยินเสียงอื่น —เสียงกระซิบที่ลอดออกมาจากความมืดรอบตัว


—มองมาทางนี้… เปิดประตูให้ฉัน… แค่เปิดประตู


ดวงตาเล็กเบิกกว้าง น้ำตาไหลโดยไม่รู้สาเหตุ ราวกับมีแรงมืดกำลังดึงเขาลงไปสู่ที่ที่ไม่มีวันหวนกลับ

“กัส! อย่าทิ้งพี่ไปนะ!” โอลีฟร้องลั่น เธอสั่นแขนเขาจนหัวใจตัวเองแทบแตก

ทันใดนั้น…แสงสว่างวูบหนึ่งพลันฉายออกมาจากฝ่ามือของเด็กชาย ร้อนวาบ อบอุ่นราวเปลวไฟ เสียงกระซิบหยุดลงในพริบตา เงามืดที่เกาะกินอากาศจางหายไปหมดสิ้น

ความเงียบงันกลับมาอีกครั้ง มีเพียงเสียงหอบหายใจหนัก ๆ ของเด็กน้อยกับเสียงสะอื้นของพี่สาว

“กัส…” โอลีฟพึมพำ ร้องไห้พลางกอดร่างเล็กไว้แน่น เธอสาบานได้ — ตอนที่กุมมือน้องชายเมื่อครู่
เธอสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง…พลังที่ไม่ใช่ของมนุษย์

หลายปีผ่านไป…

เด็กชายคนนั้นเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม “ออกัส” ผู้ที่ใคร ๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่มีพลังไม่พิเศษอะไรทั้งสิ้น”

ทุกอย่างรอบตัวออกัสปกติทุกอย่าง

เพียงแต่....

แต่เสียงกระซิบในความมืด…ไม่เคยหายไปจากชีวิตของเขาเลยแม้สักคืนเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 22:29:34 โดย Sub_yo »

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
บทที่ 1 โรงเรียนประหลาดกับคนประสาท


“ไอ้กัส! ทางนี้!”


เสียงของวาโยดังมาจากม้านั่งใกล้ประตูโรงเรียน
มันโบกไม้โบกมือเหมือนเด็กประถมเรียกเพื่อนที่กำลังจะข้ามถนน ผมเดินเข้าไปหาอย่างเอื่อยเฉื่อย
สายตายังคงจับจ้องกับซุ้มประตูเก่า ๆ เบื้องหน้า — แปลกดี มันไม่เหมือนโรงเรียนที่ควรจะเป็น


วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกที่ Ghost Hunter School—โรงเรียนที่คนธรรมดาไม่ควรมาเหยียบ
ถ้าไม่อยากเจอดี แต่ดันเป็นผม ไอ้ออกัส ที่ต้องมาเรียนที่นี่ทั้งที่ตัวเอง “ไม่มีอะไรพิเศษ” เลยสักนิด


“ไอ้โยมึงรีบมาแต่เช้าทำไมวะ” ผมหันไปมองเพื่อนซี้ที่ยืนหอบอยู่ข้าง ๆ
“ไม่รีบก็ไม่ได้สิวะ” วาโยยักไหล่ “ขืนรอพ่อกับแม่ตื่นนะ กูได้โดนล่ามกับโต๊ะแน่ เขาไม่อยากให้กูมาเรียนที่นี่”


ผมถอนหายใจยาว ๆ ของผมน่ะตรงกันข้ามเลย
พ่อแม่อยากให้มาเรียนมาก…แต่ก็แฝงคำพูดด้วยการปรามาสเอาไว้ว่าเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก
เพราะผมมันพวกธรรมดา ไม่ได้พิเศษใส่ไข่เหมือนคนอื่น
โอเคครับ ขอบคุณที่ทำให้ลูกชายมีกำลังใจตั้งแต่เช้า

“มึง....มึง...กูมีเรื่องจะเล่าให้มึงฟังด้วย”
“เรื่องอะไร”
“กูฝันเมื่อคืน — ฝันว่ามีมือใครก็ไม่รู้ คว้าข้อเท้ากูไว้...ในห้องน้ำบ้านตัวเองเลยนะมึง!”


ผมหัวเราะออกมา มึงเชื่อกูมึงแดกเยอะแล้วก็นอน แต่ผมเองก็อดเหลือบตามองซุ้มประตูอีกทีไม่ได้


มันมีลวดลายเหมือน ‘ยันต์’ ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และทันทีที่ผมก้าวผ่านประตูเข้าไป
ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึงที่เสียงอึกทึกครึกโครมจากรถราด้านนอก
เสียงพูดคุยจอแจจากคนเดินผ่านไปผ่านมาตามถนน พ่อค้าแม่ค้าที่ตะโกนแข่งกับเสียงดังของรถเพื่อขายของ
หรือแม้แต่เสียงลม เสียงนก ไม่มีลอดเข้ามาเลยซักนิด แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างแทน
มันแว่วมาอย่างแผ่วเบาและเหมือนแทรกเข้ามาอยู่ในหัวของผม...


ยินดีต้อนรับ... ผู้ที่มองไม่เห็น...


สนามรวมแถวกว้างขวางผิดคาด ปีหนึ่งอย่างพวกเราต้องยืนอยู่ด้านหน้า หันหน้าเข้าหาพี่ปีสองปีสาม
แล้วหันหลังให้อาจารย์ — อืม แปลกดีนะครับ รู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

“ไอ้กัส ไอ้กัส” วาโยสะกิดไม่หยุด
“อะไรของมึงนักหนาเนี่ย เรียกจัง”
“มึงว่าทำไมต้องให้เรายืนแบบนี้วะ จ้องหน้ารุ่นพี่อย่างกับจะประลองพลัง”
“กูจะไปรู้เหรอ เดี๋ยวอาจารย์ก็บอกเองแหละ”

แต่ยังไม่ทันได้บ่นต่อ มันมีความรู้สึกเหมือนถูกสายตาใครบางคนจ้องมาจากข้างหลัง มันดูรุนแรงและอาฆาตหมายจะเอาชีวิตมาก นี่ผมมาเรียนวันแรกก็จะเจอดีแล้วเหรอวะ

รู้งี้เอาของที่ปู่ให้ไว้มาด้วยก็ดี ผมพยายามไม่สนใจ สายตาจับจ้องอยู่กับหน้าไอ้โยโดยไม่คิดจะหันไปมองทางอื่น
เพราะกลัวว่าจะไปประสบพบเจอกับอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า


“ไอ้กัส”
“ว่า”

พูดเสร็จมันก็ทำหน้าตาพยักเพยิดให้ผมหันกลับไปดูข้างหลัง ไอ้เราก็ไม่ใช่คนเชื่อคนง่ายด้วยไง เลยทำสายตาถามมันกลับไปว่า


“มีอะไร” มันทำปากขมุบขมิบ บุ้ยใบ้ให้หันกลับไป ผมจึงส่ายหัวแทนคำตอบ
“Nooooo” มันยังคงคะยั้นคะยอให้ผมหันกลับไป ผมก็ยังคงดื้อดึง เราตอบโต้กันด้วยโทรจิตอยู่สักพักจนผมสัมผัสได้ถึง.......

ความรู้สึกเย็นวาบแทรกเข้ามาที่ต้นคอ…หลังจากนั้นก็เหมือนมีเล็บยาว ๆ ลูบไล้ตั้งแต่คอลากผ่านผิวอันบอบบางขึ้นมาที่หลังหูแล้วก็....


จิก!


“ออกัส!” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น


ผมสะดุ้งหันไป — เจ๊โอลีฟ พี่สาวตัวแสบของผมนั่นเอง
ผมลืมไปได้ไงว่าพี่สาวผมก็เรียนที่นี่เหมือนกัน.....OMG ขายขี้หน้าตั้งแต่วันแรกเลยกู


“เจ๊เจ็บ....” พี่แกจับหูไม่พอแถมยังบิดอีก “โอ๊ยยยย”

“แกนี่นะ เปิดเรียนวันแรกยังชวนเพื่อนคุยอีกเหรอ” เธอทำเสียงดุ ผมรีบยกมือไหว้ “ขอโทษคร้าบบบ”
“หวัดดีครับเจ๊โอลีฟ”
“หวัดดีจ้ะวาโย” แหม ทีกับคนอื่นเนี่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน กับน้องกับนุ่งเนี่ยไม่เค๊ยย.....

เพื่อนรอบข้างหัวเราะครืน รวมทั้งกลุ่มบอยแบรนด์สามคนที่ยืนแถวหลังสุด เสียงหัวเราะของ
ไอ้หน้าเกาหลี ดังชัดเจนที่สุด
ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมีปัญหา แต่รู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งที่จ้องมา…นิ่งลึก ราวกับกำลังอ่านใจผมอยู่


“มึงไอ้นั่นมันใช่คนที่เมื่อเช้าเกือบจะขับรถชนพวกเราไหมวะ” ผมเหลือบมองอีกครั้ง เกือบลืมไปว่าเมื่อเช้าผมกับไอ้โยมัวแต่จะทักทายกันเลยไม่มองทาง รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะโดนรถที่ขับมาจากด้านหลังเบรคเอี๊ยดใส่ตูดแล้ว

“เออน่าจะใช่” ผมพยักหน้าให้มัน
“แม่ง ถึงกูไม่อยากจะยอมรับซักเท่าไหร่หรอกนะ แต่พวกแม่งทุกคนทำไมดูหล่อแบบมีสกุลรุญชาติกันทุกคนเลยวะ แล้วมึงดูพวกเราซิ”


โป๊กกก


“ตบหัวกูทำไมเนี่ย”
“พวกเราก็มีสกุลรุญชาติไม่แพ้กันหรอกน่า มึงจะไปอิจฉาคนอื่นเพื่อ”
“มึงดู” พูดเสร็จมันก็ยังล๊อคคอผมให้หันกลับไปดู “เสื้อผ้า การแต่งตัว แล้วยังพวกของแต่งตัว accessories ต่างๆ แล้วจะรถที่มันขับมาอีก รถสปอร์ตเลยนะเว้ย”
“แล้วไง พวกมันก็รุ่นเดียวกับพวกเรา ของที่ใช้ก็ต้องมาจากเงินพ่อเงินแม่ทั้งนั้นแหละ ไว้หาเองใช้เองได้ค่อยไปอิจฉาพวกมัน”
“จ้ะ...เพื่อนจ๋า”

ไม่นานนัก ก็มีอาจารย์ผู้หญิงก้าวขึ้นมาบนเวที โดยประกาศว่า อาจารย์ใหญ่ติดภาระกิจทำให้ไม่สามารถขึ้นมาแนะแนวและแนะนำโรงเรียนได้

ให้นักเรียนทุกคนเช็ครายชื่อที่บอร์ดด้านหน้าโรงอาหารและขึ้นห้องเรียนตามรายชื่อของตัวเองเอง

พร้อมกับประกาศกฎข้อแรกของโรงเรียน

“นักเรียนทุกคนมีสิทธิใช้อาคาร A และ B เท่านั้น ส่วนอาคารด้านหลังทั้งหมด เป็นเขตหวงห้าม — ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด”

เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เขตหวงห้าม? คำพูดนั้นติดอยู่ในหัวผมโดยไม่รู้ตัว

แต่ก่อนที่ผมจะได้คิดต่อ…ภาพก็ตัดวูบ มืดสนิท ร่างผมทรุดฮวบลงกับพื้น


“เฮ้ย ไอ้กัส”


“กัส! ฟื้นดิวะ!”

เสียงวาโยดังเจือความตกใจ สลับกับเสียงของพี่สาวผมที่คอยเรียกชื่อผมอยู่

ผมพยายามลืมตาโดยภาพตรงหน้าที่ปรากฎเห็นเป็นไอ้โยและพี่โอลีฟที่ยืนค้ำหัวอยู่ กับหน้าของใครคนหนึ่งที่ไม่คุ้น ผมปรับจูนสมองอยู่สักพักถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนตักของคนคนนั้น
ผมส่งเสียงครางในลำคอพร้อมกับดันตัวเองโดยมีไอ้โยช่วยจับให้ลุกขึ้นนั่งและหันไปพูดกับเจ้าของตัก


“เอ่อ…ขอบใจ” ผมบ่นพึมพำ

เขาไม่ได้ตอบ แค่สบตาผมนิ่ง ๆ ราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง

“มึง...เป็นยังไงบ้างวะ กูตกใจแทบแย่อยู่ดีๆ มึงก็ล้มลงไปเลยอะ”
“กูเหรอ”
“เออซิ ก็ตอนที่มึงกับกูกำลังจะเดินไปดูรายชื่อที่บอร์ด อยู่ดีๆ มึงก็ร่วงลงไปเลยอะ ดีนะที่มีพวกนี้เดินตามมาเลยรับมึงไว้ได้ทัน ไม่งั้นหัวฟาดพื้นแน่นอน”

ผมหันไปดู มองชัดๆ อีกที ไอ้แก๊งค์หลังแถวนี่หน่า

“อะ....อืม ขอบใจนะ” ผมหันไปขอบใจอีกครั้ง

“กัส แกเป็นลมแดดเหรอ”

“ป่าวนะเจ๊ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

“นอนดึก”

“สองทุ่มหัวถึงหมอนปุปหลับปัป”

“หรือไม่ได้กินข้าว”

“ข้าวเหนียว 2ห่อ หมูอีก 5ไม้”

“แล้วแกเป็นอะไร”

“ไม่รู้อะ”
.
.
“กัส.....” เจ๊โอลีฟ เรียกชื่อผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่มองหน้าและสบตากันผมก็พยักหน้าตอบรับ

“ลืมเอาสร้อยมาอีกแล้วใช่ไหม”
“อืม ลืม”
“แกนี่นะ กลับบ้านไปฉันจะฟ้องแม่ให้แม่ด่าแก”
“ก็มันลืมอะ ผมไม่ได้อยากจะลืมซะหน่อย”
.
.
“เอิ่มมม ฮาโหล” ไอ้โยขัดจังหวะพร้อมกับหน้าที่อยากเสือกเต็มที่ “มีอะไรกันเหรอครับ ไอ้กัส..มึงลืมอะไรเหรอ”
“ลืมของนิดหน่อย อย่าสนใจเลย”
“เอ้า” มันบ่นงึมงำ ก่อนที่พี่สาวผมจะตัดบทเพื่อไม่ให้คนมามุงเยอะและเป็นที่สนใจไปมากกว่านี้
“โอเคนะคะ ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้วค่ะ พอดีเป็นพวกบอบบางร่างกายอ่อนแอชอบเป็นภาระคนอื่นนะคะ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ แยกย้ายได้”
“โหยย เจ๊ พูดอะไรวะ ผมไม่ได้อ่อนแอ”
“หรือแกอยากบอกคนอื่นว่าเป็นอะไร” ผมสั่นหน้า
“ดี งั้นเงียบปากไป”

ผมยอมสงบปากสงบคำ นอกจากจะมีไอ้โยทำหน้าเหมือนเด็กอยากรู้อยู่ข้างๆ
มันยังมีไอ้พวกบอยแบรนด์สามคนที่ยืนเงี่ยหูฟังคอยเสือกอยู่ด้วย โดยเฉพาะไอ้หล่อที่ยืนคุมเชิง ทำตัวขรึม
และมองมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่


หรือมันจะรู้ ?
.
เป็นไม่ได้อะ
.
มันจะรู้ได้ไง
.
ไม่มีทาง


ตลอดครึ่งเช้า พวกเราต้องนั่งฟังแนะแนววิชาพื้นฐานที่ต้องเรียน ที่ฟังแล้วโคตรจะงงและโคตรไม่เข้าใจ
โดยอาจารย์ที่เข้ามาแนะแนวก็คืออาจารย์ผู้หญิงคนเดียวกับคนเมื่อเช้าที่ขึ้นพูดบนเวที เธอควบตำแหน่งทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ผู้สอน

อาจารย์ริณสอนทฤษฎีวิญญาณ — ว่าแต่ละตนก็มีประเภท นิสัย และพลังงานต่างกัน
อาจารย์ภักดีสอนวิธี “ทำความรู้จัก” กับวิญญาณในรูปแบบต่าง ๆ


ถามจริงเหอะครับ…ต้องรู้จักมันด้วยเหรอ? กะจะมากำจัดทิ้งอย่างเดียวอยู่แล้ว!


“ก่อนอื่น อาจารย์ขอทำความรู้จักกับพวกเธอซะก่อน...”

มนัส – ครับ

รจนา – ค่ะ

มนัสวี – ค่ะ

อุดม – ค่ะ

.
.
.
กฤตภูมิ – ครับ

นพพล – ครับ

กองทัพ – ครับ

วาโย – ครับ

 “หูยยยยยยยยย ชื่อน่ารักอะ แต่ไม่เข้ากับหน้าเท่าไหร่นะ” ผมหันไปมองไอ้สามคนด้านหลัง ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ผมได้ยินพวกมันแซวผมกับไอ้โยตั้งแต่อยู่ในแถวตอนเช้า
 
“และคนสุดท้าย ปิโยรส ชื่อเพราะดีนะ ความหมายก็ดี ปิโยรส ลูกชายอันเป็นที่รัก ท่าทางพ่อแม่จะรักมากน่าดู ไหนยืนขึ้นให้อาจารย์ดูหน้าหน่อยซิ”

ทำไมต้องเป็นคนสุดท้าย แถมยังต้องมาทำอะไรที่เป็นจุดสนใจอีกเนี่ย

“ครับ”
 
“ชื่อโคตรเพราะอ่า น่ารักด้วย”
“เออจริง ใช่ไหม ใช่ปะ เนอะๆ ไอ้คุณกองทัพ”
“เสียงดัง เงียบปากได้แล้ว” แค่พูดเบาๆ แต่ช่างเรียกความเงียบงันได้ชะงัดนัก

“กวนตีน” ไอ้โยพูดออกมา "ไอ้พวกนี้มันจะตามก่อกวนไปถึงไหนวะ ในบรรดาสามคนนั้นมีไอ้หน้าหล่อที่ช่วยมึงดูแล้วน่าคบอยู่คนเดียว ไอ้สองตัวที่เหลือ โดยเฉพาะไอ้อปป้าขี้เก๊กนั่นแม่งน่าโดนถีบซะจริงๆ"

"อปป้า ใครวะ"
"ก็ไอ้หน้าขาว ใส่ตุ้มหูข้างเดียว เขียนขอบตาดำ นั่นไง นึกว่าเป็นอปป้าเกาหลี หลุดมาจากไหนวะ"

อ๋ออออ อปป้าคนนั้นน่าจะหมายถึงคนขวาสุด คนถัดไปใส่แว่นดูวิชาการเต็มที่ริมสุดนั่นน่าจะหมายถึงไอ้หน้าหล่อที่ไอ้โยพูดถึง
หล่อตรงไหนวะ กูหล่อกว่าอีก

"มองอะไรไอ้กัส"
"ป่าวววว"
"แน่ใจ?"

แหนะ ยังมาทำตาเหลือกใส่กูอี๊กกก

"ทำไม มึงมีปัญหาอะไร"
"ก็ปกติมึงไม่ค่อยสนใจใครนี่หว่า ขนาดเดินสวนผ่านหน้ามึงยังไม่ได้มองเขาเลย"
"รู้ดีนักนะมึง"
"แน่น้อนน แล้วสรุปมึงมองอะไร"
"กูก็แค่มองพวกนั้นตามที่มึงพูดแค่นั้นเอง เห็นมึงสาธยายว่าคนนั้นหล่อ คนนั้นน่าคบ ไม่น่าคบ มึงไปรู้เขาได้ยังไง"
"หึ....ไม่รู้"
"เอ้า"

มันกอดคอผมแล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกระซิบข้างหูว่า

"ก็กูหล่อไง คนหล่อเหมือนกันดูกันออกเว้ย"
"โว๊ะ บ้าบอ"


ถึงเวลาพักเบรกตอนบ่าย ไอ้โยเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงออกจากห้องก่อนจะเดินโซเซลงบันได สุดท้ายมันก็สะดุดเชือกรองเท้าตัวเองกลิ้งตกบันไดพร้อมกับดึงผมตามลงไปด้วย!

ผมหลับตาเตรียมรับแรงกระแทกบันไดสูงขนาดนี้ ไม่แขนก็ขาต้องมีหักบ้างละ แต่ยังไม่ทันถึงพื้น
ผมรู้สึกถึงมือที่คว้ามาที่เอวแล้วดึงจนมือที่จับกับไอ้โยหลุดออก และผมก็ล้มลงทับใครสักคน นิ่มแปลก ๆ ด้วย


“จะนอนอีกนานไหม” เสียงทุ้มดังใกล้หู

ผมลืมตาขึ้น—พระเจ้า…นี่มัน ไอ้หล่อคนนั้น อีกแล้ว!


หัวใจผมกระตุกแรงจนแทบลืมหายใจ รีบดีดตัวลุกพรวดขึ้นทันทีหันมองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนอีกทีก็คือนอนกองอยู่บันไดชั้นล่างแล้ว


“ไอ้โย ไอ้โย เป็นอะไรไหมมึง มึงเจ็บไหม เจ็บตรงไหน” ผมโวยวายถาม มือก็คลำจับไปทั่ว ไม่รู้กระดูกอะไรตรงไหนหักบ้างเนี่ย
“ไม่เพื่อน แต่มึงช่วยหยุดจับกูก่อน”
“ทำไม มึงเจ็บเหรอ ขาหักไหมมึง”
“ไม่”
“แล้วมึงเป็นอะไร”
“กูจั๊กกะจี้เนี่ย ลูบอยู่ได้”
“ก็กูเป็นห่วงอ่า”

ผมพยุงไอ้โยลุกขึ้น โชคดีที่มันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ได้มีส่วนไหนหักหรือเสียหาย แค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย ผมมองขึ้นไปเห็นไอ้พวกบอยแบรนด์ยืนมองอยู่ ด้วยความอับอายเลยรีบพาไอ้โยเดินหนีแม่ม


ไม่อยากโดนหัวเราะอีก


ผมพาไอ้โยมานั่งที่โรงอาหารวิ่งหาข้าวให้มันกิน วิ่งไปหาอาจารย์ขอยาแก้ปวดมาให้เอาน้ำแข็งมาประคบเพื่อลดการฟกช้ำ
เพิ่งจะได้นั่งไม่ถึง 5 นาที ไอ้โยมันก็เริ่มโวยวายอีกแล้ว


“ไอ้กัส
.
.
ไอ้กัส
.
.
ไอ้กัส”

“โอ้ย มึงจะเรียกอะไรนักหนาวะ ไม่กินหรือไงข้าว”
“กิน แต่กูอยากอ้วก หือออออ ทำไมมันยากกว่าฟิสิกส์ เคมีอีกว้าาา”
“กูบอกแล้ว กลับไปเรียนมหาวิทยาลัยตามที่พ่อแม่มึงต้องการไหม”
“ไม่!!!”


“เด็กวะ”

 
เอาล้าวววว

 
“อะไรของพวกมึงวะ มีปัญหาอะไร”
“ป่าวววว”

“กูไม่เชื่ออะ มันต้องมีอะ...........เออมันต้องมีตั้งแต่เช้าแหละ ตามหลอกหลอนไม่หยุด" มันพูดเองตอบเองไปแล้วครับเพื่อนผม
“เอ้า ก็บอกว่าไม่มีไง มึงคิดไปเองเปล่า”
“ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมพวกมึงถึงชอบแซวพวกกูกันจัง”
“ก็เห็นว่าน่ารักดี ก็เลยอยากขอเป็นเพื่อนด้วยก็แค่นั้น”
“อยากเป็นเพื่อน? ก็เดินมาคุยกันดีๆดิ เที่ยวเห่าแซวชาวบ้านเขาไปทั่ว เป็นหมาหรือไง”
“อุ้ยยยย”


เวลาไอ้โยมันไม่สบอารมณ์ ปากมันจัดยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ขนาดผมบางทียังไม่รอด
ผมเลยเลือกที่จะเงียบ เพื่อนไอ้อปป้าอีกสองคนก็น่าจะรู้ทาง เพราะมันก็เงียบไม่พูดไม่จาเหมือนกัน

แต่ว่าทำไมผมรู้สึกร้อนหน้าผ่าวๆ เหมือนถูกจับจ้องยังไงก็ไม่รู้วะ ผมเลือกที่จะไม่ทน เลยดึงมือไอ้โยแล้วเตรียมจะลากมันออกมา ถึงเมื่อกี้จะมีบุญคุณที่ช่วยกูไว้ก็เถอะ

ตอนนี้กูขอพาเพื่อนออกไปก่อน กูอายยยยย


“โย พอ ไปเหอะ”
“ไม่ ถ้ากูยังไม่เคลียร์กูไม่ไป”


นั่นไง ไอ้นิสัยนี้มาอีกล้าวววว


“อยากเคลียร์อะไรกับผมหรือครับ”
“ไอ้กฤตมึงพอได้ละ อยากขอเขาเป็นเพื่อนก็บอกเขาดีๆซิ ไปแกล้งเขาทำไม”
“กูพูดดีแล้วนะ แต่เขาอะพูดไม่ดี มึงก็ดูดิ”


โอ้ยยย กูเพิ่งเคยเห็น ผู้ชายสูง 170 ใส่เสื้อหนังกางเกงยีนส์ ทำตัวอ้อนเพื่อนน


มายก๊อดดด


“ว่ายังไงครับ พวกผมจะขอเป็นเพื่อนกับพวกคุณ....ได้ไหม?”

เป็นไอ้หน้าหล่อที่ถามออกมา แล้วทำไมต้องมาจ้องหน้าผมเหมือนรอคำตอบแบบนั้นด้วยละ

ควรจะถามไอ้โยไม่ใช่เหรอ

“ว่ายังไงครับ”

มันยังคงถามมองหน้าผมและถามคำถามเดิม

ไม่ กูจะไม่ตอบ ไม่พูด กูจะเงียบ ข่มใจไว้นะออกัส

ขะ......โข๊ะ....


“เออ เป็นก็เป็นซิ พูดกันดีๆ แบบนี้ก็จบไปนานแล้ว” ข่ม...ไม่ทันแล้ว


เชี้ยยยยยย ไอ้โย ไอ้เพื่อนเลว กูก็เห็นทำเสียงแข็ง หัวแข็ง กูก็นึกว่ามึงจะไม่เอาด้วย เสือกตอบตกลงเขาซะง่ายแบบนั้น



“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมเปอร์”

.

“ผมนพ”

.

“ผมกฤตสุดหล่อ”

.

“หล่อตายอะ....กู โย”

.

.

“เอ้า ไอ้กัส ก็บอกชื่อเขาไปซิ นั่งบื้ออยู่ได้”


นี่มึงอารมณ์ค้างช่ะ?

แต่กูว่า กูได้ยินมึงบอกชื่อกูไปละนะ


“เออ กู ออกัส”

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
กฎของโรงเรียนล่าผี



          วันที่สองของการมาเรียนที่ Ghost Hunter นอกจากวาโยที่ตามมาเรียนด้วยกันแล้ว ผมกับมันก็ได้เพื่อนใหม่มาอีก 3 คนแบบ งงๆ

               เปอร์ ขรึม แมน แบบคนคูลๆ

               นพ เด็กเนิร์สสายวิทย์

               กฤต อปป้าหน้าเกาหลีของไอ้วาโย

          ตอนแรกคิดว่าจะไม่ลงรอยกันเพราะความกวนตีนของพวกมัน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเพื่อน คิดแล้วก็ดี…มีพวกอยู่ด้วยแบบนี้ อุ่นใจดี



         ผมมาพร้อมกับพี่สาว พอถึงหน้าโรงเรียนก็แยกย้ายกันเดินเข้าด้านในเหตุผลเพราะผมเองที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเป็นน้องพี่สาวคนดัง

          ทันไหมไม่รู้ แต่กูกลัวไว้ก่อน

          “แกจะคิดมากอะไรวะเป็นน้องฉันมันแย่ตรงไหน”  ไม่ใช่ว่ามันแย่หรอก.....แต่ผมแค่ไม่อยากโดนเปรียบเทียบ

          เดินไปถึงโรงอาหาร ไอ้โยก็โบกไม้โบกมือเหมือนป้ายไฟ มีไอ้เปอร์ ไอ้นพ และไอ้กฤต นั่งรออยู่ด้วย

          “กัสทางนี้มึง”

          “หวัดดีพวกมึง” ผมทิ้งตัวลงข้างๆ

          กฤตหรี่ตา  “มากับเจ๊โอลีฟเหรอ”

          “....อืม”

          “งั้นพี่สาวมึงก็เป็นรุ่นพี่เราดิ คลาส A ด้วยใช่ปะ?”

          “ใช่”

          “โห เจ๋งชิบหาย”

          “อืม”

          ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงพี่สาว ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ไม่ดี แค่เพราะทุกครั้งที่ทุกคนถามถึงพี่ผมก็จะลามมาถามถึงเรื่องของผมด้วย

          “อะ” ผมต้องสะดุ้งเพราะความเย็นที่มาสัมผัสที่แก้ม แก้วน้ำเย็นที่ข้างในถูกบรรจุด้วยน้ำช๊อคโกแลตถูกวางอยู่ตรงหน้า

          เป็นไอ้เปอร์ที่เอามาให้

          “อะไรอะ”

          “ช๊อคโกแลต มึงเห็นเป็นอะไร”

          “เออ กูรู้ แต่มึงเอามาให้กูทำไม”

          “เห็นนั่งเป็นหมาหงอย เลยเอามาให้เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น”

          “แล้วของพวกกูละครับเพื่อนเปอร์” พวกมันสามตัวพูดพร้อมกัน แต่ไอ้เปอร์เงียบไม่ตอบ ไอ้สามตัวนั้นมองแบบมีเลศนัยแล้วเอาแต่อมยิ้ม

          “แดกข้าวแล้วเงียบปากไปเถอะพวกมึง”







          “สวัสดีครับนักศึกษาทุกท่าน ผมอาจารย์เกียรติ วันนี้เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ขึ้นมากล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่อย่างพวกคุณ ผมเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน Ghost Hunter แห่งนี้ ผมคิดว่าทุกคนที่ตั้งใจมาเรียนที่นี่รู้อยู่แล้วว่าโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่สอนเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เนื้อหาของการเรียนการสอนจะเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกคุณ”



          เช้าวันที่สองยังคงเริ่มด้วยการพูดคุยแนะแนวก่อนเข้าเรียน หลังจากที่อาจารย์ใหญ่พลาดไปเมื่อวานนี้



          “ผมคิดว่า อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกคุณน่าจะมีบอกไปบ้างแล้ว แต่ผมจะขอให้รายละเอียดเพิ่มเติมเผื่ออาจจะยังมีใครสงสัยหรือไม่เข้าใจอยู่ เรามีอาคารเรียน 2 อาคารสำหรับคนที่เรียนปี 1 และ และปี 2 ใช้ตึก A ด้านขวามือของพวกคุณ ตึก B ทางด้านซ้ายมือสำหรับคนที่เรียนปี 3 และ ปี 4

          The Ghost Hunter แบ่งระดับของนักเรียนเป็น 3 คลาส คือ B A และ S 

         นักเรียนเข้าใหม่ จน ถึงนักเรียนปี 2 อยู่ในระดับคลาส B พวกคุณจะได้รับการทดสอบเลื่อนชั้นเป็นคลาส A ตอนอยู่ปี 3 และ เลื่อนชั้นเป็น S เมื่ออยู่ปี 4 ในการสอบเลื่อนคลาสแต่ละคลาสไม่ได้หมายความว่าพวกคุณสอบแล้วจะได้เลื่อนทุกคน โดยเฉพาะปี 4 พวกคุณจะต้องผ่านการทดสอบพิเศษของทางโรงรียนก่อนเท่านั้นจึงจะได้เลื่อนเป็นคลาสได้”



          ทำไมฟังดูยากกว่าเข้าเรียนมัธยม หรือ มหาวิทยาลัยธรรมดาๆ อีกวะ



          “โรงเรียนของเรามีอาจารย์ทั้งหมด 5 คน ซึ่งรวมถึงผมด้วย อาจารย์ริณ ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่และอาจารย์ภาคทฤษฎี”

          อาจารย์เริ่มแนะนำอาจารย์ท่านอื่นโดยเริ่มจากซ้ายมือ อาจารย์สอนภาคทฤษฎี เป็นอาจารย์ผู้หญิงหน้าตาหมวยๆ น่ารัก ชื่ออาจารย์ริณ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้องผมเอง ถัดไปอาจารย์ภักดี เพิ่งได้เห็นหน้าครั้งแรก ถ้าไม่เห็นว่าแกยืนอยู่ที่โรงเรียนสอนเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ผมอาจหลงคิดไปได้ว่าแกเป็นพวกอาจารย์วิทยาศาสตร์ชอบทดลองสิ่งประดิษฐ์ติ๊งต๊อง

          อีกฝากเป็นอาจารย์สมบัติ ชื่อนี้เข้ากับแกจริงๆ นึกว่าสมบัติ เมทะนีมาเอง แล้วก็อาจารย์รัชนก นี่ก็คมเข้มไม่แพ้กัน สอบภาคปฏิบัติและภาคสนาม



          “และตัวผมเองอาจารย์เกียรติสอนภาคปฏิบัติและภาคสนาม แต่ตอนนี้ผมไม่ค่อยได้ลงสอนถ้าไม่จำเป็นอะนะ นักศึกษาทุกคนน่าจะได้รับเข็มกลัดแล้วตั้งแต่วันที่พวกคุณมาสมัคร ตลอดที่คุณอยู่ในโรงเรียนขอให้ติดเข็มกลัดไว้ที่หน้าอกเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าพวกคุณอยู่คลาสไหน”



          ระเบียบจัดๆ



          “อย่างที่พวกคุณรู้ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนทางเลือกที่เปิดถูกต้องตามกฎหมาย พวกคุณจะได้ใบรับรอง ใบประกาศนียบัตร แต่มันไม่สามารถใช้สมัครงานได้ พวกคุณสามารถใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาไปประกอบอาชีพของตัวเองได้ แต่ทางโรงเรียนไม่รับรองว่าคุณจะทำมาหากินขึ้นกับวิชาความรู้ที่คุณได้เรียนไปไหม"

          “ห๊ะ”

          “วอชชช”

          แล้วเสียงพูดคุยยังดังต่อเนื่องไปอีกสักพัก

          “ฮะ...แฮ่ม” อาจารย์เบรคการสนทนาของนักเรียนลง

          “.....”

          “ตามหลักสูตร และนโยบายของโรงเรียน เราได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า เป็นการเรียนการสอนเพื่อเปิดกว้างทางทัศนคติและเพื่อเป็นความรู้เท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณอยากจะเรียนจนจบเพราะไม่มีอะไรทำ หรือ คุณอยากถอนตัวออกกลางทางไม่มีใครว่าหรือบีบบังคับคุณได้ทั้งนั้น มันคือสิทธิของพวกคุณ หรือหลังจากจบไปแล้วคุณจะใช้ความรู้ที่เรียนมาไปทำมาหากินนั่นมันก็เรื่องของพวกคุณ จะถูกหรือผิดกฎหมายมันก็เรื่องของพวกคุณอีกเหมือนกัน การกระทำของพวกคุณรับผิดชอบกันเอาเอง แต่ผมขอเตือนพวกคุณไว้อย่างเดียวการกระทำอยู่ที่ตัวเองใครไม่รู้แต่ตัวเรารู้”



          นั่นคือการแนะแนวของอาจารย์ในวันแรก



          “อ่อ ก่อนจะแยกย้าย ผมขอย้ำเตือนพวกคุณอีกครั้งสำหรับข้อห้ามและกฎของโรงเรียนนี้.....

          แต่ผมจะพูดอีกครั้งเพื่อทบทวนความจำและย้ำเตือนเพื่อตัวพวกคุณเอง

          1.พวกคุณทุกคนมีสิทธิใช้ได้แค่อาคาร A และ B เท่านั้น ส่วนอาคารด้านหลังทั้งหมด เป็นเขตหวงห้าม — ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะห้องใต้ดิน ห้ามเข้าใกล้หรือคิดแม้แต่จะลงไปโดยเด็ดขาด

          2.สำหรับนักเรียนใหม่ วิชาความรู้ที่เรียนไปไม่อนุญาติให้นำไปใช้ หรือ ทดลองนอกโรงเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาติจากครูผู้สอน

          3.นักเรียนทุกคนไม่ได้รับอนุญาติให้อยู่ในโรงเรียนหลังเวลา 6โมงเย็น หากไม่มีครูผู้สอนอยู่ด้วย

          กฎ 3 ข้อหลักนี้ทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจ ห้ามใครละเลยและลองดี เข้าใจกันทุกคนนะ”

          “ครับ/ค่ะ”



          “อะไรคือ ตึกต้องห้าม แล้วไหนจะห้องใต้ดินอีก ฟังแล้วโคตรน่าล่าท้าผีสัด ๆ” ไอ้กฤตพูดขึ้น

          “น่าไปบ้าบออะไรละ มึงไม่ได้ยินที่อาจารย์บอกเหรอ ประกาศห้าม กากบาทแดงหราไว้บนเวทีนะ”

          “หืมมมม ป๊อดเดะมึง”

          “ไอ้...”

          “เอานะมึง อย่าเถียงกันเลยเข้าห้องเถอะ” ผมเบรคไอ้วาโยหัวทิ่ม เป็นโรคอะไรกัดกันได้ไม่เว้นนาที



          ผมนั่งอยู่แถวกลางห้องริมหน้าต่าง โดยมีไอ้วาโยนั่งข้างๆ และแก๊งค์บอยแบรนด์สามคนนั่งด้านหลัง อาจารย์ริณกำลังอธิบายสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ

          วิญญาณ ตามความเข้าใจของคนเราโดยทั่วไป วิญญาณคือสิ่งที่มีอยู่ในมนุษย์ทุกคนเมื่อมนุษย์ตายวิญญาณก็ดับสลาย ไปสู่ในภพภูมิใหม่ หรือ ไปชดใช้กรรมในนรก

          วิญญาณตามหลักของพระพุทธศาสนาหมายถึงการรับรู้ทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อมีชีวิตอยู่การรับรู้เหล่านี้ก็ยังอยู่กับมนุษย์ แต่เมื่อมนุษย์นี้ตายไปการรับรู้ต่างๆ ก็ดับไปด้วย ซึ่งไม่ต่างจากหลักคำสอนของศาสนาอื่นๆ วิญญาณจะดับและออกจากร่างเมื่อมนุษย์นั้นเสียชีวิตลง

          แต่หากพูดถึงวิญญาณในแง่ของคำว่า “ผี” ความหมายจะต่างออกไปจากบริบทของวิญญาณที่ได้บอกไป

          ผี คือสิ่งที่เราตั้งขึ้น อนุมานขึ้นมาว่าเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ได้เสียชีวิตแล้ว ประมาณ พอตายปุป เรียกผีปัป

          แตกต่างยังไงกับสิ่งที่เรียกว่าพลังงาน

          พลังงาน เป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติและสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบ วัดค่าได้ เลยเป็นเหตุผลให้วิทยาศาสตร์กับเรื่องเหนือธรรมชาติค้านกันตลอดเวลา

          ตลอดเวลาทั้งช่วงเช้าพวกผมต้องทำความเข้าใจและแยกให้ออกระหว่างวิญญาณ กับ พลังงาน

          “โอ๊ยยย กูจิบ้า วนเวียนอยู่กับพลังงาน วิญญาณ ผี จนกูจะอ้วกแล้วเนี่ย” วาโยบ่นขึ้น อย่าว่าแต่มันเลยครับ ผมเองก็เป็น เล่นเอาปวดหัวเลยทีเดียว

พวกเราเดินไปนั่งพักที่โต๊ะม้าหินข้างตึกโรงอาหาร อากาศเย็นสบายและสงบเงียบจากเสียงจอแจด้านใน ผมทิ้งตัวนอนบนม้านั่งข้างๆ รู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก

          “เป็นอะไรไอ้กัส”

          “มึนหัวนิดหน่อยมึง ไม่เป็นอะไรหรอก พักแปปเดี๋ยวก็หาย”

          ผมหลับตาไปได้สักพัก เสียงจอแจ งึมงำก็ดังเข้ามาในโสตประสาท


          ทำไมวันนี้เสียงในโรงอาหารมันดังจังวะ ผมบ่นพึมพำในใจ แต่ก็ไม่คิดจะลืมตามอง ยังคงนอนหลับตาต่อไป


          ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้.....



          ผมลืมตาตื่นพบว่าตัวเองยังนอนอยู่บนม้านั่งตัวเดิม แต่ที่แปลกไปคือรอบตัวไม่มีใครซักคน ไม่ว่าจะเป็น ไอ้โย ไอ้เปอร์ ไอ้กฤต และไอ้นพ  ผมลุกขึ้นนั่งพาลคิดไปว่าพวกมันต้องแกล้งผมแน่ๆ มองหารอบตัว ไม่เห็นใครสักคน

          “ไอ้โย ไอ้เปอร์ พวกมึงอยู่ไหนอะ ไอ้กฤต ไอ้นพ พวกมึง....ออกมาเลยนะ”  เงียบ----ไม่มีเสียงตอบรับ แม้แต่เสียงใบไม้ ลมหรือแมลงก็ไม่มี ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเหมือนเสียงคนพึมพำ พูดคุยกันอยู่ไกลๆ ไอ้โยเหรอ

          “เฮ้ย พวกมึงอยู่ไหนอะ”


          ออกัส


          ออกัส



          “ใครอะ ไอ้โย มึงเหรอ” เงียบ----หรือว่า หูแว่ว แต่ผมมั่นใจว่าผมได้ยินคนเรียกชื่อ ออกัส ที่ดังมาจากอาคารด้านหลัง


          ฟึ่บบบบ ชายเสื้อสีดำพริ้วผ่าน แผ่นหลังตรงกว้าง ซึ่งผมจำได้ว่ามันคือไอ้เปอร์


          “เปอร์ ไอ้เปอร์ มึงจะไปไหนอะ ไอ้เปอร์ รอกูด้วย” ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามไป

          “มึง รอกูด้วย อาจารย์ไม่ให้เรามาทางนี้นะเว้ย” มันหยุดชะงัก ผมวิ่งมาหยุดด้านหลังเสื้อมันพร้อมกับ ก้มตัวหอบหายใจเหนื่อย

          “โอ๊ย เดินเร็วจังวะมึง อาจารย์ไม่ให้พวกเรามาทางนี้นะ แล้วพวกไอ้โย กับคนอื่นละ กูว่าเรากลับออกไปเถอะ เดี๋ยวอาจารย์มาเห็นแล้วว่าเอา”

          มันไม่ตอบเอาแต่ยืนหันหลังเงียบอยู่อย่างนั้น

          “มึง เป็นอะไรหรือเปล่า ไอ้เปอร์ หันมาคุยกับกูดิวะ” ผมเอื้อมมือไปจับไหล่มันเพื่อให้หันกลับมา แต่ทันทีที่ผมแตะ ความรู้สึกมันเหมือนโดนดูด ตัวผมเหมือนตกลงเหวหรืออะไรสักอย่าง ดำดิ่งลงสู่หลุมดำ ผมแหกปากร้อง พยายามแกว่งมือหาที่จับ แต่ก็ไม่มีอะไรเลย หลังจากนั้น....

.

.

.

          “ไอ้กัส” ผมตื่นลืมตาพบว่าตัวเองยังอยู่ที่เดิม สถานที่เดิม และตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าผมคือ ไอ้เปอร์ มันกำลังบีบไหล่ทั้งสองข้างผมอยู่  หน้ามันดูตกใจปนกังวล ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็ตกใจไม่แพ้กัน

          “ไอ้กัส มึงเป็นอะไร พูดกับกูดิวะ อย่าเงียบ กูกลัวนะเว้ย” ไอ้โยโวยวายอยู่ข้างๆ

          ผมรู้สึกมึนหัวอยากอ้วก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แล้วฝันเมื่อกี้คืออะไร

          “กัส มึงโอเคหรือยัง” ไอ้เปอร์ถามผม มือยังคงจับไม่ปล่อย แปลก...ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก จากที่ความรู้สึกความคิดมันสับสนปนเปตีกันไปหมด มันค่อยๆ คลายลงและดีขึ้น

          “อะ......อืม........โอเค”  มันมองดูเหมือนไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยอมปล่อยมืออกจากไหล่ผม

          “แล้วมึงเป็นอะไร บอกได้หรือยัง” ไอ้เปอร์ถาม ผมรวบรวมสติ ยังไม่ทันจะเริ่มเล่า พี่สาวตัวดีของผมก็ปรากฎตัวพร้อมเสียงอื้ออึงและเดินตรงมาที่ที่พวกเรากำลังนั่งอยู่



          “สวัสดีค่ะพี่โอลีพ / สวัสดีครับพี่โอลีฟ”



          “นั่นเจ๊โอลีฟนี่ พี่มึงแม่งโคตรดังเลยวะ” ไอ้โยพูดขึ้น ผมเองก็ไม่รู้อะไรเรื่องของพี่สาวเวลาที่อยู่ที่โรงเรียนมากหรอก

          “...อืม...”

          “สวัสดี ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

          “สวัสดีเจ๊ ก็ไอ้กัสอะดิ ไม่รู้เป็นอะไรมันนอนอยู่ดี ๆ ก็โวยวายขึ้นมา”

          “โวยวาย ?”

          “กูไม่ได้โวยวาย มึงพูดให้ถูกไอ้โย”

          “หรือไม่จริง มึงนอนหลับแล้วอยู่ดีๆ ก็ไม่รู้หลอนอะไร โวยวาย จนไอ้เปอร์ต้องไปจับตัวมึงให้ลุกขึ้น ไม่งั้นมึงไม่หยุดหรอก ไม่เชื่อมึงถามมันสองคนเลย” ไอ้กฤต กับ ไอ้นพ พยักหน้ารับพร้อมกัน

          “จริงเหรอ กัส”

          “ไม่มีอะไรหรอกเจ๊ แค่ฝันเอง”


          “ฝันอะไร” น้ำเสียง ถ้อยคำที่ถามออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำนั้น มันทำให้ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้


          ผมเล่าความฝันให้ฟัง ไอ้โย ไอ้กฤต และไอ้นพ ไม่ได้คิดอะไรมากมันแค่บอกว่า อาจจะเพราะผมนอนกลางวัน จะมีก็แต่เจ๊โอลีฟที่ทำหน้าแบบไม่เชื่อว่าความฝันมันจะแค่ความฝัน ส่วนไอ้เปอร์มันจ้องหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่

          “แกใส่สร้อยมาไหม” ผมแหวกเสื้อให้ดู

          “แกฝันว่านอนอยู่ที่นี่แล้วก็ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใครเลย ? แต่แกกลับเห็นเพื่อนแกที่ชื่อเปอร์แล้วก็วิ่งตามไป หลังจากที่แตะตัวเพื่อน ก็เหมือนกับว่ากำลังตกลงเหวลึก ? แล้วแก…..รู้สึกตัวได้ยังไง เพราะเพื่อนแกเหรอ ?”

          “ผมก็ไม่รู้อะ..... ลืมตามาก็เห็นหน้ามันคนแรกแล้ว” ทำไมกูต้องพูดเบาตรงประโยคหลังด้วยวะ

          “ใช่เจ๊” ไอ้โยพูดขึ้น ผมทั้งเรียก ทั้งเขย่าตัว มันไม่สะทกสะท้านหรือรู้ตัวอะไรเลย เอาแต่พูดชื่อไอ้เปอร์ ไอ้เปอร์” ผมหันไปมองหน้าโย กูเรียกชื่อมันเหรอวะ

          “พอไอ้เปอร์ไปจับมันเท่านั้นนะเจ๊ มันลืมตาโตขึ้นมาทันที ไอ้ผมก็นึกว่าโดนผีเข้าซะแล้ว”

          “ผีเข้ามาบ้าบออะไรละ มึงน่ะคิดแต่ให้กูโดนผีเข้าซะจริง”

          “กูไม่รู้นี่หว่า”

.

.

.

          “อืม เอาเถอะไว้ค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน แล้วทำไมถึงมานั่งกันตรงนี้ อาจารย์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้มาแถวนี้”

          “พวกผมก็เปล่านะ อาจารย์ห้ามเข้าอาคารด้านหลัง ตรงนี้ยังไม่ถึงซะหน่อย” ไอ้นพพูดขึ้น

          “แต่มันก็ใกล้ไหมละ เอาเป็นว่าอย่ามาอยู่ใกล้แถวนี้อีก หาที่นั่งสุมหัวกันใหม่เถอะ”  พี่สาวผมจิกตามองไอ้นพ ฝั่งนั้นก็สู้กลับไม่ยอมแพ้กัน ถ้าผีผลักแล้วได้กันขึ้นมานะ บันเทิงกันละงานนี้

          พูดจบพี่สาวผมก็เดินกลับไปพร้อมกับเสียงต้อนรับเกรียวกราวอีกครั้ง

          “พี่มึงดูท่าจะเป็นคนดังนะ” ไอ้นพพูดขึ้น พร้อมกับยิ้มมุมปาก มึงดูมีเลศนัย

.

.

          “ไอ้กัส มึงโอเคขึ้นหรือยัง” ไอ้เปอร์ถามขึ้น

          “ก็โอเคแล้วละ”

          “อืม”

          “เฮ้ย พวกมึงถึงเวลาเรียนแล้วขึ้นกันเถอะ” พูดจบทุกคนลุกขึ้นพร้อมกับเก็บของบนโต๊ะ ไอ้โย ไอ้กฤต ไอ้นพเดินนำไปก่อน ส่วนผมกำลังพยายามรวมรวบสติให้กลับมาและเตรียมจะเดินตามไป



          แปะ....



          “ทำไมมึง แม่งดูบอบบางจังวะ ไม่เหมาะกับที่นี่เลย” ไอ้เปอร์เอามือวางบนหัวผมพร้อมกับพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินนำไป



          ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ความรู้สึกอบอุ่นที่หลั่งไหลมา



          แม่ง.......โคตรดี



          โคตรรู้สึกดี

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เสียงกระซิบในเงามืด



          หนึ่งเดือนผ่านไป ---- กับการเป็นนักเรียนของโรงเรียนล่าผี เอาจริงก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหนักใจคือ
         
          ฝันเดิมๆ ที่คอยตามหลอกหลอน
          เสียงเรียกชื่อที่ลอยมาจากความมืด
          ร่างที่เหมือนกำลังตกลงเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุด
          และความรู้สึกหดหู่ หมดหนทาง....ต้องยอมจำนนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          ทุกเช้าที่ลืมตาตื่น ผมจะนอนเหงื่อท่วมตัว เหมือนเพิ่งกลับมาจากการวิ่งหนีอะไรสักอย่างตลอดทั้งคืน และเช้านี้ก็เป็นเหมือนเดิม ผมตื่นมาบนที่นอนของตัวเองด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า เหงื่อไหลท่วมตัวขนาดเสื้อนอนที่บางยังชุ่มไปด้วยเหงื่อ
         
          ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมกับถอนหายใจ ตัดสินใจลุกจากที่นอนไปอาบน้ำ ล้างเนื้อล้างตัวเผื่อจะสดชื่นขึ้นมาบ้าง

          “กัส....ลูก ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวมา”

          ผมเดินเอื่อยเฉื่อยไปนั่งข้างๆ พี่สาว แม่ตักข้าวต้มกุ้งของชอบวางไว้ตรงหน้า กลิ่นหอมของมันทำให้ใจผมผ่อนคลายขึ้น

          “โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”
          “ก็ดีครับแม่”

          “ดีมากเลยเนอะ” พี่สาวผมกัดฟันพูดจนเสียงรอดออกมาตามไรฟัน

          ผมกระทุ้งขาพี่สาวไม่ให้พูดต่อ เพราะถ้าพ่อกับแม่รู้มีหวังผมไม่ได้ไปเรียนแน่นอน อันที่จริงที่พวกเขากีดกันไม่อยากให้ผมไปเรียนไม่ได้ลำเอียงหรืออะไรเลย แต่เพราะต้องการกันผมออกจากเรื่องลี้ลับทั้งหลาย

          “ดีก็ดีแล้ว แล้วแกอย่าลืมเอาสร้อยติดตัวไปด้วยทุกครั้งละ”
          “ครับพ่อ”
          ครอบครัวของผม...ไม่มีใครธรรมดาเลย
          พ่อเป็นเจ้าของตำราวิชาไสยเวทและเครื่องรางเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากรุ่นของปู่ของปู่
          แม่เป็นหมอดูไพ่ที่มีญาณหยั่งรู้
          ส่วนพี่โอลีฟ—คนที่ผมทั้งรักทั้งหมั่นไส้—มีสัมผัสพิเศษ มองเห็นและได้กลิ่นวิญญาณ เรียกง่ายๆ ว่าคนเห็นผี

          แล้วผมล่ะ ? ...ลูกชายคนเดียวที่ไร้พลัง แถมร่างกายอ่อนแอจนถูกสิงได้ง่าย
          จนต้องกลายเป็นภาระที่ทุกคนเฝ้าระวัง

          ผมเอามือจับสร้อยที่คอ นี่คือสิ่งสำคัญที่ผมห้ามลืม มันเป็นสร้อยของปู่ที่ทำให้ผมไว้ตั้งแต่ยังเล็ก ผมต้องสวมสร้อยไว้ตลอดเวลาที่ออกจากอนาเขตของบ้าน

          “กัสสร้อยเส้นนี้ ต้องใส่และดูแลให้ดีนะ ห้ามหาย ห้ามลืม เมื่อไหร่ก็ตามที่ก้าวออกจากพื้นที่บ้านหลังนี้ เราต้องใส่ไว้ตลอดเวลาห้ามถอดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”         นั่นคือสิ่งที่ปู่ได้กำชับไว้

          “เออ.......วันพรุ่งนี้เราจะไปบ้านปู่กับย่ากันนะ” พ่อหันมาบอกผมกับพี่สาว
          “ครับ”  พวกผมอยู่คนละบ้านกับปู่และย่า แต่ก็ไม่ไกลกันมากแค่กรุงเทพ-นครปฐม
          .

          .

          .

          วันอาทิตย์พวกเราออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดและไปให้ทันทำบุญถวายเพลที่วัดกับคุณย่า

          “ย่าคร้าบบบบ” ผมวิ่งเข้าไปกอดย่า
          “ไอ้หมาน้อยของย่า เป็นยังไงบ้าง โตเป็นหนุ่มขึ้นเยอะเลยนะ”
          “แหม...ย่า ผมแค่ไม่ได้มาหาเดือนเดียวเองไม่ได้หายเป็นปีซะหน่อย”
          “อ้าวเหรอ ย่าก็นึกว่านานแล้ว หึๆ” ย่าหัวเราะในลำคอ ผมชอบมาบ้านสวนเพราะมันสงบและสบายใจดี

          “แหวะ ไอ้หมาขี้อ้อน”

          “อิจฉาอะดิ แบร่...”  ปู่ ย่า พ่อ และ แม่ หัวเราะชอบใจ ถึงแม้เราสองคนพี่น้องจะเถียงกันได้ทุกวัน พี่โอลีฟคอยเจ้ากี้เจ้าการ จู้จี้จุกจิก แต่จริงๆ แล้ว เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ห่วงผมมากเหมือนกัน

          “แล้วเราเป็นยังไงบ้างไปเรียน....หนักไหม ทำไมดูซูบๆ หน้าตาไม่ค่อยสดชื่น” ย่าถามพร้อมกับเอามือจับหน้าหันซ้ายหันขวาเพื่อพิจารณา
          “ไม่หนักครับ ไม่ต้องห่วงหรอก กัสเก่ง”
          “จ้า”

          ผมนั่งเล่นนอนเล่นในสวนตลอดช่วงบ่าย การมาที่บ้านสวนมันเหมือนได้ชาร์จพลัง ความรู้สึกกดดัน เหนื่อยล้าที่ได้สะสมมาทั้งอาทิตย์หายไปสิ้น
          นอกจากบ้านสวน บ้านผมเอง ที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ ปลอดภัยแล้ว ตอนนี้มีอีกอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยได้เพิ่มขึ้น ก็ตอนที่มีไอ้เปอร์อยู่ด้วย
          ผมนึกย้อนไปตลอดทั้งอาทิตย์ที่โรงเรียน นอกจากเหตุการณ์วุ่นๆ 2 ครั้งที่ผมเจอ มันยังมีเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้บอกใคร แต่มีมันนี่แหละที่คอยจับจ้องและเห็นตลอดเวลา 

          ไอ้เปอร์

          แค่มันเรียกชื่อผม ก็ดึงสติที่กำลังหลุดให้กลับมา หรือแค่แตะไหล่ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นปลอดภัยที่ส่งผ่านมา นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมสบายใจที่จะมีมันอยู่ด้วย

          ผมเดินกลับเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าทุกคนกำลังนั่งคุยกันอย่างจริงจัง ทันทีที่เห็นผมการสนทนาก็หยุดลง

          “มา....มา กัส เข้ามาหาปู่หน่อย” ผมเดินเข้าไปนั่งที่พื้นข้างๆ ปู่
          “เป็นยังไงบ้างช่วงนี้ มีอะไร เจออะไร หรือ เห็นอะไรแปลกๆ บ้างไหม”
          “ทำไมเหรอครับ”
          “เปล่า....ปู่ก็แค่ถามดู” พร้อมกับเอามือจับที่สร้อยบนคอ  “สร้อยเส้นนี้มันก็นานแล้วเนอะ ปู่จะทำให้ใหม่ดีไหม”
          “ไม่เอาอะครับผมชอบเส้นนี้ อยากใส่เส้นเดิม”
          “อะ..เอา-เอา-เอา เส้นเดิมก็เส้นเดิม”

          “กัส”

          “ครับย่า”
          “หากมีอะไร หลานต้องบอกพ่อกับแม่แล้วก็พี่เขารู้ไหม  หรือไม่งั้นก็มาหาปู่กับย่า มาเล่าให้ปู่กับย่าฟังบ้างก็ได้นะ หลานรู้ใช่ไหมลูก”
          “ครับ----รู้ครับ”
          .

          .

          เดือนที่ 2 ของการมาเรียนที่ The Ghost Hunter  ผมยังคงไปเรียนพร้อมพี่สาวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ....ไอ้คนข้างๆ ผมเนี่ย
          ไอ้เปอร์  มึงมาได้ยังไงก๊อนนน

          “ไอ้เปอร์ มึงมาบ้านกูถูกได้ไงวะ แล้วคิดไงมารับกูกับพี่อะ”
          “ฉันเองยะ ที่เป็นคนบอกให้น้องเปอร์มารับ”
          “ห๊ะ เจ๊อะนะ”
          “เยส”
          “นี่ไปมีคอนแทคคุยอะไรกันตอนไหนเนี่ย” 


          ---ย้อนไป 1 อาทิตย์ก่อนหน้านี้---

   
          “เปอร์ ใช่ไหม” โอลีฟตั้งใจมาดักรอเปอร์
          “ครับ”
          “สะดวกไหม ขอคุยอะไรด้วยหน่อยซิ”
          “.....”
          “เรื่องออกัสนะ”

          โอลีฟถามถึงเหตุการณ์วันที่ออกัสหลับที่ม้านั่งใกล้กับอาคารด้านหลัง ทั้งเรื่องที่ออกัสชอบมีอาการแปลก ๆ เวลาอยู่ที่โรงเรียน หรือเรื่องที่เหมือนว่าทุกเหตุการณ์จะดีขึ้นเพราะเปอร์ และสุดท้ายจบลงด้วยการฝากฝังให้เปอร์ช่วยดูแลออกัสเวลาอยู่ที่โรงเรียน เลยเป็นเหตุผลให้เปอร์มาโผล่ที่บ้านกัสวันนี้

          “เอ้า...เงียบ...เงียบคู่เลยที่นี้” ออกัสหันหน้าหันหลังมองทั้งคู่ แต่ไม่มีใครพูดอะไร

          “ไอ้กัส ไอ้เปอร์ ทำไมพวกมึงสองคน----ถึงมาพร้อมกันวะ” มึงจะลากเสียงถามเพื่อออ

          ไอ้เปอร์เต๊ะท่านั่งลงไม่พูดอะไรทิ้งขี้ให้ผมโดนสายตาคาดคั้นจากไอ้โย

          “มันไปรับกูที่บ้าน”
          “หืมมม จริงอะ ? ---- ทำไมมันต้องไปรับมึงด้วย ?” ไอ้ประโยคหลังมันกระซิบถามผมเบาๆ
          “พี่สาวกูไงครับ ไม่รู้ไปคุยกันอีท่าไหน มันถึงไปรับกูกับพี่มาด้วยกัน” แล้วผมจะกระซิบกลับทำไมวะเนี่ย
          “อืม—แปลก—น่าคิด  หรือว่า พี่มึงกับไอ้เปอร์......กิ๊กกันวะ” มึงจะทำตาโตเป็นประกายเพื่อ

          เออวะ หรือว่าจะเป็นแบบนั้น พี่ผมเหรอชอบมันเหรอ หรือมันชอบพี่ผม

          ---หมับ---   ไอ้เปอร์คว้าคอผมให้เงยหน้าสบตากับมัน

          “หยุดคิดซะ----อะไรที่มึงกำลังคิดอยู่” ผมทำตาปริบๆ มองมัน
          “กูไม่ได้คิดอะไรกับพี่มึง  เข้าใจไหม”

          คร้าบบ....หือ ทำไมใจกูมันเต้นแรงจังวะ

          มันหล่อจริงแบบที่ไอ้โยบอกเลย มองปกติยังไม่เหลือ ถ้าสาวๆ มาเจอมุมเสยแบบผม ได้ดีดดิ้นตายกันแน่นอน
          โอ๊ย ทำไมอยู่ดี ๆ หน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยกู


          บรรยากาศของห้องเรียนวันนี้แปลกไปตรงที่ไอ้คนข้างๆ ผม ไม่ใช่ไอ้โย แต่เป็นไอ้เปอร์ ไอ้นพเองก็ขยับขึ้นมานั่งแถวเดียวกันข้างไอ้เปอร์  ส่วนไอ้โยลงไปนั่งแถวหลังแทนและถูกทิ้งให้อยู่กับไอ้กฤตสองคน

          คราวนี้แหละมึงสองคนได้ตีกันฉ่ำแน่นอนเลยจ้ะ
          .

          .

          “สวัสดีค่ะทุกคน ชั่วโมงเรียนวันนี้ของเราจะพิเศษกันซักนิดนึง เพราะปีนี้เป็นปีแรกที่พวกเธอจะได้ลงเรียนภาคปฏิบัติกันเร็วกว่าปีก่อน ๆ”

          หูวววว เพื่อน ๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ้าวตื่นเต้นที่จะได้เรียนภาคปฏิบัติ

          “เดี๋ยวพวกเราจะลงไปเจอกับอาจารย์ภักดีด้านล่างอาคาร วันนี้อาจารย์จะเป็นแค่ผู้ช่วย โดยมีอาจารย์ภักดีเป็นผู้นำการสอน”

          พวกเราลงไปพบกับอาจารย์ภักดีด้านล่างอาคาร โดยอาจารย์แบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 5 คน จำนวน 6 กลุ่ม และเริ่มอธิบายกฎของการเรียนในวันนี้

          พวกเธอทุกคนต้องอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ห้ามแตกแถว ห้ามแตกกลุ่มหรือแยกออกไปตามลำพัง เราจะเข้าไปข้างในทีละกลุ่ม โดยอาจารย์จะเป็นผู้นำเข้าไปและอาจารย์ริณรั้งท้าย
          การเรียนการสอนวันนี้ของเราคือการทดสอบประสาทสัมผัส ใครพบ เจอ หรือ เห็นอะไรให้เก็บไว้ห้ามพูด ห้ามถาม ห้ามบอก จนกว่าจะออกมาด้านนอกอาคารและอาจารย์อนุญาติให้พูดได้เท่านั้น

          “เข้าใจไหม” อาจารย์ตบท้ายคำพูดอย่างเสียงดังฟังชัดเหมือนกับจะย้ำเตือนให้พวกเราปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
          “ครับ/ค่ะ”


          กลุ่ม1  กลุ่ม2  กลุ่ม3 เข้าและออกผ่านไปเรื่อยๆ จนมาถึงกลุ่มของพวกผมเป็นกลุ่มสุดท้าย ทุกคนที่ออกมาไม่มีใครพูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว แต่ดูจากสีหน้าแล้วคงจะเอาเรื่องอยู่ เพราะพวกผู้หญิงบางคนก็ตาแดง น้ำตาซึม มีอยู่ 2-3 คน ที่สะอึกสะอื้นออกมา บางคนก็หน้าลอยเหมือนไร้วิญญาณออกมา รวมถึงพวกผู้ชายด้วย ดิบๆ เถื่อนๆ ก่อนเข้าไป กลับออกมา เงียบกริบ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่กลุ่มอื่นเข้าไปด้านในพวกเราไม่ได้ยินอะไร แม้แต่เสียงเล็ดลอดซักนิด ก็ไม่มี


          “พวกเธอนี่ขวัญอ่อนกันจริง ๆ”
          “โห อาจารย์ค่ะ ไม่กลัวยังไงไหว อาจารย์ไม่กลัวแต่พวกหนูกลัวนี่ หือออ” เสียงโอดครวญดังไม่หยุด
          “โอเคๆ อะ...กลุ่มสุดท้ายละนะ” อาจารย์หันมาเรียกกลุ่มผม “พร้อมไหม”
          “ไม่พร้อมได้ไหมครับ” ไอ้โยร้องออกมา
          “ไม่ได้จ้ะ เอาละ กลุ่มสุดท้ายแล้ว เดินด้านหน้ากันมาได้เลย--พร้อมนะ” อาจารย์พูดแบบไม่ต้องการคำตอบ

          อากาศก็ไม่ได้หนาว แต่ทำไมมันสั่นวะ ผมเอามือจับสร้อยที่คอ---โอเค...พร้อม

          “ไอ้เอ๋อ” ผมหันไป เป็นไอ้เปอร์ที่มองมา
          “มึงเรียกใครอะ”
          “เรียกมึงแหละ”
          “เอ๋อ พ่อมึงซิ กูไปเอ๋อตอนไหน”
          “ก็กูอยากจะเรียกแบบนี้”

          โอ๊ย กูจะบ้า ชื่อดีๆ มีไม่เรียก ไอ้สันขวาน

          “สรุปมึงเรียกกูทำไม ไม่ทราบ”

          เปอร์โน้มตัวเข้ามาใกล้ พูดเสียงต่ำจนได้ยินกันสองคน

          “อยู่ข้างหลังกู ถ้ากลัวก็จับเสื้อกูไว้” ผมมองหน้ามัน กลั้นหายใจ ไม่ต้องบอกกูก็ทำอยู่แล้ว ไม่คิดจะเดินนำหน้าใครเลยจ้ะ


          เราเดินเป็นแถวเรียงหนึ่ง อาจารย์ภักดี ไอ้กฤต ไอ้โย ไอ้เปอร์ ผม ไอ้นพ และอาจารย์ริณปิดท้าย พวกเรา 5 คนเดินเข้าไปโซนอาคารด้านหลังเป็นครั้งแรก พื้นที่ทั้งสองห่างกันแค่ต้นไม้กั้น  ก้าวแรกที่ข้ามเขตอาคารร้าง บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที

          อากาศเย็นวูบเหมือนถูกดูดเข้าสู่โลกอีกใบ ความเงียบกดทับจนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ฟังชัดเกินไป

          อาคารตรงหน้าเป็นอาคารเก่า 2 อาคาร ระหว่างอาคารมีสระน้ำที่มีน้ำสีเขียวจากตะไคร้ขังอยู่ อาคารแรกมี 2 ชั้น อาคารที่ 2 มี 3 ชั้น และในแต่ละอาคารมีประตูสีแดงอยู่ด้านหน้าพร้อมกับเขียนไว้ว่าทางลงชั้นใต้ดิน


          “ทั้งสองอาคารเคยเป็นอาคารที่ใช้ในการเรียนการสอนมาก่อน แต่หลังจากที่อาคารด้านหน้าเสร็จ โรงเรียนก็ใช้แต่อาคารหน้าซะส่วนใหญ่ อาคารหลังจึงถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ ซึ่งเขาว่ากันว่า ทุกๆ สถานที่ มักจะมีเรื่องราวแอบซ่อนไว้มากมาย ยิ่งสถานที่ไหนที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไม่มีคนดูแลหรือไม่มีพลังงานจากสิ่งมีชีวิตวนเวียนเข้าไป สถานที่นั้นก็จะง่ายต่อการสิงสู่ ที่อาจารย์พาพวกเธอมาที่นี่ก็เพื่อทดสอบประสาทสัมผัสการรับรู้ของพวกเธอ.......
          .....และเนื่องจากว่ามันเป็นอาคารเก่าอาจารย์ขอให้พวกเธอระมัดระวังในการเดินกันด้วยนะ”

          “ครับ...”


          ภายในอาคารทั้งมืดชื้นและเหม็นอับ ฝุ่นหนาเตอะปกคลุมพื้นจนเห็นรอยเท้าวุ่นวายจากกลุ่มก่อนหน้า แสงไฟจากโคมไฟพกส่องให้เห็นเงาผนังแตกร้าวยาวราวกับเส้นเลือดของอาคาร...

          “โคตรเหม็นอับเลยวะ” ไอ้โยพูดขึ้นมา
          “นายวาโย” อาจารย์ริณพูดขึ้น มันยกมือไหว้ ขอโทษปะลกปะลก
          .
          .
          เสียงฝีเท้าก้องสะท้อนในอาคารร้าง เงียบเกินไป…จนทุกการก้าวเหมือนดังอยู่ในหูตัวเอง

          ความรู้สึกเหมือนอยู่ในความมืดในความฝัน มีเพียงความเงียบและเสียงหายใจ ไม่รู้ผมคิดไปเองไหมแต่ผมรู้สึกราวกับว่ามีคนกำลังพูดพึมพำตลอดเวลา

          ผมเดินแทบจะติดหลังไอ้เปอร์ กำชายเสื้อไอ้เปอร์แน่นขึ้นเรื่อย ๆ มือสั่นจนมันหยุดเดินและหันมา

          “เอ๋อ.....กัส.....เป็นอะไร......กัส”   เสียงเรียกนั้นอบอุ่นแปลก ๆ ท่ามกลางความหนาวเย็นรอบตัว แต่ยังไม่ทันตอบ โลกตรงหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นห้องเรียนเก่า ๆ ที่สว่างวาบขึ้นมา
          .

          .
         
          ผมสะดุ้งตื่น
 
          “ไอ้เปอร์ ไอ้โย พวกมึงอยู่ไหนอะ อาจารย์ครับ อยู่ไหนกัน”

          ผมดันตัวเองยืนขึ้น มองไปรอบๆ ตัว ไม่เห็นใครสักคน แต่หลังจากที่ตั้งสติได้....มันสว่าง

          พื้นที่รอบตัวสว่างจนเห็นบรรยากาศตรงหน้า ห้องเรียนที่ด้านในมีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ กระดานไวท์บอร์ดที่ยังมีข้อความขีดเขียนไว้

          ผมเดินขยับเข้าไปดูข้อความบนกระดานด้วยความสนใจ


          ยินดีต้อนรับ....ผู้ที่มองไม่เห็น


          หัวใจผมกระตุกวูบ ความทรงจำวันแรกที่โรงเรียนแล่นกลับมาอีกครั้ง

          แกร๊ง.....แกร๊ง....กึก.........


          เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมเสียงเรียกชื่อ “ออกัส…มาทางนี้…” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเหมือนเลื้อยเข้ามาในหูโดยตรง
ผมกรีดร้องเรียกชื่อเพื่อนและอาจารย์ แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย ความมืดกำลังกลืนกินทุกอย่าง…

          …จนกระทั่ง—



          “ไอ้กัส!”


          ผมลืมตาโพลง หอบหายใจถี่ เนื้อตัวเปียกเหงื่อ แต่สิ่งที่สัมผัสได้ชัดคือแขนแข็งแรงที่โอบรัดอยู่รอบตัว

          อ้อมกอดอบอุ่นตัดกับความเย็นยะเยือกเมื่อครู่ กลิ่นสบู่จาง ๆ ทำให้รู้ทันทีว่า…นี่ไม่ใช่ฝัน

          ผมเงยหน้าขึ้นสบตา — เปอร์มองผมด้วยแววตาตื่นตระหนก

         

          และนั่นแหละ…คือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังอยู่ตรงนี้

 

ออฟไลน์ Sub_yo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ภารกิจห้องใต้ดิน



          ผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากความมืดในความฝัน ร่างยังสั่นสะท้าน หัวใจเต้นแรงราวจะทะลุออกจากอก สิ่งแรกที่รับรู้ไม่ใช่เงาหลอน เสียงกระซิบหรือข้อความบนกระดาน…

          .

          …มันคือดวงตาคมเข้มของเปอร์ที่จ้องอยู่ใกล้เสียจนแทบหายใจไม่ออก

          .

          แขนของมันยังคงกอดผมไว้แน่น

          .

          “กัส…” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมเบา ๆ แต่หนักแน่นพอจะเรียกสติที่แตกกระจายกลับมา

          .

          มือผมยังคงกำเสื้อของมันไว้แน่น ความอุ่นจากร่างกายตรงข้ามกำลังไล่ความหนาวยะเยือกที่ยังหลงเหลือในอกออกไปทีละน้อย

          .

          “กูบอกแล้วไง…อย่าเดินนำหน้า กูอยู่ตรงนี้”

          .

          คำพูดเรียบง่ายนั้นทำให้ผมหายใจสะดุด ใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องเบือนหนี — ทั้งเพราะยังกลัว และทั้งเพราะ…มันดีเกินไป



          ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร เสียงหัวเราะหึ ๆ ก็ดังแทรกขึ้นมาข้างหลัง

          .

          “เฮ้ย ๆๆ จะซบกันอยู่อย่างตรงนี้ไปตลอดเลยไหมเพื่อนนน~”

          “ให้กูเอาผ้าห่มมาคลุมให้ไหมกัส~”

          ไอ้กฤตกับไอ้วาโยยืนยิ้มกรุ้มกริ่ม ส่วนไอ้นพได้แต่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา

          .

          “พวกมึงหยุดปากเลย!” ผมแว่ดกลับทันทีแต่เสียงยังสั่น พอหันไปมองไอ้เปอร์ คิดว่ามันจะต้องตอบโต้กลับแน่นอน แต่มันกลับเฉย…ไม่พูดสักคำ แค่ยังจับไหล่ผมไว้ไม่ยอมปล่อย

          และนั่น…ทำให้หัวใจผมเต้นแรงกว่าเสียงแซวของเพื่อนเป็นร้อยเท่า

          .

          ผมถูกพามานอนพักที่ห้องพยาบาล ผมนอนแทบไม่หลับเพราะความฝันยังคงตามมาหลอกหลอน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป—

          .

          แทนที่จะเป็นเพียงเสียงกระซิบไร้ร่าง คราวนี้ผมเห็นเงาสูงตระหง่านทาบทับผ่านหมอกดำ เงาราวหอคอยโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลสุดสายตา

          “ออกัส… มาหาเรา…ที่ใต้ดิน”

          .

          เสียงนั้นดังชัดจนผมสะดุ้งตื่น กำสร้อยของปู่แน่น เหงื่อเย็นไหลทั่วแผ่นหลัง

          และทันทีที่เงยหน้าขึ้น ก็เจอเปอร์นั่งพิงเก้าอี้อยู่ข้างเตียง ดวงตาปิดลงราวกับเผลอหลับไปทั้งที่ยังคงนั่งเฝ้า…
หัวใจผมสั่นไหวแบบแปลกๆ ไม่ใช่เพราะเสียงกระซิบ แต่เป็นเพราะมัน

          .

          “กัส” เสียงพี่สาวผมทะลุโสตประสาทเข้ามา ผมลืมตาขึ้นตอนนี้ข้างเตียงรายล้อมไปด้วย ไอ้โย ไอ้นพ ไอ้กฤต และพี่โอลีฟ

          “เป็นยังไงบ้างแก” ถึงแม้น้ำเสียงที่ถามออกมาจะดูปกติ แต่สีหน้าและแววตาของพี่ผมบ่งบอกได้ว่ากังวลแค่ไหน

          “ไม่เป็นไรแล้วเจ๊”

          “จริงนะ” พร้อมกับบีบมือผมไว้แน่น

          “อืม” หลังจากพูดคุยกันสักพัก ไม่นานอาจารย์ริณก็เดินเข้ามา

          “นายปิโยรส ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกยังไงบ้าง”

          “ดีแล้วครับอาจารย์”

          “อืม.....” อาจารย์นิ่งมองหน้าผม ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา “อาจารย์ขอถามอะไรเธอหน่อยซิ”

          “ครับ ?”

          “ตอนอยู่ข้างใน เธอเป็นอะไรเหรอ” เหมือนเป็นคำถามที่ทุกคนรอให้คนเปิด เพราะสายตาของทุกคู่หันมาทางผมกันหมด

          “เอ่อ.....คือ......” ผมมองหน้าทุกคนที่รายล้อมอยู่รอบเตียง รวมถึงไอ้เปอร์ “ตอนนั้นผมกำลังเดินตามหลังเปอร์อยู่ แล้วอยู่ดีๆ ทุกอย่างก็วูบไป แล้วผมตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยังอยู่ที่เดิม แต่กลายเป็นว่าในตัวอาคารที่ต้องมืดกลับสว่าง แล้วหลังจากนั้น.......ก็”

          ผมเล่าความฝันให้ทุกคนฟัง จบลงตรงที่ที่ผมกลับมาได้เพราะได้ยินเสียงเรียกชื่อของไอ้เปอร์

          .

          “แล้วเธอรู้ไหมว่าเสียงเรียกนั้นมาจากไหน เป็นใครหรืออะไรที่พูดกับเธอ หรือเห็นอะไรไหมนอกจากเสียง”

          “ไม่เห็นครับ”

          “อืม......โอเคขอบใจมากจ้ะ เธอก็พักผ่อนซะนะ” อาจารย์ริณพูดจบแล้วเดินออกไป

          “กัส....แกไม่เห็นอะไรเลยเหรอ”

          “ไม่เลยเจ๊ แค่นี้ผมก็จะแย่แล้ว หากว่าเจออะไรอีกหัวใจวายตาย ไม่ได้มานอนอยู่นี่หรอก”

          “เออ เออ งั้นแกก็พักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันมารับ” พี่สาวผมพูดจบก็เดินออกไป พ่วงด้วยไอ้พวกเพื่อน 3 ตัวยกเว้น.....เปอร์

          “มึง...ไปเรียนก็ก่อนได้นะ กูอยู่ได้”

          “อืม มึงนอนไปก่อนเลย เดี๋ยวกูค่อยไป” ไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ทำไม แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีที่ไม่ต้องอยู่คนเดียว

          .

          ผมกลับมาถึงบ้านโดยไอ้เปอร์ขับรถมาส่ง ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าประตูผมก็โดนสอบสวนอย่างหนักร่วม 3 ชั่วโมง ผมต้องฟังพ่อกับแม่บ่นพร้อมกับยื่นคำขาดที่จะให้ลาออกจากโรงเรียน ผมต้องอ้อนวอนขอร้องอย่างหนัก จนพี่โอลีฟอดรนทนไม่ไหว ออกตัวรับปากรับคำกับพ่อและแม่ว่าจะไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาอีก สุดท้ายพ่อกับแม่ก็ต้องยอมให้ผมเรียนต่อ

          “เจ๊ ขอบคุณนะ”

          “เรื่อง ?”

          “ก็ที่ออกตัวแทนไง”

          “แกมันก็น้องฉันไหมละ” พี่ผมมองหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมา “ฉันเองก็ไม่อยากให้แกไปเรียนหรอก แต่พอคิดดูแล้วถ้าฉันตายก่อนแก แล้วใครจะดูแก”

          “บ้านะ ตายเตยอะไร แล้วมันก็ไม่ร้ายแรงอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง”

          “ร้ายแรงขนาดนั้นแหละ แล้วที่ฉันพูดอะเรื่องจริง อนาคตใครจะไปรู้ ทั้ง ปู่ ย่า พ่อ แม่ ฉันแล้วก็แก ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก”

          “พูดอะไร” ผมพึมพำ

          .

          ผมนอนเล่นบนที่นอน พร้อมคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งที่มีสร้อยของปู่ยังเอาไม่อยู่ แต่พราะไอ้เปอร์อยู่ตรงนั้นผมจึงโชคดี ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะเกี่ยวกันไหม แต่ผมรู้สึกได้ว่า...

          การที่มีมันอยู่ มันดีกว่าจริง ๆ

          ผมตื่นเช้ามาพร้อมพบกับราชรถที่มารอรับอยู่หน้าบ้าน โดยไอ้คนขับมันมานั่งกินข้าวต้มในบ้านอย่างสบายใจเฉิบ

          “มึงมาได้ไงเนี่ย”

          “ออกัส” แม่ปรามเสียงดุ “พูดกับเพื่อนดีๆ หน่อยซิ”  ผมส่งสายจิกกัดไปให้มัน โดยที่มันยังคงลอยหน้าลอยตาไม่รู้ร้อนหนาวอะไรเลย

          “กินเยอะๆนะลูกเปอร์ ยังไงแม่ก็ขอบคุณเรามากนะที่ช่วยออกัสไว้”

          “ครับ”

          “ลำบากเราแย่เลย แต่ยังไงก็แม่ฝากเราด้วยนะ”

          “ครับ ยินดีครับ” ห๊ะ...ฝาก...ฝากอะไร ฝากทำไม

          ผมเดินมาขึ้นรถ โดยมีพี่โอลีฟตามมาด้วยอย่างเคย

          “มึงคุยอะไรกับแม่กูอะ”

          “ป่าว”

          “อย่ามาสะตอ ได้ยินอยู่แม่กูฝากกูไว้กับมึง”

          “ได้ยินแล้วจะถามทำไม” เอ้าไอ้นี่ ข้าวที่มึงกินเนี่ยของบ้านกูนะ ยังจะมากวนตีนอีก

          ผมนั่งไปโดยไม่พูดอะไร แต่แอบเห็นจากกระจกหลังพี่สาวผมอมยิ้มทำไมวะ

          .

          “ไอ้กัสเป็นยังไงบ้าง.....ว้า” เสียงมึงดูจริตมาก ไอ้กฤติ จะลากเสียงเพื่อ ?

          “ก็ดี”

          “ไม่ดีได้ไง เอาเพื่อนกูไปครอง ใช้เพื่อนกูเป็นสารถีขับรถรับส่งมึงเนี่ย”

          “กูไม่ได้ให้มันไปรับซะหน่อย” มันไม่ตอบโต้กลับแต่อมยิ้มพร้อมกับเอาสีข้างกระทุ้งไอ้เปอร์ ไอ้นั้นก็นิ่งใจหาย ไม่ตอบโต้เพื่อนสักนิด

          .

          ข่าวลือแพร่ทั่วโรงเรียนว่ากลุ่มเราพบเจอเรื่องลี้ลับในอาคารร้าง นักเรียนหลายคนมองมาด้วยความกลัวปนอยากรู้อยากเห็น มันยิ่งรู้สึกเหมือนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

          เสียงระฆังเรียกประชุมดังขึ้น คนที่เดินนำเข้าห้องมาเป็นอาจารย์ใหญ่ ตามด้วยอาจารย์ริณและอาจารย์ภักดี

          “สวัสดีครับนักเรียนทุกคน ไม่ต้องตกใจกัน ที่ผมมาวันนี้เพราะมีเรื่องจะประกาศให้ทราบกัน ปีนี้เป็นปีพิเศษ....”

          ปีพิเศษอีกแล้ว ทำไมมันต้องมีอะไรพิเศษปีกูด้วยวะ ผมนึกในใจ

          “นักเรียนปีหนึ่งทุกคน… ถึงเวลาการทดสอบภาคปฏิบัติแล้ว”   บรรยากาศในห้องโถงเงียบกริบ  “พวกเธอจะถูกส่งลงไปสำรวจห้องใต้ดินของอาคารเก่าของโรงเรียน นี่คือการวัดความกล้า ความสามัคคี และการควบคุมตัวเองต่อสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้

          อาจารย์จะให้นักเรียนปี 1 และปี 2 ร่วมทำภารกิจด้วยกันเป็นครั้งแรก และสถานที่ปฏิบัติภารกิจของเราก็คือ ห้องใต้ดินของอาคารเรียนเก่า”  นักเรียนหลายคนเริ่มกระซิบกระซาบด้วยความหวาดกลัว

          ส่วนผม…แค่ได้ยินคำว่า ‘ห้องใต้ดิน’ หัวใจก็เต้นโครมเหมือนถูกตอกตะปูลงกลางอก

          เสียงกระซิบจากฝันลอยย้อนกลับมา —

          .

          ออกัส… มาหาเรา…ที่ใต้ดิน

          .

          “อาจารย์ทราบมาว่า มีเพื่อนพวกเธอได้เจอเรื่องน่าตื่นเต้นกันไปเมื่อวาน แต่ไม่ต้องกลัวครั้งนี้อาจารย์จะเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย” ถึงอาจารย์จะพูดแบบนั้น แต่มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ผมกำสร้อยของปู่แน่น แต่ก็เผลอหันไปสบตาเปอร์

          ซึ่งมันเองก็กำลังมองมาทางผมเหมือนกัน

          .

          เช้าวันถัดมา ปี 1 และ ปี 2 มารวมกันที่ห้องโถงใต้อาคาร พี่โอลีฟพูดและกำชับแล้วกำชับอีกตั้งแต่บ้านจนถึงโรงเรียน ว่าห้ามให้ผมทำอะไรบุ่มบ่ามคนเดียว ห้ามออกห่างจากไอ้เปอร์ และเจ๊เองจะคอยจับตาดูตลอด ส่วนไอ้เปอร์ก็เออออไปกับพี่ผมด้วย 

          “ไอ้กัสมึงแน่ใจเหรอ มึงจะเข้าไปอะ” ไอ้โยเริ่มกังวลอีกคน

          ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นอะไร แม้กระทั้งตัวผมเอง เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ คิดกันไปว่าผมอาจจะเป็นพวกแพนิค โรคกลัวความมืดที่หรือแคบ

          “พวกมึงไม่ต้องห่วงกู กูโอเค....โอเคไหม ?” ผมถามกลับ สายตาแต่ละคู่ที่มองกลับมาบ่งบอกว่าไม่มีใครเชื่อผมซักคน

          ปีหนึ่งอย่างพวกผมยังคงได้อยู่ตามกลุ่มเดิม ส่วนปี 2 อาจารย์จะเป็นคนแบ่งให้ พี่ปี 2 ถูกแบ่งมาทีมผม 3 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพี่สาวผม อีก 2 คนเป็นผู้ชาย ชื่อ พี่อาณัฐ ดูอัธยาศัยดี คุยเก่ง เข้ากับคนง่าย และพี่หลิงเป็นผู้หญิง ท่าทางเป็นคนเงียบๆ เหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาตลอดเวลา

          อาจารย์แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 และ 2 โดยทีมของพวกผมถูกให้เข้าไปสำรวจห้องใต้ดินของอาคาร 2

          เสียงฝีเท้าของพวกเราดังก้องไปตามโถงทางเดินแคบของอาคารเก่า

          แสงไฟนีออนเหนือหัวกระพริบถี่ราวจะดับลงทุกเมื่อ

          กลิ่นฝุ่นอับผสมกลิ่นสนิมของเหล็กทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่โลกอีกใบ

          .

          “ห้องเก็บของอยู่ข้างล่างนี่แหละ” วาโยกระซิบ พลางชี้ไปยังบันไดไม้ที่ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดเมื่อเหยียบ

          กฤตหัวเราะเบา ๆ เหมือนอยากให้ทุกคนคลายเครียด แต่กลับยิ่งทำให้บรรยากาศน่าขนลุกกว่าเดิม

          .

          บันไดพาเราลงสู่ชั้นใต้ดินที่มืดและเย็นกว่าชั้นบนอย่างเห็นได้ชัด

          ก้าวแรกที่ก้าวข้ามประตูห้องใต้ดินลงไป ความอับชื้นพวยพุ่งออกมา ผมรู้สึกถึงแรงลมเย็นวูบหนึ่งพัด

          สวนขึ้นมา ทั้งที่ไม่มีช่องลมซักแห่ง เสียงน้ำหยดดังสะท้อนก้องมาจากด้านใน

          ความมืดภายในห้องใต้ดินหนาทึบจนแทบหายใจไม่ออก ทุกย่างก้าวเหมือนมีแรงมืดกดทับอยู่บนบ่า

          จนกระทั่งพวกเราเดินมาเจอห้องห้องหนึ่ง — โต๊ะไม้เก่าเรียงราย กระดานดำแตกร้าว…

          มันเหมือนภาพในฝันของผมทุกประการ

          .

          บนกระดานมีข้อความเลือนลาง …..  ‘ผู้ที่มองไม่เห็น คือผู้ถูกเลือก’

          .

          ผมหยุดนิ่ง ใจสั่นแรง

          บรรยากาศตึงเครียดขึ้น มันเป็นการจุดชนวนความหวาดกลัวให้มากขึ้นไปอีก ยิ่งผมนึกถึงเสียงในความฝันมันยิ่งทำให้หัวใจทำงานอย่างหนักบีบรัดจนแน่นไปหมด

          หัวใจผมเต้นแรง และในวินาทีนั้น… เสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา

          .

          “ช่วยฉัน….”

          .



          ผมชะงัก ขาแข็งราวกับถูกตรึงกับพื้น ดวงตาเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวสลับเย็นวาบ

          ยังไม่ทันที่ใครถามหรือพูดอะไรออกไป แสงจากไฟฉายดับวูบ ส่วนแสงไฟนีออนที่มีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วเริ่มกระพริบถี่ราวกับจะระเบิด แล้วทุกอย่างก็ดับลง

          ความมืดสนิทกลืนกินทุกอย่าง

          .

          เสียงโซ่ลากก้องกังวาน เสียงกระซิบหลายเสียงดังแข่งกันในหัว  ‘ออกัส…มาหาเรา…ที่นี่’

          .

          ภาพรอบตัวเปลี่ยนเป็นสีหม่นซึม…

          ผนังห้องเก็บของแตกร้าวเผยให้เห็นเงาคนมากมายยืนรายล้อม

          หมอกสีซีดค่อย ๆ ลอยออกจากร่างผม

          และภาพหนึ่งก็ฉายชัดขึ้นตรงกลางห้อง… เป็นเด็กผู้หญิงในชุดนักเรียนเก่าแก่ยืนร้องไห้

          .

          “นี่มันอะไรกัน…” เสียงวาโยดังแผ่วเหมือนอยู่ไกลมาก

          .

          มือเย็นเฉียบคว้าแขนผมดึงแรงจนร่างแทบเซ

          “ออกัส…ได้ยินกูไหม กลับมา—”  ไอ้เปอร์ ? เสียงมันสั่นอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมได้ยินเสียงหัวใจของเปอร์เต้นแรงอยู่ข้างหู

          มือใหญ่กดที่ต้นคอผมเหมือนจะยื้อยึดผมกับอะไรไว้อยู่

          .

          ภาพความทรงจำของเด็กคนนั้นไหลผ่านเข้ามาในหัวผม

          เสียงกรีดร้อง เสียงฝนตก เสียงหัวใจหยุดเต้น…

          น้ำตาผมร่วงทั้งที่ไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะอะไร

          .

          “กัสฟังกู......กลับมาหากู” เปอร์กระซิบชิดหู ราวกับพูดกับคนรักที่กำลังจากไป

          .

          เสียงนั้นกระตุกหัวใจผมอย่างแรง

          ลมหายใจผมกลับมาเหมือนดึงออกมาจากน้ำ

          ภาพหมอกและเด็กผู้หญิงค่อย ๆ จางหาย เหลือเพียงแสงไฟกระพริบเหนือหัว



          ผมมองหน้าเปอร์ ดวงตายังคงหลงเหลือความกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเพิ่งผ่านความกลัวที่สุดในชีวิต

          หัวใจผมสั่นแปลก ๆ ก่อนจะเบือนสายตาหนีเพราะกลัวว่ามันจะเห็นน้ำตาที่เหลืออยู่






          ------- เปอร์ ------

          ผมเดินตามหลังไอ้กัส จู่ๆ ก็มีลมเย็นวูบผ่านมา แสงจากไฟฉายในมือและไฟจากหลอดไฟในห้องใต้ดินดับลงพร้อมกัน เงยหน้ามาอีกที ก็เห็นว่ามีหมอกควันจางๆ วนอยู่รอบตัวไอ้กัสเต็มไปหมด

          “กัส....ไอ้กัส” ผมร้องเรียกมัน มันหันกลับมาพร้อมกับสายตาที่ไม่เป็นมิตร

          .

          อยากช่วยมันเหรอ.....ยังไงมันก็หนีไม่พ้น

          .

          มันตอบกลับมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก ทุ้ม ต่ำ แต่กลับไม่ใช่เสียงของมัน ร่างของไอ้กัสที่ดูเปล่งแสงเริ่มกระตุก และสั่น ผมคว้ามันไว้มากอดแนบอก ราวกับว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วมันจะลอยหายไป

          “ไอ้กัส....ฟังกู......ตื่น” ผมเขย่าตัวมันที่อยู่ในอ้อมแขนของผม

          แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น

          .

          ภายในหมอกควันสีขาวรอบตัวออกัส ปรากฎภาพเหมือนเครื่องฉายสไลด์

          มันแสดงภาพโดยที่มีออกัสเป็นสื่อ

          เป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษา กำลังเดินอยู่ในบนถนนที่ทั้งเปลี่ยว มืด อาจจะเป็นทางกลับบ้านหรือหอพัก เธอก้มหน้าเดินอย่างเร็วเหมือนกำลังหนีอะไรซักอย่าง แต่เมื่อผ่านศาลาพักรถเก่า ที่มืดสนิท ไม่มีแม้กระทั่งไฟจากถนนส่องถึง ปรากฎร่างของผู้ชายคนหนึ่งพุ่งออกมาจากศาลาพักรถนั้น และอีกคนด้านหลังที่ไม่รู้ว่ามาตอนไหน

          เสียงกรี๊ดร้องของหญิงสาวดังโหยหวญ ร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ ร้องขอความช่วยเหลือทั้งที่รู้ว่าไม่มีใครผ่านมาทางนี้ ไม่นานเสียงที่น่าสงสารนั้นก็เงียบลง เหลือเพียงแค่เสียงฟ้าฝนครางเหมือนกำลังเศร้าเสียใจ โอลีฟเอามือปิดหู น้ำตาคลอกับภาพตรงหน้า แม้กระทั้งผู้ชายเองยังไม่สามารถทนฟังหรือมองได้

          มีเพียงเงาสองเงาที่ออกมาจากจุดมืดมิดนั้น

          ช่วยด้วย

          ร่างของออกัสสั่น กระตุกแรงอยู่ในอ้อมกอดของเปอร์

          .

          .

          “กัสฟังกู......กลับมาหากู”

          ผมกระซิบลงที่ข้างหูมัน พร้อมกับกระชับมือไปที่คอของมันดึงเข้ามากอดไว้จนแน่นกับอก

               

          สร้อยคอของออกัสเปล่งแสงสว่างวาบจนทุกคนต้องยกแขนบังตา เงาดำรอบด้านกรีดร้องแหลมสูง ก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า





          -----หลังเหตุการณ์-----

          ทุกคนยืนเงียบอยู่พักใหญ่

          พี่โอลีฟมองผมด้วยสายตาไม่เหมือนเดิม — ไม่ใช่แค่น้องชายที่ไร้พลังอีกแล้ว แต่เป็น “สื่อกลาง” ที่อันตรายเกินกว่าจะปล่อยไว้

          และผม… ก็รู้แล้วว่าพลังนี้ อาจพาผมไปสู่ทั้งความจริง และความสูญเสีย



          แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้ชัดตอนนี้… คือมือของเปอร์ที่ยังไม่ยอมปล่อยเลยแม้แต่วินาทีเดียว




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด