อารัมภบท
รัชศกเต๋อหมิงปีที่ 15
ย่างเข้าเหมันตฤดู แต่ในเมืองยังคงคึกคักและครึกครื้นอยู่มาก ประชาชนทั่วแคว้นต่างก็ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันเต็มกระบุงแลเต็มตะกร้า ความคึกคักเช่นนี้เกิดจากงานเทศกาลที่จัดขึ้นมาภายใต้ของแคว้นเฉิน
แคว้นขนาดใหญ่พ่วงด้วยทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม แต่บัดนี้ความเขียวชอุ่มนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลนเต็มไปหมด การเพาะปลูกบางอย่างจึงต้องหยุดชะงักไปและการเพาะปลูกบางอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ เรียกได้ว่าเป็นแคว้นที่มีความเจริญไม่แพ้แคว้นใดในใต้หล้านี้
ทางฝ่ายในเอง เหล่านางกำนัลและขันทียังคงขวักไขว่อยู่กับการทำงานแลกเงินเดือนเฉกเช่นทุก ๆ วัน ซึ่งก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฮองเฮา
แม้ว่าหน้าที่ปกครองบ้านเมืองจะเป็นหน้าที่ของฮ่องเต้ แต่หน้าที่ดูแลวังหลังปกครองเหล่าบรรดาสนมและนางในทุกอย่างล้วนเป็นหน้าที่ของฮองเฮาทั้งสิ้น
เฉิงเซียวฮองเฮาคือมารดาแห่งแผ่นดินของต้าเฉิน เป็นหญิงจากสกุลขุนนางชั้นใหญ่ มีบิดาเป็นถึงขุนนางฝ่ายขวาทำงานเคียงข้างพระสวามี เป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี และฝักใฝ่ในธรรม จึงเป็นที่เคารพของเหล่าสนม รวมไปถึงเฉินเต๋อหมิงด้วยเช่นกัน
แม้ว่าพระองค์จะมิใช่มารดาที่คลอดองค์รัชทายาทออกมา แต่ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่อบรมแลฟูมฟักลูกชายคนนี้ไม่แพ้มารดาแท้ ๆ ที่จากไป
“เสด็จแม่..ลูกขอออกไปเล่นได้หรือไม่พะย่ะค่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กวัย 12 ชันษา องค์ชายใหญ่ หนิงเฉิง กล่าวขอคำอนุญาตจากผู้เป็นมารดา
“อากาศหนาวเช่นนี้ยังจะออกไปวิ่งเล่นอีกหรือ” เฉิงเซียวเอ่ยถามลูกชาย
“อากาศหนาวเช่นนี้ หากอุดอู้อยู่แต่ในตำหนัก ร่างกายก็มิอาจต้านความหนาวได้ สู้ออกไปวิ่งเล่นกับบรรดาน้อง ๆ คงช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้พะย่ะค่ะ”
เฉิงเซียวยิ้มให้ลูกชายอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพยักหน้าเชิงอนุญาต ไม่วายนิ้วเรียวกรีดกรายชี้สั่งให้นางกำนัลนำเสื้อขนสัตว์ชั้นดีมาคลุมร่างกายลูกชายของพระนางเอาไว้ เพื่อกันความหนาวจากข้างนอก
“อย่าออกไปเล่นไกลนัก แม่จะให้นางกำนัลและขันทีติดตามเจ้าไปอย่างละสองคนก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะเสด็จแม่” หนิงเฉิงคำนับหนึ่งครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งออกจากตำหนักไปในทันที
ณ สวนดอกไม้ของวังหลวงในวันนี้ช่างแปลกตากว่าทุกครั้ง จากความร้อนแผ่กระจายทำให้เบ่งบานกลับเหี่ยวเฉาร่วงโรยลงมาจนต้นไม้หัวโกร๋นกันไปหมด เหลือเพียงแค่ดอกเหมยเท่านั้นที่ยังคงตั้งตระหง่านชูช่อเป็นสีชมพูบานฉ่ำ ช่วยทำให้หิมะแสนจืดชืดดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“นั่นเจ้าทำสิ่งใดอยู่หรือหนิงอัน”
องค์ชายสาม หนิงอันหันกลับไปตามต้นเสียงก่อนจะยิ้มแฉ่ง เมื่อเห็นองค์ชายรอง หนิงอวี่เอ่ยทักถาม
“ข้ากำลังดูเจ้าดอกเหมยที่เสด็จพ่อทรงปลูก...มันโตชูช่อสวยงามจนข้าอยากจะหักกิ่งของมันไปฝากเสด็จแม่เสียหน่อย”
หนิงอันในวัย 10 ชันษาเอ่ยตอบพี่ชายอย่างแสนซื่อ หากแอบหักกิ่งของดอกเหมยต้นนี้ไป มิรู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงอนุญาตหรือไม่ แต่ถ้าหากว่าอ้างว่าจะนำไปให้เสด็จแม่ เสด็จพ่อก็คงจะยอมและให้โดยดีอย่างแน่แท้
“ที่ตำหนักของพระนางเต๋อเฟยก็มีดอกเหมยที่เสด็จพ่อทรงปลูกมิใช่หรือ”
“ต้นนั้นแคระแกนนัก ยังไม่โตเต็มไวจนออกดอก ข้ากลัวเสด็จแม่ขี้เกียจจะรอน่ะสิ” คำตอบแสนซื่อถูกกล่าวออกไป จนหนิงอวี่ถึงกับหลุดขำออกมา
“ฮ่ะ ๆ เจ้าช่างเขลานัก ต้นไม้ต้นนั้นเสด็จพ่อพึ่งนำมันมาลงดินในไม่กี่วันเองมิใช่หรือ อดทนรออีกสักหน่อยเถิด หากหักกิ่งขโมยมันไป มู่กงกงรู้เขาจะเอาไปฟ้องได้”
“ชิ! มู่กงกงขี้ฟ้องจริง ๆ”
หนิงอันจิ๊ปากอย่างขัดใจ มู่กงกงคือขันทีที่ทำงานใกล้เคียงกับสเด็จพ่อมากที่สุด และถ้าหากมู่กงกงรู้เข้าจริง ๆ ทั้งหนิงอวี่และหนิงอันอาจจะช่วยกันตะล่อมพูดให้ขันทีผู้นี้ไม่ปริปากก็ได้นี่นา แต่อย่างที่พี่รองเอ่ย ต้องรออีกหน่อย เจ้าต้นเหมยที่เสด็จพ่อทรงปลูกให้เสด็จแม่อาจจะออกดอกงดงามกว่าดอกเหมยต้นนี้ก็ได้
เมื่อยืนชมดอกเหมยกันได้ครู่หนึ่ง หนิงอวี่ก็นึกถึงบางอย่างได้จึงร้องออกมา
“อ้อ..ข้าลืมไปเลย มีสิ่งหนึ่งอยากจะให้เจ้าดูเสียหน่อย”
“อะไรหรือ”
หนิงอวี่กวักมือเรียกขันทีผู้ติดตามองค์ชายให้เข้ามาใกล้ ๆ ขันทีผู้นี้กางแผ่นกระดาษที่มีภาพวาดขาดใหญ่ ถูกแต่งแต้มด้วยหมึกดำ มันคือภาพวาดทิวทัศน์ที่หนิงอวี่วาดมาจากจินตนาการของตนเอง หนิงอันตาโต เมื่อเห็นว่าพี่ชายของตนเองนั้น ช่างมีฝีมือในการตวัดพู่กันวาดภาพได้อย่างสุดยอด!
“เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อวานข้าให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ดูแล้ว ทั้งสองพระองค์ชมข้าใหญ่ วันนี้จึงอยากนำมาอวดเจ้าบ้าง”
“การวาดภาพของท่านเป็นเลิศที่สุดแล้วข้ารู้ดี จะให้แข่งวาดกับใครหรือผู้ใดล้วนแพ้ท่านกันหมด” หนิงอันเอ่ยชมพี่ชาย หากให้ตนนั้นเป็นผู้ลงมือตวัดพู่กันคงจะเละเทะเปรอะเปื้อนไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน
ไม่นานนักหนิงเฉิงก็เดินมาถึง เมื่อเห็นหนิงอันและหนิงอวี่กำลังหัวร่อพูดคุยกันเสียงดัง ก็นึกสงสัยจึงเดินเข้าไปหา หนิงเฉิงยิ้มมุมปากเมื่อเห็นภาพวาดก็คว้ามาจากขันที ก่อนจะเอ่ยวิจารณ์ขึ้น
“นี่อะไรกัน...ภาพนี้ขี้เหร่นัก ข้ารับใช้ของข้ายังวาดได้สวยกว่าอีก”
หนิงอวี่หุบยิ้มลงในทันทีที่ถูกวิจารณ์จากปากขององค์รัชทายาทผู้นี้ ฝ่ายหนิงอันผู้ไม่เกรงกลัวก็คว้าภาพวาดนั้นกลับมาอยู่ในมือของตนเอง
“ท่านมีตั้งสองตา เหตุใดจึงกล้าตัดสินภาพวาดของพี่รองนั้นขี้เหร่”
“เจ้าก็ดูเอาเองสิ ต้นไผ่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ ไหนจะภูเขายึกยือนั่นอีก ไม่ให้เรียกว่าขี้เหร่แล้วจะให้เรียกว่าอะไร” หนิงเฉิงผู้ทะนงตนร้องเหอะออกมาจากลำคอ ก่อนจะคว้ากระดาษแผ่นเดิมมาจากมือของหนิงอวี่
“พี่ใหญ่ท่านเอามานะ นั่นมันภาพวาดของพี่รอง!” หนิงอันเดือดดาลแทนพี่ชายผู้ไม่สู้คน เด็กชายเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหวังจะคว้ากระดาษแผ่นนั้นกลับคืนมา แต่ก็ถูกหนิงเฉิงกวนประสาทด้วยหลบอยู่หลังของขันที ฝ่ายหนิงอวี่เห็นท่าไม่ดีก็รีบคว้าตัวของหนิงอันเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นถึงรัชทายาท หากประพฤติตัวไม่เหมาะสมจะถูกลงโทษได้
“แน่จริงเจ้าก็เข้ามาเอาสิ แต่เจ้ามันเตี้ยนี่นาหนิงอัน จะคว้ากระดาษจากข้าได้หรือ”
หนิงอันฮึดฮัดอยู่ในใจ หนิงเฉิงผู้เป็นองค์ชายใหญ่เกิดห่างกันก็ไม่กี่ปี ริอาจหยิ่งผยองกล้าคิดว่าตนเองสูงกว่างั้นหรือ ก็เตี้ยไม่แพ้กัน สูงพ้นไหล่ของตนนิดเดียวเองทำมาเป็นขี้คุย
“พอเถอะหนิงอัน ประเดี๋ยวข้าวาดใหม่ก็ได้หากพี่ใหญ่พูดแล้วว่ามันขี้เหร่”
“ขี้เหร่อะไรกัน ศิลปะมันมีขี้เหร่ด้วยหรือ...ท่านบรรจงวาดต้นไม้ บรรจงวาดภูเขา อาจารย์ทางศิลป์บางคนวาดยึกยือมากกว่าท่าน ยังเป็นอาจารย์สอนได้ แล้วเหตุใดจึงด้อยค่างานของตนว่าขี้เหร่”
หนิงอันหงุดหงิดกับความกวนประสาทของหนิงเฉิงเต็มทีแล้ว เด็กชายเดินไปผลักหนิงเฉิงตอนเผลอให้ล้มลงจนก้นนั้นจ้ำเบ้าลงบนหิมะ
ในระหว่างนั้นเองอันอวี่ไทเฮาเดินผ่านมา เห็นหลานชายคนโปรดถูกผลักล้มลงจึงรีบปรี่เข้ามา แลง้างมือตวัดลงบนแก้มขวาของหนิงอันในทันที
เพียะ!
หนิงเฉิงเห็นเสด็จย่าถือข้างตนแล้ว ก็เบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาบรรดาข้ารับใช้เลยสักนิด ซ้ำยังดันตัวลุกขึ้นวิ่งไปกอดข้างเอวของพระนางอีกต่างหาก
“เด็กเหลือขอ” อันอวี่ไทเฮาเอ่ยตำหนิหนิงอัน ซ้ำยังตวัดมืออันเหี่ยวย่นลงบนแก้มของเด็กชายซ้ำเป็นรอบที่สอง จนหนิงอันยกมือขึ้นมากุมใบหน้าของตนเอง
“แม่เจ้าไม่สอนมารยาทในวังหลวงอย่างนั้นหรือ กล้าดีอย่างไรถึงได้ผลักองค์รัชทายาท ฮ้า!” เสียงแหบแห้งแต่ทรงอำนาจควาดลั่นกลางสวนดอกไม้ หนิงอันไม่เอ่ยสิ่งใดออกไปทั้งสิ้น แต่เป็นหนิงอวี่ที่อ้าแขนบังน้องชายเอาไว้
“เป็นความผิดข้าเองพะย่ะค่ะเสด็จย่า หากข้าไม่นำภาพวาดมาให้น้องสามดู น้องสามกับพี่ใหญ่คงไม่ทะเลาะกัน”
“ภาพวาดนั่นอยู่ที่ใด”
อันอวี่ไทเฮาเอ่ยหาภาพวาดขององค์ชายรอง ฝ่ายหนิงเฉิงที่ถืออยู่แล้วจึงยื่นให้ย่าดู อั่วอวี่ไทเฮากางกระดาษภาพวาดเจ้าปัญหาและหนิงเฉิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“ข้าบอกแก่น้องสามว่าภาพนี้ยังขี้เหร่นัก ลายพู่กัดก็ยังยึกยืออยู่ ข้าแนะนำให้น้องรองไปเรียนกับท่านอาจารย์ของข้า แต่น้องสามกลับโมโหผลักข้าจนล้มลงพะย่ะค่ะ”
“เรื่องเท่านี้เจ้าถึงกับต้องผลักพี่ของเจ้าเลยหรือฮะ องค์ชายสาม”
“ข้าไม่ผิด เขาดูถูกความสามารถของพี่รองก่อน พี่รองวาดภาพนี้สวย มิใช่ดังคำที่พี่ใหญ่ว่า” หนิงอันอธิบายแก่เสด็จย่า แต่พระนางย่อมไม่ฟังหลานชังผู้นี้อยู่แล้ว แต่มือกลับตวัดเข้าที่ข้างเดิมจนหนิงอันทรุดลงไปกับพื้นในทันที
“เสด็จย่าได้โปรดอย่าตีน้องสามเลย น้องสามช่างเขลานักที่กล้าหาญผลักพี่ใหญ่...โปรดอภัยให้น้องสามเถิดพะย่ะค่ะ”
หนิงอวี่คุกเข่าลงเพื่อขอร้องให้เสด็จระงับอาการโกรธลง พระนางมององค์ชายตาต่ำลงมาพร้อมกับฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งจนเป็นเศษเล็กเศษน้อยอย่างไม่ใยดี
“ในเมื่อเหตุมันเกิดจากกระดาษเพียงแผ่นเดียวข้าก็จะฉีกมันทิ้งเสีย หวังว่าเจ้าจะมิโกรธหรอกนะองค์ชายรอง”
“มิโกรธพะย่ะค่ะ เสด็จย่าทำตามสมควรแล้วพะย่ะค่ะ”
“ฝีมือในการวาดภาพของเจ้ายังดีนัก องค์ชายใหญ่วิจารณ์อาจแรงไปบ้างเพราะยังเด็ก พวกเจ้าเองก็ยังเด็กอย่าได้เก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ ฝึกฝนอีกเสียหน่อยจะวาดได้อย่างชำนาญ” อันอวี่ไทเฮาเอ่ยเสียอ่อนลงกับองค์ชายรอง
“ส่วนเจ้าองค์ชายสาม ข้าจะออกคำสั่งให้แม่เจ้าอบรมบ่มนิสัยให้ดีกว่านี้ อย่าทำตัวชั้นต่ำหาเรื่องคนไปทั่ว กำพืดของแม่เจ้าก็มิได้สูงส่งมากนัก แค่เห็นว่าตนเองเป็นลูกรักของฝ่าบาทแล้วจะหาญกล้าทำร้ายรัชทายาทงั้นหรือ ...ทำตัวต่ำเช่นนี้ก็คงได้คู่ครองเป็นคนชั้นต่ำเยี่ยงเจ้า” อันอวี่ไทเฮากล่าวเสียงแข็ง ซ้ำยังเอ่ยคำแช่งออกมาว่าร้ายเด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายคนหนึ่งของตน
หนิงอันกัดริมฝีปากเพื่อออดทนต่อความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างยังคงกุมแก้มขวาเอาไว้อยู่ แต่ตัวของเด็กชายกลับคุกเข่าลงและค้อมตัวจนหน้าผากแตะลงบนหิมะขาว
“ขอบพระทัยที่เสด็จย่าทรงสั่งสอนพะย่ะค่ะ”
อันอวี่ไทเฮามองด้วยหางตาอย่างนึกหมั่นไส้ เด็กผู้นี้มันถือโอกาสจองหองพองขนคิดว่าฝ่าบาททรงโปรดทั้งตัวมันและเต๋อเฟยหรือถึงได้กล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ออกมา พระนางคว้าแขนเล็ก ๆ ของหนิงเฉิง แต่ก่อนจะเดินจากไปก็ไม่วายทิ้งคำสั่ง
“องค์ชายสามจงนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าจะถึงยามโหย่ว (17.00-19.00 น.) ใครหน้าไหนก็ห้ามยุ่งทั้งนั้น ส่วนองค์ชายรอง หนิงอวี่กลับตำหนักของเจ้าไป ประเดี๋ยวย่าจะส่งน้ำแกงไปให้”
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ”
หนิงอวี่เอ่ยจบ อันอวี่ไทเฮาก็เดินจากไปพร้อมกับคว้าหนิงเฉิงออกไปพร้อม ๆ กัน หนิงอันไม่เอ่ยสิ่งใดหลักจากนั้น เด็กชายยังคงนั่งกุมแก้มของตนเองด้วยความปวดร้าว ปวดตั้งแต่บาดแผลด้านนอกร้าวไปจนข้างในใจ มิรู้เลยว่าในใจเสด็จย่ารักเขาเทียบเท่ากับพี่ใหญ่บ้างหรือไม่ ถ้าหากมอบความรักให้เขาด้วยการตบตีและลงโทษจนเจียนตาย แล้วเหตุใดจึงไม่ทำกับพี่ใหญ่บ้าง
“หนิงอัน ข้าจะอยู่ที่นี่กับเจ้า”
“ไม่ ท่านกลับไปเถิดเสด็จย่าออกคำสั่งแล้ว ข้าเป็นผู้กระทำนั่นย่อมเป็นข้าที่ถูกลงโทษ”
“แต่เพราะภาพวาด...”
“ไม่! เรื่องมันเกินคำว่าภาพวาดไปแล้ว ข้าผลักพี่ใหญ่ ข้าสมควรถูกลงโทษ”
หนิงอวี่ที่ดึงดันจะอยู่ต่อ ก็ถูกขันทีผู้ติดตามคว้าออกไปและกลับตำหนักในทันที ในยามนี้คือยามเซิน (15.00-17.00 น.) อีกไม่กี่เพลาก็จะเข้ายามโหย่ว อดทนอีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง
หนิงอันกัดริมฝีปากจนห้อเลือด เขาเจ็บเข่าจากการถูกหิมะกัด เขาเจ็บแผลจากการถูกตบตี และเขาเจ็บใจที่ถูกด่าทอ มันเจ็บจนจุกจนทำให้เด็กชายถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยอกน้อยใจเอาไว้ไม่อยู่ หนิงอันนึกสงสัยอยู่ทุกครั้งไป เพราะเหตุใดเสด็จย่าถึงเอาแต่รังเกียจรังงอนตั้งแง่ดุด่าตั้งแต่จำความได้ หนิงอันเป็นเพียงแค่เด็กสิบชันษาเท่านั้น
ได้เพียงแค่ความคิดแต่ไม่กล้าเอ่ยถามกับผู้ใด ทำให้หนิงอันกลั้นอารมณ์น้อยใจเอาไว้ไม่อยู่ เด็กชายตัวน้อยร่ำไห้ออกมาแต่ก็ยังคงกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
เข้ายามโหย่วขันทีรีบเข้าไปพยุงร่างกายของหนิงอันให้ลุกขึ้นมา แต่เพราะร่างกายของเด็กชายไม่ใช่ผู้ใหญ่จึงไม่อาจต้านทานความเจ็บปวดได้มาก หนิงอันทรุดตัวลงกับพื้นหิมะทันทีที่ถูกพยุงขึ้น จนขันทีต้องถือวิสาสาะนั้นอุ้มตัวองค์ชายสามกลับตำหนักในทันที
หนิงอันเป็นไข้จับสั่นจากความหนาวเหน็บ ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าขวายังคงห้อเลือดพร้อมกับรอยริ้วที่ฝากความเจ็บปวดเอาไว้ เต๋อเฟยแทบลมจับเมื่อเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต้องเจ็บเจียนตายเช่นนี้ แต่ก็ยังโชคดีที่ตอนนี้ถึงมือหมอหลวงแล้ว
“พระสนมนั่งก่อนเถิดนะเพคะ ตอนนี้องค์ชายอยู่ในมือหมอหลวงแล้ว พระองค์จะไม่เป็นอะไรเพคะ”
“ลูกของข้าทำผิดร้ายแรงขนาดไหน เขาถึงต้องกลายเป็นเช่นนี้กัน” เต๋อเฟยนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ลูกชายในตอนนี้เป็นหนักยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ หากเขาตายจากไปตัวของนางคงอยู่ไม่ได้
“หมอหลวงรักษาลูกของข้าให้หายเถิดนะ หากเขาหายดีข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม” เต๋อเฟยกล่าวด้วยความร้อนใจ
ไม่นานนักทุกอย่างก็สงบลง เต๋อเฟยนั่งไม่ห่างลูกชายคนเดียวของตนเลย มือของนางยังคงกุมมือเล็กอย่างทะนุถนอม คอยเช็ดตัวของเขาด้วยน้ำอุ่นเพื่อหวังว่าช่วยให้ร่างกายนั้นอุ่นขึ้น เตาไฟขนาดเล็กถูกขยับเข้ามาใกล้ลูกชาย เพื่อให้ร่างกายของหนิงอันจะได้อบอุ่นขึ้น
“เรื่องของไทเฮาจะทำเช่นไรดีเพคะ”
ซูเม่ยผู้เป็นนางกำลังคนสนิทเอ่ยถาม สิ่งที่ได้ยินจากปากของขันทีนั้น หากเรื่องหลุดรั่วไปถึงฝ่าบาทคงต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ยิ่งฝ่ายไทเฮาไม่ชอบหน้าของนางมาตั้งแต่ต้นด้วยแล้ว ก็จะยิ่งถูกตั้งแง่มากกว่าเดิมจนลูกชายอาจเป็นหนักกว่านี้ก็ได้
“ปล่อยนางไป”
“จะไปทูลฝ่าบาทหรือเพคะ”
“เท่านี้ลูกของข้าเกือบจะตายอยู่แล้ว หากวิ่งแจ้นไปฟ้องฝ่าบาทอีก ชีวิตของเขาคงจะอยู่ไม่เป็นสุข”
ซูเม่ยถอนหายใจออกมา นึกโกรธแทนผู้เป็นนายที่ถูกรังแกมาตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์ใหม่ นางเข้ามาเป็นนางกำนัลตั้งแต่พระนางเต๋อเฟยดำรงตำแหน่ง เป็นอวี๋กุ้ยเหริน จนบัดนี้ตำแหน่งเป็นรองแค่ฮองเฮาก็ยังไม่มีความเกรงใจกันบ้าง รังแกคนแม่ไม่พอกลับกันก็รังแกคนลูกไม่แพ้กัน
“เจ้าไปเตรียมยาเถิดซูเม่ย ประเดี๋ยวป้อนยาหนิงอันเสร็จ ข้าจะไปสวดมนต์ให้ลูกชาย เพื่อสวรรค์จะเข้าข้างเขาบ้าง”
“เพคะพระสนม”
- หากมีคำผิด ขออภัยนักอ่านทุกท่านมา ณ ที่นี้-