บทที่ 6 สยามมนตราวิทยาคม
ประตูไม้เปิดออกเผยให้เห็นพ่อมดร่างท้วมผมสีน้ำตาลแดงยืนกอดอกมองพวกเขาอยู่ด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ได้ยาก รอยแผลเป็นยาวลากผ่านจากคิ้วซ้ายของเขา ผ่านสันจมูกจนถึงคางขวา สร้างความรู้สึกหวาดเกรงปนสงสัยแก่ผู้พบเห็น
“พามาแล้วสินะ” พ่อมดชรากล่าว
“ครับ พึ่งมาถึงตะกี้นี้เอง” กนต์ธรรายงาน
“ขอบใจนายมาก” เขากล่าว “ยินดีที่ได้พบพวกเธอ ฉันศาสตราจารย์เลคดาฟเป็นอาจารย์ที่นี่ถึงจะยังไม่ถึงปีก็เถอะ” เลคดาฟเอ่ยขึ้น ก่อนจะมีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของนักเรียนปีหนึ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เป็นเขาจริงๆด้วย” รามเอ่ย
“ใครหรอ” วิฬาร์ถามอย่างสงสัย อย่าว่าเขาโง่เลยก็เขาไม่เคยรับรู้เรื่องภายนอกเลยนี่นา
“ประธานสมาคมพ่อมดบริสุทธิ์น่ะ เป็นสมาคมที่ต่อต้านพวกทายาทมรณะ ว่ากันว่าเขาเป็นพ่อมดที่แข็งแกร่งมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ--ขาทั้งสองข้างของเขาสังเวยไปในสงครามเวทมนตร์ครั้งที่ 2 มิหนำซ้ำนิ้วชี้ขวาของเขาก็หายไปจนได้ไม้กายสิทธิ์มาไว้แทนนิ้วชี้เท่ห์สุดๆไปเลยล่ะ” รามเอ่ยบอกอย่างตื่นเต้น
จะว่าไปแล้วศาสตราจารย์เลคดาฟก็เท่ห์จริงๆนั่นแหละเพราะนิ้วชี้ข้างขวาของเขาไม่ใช่เนื้อหนัง แต่เป็นแท่งไม้สีดำสนิทประดับด้วยอักษรแปลกๆซึ่งเรืองแสงสีฟ้าอ่อน ดูเหมือนกับว่าเป็นไม้กายสิทธิ์ที่เขาสามารถควบคุมได้ดั่งอวัยวะหนึ่งในร่างกาย
“อะแฮ่ม--ดูเหมือนพวกเธอจะไม่รู้จักคำว่าเงียบนะ” เลคดาฟว่าเสียงดุ แล้วบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขาเปิดประตูให้กว้างออกก่อนจะพานักเรียนใหม่เดินเข้าไปด้านใน วิฬาร์ได้ยินเสียงดังกระหึ่มราวกับคนเชียร์กีฬาอยู่ในห้องด้านหน้าที่ศาสตราจารย์เลคดาฟกำลังจะเปิดออกแต่เขาก็ชะงักไปก่อนจะหันมามองนักเรียนใหม่
“เกือบลืมไป--ยินดีต้อนรับพวกเธอสู่สยามมนตราวิทยาคม” ศาสตราจารย์เลคดาฟกล่าว วิฬาร์สังเกตเห็นว่าเขาส่งสายตาดุๆไปให้นักเรียนที่กำลังคุยกันอยู่ทางด้านหลังจนนักเรียนพวกนั้นรีบหยุดคุยในทันที “ก่อนที่เธอจะได้เรียนเธอจำเป็นต้องมีเรือนอยู่เสียก่อน--สยามมนตรามีเรือนมากถึง 5 หลัง แต่ละหลังจะมีความแตกต่างกันอยู่”
“เรือนหลังแรกคือ คชสีห์ นักเรียนในเรือนคชสีห์มักมีความเป็นผู้นำ กล้าหาญ และเด็ดเดี่ยว พวกเขามีจิตใจหนักแน่น พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวม ในร่างกายมีเวทมนตร์ป้องกันและการต่อสู้ที่สูง เรือนหลังที่สองคือ เรือนกินนรี นักเรียนในเรือนนี้มีจินตนาการสูง และมักเป็นศิลปินหรือผู้คิดค้นสิ่งใหม่มีเสน่ห์ในตัวเอง เข้าใจความงดงามของเวทมนตร์ในรูปแบบที่ละเอียดอ่อน สายเลือดของพวกเขาจะมีเวทมนตร์เกี่ยวกับการรักษาและศิลปะที่สูงกว่าใคร” ศาสตราจารย์เลคดาฟพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“เรือนครุฑ นักเรียนในเรือนนี้มักมีพลังงานเหลือล้น เป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ แม้จะดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อคนที่รักและเคารพ นักเรียนในเรือนนี้จะมีเวทมนตร์โจมตีและการเสริมพลังที่สูงมาก ต่อไปคือ เรือนอัปสรสวรรค์ นักเรียนในเรือนนี้มักมีความเมตตา ใจเย็น และรอบคอบ พวกเขามีความเข้าใจผู้อื่นและมองเห็นความจริงได้ดี ถนัดในเรื่องของเวทมนตร์เกี่ยวกับจิตใจและการรักษาความสมดุล สุดท้ายคือ เรือนเหรา นักเรียนในเรือนเหรามักฉลาด เจ้าเล่ห์ และมีไหวพริบ พวกเขาเป็นนักวางแผนและสามารถแก้ปัญหายากๆ ได้อย่างชาญฉลาด เขาถนัดในเวทมนตร์แห่งภาพลวงตาและการควบคุม เรือนทั้งห้านี้จะสะท้อนถึงบุคลิกและความถนัดของพวกเธอ”
“เมื่อก่อนการที่จะให้พวกเธอไปประจำอยู่เรือนไหนนั้นมักใช้การสุ่ม จนกระทั่งสมัยอยุธยาของพวกมานพ เราได้พบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์พิธีหนึ่งทางพ่อมดจึงได้นำเอามาปรับใช้กับโลกเวทมนตร์เพื่อคัดเลือกพวกเธอเข้าสู่เรือน ขอให้อดใจรออีกสักหน่อยเดี๋ยวฉันมา” ศาสตราจารย์เลคดาฟกล่าวก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าไปในห้องทิ้งให้นักเรียนทั้งหลายยืนงงกันเป็นแถบ
“นายว่าเขาจะคัดเลือกเรายังไงหรอ” รามกระซิบกระซาบถามเหมันต์
“พี่ชายฉันบอกว่า--ค่อนข้างเจ็บตัว บางครั้งให้นกแสกมาจิกไม่ก็จับเข้าเครื่องตัดหัวแต่ฉันว่านั่นเป็นเรื่องโกหก”
ราวกับหัวใจจะหลุดออกจากทรวง คัดเลือกเนี่ยนะ ตั้งแต่เกิดมานอกจากทำงานบ้านให้พวกมนตรี วิฬาร์ก็ไม่เคยทำอย่างอื่นเลยเสียด้วยซ้ำ เวทมนตร์น่ะหรืออย่าหวังเลยเขาไม่เคยร่ายคาถาเลยแม้แต่ครั้งเดียว บรรยากาศที่เงียบสงบเพราะความตื่นเต้นของเหล่านักเรียนทำให้ได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจนขึ้น ห้องด้านหน้าของพวกเขามีเสียงพูดคุยกันดังสนั่น ถ้าให้เดาคงจะเป็นพวกรุ่นพี่นั่นแหละ
เสียงประตูเปิดออกราวกับเสียงกระซิบของมัจจุราชที่จะพาวิฬาร์ไปสู่ความอับอายในอนาคตอันใกล้ ศาสตราจารย์เลคดาฟเดินออกมาพลางสอดส่ายสายตาไปทั่วอาณาบริเวณ
“จัดเครื่องแต่งกายให้ดี พิธีคัดเลือกจะเริ่มแล้ว” เสียงเลคดาฟดังขึ้น “ตามฉันมา จัดแถวให้ดีอย่าให้เขาเห็นว่าพวกเธอไร้ระเบียบวินัย”
วิฬาร์เดินตามหลังรามและเหมันต์ เวลานี้พวกเขากำลังเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ให้ตายสินี่มันราวกับความฝัน วิฬาร์สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นสถานที่ไหนมีความสวยงามขนาดนี้มาก่อน โต๊ะยาว 5 โต๊ะมีลักษณะโค้งเป็นวงกลมมาบรรจบกัน แกะสลักด้วยลวดลายของสัตว์ถ้าจะให้เดาคงเป็นสัตว์ของเรือนนั่นแหละ เขาเห็นลวดลายครุฑด้วยล่ะ เพดานสูงตระหง่านจนไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะขึ้นไปยังไง เทียนทั้งหลายส่องแสงสว่างจนหาจุดมืดไม่เจอ เบื้องหน้าของพวกเขามีคณาจารย์นั่งอยู่มากมายหนึ่งในนั้นคือ คุณกนต์ธร ศาสตราจารย์เลคดาฟมาพวกเขามาหยุดอยู่ตรงกลางนักเรียนนับร้อยที่กำลังมองมาที่เขาอย่างสนใจ
ศาสตราจารย์เลคดาฟเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าขั้นบันไดขั้นแรกซึ่งมันจะนำไปสู่แท่นพิธีอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นวงกลมมีลวดลายกนกตกแต่งอยู่ในวงกลมนั้น อีกทั้งยังมีแสงสีทองส่องสว่างอีกด้วย
“นี่คือแท่นศิลาเวทมนตร์--เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กับเรามาเนิ่นนาน เมื่อใดก็ตามที่เธอเดินขึ้นมาด้านบนศิลา มันจะเผยเรือนที่เธอควรจะอยู่ให้เธอได้รู้เอง” ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ย ก่อนที่เขาจะยกนิ้วชี้ขวาขึ้นมาร่ายคาถาบางอย่าง จากนั้นแก้วสีทองหลายใบก็ลอยละลิ่วมาเข้ามือนักเรียนปี 1 ทุกคน
“เพื่อให้เวทมนตร์ในร่างกายเธอมีความชัดเจนขึ้น--พวกเธอต้องดื่มน้ำสัตยเวทย์พิพัฒยคม1 เสียก่อนแม้รสชาติมันจะไม่น่าอภิรมย์นักแต่ฉันคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเธออย่างแน่นอน” เมื่อศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยจบนักเรียนใหม่ทั้งหลายก็ยกแก้วขึ้นมากระดกจนหมด วิฬาร์แทบจะอ๊วกออกมาโชคดีนักที่เขาจะอดทนเอาไว้ได้ น้ำนี้มีรสชาติขมชะมัด คงไม่ต้องถามใครคนอื่นเพราะดูจากสีหน้าแต่ละคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“ฉันจะเรียกพวกเธอทีละคนนะ--เตรียมตัวให้ดีล่ะ เมื่อเรียกแล้วให้เธอเดินขึ้นไปยืนตรงกลางศิลา จุดที่เป็นวงกลมใหญ่ๆนั่นแหละ” ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยก่อนที่นักเรียนทุกคนจะพยักหน้าหงึกๆ
เสียงในห้องโถงเงียบสงัดลงอย่างพร้อมเพรียง เมื่อศาสตราจารย์เลคดาฟเปิดม้วนกระดาษที่มีชื่อของนักเรียนรุ่นใหม่
“คนแรก... พชร เวทย์ภาษิต”
เด็กชายผิวคล้ำ ร่างผอมบาง ใบหน้าจริงจังเดินออกมาจากแถว วิฬาร์จับสังเกตได้ว่าพชรมีแววตาที่มุ่งมั่นและกล้าหาญ เขาก้าวขึ้นไปยืนบนแท่นศิลาเวทมนตร์ เสียงกระซิบจากรุ่นพี่ดังขึ้นเบาๆ ทั่วทั้งห้อง
“ขอให้ได้เรือนคชสีห์เถอะ...” สาบานว่าเบาแล้ว ให้ตายเถอะวิฬาร์ยังได้ยินเลย
ทันใดนั้น ลวดลายของศิลาก็เปล่งแสงสีทองสดใส ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงอันร้อนแรง เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นเมื่อศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยเสียงดัง
“เรือนคชสีห์!”
พชรยิ้มกว้าง รุ่นพี่เรือนคชสีห์พากันลุกขึ้นโห่ร้องอย่างยินดี พวกเขาพากันยืนขึ้นตบมือและโบกมือเรียก พชรเดินกลับลงมาอย่างภาคภูมิใจและตรงไปนั่งรวมกับรุ่นพี่ในเรือนของเขา
“คนต่อไป... เกศินี อัครเวทย์”
เด็กสาวร่างเล็ก ผิวขาวเนียน ใบหน้ารูปไข่ประดับด้วยดวงตากลมโตลุกขึ้นยืน เธอดูประหม่าเล็กน้อยขณะเดินไปยังแท่นศิลา ทันทีที่เธอเหยียบแท่นศิลา แสงสีฟ้าครามอ่อนโยนก็ส่องประกายไปรอบๆ
“เรือนกินนรี!”
เสียงกรี๊ดเบาๆ ดังขึ้นจากฝั่งของเรือนกินนรี เหล่ารุ่นพี่หญิงชายพากันปรบมือพร้อมรอยยิ้ม เกศินีโค้งเล็กน้อยก่อนเดินลงมาสมทบกับกลุ่มรุ่นพี่
ศาสตราจารย์เลคดาฟยังคงเรียกชื่อต่อไปเรื่อยๆ เด็กแต่ละคนต่างมีความตื่นเต้นจนแทบจะยืนไม่อยู่กับที่
“คนต่อไป... ธนวัฒน์ ศักดาเวทมนตร์”
เด็กชายรูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้ง เดินออกมาจากแถวอย่างมั่นใจ ใบหน้าคมคายแฝงด้วยรอยยิ้มกึ่งท้าทาย เขาก้าวขึ้นไปบนแท่นศิลาเวทมนตร์ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง ศิลาเริ่มเปล่งแสงสีทองอ่อน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเงินวาววับ ประกายแสงนั้นระยิบระยับเหมือนปีกครุฑขณะบินในท้องฟ้า
“เรือนครุฑ!” ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ย
เสียงเชียร์จากรุ่นพี่เรือนครุฑดังสนั่น รุ่นพี่ชายหญิงลุกขึ้นปรบมือส่งเสียงแสดงความยินดี ธนวัฒน์ยิ้มกว้าง เดินลงจากแท่นศิลาด้วยท่าทางมั่นใจ ก่อนจะตรงไปนั่งกับรุ่นพี่ของเขาที่ยืนขึ้นยกนิ้วโป้งมาให้
“คนต่อไป... พิมพ์ผกา นันทยาคมเวทย์”
เด็กสาวรูปร่างเล็ก ผิวขาวอมชมพู ใบหน้าอ่อนหวาน เธอเดินออกไปยังแท่นศิลาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แสงสีเขียวอ่อนเปล่งประกายออกมาจากศิลาอย่างนุ่มนวล ราวกับแสงนั้นอบอุ่นและปลอบโยน
“เรือนอัปสรสวรรค์!” เลคดาฟเอ่ยแผ่วเบา
เสียงปรบมือดังขึ้นจากกลุ่มเรือนอัปสรสวรรค์ เด็กสาวเดินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูโล่งใจ และตรงไปนั่งรวมกับกลุ่มรุ่นพี่ที่ต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
ศาสตราจารย์เลคดาฟเอ่ยชื่อถัดไปเรื่อยๆ ผู้ที่ถูกคัดเลือกแต่ละคนต่างได้รับการต้อนรับจากเรือนที่เหมาะสม
“ราม วัชรกุลเวทย์” คราวนี้เป็นราม เขาเดินขึ้นไปอย่างมั่นใจก่อนจะหยุดยืนและส่งสายตาแน่วแน่มาทางทุกคน
แสงจากศิลาปะทุขึ้นอีกครั้ง มันไม่ต่างอะไรจากพิมพ์ผกาเลยแม้แต่น้อย ศาสตราจารย์เลคดาฟประกาศเสียงดังอีกครั้ง
“เรือนอัปสรสวรรค์!”
เสียงเชียร์ดังจากฝั่งเรือนอัปสรสวรรค์อีกครั้ง รามเดินกลับลงมาด้วยท่าทีมั่นใจ ก่อนจะตรงไปนั่งรวมกับรุ่นพี่อย่างร่าเริงชูนิ้วให้เขากับเหมันต์ว่าสู้ๆ
“เหมันต์ อนุรักษ์เวทย์ไทย” หนุ่มหน้าหวานขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินไปยืนบนศิลา
“เรือนอัปสรสวรรค์!” ศาสตราจารย์เลคดาฟกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง น่าอิจฉาชะมัดที่เหมันต์ได้อยู่กับรามนี่ถ้าเขาไม่ได้อยู่เรือนอัปสรสวรรค์ เขาจะทำยังไงดีนะ
เสียงเชียร์ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากทราบผล รามที่นั่งอยู่ก่อนหน้ายกมือขึ้นโบกให้เพื่อนสนิทของเขา เหมันต์เดินลงมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะไปนั่งข้างราม
ศาสตราจารย์เลคดาฟเรียกชื่ออื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงชื่อที่ทุกคนในห้องต่างจับจ้อง
“วิฬาร์ รัตนเวทย์” เสียงจากศาสตราจารย์เลคดาฟชวนให้ใจเต้นไม่น้อย เวลานี้สายตาทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา วิฬาร์รู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะสายตาจากชายหนุ่มรุ่นพี่จากเรือนคชสีห์ ไม่รู้ทำไมทันทีที่ได้จดจ้องกับสายตารุ่นพี่คนนั้นเขาถึงรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ไม่ทันที่วิฬาร์จะได้คิดอะไร ศาสตราจารย์เลคดาฟก็เรียกชื่อเขาด้วยเสียงต่ำๆ ซึ่งมันบ่งบอกได้ว่าเขาควรรีบขึ้นไป วิฬาร์ก้าวขาขึ้นบันไดได้ราวๆ 5 ขั้น เขาก็ถึงจุดหมาย เขายืนรอฟังผลการคัดเลือกด้วยใจที่จดจ่อ
ทว่าศิลากลับไม่มีแสงอะไรขึ้นมา เหล่าคณาจารย์และนักเรียนทั้งหลายต่างสงสัยและจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานนักก็มีเสียงดังมาจากศิลาก็
“น่าตกใจจริง... ข้าไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน วิฬาร์เหมาะสมกับทุกเรือน!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบห้องโถง ทุกคนต่างมองวิฬาร์อย่างอึ้งๆ ศาสตราจารย์เลคดาฟขมวดคิ้ว
เสียงซุบซิบดังขึ้นมาในทันที
“ศิลา--ศิลามันพูดได้” นักเรียนรุ่นพี่ผมฟูจากเรือนเหราเอ่ยขึ้น
“โห--กี่ร้อยปีมาแล้วที่ศิลาไม่เคยพูด” หญิงสาวจากเรือนกินนรีเอ่ยขึ้น ไม่นานนักเสียงจากศิลาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แต่ถึงอย่างไร... ศิลาได้ตัดสินใจแล้ว วิฬาร์ รัตนเวทย์ ต้องไปอยู่ที่...”
ทุกคนเงียบอย่างลุ้นๆ
“เรือนอัปสรสวรรค์!”
เสียงปรบมือและเสียงเชียร์จากเรือนอัปสรสวรรค์ดังลั่น ห้องโถง วิฬาร์เดินลงจากแท่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขาเห็นรามและเหมันต์ยกมือขึ้นเรียกเขาให้ไปนั่งด้วยกัน วิฬาร์ยิ้มบางๆ และเดินไปหาพวกเขา
“ไชโย--เราได้วิฬาร์มาร่วมเรือน--คราวนี้แหละการแข่งขันกีฬาเรือนเราต้องได้แชมป์” เสียงจากรุ่นพี่คนหนึ่งในอัปสรสวรรค์เอ่ยขึ้น
“ทุกคนเงียบ--ผู้อำนวยการโรงเรียนจะทักทายพวกเธอ” เป็นเสียงของศาสตราจารย์เลคดาฟที่ดังขึ้นที่ช่วยให้บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง
ศาสตราจารย์ปรเมศวร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางห้องโถง เขายิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันทุกซี่
“สวัสดี” เขากล่าว “ฉันดีใจอย่างยิ่งที่ได้พบนักเรียนปี 1 พวกเธอจะเป็นพ่อมดที่ดีได้ในอนาคตฉันเชื่ออย่างงั้น” ศาสตราจารย์ปรเมศวร์เอ่ย
“คงไม่มีคำพูดใดที่จะดูให้เกียรติพวกเธอเท่าเพลงมาร์ช
ประจำสยามมนตราวิทยาคมแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์เอ่ย “เอาล่ะ! ทุกคนช่วยกันร้องหน่อยเร็ว” นักเรียนรุ่นพี่ยืนขึ้นก่อนจะทำกำปั้นมือขวาแล้วไปทาบไว้ที่หน้าอกข้างซ้าย
เราสยามมนตราฝึกฝนเรียนวิชาจนไปถึงเส้นชัย
เรานั้นสามัคคีมิเคยมีสิ่งใดให้ขัดแย้งดอกหนา
ระเบียบวินัยมากล้นนานา
ระเบียบวินัยมากล้นนานา
ขอน้อมวันทาแล้วสวัสดี
เราสยามมนตราฝึกฝนเรียนวิชาจนไปถึงเส้นชัย
เรานั้นช่วยเหลือกันร่วมกันช่วยกวดขันให้ใจนั้นสุขี
ความคิดสร้างสรรค์หน้าตาก็ดี
ความคิดสร้างสรรค์หน้าตาก็ดี
ยกมือไหว้อีกทีแล้วจบเพลงเอย (ซ้ำ)
เพลงสยามมนตรา
เนื้อร้อง: ศาสตราจารย์ธนารัตน์
ทำนอง: ศาสตราจารย์ธนารัตน์
[/b]
“ยอดเยี่ยมไปเลย--ขอเสียงหน่อย” ศาสตราจารย์ปรเมศวร์กล่าว ไม่นานเสียงกระหึ่มจากนักเรียนก็ดังขึ้น
“เอาล่ะ--ชักจะหิวแล้วสิเอาเป็นว่าพวกเธอกินอาหารให้เอร็ดอร่อยเถอะ” ศาสตราจารย์ปรเมศวร์เอ่ยก่อนจะผายมือทั้งสองข้างออก และปรากฏอาหารนานาชนิดขึ้นบนโต๊ะ ทั้งไก่ทอด ส้มตำ ข้าวเหนียว ต้มไก่ อื่นๆ มันมากเสียจนวิฬาร์เลือกกินไปถูก
“นี่มันอร่อยสุดๆไปเลยว่าไหม” รามเอ่ยขณะกำลังงับน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อย
“จริง--ฉันไม่คิดว่าจะมีอาหารมากขนาดนี้” เหมันต์เสริม
วิฬาร์ที่กำลังจะหยิบไก่ขึ้นมากินบ้างก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสี “เหวอ!” วิฬาร์แทบจะหงายหลังตกเก้าอี้เคราะห์ดีที่มีคนมาจับไว้ได้ทัน จะไม่ให้เขาตกใจได้ไงเพราะจู่ๆก็มีผีโผล่มาซะงั้น
ผีนายพลสวมชุดทหารแบบพวกมานพ ไว้หนวดเขี้ยว ใบหน้ามีรอยแผลและมีสายตาที่ดุดันกำลังมองพวกเขาอยู่
“สวัสดีครับพลเอกเสนา” โอเวนหัวหน้าเรือนอัปสรสวรรค์เอ่ยทักทายผีทหารซึ่งผีตนนั้นก็ทำท่าวันทยหัตถ์เป็นเชิงว่าได้รับไหว้แล้ว
“สวัสดี--พอดีทราบว่ามีนักเรียนใหม่เข้ามาเลยมาตรวจตราดูสักหน่อย” พลเอกเสนาพูดเสียงดุๆ ราวกับจะบอกว่าอย่าได้ทำตัวมีปัญหาในที่นี่ก่อนที่เขาจะลอยไปทักทายเรือนอื่น
ไม่นานนักก็มีผีตนที่สองโผล่ออกมา ผีตนนี้มีรูปร่างอ้วน หัวล้าน สวมชุดพ่อครัว เขามีใบหน้าที่ดูใจดีและก็ขี้โมโหในคราวเดียวกัน และในตอนนี้มันก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
“เฮ้--ผมว่าผมรู้จักคุณนะลุงอ้วน” รามตะโกนบอกอย่างดีใจ แต่ดูเหมือนผู้ฟังจะไม่ดีใจด้วยเพราะนอกจากจะหน้าแดงแปร๊ดแล้วยังตะโกนออกมาอีกด้วย
“ฉันชื่อตุ๊ต๊ะต่างหากเจ้าเด็กบ้า!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนจากคุณตุ๊ต๊ะดังเสียจนเรือนอื่นๆนั่งหัวเราะ เอาเถอะวิฬาร์คิดว่าผู้คนที่นี่คงชินกับคุณตุ๊ต๊ะแล้วล่ะ
คุณตุ๊ต๊ะหายไปพร้อมกับเสียงของศาสตราจารย์ปรเมศวร์ที่ดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะประกาศเรียกใครคนหนึ่งให้มาพูดคุยกับนักเรียนใหม่ อ่า…เป็นชายหนุ่มรุ่นพี่จากเรือนคชสีห์ที่เขารู้สึกผูกพันนี่เอง แต่ให้ตายเถอะทำไมเขาดูเย็นชาชะมัด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ก้าวเดินอย่างสง่างาม เขาสวมชุดคลุมสีดำสนิทที่มีลวดลายกนกสีทองตกแต่งอย่างสวยงาม ผมสีดำมันเงาถูกเซตอย่างเนี้ยบ ทรงผมแบบคอมมาดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความสง่างาม ดวงตาคมกริบเฉียบขาดประหนึ่งพญาอินทรีที่กำลังมองหาเหยื่อทอดมองสำรวจทุกคนในห้องโถง ริมฝีปากบางเฉียบคล้ายจะยิ้มเล็กน้อยแต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนที่สีหน้าเย็นชาจะกลับมาปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง
เสียงพูดคุยเบาๆ ของเหล่านักเรียนในห้องเงียบลงแทบจะทันที ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ที่พากันมองเขาราวกับต้องมนตร์ ดวงตาหลายคู่จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจและทึ่ง บ้างก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นจากมุมหนึ่งของเรือนอัปสรสวรรค์
“หล่อมาก... นั่นประธานโรงเรียนหรอ?” หญิงสาวผมทองเอ่ยขึ้น
“ใช่! ฉันเคยเห็นในจดหมายข่าวเวทมนตร์...ไม่คิดว่าตัวจริงจะดูดีกว่าในรูปเสียอีก!” สาวแว่นผมแดงเอ่ยเสริม
“ดูดุจัง...แต่ก็ดูมีเสน่ห์” คราวนี้เป็นสาวผมน้ำตาลเอ่ย
ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะเมินเสียงกระซิบของกลุ่มหญิงสาวอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่ศาสตราจารย์ปรเมศวร์จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและแนะนำชายหนุ่มให้ทุกคนได้รู้จัก
“นักเรียนใหม่ทุกคน ฟังให้ดี คนผู้นี้คือ อนันยช ศิรวัชรเวทยาคม ประธานโรงเรียนของพวกเรา--เขาจะมาพูดอะไรเล็กน้อยกับพวกเธอ”
อนันยชเหลือบตามองนักเรียนใหม่ด้วยแววตานิ่งเฉย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบลึก แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
“ยินดีที่ได้พบพวกเธอทุกคน ฉันอนันยช ประธานโรงเรียนแห่งนี้” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะไล่สายตามองไปรอบๆ ราวกับกำลังตรวจสอบนักเรียนใหม่ทีละคน “หน้าที่ของฉันไม่ใช่การดูแลพวกเธออย่างใกล้ชิด แต่เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเธอจะปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เพราะที่นี่...ความประมาทเพียงครั้งเดียว อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับพวกเด็กที่ไม่รู้เรื่อง”
เสียงเขาเรียบเฉยแต่แฝงด้วยพลังอำนาจ นักเรียนใหม่ที่ยืนอยู่ต่างรู้สึกเหมือนถูกจ้องลึกเข้าไปในจิตใจ ร่างเล็กๆ ของวิฬาร์ถึงกับก้มหน้าหลบสายตา ให้ตายสิเผลอสบสายตาดุๆนั่นจนได้
“จำไว้ให้ดีว่า กฎมีไว้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่กดขี่” อนันยชพูดต่อ ดวงตาของเขาทอประกายเย็นเยียบขณะกวาดมองทั่วห้องอีกครั้ง “และสำหรับใครที่คิดจะฝ่าฝืน ฉันจะถือว่าเธอได้เลือกทางของตัวเองแล้ว คงรู้นะว่าหมายถึงทางอะไร”
ทันใดนั้น เสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มนักเรียนหญิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เท่สุดๆ เลย...”
“ดูนิ่งๆ แต่มีอำนาจเหลือเกิน”
“ฉันไม่เคยเห็นคนไหนดูดีแบบนี้มาก่อน!”
อนันยชแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาหันกลับไปมองศาสตราจารย์ปรเมศวร์ ราวกับจะส่งสัญญาณว่าเขาพูดจบแล้ว ก่อนจะก้าวถอยหลังไปยืนสงบอยู่มุมหนึ่งของห้อง โครงร่างสูงใหญ่ของเขายังคงดูโดดเด่นเหนือใคร แม้ในตอนที่เขานิ่งเงียบ ให้ตายสิวิฬาร์อยากหน้าตาดีให้ได้ครึ่งของเขาจริงๆ
ศาสตราจารย์ปรเมศวร์ส่งยิ้มบางๆ ก่อนจะหันกลับมาหานักเรียน “อย่างที่พวกเธอได้ยินแล้ว หวังว่าคำพูดของประธานโรงเรียนจะช่วยให้พวกเธอเข้าใจว่าความรับผิดชอบและวินัยสำคัญเพียงใด”
วิฬาร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาของเขายังจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น...ชายหนุ่มที่ราวกับมีออร่าของความสมบูรณ์แบบจนแทบจะไร้ที่ติ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลเกินเอื้อมถึงเช่นกัน ทำไมกันนะพึ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรกแต่จิตใจเขากลับเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หรือว่าจะเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนกันนะ