แด่ขุนเขา [To the Mountain]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แด่ขุนเขา [To the Mountain]  (อ่าน 322 ครั้ง)

ออฟไลน์ Gus18

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แด่ขุนเขา [To the Mountain]
« เมื่อ12-11-2024 17:01:02 »

แด่ขุนเขา 1


"เอ้า มึงชน!!" เสียงทุ้มของหนุ่มผิวเข้มหน้าคมดังก้องแข่งกับดนตรีในร้านที่ดังกระหึ่ม แขนกำยำยกแก้วขึ้นสูง ชวนเพื่อนทั้งสองให้ร่วมชนด้วยกันอย่างสนุกสนาน

"ชนนนนน!" หนุ่มตี๋หน้ามนรีบยกแก้วขึ้นชนทันที รอยยิ้มกว้างฉายเต็มใบหน้า ใบหน้าขาวใสเปล่งประกายด้วยความร่าเริง

"ชนเว้ยยย!" เสียงสุดท้ายจากหนุ่มสูงโปร่งที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เสียงหัวเราะสดใสกระจายไปทั่วพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มที่ชนกันดัง "กริ๊ง" สะท้อนความคึกคะนองและความสุขในค่ำคืนนี้ สามหนุ่มหล่อสามสไตล์กอดคอกันแน่น โยกหัวตามจังหวะเพลงอย่างเมามันส์ สายตาของพวกเขาดูมีชีวิตชีวา ดวงตาเปล่งประกายด้วยความสนุกสนานอย่างเต็มที่

แต่ท่ามกลางความสนุกนั้น ใครบางคนก็สังเกตเห็นว่า หนุ่มผิวเข้มที่เคยยิ้มกว้างเริ่มดื่มมากเกินไป

"ขุนเขา! พอก่อนได้ไหม?" เสียงของนาวา ร่างบางหน้าหวานดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งเข้าไปจับหนุ่มผิวเข้มให้ถอยห่างจากแก้วที่ถือไว้ มือเรียวจับแขนของเพื่อนไว้แน่น

ขุนเขาหันมามองนาวา ดวงตาคมที่เคยดูแข็งแกร่งมีแววหม่นหมอง จนดูเหมือนคนละคนกับเมื่อครู่ เขาเอ่ยเสียงสั่นด้วยความเสียใจที่ล้นอก "วา... ทำไมวะ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับกูด้วย?" มือหนาของขุนเขากุมไหล่ของนาวาไว้แน่นราวกับหาที่พึ่ง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสับสนที่ไม่อาจเข้าใจ

นาวามองหน้าเพื่อนด้วยสายตาอ่อนโยน อดสงสารไม่ได้กับสภาพที่เห็นตรงหน้า เขาจับแก้มของขุนเขาเบา ๆ เพื่อให้เพื่อนสงบลง “ขุน... พอแล้วนะ มึงเมามากแล้ว” น้ำเสียงของนาวาอ่อนโยนเหมือนกำลังปลอบเด็กน้อย แววตาเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

“ฮึก... กูผิดตรงไหนวะ” ขุนเขาพูดเสียงเครือ ฟุบหน้าลงบนไหล่ของนาวา ร่างสูงสะอื้นแรงจนทำให้ไหล่ของนาวารู้สึกได้ถึงความสั่นไหว หยดน้ำตาที่ไหลลงมาทำเอาเสื้อสีฟ้าของนาวาเปียกชุ่ม

“มึงไม่ผิดหรอกขุน มึงไม่ผิด” นาวาพยายามปลอบประโลม ลูบหัวขุนเขาเบา ๆ น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงความจริงใจและความห่วงใยที่มีให้เพื่อน

แต่คำปลอบของนาวาก็ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ ขุนเขาเงยหน้าขึ้นมามองนาวา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบาย “แล้วทำไมวะ... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกที” ขุนเขาสะอื้นจนเสียงสั่น มือหนากำเสื้อนาวาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะสูญเสียที่ยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวนี้ไป

“เห้ย ไอวา! พาไอขุนกลับก่อนเหอะ กูว่ามันไม่ไหวแล้ว” องศา หนุ่มตี๋หน้ามนหันมามองอย่างเห็นใจ เขารู้ดีว่าคำปลอบใจของนาวาอาจไม่พอในคืนนี้

นาวาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะตะโกนกลับ “เออๆ กูฝากไอเตด้วยนะศา!” สายตาหันไปมอง "ตั้งเต" เพื่อนสูงโปร่งที่ยังเต้นอยู่กลางฟลอร์ เต้นพลิ้วไหวไม่สนใจโลก บางจังหวะแทบจะเสียหลักล้มเพราะความเมาแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มร่าเริง

"เออ! รู้แล้ว เดี๋ยวรับมือเอง... เจอกันนะมึง!" องศาร้องตอบพลางรีบวิ่งไปดูแลตั้งเตที่เหมือนจะร่วงได้ทุกเมื่อ

นาวาหันกลับมามองขุนเขาอีกครั้ง ร่างสูงที่เกาะไหล่เขาไว้เริ่มโอนเอนจนดูเหมือนจะไม่ไหว “ไหวไหม ขุน?” นาวาถามเสียงนุ่มด้วยความห่วงใย ใจหนึ่งก็สงสารแต่อีกใจก็รู้สึกเหนื่อยล้าที่ต้องรับมือกับอารมณ์ของเพื่อนทุกครั้งที่อกหักแบบนี้

“อึก... หว่ายย แค่เน๊เอ๊งงง” ขุนเขาพูดเสียงอ้อแอ้ ตอบกลับมาอย่างคนเมามาก นาวามองเพื่อนที่ยืนไม่ตรงอย่างหมดคำพูด ต้องถอนหายใจส่ายหัวเบา ๆ แต่ก็ยังไม่ละมือจากเพื่อนตัวโต

"โอเค ไหวก็ไหว” นาวาพูดเหมือนปลอบใจตัวเอง พลางจับขุนเขาพยุงขึ้น ยกมือโอบเอวเพื่อนแน่น เพื่อจะพาเดินออกไปจากร้าน แม้ว่าการแบกร่างสูงใหญ่ของขุนเขาจะเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส แต่เขาก็ยอมทำอย่างเต็มใจ

‘ขุนเขา... อกหักทีไร ต้องให้เราลำบากทุกที’ นาวาคิดในใจด้วยความอ่อนล้า ร่างกายเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยเพราะต้องพยุงเพื่อนตัวโตที่หนักอึ้งไปตามทาง แต่ในใจลึก ๆ ก็อดห่วงขุนเขาไม่ได้ แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เพื่อนกลับบ้านอย่างปลอดภัย

กว่าจะพาร่างสูงกลับมาถึงคอนโดได้ ก็ทำเอานาวาแทบจะหมดแรง เขาอ่อนล้าทั้งจากการพยุงและทั้งจากการที่ต้องนั่งลุ้นตลอดทางในรถแท็กซี่ ขุนเขาที่เมาได้ที่ไม่ร้องไห้ก็ตะโกนร้องเพลง ไม่ร้องเพลงก็ทำท่าจะอาเจียน จนลุงแท็กซี่หลายครั้งทำท่าจะไล่ลง นาวาได้แต่ก้มหน้าก้มตาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกมือไหว้ลุงแท็กซี่ไปนับไม่ถ้วน

"แฮ่ก… หนัก!" เขาโอดเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ โยนร่างของขุนเขาลงบนเตียงอย่างทุลักทุเล จากนั้นตัวเองก็ค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นห้องหายใจหอบถี่ รู้สึกเหมือนจะหมดแรงเสียเดี๋ยวนั้น นาวาถอนหายใจยาว เหลือบมองเพื่อนที่นอนหมดสภาพอยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยใจ

“การเป็นนาวานี่ต้องเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอ” นาวาคิดในใจ ถอนหายใจอย่างล้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไปสำรวจสภาพเพื่อนใกล้ ๆ ดวงตาหยุดมองใบหน้าหล่อเหลาที่แม้ยามเมาก็ยังดูมีเสน่ห์

"หน้าก็หล่อ…" นาวาพึมพำเบา ๆ มือเผลอยกขึ้นจิ้มแก้มอีกฝ่ายอย่างหมันเขี้ยว “เวลาหมดสภาพแบบนี้แล้วก็ยังหล่ออยู่ดี” เขาหัวเราะเบา ๆ แต่ใจหนึ่งก็อดเอ็นดูเพื่อนไม่ได้ สายตาค่อย ๆ ไล่มองไปตามโครงหน้าคมสัน คิ้วเข้มเรียงตัวสวย ดวงตาที่แม้จะหลับพริ้มก็ยังคงดูดี จมูกโด่งรับกับใบหน้า และริมฝีปากเรียวที่มักจะฉายรอยยิ้มอ่อนโยน…

"เขาทิ้งขุนได้ยังไงนะ" นาวาพึมพำเสียงแผ่ว เผลอไล้นิ้วไปตามริมฝีปากเรียวคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัว ความอ่อนโยนในแววตาของเขาชัดเจนขึ้น เมื่อมองใบหน้าของขุนเขาในระยะใกล้ ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ถูกเผยออกมาเพียงชั่วครู่

แต่อยู่ ๆ เสียงครางเบา ๆ ของขุนเขาก็ดังขึ้น “อือ…” ทำเอานาวาสะดุ้ง เขาชักมือกลับอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก ดวงตากลมมองเพื่อนอย่างตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนยืดตัวตรงทันที

"ชิบหายละ นาวา ตั้งสติ!" เขาพึมพำกับตัวเอง ยกมือขึ้นตบหน้าเบา ๆ เรียกสติกลับมา มองดูเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่แล้วก็กรีดร้องในใจ

‘เมื้อกี้ถ้าขุนเขาไม่ส่งเสียงขึ้นมา เราคงจะเผลอจูบเขาไปแล้วแน่ ๆ !’ นาวาหายใจลึก รู้สึกทั้งอับอายและเสียใจที่เผลอคิดเลยเถิดไปไกล แม้ว่าในใจลึก ๆ จะรู้ตัวดีว่าเขาชอบขุนเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ควรฉวยโอกาสกับเพื่อนในสภาพที่เมามายไร้สติแบบนี้

"ฮือ…" นาวายืนหอบ ใบหน้าร้อนระอุ ก้มลงเอามือปิดหน้าตัวเองอย่างกลั้นไม่อยู่ ความเขินอายปะปนกับความเสียใจที่ถาโถมเข้ามา ความรู้สึกที่เขาเฝ้าซ่อนไว้มานาน บัดนี้กลับแผ่ซ่านอยู่ในใจชัดเจนขึ้น ความคิดแผ่วเบาดังขึ้นในใจว่า ‘การแอบรักเพื่อนสนิทมันทรมานแบบนี้เองสินะ…’

นาวากัดริมฝีปาก พยายามสะกดกลั้นเสียงหัวใจที่เต้นแรง คำปลอบใจของเขาเองเริ่มไม่สามารถช่วยบรรเทาความรู้สึกที่พุ่งสูงขึ้นทุกครั้งที่ได้มองใบหน้าของขุนเขาอย่างใกล้ชิด ความลับที่เขาซ่อนไว้ในอกเริ่มหนักหนาขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าไม่มีทางที่ขุนเขาจะหันกลับมามองเขาในแบบที่เขาอยากให้เป็น


พึ่งเคยมาแต่งที่นี่เป็นครั้งแรก ฝากเรื่องแรกด้วยนะครับบ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2024 17:07:49 โดย Gus18 »

ออฟไลน์ Gus18

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: แด่ขุนเขา [To the Mountain]
«ตอบ #1 เมื่อ12-11-2024 19:47:28 »

แด่ขุนเขา 2

เสียงนาฬิกาปลุกดังกริ๊ง ๆ ก้องกังวานจากมุมหัวเตียง แสงอ่อน ๆ ของยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง มันกระทบกับเส้นผมสีน้ำตาลของนาวา ผู้ที่ยังขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา ใบหน้าหวานของเขาขยับเล็กน้อย พลางส่งเสียงครางต่ำ ๆ ด้วยความขี้เกียจ มือเรียวเอื้อมไปปิดเสียงนาฬิกาที่แสบแก้วหูอย่างไม่เต็มใจ

นาวาทอดถอนหายใจ แก้มที่ซุกอยู่กับหมอนเย็น ๆ รู้สึกนุ่มและสบายอย่างน่าประหลาด เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองเพดานสีขาวอย่างเลื่อนลอย ใจยังอยากจะดื่มด่ำอยู่ในความอบอุ่นของผ้าห่ม แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาในจังหวะนั้น ใบหน้าของเขาถึงกับเปลี่ยนสีในทันที

“ชิบหาย! เที่ยงแล้ว!” นาวาพึ่บลุกขึ้นจากเตียงตาเบิกกว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองจะหัวใจวายเพราะความตกใจ “มีควิซตอนบ่ายนี้! ตายแน่ ๆ”

นาวาวิ่งคว้าผ้าเช็ดตัวตรงไปยังห้องน้ำโดยแทบไม่ทันคิด เขาส่องกระจกและเห็นใบหน้าที่ดูโทรมของตัวเอง เหตุการณ์เมื่อคืนผุดขึ้นในหัว เขาถอนหายใจแรง ๆ อีกรอบพลางนึกถึงความเหนื่อยที่ต้องเจอ—การดูแลเพื่อนรักที่เมาหนักจนเขาต้องคอยเช็ดอ้วก เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แทบจะหามกลับห้องแทบไม่ไหว กว่าจะได้นอนก็ล่อไปเกือบตีสาม

“ขุนเขา… ขุนเขา! ทำกูเดือดร้อนอีกแล้วนะ” นาวาพึมพำออกมา พลางรีบล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำด้วยความรวดเร็ว ใจเขาเต็มไปด้วยความกังวลว่าจะไปไม่ทันควิซ เพราะกว่าจะแต่งตัวเสร็จก็เที่ยงครึ่งเข้าไปแล้ว

“จะนั่งรถเมล์ไปทันไหมเนี่ย…” เขากัดปากลังเล แต่ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาขุนเขาทันทีด้วยความหวังว่าเพื่อนจะมารับ แต่เสียงรอสายที่ดังยาวและไม่มีใครรับทำให้เขาต้องถอนหายใจอย่างปลง ๆ คาดว่าอีกคนคงจะนอนแฮงค์อยู่ไม่รู้เรื่องเลย

เขาลองโทรหาองศาและตั้งเตอีกครั้งเผื่อสองคนนั้นจะช่วยได้ แต่ผลก็ไม่ต่างกัน เมื่อเสียงเพื่อนตอบกลับมาว่าเพิ่งตื่นและกำลังอาบน้ำเหมือนกัน

“เห้อ…ไม่มีใครช่วยเลยสินะ” นาวาพึมพำเบา ๆ เขามองเวลาบนโทรศัพท์ก่อนจะตัดสินใจเปิดแอพเรียกรถ เผื่อว่าจะยังพอมีโอกาสไปทัน โชคดีที่เห็นว่าคนขับรถจะมาถึงในอีกสองนาที

นาวาใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นหันไปมองรอบ ๆ ห้อง กวาดสายตามองว่าไม่ได้ลืมอะไร เขาหยิบกระเป๋า สวมรองเท้า และลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบกุญแจมาใช้ล็อคห้อง แล้วก้าวออกไปอย่างเร่งรีบ

เขาก้าวลงบันไดอย่างรวดเร็ว มือถือกระชับสายกระเป๋าไว้แน่น ใจของเขาเต้นรัวไปด้วยความวิตกกังวล ความคิดในหัวพลันพรั่งพรูถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในควิซ หากไปสายอีกแม้แต่นาทีเดียว

‘วันนี้จะรอดไหมนะ…’ นาวากลั้นหายใจแผ่ว ๆ หวังว่าความโชคดีจะเข้าข้างเขาสักครั้ง



โชคดีที่นาวามาทันเวลาสอบอย่างฉิวเฉียด นาวาแทบพุ่งเข้าไปในห้องสอบด้วยหัวใจที่เต้นแรง ทันทีที่เขานั่งลงก็รู้สึกเหมือนหายใจโล่งขึ้นอย่างประหลาด แต่เมื่อเหลียวมองไปรอบห้อง กลับไม่เห็นวี่แววของเพื่อนร่วมก๊วนเลยสักคน ดูท่าว่าจะยังไม่มีใครมาเข้าห้องสอบตามที่นัดกันไว้

“จะมาทันไหมเนี่ย?” นาวาพึมพำเบา ๆ

ไม่ทันที่เขาจะได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าที่ดังหนัก ๆ กับเสียงหายใจหอบ ๆ ก็ดังขึ้นตรงหน้าประตู องศาและตั้งเตวิ่งเข้ามาทันเวลา สีหน้าเหนื่อยหอบพลางผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาราธอนกันมา ร่างของตั้งเตซบลงบนโต๊ะตรงหน้าเขาอย่างอ่อนล้า ขณะที่องศาพิงโต๊ะด้วยท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง


“แฮ่ก ๆ จะ…จะตายอยู่แล้ว!” ตั้งเตครางพลางยกมือปาดเหงื่อออกจากใบหน้า ปากยังบ่นพึมพำอย่างไม่หยุด ด้านองศาเองก็ไม่ต่างกัน เขายังคงนั่งซบลงกับโต๊ะข้าง ๆ ด้วยท่าทางที่หมดแรงเหมือนกัน

นาวาส่ายหน้า พลางส่งเสียงดุแบบอ่อนอกอ่อนใจ “ก็บอกแล้วใช่ไหมว่ามึงทั้งสองคนควรจะหยุดกินเหล้าบ้าง ถึงมันจะแก้ทุกข์ได้นิดหน่อยก็เถอะ แต่มึงไม่เผื่อไว้ใช้ชีวิตวันพรุ่งนี้กันเลยรึไง”

ตั้งเตเอามือทุบเข่าตัวเองฉาดใหญ่เหมือนพยายามหาข้ออ้างอย่างสุดตัว “ก็ไอขุนมันอกหักน่ะสิ! เพื่อนเสียใจอยากเมา เราก็ต้องตามใจป่ะวะ!”

“จ้า… ขุนเขามันอกหัก ก็เลยต้องการคนปลอบ ไม่ใช่คนเมากับคนเมามาปลอบด้วยกัน!” นาวาพูดพลางกลอกตาอย่างอ่อนใจ “วันไหนที่ไอขุนไม่อกหักก็ไม่ต่างกันหรอก พวกมึงก็ตั้งหน้าตั้งตาเมาเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นแหละ อย่ามาทำเป็นอ้าง!”

องศาหัวเราะเบา ๆ “เออ ก็จริงของมึง…”

“อะแฮ่ม! จะสอบไหม?” เสียงเข้ม ๆ ของอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าดังขัดจังหวะ ทำเอานาวาและสองเพื่อนรักชะงักทันที ต่างรีบแยกย้ายกลับไปนั่งที่ของตัวเองด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

“สอบคร๊าบบบ” องศาตอบกลับเสียงยานคางยิ้มกวน ๆ ส่งผลให้อาจารย์ส่ายหัวเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเริ่มเปิดข้อสอบขึ้นที่โปรเจคเตอร์

ในขณะที่บรรยากาศเริ่มกลับมาเงียบสงบ ตั้งเตที่นั่งอยู่ข้างนาวาก็กระซิบถามด้วยเสียงเบา “แล้วไอขุนล่ะ ไม่มาด้วยเหรอ?”

“ไม่รู้ โทรไปตั้งร้อยสายก็ไม่รับ คงแฮงค์อยู่ล่ะมั้ง” นาวาพูดพลางถอนใจ เงยหน้ามองเพดานอย่างถอดใจ ‘ก็เราพยายามแล้วนะ ที่เหลือก็เวรกรรมใครเวรกรรมมันแล้วกัน’

"ขออนุญาตครับ"

ทันใดนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยคำขออนุญาตอย่างสุภาพ ขุนเขายืนอยู่ตรงนั้นในชุดนักศึกษาเรียบร้อย รอยยิ้มเล็ก ๆ แต่งแต้มบนใบหน้า ทำเอาพวกเขาต้องหันไปมองด้วยความตกใจปนโล่งอกไปพร้อมกัน เพราะไม่นึกว่าเขาจะปรากฏตัวได้ตรงเวลาแบบนี้หลังจากที่เมื่อคืนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

“เชิญ” อาจารย์พยักหน้าอนุญาตให้ขุนเขาเข้าห้อง และขุนเขาก็เดินมานั่งที่ข้างนาวาด้วยท่าทางสบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างจากเมื่อคืนที่ดูหมดสภาพแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกัน

"ไง"ขุนเขาส่งยิ้มให้นาวาเล็ก ๆ แล้วเอียงตัวมากระซิบที่ข้างหู “เมื่อคืน ขอบใจนะ”

แค่สัมผัสจากลมหายใจที่แนบใกล้ทำเอาใจนาวาเต้นแรง มือข้างหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่นอย่างไม่ตั้งใจ เขาเริ่มรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นมาเล็กน้อย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนโดนสายตาของอีกฝ่ายสะกดให้ตกอยู่ในวังวนความรู้สึกที่ไม่อาจคุมตัวเองได้

นาวาพยายามพูดตอบกลับอย่างสงบ “อืม… ไม่เป็นไร” แต่เสียงที่หลุดออกมากลับสั่นเบา ๆ จนเขาเองยังแปลกใจ อยากจะดึงสติกลับมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใบหน้าคมของขุนเขายังคงติดตรึงอยู่ตรงหน้า เสียงหัวใจยังคงเต้นรัวไม่หยุด

ขุนเขายิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวตอบแทน”

นาวาพยักหน้าเล็ก ๆ พลางหลบสายตาเพราะรู้ดีว่าเขาคงทำหน้าแดงไปหมดแล้ว

‘นี่เขาก็แค่ชวนกินข้าวเองนะ ไม่ได้ชวนขึ้นห้อง ทำไมใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยเนี่ย!’ นาวาคิดอย่างหงุดหงิดตัวเอง

บางที…หลังจากนี้เขาอาจจะต้องไปพบหมอหัวใจแล้วจริง ๆ

หลังจากสูดหายใจลึก ๆ นาวาก็รวบรวมสติอีกครั้ง เขามองข้อสอบตรงหน้า มือเรียวค่อย ๆ จับปากกาแน่นขึ้น พยายามดึงสมาธิที่หลุดลอยไปกลับมาให้ได้ แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน ความรู้สึกแปลก ๆ ก็ยังติดอยู่ในหัว สายตาของเขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางขุนเขาเป็นพัก ๆ ร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ ดูนิ่งสงบ เหมือนคนที่ทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ขุนเขาเหลือบตามามองนาวาด้วยสายตาที่มีแววขี้เล่นแฝงอยู่เล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากเผยให้เห็นความสบาย ๆ แบบที่นาวามักหลีกเลี่ยง เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะรีบหันกลับไปจดจ้องข้อสอบอย่างเก้ ๆ กัง ๆ รู้สึกเหมือนถูกจับได้ เขาบอกกับตัวเองเงียบ ๆ ในใจว่า “ตั้งสตินาวา ตั้งสติ! ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาบ้าผู้ชาย ตั้งใจสอบก่อน!”

นาวาก้มหน้าลงสูดลมหายใจลึก ๆ อีกครั้งก่อนจะเริ่มจดจ่อกับโจทย์เลขและภาษาที่เรียงรายอยู่บนกระดาษข้อสอบ คราวนี้เขาพยายามใช้สมาธิทั้งหมดที่มีเพื่อแก้โจทย์ตรงหน้า เสียงจังหวะของหัวใจที่เต้นแรงเริ่มค่อย ๆ ผ่อนคลาย ความรู้สึกเขินและตื่นเต้นที่เกิดขึ้นตอนแรกค่อย ๆ จางลงไปทีละน้อย ขณะที่สมองของเขาค่อย ๆ จดจ่อกับคำถามและตัวเลข

เวลาผ่านไปช้า ๆ จนกระทั่งหลังจากเสียงอาจารย์ประกาศว่าการสอบสิ้นสุดลง นักศึกษาทั้งห้องต่างก็ลุกขึ้นและทยอยออกจากห้อง บางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก บางคนยังบ่นเบา ๆ กับความยากของข้อสอบ นาวาก็เช่นกัน เขารีบเก็บปากกาและข้อสอบใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นเตรียมตัวออกไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ขุนเขาก็ยืนรออยู่ข้าง ๆ เขาเสียแล้ว

“ทำได้ไหม?” ขุนเขาถามเสียงนุ่ม รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าคมคายเหมือนทุกที นาวาเผลอสะดุ้งเล็กน้อยกับความใกล้ชิดไม่คาดคิด เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายแล้วพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบที่สุด

“ก็…พอได้อยู่นะ” นาวาตอบพลางพยักหน้า แม้ในใจยังเต้นระรัวไม่หาย

ขุนเขาหัวเราะเบา ๆ พร้อมตบไหล่เขาแบบเพื่อนสนิท “งั้นไปกินข้าวกัน”

นาวายังไม่ทันจะตอบอะไรเพิ่มเติม เสียงสองเพื่อนรัก องศาและตั้งเตก็ดังขึ้นมาจากข้างหลังพร้อมกับท่าทีกวน ๆ แบบที่เขาคุ้นเคย

“เห้ยยย ไปกันสองคนไม่ชวนเพื่อนบ้างเหรอวะ” องศาทำเสียงล้อเลียน แกล้งทำหน้าเหมือนกำลังเสียใจสุด ๆ ขณะที่ตั้งเตก็เดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“แหม... ก็แค่ชวนกินข้าว แต่แก้มมึงนี่แดงกว่าเดิมอีกนะนาวา เป็นอะไรไป?” ตั้งเตกระเซ้านาวาพลางขยิบตาขำ ๆ เหมือนจะบอกว่าเขารู้นะว่าเพื่อนตัวดีคิดอะไรอยู่

นาวาถลึงตาใส่เพื่อนทั้งสองคนด้วยความเขินอาย “พวกมึงนี่… มากวนอะไรตอนนี้วะ ก็กินข้าวกันแค่นั้นแหละ อย่ามาแซว”

องศาหัวเราะพลางตบไหล่นาวาอย่างแรง “เออ ๆ ไม่แซวก็ได้ งั้นวันนี้พวกกูก็ขอตามไปกินข้าวด้วยละกัน ไม่ได้หรอ?”

ขุนเขาเองก็ยิ้มขำเมื่อเห็นสีหน้าลุกลี้ลุกลนของนาวา “มาเถอะ มาพร้อมกันหมดนี่แหละ จะได้ไม่เหงา”

องศากับตั้งเตพากันทำเสียงเฮ พร้อมปรบมือขำ ๆ ราวกับพอใจที่แผนแกล้งเพื่อนสำเร็จอีกครั้ง นาวาส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ แต่ก็ยิ้มมุมปากเบา ๆ ขณะที่มองเพื่อน ๆ ของเขา ทุกคนเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน เสียงหัวเราะและหยอกล้อของพวกเขายังคงดังตลอดทาง

และแม้จะต้องแบ่งเวลามาเถียงกับองศาและตั้งเตที่แกล้งเขาไม่หยุด นาวาก็รู้สึกว่าวันนี้คงเป็นอีกวันที่น่าจดจำ

ออฟไลน์ Gus18

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: แด่ขุนเขา [To the Mountain]
«ตอบ #2 เมื่อ12-11-2024 21:59:04 »

แด่ขุนเขา 3

“แดกร้านไหน?” องศาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เมื่อพวกเราเดินออกจากอาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ แสงเย็นของวันที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้บรรยากาศรอบตัวรู้สึกผ่อนคลายขึ้น หลังจากวันที่ยาวนานของการสอบที่ทำให้สมองเหนื่อยล้า แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่ลับขอบฟ้าอย่างช้า ๆ พาให้ทุกสิ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะช้าลงไปด้วย

“ร้านป้าแจ๋วเหมือนเดิมปะ?” ตั้งเตเสนอร้านที่เป็นประจำของพวกเรา มันเป็นร้านตามสั่งเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เป็นที่ที่พวกเรามักจะไปกินเมื่อไม่รู้จะเลือกกินอะไรดี เพราะไม่ว่าจะยังไงก็รู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยเหมือนบ้าน

ขุนเขายักไหล่เล็กน้อย มือซุกกระเป๋ากางเกง พยักหน้าช้า ๆ อย่างตามใจ “กูแล้วแต่มึงอะ วา”

นาวาหลุดยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงขี้เกียจแบบคนที่ยังไม่หายเหนื่อยจากการสอบ “เออ ป้าแจ๋วก็ป้าแจ๋วแล้วกัน” พูดไปก็เหมือนจะบอกว่า เขาไม่ได้มีอารมณ์คิดจะเลือกอะไรอีกแล้ว แค่ข้าวมื้อหนึ่งก็พอแล้วให้สมองได้พักบ้าง

ตั้งเตที่ได้คำตอบที่ต้องการ ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง เขากอดคอองศาเดินนำไปข้างหน้าอย่างมีชีวิตชีวา ส่วนขุนเขากับนาวาเดินตามหลังไปอย่างไม่รีบร้อน ในตอนที่บรรยากาศรอบตัวยังคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ แต่แล้ว… เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ทุกคนหยุดชะงัก หันไปมองพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“ขุนเขา…” เสียงหวานที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อขุนเขาอย่างแผ่วเบา แต่มันชัดเจนพอที่จะทำให้ขุนเขาหยุดเดินไปชั่วขณะ ร่างสูงหันไปสบตากับเธอ ใบหน้าของเธอสวยหวานเหมือนเคย แต่วันนี้มันเต็มไปด้วยความสับสนและความเศร้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เฌอเดินเข้ามาใกล้ขุนเขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ น้ำตาคลอเบ้าและสายตาของเธอสะท้อนถึงความเจ็บปวดที่ไม่อาจบอกใครได้ “ขุนเขา… เราขอโทษ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ มือบางของเธอเอื้อมไปจับมือของขุนเขาแน่น ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยไปเขาจะหายไป

ขุนเขามองเธอด้วยความลังเล ใบหน้าเขาจากที่เคยเรียบเฉยกลับมีอารมณ์แสดงออกมาให้เห็น บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุผลที่ทำให้เขาสับสนมันคืออะไร แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังต้องการอะไรบางอย่างจากเขา ในตอนนี้เขาค่อย ๆ ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาของเฌอเบา ๆ อย่างอ่อนโยนราวกับกลัวว่าเธอจะเจ็บ

“เราไม่อยากเลิกกับขุน…” เฌอพูดต่อด้วยเสียงเบา น้ำตาหยดลงอาบแก้มสวยของเธอ ริมฝีปากสีชมพูที่เคยดูสดใสกลับสั่นระริก มองดูแล้วเธอเหมือนจะหลั่งน้ำตาออกมามากกว่าที่จะหันกลับไปยิ้มอีกครั้ง

นาวามองภาพตรงหน้าเขาอย่างเงียบ ๆ เขาไม่รู้จะทำยังไงดี เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนเจ็บร้าว ภาพนั้นทำให้เขาต้องข่มความเจ็บปวดไว้จนแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามบังคับตัวเองให้ไม่แสดงความรู้สึกออกมา แต่ในที่สุดเขาก็หลุดคำพูดที่ไม่สามารถห้ามไว้ได้

“มึงไปเคลียร์กันเถอะ” เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก รอยยิ้มที่พยายามฝืนยิ้มขึ้นมาคล้ายกับจะบอกให้เพื่อน รู้ว่าเขายังโอเค แต่ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในนั้นมันลึกเกินกว่าจะเก็บไว้ได้

ขุนเขาหันมามองเขาอย่างลังเลเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็เพียงพยักหน้าเบา ๆ “อืม งั้นเจอกันนะ”

นาวาไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงตบไหล่ขุนเขาเบา ๆ แล้วฝืนยิ้มให้เป็นการส่งกำลังใจ “เออ… คราวหน้าค่อยเลี้ยงพวกกู”

ขุนเขาพยักหน้าให้กับเขาอีกครั้ง ก่อนจะประคองเฌอเดินจากไป ทิ้งให้เขายืนอยู่กับความรู้สึกที่ค่อย ๆ เต็มไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

ตั้งเตเดินเข้ามาใกล้ เขาจับไหล่ของนาวาแล้วมองหน้าเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “นาวา มึงโอเคไหม?”

นาวาหลุดยิ้มฝืน ๆ ออกไป ก่อนจะตอบเบา ๆ “เคดิ ทำไมอะ?” เขาพยายามทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ แม้ภายในใจจะเจ็บจนแทบหายใจไม่ออก

องศาเดินมาอีกข้าง และโอบไหล่เขาเบา ๆ ข้าง ๆ “หน้ามึงฝืนชัด ๆ ว่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้พยายามกดดันอะไร

นาวาพยายามยิ้มให้กว้างขึ้น จนหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อให้สถานการณ์ดูไม่ตึงเครียดจนเกินไป “อืม โอเค แดกข้าวเหอะ ปะ ๆ” เขาพูดออกไป พร้อมยิ้มให้เพื่อน ๆ ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนหัวใจมันจะพังลง

“เออ ๆ ไปก็ไป ไอ้องศามันจะเลี้ยงเอง!” ตั้งเตหันไปพูดแซวองศา ก่อนที่เสียงหัวเราะขององศาจะดังขึ้นมาพร้อมกับท่าทางขัดใจที่ขัดกับรอยยิ้ม

“เอ้า! ไหงเป็นกูเลี้ยงล่ะ มึงนั่นแหละ ไอเชี่ยเต!”

“เอาหน่า ไปกันเหอะ!” ตั้งเตลากตัวของนาวาให้วิ่งไปข้างหน้า ขณะที่องศาก็หัวเราะพลางวิ่งตามมาข้างหลัง

ขณะที่พวกเขาวิ่งลัดเลาะไปตามทาง เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ยังคงดังแว่วในอากาศ เสียงฝีเท้าของตั้งเตที่ก้าวอย่างคึกคะนอง เสียงองศาตะโกนท้าทายอย่างขบขัน… ทั้งหมดนั้นควรทำให้นาวารู้สึกผ่อนคลาย มีความสุขเหมือนทุกที แต่ในวันนี้ แม้จะพยายามฝืนยิ้มแค่ไหน ความเจ็บปวดในใจเขากลับยังคงติดแน่น ไม่สามารถลบเลือนไปได้ง่ายๆ เขารู้สึกเหมือนรอยยิ้มของตัวเองเป็นเพียงเปลือกที่ปิดบังความปวดร้าวข้างในไว้เท่านั้น

คำพูดของเฌอยังคงดังก้องในหัว “เราไม่อยากเลิกกับขุน…” คำพูดนั้นเหมือนเงาสะท้อนที่ย้ำเตือนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ภาพของขุนเขาที่บอกเล่าถึงความเสียใจยังคงชัดเจนในใจเขา

“แม่งเอ้ย…” นาวาสบถเบาๆ อย่างลืมตัว ความรู้สึกหงุดหงิดอัดแน่นในอก ไม่เข้าใจว่าเฌอจะกลับมาทำร้ายเพื่อนเขาทำไม ถ้าไม่อยากเลิกกับขุนเขาจริงๆ แล้วทำไมต้องทำให้มันเจ็บแบบนั้น

“ไอ้นาวา มึงเหม่อไปไหนครับ” เสียงตั้งเตแซวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ ดึงเขากลับมาในความเป็นจริง นาวามองหน้าเพื่อน ยิ้มฝืนๆ ตอบกลับไปอย่างไม่มีอะไร

“เร็วหน่อยสิ” องศาที่วิ่งตามมาติดๆ หันมาพูดหยอก มองเขาด้วยสายตาขี้เล่นเหมือนทุกที นาวาฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเร่งฝีเท้าตามให้ทัน แต่ใจเขายังคงติดอยู่กับเรื่องในหัว คิดวนเวียนไปกับเรื่องของขุนเขาและเฌอ โลกของเขาเหมือนกำลังหมุนวนไปในทางที่ไม่เคยคาดคิด ราวกับเขากำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีทางตื่น

ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงร้านป้าแจ๋ว ร้านตามสั่งเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างมหาวิทยาลัยซึ่งพวกเขาคุ้นเคย ตั้งเตรีบจองโต๊ะ หย่อนตัวนั่งลงอย่างไม่รีรอ ก่อนจะเริ่มชวนคุยอย่างออกรส องศาก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างกระตือรือร้นรอจะสั่งอาหาร แต่สำหรับนาวา ขณะที่เขานั่งลงและมองเมนูที่ถืออยู่ในมือ ความรู้สึกของเขากลับว่างเปล่าจนน่ากลัว

“มึงจะกินอะไร?” ตั้งเตหันมาถามเขา น้ำเสียงสดใสเต็มไปด้วยความคุ้นเคย นาวาวางเมนูลง ยิ้มแห้งๆ พลางตอบ “อะไรก็ได้”

องศามองหน้าเขาอย่างจับผิด เหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เขาหยิบเมนูมาจากมือของนาวา ขมวดคิ้วอย่างเป็นห่วง “มึงโอเคไหมเนี่ย?”

นาวาพยายามยิ้มกลบเกลื่อน “ก็แค่หิว” เขาตอบเสียงแผ่ว แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่แค่ความหิวที่ท้อง ความว่างเปล่าในใจต่างหากที่กำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป

“เดี๋ยวกูไปสั่งให้เองนะ” องศาพูดพลางเดินไปที่เคาน์เตอร์ ทิ้งนาวาและตั้งเตให้นั่งเงียบๆ อยู่ด้วยกัน

ตั้งเตหันมามองนาวาด้วยสายตาที่เข้าใจ เขารู้ดีว่านาวากำลังเก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ลึกๆ “มึงอย่าฝืนมากเลยวะ… ถ้ามึงไม่โอเคจริงๆ ก็บอกมาเถอะ อย่าทำเป็นเข้มแข็ง” น้ำเสียงของตั้งเตอ่อนโยน ราวกับต้องการให้กำลังใจเพื่อนอย่างเต็มที่

นาวาหัวเราะเบาๆ พลางรู้สึกอุ่นใจในคำพูดนั้น เขาสบตาตั้งเต พร้อมถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “มึงรู้ได้ยังไง?”

ตั้งเตยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “ก็กูรู้จักมึงดี” น้ำเสียงของเขามั่นใจและอ่อนโยน นาวารู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่เพื่อนคนนี้มีให้ ความรู้สึกอัดอั้นในอกเขาค่อยๆ คลายออก แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ทำให้รู้สึกเบาลง

นาวาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยอมพูดออกมา “กูแค่… ไม่อยากให้ใครรู้ว่ากูอ่อนแอ” เขาพูดพร้อมกับความรู้สึกในใจที่เริ่มปลดปล่อยออกมา เขาไม่ชอบที่จะถูกมองว่าอ่อนแอหรือเปราะบาง แม้ในวันที่เขากำลังจมอยู่ในความเจ็บปวด

ตั้งเตมองเพื่อนอย่างเข้าใจ ยิ้มออกมาเบาๆ แล้วพูดอย่างอบอุ่น “แต่กูรู้ว่า… ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียวหรอก”

คำพูดของตั้งเตเหมือนสายลมเย็นที่พัดผ่านใจเขา ความกดดันที่เคยอัดแน่นในอกค่อยๆ ทุเลาลง นาวารู้สึกขอบคุณเพื่อนอย่างลึกซึ้งที่อยู่ข้างๆ เขาในวันที่ยากลำบาก

“ขอบใจนะ” นาวาพูดเบาๆ พร้อมยิ้มบางๆ ในใจเขารู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ตั้งเตหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดติดตลก “เออ แดกเยอะๆ เข้าไว้ เดี๋ยวไอ้องศามันใจป้ำเลี้ยงเอง!”

“เอ้า! ไหงเป็นกูเลี้ยงล่ะ ไอ้เต!!” องศาที่เพิ่งกลับมาจากเคาน์เตอร์หันมาโวยวาย ทำหน้าตกใจอย่างขำขัน ตั้งเตแลบลิ้นใส่เพื่อนอย่างกวนๆ ทำให้นาวาหัวเราะออกมาจากใจเป็นครั้งแรกในรอบวัน

แม้ว่าใจเขาจะยังคงมีร่องรอยของความเจ็บปวด แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักจากเพื่อนๆ ที่ยังคงอยู่ข้างๆ เขาเสมอ… ทำให้เขายิ้มออกมาได้อย่างแท้จริงในวันที่ใจบอบช้ำที่สุด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด