ควันและถ่าน
กลิ่นควันยังคงตามหลอกหลอน แม้เขาจะชำระล้างร่างกายถึง 2 ครั้ง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากลิ่นเหม็นไหม้จะอยู่ติดตัวนานขนาดนี้ เหมือนคอยตอกย้ำการกระทำที่โง่เขลาที่เขาได้ทำลงไป
ปีนี้เป็นปีที่ซวยสุดๆ ต้อนรับต้นปีด้วยการเกิดโรคระบาด สั่นสะเทือนทุกวงการ ทุกอย่างหยุดชะงัก บริษัทเริ่มให้หยุดงาน จ้างออก และบีบบังคับยินยอมเซ็นใบลาออก
นันคือผู้โชคดีรายนั้น เขายอมเซ็นใบลาออกพร้อมรับเงินจำนวนหนึ่ง ถนนหนทางที่ก้าวเดินเงียบสงัด
'ยังกับเมืองร้าง'
อยู่ดีๆ โชคชะตาก็เล่นตลก กลายเป็นมนุษย์เตะฝุ่น หนทางข้างหน้าขมุกขมัว ภาระมากมายที่กองสุมๆ ไว้ ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ชีวิตยังต้องพบเจอเรื่องบัดซบ อะไรมันจะดีขนาดนี้
ตกงาน กักตัว ออกนอกบ้านได้แค่ซุปเปอร์ เส็งเคร็งจริงๆ ชีวิตนี้ ไม่นับรวมเงินเยียวยาจากรัฐที่ต้องเดินเข้าออกประกันสังคมอยู่นานกว่าจะได้ซักบาท
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมให้นอนโง่ๆ ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทั้งวันทั้งคืน
'นานวันเข้าคงคุยกับตัวเองทั้งวันแน่นอน'
เพื่อนไม่มี ครอบครัวล้มหาย ตัวคนเดียวในเมืองหลวง หันหน้าพึ่งใครดี
สิ้นเดือนมาเร็วเหมือนนกรู้ ใบทวงหนี้สิน ค่าน้ำไฟ ค่าเช่าห้อง ราวกับจะทับถมกันให้ตายไปข้าง
นโยบายพักชำระหนี้พร้อมเงื่อนไขมากมายไม่ตอบสนองความต้องการเท่าที่ควร พักไปแล้วยังไง ถึงเดือนที่ต้องจ่ายก็จ่ายอยู่ดี เผลอๆ จ่ายมากกว่าเดิมอีกไหม
"กระเพราหมูสับจานนึงครับป้า"ร้านรวงต่างๆ ยังปิดอยู่ โชคดีที่ร้านใต้ตึกยังเปิด แต่ต้องเอากลับไปกินที่ห้องห้ามนั่งกินที่นี่
"จ้าลูก"คุณป้าเดินต้วมเตี้ยมจากหลังร้านออกมารับออเดอร์ ก่อนจะเดินไปทำให้
นันยิ้มรับเริ่มสนทนาขณะมืออาชีพกำลังเตรียมวัตถุดิบ
"ขายดีไหมครับ"
"ขายได้ไม่มาก ช่วงนี้เขาอยู่บ้านทำกินกันเอง"
คุณป้าใจดีตอบกลับมา
"โควิดนี้แย่เนอะ"
"แย่มากเลยลูก ลูกค้าป้าหายหมด"
นันสนทนากับป้าอีกสักพักก็รับกล่องกระเพราใส่ถุงมาถือ จ่ายเงินแล้วเดินกลับห้อง
ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ยังคงชวนหดหู่
เขาถอนหายใจหยิบกล่องโฟมมาเปิด กลิ่นกระเพราหอมๆ ลอยตีหน้าขึ้นมา
"อย่างน้อยก็ยังมีข้าวกินวะ"มือหยิบช้อนพลาสติกจ้วงข้าวกิน สายตาเหม่อมองบรรยากาศข้างนอกผ่านกระจกเก่าๆ ขึ้นฝ้า
เงินเริ่มร่อยหรอ แม้จะพยายามหางาน ขายของออนไลน์เล็กๆ น้อย อยากหาของมาขายตามตลาดเหมือนกัน แต่ทุนที่มีมันไม่พอ นันถอนหายใจกับตัวเองทุกวัน กว่าข่มตาหลับ กว่าจะฝืนลืมตาตื่น ไม่ง่ายเลย
เดือนนี้เริ่มมีคำสั่งเปิดกิจการหลายๆ อย่าง มันทำให้ใจชื้นขึ้นบ้าง ความหวังเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้นันหาทุกงาน ตรงสาย ต่างสาย งานห้าง งานเซลล์ งานออกบูธ
ยังไม่มีที่ไหนเรียกพบ การจ้องโทรศัพท์ทุกวันแทบทำให้เป็นบ้า
เขานอนหมดอะไรตายอยากบนพื้นห้อง มือไถโทรศัพท์ ในหัวก็คิดหลายตลบ
อีก 10 กว่าวันใกล้สิ้นเดือนแล้ว อย่าว่าแต่ค่าห้องเลย จะค่าน้ำค่าไฟก็ไม่เหลือไว้จ่าย รองท้องด้วยมาม่ามาครึ่งเดือนแล้ว
'รมควันดับอนาถ'หัวข้อหนึ่งเรียกความสนใจ เขาลองคลิ๊กเข้าไปดูรายละเอียด เป็นข่าวผู้หญิงคนหนึ่งได้ชีวิตตัวเองด้วยวิธีรมควัน
"แค่นอนดมควันก็ไปได้แล้วเหรอวะ ง่ายขนาดนั้นเชียว"
แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมา เขาเริ่มเสิร์จถึงสิ่งต้องการรู้
วิธีการดั่งกล่าวมีคนถกเถียงกันหลายความเห็น ทั้งบอกว่ามันทรมานน้อยสุด ตายง่ายสุด แต่อีกคนก็บอกว่ามันทรมานมาก กว่าจะไป
ชั่ววูบหนึ่งในหัวเขาก็เกิดเป็นภาพตัวเองนอนนิ่งๆ สูดดมควันและหลับไป
ตลอดกาล…..
หรือนี่จะเป็นสิ่งที่หามาโดยตลอด?
เขาสะบัดหัวเรียกสติ
'อย่าปล่อยให้ตัวเองคล้อยตามเรื่องโง่ๆ นี่เชียว'
นันดับความฟุ้งซ่านของตัวเองด้วยการเดินไปอาบน้ำ ทำตัวให้โล่งๆ เตรียมคิดวิธีใช้ชีวิตต่อไป
เคราะห์กรรมซัดเข้าตัวอีกครั้ง หนี้บางตัวที่พักชำระไว้ กระแทกเข้ามาในเดือนที่ไร้ทางออก อีกสองวันก็ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านแล้ว งานไม่มี เงินหมด เครียดจริงโว้ยยยยยยย
แม้แต่มาม่าที่ซื้อทิ้งไว้ก็เหลือแค่สองซองสุดท้าย จะแบ่งครึ่งกินก็จะได้กี่วันเชียว
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว และความคิดบางอย่างเริ่มกลับมาอยู่ในหัวอีกครั้ง
"อยู่ยากมากนัก กูไม่อยู่มันแล้ว!!! "เขาตะโกนคนเดียวในห้อง
อย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่ามรสุมชีวิต ทุกอย่างรุมล้อมเข้ามาพร้อมกับเหมือนนัดกันไว้
เขาเริ่มเสิร์จหาวิธีการ
และไหนๆ ก็จะไปแล้วหาที่ไปสะดวกสบายเลยดีกว่า
โรงแรมแห่งหนึ่งถูกจองไว้ โชคดีที่ช่วงนี้หลายโรงแรมลดราคาลงมาเยอะมาก
เขาเตรียมอุปกรณ์ใส่กระเป๋า โบกมือลาห้องพักเล็กๆ ด้วยความหวังว่าจะไม่ได้กลับมาหามันอีก
โรงแรมนี้สะอาดดี แม้จะไม่ได้หรูหรามากนัก แต่ก็พอให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนวันสุดท้ายของชีวิต
นันสั่งอาหารมากินโดนทำเมินราคาทำเอาหูกระเป๋าฉีก ยังไงก็จะไปแล้ว จะสนใจทำไมอีก
ห้องพักจัดวางได้เข้ากับแผนที่วางเอาไว้ได้ดีจริงๆ
เที่ยงคืน
หมายกำหนดการใกล้เข้ามาแล้ว เขาติดตั้งและวางอุปกรณ์ในที่ของมัน ห้องน้ำคือที่สิงสู่สุดท้ายของชีวิต ปิดตายประตูห้องน้ำแล้วก็เริ่มจุดไฟ ควันไฟบนกระทะเริ่มลอยออกมา กลิ่นของมันชวนเหม็นหืน พานจะขะย่อนอาหารที่กินไว้ออกมา
ในที่สุดฤทธิ์ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ เขาหลับตาลงและหวังว่าจะได้พักผ่อนไปตลอดการ
นันสะดุ้งเฮือกขึ้นมา น้ำตาไหล จมูกสองข้างแสบร้อน ลำคอตีบตัน ทรมานอะไรอย่างนี้ เมื่อมองขึ้นไปบนเพดาน ควันสีขะมุกขะมัวยังคงลอยเอื่อยๆ อยู่บนนั้น
'ทำไมยังอยู่อีก'
นันค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา เขามองไปที่กระทะใบนั้ย ถ่านไร้ควันที่ซื้อมา ใกล้มอดลงแล้ว
ออกซิเจนในห้องช่างน้อยนิดจนเริ่มทนไม่ไหว
อยากตายก็อยาก แต่ให้ทรมานแบบนี้ก็ไม่ไหว เขาจึงแกะสก็อตเทปที่ติดกับประตูออก
ให้เรียกว่ากระชากคงเร็วกว่า เขาลุกขึ้น ก่อนจะล้มลงไปอีกครั้ง คราวนี้เขารวบรวมกำลัง ค่อยๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ แอร์เย็นๆ และอาหาศบริสุทธิ์ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
นันเดินวนไปวนมา ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
ภาพผู้ชายหน้าซีด ตาแดงก่ำปรากฏบนกระจกหน้าตู้เสื้อผ้า
"ทำไมกูยังไม่ตายอีก ทำไมวะ ทำไม"ไม่มีเสียงตอบจากภาพเงาตัวเอง
'หรือควันมันยังไม่แรงพอ? '
เขากลับเข้าห้องน้ำอีกครั้ง เพิ่มถ่านลงไปและกินยาเพิ่มอีกสองเม็ด
คราวนี้หวังว่าจะได้สมใจซักที
ความง่วงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
8โมง
นันสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เพดานยังคงเป็นของเดิมกับที่จากมา กลิ่นไหม้รุนแรงและควันหนาๆ ปกคลุมทั่วบริเวณ เขาไอจนตัวโยน สำลักควันเข้าไป
ทรมาน ทรมานเหลือเกิน
ร่างกายจะชักก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง เขาเริ่มกอดตัวเองและร้องไห้ออกมา
ไหนว่าวิธีนี้ง่ายสุด สบายสุด ทำไมยังไม่ตายอีกวะ เขาหายใจแรงขึ้น มือเอื้อมไปเปิดประตู กระเสือกกระสนคลานออกมา
เขาว่ากันว่าคนไม่อยากตาย มันทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าประตูห้องจะไกลแค่ไหน เขาก็สามารถคลานมาถึงได้
พื้นห้องเย็นๆ เพิ่มความหนาวสั่นให้กับร่างกายมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เปิดประตูได้ ทางเดินว่างเปล่า เช้าๆ แบบนี้คงยังไม่มีใครมา
สติค่อยๆ เลือนหาย ร่างกายไร้เรี่ยวแรงก้าวเดิน ในที่สุดเขาก็สลบไป
แสงไฟแยงตาจนต้องหลับลงไปใหม่ เป็นอยู่ 2-3ครั้งจึงฝืนลืมตาได้ สิ่งแรกที่เห็นเป็นเสาน้ำเกลือ
ตั้งแต่ลำคอลงไปแห้งผาก ความกระหายน้ำเข้าโจมตี
"เป็นยังไงบ้าง หิวน้ำไหม พี่เอาให้นะ" เสียงคุ้นหูดังอยู่ใกล้ๆ แก้วน้ำพร้อมหลอดยื่นเข้ามา เขาดูดด้วยความกระหาย
"แค่กๆ "
"ค่อยๆ สิ"
หลังจากดื่มเสร็จเจ้าของแผ่นหลังกว้างก็ เดินเอาแก้วน้ำไปเก็บ
แม้จะผ่านมานานแล้วแต่เขายังไม่เคยลืม
"พี่ ปัญ "เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น
ผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินมานั่งเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาคู่คมอันแสนคุ้นเคยมองสบตอบ
"ลำบากทำไมไม่โทรหาพี่ นันทำแบบนี้ทำไม"เสียงเข้มเอ่ยขึ้น
คำถามของผู้ชายตรงหน้ามันยากที่จะตอบ การกระทำทั้งหมดมันตื้นเขิน เต็มไปด้วยความไม่ยั้งคิด สายตาพร่าเลือนจ้องมองสายน้ำเกลือ
ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา เขาร่ำไห้ไร้เสียงสะอื้น
ปัญกรยังคงใจเย็นเสมอ เขารอจนคนบนเตียงจะหยุดร้องไห้
ไม่มีการปลอบขวัญ ไร้การปลอบโยน เป็นเช่นเดิมตั้งแต่เริ่มความสัมพันธ์ที่เกินรุ่นพี่รุ่นน้อง
ทุกครั้งที่อ่อนแอตัวเขาจะนั่งร้องไห้เงียบๆ โดยมีผู้ชายคนนี้นั่งอยู่ข้างๆ คอยรับฟัง หากต้องการอ้อมกอดเขาต้องเป็นฝ่ายกอดเอง
"พี่ก็รู้ อึก ว่าเราเลิกกันแล้ว นันจะมีหน้าไปขออะไรกับพี่เหรอ"
"แต่เรายังเป็นพี่เป็นน้องกันนี่ พี่ย้ำกับเราตลอดว่ามีเรื่องอะไรให้บอกพี่ ถ้าช่วยได้พี่จะช่วย"
"แค่นี้นันก็ไร้ศักดิ์ศรีมากพอแล้ว"เขาก้มหน้า มองมือที่กำแน่นของตัวเอง
"ศักดิ์ศรีกินได้เหรอนัน เลิกคิดโง่ๆ แบบนี้ทีเถอะ ยอมตายแต่ไม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรี นันคิดได้ไงวะ!!! "
ไม่บ่อยที่ผู้ชายสุภาพเรียบร้อยอย่างปัญกรจะขึ้นเสียงใส่ใคร ถ้าไม่ติดว่าอีกคนยังนอนซมอยู่ เขาคงกระชากตัวอีกฝ่ายมาเขย่าซักครั้งแล้ว
"แล้วพี่จะให้นันทำยังไง ติดต่อกันวันดีคืนดีนันก็ต้องเดินกลับไปทางนั้นอีก"สายตาเจ็บปวดจ้องมองสบตา
"ก็ดีกว่าอยู่ตรงนี้นะนัน พี่เอมเค้าไม่มายุ่งกับนันอีกแล้ว ทางนั้นเค้ามีธุระจนหัวหมุน"
บทสนทนาเอ่ยถึงบุคคลที่สาม
เอมอร ภรรยาที่ถูกต้องทางกฏหมายแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับปัญกรมายาวนานถึง 10 ปี
"พี่แม่งโคตรเห็นแก่ตัวหว่ะ"ถ้าไม่ติดว่าสังขาลไม่เที่ยง นันกะว่าจะลุกมาโดดโลดเต้น ให้กับความคิดของผู้ชายคนนี้
"พี่รู้ว่านันรักพี่ และพี่ก็รักนันมากนะ พี่แสดงออกว่าแคร์เราแค่ไหน ทำมาตลอด แค่พี่ไม่สามารถทิ้งเอมได้ พี่ผิดมากเหรอ"ฝ่ามือหนาอุ่นร้อนเลื่อนมากุมมือเขาไว้
"ทุกครั้งที่ผมจะไป คุณใช้คำนี้รั้งผมตลอดเลยนะ"เขาแค่นยิ้มบางเบา
"มันเป็นความจริง นันก็รู้ พี่ไม่เคยมีคนอื่น และนันก็รู้ว่าเพราะอะไรพี่ถึงหย่ากับเอมไม่ได้"
ทฤษฎีหญิงต้องคู่กับชายยังใช้ได้เสมอ ทุกอย่างโดนกำหนดไว้แล้วด้วยกฎเกณฑ์ของทั้งสองตระกูล
หมั้น แต่งงาน ทะเบียนสมรส สืบทายาท
"นันอยู่ด้วยตัวเองมาได้ตั้งสองปี มีเหตุผลอะไรต้องกลับไปตกนรกอีกเหรอ"
นรกที่ต้องรู้ว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ของเขาคนเดียว ร่างกายอีกฝ่ายถูกมอบความสุขให้ใครอีกคนด้วย ร่องรอยที่บางครั้งก็ปรากฏขึ้นเมื่อพวกเขาทำกิจกรรมร่วมกัน หลายครั้งที่พานให้หมดอารมณ์ ไม่นับเวลา ไม่มีแม้กระทั่งสถานะจะมอบให้ ต้องหลบซ่อนตัวตน อดกลั้นทุกครั้งที่โดนเพื่อนของผู้หญิงคนนั้นตราหน้าใส่
กลายเป็นน้อย น่าขำดี เกิดเป็นผู้ชายแต่ได้เป็นเมียน้อย
"ฆ่าตัวตายเนี่ยนะทางออก มันไม่ยิ่งกว่าตกนรกเหรอ"สายตาอีกฝ่ายที่มองมาคล้ายต่อว่าจนหัวใจปวดหนึบ ตอกย้ำความจริงว่าเขาไม่เคยยืนได้ด้วยตัวเอง
นึกย้อนไปเมื่อครั้งอดีต เด็กม.ต้นที่สูญเสียครอบครัวจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขานั่งร้องไห้กับแฟนหนุ่มรุ่นพี่ ปัญกรตอนนั้นยังคงเป็นคนเดิม นั่งรับฟังเขาเงียบๆ ไม่มีการโอบกอด ปลอบประโลม
และหลังจากนั้นรุ่นพี่หนุ่มก็ให้ผู้ปกครองตนเซ็นรับรองเลี้ยงดูเขาไว้ แม้ไม่เต็มใจแต่ด้วยความรักลูกชายคนเดียวมาก พ่อแม่ฝ่ายนั้นจึงรับเขามาดูแล ทุกวันเต็มไปด้วยความเย็นชา มีเพียงพี่ปัญที่อยู่กับเขา แต่เมื่อพ้นแผ่นหลังกว้าง คนในบ้านไม่เคยพูดจาดีต่อเขาเลย
"อยากสูบเลือดสูบเนื้อเท่าไหร่ก็ได้ แต่เขามีคู่หมั้นแล้ว น้องนันเข้าใจที่แม่พูดนะคะ"มารดาผู้ให้กำเนิดแฟนเขามา ย้ำประโยคเดิมมาโดยตลอด
ที่อีกฝ่ายพูดเป็นจริงทุกประการ ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเล่าเรียน มีอีกฝ่ายออกให้ทุกอย่าง ขนาดงานแรกในชีวิตยังหาให้ทำ มีพระคุณจนทำร้ายใครไม่ลง ครั้นพอมีบ้างจึงรีบหนีออกมา 2 ปีที่อยู่ด้วยขาตัวเอง ไม่มีซักวันที่ไม่เหนื่อยล้า
"แล้วพี่จะให้นันทำยัง ชีวิตไม่เคยง่ายเลย นันเหนื่อยเหลือเกิน"ฝ่ามือสองข้างปิดบังใบหน้าอันอ่อนล้าไว้
"กลับมาอยู่กลับพี่สิ พี่ให้นันได้ทุกอย่าง"
"เว้นแต่อิสรภาพใช่ไหมครับ ไม่ต่างจากนันขายตัวเลยนะ ฮะ ฮะ"นันเปล่งเสียงหัวเราะอย่างขื่นขม
"ขายตัวมันไม่สบายเท่าอยู่กับพี่หรอก โลกใบนี้มันไม่ง่ายนันก็รู้นี่"ฝ่ามือคู่เดิมดึงแขนเขาลงก่อนจะถูกเชยคางให้สายตามองสบกัน
เนิ่นนานจนเขาเป็นฝ่ายละสายตายอมแพ้้เสียก่อน
"นันไม่เคยชนะพี่เลยสักครั้ง"เจ้าของร่างเพรียวบางว่าไว้แค่นั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่าย ผ้าห่มเนื้อดีถูกเจ้าตัวดึงขึ้นห่มกายป้องกันความหนาวจากแอร์เครื่องใหญ่ ในทีาสุดความง่วงก็เข้าครอบงำ
ใบหน้าคมเข้มก้มมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเงียบๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย หากไม่สังเกตก็ไม่มีทางมองเห็น
"พักผ่อนซะนัน แล้วพี่จะมารับ"
กลิ่นควันยังคงตามหลอกหลอน แม้เขาจะชำระล้างร่างกายถึง 2 ครั้ง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากลิ่นเหม็นไหม้จะอยู่ติดตัวนานขนาดนี้ เหมือนคอยตอกย้ำการกระทำที่โง่เขลาที่เขาได้ทำลงไป
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะต้องอยู่ในที่แห่งนี้ ห้องเดี๋ยวสุดหรูบนชั้นสูงเห็นวิวของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ที่ในชีวิตของพนักงานบริษัทตัวเล็กๆ อย่างเขาไม่เคยฝันว่าจะได้มาเหยียบสักครั้ง
หลังจากชำระล้างร่างกายจนพอจะดูได้ขึ้นมาบ้างเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำ โซฟาใกล้ประตูห้องทางออกมีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"สวัสดีครับคุณนัน หากพร้อมแล้วบอกผมเลยนะครับ"
ก็พอรู้อยู่แล้วว่านักธุระกิจพันล้านไม่ว่างขนาดจะมารอรับเขาขนาดนั้น
แค่หลายวันมานี้อีกฝ่ายสละเวลามาเยี่ยมเขาบ้างก็ดีมากแล้ว
ข้าวของเครื่องใช้แทบไม่มีให้เก็บ ขาเรียวเดินออกมาจากหน้าโรงพยาบาล
อากาศประเทศไทยยังคงร้อนเสมอ แม้ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็ตาม
รถยนต์คันหรูขับมาเรื่อยๆ ผ่านย่านคนพลุกพล่าน ผ่านที่ทำงานเก่าของเขา เหมือนผู้คนเริ่มใช้ชีวิตปกติมากขึ้น หลายคนเดินจับจ่ายใช้สอยอย่างเป็นปกติ แม้จะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาก็ตาม
รถขับมาจนถึงชานเมือง ผู้คนและรถราบางตาลง แล้วรถก็ขับเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านจัดสรรค่อนข้างหรูทีเดียว รถคันหรูจอดหน้าบ้านกลางซอย
คนขับรถเปิดประตู ก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เขา
"เชิญครับคุณนัน"อีกฝ่ายผายมือเชื้อเชิญนันด้วยรอยยิ้มทางการ
ร่างกายของเขาค่อยๆเคลื่อนย้ายตัวเองออกจากรถ เดินตามชายวัยกลางคนที่แนะนำตัวเองว่าต่อจากนี้จะเป็นผู้ดูแลจัดการธุระต่างๆ แทนปัญกร
บ้านหลังนี้ดูได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมแตกต่างจากบ้านหลังอื่นๆ ข้างในบิ้วอินอย่างสวยงาม น่าอยู่ทีเดียว
"บ้านหลังนี้คุณปัญซื้อให้ในชื่อของคุณครับ"
นันแทบไม่ได้ยินคำอธิบายของชายวัยกลางคน เขามัวแต่จดๆ จ้องๆ มองรอบบ้าน
'อ่า ที่สุดแล้ว ก็ลงเอยอย่างนี้สินะ ต่อจากนี้จะเมียน้อย เมียเก็บ ทาสบำเรอ ก็ช่างมันเถอะ ช่างแม่งให้หมดเลย'