(เรื่องสั้นตอนเดียวจบ) ข้าวเหนียวส้มตำ 28/05/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้นตอนเดียวจบ) ข้าวเหนียวส้มตำ 28/05/63  (อ่าน 1986 ครั้ง)

ออฟไลน์ ภารวี.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


                  ************************************************************************



ข้าวเหนียวส้มตำ



คำเตือน : นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับท่านผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือท่านที่สามารถสื่อสารภาษาอีสานได้ในระดับแอดวานซ์ขึ้นไป


*ยังไม่ได้ตรวจคำผิดค่ะ^^



ประกายแดดสุดท้ายกำลังจะเลือนหาย ทว่าไอร้อนระอุที่แผดเผามาทั้งวันยังคงไม่ระเหยไปไหน ปกติแล้วยามโพล้เพล้แบบนี้เป็นเวลาเก็บร้านเตรียมกลับบ้านพักผ่อน แต่วันนี้ผิดจากทุกครั้งเมื่อมีแขกจองร้านสำหรับจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าหน้าที่คนใหม่ของสถานีตำรวจภูธรเมืองมหาสารคาม


ในครัวด้านหลังร้านกำลังวุ่นวาย หลานๆ ผู้หญิงช่วยล้างแก้วล้างจาน ส่วนผู้ชายนั้นกำลังจัดเตรียมสถานที่ ทั้งโต๊ะเก้าอี้ เครื่องเสียงที่จะใช้คืนนี้


กะละมังใบใหญ่ใส่น้ำจนปริ่ม ในนั้นเต็มไปด้วยพริกสีแดงสด มะเขือเทศสีดา ถั่วฝักยาว มะกอก มะนาว บ้างลอยบ้างจม เอมหนึ่งในพนักของร้านตำแล้วหนีกำลังล้างแล้วแยกใส่ตะกร้าไว้ ส่วนอีกสามคนกำลังสับมะละกออย่างชำนิชำนาญ พวกเธอแทบไม่เหลือบแลมีดและมือเลยด้วยซ้ำ ด้วยกำลังคุยฟุ้งเรื่องหวยเด็ดที่เพื่อนบ้านพากันไปขอเมื่อคืนวานอย่างออกรส


“พี่นางบอกน้องแพนเค้กเอาน้ำแดงโซดาเย็นๆ หวานๆ มาเสิร์ฟสักแก้วหน่อยเร้ววว” ขวานตะโกนบอก พลางยกหลังมือปาดเหงื่อเมื่อติดเตาถ่านสำหรับย่างเนื้อสำเร็จ“แล้วก็บอกไอ้ป้องเบาเสียงเพลงลงด้วย ไว้พ่อมันตายค่อยเปิดดังๆ นี่แหกปากคุยกันจนริดสีดวงจะแดกคอหอยแล้ว” พี่นางหัวเราะรับคำ ก่อนจะตะโกนตามที่ขวานบอก


“บักป้อง!!! ป้องเอ้ยป้องงงง เอาเสียงลงแน้หำ ให้อ้ายมนต์แคนเลาพักแน้ลูก มึงสิเปิดหาพ่อหาแม่มันหยังแฮงคักกะด้อกะเดี้ย พ่อใหญ่เซียงตายสั่นติมึงคือห่าวคักแท้” ขวานหัวเราะลั่นเพราะพ่อใหญ่เซียงที่พี่นางแกพูดถึงก็คือสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายและแน่นอนว่าบักหำป้องก็คือพยานรักของทั้งคู่


ขวานก้มรับแก้วพลาสติกใส่น้ำแดงจากหลานสาววัยอนุบาล มือน้อยๆ อีกข้างกำก้อนดินน้ำมัน แถมมีเศษเล็กๆ ติดอยู่รอบแก้วที่เขาเพิ่งรับมา หวานมันนัวแน่น้ำแดงโซดาแก้วนี้


“หลานใครเนี่ยเก่งจัง ไหนมาให้น้าขวานจุ๊บหน่อย หว่ายยขี้มูก ไม่จุ๊บแล้ว ไปเช็ดออกก่อนเร็ว” พอถูกทัก เด็กน้อยก็รีบสูดน้ำมูกแล้วยกแขนเสื้อตรงหัวไหล่ขึ้นเช็ดต่อหน้าต่อตาผู้เป็นน้า ก่อนจะวิ่งจากไปเพราะเพื่อนๆ รอเล่นอยู่หน้าบ้าน


ขวานหัวเราะไล่หลัง พ่อกับแม่ก็สัญชาติไทยเชื้อสายลาวแท้แต่ลูกสองคนชื่อบัตเตอร์กับแพนเค้ก ถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็น่ารักดี ชื่อเด็กๆ สมัยนี้ทำให้บัตเตอร์กับแพนเค้กฟังดูธรรมดาอย่างไม่ค้านหูกรรมการ เพียงแต่บางครั้งก็แค่สงสัยว่าจะตั้งชื่อให้มันยากไปเพื่ออะไร

เขาวางแก้วน้ำ เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ เพื่อโทรตามบรรดาเพื่อนที่บอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าให้มาช่วยงานคืนนี้


“เอ้อขวาน รองฯ จรัลโทรมาบอกพ่อว่ามะรืนเขาจะเลี้ยงต้อนรับตำรวจที่ย้ายมาใหม่ อยากมาจัดที่นี่ พ่อรับปากรองฯ ไปแล้วนะ” พ่อของขวานเป็นนายตำรวจชั้นประทวนซึ่งเกษียณราชการมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังมีเพื่อนฝูงมีนายที่ติดต่อกันอยู่เสมอ พ่อมักจะได้รับมอบหมายหน้าที่นี้เป็นประจำ

ไม่ว่าที่โรงพักจะมีงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรก็ตาม บ้านขวานจะต้องรับเป็นสถานที่เสมอ อาจจะเพราะทำเลเหมาะ เพราะอยู่นอกเมืองออกมาไม่ไกล การใช้เสียงก็ไม่รบกวนชาวบ้านชาวช่อง อีกทั้งขวานก็เปิดร้านส้มตำ ทำให้ไม่ต้องไปหาร้านอื่นให้ยุ่งยาก

แม้ว่าใจจริงเขาไม่อยากจะรับงานหลวงแบบนี้ มันไม่คุ้มเหนื่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะเกรงใจเจ้านายพ่อ ต่อให้เกษียณออกมาแล้ว แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อนายมีคำสั่งลงมาก็ต้องทำตาม


“มาทั้งโรงพักเลยมั้ยอะพ่อ”


“ก็น่าจะทั้งโรงพัก แล้วก็คงมีพวกคุณนาย พวกลูกๆด้วย”


“ต้องให้เด็กที่ร้านพี่ฟ้ามาช่วยนะ คราวก่อนที่มาเลี้ยงส่งผู้กำกับอภิเดช ทั้งทำอาหารในครัวทั้งวิ่งเติมน้ำแข็งเติมเหล้า ขวานก็ไม่ไหวนะ”

“เออเดี๋ยวพ่อจะบอกไอ้ฟ้ามันด้วย แล้วก็ให้พวกเพื่อนๆ แกมาช่วยด้วยก็ได้ ค่าแรงค่าเหนื่อยเดี๋ยวรองฯ ท่าน จัดการให้ ไม่ต้องห่วง จ่ายไม่อั้น”

“แหมะ งบหลวงนี่มันเยอะจริงจริ้ง เลี้ยงส่งเลี้ยงต้อนรับตำรวจก็ได้ พาครูไปดูงานต่างประเทศก็ได้ เนอะแม่”

“ปากมึงนี่ไอ้ขวาน”




สิ้นแสงอาทิตย์ นายตำรวจเริ่มทะยอยมาถึง บ้างหอบลูก บ้างหอบของกิน หอบเครื่องดื่มเหล้าเบียร์ ขวานคุ้นเคยกับทั้งอดีตเพื่อนร่วมงานพ่อและบรรดาคุณนายตำรวจทั้งหลาย บางคนสนิทสนมแวะมาอุดหนุนที่ร้านเป็นประจำ บางคนก็ลูกค้าหวยของแม่ เคยเล่นไพ่ด้วยกันก็บ่อย บางคนก็เป็นเจ้าของร้านเสริมสวยที่แม่กับพี่สาวเขาไปใช้บริการบ่อยๆ

ร้านตำแล้วหนีอยู่ติดถนนเส้นรอบเมือง อีกฝั่งถนนคือคลองน้ำกับป่าต้นกก ด้านข้างเป็นทุ่งนา ถัดไปด้านหลังคือบ้านสามชั้นที่แม่กู้สหกรณ์ครูมาสร้างเมื่อสี่ปีก่อน


ร้านมีแคร่ไม้ไผ่มุงหลังคาหญ้าคาสิบสองหลังเรียงไปตามแนวเพื่อให้เห็นบรรยากาศทุ่งนา ทว่าต้นเดือนเมษาอย่างตอนนี้มีเพียงแปลงนาว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตา กับวัวควายที่เลาะเล็มเศษฟางแห้งท่ามกลางเปลวแดด

ตอนกลางวันลมพัดไอร้อนมาแต่ละทีนั้นแสบผิวราวกับยืนในเตาย่างไก่ แต่กลางคืนกระแสลมที่พัดมากลับเย็นสบาย บ่อยครั้งที่พ่อเอามุ้งหมอนมากางนอน บอกว่าเย็นกว่าพัดลมเย็นกว่าแอร์ในบ้านปูน

ขวานก็ได้แต่คิด ทำไมไม่แย้งตอนแม่จะสร้างบ้าน ภูมิประเทศภูมิอากาศอีสานนั้นเหมาะกับบ้านที่มีใต้ถุน แม่เห็นเพื่อนครูคนอื่นเขาสร้างบ้านตึกบ้านปูนก็อยากทำตาม ทั้งที่ถ้าพ่อพูดแม่ก็อาจจะฟังแต่ก็ตามใจเมียจนสุดท้ายต้องหนีมานอนกระท่อมเถียงนาน้อย



เสียงเพลง เสียงทักทาย เสียงหัวเราะ เด็กๆวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว บรรยากาศเหมือนเวลามีงานบุญคือเสน่ห์อีกอย่างที่ขวานชอบ คนอีสานกับความรื่นเริงนั้นเป็นของคู่กัน เสียงเพลงของมนแคนต์ แก่นคูน หรือที่เพื่อนเขาคนหนึ่งเคยพูดขำๆว่า เอ็ด ชีแรนแห่งดินแดนที่ราบสูง เปิดสลับต่าย อรทัย อเดลแห่งลุ่มน้ำชี


ขับร้องโดยจ่ากล้วยผู้ที่มีอาชีพหลักเป็นหมอลำ ส่วนรับราชการนั้นแค่งานอดิเรก ฝ่ายหญิงก็คือน้าติ๋มภรรยารองผู้กำกับจรัล สองคนนี้สร้างสีสันในทุกงานที่ไปเยือน จ่ากล้วยเรียกน้าติ๋มเมียนายว่า เจ๊หน่อ ฉายานั้นจะมาจากน้าติ๋มชอบกินหน่อไม้หรือมันคือหน่ออะไรเขาก็ไม่อาจทราบ


หลายคนมีของฝากมาให้พ่อกับแม่ รวมถึงหมากพลูมาฝากยายของขวานที่วันนี้แม่พาออกมาที่ร้านด้วย ร้านจะมีห้องเล็กๆติดแอร์ห้องหนึ่ง ขนาดเท่าหนึ่งห้องนอน เวลาไม่มีลูกค้าขวานกับลูกน้องก็เข้าไปหลบร้อนนอนเล่นมือถือในนั้น บางคืนไอ้ป้องรำคาญพ่อแม่ มันก็หลบมานอนที่นี่


ยายนั่งบนโซฟา นายตำรวจผลัดกันเข้ามากราบ


“สำบายดีบ่ครับอิแม่”


แม้จะอยู่ในห้องแต่เสียงเพลงด้านนอกก็ยังเล็ดลอดเข้ามา ต้องตะโกนแข่งกับเสียงเพลงเพราะยายหูไม่ดี แม้ในยามปกติก็ต้องตะโกน คล้อยหลังคนที่เข้ามากราบไหว้ ยายมักจะถามว่าเมื่อกี้นั่นใคร ในบางครั้งแม้แต่ลูกตัวเองยายก็เริ่มจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร จำไม่ได้ว่าเมื่อสิบนาทีก่อนกินข้าวไปหรือยัง ปีหน้าก็จะครบแปดสิบห้า ช่างเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน และขวานก็ได้แต่หวังว่าอายุของยายจะยืนยาวเรื่อยไป


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2020 23:15:09 โดย ภารวี. »

ออฟไลน์ ภารวี.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ข้าวเหนียวส้มตำ
«ตอบ #1 เมื่อ28-05-2020 22:20:17 »

วันนี้ขวานให้ไอ้ป้องกับบรรดาเพื่อนมันไปยืมโต๊ะเก้าอี้มาจากกองทุนหมู่บ้าน จัดไว้เจ็ดโต๊ะ  ถัดมามีโต๊ะพร้อมอุปกรณ์และวัตถุดิบทำส้มตำ อีกโต๊ะมีเครื่องยำ และเครื่องลาบ ส้มตำก็คล้ายพิซซ่าและซุปกิมจินั่นแหละ คือเป็นอาหารที่ทำเสร็จต้องกินทันที แล้วยิ่งได้ทำเองจะยิ่งอร่อย มีพวกต้ม พวกแกง ที่ทำหม้อใหญ่ไว้ในครัว ใครจะกินเขาก็จะไปเอามาเสิร์ฟ ประสบการณ์ครั้งก่อนๆสอนให้รู้ว่า ปล่อยให้แขกบริการตัวเอง จะได้ไม่เหนื่อย

ขวานเลยพอมีเวลานั่งเล่นกับเพื่อน พวกเขาจับกลุ่มดื่มกินอยู่ที่แคร่มุงหลังคาห่างออกมาซึ่งค่อนข้างสลัว จะลุกออกไปก็ต่อเมื่อมีใครเรียกใช้ 


เพื่อนแต่ละคนของเขานั้นเป็นพวกตลกตั้งแต่เกิด สารพัดเรื่องเล่าและเรื่องราวที่สร้างเสียงหัวเราะจนขำไม่ได้หยุด เพื่อนบางคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาล บางคนก็เป็นญาติกันด้วยซ้ำไป


อำพลทำงานอยู่ในคลินิกความงามแห่งหนึ่งในเมือง ส่วนอ้อจบผู้ช่วยพยาบาล ทำงานอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพไม่กี่ปีก็ย้ายกลับมาบ้าน นุ้ยเป็นครูกศน. บอลเปิดร้านเสริมสวยและเช่าชุด พออยู่รวมกันแต่ไม่ครบทีมก็พาลคิดถึงเพื่อนที่แยกย้ายไปทำงานที่อื่น แน่นอนว่าคืนนี้เขาไม่พลาดที่จะวีดีโอคอลหา เพิ่มความอยากกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ที่กำลังจะถึงนี้


ขวานเบนสายตาออกไปมองหน้าบ้านเผื่อจะมีใครเรียกหรือมีอะไรขาดเหลือ แต่สิ่งที่เห็นคือมีรถตำรวจและรถกระบะสี่ประตูขับมาจอดหน้าร้าน เห็นนายตำรวจคนหนึ่งกำลังวิ่งไปวิ่งมาเพื่อบริการน้ำอาหารให้ผู้กำกับ เขาเห็นภาพเหล่านี้บ่อย เห็นมาตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่ได้รู้สึกชิน การที่นายตำรวจยศน้อยคอยบริการดูแลนายที่ยศสูงกว่าราวกับเป็นข้าทาสนั้น ขวานไม่เคยชิน


เมื่อก่อนพ่อเองก็เคยขับรถไปคอยรับส่งลูกของนายไปเรียนพิเศษ ขณะเดียวกันนายของพ่อก็ต้องคอยพินอบพิเทาผู้ที่ยศสูงกว่าเป็นลำดับ ดาวบนบ่าและเครื่องหมายที่ติดประดับชุดนั้นมันคงจะอยู่สูงกว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จะเอื้อมถึง


บทสนทนาของขวานกับเพื่อนชะงักลง หันไปสนใจเสียงเกรียวกราวเมื่อใครบางคนลงจากรถ ชายหนุ่มคนนั้นสามเสื้อยืดสีขาวคอกลมแถบแดง ท่อนล่างยังเป็นกางเกงสีน้ำตาล มีนายตำรวจที่น่าจะเป็นลูกน้องเดินตามหลังอีกสองคน ทั้งสามยกมือไหว้คนทุกโต๊ะรอบทิศ เสียงจ่ากล้วยแชมป์ครองไมค์ทองคำพูดผ่านไมค์ด้วยเสียงคล้ายเริ่มเมาว่า


“ขอต้อนรับท่านผู้กองธันวา สู่พุทธมณฑลอีสาน ถิ่นฐานอารยธรรม ผ้าไหมล้ำเลอค่า ตักสิลานครเด้อครับเด้อ เชิญครับๆ สาวเสิร์ฟเฮาไปทางได๋สะเหมิด ขวานเอ้ยขวานมาดูแลผู้กองแน้ลูกมา”

เมื่อผู้กองที่น่าจะเป็นเจ้าของงานเลี้ยงวันนี้เดินมาอยู่ในจุดที่มีแสงไฟสว่าง เห็นหน้าได้ชัด ขวานและเพื่อนก็หันมองสบตากันทันที รอยยิ้มและแววตาสื่อความหมายอย่างรู้ทัน


“ดิฉันฆ่าเพื่อนตายโดยเจตนา ดิฉันจะถูกจับทันทีเลยมั้ยคะ มีด มีดยุไสสู อีนุ้ยหันหน้ามากูยืมคอมึงแปบเดียว” อำพลยื่นมือไปคว้าคอเพื่อน สาวๆหัวเราะกันอย่างถูกอกถูกใจ

“คุณตำรวจขา เมื่อเช้าหนูขโมยเงินผัวสามร้อย เดี๋ยวหนูโทรบอกมันให้ไปแจ้งความก่อนเด้อค่า”

“โรงพักแตกกะบาดนี่ละกูวา” บอลเอ่ยขึ้น ผู้กองหนุ่มผู้มาใหม่กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจทันที ขวานหยิบคอหมูย่างใส่ปากก่อนจะลุกออกจากแคร่

“ไปไสยาย”

“ไปเสิร์ฟน้ำผุบ่าวละเนาะ” ขวานว่ายิ้มๆ

“เอ้าเริ่ดเด้อแม่  มาชนแก้วแน้ค่า ประทับใจแฮง เพิ่นฉันค่าเพิ่นฉานนน” อำพลชูแก้วเบียร์ ขวานหัวเราะคว้าแก้วตัวเองชนกับเพื่อน ดื่มจนหมด ก่อนจะลากเอาบอลมาด้วยเพราะจะให้ช่วยยกแร็คแก้ว
หลังจากเก็บถ้วยจานบางส่วนไปไว้หลังครัว เติมถ่านใส่เต่าย่าง เติมน้ำแข็งให้ทุกโต๊ะ ขวานกับบอลก็กลับไปหาเพื่อน

“ไสบอกว่าสิไปเสิร์ฟน้ำผุบ่าวคะเธอ กูนึกว่าถวายสังฆทานหลวงตา บ่เฉียดบ่ใกล้” ขวานยักไหล่เมื่อถูกอ้อกระเนะกระแหน เพื่อนรู้ดีว่าขวานเป็นพวกปากเก่งปากดี แต่เอาเข้าจริงก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อน แต่ถ้าเรื่องปากกล้าล่ะที่หนึ่ง เขากลัวหากถูกปฏิเสธ ขวานมักจะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ อาจจะด้วยเพศสภาพที่เป็นปมแผลในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก



“ขวัญฟ้าเล่นเฮือนน้อยอีกแล้ว”


เด็กชายเพียงคนเดียวท่ามกลางเด็กผู้หญิงห้าคน ขวานนั่งพับเพียบใช้ช้อนขุดหลุมเล็กๆ ก่อนจะหยอดดินที่ผสมน้ำจนเนื้อดินเหลวคล้ายชอคโกแลต สมมติตัวเองเป็นแม่ค้าขนมครก ขวานหน้าง้อง้ำ มองลุงผู้ใหญ่บ้านที่แวะมาหาพ่ออย่างไม่พอใจ ขวานมักถูกเรียกด้วยน้ำเสียงเชิงล้อเลียนแบบนี้เสมอ
 

เขาไม่เข้าใจว่ากะเทย ตุ๊ดนั้นไม่ดีอย่างไร แต่ขวานไม่ชอบเวลาถูกเรียกแบบนั้นโดยเฉพาะการล้อเลียนที่มาจากครูสมัยประถม ขวานไม่ชอบน้ำเสียงขำขันเหมือนเขาเป็นตัวตลก


เขามีเพื่อนผู้ชาย ไปเล่นกระโดดที่ฝายกั้นน้ำบ้าง ไปปั่นจักรยาน ไปเล่นเตะบอล ยิงนกยิงกิ้งก่าด้วยบ้างเป็นบางครั้ง แต่ขวานมักจะถูกแกล้ง เขาเลยชอบเล่นกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่า ถึงแม้จะมีทะเลาะกันบ้างตามประสาเด็ก แต่เพื่อนผู้หญิงไม่เคยเรียกขวานว่าอีตุ๊ดอีแต๋ว

ในวัยเด็กเขาไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก นอกจากรู้สึกอยู่ลึกๆว่าตัวเองนั้นต่างจากคนอื่น ตอนเด็กเขากระตุ้งกระติ้งกว่านี้ พอโตมาก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยปกปิดว่าชอบผู้ชาย

โชคดีที่ครอบครัวเข้าใจ ไม่เคยว่าไม่เคยด่าที่เขาเป็นเกย์  อาจเพราะเขาเป็นคนขยัน ผู้ใหญ่ก็เลยเอ็นดู ไม่ว่าใครจะเรียกใช้ให้ทำอะไรขวานก็ช่วยเสมอ ทั้งงานแบกหามยกของหรืองานฝีมือเย็บบายศรี จับผ้าผูกผ้าเขาก็ทำได้หมด ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหญิงทั่วไปต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่และสังคมอย่างเขาหรือไม่


ขวานไม่ได้มีจริตอย่างอำพลกับบอลก็จริงแต่ถ้าคนที่ช่างสังเกตก็คงพอจะดูออก เวลาที่เขาอยู่กับกลุ่มเพื่อน โดยมากแล้วมักมีคำว่าอีเรียกนำหน้าชื่อเขาเสมอ เหมือนเวลาที่เขาเรียกพวกมันด้วยยศอีเช่นกัน

ขวานอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไปก็ได้ แต่เขาไม่เคยนึกโทษผู้คนที่อยู่รอบตัว ในเมื่อความตระหนักรู้ สภาพสังคมเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นแตกต่างจากตอนนี้พอสมควร ลุงผู้ใหญ่บ้านอาจจะทำไปเพราะอยากหยอกอยากแหย่ ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างรอยแผล คงไม่มีใครอยากทำให้ใครเจ็บปวดหากว่ารู้ตัว


และขวานเชื่อว่ามันจะค่อยๆเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทุกการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการเปลี่ยนความคิดความเข้าใจของมนุษญ์นั้นต้องใช้เวลา อีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าก็คงต่างจากตอนนี้เช่นกัน 



“เอ่อ ห้องน้ำไปทางนี้รึเปล่าครับ”


“เดินตรงไปเลยค่ะ อยู่ขวามือ” น้ำเสียงหวานเนิบของอำพลทำเอาเพื่อนกลั้นขำ อ้อถึงกับไอโขลกเพราะสำลักเหล้า ผู้กองหนุ่มแย้มยิ้ม ค้อมศรีษะเป็นการขอบคุณ คงพอรู้ตัวอยู่ว่ากำลังถูกคุกคามด้วยสายตา


“กลัวหลงจัง ให้พาไปมั้ยคะ” ” คนอย่างนุ้ยมันแน่ มันแน่มาตลอด คนพูดตั้งใจให้ได้ยิน คนที่เดินไปไม่ไกลเลยหันมายิ้มเขินอีกรอบให้สาวๆวี้ดว้าย

“อาการแบบนี้มีใจแน่ๆ ดูออก เขามักฉัน เจ้าวาบ่ยาย” นุ้ยตีขาขวาน


“อ้ายเอ็มมาเด้อกินข้าว” ขวานแสร้งชะเง้อคอเรียกหาแฟนเพื่อน นุ้ยเลยแสร้งยกโทรศัพท์แล้วบอกรักแฟน ขวานหัวเราะ รับแก้วที่บอลเพิ่งชงเหล้าให้ รอยยิ้มเมื่อครู่ชวนให้มึนๆยังไงชอบกล



ล่วงสู่วันใหม่มาราวชั่วโมง ผู้ร่วมฉลองทยอยกลับไปหมดแล้ว เหลือแค่จ่ากล้วยที่เมาจนหลับฟุบ ต้องช่วยกันหามแกเข้าไปนอนในร้าน พ่อกับผู้กองธันวายังคงนั่งดื่มกับลูกน้องอีกคน ขวานกับเพื่อนช่วยกันเก็บจานชามมาล้างหลังบ้าน พวกคอหมูย่างไก่ย่างที่ย่างไว้แต่ไม่ได้เอาออกมา รวมถึงต้ม แกงอีกครึ่งหม้อ ขวานจัดการห่อใส่ถุงให้เพื่อนเอากลับบ้าน



“ขวานเอ้ย ขวานนไปซื้อเบียร์ให้พ่อหน่อยลูก บักหล่าบักคำคนฮู้ผู้ดี” เวลาที่พ่อเมาก็มักจะพูดเพราะ ยิ่งถ้าเมาแล้วจะใช้ให้เขาทำอะไรสักอย่างก็จะยิ่งเพราะเป็นพิเศษ ขวานเดินเข้าไปหา เลื่อนสายตาผ่านพ่อที่นั่งหน้าแดงตาปรือ มองสบตากับคนที่นั่งตรงข้ามกับพ่อ


ฝ่ายนั้นส่งยิ้มอ่อนจาง ไม่แน่ใจว่าตั้งใจยิ้มให้หรือเพราะคุยเรื่องอะไรกับพ่อของเขาเลยยิ้มอยู่ก่อนแล้ว ขวานทำหน้าไม่ถูก เขาล่ะนึกโมโหตัวเองที่ถูกใจใครง่ายๆเพียงแค่อีกฝ่ายหน้าตาดี โกรธที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนที่แอบปลื้มเขาอาจจะมีใจให้ สุดท้ายก็เจ็บอยู่ฝ่ายเดียวเพราะคนที่เขาชอบถ้าไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วบอกตรงๆเลยว่า ผู้กองคนนี้ขวานดูไม่ออกจริงๆ

“เอามาลังนึงเลยลูกพ่อ” ขณะที่พ่อควานสะเปะสะปะหากระเป๋าสตัง ธนบัตรสีเทากับกุญแจรถก็ยื่นมาจากอีกทิศทาง
“เอารถยนต์พี่ไปก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เซเว่นอยู่ใกล้ๆ”

“ผู้กอง ไม่ต้องๆ ผมจ่ายเองครับ” พ่อขวานผลักมือผู้กองธันวาออก แล้วยื่นเงินที่ไม่น่าจะถึงสามร้อยให้ลูก ผู้กองหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นยืน คงสูงพอๆกับขวานแต่ความล่ำสันเขาคงเทียบไม่ติด

“งั้นเดี๋ยวผมไปด้วย เผื่อช่วยถือ ผมออกไปซื้อเหล้ากับน้องนะจ่า” นายตำรวจอีกคนที่นอนคุยโทรศัพท์ตรงเปลใต้ต้นมะม่วงรับคำ

“ป่ะ พาชมเมืองสารคามหน่อย”


และความหมายของรอยยิ้มครั้งนี้ขวานก็พอจะมีหวังบ้างแล้ว



(แสบตา)


“เป็นไร”


(ฝึกอบรมประจำปี ปีนี้ฝึกสลายผู้ชุมนุม แล้วพี่ได้เป็นม็อบเลยโดนแก๊สน้ำตา น้ำตายังไหลไม่หยุดเลย)


“อ่อออ ที่ส่งรูปมาตอนบ่ายน่ะนะ แล้วเป็นอะไรมากมั้ยอะ”


(เออ พี่โทรไปด้วยเหอะ แต่ขวานไม่รับ)


“ยุ่งอยู่ เพิ่งได้จับมือถือเนี่ย ก็พี่ธันบอกว่าไปอบรม นึกว่านั่งอบรมฟังบรรยายในห้อง”


(ไม่เคยใส่ใจสนใจอะไรกันเล้ย)


“นเรศวรสองหกหนึ่งยังผ่านมาได้ แค่แก๊สน้ำตาอย่าเว่อร์พี่ธัน แล้วฝึกสลายผู้ชุมนุมนี่เขาใช้แก๊สน้ำตาจริงเลยหรอ”



เสียงหัวเราะทุ้มต่ำลอดมาตามสาย จากวันนั้นที่ผู้กองธันวาขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอไซเขาไปซื้อเบียร์ ผ่านมาเกือบเดือนที่ชายหนุ่มกับลูกน้องมักมาฝากท้องที่ร้านตำแล้วหนีในตอนกลางวัน ตอนเย็นวิ่งออกกำลังกายก็มักวิ่งผ่านมาทางนี้ ส่วนตกดึกก็โทรมาคุยด้วยทุกคืน


หลากหลายเรื่องราวที่ได้แลกเปลี่ยนรับรู้ความเป็นมาของชีวิตกันและกัน


“ทำไมขวานถึงเปิดร้านส้มตำ”


“เพราะไม่อยากขายก๋วยเตี๋ยว”


“กวนตีน”


“เอ้า พูดจริง ขวานไม่ได้กวนตีน”



เรื่องราวชีวิตถูกบอกเล่าวันละหน่อย หลังจากเรียนจบปริญาตรี เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างเครียดสำหรับเด็กจบใหม่ การเผชิญโลกของผู้ใหญ่ที่ใครๆว่าได้เดินทางมาถึงแล้ว เพื่อนที่มีความฝันต่างก็พยายามไขว่คว้า

ทว่าความจริงกับความฝันนั้นราวกับโลกคู่ขนาน มีจำนวนน้อยนิดเหลือเกินที่รู้ว่าตนเองอยากทำอะไรและไปถึงจุดนั้นได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ไม่มีและไม่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไรแต่สิ่งที่ทุกคนล้วนต้องการเหมือนกันก็คือเงิน


กลไกสังคมและระบบทุนนิยมไม่ได้มีทางเลือกมากนักสำหรับคนระดับกลางๆค่อนไปทางล่าง ขวานก็เป็นอีกคนที่ไม่มีความฝัน เขารู้แค่ไม่อยากเป็นลูกจ้าง ไม่อยากทำงานในออฟฟิศ ช่วงเวลาที่หางานไม่ได้มันค่อนข้างกดดันมากทีเดียว


ยิ่งเมื่อเข้าเฟชบุ๊คเห็นเพื่อนร่วมคณะบางคนได้งานดีๆ เริ่มมีชีวิตที่ดี ขวานไม่ใช่คนขี้อิจฉาแต่มันก็อดที่จะเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ และแน่นอนว่าการเปรียบเทียบมักนำความหม่นเศร้ามาสู่คนเราได้เสมอ จนท้ายที่สุดเขาตัดสินใจกลับบ้าน



เมื่อก่อนขวานคิดว่าคนที่อายุยี่สิบต้นๆหรือคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยนั้นคือเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พออายุของขวานดำเนินมาถึงจุดนี้ ขวานกลับคิดว่าเขายังเป็นเด็กคนเดิม แม่จะฝากขวานเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ขวานคิดว่ามันไม่เหมาะกับเขาสักเท่าไร เขากลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวจะผิดพลาด กลัวทำให้องค์กรมีปัญหา สารพัดความกลัวเกิดขึ้น มากกว่าความกลัวคือขวานไม่ได้ชอบชีวิตพนักงานประจำ


ส่วนพ่ออยากให้เขารับราชการครู ครูคืนถิ่นกำลังเป็นกระแสและพ่อคิดว่าการเป็นข้าราชการนั้นมั่นคง มีหน้ามีตา แต่ขวานรู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถจะสอนใครได้ พ่อเริ่มบ่นเมื่อผ่านไปเกือบปีขวานก็ยังไม่มีงานทำ


เขาช่วยยายขายดอกไม้ที่ศาลหลักเมืองประจำจังหวัด รายได้แต่ละวันก็หลายพัน ยายให้ค่าแรงเขาวันละห้าร้อย ก็ถือว่ามาก เพราะบ้านไม่ได้เช่า ข้าวไม่ได้ซื้อ แทบไม่มีรายจ่าย


แต่ญาติๆมักจะบ่นให้เข้าหูเขาบ่อยๆว่าเสียดายความรู้ที่ร่ำเรียนมาแต่ไม่ได้ใช้ ขวานไม่อายเลยที่จะบอกว่าเขาไม่ได้อะไรสักเท่าไรจากรั้วมหาวิทยาลัย ที่เรียนจนจบปริญญาเพราะอยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจก็แค่นั้น พอไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคงเขาก็กลายเป็นบุคลากรที่ไร้ประสิทธิภาพของประเทศนี้ไปโดยปริยาย ประเทศที่ไม่เอื้อให้ผู้คนมีความฝันอย่างอิสรเสรี





ขวานตัดสินใจบอกที่บ้านหลังจากคิดแล้วว่าเขาอยากค้าขาย เปิดร้าน มีธุรกิจของตัวเอง สิ่งแรกที่นึกถึงคือร้านดอกไม้ เขาชอบงานประดิษฐ์ประดอยมาแต่ไหนแต่ไร ขวานจึงเข้ามาเเรียนจัดดอกไม้ที่กรุงเทพอยู่พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด สารคามไม่ได้มีความต้องการดอกไม้ขนาดนั้น จากนั้นก็ไปเรียนตัดผมกับสถาบันหนึ่งในกรุงเทพ แต่เรียนไปได้ครึ่งทางขวานก็รู้แล้วว่าเขาไม่เหมาะกับงานนี้



ขวานมองหาโจทย์ต่อไปคือร้านอาหาร คนเราไม่ได้ตัดผมทุกวันแต่กินข้าวสามครั้งต่อวัน ยังไงก็น่าจะไปรอดแถมได้เงินเข้ากระเป๋าทุกวัน เขาชอบการค้าขายเป็นทุนเดิม แต่จะขายอะไรและที่สำคัญเขาทำอาหารไม่เก่ง ขวานไม่อยากจ้างพนักงานเพราะเขาคิดว่าการเป็นเจ้าของร้านอะไรสักอย่างเราควรทำสิ่งนั้นได้


เขาหาข้อมูลแบะปรึกษาครอบครัว แม่ยินดีจะให้ยืมเงินทุนครึ่งหนึ่งและขวานพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง  ในทีแรกเขาคิดจะซื้อเฟรนไชร้านก๋วยเตี๋ยว แต่เมื่อได้เข้าไปคุย หลายๆอย่างกลับไม่น่าลงทุน ถึงร้านของเขาอยู่ในตัวจังหวัด แต่คนต่างจังหวัดคงไม่นิยมทานก๋วยเตี๋ยวชามละเกือบสองร้อย กำลังซื้อไม่ถึง เขาเสียเงินมัดจำค่าเรียนไปหลักหมื่นแต่ก็ดีกว่าจะเสียมากกว่านั้น


และในที่สุดเขาก็มาจบที่ส้มตำ อาหารยอดนิยมตลอดกาลจนน่าจะเรียกว่าอาหารประจำชาติยิ่งกว่าต้มยำกุ้งเสียอีก เขาสมัครเรียนกับร้านส้มตำชื่อดังแห่งหนึ่งที่เปิดสอนและขายสูตร จากคนที่ทำกับข้าวแทบไม่เป็น จนวันหนึ่งสามารถควงสากได้ เกิดมาเกือบจะสามสิบปีไม่เคยรู้สึกภูมิใจในตัวเองเท่าครั้งนี้มาก่อน


ขวานเปิดร้านมาสามปีแล้ว รายได้ค่อนข้างดี ร้านตำแล้วหนีอยู่นอกตัวเมืองก็จริงแต่ลูกค้าไม่เคยขาด อาจจะด้วยพ่อกับแม่ค่อนข้างมีคนรู้จักเยอะ ขวานเองก็เพื่อนฝูงเยอะ ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมีคนมาอุดหนุนตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน ทำให้รู้ว่าการมีหน้ามีตาในสังคมนั้นให้ประโยชน์ได้มากแค่ไหน แล้วถ้าขวานเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาจะต้องเหนื่อยกว่าหรือเปล่ากว่าจะมีคนรู้จักร้าน


“แล้วพี่ธันล่ะ ทำไมถึงเป็นตำรวจ”


“พ่อพี่เป็นตำรวจ เขาอยากให้เป็นก็เลยตามใจเขา”


“แล้วถ้าไม่เป็นตำรวจอยากทำอะไร”


“อยากทำอะไรเหรอ” ผู้กองธันวาขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “คิดไม่ออก อืม… พี่อาจจะอยากบวชมั้ง เป็นพระน่าจะสบาย”


“บ๊ะ ว่าที่เจ้าคณะจังหวัดรึเปล่าเนี่ย  ถ้าพี่บวชเดี๋ยวจะไปถวายเพลทุกวัน”


“เจอโยมขวานทุกวัน หลวงพี่ศีลแตกพอดี”


“ยังไม่ทันจะบวชเลย คิดเรื่องผิดศีลซะแล้ว แสดงว่าเราสองคนศีลเสมอกัน”

ผู้กองธันวาหัวเราะ ทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า พวกเขาเปิดท้ายกระบะ นั่งจิบเบียร์นมองพระอาทิตย์ตกดิน  ด้านหน้าคือบึงบัวขนาดใหญ่ มีสะพานไม้ทอดยาวไปอีกฝั่ง สะพานไม้แกดำเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้คนนิยมมาเที่ยวชม

มหาสารคามเป็นจังหวัดเล็กๆที่ไม่มีภูเขา ไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ที่พอจะคุ้นหูบ้างก็คงเป็นพระธาตุนาดูน และพวกโบราณสถานอย่างปรางค์กู่ แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมหรือสร้างรายได้อะไรให้คนในชุมชนนัก จะมีคุณค่าบ้างก็ตอนที่โรงเรียนในจังหวัดใกล้เคียงพานักเรียนมาทัศนศึกษาปีละครั้ง


“ขวานไม่เคยมีแฟนจริงดิ”


“ถามรอบที่สองแสนแปดพันหกร้อยเก้าสิบเจ็ดแล้วนะพี่ธัน”


“เอ้าก็อยากรู้ เป็นไปได้หรอที่คนน่ารักขนาดนี้จะไม่เคยมีแฟนเลย” ขวานขำเกือบสำลักเบียร์ เขาแกล้งควานหากระเป๋าตังแล้วควักแบงค์ร้อยให้คนที่ชมเมื่อครู่


“พูดจาดีถูกใจเอาไปกินหนมนะ”


“พี่ชอบสีเทา” ผู้กองหนุ่มว่าพลางยิ้มหวาน “แล้วแบบ…มีสเป๊คมั้ย”


“สเป๊คหรอ ชอบห้าสิบหกอะ” ขวานหัวเราะลั่นคราวนี้สำลักจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายหันขวับมาจ้องเขา ตาคมหวานมองค้าง ก่อนจะยิ้มเมื่อรู้ตัวว่าโดนแกล้ง


“ห้าสิบหกนี่หมายถึงอายุใช่มั้ย พี่ว่าอายุแหละ”


“อือ อายุ ขวานชอบคนแก่ จะว่าไปแล้วเราสองคนก็ตลกดีเหมือนกันนะเนี่ย” ขวานว่าขันๆพลางยกเบียร์ขึ้นจิบ “จริงๆก็ไม่มีนะสเป๊คหรอก ตอนเด็กๆ สมัยวัยรุ่นอะมีบ้าง ชอบคนตี๋ๆไรงี้ พอโตมาก็ไม่ค่อยมองที่หน้าตาเท่าไร นิสัยเข้ากันได้ไม่พากันประสาทแดกก็พอ ถ้าจะได้หน้าตาดีด้วยก็ถือเป็นกำไร แต่เคยคิดนะว่าจะไม่เอาทหารตำรวจเป็นแฟนเด็ดขาด นอกนั้นจะอาชีพอะไรก็ได้แต่ไม่เอาตำรวจ”


“ทำไม”


“เบื่อ อยู่กับตำรวจมาทั้งชีวิต เห็นมาตั้งแต่เด็ก เป็นชีวิตที่น่าเบื่อ”


“คือจะบอกว่าไม่อยากคุยกับพี่เหรอ เห้ย เสียใจนะเนี่ย” ผู้กองแกล้งเย้า


“ไม่ใช่หยั่งง้าน” ขวานลากเสียง “แค่เล่าให้ฟัง นี่เริ่มเชื่อโบราณละที่บอกว่าเกลียดอย่างไหนมักได้อย่างนั้น”


“อ้าว เราได้กันตอนไหน ทำไมไม่รู้สึกตัว”


“อะ พูดแบบนี้แปลว่าจะไม่รับผิดชอบหรอ  ค่าข้าวก็ลดให้ทุกครั้ง”



“ลดอะไร เธอปัดเศษขึ้นทุกครั้งเถอะ พี่เนี่ยโดนขูดรีด”


“อ้าวหรอ น้องจำผิด น้องขอโทษ” ขวานหัวเราะขณะเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือใหญ่ๆที่พยายามจับขยี้ผมเขา


ผู้กองธันวามักมีของฝากมาฝากที่บ้านเขาเสมอ ส่วนใหญ่เป็นพวกอาหารทะเลของขึ้นชื่อของชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดเจ้าตัว แม่ของผู้กองส่งมาให้ลูกชาย บางครั้งเวลาผู้กองธันวาลงไปฝึกอบรบหรือไปราชการที่กรุงเทพก็จะเลยไปเยี่ยมบ้านที่สัตหีบ หอบของกินมาฝากมาให้ลูกน้อง


ผู้กองธันวาเป็นคนสบายๆ ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ลูกน้องเลยรัก แถมเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง ในเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ แม้ไม่มีใครในครอบครัวพูดหรือถามต่อหน้าแต่ก็รู้กันดีว่าอะไรเป็นอะไร 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2020 23:15:58 โดย ภารวี. »

ออฟไลน์ ภารวี.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ข้าวเหนียวส้มตำ
«ตอบ #2 เมื่อ28-05-2020 22:26:00 »



(คิดถึงพี่บ้างมั้ยวันนี้)


ที่สำคัญผู้กองธันวาเป็นผู้ชายเลี่ยนๆเสี่ยวๆ คนอื่นอาจจะนิยามว่ามันคือความโรแมนติกแต่ด้วยวัยใกล้สี่สิบของอีกฝ่าย ขวานก็รู้สึกว่ามันเลี่ยนๆ อเขาพูดก็จะงอน หาว่าเขาหัวโบราณ ใครเป็นคนกำหนดว่าอายุเท่าไรควรเป็นยังไง ไร้สาระ เขาเลยไม่ขัดคนขี้น้อยใจอีก ซึ่งขวานมักใช้เสียงหัวเราะปกปิดความเขินกึ่งขำ


เขาเคยมีคนมาจีบ มีคนคุยบ้าง ส่วนใหญ่จะรู้จักกันผ่านโซเชียล แต่ก็คุยกับใครได้ไม่นาน เขายังไม่เจอใครที่รู้สึกว่าใช่ คุยแก้เบื่อแก้เหงาไป กับบางคนก็จากกันด้วยดี จากไปแบบงงๆบ้างก็มี


ผู้กองธันวาเป็นคนแรกที่ขวานยอมให้เข้ามาใกล้โลกของเขา เป็นคนที่เป็นครั้งแรกในหลายๆอย่าง จนบางครั้งก็ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมถึงโชคดีได้เจอคนที่ดีขนาดนี้


“อื้อ”


(อื้ออะไร แค่พูดว่าคิดถึงนี่มันยากมากเลยหรอ หื้อ แล้วพี่ไม่อยู่มีคนมาจีบมายุ่งด้วยรึเปล่า)


“โอยยยยยย นี่หล่อมาก หน้าตาดีมากมั้ง ใครมันจะมาจีบมาชอบ เวลาจะเงยหน้าจากครกก็แทบไม่มี”


(พี่ไง พี่ชอบขวาน)


“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ ชั้นจะแจ้ง” เสียงหัวเราะคลอประสานอย่างเช่นทุกคืน





เทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย โดยเฉพาะคนที่ไปเรียน ไปใช้แรงงานในเมืองใหญ่ จะได้กลับบ้านมาหาพ่อแม่ กลับมาหาครบครัวในวันหยุดยาว และเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจห้ามลาห้ามขาดห้ามตายเพราะจำเป็นต้องใช้กำลังพลในการตั้งด่านตรวจตามจุดต่างๆ


วันที่สิบสองเมษาบรรยากาศคึกครื้นเริ่มมีให้เห็น เต้นท์รถมือสองที่อยู่ถัดไปเริ่มเอาถังน้ำมาตั้งและเปิดเพลงเสียงดังตั้งแต่เมื่อวานเพื่อนๆที่จากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพก็เริ่มทยอยกลับมาถึงสารคามกันบ้างแล้ว ร้านเขาคือจุดรวมพลเหมือนอย่างเคย

และเป็นวันสุดท้ายที่ขวานจะเปิดร้านก่อนปิดวันหยุดยาว วันนี้พวกเขานัดหมายมาช่วยกันทำต้นดอกไม้เงินหรือต้นผ้าป่าเพื่อจะนำไปถวายวัดในวันพรุ่งนี้ ซองสีขาวกระจายอยู่ข้างแก้วเหล้า นรกสวรรค์ห่างกันแค่เอื้อม


“ผู้สาวกรุงเทพมาแล้วสู โอ้ย กูลงไปตบคนสะบ้อ”


“ที่นี่ที่ไหนคะ น้องปอได้กลิ่นปลาร้า เหม็นค่ะ ไหอยู่ไหนคะ ยกไหออกมาค่ะ”

หญิงสาวคนหนึ่งเดินบิดลงมาจากรถเก๋งสีขาว กระเป๋าสีส้มสะท้อนแสงห้อยต่องแต่งที่ข้อศอก แว่นตาสีชาอันโตคาดอยู่บนผม มันเดินด้วยจริตนางแบบบนเวที อำพลเขวี้ยงรองเท้าใส่ อีกฝ่ายร้องกรี้ดหัวเราะเสียงดังก่อนจะวิ่งเข้ามากอดเพื่อนๆ


“ท่ายางกูว่าแมนคนเสียเส่น อีกอีนึงกะปานแม่ซี” (ท่าเดินมึงกูนึกว่าคนเส้นกระตุก ส่วนอีกคนยังกับแม่ชี)

เพื่อนสาวอีกคนเดินยิ้มตามหลังมา ปอคือสัญลักษณ์ของเสียงหัวเราะและความกัขฬะ ยิ่งเมื่อรวมทีมกับอำพลยิ่งยากจะต้าน ปอเป็นพนักงานออฟฟิศในกรุงเทพ ส่วนดาวที่เดินยิ้มตามหลังมานั้นเป็นฝ่ายธุรการของกระทรวงแห่งหนึ่ง พวกเขาได้เจอกันปีละครั้งสองครั้ง ช่วงเทศกาลสงกรานต์บ้าง เข้าพรรษาหรือไม่ก็ปีใหม่


เพื่อนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตด้วยกันตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน จนเรียนจบชั้นมัธยมปลายก็แยกย้ายกันไปตามทาง บางส่วนไปเรียนต่อในกรุงเทพ บางคนไม่มีโอกาสเรียนก็ไปทำงานโรงงานแถวระยอง ชลบุรี บางส่วนก็เรียนที่จังหวัดบ้านเกิด


มหาสารคามเป็นจังหวัดเล็กๆอยู่ตอนกลางของภาคอีสาน ติดกับขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ แม้จะเป็นจังหวัดเล็กๆไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แต่ก็เคยได้รับสมยานามว่าเมืองตักสิลานคร เมืองแห่งการศึกษา อาจจะด้วยเมื่อหลายสิบปีก่อน
มหาสารคามมีจำนวนสถาบันการศึกษามากกว่าจังหวัดอื่นๆในภูมิภาคนี้ จึงใช้เรื่องการศึกษาเป็นจุดขาย



แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาคนสารคามนิยมไปเรียนที่อื่น และคนที่อื่นก็มาเรียนที่นี่ คนเราก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อะไรอยู่ใกล้ก็ไม่ใคร่จะดี สิ่งอยู่ไกลมักได้รับความชื่นชม ซึ่งขวานเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากไปอยู่ไกลบ้าน อยากออกไปสู่คำว่าอิสรเสรีห่างจากสายตาพ่อแม่ แม้จะไปไกลสุดได้แค่ขอนแก่นก็ตาม ขวานเคยคิดว่าชีวิตเขาจะว่าไปก็คล้ายกับบ้านเกิด เป็นชีวิตแบบกลางๆ  ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แสนจะเรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นก็มีความงามในแบบของตัวเอง



“รถติดตั้งรามอินทราจนถึงสารคาม พวกมึงคิดดู กูนั่งจนปวดดากจนริดสีดวงกูเกือบแตก” ปอว่า เบียดตัวนั่งลงบนแคร่แล้วเกาะแขนอำพล ส่วนดาวลากเก้าอี้พลาสติกมานั่งข้างขวาน


“มันบ่นมาสุดทาง กูอยากถีบลงตั้งแต่ลำตะคอง”


“ถีบกูลงแล้วใครจะหารค่าน้ำมันกับมึงคะอีผีกระสือ ละอีเบนไปไหนทำไมไม่มารอรับเสด็จกู เห็นบอกว่ามาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อคืน”



ปอเอ่ยพลางเอาซองผ้าป่าออกจากกระเป๋า โยนมากลางวงให้เพื่อนช่วยกันแกะ สอดใส่ไม้ไผ่ผ่าครึ่งแล้วปักลงบนต้นกล้วย พรุ่งนี้จะมีกลองยาวแห่ไปที่วัด เป็นแบบนี้ทุกปี ใครที่ไปทำงานไกลบ้านจะได้ซองผ้าป่าจากทางวัดของหมู่บ้าน เอาไปแจกเพื่อนร่วมงานให้ช่วยทำบุญตามจิตศรัทธา ถึงเวลาสงกรานต์กลับบ้านก็เอามาทำต้นผ้าป่า เพื่อเอาไปสร้างพระอุโบสถ


“คนมีลูกมีผัวเขาก็ต้องดูแลผัว พวกไม่มีผัวก็สิแตก(แดก)เหล้าไปค่ะ อย่าวึ่นวือ” อ้อว่า ยื่นแก้วเหล้าให้เพื่อนทั้งสอง


“เพราะกูคบกับพวกมึงเนี่ยเลยไม่มีผัวสักที ปีหน้ากูว่าจะลองตัดเพื่อนดู”


“ตัดพวกกูไปก็ไม่มีคนคบมึงแล้วอีหอย แล้วอย่ามาโทษเพื่อนโทษฝูง อีเบนก็เพื่อนเรามันยังมีผัว มึงโทษหน้าตัวเองเถอะปอ”


“พูดขนาดนี้ เดินไปด่าแม่กูที่บ้านเลยมั้ยขวาน หรือจะเอาเบอร์แล้วโทรไป สะดวกดี อะ กูกดโทรออกให้แล้วเพื่อนรัก” เสียงหัวเราะคลอเพลงหมอลำ ไม่มีอะไรจะสุขสนุกไปกว่านี้อีกแล้ว เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน หรือต่อให้ไม่ได้ติดต่อกัน แต่เมื่อได้กลับมาเจอ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม


“เดือนก่อนอีเบนโทรมาร้องไห้กับกู เมียพี่โอ้พาเพื่อนไปรุมด่ามันถึงร้าน กูบอกให้เลิกก็เหมือนพูดใส่หูหมา แต่สรุปกูนี่แหละหมา” อ้อถอนหายใจ


“กูด่ามันจนไม่รู้จะด่ายังไงแล้ว เหมือนด่าวัวด่าควาย ว่าจะไม่สนใจอีก แต่พอมันจะตายก็แหกหลีหอบมันไปโรงบาล ไม่รู้จะทนเป็นเมียน้อยเขาไปทำไม บักพี่โอ้นี่เลี่ยมทองฝังมุขแน่ๆบักผีเผด” ปอปาไม้ไผ่ที่เสียบเงินเสร็จไปให้อำพลปักลงต้นกล้วย


“แม่กูเป็นเพื่อนในเฟชอีเบน เห็นมันโพสรูปคอนโด รูปเวลาไปกินอาหารดีๆ ไปเที่ยวเมืองนอก นอนโรงแรมหรู ไปวัดก็เห็นแม่อีเบนใส่ทองเส้นเท่าโซ่ สร้างบ้านใหม่ให้พ่อ แล้วก็บ่นกูทุกวันว่าถ้าไปเรียนกรุงเทพก็ได้ทำงานดีๆมีเงินเยอะๆแบบอีเบน กูเครียดเลย” เพื่อนพากันขำครืนเมื่อนุ้ยพูดจบ “น้ำท่วมปาก เกือบหลุดออกไปแล้วว่าอีเบนไม่ได้ทำงาน ผัวมันรวยค่าแม่ แล้วชีวิตจริงมันหลังเฟชบุ๊คน่ะรันทดยิ่งกว่าวัลลี บุญเส็ง”


“กรรมใครกรรมมัน กรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืออิฐกับปูน”


“โถ่อี…” บอลกรอกตา เท้าเอวชี้หน้าดาวที่ขำหึหึ เพื่อนพากันขำก๊าก


“ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนนะดาว กร่อยมากอีห่ามึง”


“สูๆๆ ผุได๋นั่นๆ”

อยู่ๆปอก็เขย่าขาเรียกเพื่อนให้มองไปทางร้าน ชายหนุ่มในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อบอลสีแดงทีมโปรดเดินหัวฟูออกมาจากห้องพักของร้าน ปอกับดาวมองหน้าเพื่อนอย่างรอคอยเอาคำตอบ หากไม่พูดภายในวินาทีนี้ มีแววว่ามันจะหยิบไม้ไผ่ขึ้นมาแทงตาเรียงตัว ขวานอมยิ้มก้มหน้าก้มตาแกะซองผ้าป่าอย่างไม่สนใจ แต่ก็ทันเห็นว่าอำพลเบะปากและส่งสายตาบอกปอ


“อีขวาน อะไรยังไงไหนเล่า มึงบังอาจปิดกู ป้าดๆ กูตกข่าวหรอเนี่ย มึงตายแท้ เว่ามา”


“ขายส้มตำแต่กินอาหารเกาหลี ร้ายกาจมาก กูก็งงว่าในไลน์กลุ่มทำไมอีอำพลมันเรียกมึงคุณนายๆ”

ดาวเอาไหล่กระแทกไหล่เขา เรื่องราวของผู้กองธันวาไหลผ่านปากอำพลกับบอลจบก่อนเจ้าตัวจะเดินมาถึงอย่างฉิวเฉียด ผู้กองหนุ่มยืนยิ้มอยู่ด้านหลังเก้าอี้ขวาน ทุกคนพร้อมใจไหว้คนอายุมากกว่า คนอื่นๆคุ้นเคยกันบ้างแล้ว มีแค่ดาวกับปอที่ขวานแนะนำให้รู้จัก


“หวัดดีครับ มากันตอนไหน พี่หลับไม่รู้เรื่องเลย”


ผู้กองธันวาเอ่ยถามพลางวางมือลงบนไหล่ขวานพร้อมบีบนวดให้ นุ้ยต้องแอบหันไปขยิบตากัดฟันกลั้นเสียงกับอำพล ขวานเพื่อนรักอาจจะเคยถวายข้าวจี่ให้พระอรหันต์ในชาติก่อน ถึงเกิดมาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ได้ดิบได้ดี ถ้าดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็คงไม่น่าอิจฉาหรอก แต่ผู้กองธันวานั้นนิสัยใจคอก็ดี สุภาพบุรุษ เอาอกเอาใจ ดูแลเหมือนขวานตัวเท่านิ้วก้อยหมา นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าน่าอิจฉาบารมีสูง


“มากันตั้งแต่เที่ยงแล้วจ้ะพี่ธัน เมื่อคืนเข้าเวรเหรอ” อ้อเอ่ยถาม


“ครับ เดี๋ยวบ่ายต้องออกไปอีก ขวานกับเพื่อนกินข้าวกันยัง”


“กินไปสิบรอบแล้วค่ะ หลักฐานด้านหลังเลยค่ะคุณพี่” อำพลผายมือไปด้านหลัง จานตำซั่วตำป่า ยำคอหมูย่าง ต้มแซ่ม ขนมนมเนย เต็มแคร่


“พี่ธันจะกินข้าวก่อนมั้ย จะได้ทำให้” ขวานเงยหน้าถาม อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ แต่พอเขาลุกขึ้นเตรียมไปทำกับข้าว ก็มีเสียงเอ่ยขัดว่า


“ต้นดอกไม้เงินต้นนี้ขาดหมื่นอยู่ร้อยกว่าๆ ทำยังไงถึงจะครบหมื่นน้อ อยากให้ครบหมื่นเด้น้อ” บอลรำพึงรำพัน “รับแบบออนไลน์แบงค์กิงค์มั้ยคะแม่”


“กลิ้งมาที่ตีนกูนี่ อีบาป”
ขวานขำหึมองเพื่อนเถียงกัน เขาควานหาเงินในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน ธนบัตรหลากสีติดขึ้นมาเป็นกำ ขวานเลือกหยิบใบสีแดงแต่ยังไม่ทันจะยื่นไป ก็ถูกดึงมือไว้


“ขวานรอก่อน พี่ไปหยิบตังแปบ  เราจะได้ทำบุญด้วยกัน” เสียงหวีดร้องกลบเสียงเพลง เพื่อนส่งเสียงกรี๊ด แต่นายตำรวจหนุ่มกลับหัวเราะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ขวานเลยแกล้งเบะปากเชิดหน้าใส่เพื่อนและแน่นอนว่ารองเท้าแตะอำพลลอยเฉียดหัวเขาไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด



เรื่องที่น่าแปลกและเป็นเรื่องที่ขวานเพิ่งสังเกตคือเมื่อเข้าสู่วันที่สิบสามเมษา ฝนจะตกทันที เหมือนที่ยายเคยบอก คนโบราณถึงเรียกวันสงกรานต์ว่าวันฟ้าใหม่ คนโบราณเป็นนักช่างสังเกตนี่เอง


วันปีใหม่ไทยศาลาวัดแทบจะไม่มีที่นั่ง แต่ละคนแต่งชุดใหม่ใส่ชุดไหม ลูกหลานกลับมาจากกรุงเทพ เอาขนมเอาอาหารผลไม้ดีๆมาวัด อาหารจะเยอะเป็นพิเศษ บรรยากาศจะคึกคักชื่นมื่นเป็นพิเศษ จะได้เห็นรอยยิ้มมากเป็นพิเศษ ขวานนั่งพับเพียบอยู่หลังเครือญาติตัวเอง

 

ภาพที่ไม่ค่อยชินตาคือวัยรุ่นนั่งกุ้มหน้าเล่นมือถือ รุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ถ่ายภาพกันสนุกสนาน ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เขาหันมองไปรอบๆ เห็นชื่อยายพร้อมครอบครัวที่เขียนไว้ใต้หน้าต่างว่าอุทิศแด่ตา เพราะมีความเชื่อว่าการบริจาคเงินสร้างโบสถ์ศาลาหรือซื้อของให้วัดนั้นจะได้บุญ บุญกับญาติที่ล่วงลับ บุญกับครอบครัวจะได้เจริญ บุญกับตัวเองเมื่อตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์


ขวานเองก็เคยมีศรัทธาแบบนั้น ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันเขาจะหัวเราะกับเพจล้อเลียนพระพุทธเจ้า เขาที่เคยมาวัดกับยายเป็นประจำจะตั้งคำถามต่อการบริจาคทำบุญ ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ


ช่วงเวลาเตรียมอาหารถวายพระ ช่วงที่ให้คนไปใส่บาตรก่อนที่พระจะขึ้นมาบนศาลา คือช่วงที่พ่อแม่อวดลูก ใครทำงานอะไร อยู่ที่ไหน แต่งงานหรือยัง ลูกเต้าใครได้เป็นครูก็เหมือนชูหน้าให้ครอบครัว พ่อแม่ก็พลอยภูมิใจ เพราะถือว่าได้เป็นข้าราชการ เป็นเจ้าคนนายคน เงินข้าราชการไฟไม่ไหม้น้ำไม่ท่วม


กล่าวคือถ้าเป็นข้าราชการนั้นมั่นคงแม้มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่กระทบรายได้ไม่กระทบเงินเดือน ขวานมองซ้ายหันขวาเมื่อมีใครบางคนสะกิดไหล่ ผู้กองธันวานั่งท่าเทพบุตรอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มและกลิ่นโคโลญจางๆบ่งบอกว่าคงจะเพิ่งออกเวร เพิ่งอาบน้ำแล้วตรงมาที่วัดเลย ชายหนุ่มยกมือไหว้ญาติๆเขาพร้อมแจกยิ้มหวาน


“ขวานใส่บาตรแล้วหรอ”

“ใส่แล้ว พี่ไปใส่สิ นี่ข้าว”

“ไปด้วยกันหน่อยสิ” ขวานขมวดคิ้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ ลุงป้าน้าอาที่นั่งอยู่แถวนั้นให้ความสนใจผู้มาใหม่พอสมควร และขวานไม่เคยสบายใจกับสายตาของผู้คนที่มองมายังพวกเขาเลย





ออฟไลน์ ภารวี.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ข้าวเหนียวส้มตำ
«ตอบ #3 เมื่อ28-05-2020 22:32:29 »



“มึงมาดูหมอลำหรือมึงขะขึ้นไปลำเองคะแม่นกกระจอกเทศ อุจจาระ” บอลเอ่ยทักอำพลที่วันนี้แต่งหน้าสวยเป็นพิเศษพลางเดินหาทำเลปู่เสื่อ


วันนี้มีหมอลำคณะใหญ่มาแสดงที่ตำบลของพวกเขาเพื่อเป็นการต้อนรับคณะผ้าป่า ปอบ่นตั้งแต่พวกกรรมการวัดลามไปยันเจ้าอาวาสว่าแทนที่จะเอาเงินไปใช้ในส่วนก่อสร้าง กลับเอามาจ้างหมอลำ แต่มันก็เป็นคนแรกที่แต่งตัวเสร็จและเร่งเพื่อนให้รีบมาจับจองที่นั่ง


“กูแต่งหน้าตั้งแต่เที่ยง ให้โอกาสดิฉันแจ้งเกิดในฐานะนางเอกหมอลำแน้ค่ากะเทย”


หน้าเวทีคนเริ่มเยอะแม้จะเพิ่งหกโมงเย็น พวกเขาเลือกนั่งริมๆแทนที่จะเข้าไปแทรกตรงกลาง เผื่อออกไปห้องน้ำจะได้สะดวก ขวานไม่ได้ดูหมอลำมานานมาก น่าจะมากกว่าห้าปี บรรยากาศยังเหมือนเดิม รอบๆมีพ่อค้าแม่ค้า ทั้งรถลูกชิ้น ขนมขบเคี้ยว สายไหม ลูกโป่ง ยันเสื้อผ้า ป้าน้าอาหอบลูกหลานนั่งตัก จากจะมีสิ่งที่เปลี่ยนไปบ้างก็คือการที่หลายคนไม่ได้จับจ้องรอคอยแสงสีการแสดงบนเวที เพราะต่างก็มีสมาทโฟนในมือเกือบทุกคน


อีกหนึ่งอย่างที่อยู่คู่เวทีหมอลำคือวัฒนธรรมการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น ขวานละอยากรู้จริงๆว่าอะไรคือเหตุจูงใจ น่าจะมีใครทำวิจัยเรื่องนี้บ้าง


หมอลำคณะใหญ่จะมีการแสดงที่เรียกว่าลำเรื่องต่อกลอน เรื่องที่นำมาแสดงมีทั้งจากวรรณคดีจารีตประเพณีอีสาน นิทานโบราณคดีอีสาน หรืออาจจะแต่งขึ้นใหม่ เรื่องที่ได้รับความนิยมที่คนทั่วไปพอจะรู้จักคือกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ พระเวสสันดร ลีลาวดี ผาแดงนางไอ่


ตอนเด็กขวานไม่ค่อยชอบเพราะฟังไม่รู้เรื่อง กระทั่งตอนนี้แม้จะเป็นคนอีสานแท้แต่ก็ยังไม่เข้าใจบางคำอยู่ดี สิ่งที่เปลี่ยนไปคือทัศนคติต่อหมอลำ ขวานคิดว่ามันไม่ได้ต่างจากละครเวที ละครเพลง โอเปร่า บรอดเวย์ เพราะผู้แสดงล้วนต้องใช้ความสามารถ ทักษะ การจำ การฝึกฝน ไหวพริบ ขวานชื่นชมและเห็นคุณค่าของศิลปะพื้นบ้านมากกว่าเมื่อก่อน


เขาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อรู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างหลัง ผู้กองธันวายืนยิ้มแฉ่ง ในมือหิ้วถุงใบโต มีทั้งขนมขบเคี้ยว ลูกชิ้น ปลาหมึกย่าง น้ำเปล่า น้ำอัดลม ถั่วต้ม เพื่อนเป่าปากแซวพร้อมขอบคุณกันใหญ่ นายตำรวจหนุ่มทักทายก่อนจะเบียดลงนั่งข้างๆเขา


เสื้อแจ๊คเก็ตยีนส์ถูกวางลงบนตัก ขวานเอ่ยขอบคุณเบาๆ เสียงบนเวทีคงกลบ แต่ผู้กองธันวาก็ยังแกล้งเอียงหน้าเอียงหูมาหา เขาตีไหล่และผลักออกไป ถึงจะมืดก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเห็น


“ขวานจะอยู่จนงานเลิกเลยมั้ย”


“คงจะอย่างนั้น อำพลมันรู้จักกับพระเอกหมอลำ มันจะรอไปถ่ายรูปหลังเวที”


“ก็ตีสี่ตีห้าเลยสิ งั้นถ้าจะกลับโทรบอกพี่ด้วยนะ ถ้าไม่มีคนยิงคนแทงกันพี่ก็คงอยู่ที่เต้นท์อำนวยการข้างหน้า เผื่อกลับด้วยกัน”


ขวานพยักหน้ารับรู้อยู่กับเข่า เพราะเมื่อครู่ที่ผู้กองธันวาก้มมากระซิบคงตั้งใจให้ปลายจมูกโดนข้างแก้มเขา ชายหนุ่มหัวเราะลูบหัวเขา บอกลาเพื่อนขวานแล้วจากไป ทันทีที่ชายหนุ่มหันหลัง อำพลกับปอก็ลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดเสื่อพร้อมหวีดร้องว่า


“โอ้ย มดกัดฉันค่า มดค่ามด มดคันไฟกัดดิฉันค่าคุณตำรวจ”


“ตัดขาแน่กูเบาหวานขึ้น”


“อีขวานไปฉี่ตอนนี้มดขึ้นฉี่ทันทีเลยนะคะแม่”


เทศกาลแห่งความรื่นเริงสนุกสนานผ่านพ้นไปแล้ว ถึงเวลาต้องกลับสู่โลกชีวิตจริงของการทำงาน คนหนุ่มสาวลูกหลานทยอยกลับไปสู้งาน ไปเรียนหนังสือในเมืองใหญ่


“พ้อกันปีใหม่เด้อ” คือคำสัญญาที่ใช้บอกลา ข้าวสาร ข่าตะไคร้ใบมะกรูด ไก่บ้านย่าง ปลาจากบ่อทำปลาแดดเดียวเต็มท้ายรถ เสบียงจากบ้านเกิดคงช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกพักใหญ่





“ชีวิตมึงเป็นไงบ้างช่วงนี้” ขวานเอ่ยถามดาว

เพื่อนเขาใช้วันลาอยู่บ้านเพิ่มอีกสามสี่วัน กลับลงไปตอนนี้รถก็คงติดเหมือนขามา ขวานกับดาวหากจะนับควานหาโคตรเหง้าก็คล้ายว่าจะมาจากเหง้าเดียวกัน เล่นด้วยกันเรียนด้วยกันแถมเป็นญาติกัน

แม้ว่าพอโตเป็นผู้ใหญ่มีหน้าที่การงานที่ต่างต้องรับผิดชอบ แม้จะได้เจอกันปีละครั้งสองครั้ง แต่ทุกครั้งที่ดาวกลับบ้านมาก็จะมาหาขวาน ชวนกันไปขับรถ เปิดเพลง แลกเปลี่ยนเรื่องราว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่หาที่นั่งคุยกันดีๆ แต่การทำแบบนี้เหมือนจะทำให้สบายใจมากกว่า



“เดิมๆ เรื่อยๆ จนเหมือนเดิม หนี้เยอะกว่าเดิม” ดาวตอบ มือข้างหนึ่งประคองพวงมาลัย อีกข้างเท้ากระจก


“เรื่องหนี้ หาคนมาแข่งกูเลย ยืนหนึ่งในสารคาม”


“คนอย่างมึงรู้จักคำว่าหนี้ด้วยเหรอขวาน” ดาวยิ้มล้อ เหลือบมามอง เพื่อนในกลุ่มบอกว่าขวานเกิดมาสบาย ย่ายายมีที่ดินที่นาเยอะ พ่อแม่ก็รับราชการทั้งคู่ ไม่เคยลำบาก ขวานก็ว่าขวานนั้นโชคดี แต่ชีวิตขวานก็มีเรื่องอับโชคเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ


“ตอนกูเปิดร้าน ค่าโต๊ะเก้าอี้ ค่าแรง ค่าอิฐค่าปูน ต้นไม้ดอกไม้ที่ซื้อมาลง ค่ารถไปกลับกรุงเทพทุกอาทิตย์ ค่าแฟรนไชส์ มึงคิดว่ากูเอาหมอยจ่ายเขาหรอ” ดาวขำลั่นรถ สำหรับขวานเรื่องบางเรื่องก็เหมาะจะคุยกับเพื่อนแค่บางคน และดาวคือคนที่เขาจะคุยเรื่องชีวิตด้วยบ่อยที่สุด


“แล้วร้านมึงเป็นไงช่วงนี้ ดีเหมือนช่วงแรกๆมั้ย”


“ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน ก็พออยู่ได้ เหมือนที่เขาว่า เศรษฐกิจยุคนี้ ขายหีก็เจ๊ง”


“กูก็เพิ่งรู้ตอนมึงเปิดร้านนี่แหละว่าขายส้มตำได้เงินวันละเป็นหมื่น ขนาดว่าร้านมึงอยู่ต่างจังหวัดแถมราคาก็ไม่แพงนะ กูไม่อยากคิดเลยว่าร้านส้ำตำตามห้างในกรุงเทพมันจะฟันกำไรไปเท่าไร”


“เขาก็คงมีรายจ่ายเยอะแหละ เงินเดือนลูกน้องแต่ละเดือน ค่าน้ำค่าไฟ แต่ยังไงมันก็ได้กำไรชัวร์ ส้มตำจานละแปดสิบเก้าสิบ ต้นทุนไม่ถึงยี่สิบเนี่ย”


“มึงว่าคนรวยใช้ทรัพยากรเปลืองกว่าคนจนรึเปล่าวะ กูว่าโลกร้อนเกิดจากคนรวย” ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วหัวเราะ บทสนทนาไหลไปเรื่อยเปื่อย “เรื่องมึงกับพี่ธัน บ้านมึงว่าไง” ขวานถอนหายใจ มองออกไปด้านนอก ทุ่งนาแห้งแล้ง ฝูงวัวยืนเล็มหญ้าอยู่ประปราย


“ก็ไม่ได้ว่ายังไง ทำเบลอๆเนียนๆ ถ้ากูเป็นผู้หญิงแม่คงได้หน้า คนบ้านเราชอบอวดลูกอวดหลานขนาดไหนมึงก็รู้ ปกติถ้าลูกมีผู้กองมาติด คงได้เอาไปพูดให้ฟังทั้งตำบล ไม่ได้ห้ามก็จริงแต่ก็พูดไม่ได้ คงอายด้วยมั้ง ทั้งที่ก็ออกจะชอบพี่ธันกันทั้งบ้าน แกเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่กูบอก เพราะการเป็นแบบกูแบบพี่ธันมันไม่ใช่สิ่งที่คนเขาชื่นชม เลยพูดอะไรไม่ได้”


“หึ” ดาวส่งเสียงเย้ยอยู่ในคอ เย้ยหยันให้กับความคิดมนุษย์

ดาวเข้าใจขวาน เข้าใจสิ่งที่เป็น สิ่งที่ต้องเผชิญ เพราะแฟนของดาวก็เป็นผู้หญิง พามาบ้านก็ต้องบอกว่าเพื่อน เธอพรูลมหายใจเคาะนิ้วกับพวงมาลัย “อยู่กรุงเทพก็เรื่องนึง อยู่บ้านนอกก็ปัญหานึง คนหนอคน แต่ก็คิดซะว่าอย่างน้อยสมัยนี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อน”


“อือ แล้วงานมึงเป็นไง ยังอยากลาออกสามเวลาหลังอาหารมั้ย”


“ตอนนี้เพิ่มเป็นก่อนนอนและหลังตื่นนอน” ขวานหัวเราะกับคำตอบ “กูเริ่มอยากกลับมาอยู่บ้านว่ะขวาน รอบนี้พ่อแม่กูดูแก่ลงไปเยอะ พ่อเหลือผมดำไม่ถึงห้าเส้นแล้วมั้ง กูลงไปตีบักห่านี่ซะบ้อ” ดาวตบไฟเลี้ยวบับแตรก่อนจะแซงรถกระบะคันนหนึ่งที่ขับคร่อมเลนมาสักพัก


“คิดดีๆนะ งานที่สารคามเงินเดือนไม่เยอะเท่ากรุงเทพ กูก็อยากให้มึงกลับมาบ้านเรา แต่คิดดีๆ”


“กูเหนื่อยว่ะขวาน งานก็ยังพอทนได้ แต่เหมือนกูไม่เหมาะกับสังคมสภาพแวดล้อมกรุงเทพ การเดินทาง ตึก คนแออัด แย่งกันกินแย่งกันใช้ แรกๆก็ตื่นเต้นดีแต่พออยู่ไปอยู่มา เหมือนกูไปอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนกินส้มตำกับเส้นสปาเกตตี้ แต่พอจะกลับบ้านก็ไม่รู้จะกลับมาทำอะไร เหมือนที่มึงบอก งานบ้านเราได้เงินน้อย ไม่พอใช้หนี้กยศ.ด้วยซ้ำ ไหนจะกลัวชาวบ้านนินทา กลัวพ่อกับแม่จะอายคนว่าลูกกลับมาทำนา”


“ใครจะทำนานะ”


“กูไง ฮ่าฮ่าฮ่า”


“เหมือนมึงบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ปลอมพอๆกัน”


“แรงมากแม่ เฮ้ออออ อยากมีผัวรวยเหมือนอีเบนโว้ย เผื่อจะมีความสุข”


“โลกนี้กูว่าไม่มีใครทุกข์เท่าอีเบนแล้วนะดาว”


“เออว่ะ ก็จริง กูเกลียดรัฐบาล เกลียดโครงสร้างสังคม เกลียดความจนโว้ย ” ดาวหัวเราะ เสียงหัวเราะเคลือบความขมขื่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แท้ที่จริงคนต่างจังหวัดไม่มีใครอยากจากบ้านเกิดไปหรอก แต่ในเมื่อความเจริญมันกระจุกอยู่แค่ในกรุงเทพแล้วจะให้ทำอย่างไร



การทำนาไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ขวานจะไม่เคยทำ แต่เห็นที่แม่จ้างคนทำ เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองหรือเพื่อนอย่างดาวจะทำได้ ยิ่งเป็นนาของทางภาคอีสานที่ไม่ได้มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์อย่างภาคกลาง ดินก็เป็นดินทรายซะส่วนใหญ่ ยิ่งยากเข้าไปอีก
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาขวานเห็นกระแสที่คนหนุ่มสาวกลับจากเมืองใหญ่เพื่อมาทำการเกษตร 

นอกจากจะเอาชนะตัวเองยังต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก มันไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่สิ่งสวยงามกว่าจะไปถึงจุดนั้น แต่ที่สำคัญคนหนุ่มสาวที่ทำแบบนั้นจนเป็นตัวอย่างให้คนอื่นๆได้ เพราะพวกเขามีที่ดินเป็นของตัวเองอยู่แล้ว



พอเติบโตมาขวานถึงได้เรียนรู้ว่าการที่ชาวไร่ชาวนา คนต่างจังหวัดยังจนนั้นไม่ใช่ว่าไม่ขยันไม่พยายาม แต่มันคือระบบโครงสร้างสังคมที่กดทับ คือความเหลื่อมล้ำที่สร้างจากชนชั้นนำกลุ่มหนึ่งต่างหาก


การที่ชาวนาซึ่งไม่มีเงินเดือนประจำ และทำนาได้แค่ปีละครั้งจะส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย ที่มีค่าใช้จ่ายเริ่มไปตั้งแต่ค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง ค่าเทอม ค่ากิน ค่าหอพัก จิปาถะต่างๆ ทำนากี่เดือนกว่าจะได้ขาย หาเงินไม่ทัน ต่อให้ขายข้าวก็ได้เงินไม่พออยู่ดี ผลผลิตบางส่วนต้องแบ่งไว้กิน เงินที่ได้ก็ต้องใช้หนี้ก้อนเก่า เพราะทำนานั้นก็มีต้นทุนเหมือนกัน วนเวียนเป็นวัฏจักรแบบนี้ปีแล้วปีเล่า


ในเมื่อรายรับไม่พอกับรายจ่ายก็ต้องไปกู้ กู้ในระบบไม่พอและไม่ทันการ ลูกต้องจ่ายค่าเทอมพรุ่งนี้ รอธนาคารอนุมัติเมื่อไรไม่อาจทราบ ก็ต้องกู้ข้างนอก ดอกแพงแค่ไหนก็ต้องยอม ในหนึ่งหมู่บ้านจะมีสักสองสามครอบครัวที่ปล่อยกู้นอกระบบ และสิ่งที่มีคล้ายกันคือกลุ่มเจ้าหนี้มักจะมีที่ดินที่นามากเป็นสิบยี่สิบไร่ และบางคนก็ไม่ให้ลูกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย จบม.ปลาย ก็ให้ไปทำงานโรงงานเก็บเงินส่งกลับมาให้ ถึงกับเคยมีคนหนึ่งพูดว่า


“จะเรียนสูงไปทำไม จบมาเป็นครูก็มากู้เงินชาวนาอย่างกูอยู่ดี”


เมื่อกู้แล้วก็ยังไม่พอ ก็ต้องขายไร่ขายขายนา ขายวัวควาย เพื่อให้ลูกได้รับการศึกษาเพื่อที่จะได้รับวุฒิขั้นต่ำที่แต่ละบริษัทกำหนด เพื่อจะเอาไปสมัครงาน พวกเขาต้องทำทุกวิถีทาง


ดาวเป็นคนขยันที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ขวานเคยเจอมาในชีวิต ช่วงปิดเทอมก็ไปรับจ้างที่โรงงานขนมปังซึ่งญาติเป็นลูกจ้างอยู่ที่กรุงเทพ แม้แต่ช่วงปิดเทอมเสาร์อาทิตย์ก็ยังไปรับจ้างตัดอ้อย ถางหญ้าในไร่มันสำปะหลัง

แต่ก็ยังถูกบางคนค่อนขอดว่าทำงานรับจ้างหาเงินได้แทนที่จะเก็บไว้เอาไปโรงเรียนกลับเอาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ เพื่อนเขาที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ ผลัดกันอยู่แค่สี่ห้าชุดจะไม่มีสิทธ์ซื้อเป็นรางวัลให้ตัวเองเชียวหรือ


ขวานเห็นดาวพยายามมาตลอด ดิ้นรนมาทั้งชีวิต แต่ดาวก็ยังไปไม่พ้นความจนเสียที



เงินเดือนสองหมื่น ผ่อนรถ จ่ายค่าห้องเช่า ส่งให้พ่อแม่ ส่งน้อง ต้องพยายามอีกเท่าไร ต้องขยันอีกแค่ไหน ถึงจะไม่ต้องดิ้นรน ต้นทุนชีวิตที่เริ่มจากการมีหนี้ กวาดตามองชีวิตคนรอบตัวก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร คนไหนแต่งงานกับสามีรวยก็สบายหน่อย แต่ก็คงมีเรื่องอื่นให้ทุกข์


ขวานได้แต่ฟังอย่างเห็นใจ ดาวบ่นกับเขาบ่อยครั้งว่าอยากกลับบ้าน ความฝันของคนอย่างพวกเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ แค่อยากมีงานดีๆ มีเงินพอจะส่งให้ครอบครัว มีรถเพื่อใช้เดินทาง ปลดหนี้ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นทวด ได้อยู่กับพ่อแม่เพื่อดูแลในตอนที่แก่ชรา ตอนที่ป่วยก็มีเงินพอที่จะพาไปรักษา ตอนตายก็มีเงินพอที่จะทำศพ ทำบุญไปให้ แต่กว่าจะตั้งตัวได้อายุก็ปาไปค่อนคน ดีไม่ดี ค่อนคนแล้วก็ยังใช้หนี้ไม่หมด


เมื่อก่อนขวานเคยคิดเล่นๆว่าประเพณีก็มีส่วนทำให้คนในชุมชนนี้จน ประเพณีที่ผูกติดวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย งานแต่งก็ใช้เงินจัดเลี้ยงแม้แต่งานศพ เจ้าภาพก็ยังต้องทำอาหารเลี้ยงแขก งานบวชยิ่งสิ้นเปลือง ต้องไปซื้อกองบวช(เครื่องบวชพระ) คนที่ขายส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ในตัวเมือง ชาวนาขายข้าว กู้หนี้ยืมสินไปซื้อ เพื่อที่จะได้จัดงานบวช จะได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายขึ้นสวรรค์



ล้มหมูล้มวัวหมดกันเป็นแสนๆ ไหนจะต้องจ้างมหรศพ หมอลำซิ่ง รถแห่ วัฒนธรรมประเพณีแบบนี้สมัยพุทธกาลตอนพระพุทธเจ้าบวชก็ไม่เห็นจะมีรถแห่ มีแค่นายฉันนะกับม้ากัณฐกะท่านก็บวชได้ ก็ไม่รู้ว่าการจัดงานบวชอย่างยิ่งใหญ่นี้มันเกิดขึ้นมาเมื่อไร บางทีอาจจะพอสืบเสาะย้อนหาได้ แต่มันจะสิ้นสุดและเปลี่ยนแปลงได้มั้ยเป็นสิ่งที่ยากเกินจะตอบ



พวกเขาต่างอยู่ในความเงียบ สารพัดเรื่องราวไหลหลากในกระแสความคิด เสียงเพลงลูกทุ่งหมอลำ เสียงพิณเสียงแคน เนื้อหาเนื้อเพลงที่บอกเล่าถึงความแร้นแค้น ไกลบ้าน ดิ้นรน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษเพลงจากแผ่นดินที่ราบสูงก็ยังวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านี้


ขวานไม่ใช่คนละเอียดอ่อน ไม่ได้มีความรู้เรื่องภาษาวรรณศิลป์ก็จริง แต่พอได้นึกตามเพลง เสียงพิณกับไวโอลินนั้นคุณค่าต่างกันอย่างไร วัฒนธรรมอีสานชายขอบ อาหารอีสาน เพลงอีสานถูกมองเป็นอื่น เป็นพวกบ้านนอกจากคนเมือง เช่นเดียวกับคนชายขอบอื่นๆ


แต่ถ้าดาราที่พูดภาษาอีสานก็จะได้รับความชื่นชมว่าไม่ลืมถิ่นฐานบ้านเกิด ไม่อายที่จะแสดงอัตลักษณ์ความเป็นอีสาน แล้วทำไมถึงจะต้องอาย มันมีเหตุผลอะไรที่เมื่อบอกคนอื่นว่าเป็นคนอีสานแล้วจะต้องอับอาย เหมือนกับว่าถ้าจะภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นได้รับความนิยมยอมรับจากคนเมือง

ละครหลายเรื่องที่ส่งให้นักแสดงโด่งดังก็เป็นละครที่สร้างจากความเป็นอีสาน  หรือประเทศไทยจะหมายถึงแค่กรุงเทพ ขวานก็ได้แต่นึกแล้วขำ



ออฟไลน์ ภารวี.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ข้าวเหนียวส้มตำ
«ตอบ #4 เมื่อ28-05-2020 22:41:32 »


เขานอนเล่นมือถือระหว่างที่ไม่มีลูกค้า ป้าๆน้าๆนอนเกยกันนินทาคนนั้นคนนี้ที่แคร่ใหญ่ใต้ต้นมะม่วง


“ได้ข่าวว่าบักป้องไม่ไปโรงเรียนบ่ป้านาง” แม่เขาเอ่ยถามญาติผู้พี่


“อื้อ มันเป็นไข้ เมื่อวานโดนแมงป่องต่อย”


“เอ่า เป็นไงบ้าง ละพาไปโรงบาลรึยัง”


“พาไปอนามัยแล้ว เมื่อเช้าก็เพิ่งพาไปเป่า”


“ไปเป่านำไผป้า” (ไปเป่ากับใครเหรอป้า)


“ไปเป่านำพ่อใหญ่เพ็ง”


“คือบ่ไปหายายผา เจ้าบ่ย่านติ คนซาว่าพ่อใหญ่เพ็งเป็นปอบ” (ทำไมไม่ไปเป่ากับยายผา ป้าไม่กลัวหรอ คนเขาลือกันว่าตาเพ็งเป็นปอบ) น้าต้อยพูดจบ ขวานหูผึ่งทันที



เขาละสายตาจากหน้าจอที่กำลังแชทกับผู้กองเพื่อมาฟังเรื่องราวเร้นลัจากน้าต้อย ตอนเด็กๆขวานกลัวผีปอบมาก เรื่องพระอุ้มหมาแม่ชีอุ้มแมว เรื่องผีแม่หม้ายเมืองลับแลอีก สมัยนั้นมีข่าวลือให้ได้ยินบ่อยๆ

จำได้ว่าครั้งหนึ่งที่เรื่องผีแม่หม้ายดังๆ ชาวบ้านรวมถึงแม้ขวานเขียนข้อความใส่กระดาษว่าบ้านหลังนี้ไม่มีผู้ชายพร้อมวาดรูปปลัดขิกเพราะกลัวว่าผีแม่หม้ายจะมาเอาวิญญาณผู้ชายในบ้านไปอยู่ด้วย


ส่วนพ่อใหญ่เพ็งนั้นเป็นหมอพื้นบ้านหรือที่เรียกกันว่าหมอธรรม หมอพื้นบ้านมีหลายอย่าง หมอดู หมอทำขวัญ หมอฮากไม้(รากไม้) หมอเป่าหมอมนต์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคาถาอาคมไสยศาสตรย์ คอยช่วยเหลือคนเจ็บป่วยในเรื่องเหนือธรรมชาติ

คนจะเป็นหมอธรรมได้นั้นต้องถือศีล มีข้อห้ามยิบย่อย บ้างก็ห้ามข้ามรอยงู ถ้าเดินไปตามถนนแล้วเห็นรอยงูเลื้อยห้ามเดินข้ามให้เอาดินกลบเสียก่อน ห้ามลอดใต้ราวตากผ้า ห้ามกินข้าวในงานศพ ห้ามเสพกามในวันพระ ว่ากันว่าถ้ารักษาตามข้อปฏิบัติเหล่านี้ไม่ได้ซึ่งเป็นการผิดครู คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นปอบ



“พี่ธันเชื่อเรื่องผีปอบมั้ย” ขวานเอ่ยถามขณะนั่งดูข่าวอยู่ในบ้านพักนายตำรวจ


“หืม ก็ไม่เคยเจอนะ” เอ่ยตอบแต่สมาธิก็ยังจดจ่อกับเกมส์ในมือถือ


“อยากเจอมั้ย”


“ปอบไม่อยากเจอ อยากเจอโป๊มากกว่า” ขวานขว้างหมอนใส่ มันน่าหงุดหงิดพวกที่เห็นความกลัวของคนอื่นเป็นเรื่องตลก ผู้กองธันวาคงเห็นสีหน้าไม่พอใจของเขาเลยพยายามกลั้นเสียงหัวเราะแต่แววตาก็ปิดแววล้อเลียนไม่มิดอยู่ดี


“ใหญ่แล้วกะยังย่านผี” (โตแล้วก็ยังจะกลัวผี) สำเนียงอีสานแปร่งๆเอ่ยขึ้น

“เดี๋ยวพี่ถอนขนขาให้ ผีจะได้ไม่กล้ามาหลอก” สิ่งเดียวที่เขาใช้ตอบโต้อีกฝ่ายคือความนิ่งและเงียบ “โกรธพี่เหรอ ผีมีที่ไหน ถ้ามาจะเอาปืนยิงให้ดูเลย เฮ้ยขวาน โกรธจริงปะเนี่ย”


ครั้งนี้คำตอบของเขาคือการเดินเข้าห้อง นอนคลุมโปงเพราะนึกได้ว่าลืมเปิดไฟ เขากลัว เขาคิดเสมอว่าการกลัวผีนั้นเป็นกรรมอย่างหนึ่ง เพราะเขาไม่กล้าไปไหนมาไหนตอนกลางคืนคนเดียว ขวานอิจฉาอ้อที่ขี่มอเตอร์ไซข้ามอำเภอตอนสี่ห้าทุ่มได้ ขวานอิจฉาทุกคนที่เกิดมาแล้วไม่กลัวผี


เขาพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลัว หรือเพราะตอนเด็กๆโดนขู่ว่าถ้าไม่เชื่อฟังทำตามคำสอนผู้ใหญ่จะโดนผีเป้าผีปอบมากินตับไต แล้วอีอ้อเพื่อนรักมันไม่โดนขู่แบบเขาบ้างรึไงนะ น่าโมโห โดยเฉพาะเสียงฮัมเพลงเจือแววขบขันของคนที่เดินเข้ามายิ่งชวนให้โมโห แม้ว่าในความหงุดหงิดจะมีความโล่งและอุ่นใจว่ามีคนอยู่ร่วมห้องแล้ว


ขวานแทบไม่ได้นอนบ้านตัวเองเลยในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา บ้านพักตำรวจคือบ้านหลังใหม่ นอกจากคืนที่ผู้กองติดงานเขาถึงจะนอนบ้าน ส่วนวันธรรมดาทั่วไป ผู้กองธันวาจะมารับเขาตอนเย็น บางวันก็ไปหาข้าวกินที่ตลาดโต้รุ่ง กินข้าวที่ห้างเสริมไทย ไปร้านนม ร้านเหล้าบ้าง แล้วแต่อารมณ์


ขวานมักจะตื่นแต่เช้า หุงข้าวทิ้งไว้ ก่อนจะออกไปตลาดเพื่อซื้อของสดเข้าร้าน กลับมาทำมื้อเช้าง่ายๆ วันไหนขี้เกียจก็ซื้อหมูปิ้งซื้อแกงถุง ปลุกคนที่ต้องไปทำงานให้ลุกไปอาบน้ำ กินข้าวเช้าด้วยกัน  จากนั้นผู้กองธันวาก็จะไปส่งเขาที่บ้าน ช่วยขนของลงจากรถ แล้วก็ไปทำงาน เป็นชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่าย


วันเสาร์เป็นวันที่เขาปิดร้าน ถ้าว่างตรงกันก็ไปทำบุญที่วัดป่า บางครั้งก็ขับรถไปห้างที่ขอนแก่น แต่ถ้าสัปดาห์ไหนผู้กองธันวาเหนื่อย อยากพักผ่อน พวกเขาก็แค่นอนแช่อยู่ในห้อง แต่ขวานก็ไม่ค่อยอยู่นิ่งๆ หอบเสื้อผ้าของทั้งคู่มาซัก ปกติผู้กองธันวาส่งร้านซักรีดในเมือง


ยิ่งพวกเครื่องแบบที่ต้องรีดอย่างพิถีพิถัน เขาเชื่อเลยว่านายตำรวจหนุ่มไม่มีทางและไม่มีเวลาจะทำเองแน่นอน ขวานเลยอาสาดูแลให้ เขาชอบทำงานพวกนี้เป็นทุนเดิม ตั้งแต่เด็กเห็นแม่กับพี่สาวทำก็อยากทำ ขวานเคยสงสัยว่าแม่กลับจากโรงเรียนสอนนักเรียนเหนื่อยๆแต่ทำไมยังต้องมาทำกับข้าว ทำงานบ้าน ขณะที่พ่อเมื่อกลับจากโรงพักก็อุ้มไก่ชนไปหาเพื่อน


“ขวานนน ที่รักเป็นอะไร กลัวหรอจ๊ะ กุ๊กกุ๊กกู๋ววว” ขวานเงียบ ผู้กองธันวายังไม่วายหัวเราะคิกคักทำเสียงผีหลอกล้อเขาไม่หยุด ขวานสะบัดผ้าห่มออกเพราะหายใจไม่ออก เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นโถมตัวลงมาคร่อมเขาเอาไว้


ตาคมหวานเป็นประกายวิบวับ สบมองกันไม่นานก็โน้มลงมาหา ริมฝีปากแตะกันผะแผ่วอย่างตั้งใจหยอกเย้าไม่ใช่ว่าขวานไม่เคยจูบ แต่ผู้กองธันวาคือครูที่สอนให้ขวานชอบการจูบ ไม่เร่งเร้าไม่เคยเอาแต่ใจ จังหวะบดคลึง ดูดดึง เอียงหา ขบเม้มเป็นไปอย่างเนิบช้าทว่าปลุกเร้า

เสียงลมหายใจพึงพอใจดังขึ้นเรื่อยๆ เรียวลิ้นอีกฝ่ายจู่โจมแทรกเข้ามาเกี่ยวพันกับลิ้นเขาถึงในถิ่น จากที่ทาบทับแค่ช่วงบน ผู้กองธันวาขึ้นมาคร่อมเหนือร่างของขวานแนบสนิทกันทั้งตัว เมื่ออีกฝ่ายเตะผ้าห่มให้พ้นทางพร้อมถอดเสื้ออย่างเร่งร้อน ร่างกายกำยำก็เคลื่อนขยับบดเบียดจนสัมผัสกันไปทุกสัดส่วน


ใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปี ได้ยินได้ฟังเรื่องราวความรักมาก็มาก เคยสงสัย ใคร่รู้ หวาดกลัวและโหยหา เคยเกือบๆเฉียดๆเข้าไปสัมผัสก็หลายครา ทว่าครั้งนี้ขวานเพิ่งได้เข้าใจว่าทำไม “รัก” ถึงเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจ บันดาลให้ผู้คนร้องไห้ หัวเราะ เจ็บปวด สร้างสรรค์สิ่งดีงามเพื่อตนเองหรือทำร้ายทำลายตัวเองเพียงเพราะคำสั้นๆคำนี้



ขวานเข้าใจเมื่อได้ประสบด้วยตัวเอง เขานึกอิจฉาตัวเองที่ได้เจอผู้กองธันวา คนที่ทำให้ขวานได้รู้จักความรัก คนที่ดีจนไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะมีโอกาสได้พบเจอ  ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาภายนอก แต่นิสัยใจคอ การเอาอกเอาใจ ดูแลและคอยอยู่เคียงข้าง ราวกับหลุดออกมาจากหนังรักโรแมนติก ใครจะคิดว่าวันหนึ่งเขาจะได้ครอบครองคนที่แสนจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้



ขวานจ้องมองแผ่นหลังคนตรงหน้า เสื้อยืดสีเทาเปียกชื้นเหงื่อไปทั้งหลัง ผู้กองธันวาวิ่งไปตามถนนเส้นรอบเมือง มีขวานขี่มอเตอร์ไซช้าๆตามหลัง ตะวันกำลังจะลาลับ ฟ้าทิศทะวันตกย้อมด้วยสีชมพูอมส้ม ผู้กองธันวาหันกลับมายิ้มขณะวิ่งถอยหลัง


“เดี๋ยวก็ล้ม คอยดู หันกลับไปวิ่งดีๆเลย”


“จ้าเมียจ๋า” ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบเขาก็บิดมอเตอไซแซง ได้ยินเสียงหัวเราะพร้อมตะโกนไล่หลัง ก่อนจะมีคนกระโดดขึ้นซ้อนท้าย


“ไปกินหมูกระทะนะพี่ธัน”


“อีกแยะ วันก่อนก็เพิ่งกิน”


“อยากกินอีกอ่ะ เดี๋ยวขวานเลี้ยงเอง”


“ทำมาเป็นพูด ตัวเองก็ให้พี่จ่ายตลอด หมั่นไส้” เลยโดนเขกหัวไปที “เนี่ยกินหมูจนจะอ้วนเป็นหมูแล้ว บอกให้วิ่งด้วยกันก็ไม่วิ่ง” ฝ่ามือใหญ่สองข้างวางแหมะลงที่เอวของขวาน


“ก็ขวานกลัวพี่ธันเหนื่อยตอนกลับ เลยขี่รถมาคอยรับนี่ไง จึ๊ พี่ธันอย่าจับ!!! จั๊กจี้”


“เมื่อคืนยังบอกเสียวอยู่เลย เฮ้ยๆ ขี่ดีๆ ไม่ทำแล้วๆ ไม่ทำแล้วจ้า”
 

รถมอเตอไซส่ายไปมา เสียงหยอกล้อคลอเสียงหัวเราะค่อยๆหายไปพร้อมแสงดวงตะวัน





“ขวาน พี่ได้คำสั่งย้าย”


“เมื่อไร”

“ที่จริงคำสั่งออกมาแล้ว” คงหมายถึงรายชื่อถูกย้ายไปแล้ว “แต่คงอยู่นี่ต่ออีกสองสามเดือน แล้วแต่นายจะว่ายังไง”


“แล้วย้ายไปที่ไหน”


“นครพนม” เขาหูดับไปครู่หนึ่ง การย้ายส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ทำผิดก็มักจะย้ายเพื่อไปรับตำแหน่งที่สูงขึ้น ในสายงานตำรวจ ความสามารถไม่ใช่สิ่งการันตีถึงความก้าวหน้า ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเด็กใคร เส้นใหญ่แค่ไหน และการที่ผู้กองธันวาได้ย้ายได้เลื่อนขั้นเร็วขนาดนี้ นายคงใหญ่พอตัว


“นครพนมก็ไม่ไกล ไปหาได้สบายมาก”


“จะปิดร้านไปได้จริงเร้อ”


“เงินสำคัญแต่ผู้ชายสำคัญกว่า ไม่ต้องกลัว ไปเจอทุกอาทิตย์ก็ยังได้”


“ได้ยินแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย ตอนแรกกลัวว่าขวานจะไม่โอเคที่เราต้องห่างกัน”


“พ่อนี่ก็เป็นตำรวจนะพี่ธัน ชินแล้วกับไอ้เรื่องย้าย” ขวานรู้สึกว่าตัวเองเก่งพอตัวที่แสร้งทำเป็นเข้าใจด้วยความนิ่งสงบได้ขนาดนี้


“ดีใจนะที่ขวานเข้าใจแต่อีกใจก็ไม่อยากห่างกัน พี่ติดแฟนขวานก็รู้ ห่างกันแบบนี้คิดถึงตายเลย”


“ก็บอกแล้วว่าจะไปหาบ่อยๆ สารคามกับนครพนมใกล้แค่นี้เอง”


“มันก็ไม่ได้เจอทุกวันเหมือนตอนนี้อะ”


“งั้นก็ลาออกไปต้องทำมันละงาน เงินเดือนตำรวจทำไปจนตายก็ไม่รวยหรอกถ้าเป็นตำรวจดี ออกมาเลยเดี๋ยวขวานเลี้ยงเอง”


“ข้อเสนอน่าสนใจ” ทั้งคู่หัวเราะและหลับไป ผู้กองธันวาหลับไปแล้ว ทว่าเสียงทอดถอนใจจากใครคนหนึ่งยังคงดังไปจนรุ่งสาง



กระแสลมเปลี่ยนทิศพัดพากลิ่นฉุนของดอกพญาสัตบรรณรบกวนผู้คนไปทั่วเมืองเมื่อย่างเข้าสู่ต้นเดือนพฤศจิกายน ข้าวเริ่มออกรวงลู่เป็นระลอกคลื่น ฤดูหนาวกำลังหวนมาอีกปี ร้านตำแล้วหนียังมีลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาด เสียงเพลงลูกทุ่งหมอลำไม่เคยเงียบหาย กลิ่นส้มตำปลาร้า กลิ่นไก่ย่าง ข้าวเหนียวนึ่งใหม่ยังเป็นมนต์เสน่ห์ของอีสาน


ช้อนคันสุดท้ายลงไปอยู่ในตระกร้า ขวานสะบัดน้ำออกจากมือ เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน วันนี้ปิดร้านเร็วเพราะเป็นวันเกิดของหลานสาว เขาต้องพาแม่ไปซื้อเค้กให้หลานสุดที่รัก


เที่ยงคืนแล้ว เด็กๆแยกย้ายกลับบ้านไปนอน พ่อออกไปนอนที่แคร่ไม้ไผ่ที่ร้านเหมือนอย่างทุกคืน ส่วนแม่เข้าไปนอนกับยาย

ขวานหาวหวอด เขาลงมาเปิดประตูบ้านให้คนที่โทรมาบอกว่าลงเวรแล้วกำลังขับรถมาหา ขวานเปิดเพลงในมือถือให้อยู่เป็นเพื่อน ไหนๆก็ลงมาแล้วเลยคว้าไม้กวาดกวาดบ้านเสียหน่อยระหว่างรอ ของเล่น เศษสมุดดินสอ กล่องสีเกลื่อนหน้าทีวี ขวานเดินหาถุงดำมาใส่ขยะ


เขานั่งยองๆรวบเก็บสมุดประทับตราโรงเรียนเต็มไปด้วยรูปวาดของหลานๆ กระดาษกล่องเค้กก็เอามาฉีกเล่น ตัวต่อเลโก้ กระดาษไวท์บอร์ดอันเล็ก ขณะที่บ่นอยู่ในใจ มือที่เอื้อมไปหยิบกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยชะงัก


เมื่อเห็นเศษกระดาษมันวาวสีชมพูอยู่ตรงหน้า เสียงเลื่อนเปิดประตูบ้านทำให้ขวานหันไปมอง ชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์แขนสั้น ดูอิดโรย เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้  ขวานยิ้มบางเมื่ออีกฝ่ายเดินมาโคลงศรีษะเขาเบาๆ วางสัมภาระและเดินเข้าครัวไป


ขวานจ้องมองกระดาษนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา ค่อยๆเคลื่อนกระดาษที่ถูกฉีกเข้าประกบกัน รอยขาดได้แบ่งชื่อบนนั้นออกเป็นสองฝั่ง ที่ชื่อว่าที่เจ้าบ่าวปรากฏรอยเปรอะหยดน้ำเป็นดวง



ขวานก้มมองกระดาษสีชมพูซีดในมืออีกครั้ง ยังได้กลิ่นหอมอ่อนจางแม้ผ่านมาเนิ่นนาน ขวานอ่านข้อความบนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย





พรรณวดี  พันตำรวจโทธันวา








>>> จบ <<<




เมื่อกลางปี2561มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตที่จังหวัดมหาสารคาม 1 ปี เลยเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อเป็นการนึกถึงช่วงเวลานั้น เป็นหนึ่งปีที่มีหลายสิ่งเกิดขึ้น  ได้เพื่อนใหม่ มิตรภาพใหม่ ได้เห็นและรับรู้วิถีชีวิตหลากหลายแบบ

ผู้คนที่เราประสบพบเจอล้วนเป็นแรงบันดาจใจให้อยากบันทึกเรื่องราว แต่ก็ไม่สำเร็จสมบูรณ์เสียที พอดีว่าช่วงนี้หูข้างหนึ่งมีปัญหา สร้างความหงุดหงิดใจจนไม่มีไอเดียคิดเรื่องใหม่ๆ เลยได้ขุดเรื่องนี้มาปัดฝุ่น


มีคุณผู้อ่านท่านหนึ่งแซวว่าคำขอเดียวสู่ข้าวเหนียวส้มตำ จากเขาค้อสู่มหาสารคาม5555555 ก็เลยคิดว่าเรื่องหน้าจะพาลงใต้บ้างค่ะ หลังโควิดถ้ายังไม่มีการลงถนนก็คิดไว้ว่าอยากไปเยี่ยมเยือนยะลาปัตตานีสักครั้ง ถ้ามีเพื่อนนักอ่านอยู่ในพื้นที่ หากมีโอกาสคงได้พบเจอพูดคุยกันบ้างนะคะ (ช่วงอยู่สารคามได้เจอนักอ่านรุ่นหลานบ้าง แอบเขินๆอยู่เหมือนกันเพราะห่างหายจากการเจอแฟนๆมานานหลายปี )

ด้วยว่าไม่อยู่เป็นหลักแหล่งร่อนเร่พเนจรตามหาอะไรสักอย่าง ซึ่งคืออะไรก็ยังไม่ทราบ ฮ่าฮ่า อพยพเก่งยิ่งกว่านกนางแอ่นก็เห็นจะเป็นนักเขียนเพื่อชีวิต(เสเพล)อย่างดิฉันนี่แหละ #โถ่อี…


ก็หวังว่าข้าวเหนียวส้มตำจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สร้างรอยยิ้มให้ผู้อ่านเพื่อนที่น่ารักของเรานะคะ
ขอบคุณคุณนักอ่านที่โดเนทส่งอาหารมาให้ใน read a write นะคะ นั่งขำอยู่เป็นชั่วโมง เพราะเพิ่งเคยใช้ platform นี้ ไม่รู้ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย น่ารักมาก มีส่งน้ำจิ้มแจ่ว ส่งเตาปิ้งย่างงี้55555555555 แม้จะยังไม่รู้ว่าเอาไปใช้ยังไงแต่ก็ขอบพระคุณมากๆนะคะ รวมถึงทุกๆคอมเม้น ทุกๆสติกเกอร์ ทุกความคิดถึง ขอบคุณมากค่ะเป็นตาฮักเป็นตาซังคักเด้อนาง (น่ารักน่าชังมากค่ะนังตัวดี)


ส่วนคุณผู้อ่านในเด็กดีก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยนยังคงแวะเวียนมาทักทายไม่เคยลืม บางคนก็ยังกดติดตามนิยายอยู่แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

นักอ่านในเล้าเป็ดเราก็จะผูกพันเป็นพิเศษเพราะจำนวนสมาชิกไม่ได้มากในตอนนั้นเลยพอได้มีโอกาสพูดคุยกับหลายๆท่านอยู่บ้าง แต่ไม่ว่านักอ่านจากที่ใดก็ล้วนแต่เป็นกำลังใจที่ดีของเราเสมอค่ะ


ปล ตั้งแต่ลงนิยายมาไม่เคยชวนคนอ่านเล่นแท็กเลย เห็นหลายๆเรื่องเขามีกัน ก็เลยอยากเล่นบ้าง มาเล่นกันหน่อยนะคะ ชื่อแท็ก #ขวานสารคาม 55555555555555555555555555555555555555555555555555555555


สามารถติ วิจารณ์ เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้อย่างเสรีเลยนะคะ


ด้วยรักและขอบคุณ

ภารวี.



ออฟไลน์ ออบลิวิอาเต้

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีจังเลยอะ impress มากๆ เราเป็นคนอีสานอ่านแล้ว touch ใจเรามากๆ ติดตามครับ #ขวานสารคาม

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอววววคนไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ แต่ดีใจนะที่ขวานมีคนเคียงข้าง มันมีลางสังหรณ์อยู่แล้ว ถ้าย้ายนี่คือ... ขอให้เธอโชคดีขอให้มีความสุขขอให้เธอหมดทุกข์เสียที อย่ามาเจอกันอีกเลยนะคุณตำรวจรวดร้าวใจแทนตอนที่ได้การ์ดแต่งงาน ขวานรักมากขนาดนั้น ฝากคุณหมอดูแลหัวใจให้ด้วยนะคะ อ๊ายยยเฮาคนบ้านเดียวกันสารคามเด้อ อ่านมาละคิดฮอดบ้านแฮงคัก 5555 สนุกค่ะ ชอบๆ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านเเล้วคิดถึงบ้าน :mew2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด