เขาหัวเราะเบา ๆ ราวกับไม่ยี่หระ
“จริง ๆ ก็ชินซะแล้วล่ะครับ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนแอบมองมัดสักหน่อยนี่นา อีกอย่างคุณเองก็ไม่ได้จ้องจนทำให้รู้สึกอึดอัดมากขนาดนั้น แต่เป็นมัดเองต่างหากที่ช่างสังเกตมากจนเกินไป แต่ก็นะ ถ้าไม่รู้จักสังเกตสังกาสิ่งรอบข้างแล้วจะเป็นนักเขียนได้ยังไงล่ะ สกิลขั้นพื้นฐานที่นักเขียนทุกคนต้องมีติดตัวเอาไว้เลยนะครับนั่นน่ะ”
คุยเก่งจังเลยแฮะ...ผิดกับบุคลิกและหน้าตาที่ดูเหมือนเป็นคนหยิ่ง ๆ นั่นลิบลับเลย ผมไม่ได้จินตนาการเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายจะมีอุปนิสัยใจคออย่างไรบ้าง เพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยหรือทำความรู้จักกัน แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะพูดจากับคนแปลกหน้าด้วยประโยคยาว ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้
“คุณเป็นนักเขียนหรือครับ”
เขาพยักหน้าแทนคำตอบ
ผมจึงถามต่อ
“นามปากกาอะไรหรือครับ ผมเองก็อ่านนิยายอยู่บ้างเหมือนกัน ผมอาจจะรู้จักก็ได้นะ”
“มัลลิกา”“...”
“เคยได้ยินไหมครับ”
ถึงกับเกือบหลุดกรี๊ดออกมาถ้าหากไม่หุบเม้มริมฝีปากเอาไว้เสียก่อน ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความตื่นตะลึง และเกือบจะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเพื่อเช็คดูว่ากำลังฝันหรือกำลังละเมอเพ้อพกอะไรอยู่หรือไม่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ได้กำลังมองมาด้วยดวงตาหวานล้ำดั่งน้ำผึ้ง หากแววตาคู่นั้นดูออกชัดเจนว่ากำลังพยายามล้วงลึกจับผิดความรู้สึกของผมอยู่
ตรง ๆ เลยนะ ไม่คิดว่ามันน่าเหลือเชื่อบ้างเหรอ โลกใบนี้มันกว้างใหญ่ออกจะตาย ผมจึงไม่เคยคิดว่าทฤษฎีโลกกลมที่ใครต่อใครชอบพูดกันมันจะเป็นความจริงได้ แต่ต่อให้ไม่คิดก็คงต้องคิดแล้วล่ะ เพราะนักเขียนนิยายรักเพียงคนเดียวที่ผมติดตามผลงานทุกชิ้นไม่เคยขาดมาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน (เพราะกับนักเขียนคนอื่น ๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกตรงใจจนต้องสรรหางานอื่น ๆ มาอ่านมากขนาดนั้น คงเพราะงานของเขามันตรงกับจริตของผมมากที่สุดละมั้ง) กับผู้ชายที่ผมเจอโดยบังเอิญในร้านคาเฟ่และแอบมองเขาด้วยความชื่นชมมาจนถึงเมื่อครู่นี้ดันเป็นคนเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์ เสียงตุบ ๆ ตับ ๆ ที่ดังระรัวประหนึ่งกลองชุดภายในอกตอนนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ผมก็เริ่มจะไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่แล้ว…อาจเป็นเพราะความติ่งแตกของตัวเองที่บังเอิญได้เจอคนที่ตัวเองติดตามผลงานมานานปีดีดัก…หรืออาจเป็นเพราะเสียงหัวเราะเบา ๆ จากลำคอที่ราวกับรู้ทันว่าผมกำลังตื่นเต้นเพราะเขามากเพียงใด
ผมขบฟันแน่น จริง ๆ ก็แอบเสียเซลฟ์อยู่นิดหน่อย เพราะถ้าหากเขารู้ว่าผมติ่งเขาล่ะก็ ระดับความเท่ (ซึ่งก็คงไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วล่ะในสายตาของเขา เพราะทีแรกเขาเข้ามาทักว่าผมเป็นพวกโรคจิตนี่นา…) ก็คงลดฮวบฮาบลงมาจนกลายเป็นติดลบไปเลยล่ะมั้ง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแคร์สายตาของอีกฝ่ายทำไมมากมาย เขาก็คงจะเจอแฟนคลับนิยายมาไม่มากก็น้อย ผมตบตีกับตัวเองในหัวอีรุงตุงนัง และตัดสินใจตอบกลับไปแบบกลาง ๆ
“เคยได้ยินอยู่ครับ”
“เคยได้ยิน ‘อยู่’ แปลว่าเคยหรือไม่เคยครับ ?” น้ำเสียงหยอกเอินกับรอยยิ้มเย้า ๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอเม้มริมฝีปากแน่น
เพราะผมเกริ่นขึ้นมาแต่แรกละมั้งว่าตัวเองก็อ่านนิยายอยู่บ้าง และคนตาหวานก็มั่นหน้ามั่นใจว่าตัวเองดังพอ หากเป็นคนที่คลุกคลีกับแวดวงหนังสือก็จะต้องรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของมัลลิกาอย่างแน่นอน แต่ผมก็ไม่อยากยอมแพ้เขาง่าย ๆ ผมจึงทำใจดีสู้เสือตอบ
“เคยได้ยินครับ คุณดังออก ผมจะไม่เคยไม่ยินมาเลยได้ยังไง แต่ก็แอบแปลกใจนิดหน่อย ผมคิดว่ามัลลิกาจะเป็นผู้หญิงซะอีก”
“คุณตามเพจมัดอยู่หรือครับ”
โอย…
ยิ่งได้คุยกันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังถูกต้อนหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ แต่โชคดีที่คราวนี้เขาไม่รอให้ผมตอบกลับ เขายิ้มนิด ๆ แล้วอธิบายต่อเรียบ ๆ
“จริง ๆ มัดก็ไม่ได้ปิดบังหรอกครับว่าตัวเองเป็นชายหรือหญิง แต่แฟนคลับของมัดส่วนมากก็เป็นผู้หญิงกันทั้งนั้น มัดอยากเข้าถึงกลุ่มแฟน ๆ เวลาคุยเล่นกันในแฟนเพจก็เลยเลือกใช้คะค่ะมาเป็นคำลงท้าย อันที่จริงก็ส่วนใหญ่เลยล่ะมั้งที่เข้าใจว่ามัดเป็นผู้หญิงน่ะ แต่มัดก็ไม่ได้ไปตามแก้อะไร ไม่รู้ว่ามันเป็นการหลอกหลวงไหมเหมือนกัน แต่เพราะแฟน ๆ ที่เป็นผู้หญิงหลาย ๆ คนมองว่ามัดเป็นไอดอลของเขา แล้วถ้าเขารู้ว่าจริง ๆ แล้วมัดเป็นผู้ชายก็อาจจะทำให้รู้สึกผิดหวังได้ มัดเลยปล่อยเลยตามเลย ใครอยากเข้าใจยังไงก็ปล่อยให้เข้าใจอย่างนั้น แต่เจตนาจริง ๆ คือมัดแค่อยากให้แฟน ๆ รู้สึกว่ามัดเป็นพวกเดียวกับเขาอะไรแบบนั้น...ตั้งใจฟังเชียว เข้าใจที่มัดอธิบายใช่ไหมคะ ?”
ถูกเขาแหย่เอามันส์อีกแล้ว…
คงเพราะผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต ผมจึงไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าจริง ๆ แล้วตัวเองนั้นยังอ่อนหัดกับเรื่องคารมคมคายอยู่มาก จนได้มาพูดคุยกับคนตรงหน้าเนี่ยแหละ...แถมยังเป็นการได้คุยกันอย่างงง ๆ อีกด้วยนะ กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกมึน ๆ อยู่เลยว่าตกลงแล้วเราสองคนมาเริ่มคุยกันได้ยังไง เพราะตอนแรกเขาเข้ามาทักเพราะคิดว่าผมเป็นพวกโรคจิตถ้ำมองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเราถึงได้ต่อบทสนทนากันมาจนถึงตอนนี้ได้ ผมควรจะถูกหิ้วปีกไปโรงพักแล้วด้วยซ้ำถ้าหากเขาต้องการเอาเรื่องผมจริง ๆ
แปลกคน
แต่ก็ช่างเถอะ
เอาเป็นว่าการได้พูดจากับคนตรงหน้าเนี่ยแหละ ถึงได้ทำให้ผมรู้ตัวว่าจริง ๆ แล้วผมมันพวกไก่อ่อน คนตาหวานร้ายกาจมาก นิสัยขี้เล่นอย่างนี้ต้องมีคนชอบเยอะมากแน่ ๆ เลย น่าแปลกที่พอคิดได้อย่างนั้น ภายในใจของผมมันก็แอบกรุ่น ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ผมปัดความรู้สึกน่ารำคาญพวกนั้นออกไปอย่างไม่ไยดีจะหยิบขึ้นมาคิดวิเคราะห์ว่ามันเกิดจากอะไร บรรยากาศระหว่างเราค่อย ๆ เงียบลง อีกฝ่ายคล้ายกับหมดเรื่องสนทนาจึงเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ภายนอก และใบหน้าด้านข้างที่แสนเพอร์เฟ็กต์ของเขาก็สะกดสายตาของผมอีกรอบตามประสา
ผมกระแอมไอเล็กน้อยหลังจากมองเพลิน ๆ อยู่เพียงไม่นาน และเพราะไม่อยากให้เกิดช่องว่างระหว่างบทสนทนาจนทำให้ความประทับใจแรกของการคุยกันระหว่างเราแห้งแล้งมากจนเกินไป จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยทีท่าเก้ ๆ กัง ๆ
“ว่าแต่ว่า… ใช้นามปากกาว่ามัลลิกา แต่จริง ๆ ไม่ได้ชื่อมัลลิกาใช่มั้ยครับ”
เขาแทนตัวเองว่า ‘มัด’ ผมจึงเดาไปว่าเขาน่าจะชื่อมัดละมั้ง
คนตาหวานเอ่ยตอบโดยไม่ได้หันมามองหน้าผม สายตาของเขายังจับจ้องอยู่กับวิวด้านนอก
“ครับ ไม่ได้ชื่อมัลลิกา”
เขาตอบกลับเพียงเท่านั้นราวกับไม่ได้ใส่ใจสักเท่าใด ทำเอาผมไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว อะไรของเขาวะนั่น อยู่ ๆ ก็เกิดประหยัดถ้อยประหยัดคำขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้ง ๆ ก่อนหน้าก็เห็นพูดคุยหยอกล้อเล่นกันเก่งกาจออกขนาดนั้นแท้ ๆ ผมเผลอย่นคิ้วอย่างขัดใจ และถามจี้ต่อ
“ผมเห็นคุณแทนตัวเองว่ามัด คุณชื่อมัดหรือครับ”
สาบานได้เลยว่าผมแอบเห็นคนตรงหน้าอมยิ้มหน่อย ๆ อย่างกับว่าผมดันไปทำอะไรให้เจ้าตัวถูกใจอย่างไรอย่างนั้น
เขาหันกลับมาสบตากับผม และตอบแบบประหยัดถ้อยคำอีกครั้ง
“เปล่าครับ ไม่ได้ชื่อมัด”
“อ้าว แต่…”
“สนใจหรือครับ”
“...”
“อยากรู้หรือครับ”
เละ…
หมายถึงตัวผมเนี่ยแหละครับ ถูกปั่นจนเละเทะไปหมดแล้ว และผมก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังสนุกสนานมากทีเดียวกับการที่สามารถทำให้ผมหัวหมุนได้มากมายขนาดนี้ ต้องยอมรับโดยดุษฎีนะว่าอีกฝ่ายมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมเองก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้แม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย แต่ผมก็อยากจะต่อบทสนทนากับเขาไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ…อย่างนี้ล่ะมั้งที่เขาเรียกกันว่าแรงดึงดูด
ผมเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังทะเลาะอยู่กับครองขวัญ ถ้าหากข้อความของอีกฝ่ายไม่เด้งขึ้นมา
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ครองขวัญ : ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ
ครองขวัญ : กูไปทำอะไรให้มึงนักหนา
ครองขวัญ : มึงมันคนเหี้ย
ครองขวัญ : มึงกำลังจะทิ้งกูใช่มั้ย ได้กูจนหนำใจแล้วมึงก็จะทิ้งกู
ครองขวัญ : ไอ้ชาติหมาถ้าอยู่คนเดียวผมคงร้องไห้ออกมาแล้วแน่ ๆ ข้อความที่กำลังปรากฎอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้ผมกำมือแน่นอย่างต้องการระบายความอึดอัดใจ พิษสงร้ายกาจจากข้อความเหล่านั้นทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าครองขวัญรักผมจริง ๆ หรือแค่อยากมีผมไว้เป็นแค่ทีระบายอารมณ์ ที่ผ่านมาผมพยายามคิดมาตลอดว่าทำไมคนรักกันถึงต้องด่ากันแบบสาดเสียเทเสียอย่างกับว่าเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนอย่างนี้ด้วย แต่ถ้าถามผมผมไม่ได้เกลียดเธอเลยสักนิดเดียว และในขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ต้องการที่จะมีความรู้สึกอย่างนั้นต่อเธอเลยด้วย เพราะถึงอย่างไรเราสองคนก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันไม่ใช่เหรอ แต่...ดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะรับมันเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว พลังด้านลบที่ผมมีต่อเธอมันกำลังเพิ่มทวีมากขึ้นทุกวัน จนผมเกรงว่าการพูดคุยกันมันอาจแปรเปลี่ยนความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอให้กลับกลายเป็นความเกลียดชังขึ้นมาก็ได้
ผมคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง คนตาหวานตรงหน้ามองผมด้วยสายตาราวกับกำลังค้นหาคำตอบ หากแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติด้วยการเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า
“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ผมแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ผมชื่อ…”
“มัดต้องไปแล้วครับ พอดีมีธุระต่อน่ะ”
“...”
...เลยเหรอ
ตัดบทฉับอย่างนี้ก็ได้เหรอ
“อ่า...ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีที่ได้คุยกันนะครับ คุณมัลลิกา” แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากเก็บกลั้นความเสียดายเอาไว้ และตอบกลับไปอย่างสุภาพ
คนตาหวานหยุดนิ่งไปนิดหนึ่ง สีหน้าราวกับครุ่นคิด ก่อนจะพูดว่า
“อันที่จริงแล้ววันนี้มัดว่าจะออกไปดื่มที่บาร์ xxx แถวเอกมัย”
“ครับ...”
แล้วบอกกูทำไม งง
เขายิ้ม
“มัดอยากรู้ชื่อคุณนะ”
“...”
“แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าถ้าพูดอย่างนี้แล้วจะมีคนตามไปหาหรือเปล่า”
ตึกตัก…
“ส่วนชื่อของมัด”
“...”
“ชื่อ
‘มัดใจ’ ครับผม”
น่ากลัวมาก…
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูดการจา หรือกระทั่งรอยยิ้มอันแสนหวานหยาดเยิ้มนั่น มันทำให้ก้อนเนื้อในอกผมกระตุกแรงราวกับถูกใครบางคนฉุดกระชากออกมาด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสง หน้าตาของผมในตอนนี้มันต้องดูประดักประเดิดมากแน่ ๆ ผมพยายามดึงวิญญาณกลับเข้าร่าง กระแอมกระไอเล็กน้อย และตอบกลับอย่าง (คิดว่า) มีชั้นเชิงว่า
“ผมไม่แน่ใจว่าคืนนี้จะว่างไหมเหมือนกัน ถ้ายังไงขอคิดดูก่อนนะครับ”
“แล้วเจอกันครับ”
...จ้ะ
เริ่มจะชังน้ำหน้าขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วสิ เขาดูมั่นใจมากเลยว่าถึงยังไงคืนนี้ผมก็ต้องคลานเข่าเป็นหมาไปเขาหาถึงที่ เขามั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าผม เขามั่นใจมากว่าตัวเองนั้นหล่อเหลาเอาการ แม้แต่ไอ้การเล่นควันบุหรี่โดยพ่นมันออกมาเป็นรูปโดนัท เขาก็รู้ว่ามันทำให้เขาดูเซ็กซี่ฉิบหาย และเพียงแค่มองสบตากันเท่านั้นเขาก็ยังสามารถหยั่งรู้ได้อีกด้วยว่าผมน่ะมันแพ้ทางเขายับเยิน
เขารู้!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
TALK : บอกเลย เมะลูกหมากับเคะนางพญา
#มัดใจเจ้าคุณ