ตอนที่ 22
ภูวาพยายามทำให้แน่ใจว่าเขาไม่เดินเร็วเกินไปและคอยใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสหลังของเคนเบาๆ เอาไว้ตลอดเผื่อเขาจะเสียหลัก
“พี่เคน!!” เด็กหนุ่มทั้งสองคนตะโกนขึ้นและรีบวิ่งมาที่ประตูทันทีหลังจากที่ภูวาเปิดประตู
เคนประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เคยมีน้องชายหรือเพื่อนที่อายุห่างกันเยอะขนาดนี้มาก่อน การถูกเด็กๆ วิ่งออกมาต้อนรับกลับบ้านแบบนี้จึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา
“มาช่วยพี่เอาของไปวางก่อน อย่าเพิ่งวอแวพี่เคนเขามาก” ภูวาบอกเด็กๆ จากนั้นก็หันไปหาเคน “พี่นั่งพักที่นี่ก่อนแล้วกันนะครับ แล้วบ่ายๆ ค่อยกลับไปห้องตัวเอง”
เคนพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา ต่อและพายุเดินตามไปนั่งลงขนาบข้างๆ เคนแล้วเริ่มยิงคำถามถึงเรื่องคืนวันเกิดเหตุใส่เขาทันที
ภูวายิ้มพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ นี่ขนาดบอกแล้วนะว่าอย่าเพิ่งวอแวกับเคนมาก เขาเดินเข้าห้องนอนของตัวเองและชาร์จโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียง เขานั่งมองโทรศัพท์มือถืออยู่ครู่หนึ่ง นึกในใจว่าจะโทรไปคุยกับบีดีไหม สองวันที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน บางทีเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้หมดอย่างที่ตัวเองคิด
“มึงไม่โทรกลับมาหรอก…” ภูวาพูดใส่โทรศัพท์ก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็เดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อพบว่าเคนกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนโดยมีเด็กๆ ทั้งสองกำลังสำรวจปากแผลของเขาอยู่
“เฮ้ย! ทำอะไรกันเนี่ย!” ภูวาดินตรงเข้าไปที่โซฟาทันที
“น้องๆ เค้าบอกอยากเห็นแผลน่ะครับ” เคนตอบหน้าตาเฉย
“แล้วพี่ก็เปิดแผลให้มันดูเฉยๆ เลยเนี่ยนะ จะบ้าเหรอ! แล้วพวกมึงสองคนอีก อยากรู้อยากเห็นอะไรไม่เข้าท่าเข้าทางเลย!”
“น่าๆ ใจเย็นๆ ครับ เมื่อเช้านี้พี่ก็ไม่ได้ล้างแผลก่อนออกจากโรงพยาบาลมา ตอนพยาบาลบอกจะทำความสะอาดให้แล้วพี่ปฏิเสธไปไง จำได้มั้ย แล้วเมื่อกี้พายุก็บอกว่าเดี๋ยวจะช่วยทำแผลให้ พี่ก็เลยเพิ่งแกะผ้าพันแผลออกเมื่อกี้เอง”
“ไอ้พายุเนี่ยนะจะทำแผล” ภูวาหันไปมองน้องชายของตัวเอง
พายุชูชุดอุปกรณ์ทำแผลในมือขึ้นแล้วยิ้มกว้างโชว์ภูวา
ภูวาเดินไปคว้ามันออกมาจากมือของเขา “ไม่ต้องเลย มึงยังเด็กเกินที่จะมาทำเก่งเรื่องพวกนี้มาก ไปเตรียมอุ่นข้าวเที่ยงให้กูกับพี่เคนแทนซะ ส่วนพี่เคน พี่ลุกตามผมเข้ามาในห้องนอนเลยครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้เอง”
เคนหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งหน้ามุ่ย เขายกมือขึ้นลูบหัวพวกเขาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามภูวาเข้าไปในห้องนอน
“พี่นั่งลงที่ขอบเตียงเลยครับ”
เคนทำตามคำสั่งของภูวาอย่างว่าง่าย ภูวานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเคน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแผลนี้ของเคนเหมือนกัน มันดู… น่ากลัวกว่าที่เขาคิดมาก ทั้งรอยเย็บ รอยช้ำเลือด สีของบาดแผล เขานึกไม่ออกเลยว่าเคนรู้สึกอย่างไรบ้างตอนเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
“มันน่ากลัวมั้ยครับ… ตอนหลังจากรู้ตัวว่าถูกแทงน่ะ” ภูวาถามขึ้นขณะใช้ปลายนิ้วแตะลงบนปากแผลอย่างเบามือที่สุด
เคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “...น่าผิดหวังมากกว่ามั้งครับ”
ภูวานิ่วหน้า “ผิดหวังอะไรครับ”
“เพราะพี่ไม่เคยกลัวความตาย พี่มองหาโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่พอตอนที่มีเรื่องกันอยู่นั้นและมีโอกาสที่พี่ตายได้จริงๆ พี่กลับไม่ได้จงใจปล่อยให้ตัวเองถูกฆ่าซะที่นั้นตอนนั้น ทั้งๆ ที่นั่นคือโอกาสที่ดีที่พี่จะได้ไปอยู่กับโทรุ แต่พี่กลับปกป้องตัวเอง นั่นคือสิ่งแรกที่พี่ผิดหวังในตัวเอง และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองถูกแทง แต่แผลไม่ถึงแก่ชีวิต พี่ก็รู้สึกผิดหวังอีกเป็นครั้งที่สอง… เหมือนตัวเองทำอะไรโง่ๆ ลงไปเพื่อแค่จะได้เจ็บตัวฟรีแบบนี้”
ภูวาบีบต้นขาของเคน “อย่าทำแบบนี้อีกเด็ดขาดนะครับ” เขาพูดโดยไม่ได้มองหน้าเคน “ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงมีความคิดแบบนั้น แต่ความจริงคือผมไม่อยากเข้าใจ มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น และผมก็ไม่อยากให้พี่ทำอะไรอันตรายแบบนั้นอีก...”
เขานึกถึงตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์จากวิน นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่เขารู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกขนาดนั้น
“พ่อของพวกผมเพิ่งเสียไปเมื่อประมาณสองปีกว่า ตอนนั้นผมหลงมาก มันโหวงไปหมด แม้แต่ในตอนนี้ผมยังอธิบายไม่ถูกเลยว่าตอนที่รู้ว่าพ่อจากไปแล้วผมรู้สึกยังไง” ภูวาพูดพลางเริ่มทำความสะอาดปากแผลของเคน “เราก็เตรียมใจกันไว้บ้างแล้วแหละ แต่พอมันเกิดขึ้น มันก็ยังทั้งช็อก ทั้งเจ็บปวด ทั้งเสียใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกชาไปหมด ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก... ผมรู้แต่ว่าผมไม่อยากเห็นแม่กับน้องชายเสียใจร้องไห้ เวลาเห็นพวกเขาเสียใจ ผมก็เสียใจตามไปด้วย ผมใช้เวลาอยู่หลายวันเหมือนกันนะ กว่าที่จะยอมรับความจริงได้ว่าพ่อไม่อยู่กับผมแล้ว และผมจะไม่ได้เจอพ่ออีก…” ภูวาเว้นช่วง เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ความตายมันไม่ได้ทำให้ใครมีความสุขหรอกครับ คนที่จากไปแล้วจะไม่มีวันได้รับรู้เลยว่าคนที่ยังอยู่ คนที่ยังรักและคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ บอกออกไปก็ไม่ได้ โทรไปหาไม่ได้ ไลน์ไปหาก็ไม่ได้ ต้องรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน”
เคนเห็นว่ามือของภูวาสั่นเทาเล็กน้อย
“แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องทำใจและเดินต่อไปอยู่ดี” เคนพูด
“แต่การทำใจนั้นมันไม่ได้ง่ายนะครับ พี่เองก็น่าจะรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะเดินต่อไป” ภูวาตอบ
คำพูดนั้นทำให้เคนถึงกับอึ้ง เขาเคยคิดแค่ว่าถ้าหากเขาตายไปทุกอย่างก็คงงจะจบ ต่อให้พ่อ แม่ และคนอื่นเสียใจ แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็จะทำใจได้และใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป แต่เขาไม่เคยคิดแบบที่ภูวาเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่เลยสักนิด
เขาควรจะเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุดว่าการพยายามทำใจและออกเดินต่อไปโดยไม่มีคนที่รักอยู่ข้างกายนั้นมันยากเย็นและทรมานขนาดไหน แต่เขาไม่เคยนึกถึงมันเลย เขาแค่คิดอย่างคนเห็นแก่ตัวว่าเขาอยากตายให้มันจบๆ ส่วนคนที่ยังอยู่ข้างหลังนั้นก็ต้องรับมือกับความเศร้ากันต่อไปด้วยตัวเอง
ที่จริงเขาคิดด้วยซ้ำว่าทุกคนคงจะเศร้ากันแค่ไม่นานและก็ลืมเขาไป เพราะเขาไม่ได้มีคุณค่าและความสำคัญสำหรับใครขนาดนั้น… ความตาย คือสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญไม่หนทางใดก็หนทางหนึ่ง เขาก็แค่เคยคิดว่าความตายของเขาจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้เท่านั้นเอง
ภูวานั่งทำแผลให้เคนเงียบๆ ต่ออีกครู่หนึ่งก็เสร็จ
“อ้ะ เสร็จแล้วครับ” ภูวาลุกขึ้นยืน “ไหนยืนขึ้นซิ ขอผมดูหน่อย”
เคนทำตามที่เขาบอก “ขอบคุณครับ”
“ขยับตัวได้ไม่เจ็บใช่มั้ยครับ”
เคนส่ายหน้า “แบบนี้พี่ไม่ต้องไปให่หมอที่โรงพยาบาลหรือคลินิกทำแผลให้ก็ได้แล้วมั้ง”
“ถ้าผมช่วยอะไรได้ก็ยินดีครับ” ภูวายิ้ม “ไปกินข้าวกันเถอะครับ พี่คงหิวแล้ว”
“เดี๋ยวครับ...” เคนคว้าข้อมือของภูวาเอาไว้ เขาลังเลนิดหน่อยว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกไป “พี่เคยออกรบมาก่อนนะครับ พี่ไม่กลัวความตาย พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นเพราะว่าพี่อยากตายหรือเพราะอาการดีเพรสชัน แต่พี่ไม่เคยกลัวความตายจริงๆ ทุกคนล้วนต้องตาย และความเสียใจมันก็มาคู่กัน มันเป็นเรื่องปกติเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกนั่นแหละ”
“ผมรู้ครับ...” ภูวาถอนหายใจ “แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคนที่รักและห่วงใยพี่ จะอยากพบกับความเศร้าเสียใจก่อนเวลาอันสมควร ถูกมั้ยครับ และพวกเค้าก็ไม่มีใครอยากได้ยินพี่พูดเหมือนว่าพี่พร้อมจะตาย พร้อมจะทิ้งพวกเขาไปได้ทุกเมื่อเช่นกัน” เขาอยากจะยกตัวอย่างเรื่องของโทรุกับเคนขึ้นมาแต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้
เคนปล่อยมือออก เขาคิดว่าเขาเข้าใจ แต่อีกส่วนหนึ่งในใจของเขาก็ยังไม่อยากยอมรับสิ่งที่ภูวาพูด “อดทนไปกับพี่หน่อยนะครับ ขอเวลาพี่หน่อย…”
ภูวายิ้มและพยักหน้า “ผมบอกแล้วไงว่าผมหัวดื้อ ถ้าผมตัดสินใจอะไรแล้ว ผมไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ หรอก และผมตัดสินใจไปแล้วว่าจะเป็นกำลังใจให้พี่มีชีวิตต่ออย่างมีความสุขมากขึ้นสักนิดก็ยังดีไง จำได้มั้ย”
เคนอยากจะดึงตัวของภูวาเข้ามากอด แต่ก็พยายามห้ามใจเอาไว้
“ไปกินข้าวกันครับ” ภูวาบอก “เด็กๆ มันน่าจะอุ่นอาหารไว้ให้เราเสร็จแล้ว”
เคนเคยถูกยิงและเคยถูกแทงมาก่อน เขาเคยผ่านเหตุการณ์อันตราย การต่อสู้ บาดแผลต่างๆ มามากมาย แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว สาเหตุที่ทำให้เขาเจอเรื่องแบบนั้นทั้งหมดก็ล้วนมาจากการที่เขาอยากจะหนีจากบางอย่างไปทั้งนั้น เขาตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพ ก็เพราะหนีจากโทรุ เขามาอยู่ที่ไทย ก็เพื่อหนีจากทุกคนและชีวิตของตัวเอง เขาไปเจอเข้ากับนักเลงข้างถนนกลุ่มนั้น ก็เพราะต้องการหนีออกจากบรรยากาศหนักอึ้งในห้องและความอัดอั้นในใจ
เขารู้จักแต่การวิ่งหนีมาทั้งชีวิต
แต่ในตอนนี้ เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีอนาคต และไม่มีอดีตให้หลบหนี มีแต่ความเจ็บปวดที่เขาไม่อยากรับมือกับมัน… เขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับใคร และก็คงจะไม่ได้พูดมันออกมาบ่อยๆ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเขาไม่ใช่คนสมประกอบ เขาพังไปหมดแล้ว พังมากด้วย และเขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะกลับมาเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นได้อีกหรือไม่
แต่ในตอนนี้เขาก็เริ่มอยากจะลองพยายามดูสักครั้ง
“พี่ภู ไอ้ต่อชวนพายุออกไปดูหนังนะ” พายุพูดขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังนั่งกินข้าว “ไปได้ปะ”
“ก็ไปสิ จะไปดูอะไรกันล่ะ”
พายุหันไปหาต่อ
“ยังไม่รู้เลยครับ” ต่อตอบ “แต่ผมอยากดูหนังผีอะ ไม่รู้ช่วงนี้มีอะไรดูบ้าง”
“หึ โชคดีแล้วกันนะ” ภูวากลั้นหัวเราะ
“ทำไมอะ” ต่อทำหน้างง และเมื่อหันไปหาพายุก็เห็นว่าเขากำลังหน้าแดงอยู่
“ไอ้พายุมันกลัวผีจะตายห่า จะให้มันดูหนังสยองขวัญเหรอ ฝันไปเหอะ” ภูวาหัวเราะเบาๆ
“ห๊ะ มึงกลัวผีด้วยเหรอ” ต่อยิ้มกว้าง
“เออ! มีปัญหาเหรอ! แต่กูแค่ไม่ชอบหนังที่มันตุ้งแช่เฉยๆ ต่างหาก ไม่ได้กลัวผีอะไรหรอก...”
“เหรอวะ แล้วคนไม่กลัวผีทำไมแต่ก่อนถึงไม่กล้านอนคนเดียว” ภูวายิ้ม
“โอ๊ยยยยย น่าร้ากกกกกกกก” ต่อโถมตัวเข้าไปกอดพายุ
“ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!!” พายุพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของต่อ
“ภูวา ‘ตุ๊งแฉ่’ คืออะไรครับ” เคนหันไปถามภูวาเบาๆ
ภูวาหลุดหัวเราะเพราะสำเนียงของเคนออกมาจนแทบสำลักข้าว “ฮ่าๆๆๆ!!” ‘โอ๊ยยย ไอ้คนนี้ก็น่ารักจังวะ’ เขาคิดในใจ “คนไทยเรียกหนังผีตุ้งแช่ คือหนังผีแบบที่เน้นทำให้คนตกใจน่ะครับ แบบหนังฮอลลีวูดชอบทำน่ะ ที่จู่ๆ ผีก็โผล่มาทำให้สะดุ้งอะ”
“อ๋อ จั๊มพ์ สแกร์ดฺ ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ๆๆ”
“ว่าแต่พี่เคนกลัวผีป่าว” พายุถาม
เคนแสร้งทำท่านึก “อืมมม… ถ้าผีไทยก็ไม่น่าจะกลัวนะครับ เพราะคงแกล้งคุยไม่รู้เรื่องได้”
เด็กๆ หัวเราะกับคำตอบของเคน แล้วจากนั้นก็เริ่มคุยกันว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี ดูเหมือนว่าจะมีหนังสยองขวัญกำลังฉายอยู่สองเรื่องพอดี ต่อเลยพยายามชวนและโน้มน้าวพายุเต็มที่
“เขาชอบน้องชายของคุณใช่มั้ย” เคนกระซิบถามภูวาเป็นภาษาอังกฤษ แม้ว่าเขาจะดูออกอยู่แล้วก็ตาม
ภูวาพยักหน้า
เคนยิ้มก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“แต่ไอ้พายุมันยังไม่…” ภูวาพยักเพยิดไปทางต่อ
เคนพยักหน้าเข้าใจ
ผู้ใหญ่ทั้งสองเห็นต่อหันไปกระซิบบางอย่างใส่หูของพายุ จากนั้นพายุก็หน้าแดงแล้วใช้ขาถีบต่อหลายที
“นี่ ขอโทษที่รบกวนนะ เด็ก” ภูวาพูดขึ้นพลางเดินตรงไปหาต่อกับพายุ “พี่ไม่อยากเล่นบทตัวร้ายนะ แต่ในฐานะผู้ใหญ่และผู้ปกครอง พี่คิดว่าพี่ต้องพูดเรื่องนี้”
เด็กทั้งสองนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องรอฟังภูวา
“ต่อ… พี่ดีใจนะที่มีต่อมาอยู่กับพี่ มาช่วยพี่ดูแลพายุอีกแรง แต่พี่ว่าถึงเวลาแล้วนะที่เราจะต้องกลับบ้านไปเคลียร์ว่าจะเอายังไงต่อ”
ต่อชักสีหน้าทันที เขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งเขาแบบนี้
“กลับไปคุยกับที่บ้านซะ ไปฟังพ่อกับแม่สักหน่อย แล้วถ้ายังรู้สึกไม่อยากอยู่ที่นั่น จะขนเสื้อผ้ามาอยู่ที่นี่กับพายุอีกสักพักใหญ่ๆ เลยก็ได้ พี่ไม่ว่าอะไร พี่ยินดี”
พายุทำท่าจะแย้ง แต่โดนภูวาหันไปมองด้วยสีหน้าดุเป็นเชิงปราม เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยไป และถ้าจะให้พี่ไปเป็นเพื่อนด้วยก็บอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็เป็นพี่ชายเราอีกคน พร้อมจะช่วยเหลือเราอยู่เสมอ เข้าใจนะ” ภูวาวางมือลงบนหัวของต่อ
ต่อเริ่มรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่เขารู้สึกกับภูวาเหมือนภูวาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขามากกว่าตองเสียอีก
“ครับ…” เขาตอบ
“ดีมาก วันนี้ไปเดทกับไอ้พายุให้สบายใจก่อน แล้วมีอะไรเราค่อยคุยกัน ดีมะ”
พายุหน้าแดง “ไม่ใช่เดทททททททท!!”
ภูวาหัวเราะ “ไม่ใช่สำหรับแก แต่พี่ว่าสำหรับต่อ มันใช่นะ”
ต่อยิ้มเขินๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือสารภาพอะไรกับภูวาแล้วสินะ
“โอ๊ยยย ทำไมพี่ภูอยากให้น้องชายตัวเองเป็นเกย์เหรอ”
ภูวาสะอึกไปเล็กน้อย เขามองหน้าพายุด้วยแววตาจริงจัง “ไม่ได้อยากให้เป็น แต่มันไม่สำคัญไม่ใช่เหรอวะ ความรักก็คือความรัก จะเพศไหนมันก็ไม่เกี่ยว ต่อให้แกชอบมันจริงๆ พี่ก็ยังรักแกเหมือนเดิม หรือต่อให้แกไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ต่อ แกสองคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นี่ ความรักแบบเพื่อนมันไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย หรือแกจะบอกว่าที่จริงแล้วแกเกลียดมัน”
พายุหน้าแดงก่ำ เขาก้มหน้า “ก็… ก็ไม่ได้เกลียด…”
“เป็นเพื่อนกันไปแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เริ่มต้นช้าๆ สำรวจความรู้สึกตัวเองกันดีๆ พี่รักน้องทั้งสองคนเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่พี่มีกฎแค่สองข้อเท่านั้นที่ทั้งคู่ต้องทำตาม ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มีการต่อรอง และไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น”
ทั้งพายุและต่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าภูวาด้วยแววตาสงสัย
“ข้อหนึ่ง เวลามีอะไร ให้เปิดอกคุยกันเสมอ อย่าโกหก อย่าปิดบังความรู้สึกตัวเองที่มีต่อกัน ถ้าไม่กล้าบอกกันและกัน ก็ให้มาปรึกษาพี่หรือพี่เคน และข้อสอง... คือห้ามมีอะไรกันก่อนเวลาสมควรเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“พี่ภู!!!” พายุตะโกนขึ้น “จะบ้าเหรอ!!! โอ๊ยยยยยย!! พี่เคนก็นั่งอยู่ตรงนี้!!!”
“ขอโทษครับ ผมไม่เข้าใจภาษาไทย” เคนพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “โพ้ม พู้ด ทาย ม่าย ด๊าย”
ต่อและภูวาหัวเราะออกมาทันที ส่วนพายุยังคงหน้าแดงก่ำ
“คำว่าเวลาที่สมควรของพี่ หมายถึงจนกว่าทั้งคู่จะแน่ใจจริงๆ ว่ามันถึงเวลา จนกว่าจะแน่ใจความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของอายุ เข้าใจมั้ย” ภูวาพูดต่อ
พายุลุกขึ้นและรีบเดินไปทางห้องของตัวเอง “จะไปอาบน้ำแล้ว! ไอ้ต่อ มึงเก็บล้างให้พี่ๆ เค้าด้วย!”
หลังจากพายุปิดประตูห้องลง ภูวาก็ชะโงกหน้าเขาไปกระซิบบางอย่างที่หูของต่อ ต่อตาโตและหันไปมองหน้าภูวาแบบไม่อยากเชื่อ ภูวายิ้มและพยักหน้าก่อนจะพูดอะไรอีกนิดหน่อย เด็กหนุ่มหน้าแดงและหลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินตามพายุเข้าไปในห้องนอนเช่นกัน
“รันอะเวย์ บอย?” เคนถามขึ้นหลังจากที่ภูวาเดินกลับมาที่โต๊ะกินข้าว
“ต่อน่ะเหรอ ก็ประมาณนั้นครับ” ภูวาหัวเราะเบาๆ
“พี่จับใจความได้ว่าทะเลาะกับที่บ้านเหรอครับ”
“ใช่ครับ”
“แล้วเมื่อกี้ยูกระซิบบอกอะไรน้องไปเหรอ”
“ความลับ”
เคนมองหน้าภูวาพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
ทั้งสองคนนั่งเงียบๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เคนจะพูดขึ้นอีก
“เมื่อกี้ยู… เมื่อกี้ภูวาเอ่ยชื่อพี่ขึ้นมาด้วย”
“ห๊ะ ยังไงนะครับ”
“ตอนที่บอกน้องๆ ว่ามีอะไรให้ปรึกษายูหรือพี่เคนก็ได้”
“อ้อ เออ ผมพูดไปไม่ทันได้คิด ขอโทษนะครับ เดี๋ยวเอาไว้ผมไปบอกเด็กๆ มันอีกทีว่าไม่ต้องไปกวนพี่จะดีกว่า”
“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น พี่แค่จะบอกว่า… ขอบคุณนะครับ ที่เห็นพี่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว”
“ไม่ใช่ ‘เหมือน’ ครับ พี่ ‘คือ’ สมาชิกครอบครัวของเรา” ภูวาบอก “และอีกอย่างก็นะ… จู่ๆ ผมก็มีน้องชายเพิ่มมาอีกคน ถ้าได้พี่ใหญ่อีกคนมาช่วยดูแล มันก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”
เคนยิ้ม “แล้วเรื่องที่บ้านของต่อนี่เกิดอะไรขึ้นครับ”
“อ้อ พี่ยังไม่รู้นี่เนอะ…” ภูวาเล่าเรื่องของต่อให้เคนฟังคร่าวๆ
“ยูรู้จักวงที่ชื่อ R.E.M. มั้ยครับ” เคนถามหลังจากที่ภูวาเล่าจบ
“ก็เคยได้ยินนะครับ แต่ไม่ได้ตาม ทำไมเหรอ”
“มีเพลงนึง ชื่อ Everybody hurts ช่วงนี้พี่รู้สึกว่าตัวเองนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาบ่อยๆ เนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับการบอกให้เราต้องสู้ อย่าท้อแท้ เพราะทุกคนล้วนต้องเจ็บปวดเสียใจกันทั้งสิ้น แต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกเสียใจ ให้หันเข้าหาเพื่อนและ… เค้าเรียกว่ายังไงนะ ไปพึ่งพาเพื่อน ให้เพื่อนช่วยปลอบโยน เพราะทุกคนต่างก็เจ็บปวดกันทั้งนั้น เราจึงเข้าใจกันและกัน ประมาณนี้มั้งครับ”
ภูวาพยักหน้า
“พี่แค่รู้สึกว่าเพลงนี้มันเหมาะกับเราทุกคนดีนะ ไม่ใช่แค่เราที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ แต่มันเป็นเพลงที่ทุกคนควรฟังจริงๆ”