[เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] 1Day Miracle : อ้อมกอด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] 1Day Miracle : อ้อมกอด  (อ่าน 2257 ครั้ง)

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
"ธรรมชาติของนิยาย เป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น ตัวละครและบทบาททั้งหมดเกิดจากจินตนาการของนักเขียน ไม่สนับสนุนให้เลียนแบบพฤติกรรมของตัวละครในนิยาย!"

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหา 18+



1Day Miracle

อ้อมกอด



ผมเคยเชื่อว่าโลกใบนี้มีปาฏิหาริย์ให้สำหรับคนที่ศรัทธา จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัว ผมถึงได้รู้ว่า ปาฏิหาริย์...ไม่มีจริง

ปี 2525

“อีกไม่กี่วันพี่จอมก็ต้องไปอยู่หอแล้ว ธัชขออะไรอย่างได้ไหม...”

“ได้สิ สำหรับธัชพี่ให้ได้ทุกอย่าง” ผมตอบ

ดวงตากลมสีดำนิลของคนในอ้อมกอดเปล่งประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีล้ำค่า เขากำลังจ้องมองใบหน้าชายอันเป็นที่รักอย่างหลงใหล เจ้าจอมรู้ดีว่า ไม่มีดวงตาคู่ไหนสวยเท่าดวงตาของธีรธัชอีกแล้ว

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองลึกซึ้งเพียงใด...

เรานอนกอดก่ายกันด้วยร่างกายเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าขวางกั้น ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นยะเยือก มีเพียงอุณหภูมิจากร่างกายที่ส่งผ่านให้เราได้รู้สึกอบอุ่น หาใช่เพียงแค่อุ่นกายอย่างเดียว แต่มันกลับทำให้ทั้งคู่อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่จอมไปอยู่ที่นั่นรอธัชนะ อย่ามีคนอื่นนอกจากธัชได้ไหม”

เจ้าจอมฉีกยิ้มกว้างกับคำพูดของคนตัวเล็ก เขารู้ดีว่านั้นเป็นคำขอที่ไม่มีทางที่เขาจะทำไม่ได้ มันง่ายมากสำหรับเขา ก็เจ้าจอมรักธีรธัชมากกว่าที่เจ้าจะรู้เสียอีก

“ที่ตรงนี้จะเป็นที่ของธัชเสมอ เชื่อใจพี่”

ใบหน้าคมขยับเข้ามาเพียงนิดริมฝีปากก็ประสานกัน นั่นไม่ใช่จูบแรกของพวกเขา มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่พวกเขาจูบกัน รวมถึงการร่วมรักที่ทั้งคู่ต้องแอบลักลอบออกจากบ้านในยามกลางคืนเพื่อมาพบกัน

จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันมันเป็นเรื่องที่ผิดแผก ต่อให้พวกเขาจะรักกันมากเพียงใด ก็ยังถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นพวกวิปริตผิดเพศอยู่ดี

“ผมรักพี่เจ้าจอมที่สุด”

“พี่ก็รักธีรธัช...”




ปี 2564

“คุณหมอจอมค่ะ”

“...”

“คุณหมอจอม!”

“ครับ?” ผมสะดุ้งโหยงออกจากภวังค์ ไม่บ่อยนักที่ผมจะเผลอใจลอยแบบนี้

อาจจะเป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของผม ถึงได้เอาแต่คิดถึงความทรงจำที่คล้ายว่าจะเลือนราง

“เลิกงานแล้วค่ะ ไม่กลับบ้านเหรอคะ?”

“พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“อ๋อค่ะ...พรุ่งนี้คุณหมอหยุดใช่ไหมคะ”

“ครับ”

“คือว่าดาว...อยากชวนคุณหมอไปหาอะไรทานน่ะ” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดาวคิดยังไงกับผม แต่ผมไม่อาจรู้สึกกับเธอเกินกว่าเพื่อนร่วมงานได้

“ต้องขอโทษด้วย พรุ่งนี้ผมมีนัดสำคัญ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดาวต่างหากที่ต้องขอโทษคุณหมอ ดาวไม่รู้ว่าคุณหมอมีนัดแล้ว...”

“...”

“งั้นดาวขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“ขับรถกลับดี ๆ นะครับ”

“เช่นกันค่ะ”

ผมยืนมองแผ่นหลังของคนตัวเล็กเดินห่างออกไป ออกไปไกลเรื่อย ๆ จนในที่สุดผมก็ไม่เห็นเธอในสายตา ผมเองก็ต้องรีบกลับบ้านเช่นกัน

เครื่องยนต์รถถูกจอดดับสนิทบริเวณพื้นที่ว่างของหน้าบ้าน ผมอยู่ที่นี่คนเดียว พ่อผมท่านเสียไปตั้งนานแล้ว ส่วนแม่ตอนนี้อยู่ต่างประเทศกับสามีใหม่

ผมพาตัวเองเดินเข้ามาในบ้านหลังเก่า ทำทุกอย่างซ้ำ ๆ เหมือนเช่นเคย เลิกงานแล้วตรงกลับเข้ามาในบ้าน หยิบผ้าขนหนูหน้าห้องน้ำ จัดการตัวเองให้เรียบร้อย แล้วสาวเท้าออกมาทำอะไรง่าย ๆ ทานคนเดียวในครัว ตกดึกผมมักจะหยิบหนังสืออ่าน

100 years of solitude หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว
เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่หากว่าผมมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ผมจะเลือกหยิบมันขึ้นมาอ่าน

ช่วงเวลาห้าทุ่ม เป็นเวลาของการพักผ่อน ผมเอื้อมมือไปที่โคมไฟบนหัวเตียง ตรงนั้นมีรูปของเด็กผู้ชายที่ดวงตาสวยที่สุด ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เบื่อเลย

“ฝันดีนะธีรธัช เจอกันพรุ่งนี้...”



การตื่นเช้าไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผมเท่าไหร่ ยิ่งวันนี้ผมมีนัดสำคัญ ต่อให้ต้องตื่นเช้ากว่านี้ผมก็รู้สึกสดชื่นอยู่ดี

ผมเดินออกมาหน้าบ้านเตรียมตัวออกเดินทาง กลิ่นหอมของดอกมณฑารพที่ปลูกเอาไว้ลอยอบอวล ผมไม่ลืมหยิบมันติดมือไปด้วยเพราะคนที่ผมจะไปพบ เขาชอบกลิ่นของมันมาก

รถเคลื่อนตัวออกจากบ้าน ตลอดทางดอกมณฑารพส่งกลิ่นหอมหวานกระจายไปทั่วทั้งคัน เคยมีคนบอกผมว่า มันเป็นดอกไม้บนสวรรค์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า

ไม่นานนักผมก็มายังสถานที่ที่ผมมาเป็นประจำทุกปี ‘วัด’ ผมพาตัวเองเดินเข้ามาพร้อมกับดอกมณฑรพในมือ

โกศสีขาวตั้งอยู่ด้านในเกือบท้ายสุดของแถว มันมีรูปของเด็กผู้ชาย พร้อมกับวันเดือนปี

มรณะ xx/xx/2525

มันเป็นวันที่ผมมาในวันนี้

“ธัช...” เพียงแค่เอ่ยเรียกชื่อของคนรัก เสียงผมก็เริ่มสั่นเครือ “พี่จอมมาหาแล้ว”

“สบายดีไหม...พี่เอาดอกไม้ที่ธัชชอบมาให้ด้วยนะ ปีนี้ก็ยังส่งกลิ่นหอมเหมือนเดิมเลย” ผมทิ้งตัวนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ยกฝ่ามือขึ้นสัมผัสกับแผ่นหินที่สลักชื่อของธีรธัชอย่างแผ่วเบา

“พี่คิดถึงธัชนะ...ธัชคิดถึงพี่บ้างหรือเปล่า เมื่อวานพี่ผ่าตัดช่วยเคสเด็กโดนรถชนได้ด้วยล่ะ ถ้าตอนนั้น...” ความทรงจำเลือนรางเริ่มฉายซ้ำอีกครั้ง

วันที่ผมนั่งกอดคนตัวเล็ก เลือดสีแดงฉานไหลอาบทั่วทั้งตัวเขา ในใจเอาแต่ภาวนาขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที วันนั้นผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งร้องไห้มองดูเขาจากไป รอยยิ้มสุดท้ายที่เขายิ้มส่งมา เป็นความทรงจำสุดท้ายของธีรธัชที่ผมจำได้

ดวงตาที่สวยที่สุดจ้องมองผมอย่างอ่อนโยนแม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของเขาก็ตาม ตลอดสิบกว่าปีผมไม่เคยลืมเขาเลย...

“พี่ไม่ได้ร้องไห้นะ ฝุ่นมันเข้าตา” ว่าไปมือก็พลางปาดเอาหยดน้ำที่ไหลอยู่ให้แห้งเหือด “พี่ต้องไปแล้วนะ ไว้พี่จะมาหาใหม่”

“เจ้าจอมรักธีรธัชที่สุด...”

จังหวะที่ลุกขึ้นผมก็สังเกตเห็นคุณตากำลังคลำพื้นหาอะไรบางอย่าง ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะเข้าใจว่าตาแกไม่ได้คลำหาของ แต่เพราะแกตาบอด และไม่มีไม้เท้าจึงต้องเอามือคลำกับพื้น

“คุณตาจะไปไหนเหรอครับ” ผมว่า

“ตาจะไปหน้าประตูวัด”

“เดี๋ยวผมพาไปครับ คุณตาลุกเดินไหวไหม”

“ไหว ๆ ขอบใจมากนะ”

ผมเดินมาส่งคุณตาหน้าประตูวัดตามที่บอกเอาไว้ “รอคนมารับเหรอครับ” ผมถาม

“ใช่ ๆ ลูกตาบอกให้มารอที่นี่”

“อ๋อ ให้ผมรอเป็นเพื่อนไหมครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่ม เอ็งยังต้องไปต่อ”

“ครับ” ผมไม่เข้าใจสิ่งที่ตาพูดเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรเพิ่ม “งั้นผมขอตัวนะครับ” คุณตาพยักหน้ารับ ผมจึงหมุนตัวเดินออกมาก่อนเสียงทุ้มจะพูดขึ้น

“นี่พ่อหนุ่ม เชื่อเรื่องย้อนเวลาไหมล่ะ”

“ผมไม่เชื่อเรื่องนั้นหรอกครับ” ผมหันกลับไปตอบ

“ถ้าเกิดสมมุติว่ามันย้อนกลับไปได้ 1 วันเอ็งจะทำอะไร”

ผมหยุดคิดอยู่ครู่ ก่อนจะคิดว่าหากผมย้อนกลับไปได้จริง ๆ ผมจะทำอะไร คำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาคือใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับธีรธัช

“ผมคงอยู่กับคนที่ผมรัก”

“เอาสิ เอาอย่างนั้นก็ได้”

ป๊อก!


เสียงดีดนิ้วดังในโสตประสาท ก่อนที่ภาพทุกอย่างกำลังดึงตัวผมให้จมอยู่กับอดีต

ผมได้ยินเสียงสุดท้ายจากคุณตาพูด “ขอให้เป็นหนึ่งวันที่ดี...” สายตาผมเหลือบไปเห็นรูปคุณตาติดอยู่ข้างกำแพงวัดพร้อมระบุวันเดือนปี มรณะ พ.ศ.2100 ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนภาพทุกอย่างจะหยุดกึก

ป๊อก!

มีเสียงดีดนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง ภาพทุกอย่างหยุดนิ่งกลับสู่ปกติ หากแต่ว่าเจ้าจอมกลับมองเห็นทุกอย่างเป็นสีขาวดำราวกับหนังในจอโทรทัศน์สมัยก่อน

“นี่คุณจะยืนขวางผมอีกนานไหม ผมไปโรงเรียนสายเพราะคุณนะ” หัวใจผมกระตุกวูบ เมื่อได้ยินเสียงเล็กคุ้นหู

ผมหันกลับไปมองปลายเสียงอย่างเชื่องช้า สายตาเราประสานกัน วินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุน ร่างกายชาวาบไปทั้งตัว ธีรธัช...

ทุกอย่างรอบตัวที่เขาเห็นเป็นสีขาวดำก็จริง แต่ทว่าโลกของเขามีเพียงธีรธัชเท่านั้นที่เป็นสีสัน เด็กผู้ชายยืนตรงหน้าในกางเกงนักเรียนสีดำยืนกอดอกมองผมอย่างหัวเสีย

ผมจดจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เขายังเหมือนเดิม ความรู้สึกหวนย้อนให้คิดถึงจับจิตจนอยากโถมตัวเข้ากอดคนตัวเล็กแน่น หากแต่เจ้าจอมเองต้องยับยั้งช่างใจ เพราะคนตัวเล็กทำทีเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“คุณจะมองผมอีกนานไหม หลบไปผมรีบ”

“ขอโทษครับ” ผมว่าก่อนจะหลบทางให้

นี่ผมย้อนกลับมาอย่างที่คุณตาว่าใช่ไหม หรือผมแค่ฝันไป แต่ถ้านี่เป็นฝันมันคงเป็นฝันดีที่สุดในชีวิต

ไม่อยากตื่นเลย...

“เดี๋ยวสิครับ” ผมเรียกธีรธัช...หากเป็นดั่งที่คุณตาว่า ผมมีเพียงหนึ่งวันในการที่จะอยู่กับเขา “คุณชื่อธีรธัชใช่ไหม”

“คุณรู้จักผมเหรอ” คนตัวเล็กเอียงคอมอง

“เสื้อนักเรียนคุณน่ะ มันมีชื่อคุณปักอยู่”

“อ๋อครับ คุณมีอะไรหรือเปล่า ผมต้องรีบไปโรงเรียน” เขาว่าพลางยกแขนขึ้นเพื่อดูนาฬิกาที่ข้อมือขวา

“ไหน ๆ ก็สายแล้ว ผมอยากชวนคุณโดนเรียนได้หรือเปล่า”

“...” ประโยคเชิญชวนของคนแปลกหน้าทำเอาธีรธัชถึงกับชะงัก ผมรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดหนัก เพราะนิสัยกัดริมฝีปากตอนใช้ความคิดมันแก้ไม่หายจริง ๆ “เอาแบบนั้นก็ได้ วันนี้ผมไม่อยากไปโรงเรียนพอดี”

ผมแอบตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะตอบตกลง ก็ในเมื่อตอนนี้เราเป็นคนแปลกหน้านี่นา แต่อีกใจก็อยากจะจับเขาตีเสียจริง ทำไมถึงเชื่อคนง่ายแล้วตามคนแปลกหน้ามาแบบนี้

“สรุปจะไปหรือเปล่า คุณเอาแต่ยืนนิ่งตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

“ไปสิ...”

“เราจะไปไหนกันดี”

“แล้วแต่คุณเลย”

“คุณเป็นคนชวนผมโดดเรียน คุณยังจะให้ผมคิดอีกเหรอว่าจะไปไหน!” ท่าทีของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย นิสัยขี้โวยวายแบบนี้เป็นมาตั้งนานแล้วสินะ

ถึงแม้ธีรธัชจะโวยวายเสียงดังแค่ไหนก็ไม่ทำให้คนมองอย่างเจ้าจอมรู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่ายังไงธีรธัชก็ดูน่ารักในสายตาของเขาอยู่ดี

“เราไปทานไอศกรีมไหม คุณดูน่าจะชอบนะ” เขารู้ดีว่าคนตัวเล็กชอบอะไร

“ผมไม่มีเงิน ผมเพิ่งจะโดนคุณย่าหักค่าขนม” นี้คงซนจนโดนคนที่บ้านดุอีกแน่ ๆ

“ผมเลี้ยงคุณได้นะ”

“เอางั้นเหรอ...อืมมมม ตกลงครับ” ธีรธัชฉีกยิ้มกว้างจนตาโค้งลงเป็นรูปสระอิ

ผมให้คนตัวเล็กเดินนำหน้า และเลือกร้านที่ตัวเองอยากไป นานมาแล้วที่ผมไม่ได้มองเขาแบบนี้ ใบหน้าขาวยังคงเหมือนเดิมในความทรงจำไม่ผิดเพี้ยน

“จะเป็นไรไหมถ้าผมอยากได้ท็อปปิ้งเพิ่ม” คนตัวเล็กขออนุญาตก่อนที่ผมจะพยักหน้ารับ และเป็นอีกครั้งที่เขายิ้ม

ทุกการกระทำของคนตัวเล็กอยู่ในสายตาของเจ้าจอมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาพูด หรือยามที่เขาหัวเราะ หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าจอมมักจะแกล้งธีรธัชจนบางครั้งเจ้าตัวก็โมโหใส่อยู่บ่อย ๆ แต่หนนี้เขาเลือกที่จะนั่งมองเงียบ ๆ แล้วเก็บทุกรายละเอียด เพื่อไม่ให้ทุกอย่างหายไปจากความทรงจำ

“ผมถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม” เสียงเล็กถามหลังจากสั่งไอศกรีมเสร็จเรียบร้อย

“ครับ?”

“คุณจะจีบผมเหรอ”

“...?”

“ก็จู่ ๆ คุณก็ชวนผมมาทานไอศกรีม แถมยังเลี้ยงผมอีกต่างหาก”

“ถ้าใช่ล่ะ...” ใบหน้าเล็กหลุบตามองลงพื้นก่อนจะทำสีหน้าเจื่อนลง

“ผมต้องขอโทษคุณด้วยผมมีคนที่ชอบแล้ว” หัวใจคนฟังกระตุกวูบ ก่อนที่เขาจะบอกชอบผม เขาชอบคนอื่นมาก่อนด้วยเหรอ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย

“ผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร คุณบอกผมได้หรือเปล่า”

“ผมจะบอกคุณ มันเป็นความลับนะ เห็นว่าคุณเป็นคนแปลกหน้าผมเลยกล้าบอก”

“ครับ ผมจะไม่บอกใคร”

“เขาเป็นพี่ข้างบ้านผมเอง เขาใจดีและอบอุ่นมาก ผมแอบชอบเขามานานแล้ว ผมชอบมองเวลาที่พี่เขาสอนการบ้านให้ผม ใบหน้าตอนที่เขาหลับทำให้หัวใจผมเต้นเร็วจนเหนื่อยเลยล่ะ ที่สำคัญเขาหล่อมาก”

“เขาชื่ออะไรเหรอ?”

ผมว่าผมรู้จักพี่ข้างบ้านของธีรธัช...

“ชื่อพี่เจ้าจอม... แค่ชื่อก็ยังฟังดูหล่อเลยคุณว่าไหม” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าผมอย่างห้ามไม่อยู่ ที่แท้เขาก็ชอบผมมานานแล้วนี่เอง ทำไมผมถึงเพิ่งมารู้เอาตอนนี้กันนะ “ว่าแต่คุณชื่ออะไร ผมยังไม่รู้จักคุณเลย”

“ถ้าผมบอกไป คุณก็รู้จักผมสิ แบบนี้คุณก็คงไม่กล้าเล่าความลับให้ผมฟังอีก”

“ก็จริงอย่างที่คุณว่า”

“ผมขอถามคุณบ้างได้ไหม?” ผมว่า ก่อนพนักงานจะเดินถือไอศกรีมจานใหญ่วางลงบนโต๊ะ ในนั้นมีไอศกรีมรสวานิลลาหนึ่งลูก และมะนาวอีกสองลูก มีคอนเฟลกเป็นท็อปปิ้ง ตามด้วยวิปครีมขนาดใหญ่แยกออกมาอีกถ้วย ทั้งหมดนี่เป็นของโปรดของเขาเลยล่ะผมจำได้เป็นอย่างดี

“เอาสิ แลกกับค่าไอศกรีมนี่”

“อืม... ทำไมคุณถึงยอมมากับผม ทั้งที่ผมเป็นคนแปลกหน้า”

“...อืมมม” ธีรธัชจ้องหน้าผมก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน “เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”

“...” ผมส่ายหน้าเป็นการตอบกลับ

“งั้นก็ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกว่าผมไว้ใจคุณ เวลาที่ผมคุยกับคุณ ผมรู้สึกเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน”

“ผมก็รู้สึกอย่างนั้น...”

นั่นเป็นบทสนทนาสุดท้ายที่เราคุยกันก่อนจะนั่งทานไอศกรีมต่อด้วยกันอยู่พักใหญ่ ผมไม่ค่อยกินเท่าไหร่ โดยปกติผมก็ไม่ชอบทานอะไรแบบนี้อยู่แล้ว

“คุณกินน้อยมาก ไม่ชอบเหรอ”

“ครับ ปกติผมก็ไม่ค่อยทานน่ะ”

“แล้วจะชวนมาทำไม” เขาไม่ได้พูดออกมาเสียงดัง เพียงแค่พึมพำเบา ๆ ในลำคอ แต่ทว่าผมกลับได้ยินชัดในโสตประสาท

“เราจะไปไหนกันต่อดี นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนด้วย”

“ไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะไหม มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ถึงเวลาเลิกเรียนผมจะได้กลับบ้านง่าย ๆ ด้วย”

“ผมตามใจคุณ ถ้าคุณไปผมก็ไปด้วย”

“โอเค งั้นตามนี้”

เรานั่งกันต่ออยู่สักพักก่อนจะลุกไปคิดเงินด้านหน้า แล้วออกเดินทางไปยังสถานที่ที่สอง ผมเคยมาบ่อยแล้ว แต่ก็เลือกที่จะเดินตามเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้เขาเล่าว่าที่นี่เป็นยังไง ทุกครั้งที่เขาพูดมันชวนให้ผมรู้สึกละสายตาออกจากเขาไม่ได้เลย

“มานั่งตรงนี้สิครับ ตรงนี้ผมมาบ่อยคนไม่ค่อยเยอะด้วย” ว่าจบธีรธัชก็ทิ้งตัวลงนั่งใต้ร่มไม้ติดริมบึง ผมเองก็หย่อนสะโพกนั่งลงข้าง ๆ เขา

"คุณได้กลิ่นไหม"

"ครับหอมเย็น ๆ ดีนะ"

"นั่นน่ะเรียกว่าดอกมณฑารพ หน้าบ้านผมมีอยู่ต้นหนึ่ง"

"สงสัยผมต้องไปหามาปลูกบ้างซะแล้ว"

"แม่ผมบอกว่ามันเป็นดอกไม้บนสวรรค์"

"คุณเชื่อ?"

"ไม่รู้สิ ผมเองก็ยังไม่เคยไปเหมือนกัน"

"หึ หึ" ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ธีรธัชกำลังจ้องมองบางอย่างจากทางด้านหลังของผม เขามองอยู่อย่างนั้นแล้วก็อมยิ้มออกมา ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัยจึงหันกลับไปมองบ้าง

“น่ารักดีนะครับ” ธีรธัชว่า

ตรงนั้นมีผู้ชายสองคนกำลังเดินจับมือกัน ถึงแม้ว่าในสมัยนี่ การที่ผู้ชายกับผู้ชายรักกันมันจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่พวกเขาก็ดูไม่สนใจสายตาใครแม้แต่น้อย

“คุณรู้หรือเปล่าว่าที่ที่ผมมา ผู้ชายกับผู้ชายรักกันเป็นเรื่องไม่แปลกเลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผมก็เห็นแต่คนมีความรักอยู่รอบตัว”

“จริงเหรอครับ คุณอยู่ที่ไหนบอกผมได้ไหม โตขึ้นผมจะพาพี่เจ้าจอมไปอยู่ที่นั่น” คนตัวเล็กถามด้วยท่าทีสนอกสนใจ ให้ตายเถอะน่ารักเป็นบ้า อยากดึงเขาเข้ามากอดแล้วหอมจนแก้มช้ำไปเลย

“คุณบอกชอบพี่เขาแล้วเหรอ” ผมว่า

“ยังเลยครับผมกลัวว่าพี่เขาจะเกลียดผม ก็ผมเป็นผู้ชายนี่” เป็นอีกครั้งที่เขาก้มหน้าหลบสายตา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“คุณบอกเขาไปตรง ๆ เถอะ ผมว่าเขาเองก็ชอบคุณนะ”

“คุณรู้ได้อย่างไร?”

“ผมอายุจะห้าสิบแล้วนะ แค่นี้ทำไมผมจะมองไม่ออก”

“...?”

“ถ้าเขาไม่ชอบคุณเหมือนกัน เขาก็คงไม่ทำเรื่องดี ๆ ให้คุณเยอะจนคุณรู้สึกดีกับเขาหรอกจริงไหม ผมว่าเขาต้องมีใจแน่ลองไปสารภาพรักเขาดูสิเชื่อผม”

“จริงเหรอ ผมจะไม่ผิดหวังใช่ไหม”

“ใช่...คุณเชื่อสายตาผมสิ ผมมองอะไรไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง”

“ฮ่า ๆ คุณชอบพูดเหมือนพี่เจ้าจอมเลย พี่เขาก็ชอบโม้ว่าตัวเองมองอะไรไม่เคยพลาด แต่ผมว่าเขาพลาดนะ” ผมสนใจกับประโยคยาวเหยียดนั้น ผมเคยพลาดอะไรงั้นเหรอ

“อะไร?”

“ก็เขาชอบพูดแบบนั้น แต่เขาไม่เคยมองออกเลยว่าผมชอบเขา”

อา... ให้ตายเถอะผมพลาดจริง ๆ อย่างที่เขาว่าไว้

“...”

“แล้วคุณมีคนที่ชอบหรือเปล่า?” ธีรธัชถามต่อ

“มีครับ”

“เขารู้ไหมว่าคุณชอบเขา”

“รู้สิ ผมชอบบอกรักเขาทุกวัน”

“ดีจังเลยนะ เขาเป็นคนยังไงเหรอ”

“น่ารัก...เขาจิตใจดี มักจะคิดถึงคนอื่นก่อนเรื่องของตัวเองเสมอ บางครั้งก็ซนจนน่าตี แต่ก็เป็นเด็กดีเวลาอ้อนอยากได้อะไร ที่สำคัญตาเขาสวยจนละสายตาไม่ได้เลยครับ” ผมพูดทั้งที่เสียงตัวเองก็ยังคงสั่นเครือ ก่อนที่น้ำตาเม็ดใส่จะหล่นลงมาอาบสองแก้ม “แต่เขาไม่อยู่แล้ว...”

ผมคิดถึงธีรธัช...

“คุณ...ผมเสียใจด้วย ขอโทษครับที่ถามแบบนั้น” ฝ่ามือบางค่อย ๆ ลูบแผ่นหลังผมอย่างปลอบประโลม “เขาต้องรู้ว่าคุณรักเขามากแค่ไหน”

“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

เราต่างคนต่างนั่งเงียบ ๆ กันอยู่อย่างนั้นนานนับชั่วโมง เวลาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผมรู้ได้ในทันทีเวลาของผมกำลังจะหมดลงแล้ว ผมหันกลับไปมองคนที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ จ้องมองเก็บเอาทุกความทรงจำกลับไป ปลายนิ้วค่อย ๆ เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกอย่างเบามือ

“ผมคิดถึงคุณ...ธีรธัช” เจ้าจอมพูดออกเสียงอย่างแผ่วเบา นั่นคงเป็นคำพูดที่ดีในเวลานี้

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วผมเคยคิดเล่น ๆ ว่าหากผมย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะย้อนกลับไปช่วยธีรธัชในวันที่เขาโดนรถชน ตอนนั้นผมช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่หากเป็นตอนนี้ผมสามารถช่วยเขาได้แน่นอน

แต่สุดท้ายผมก็เชื่ออีกว่า หากผมช่วยเขาได้จริง ยังไงเขาก็ต้องจากผมไปอยู่ดี เราไม่สามารถฝืนโชคชะตาได้ ถึงแม้จะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม

“อื้อ...กี่โมงแล้วครับเนี่ย” คนตัวเล็กค่อย ๆ ขยับเปลือกตาบางขึ้นอย่างเชื่องช้าพลางใช้มือขยี้ตาไปมา

“เลิกเรียนแล้วครับ ได้เวลาที่คุณต้องกลับแล้ว” ผมว่า

“เหรอครับ งั้นเรากลับกันเลยก็ได้ คุณจะได้รีบกลับบ้านไปพักผ่อนด้วย”

“เอางั้นก็ได้”

ผมลุกขึ้นก่อน แล้วส่งมือให้เขาจับพยุงลุกขึ้นตามมา ผมอาสาขอไปส่งเขาที่บ้าน เราเดินตามทางมาด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน แสงสีทองสาดส่องเราทั้งสองเห็นเงาของเราเดินเคียงกัน ภาพความทรงจำไหลย้อนเข้ามาให้หวนนึกถึงวันวาน

ช่วงเวลาสุดท้ายก็มาถึง เรามาหยุดที่หน้าบ้านของคนตัวเล็ก บ้านหลังเก่ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คิดถึงจังเลยนะ

“ถึงบ้านผมแล้ว” ธีรธัชว่า

“...”

“ผมขออะไรคุณอีกอย่างสิ”

“ได้สิสำหรับคุณผมให้ได้ทุกอย่าง”

“ผมขอกอดคุณได้ไหม...” เขาว่าก่อนจะช้อนหน้าขึ้นมอง “ผมรู้สึกเหมือนว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เหมือนคุณกำลังจะหายไป”

“ได้สิ” ว่าจบผมก็กางแขนทั้งสองข้างออก คนตัวเล็กเดินเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้จนแน่น และผมก็กอดตอบเขา

ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ผมโหยหาอ้อมกอดนี้มาโดยตลอด ลองพยายามเอาใครอีกคนเข้ามา แต่มันก็ไม่สามารถแทนที่เขาได้เลย

ในอ้อมกอดอบอวลไปด้วยความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านร่างการผอมบาง ผมสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของกันและกัน มันเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ

ในเวลานี้ช่างดีเหลือเกิน เมื่อผมได้กลับมากอดเขาในวันที่หัวใจเขายังเต้นอยู่

“คุณผมจะลองบอกชอบเขาอย่างที่คุณบอก”

“เก่งมาก เขาต้องตอบรับคุณแน่ ๆ”

“ขอบคุณครับ”

“ลาก่อนนะธีรธัช...”

“ลาก่อนครับคุณคนแปลกหน้า...” เขายิ้มส่งมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนผมจะเดินหมุนตัวออกมา ไม่นานผมก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งสวนผ่านผมไป ตามด้วยเสียงเรียกชื่อของอีกคน

“ธัช! ทำไมวันนี้ไม่ไปโรงเรียน”

ผมหยุดเท้าที่กำลังก้าวอยู่เพื่อหยุดฟัง

“เอ่อคือผมโดดเรียนน่ะ”

“พี่ต้องทำยังไงกับธัชดีเนี่ย ทำไมเราเกเรฮะ”

“เรื่องนั้นช่างมันก่อนได้ไหมครับ ผมมีเรื่องอะไรจะบอกพี่...”

เสียงของคนทั้งคู่กำลังขาดหายไป มันค่อย ๆ เบาลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก





ป๊อก!

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าผมก็ต่างออกไป ผมกำลังยืนอยู่หน้าวัดเหมือนตอนแรกที่ผมยืนอยู่กับคุณตา แต่ทว่าตอนนี้คุณตาหายไปแล้ว

ผมเดินไปยังกำแพงวัด หยุดอยู่ตรงรูปภาพสีขาวดำของชายสูงอายุ คนเดียวกับที่ส่งผมไปหาธีรธัชนั่นแหละ

‘ประทานพร’ นั่นเป็นชื่อของเขา

“ขอบคุณนะครับคุณตา ผมมีความสุขมาก” ว่าจบผมก็เดินหมุนตัวกลับเข้ามาที่วัดอีกครั้ง

รถผมจอดอยู่ที่หน้าศาลา ระหว่างทางเดินผมก็เดินยิ้มไม่หยุด คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทีไรผมก็รู้สึกดีใจทุกครั้ง

ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนอย่างผม และที่สำคัญวันนี้ผมได้รู้ว่า ที่ธีรธัชสารภาพรักกับผมเป็นเพราะตัวผมเอง ที่ทำให้เขากล้ามาพูดตรง ๆ กลายเป็นว่าผมต่างหากที่ปอดแหกแอบชอบเขามานาน แต่ไม่กล้าพูดออกไป

ถ้าธีรธัชไม่พูดตอนนั้นเราก็คงไม่ได้คบกันสินะ...

จังหวะที่ผมกำลังเปิดประตูรถเพื่อแทรกตัวเข้าไป ผู้หญิงคนหนึ่งเธอเดินมาจากด้านหลังของผม นั่นทำให้มือที่กำลังเปิดประตูรถต้องหยุดชะงักในทันที

คุณแม่ของธีรธัชนี่ หรือว่าเขาจะมาทำบุญครบรอบวันที่ลูกชายเขาเสียกัน

ผมเดินตามหลังคุณแม่ของธีรธัชเข้าไปในศาลาหวังจะเข้าไปสวัสดีและทักทายตามมารยาท บนศาลาเขากำลังจัดงานอยู่ ฟังจากเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ก็พอเดาได้ว่ามันคืองานศพ

“เขาเป็นอะไรเสียเหรอป้านิ่ม” เสียงของป้าคนหนึ่งนั่งอยู่ทางเข้าว่าขึ้น

ผมเลิกสนใจที่จะเดินตามคุณแม่ของธีรธัช แล้วหยุดฟังสิ่งที่พวกเขาคุยกัน

“โดนรถสิบล้อชนหน้าวัด เห็นเขาว่าคาที่เลย เด็กวัดเล่าให้ฟังว่า เมื่อวานเป็นวันครบรอบวันตายของแฟนเขา ยังไม่ทันได้เข้ามาไหว้ก็ดันโดนรถชนซะก่อน”

น่าสงสารจัง...

ฟังจบผมก็สาวเท้าเข้าไปในงานต่อ สงสัยคงเป็นคนรู้จักของคุณแม่ธีรธัชล่ะมั้ง ถึงได้รีบเดินเข้ามาอย่างนี้

ผมเดินเข้าไปได้อีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเท้าผมก็เป็นอันต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง

คุณแม่ผมกำลังนั่งร้องไห้เสียงระงมอยู่ที่พื้น มีคุณแม่ของธีรธัชกอดปลอบอยู่ใกล้ ๆ

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”

“ทำไม...ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ ฮืออ เจ้าจอม...”

เข่าผมทรุดลงกับพื้นทันที “แม่...ผมอยู่ตรงนี้...” รูปตั้งหน้างานบอกวันเดือนปีเกิด และวันที่ผมจากโลกนี้ไปชัดเจน ภาพที่ตั้งอยู่เป็นรูปผมไม่ผิดแน่

ผมตายแล้ว แถมยังตายตั้งแต่เมื่อวาน...

“คงถึงเวลาของเขาแล้ว” คุณแม่ของธีรธัชว่า

“เจ้าจอม ไปอยู่กับน้องธัชแล้วใช่ไหมลูก ฮืออ...”

เข้าใจแล้ว ความตายมันน่ากลัวจริง ๆ อยากกอดคนที่รักก็ทำไม่ได้ อยากเอ่ยขอโทษก็ไม่ได้ยิน ทำได้เพียงนั่งมองอยู่ตรงนี้ ผมไม่สามารถนั่งทนดูแม่ของผมเสียใจได้

ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากศาลา ไปยังใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก ตรงนั้นมีม้านั่งหนึ่งตัว ผมทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา ได้แต่พึมพำกับตัวเอง

ผมตายแล้ว ตายทั้งที่ยังไม่ได้ล่ำลาแม่ แค่จะเข้ามาหาธีรธัชก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นาทีนั้นเอง ผมก็ได้กลิ่นหอมเย็นของดอกมณฑารพลอยขึ้นมาแตะจมูก

“พี่จอม...” เสียงนั่น มันดังมาจากด้านหลัง “ผมมารับพี่แล้ว...” ผมหันกลับไปมองยังปลายต้นเสียง

ใบหน้าของเขายังคงฉายชัดในม่านความทรงจำ ต่อให้เวลาผ่านไปนานเพียงใดผมก็ยังจำเขาได้ ดวงตาคู่นี้ยังเหมือนเดิม

“ธีรธัช...”

คนตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนจะอ้าแขนออก ผมไม่ลังเลเลยที่จะลุกขึ้นแล้วตรงเข้าไปสวมกอดจนแน่น น้ำตาที่ไหลก็พลันหยุดลง

ผมได้กลับมาเจอเขา...และเราจะไม่จากไปไหนไกลกันอีก...

“เจ้าจอมคุณปล่อยให้ผมรอซะนานเลยนะครับ”




...จบ...

#เจ้าจอมธีรธัช












ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด