ทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นการแสดงคนในโรงงิ้วจะหยุดทำงานกันหนึ่งวัน หยกเองก็หยุดงานรับจ้างข้างนอกด้วยเช่นกันเพื่อใช้เวลาว่างออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับตงตงและหยงหย่ง หากบางครั้งเลี่ยงไม่ได้ต้องรับงานกะทันหัน อย่างเช่นวันนี้ที่ภัตตาคารของเถ้าแก่โง้วคนขาดจึงให้เด็กมาเรียกจับกังหนุ่มไปช่วยตั้งแต่สาย อาตงกับอาหยงจึงต้องหาอะไรทำอยู่ในโรงงิ้วกันสองคนแทนที่จะได้ซ้อนท้ายจักรยานคันสูงไปเที่ยวเล่นอย่างทุกที
ทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดห้อง หอบผ้ามาซักตากจนเสร็จ จนตงตงเห็นว่าไม่มีกิจใดให้ทำแล้วจึงจูงมือหยงหย่งออกไปซื้อขนมกินเล่นที่ตลาด ไม่พลาดซื้อกับข้าวกลับมาให้หยกไว้กินตอนกลางคืนหลังเสร็จงานด้วย
ตกบ่ายกลับมาเด็กน้อยชักเหนื่อยงอแงจึงจับนอนกลางวันเสียแล้วตั้งใจจะงีบเอาแรงบ้าง หากพอคิดจะเอนหลังลงตามเด็กน้อยไปเจ้าคณะก็ใช้เด็กมาตามพอดี เขาเห็นว่าได้โอกาสปรึกษาเรื่องส่งเสริมอามิ้งจึงลงจากเตียงสวมรองเท้าเดินไปห้องทำงานเถ้าแก่ทันที
กลิ่นกำยานคละคุ้งทั่วห้องทำงานปิดทึบ ตงตงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สลักเมื่อเถ้าแก่ผายมือเชื้อเชิญ ก่อนจะสังเกตเห็นชุดกี่เพ้าผู้ชายสีกรมท่าพิมพ์ลายนกกระเรียนแขวนอยู่ด้านหลัง หนแรกคิดไปว่าเป็นชุดของเถ้าแก่หากพิจารณาจากขนาดแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะสวมใส่ได้ กระทั่งความเฉลยว่าแท้จริงเป็นชุดของเขาเอง
“คุณหลวงเทิดอีซื้อให้ลื้อ”
“ให้อั๊ว” ตาเรียนเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เนื่องในโอกาสอะไรหรือเถ้าแก่”
“ไม่มีอะไรหรอก อีแค่อยากให้ลื้อเฉยๆ ผ่านเจออีคิดเห็นว่าเหมาะกับลื้อดี ลื้อชอบไหมล่ะ”
“อื้อ สวยดี”
“งั้นลื้อก็สวมไปขอบคุณอีเย็นนี้หน่อยสิ”
“เถ้าแก่ว่าอย่างไรนะ” ใบหน้าสวยเอียงถามด้วยความตกใจ รู้ทันว่าเถ้าแก่หมายถึงเรื่องใด
“อีอยากให้ลื้อไปกินข้าวด้วยเย็นนี้ ประเดี๋ยวสักห้าโมงจะให้คนรถมารับ”
“เดี๋ยวก่อนเถ้าแก่ อั๊วไม่...”
“อาตง” เถ้าแก่ใหญ่เอ่ยขัดก่อนนักแสดงหนุ่มจะได้ปฏิเสธ “ถือว่าทำเพื่อปากท้องพวกเราทั้งหมดในโรงงิ้วเถอะนะ ลื้อก็รู้ว่างิ้วไม่ได้นิยมเหมือนก่อนแล้ว หากลื้อทำให้คุณหลวงอีอุปถัมภ์คณะเราได้พวกเราก็จะพลอยสบายไปด้วยกันหมด”
ตงตงพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ได้ยินไม่เกินจริง “แต่ว่า...อั๊วจะทำได้อย่างไร อั๊วมิใช่อย่างพวกเจ๊ลั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอก อีคงแค่ถูกใจลื้ออยากได้เป็นเพื่อนเที่ยวเล่นเฉยๆ กระมัง ไม่อย่างนั้นคงสั่งให้ลื้อแต่งเป็นเองไห่ไปหาอีแล้ว”
แม้ยกภูเขาออกจากอกได้หนึ่งลูกแต่หาใช่ว่าจะลดความกังวลลงได้ ตงตงถอนใจด้วยความอัดอั้น ในหัวสับสนวุ่นวาย สุดท้ายจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดไว้ “ปีหน้าอั๊วจะให้อามิ้งขึ้นเป็นนางเอกแทนอั๊ว หน่วยก้านอีดี เคี่ยวเข็ญสักหน่อยก็ใช้งานได้”
“แล้วแต่ลื้อเห็นควรเถอะ หากตอนนี้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันคนรถคุณหลวงมารับ”
ตงตงจงใจถอนใจเสียงดังให้เถ้าแก่รู้ว่าไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็สำเหนียกได้ว่าทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น จึงลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าจากมือเจ้าคณะเดินกลับไปที่ห้อง
รถของหลวงเทิดขับมาจอดนิ่งหน้าโรงงิ้วห้าโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน ตงตงโบกมือลาอาหยงก่อนกำชับฝากเด็กชายกับอามิ้งอีกครั้งจนมั่นใจว่าอีกคนจะดูแลเด็กน้อยเป็นอย่างดี จึงยอมขึ้นนั่งตอนหลังของรถรอคนขับพาไปยังภัตตาคารที่นัดแนะไว้
ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงยังจุดนัดหมาย หัวใจดวงน้อยเต้นเร็วเมื่อพบว่าถูกพามายังภัตตาคารเถ้าแก่โง้วที่เดียวกับที่อาหยกมาทำงานเช่นกัน ริมฝีปากบางแอบลอบยิ้มเล็กน้อยขณะก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสามที่เป็นห้องอาหารส่วนตัว ทำทีสอดส่ายสายตาก่อนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเจอร่างสูงใหญ่กำลังเดินสวนตรงมา
“อาหยก” ส่งเสียงเรียกไม่เบานัก ขาเล็กรีบปราดเข้าหาปิดทางไม่ให้จับกังหนุ่มเดินลงครัวไปเสียก่อน
“อาตง ลื้อมาทำอะไรที่นี่”
“อั๊วมากินข้าวกับหลวงเทิดน่ะ”
“อ้อ อีอยู่ห้องบนชั้นสามมาตั้งแต่สามโมง ตอนนี้ชักเริ่มจะเมาแล้ว” หยกส่ายหัวระอาเมื่อนึกถึงลูกค้าชาวไทยชั้นบนสุดของร้าน ก่อนใช้ตาสำรวจอีกคน “ลื้อสวมเสื้อผ้าจากไหนกัน เหมาะกับลื้อมาก”
“หลวงเทิดอีซื้อให้นั่นแหละ อั๊วเลยต้องมากินข้าวเป็นเพื่อนอีแทนคำขอบคุณ”
“ดูแล้วลื้อได้นั่งเป็นเพื่อนอีจนร้านปิดแน่”
“ดีสิ ขากลับอั๊วจะได้ซ้อนท้ายจักรยานกลับพร้อมลื้อไง”
สิ้นประโยคหยกก็หลุดยิ้มเขิน รู้สึกตงตงน่ารักจนอยากดึงมาจูบให้หายมันเขี้ยว หากต้องหักห้ามใจแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
เมื่อตงตงเดินขึ้นมาถึงชั้นสามไม่พบเด็กยืนหน้าห้องจึงเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป หลวงเทิดเริ่มเมามายแล้วอย่างหยกว่า แก้มของอดีตนักเรียนนอกแดงปลั่งหากสติยังครบถ้วนดีอยู่ เพียงเขาเห็นตงตงเดินเข้ามาก็ตบเก้าอี้ข้างกายเรียกให้ไปนั่งด้วย “ตงตงมานั่งนี่ มานั่งข้างๆ ฉันเร็ว”
“สวัสดีคุณหลวงขอรับ” เขายกมือไหว้ก่อนเดินไปนั่งตามคำชักชวน บนโต๊ะกลมเต็มไปด้วยอาหารราคาแพงน่าตาน่ากิน เห็นแล้วนึกอยากให้หยกกับหยงหย่งได้ลิ้มชิมรสบ้าง
“ตงตงรับประทานเยอะๆ เลยนะไม่ต้องเกรงใจฉัน นี่น่ะสั่งมาแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น”
“ขอบพระคุณคุณหลวงมากขอรับ”
เขายกมือไหว้อีกครั้งจึงค่อยหยิบตะเกียบคีบอาหารวางบนจาน กินบ้างนิดๆ หน่อยๆ ให้พอไม่น่าเกลียด พลางฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ ทั้งเรื่องที่เคยฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างวีรกรรมสมัยนั่งเรือไฟไปเรียนอังกฤษ หรือเรื่องใหม่อย่างการงานที่ทำอยู่ ใครเป็นใครบ้างในกรมกอง หรือแม้แต่นินทาเจ้านายชั้นสูงที่เป็นเพื่อนร่วมหัวจมท้ายกัน
ตงตงได้แต่เออออไปตามประสาตั้งแต่ฟ้าข้างนอกยังสว่างจนพระอาทิตย์ตกดิน คิดเสียว่าคุณหลวงคงจะเหงาจึงเรียกเขามาเป็นเพื่อนนั่งฟัง
“จะว่าตอนนี้ตงตงไม่ได้แต่งงิ้วแต่ก็ยังสวยอยู่ดี ไม่สิ...สวยกว่าตอนแต่งงิ้วเสียอีก”
คนถูกชมเหลือบตาขึ้นมอง เห็นว่าหลวงเทิดเมาหนักแล้วจึงพูดจาเลอะเทอะ กระนั้นก็ไม่ได้ท้วงติงอะไรเพราะไม่อยากขัดใจให้อารมณ์เสียเดี๋ยวจะพลอยเดือดร้อนกันไปหมด เขาเพียงยิ้มบางก่อนใช้ตะเกียบกลางคีบขาห่านวางลงบนจานข้าวให้โดยไม่นึกว่าจะถูกคุณหลวงยึดมือเอาไว้
“คุณหลวงปล่อยเถอะขอรับ ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี ยิ่งเป็นชายเหมือนกันยิ่งไม่ควร”
ตงตงใจหายวาบ ละล่ำละลั่กพูดให้อีกคนคิดตาม หากหลวงเทิดน่าจะถูกฤทธิ์สุราครอบงำเสียแล้วจึงหาได้ใส่ใจไม่
“จริงๆ นะ เธอสวยยิ่งกว่าครั้งแรกที่ฉันเจอบนเวทีงิ้วเสียอีก”
“ทราบแล้วขอรับ ฉะนั้นได้โปรดปล่อยเถอะขอรับ”
แม้พยายามท้วงติงทว่าหลวงเทิดกลับยิ่งบีบแน่นขึ้น ซ้ำยังใช้แรงบังคับดึงให้ตงตงเข้าหาตัวจนแนบชิดกัน หนุ่มงิ้วกลั้นหายใจทันทีเมื่อกลิ่นสุราเหม็นโฉ่เตะเข้านาสิกเต็มๆ
“ชุดที่สวมวันนี้ก็เหมาะกับเธอมาก คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ซื้อให้”
ตงตงเห็นแล้วว่าหลวงเทิดหาสนใจการขัดขืนของตนไม่ จึงแสร้งมารยาทำทีเขินอายหันหน้าหนีห่างก่อนบังคับปากตอบ “กระผมก็ชอบมากขอรับ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”
“เธอชอบฉันก็ดีใจ” หลวงเทิดก้มใบหน้าลงกระซิบชิดใบหูขาวแล้วจึงยอมปล่อยตงตงเป็นอิสระ นั่งเงียบร่ำสุราอีกหนึ่งแก้วก็ลุกขึ้นบ่นว่าตนเมามากแล้วก่อนขอตัวไปสุขา
ลับหลังอีกคนตงตงถึงกับถอนหายใจหนัก วันนี้คุณหลวงช่างรุ่มร่ามพาลอึดอัดไปหมดจนนึกอยากกลับไวกว่าทุกที เงยดูนาฬิกาบนผนังเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว คิดว่าทนอีกไม่นานจะได้กลับคณะพร้อมหยกก็พอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
ครู่ใหญ่หลวงเทิดกลับเข้าห้องมาดูมีสติกว่าเมื่อครั้งออกไป หนุ่มงิ้วคิดว่านั่งอีกพักหนึ่งให้ดื่มสุราอีกสักสองแก้วค่อยตะล่อมชวนอีกคนกลับน่าจะดี หากแทนคุณหลวงจะเดินลงนั่งเก้าอี้ตัว เขากลับหยุดยืนซ้อนหลังตงตง วิสาสะใช้สองมือวางบนไหล่ก่อนฉวยโอกาสก้มลงจูบแก้มขาวเนียน
ตงตงร้องอุทานเสียงดัง ผุดลุกขึ้นเผชิญหน้าหวังปกป้องตนเอง หารู้ไม่ว่ากลับเปิดทางให้อีกคนพุ่งเข้ากอดรัดได้ถนัดขึ้น ถึงตรงนี้ก็หมดความอดทน ใช้สองมือปัดป้องพลางก่นด่าอีกคนที่ล่วงเกินร่างกายตน ไม่คำนึงถึงบรรดาศักดิ์ต่างชนชั้นระหว่างกันอีกต่อไป
“ปล่อยอั๊วนะ อั๊วไม่ใช่พวกเฉ้าลก ลื้อจะทำอย่างนี้กับอั๊วไม่ได้”
“อย่าเล่นตัวนักเลย พวกไอ้อีเจ๊กเล่นงิ้วก็หากินในโคมเขียวกันทั้งนั้นแหละ”
“ลื้อจะดูถูกกันเกินไปแล้วนะ”
“แล้วเจ๊กอย่างพวกแกมีอะไรให้ยกย่อง ฉันเป็นใครแกเป็นใครหัดสำเหนียกตัวเสียบ้าง ยอมเป็นเมียฉันดีๆ สบายไปทั้งชาติไม่อยากเป็นหรือไง”
“อั๊วก็มีสองมือสองเท้าเหมือนลื้อ ไม่ได้เป็นง่อยทำมาหากินเองได้ ไม่หวังพึ่งเศษเงินลื้อหรอก ปล่อยอั๊วเดียวนี้นะไม่งั้นอั๊วจะตะโกนเรียกคนทั้งภัตตาคารให้มามุงดู ให้พูดกันไปทั้งพระนครเลยว่าหลวงเทิดชอบผู้ชาย”
ยิ่งถูกพูดดูถูกใส่ตงตงยิ่งสู้ยิบตา ขณะเดียวกันก็ลืมนึกไปว่าคำพูดตนจะสุมไฟในตัวหลวงเทิดให้ลุกโชนเช่นกัน
สองหนุ่มยื้อยุดชุดกระชากกันไปมาจนเก้าอี้ล้มเสียงสนั่น ตงตงตกใจเผลอหันไปดูจึงพลาดท่าเสียทีถูกดันชนขอบโต๊ะอาหารบั้นเอวกระแทกเข้าเต็มแรง เขาเจ็บจนเข่าอ่อนเผลอทรุดนั่งยองกับพื้น พอนึกได้เงยหน้าขึ้นเห็นหลวงเทิดเตรียมตะครุบลงมา รีบเอื้อมมือขึ้นโต๊ะอาหารกวาดคว้าอะไรติดมือมาได้ก็จับฟาดเปรี้ยงเข้าที่อีกฝ่ายเต็มแรงจนล้มแน่นิ่งไป
สิ้นเสียงแตกเพล้งก้องห้องอาหาร เลือดสีแดงสดก็ค่อยๆ ออกมาจากศีรษะหลวงเทิดแผ่กระจายบนพื้นกระเบื้อง อาบท่วมเศษแก้วน้อยใหญ่ที่เมื่อครู่มีสภาพเป็นขวดเหล้านอกราคาแพง
ตงตงช็อกจัด หงายหลังก้นจ้ำเบ้ากับพื้นนั่งตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก คิดกลัวแต่ว่าหลวงเทิดจะตาย
“อาตง” หยกโผล่เข้ามาตอนไหนไม่อาจทราบได้ หากเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็รีบปราดเข้าหาคนรักดึงอีกคนเข้ามากอดแนบอกพลางสำรวจร่างกายหาบาดแผล
“หยก...”
“ไม่ต้องกลัวนะ อั๊วอยู่นี่แล้ว”
“อี... อั๊วฆ่าอี...”
“ลื้อใจเย็นๆ ก่อน หายใจเข้าลึกๆ” ฝ่ามือใหญ่ลูบประโลมแผ่นหลังบางขึ้นลงจนตงตงหายใจเป็นจังหวะจึงผละออกมาดูหลวงเทิด
หยกยื่นนิ้วชี้อังใต้จมูกเห็นว่ายังหายใจจึงค่อยเบาใจ กระนั้นก็ประคองศีรษะพลิกหาบาดแผลตามที่เคยเห็นหมอยอห์นทำกับคนไข้ พิจารณาบาดแผลไม่ใหญ่แต่จำนวนเลือดทำให้ไม่อาจวางใจ จึงจัดการหาผ้าสะอาดบนโต๊ะเอามาห้ามไว้
“หยก... อี... เป็นไงบ้าง”
จับกังหนุ่มลุกมาช่วยพยุงตงตงยืนขึ้นประคองเดินออกไปนอกห้อง ระหว่างนั้นก็บอกแก่คนรักตามจริง “อียังไม่ตาย แต่ฟื้นขึ้นมาอีเอาลื้อขังคุกแน่”
“ละ...แล้วอั๊วจะทำอย่างไรดี”
“คงต้องรีบหนี เราอยู่นี่ไม่ได้แล้ว”
เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงโครมครามจึงเร่งรุดขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วงคนรัก เมื่อพบเหตุดังว่าก็มืดแปดด้านไปชั่วขณะ หยกเชื่อมั่นว่าตงตงผู้แสนอ่อนหวานไม่มีทางทำร้ายร่างกายหลวงเทิดโดยไร้สาเหตุ กระนั้นหากต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเจ๊กอย่างพวกเขามีหรือจะสู้เจ้านายมียศศักดิ์อย่างหลวงเทิดได้ ซ้ำหากอีกฝ่ายผู้ใจเจ็บพลอยแต่จะพาลโดนรังแกจนชิบหายกันไปหมด
หยกลอบพาตงตงหนีออกทางหลังร้าน หูได้ยินเสียงคนข้างในเริ่มวิ่งขึ้นวิ่งลงบันได คิดว่าอีกไม่นานคงรู้กันหมดว่าหลวงเทิดถูกทำร้าย สักพักคงแจ้งโปลิศตามหาตงตงกับเขาให้วุ่น
“อั๊วไม่ได้ตั้งใจ อี...อีจะทำร้ายอั๊ว” ตงตงก้มหน้าซุกแผ่นหลังกว้างร้องไห้ ขณะหยกพาเขาซ้อนท้ายจักรยานปั่นหนีออกมาจากภัตตาคารได้แล้ว นึกแต่โทษตนเองที่ไม่นึกอดทนให้มากกว่านี้
“อั๊วรู้แล้ว แต่ตอนนี้อั๊วยังปลอบลื้อไม่ได้ ลื้ออย่าเพิ่งร้องไห้เลยนะ”
“ฮือ...อั๊วขอโทษ... อั๊วขอโทษ”
ซ้อนท้ายจักรยานอยู่นานในที่สุดหยกก็ใช้สองเท้าแตะพื้นห้ามล้อ ตงตงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เห็นสถานที่ไม่คุ้นเคยก็นึกกังวล หากไม่ทันเปิดปากถามก็ถูกหยกจูงมือให้เดินตามไปเสียก่อน เขาถูกอีกคนพามาหยุดยืนหน้าศาลเจ้าเล็กๆ ติดเจ้าพระยา เงยขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างคนตัวสูงเห็นเพียงใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด
หยกลอบเปิดประตูศาล มองซ้ายมองขวาหาที่ทางลับตาคนก่อนจับตงตงไปซ่อน จังหวะดันคนตัวเล็กกว่าให้เข้าไปด้านในซอกหลังเทพเจ้าประธาน เห็นสายตาวูบไหวจากคนรักที่เหมือนนึกรู้ว่าเขาคิดทำเช่นไรก็อดใจหายไม่ได้
“ลื้อจะทิ้งอั๊วเหรอ” ตงตงเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเมื่อไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากอีกคน น้ำใสเอ่อคลอนัยน์ตาสวยจนภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด
“ลื้อรออั๊วอยู่ที่นี่อย่าไปไหน อั๊วจะรีบกลับมา”
“ลื้อจะไปไหน ไม่พาอั๊วหนีแล้วหรือ”
“อั๊ว...” ฝ่ามือหยาบกร้านจากการทำงานหนักยกขึ้นแตะแก้มขาวทะนุถนอม ไล้หัวแม่มือพยายามลบคราบน้ำตาให้อีกคนแผ่วเบา กระนั้นกลับป้ายสีเลือดบนมือลงใต้ตาเรียวให้ยิ่งดูน่าสงสาร “อั๊วทิ้งอาหยงไม่ได้ อั๊วจะไปพาอีมาหนีไปพร้อมกันกับเรา”
ตงตงได้แต่กล้ำกลืนฝืนน้ำตาเมื่อฟังคำตอบจากปากคนรัก สองมือยกขึ้นจับข้อมืออาหยกแน่น “ละ...ลื้อรีบไปรีบพาอาหยงมาหาอั๊วนะ”
“อื้อ”
ตงตงไม่อาจล่วงรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดที่เขาหลบซ่อนอยู่หลังเทพเจ้าประธานเช่นนี้ ในความรู้สึกนั้นแสนเนิ่นนานหากความจริงอาจเพียงไม่กี่ครึ่งโมงยามเท่านั้น มือข้างหนึ่งกำถุงเครื่องรางแน่นพยายามยึดเหนี่ยวจิตใจไว้แม้มั่นใจว่าหยกจะไม่มีวันทอดทิ้งตนเพียงลำพังแน่นอน
จะว่าไปชะตาชีวิตเขาช่างตลก เมื่อเช้าเพิ่งเอ่ยจะวางมือจากคณะงิ้ว ตกดึกเทพเจ้าดลบันดาลให้สมหวังทันใจ ลองคิดวาดฝันภาพข้างหน้าพวกเขาสามคนมีชีวิตใหม่อยู่สักแห่งหนไหน อาหยกขายเป็ดตามความฝันมีเขาคอยช่วยอีกคนอยู่ข้างๆ เก็บเงินส่งอาหยงเรียนหนังสือก็พอยิ้มออกได้บ้าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ชายหนุ่มอยู่คนเดียวจนฟุ้งซ่านกระทั่งได้ยินเสียงกุกกักจากด้านนอก ใบหน้านวลหันขวับไปยังต้นทางจวบจนเห็นแสงสว่างลอดเข้ามา จึงรีบแนบกายเข้ากับช่องว่างหลังเทพเจ้าประธาน
“อาตง... อาตงอยู่ไหม”
เสียงกระซิบเรียกชื่อตนควรทำให้ตงตงดีใจหาใช่ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มเช่นนี้ เมื่อเสียงที่ได้ยินหาใช่มาจากคนที่ตนรอคอยไม่ ความหวาดกลัวกลับเข้าครอบงำมือเท้าพลันเย็นเยียบ เขาไม่กล้าขยับได้แต่ทำตัวลีบตัวแข็งเกร็งนิ่ง แม้เสียงเรียกหาตนและเสียงฝีเท้าจะก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หวั่นเป็นคนจากหลวงเทิดมาตามหา
“อาตงอยู่ไหนออกมาเถอะ อาหยกอีจะไม่ไหวแล้ว”
ชื่อคนรักหาได้สร้างความกังวลได้เท่าสิ่งที่ผู้พูดอ้างตามมา ตงตงเกิดความลังเล ขณะสองจิตสองใจก็ได้ยินเสียงลากฝีเท้าดังตามมาจากด้านนอก
“อาคุน หาอาตงเจอไหม”
“ยังไม่เจอ ลื้อจำไม่ผิดนะว่าพาอีมาไว้ที่นี่ แล้วลื้อเดินมาไหวรึ”
“ช่างอั๊วก่อน อาตงอยู่นี่แหละ ลื้อไปดูหลังประธานซิ”
ไม่รอให้เดินค้นถึงเทพเจ้าประธานตงตงก็ผุดออกจากที่ซ่อนทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนรัก ใบหน้าขาวตื่นตระหนกหากวิ่งโผเข้าหาหยกทันทีที่เห็นหน้า
“อาหยก...”
“อาตง...อั๊วขอโทษที่ให้รอ ไม่มีเวลาแล้วรีบไปเถอะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงหนุ่มจับกังรีบจับตงตงถูลู่ถูกังพากันออกมาจากศาลเจ้า
ตงตงสังเกตสีหน้าอีกคนไม่ใคร่ดีนัก มือก็เย็นไม่อุ่นร้อนเช่นทุกที จะเปิดปากถามก็ไม่มีโอกาสได้แต่เดินตามไปจนเจอสามล้อเก่าๆ คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ เสียงร้องไห้ของหยงหย่งที่ถูกจับห่อผ้าห่มอยู่บนเบาะดังมาแต่ไกล
“อาหยง” เขารีบโผเข้าหาเด็กน้อย อุ้มอีกฝ่ายมากอดตบตูดตบหลังปลอบได้สองสามทีหยกก็บอกให้ขึ้นรถเสีย เมื่อพร้อมกันหมดแล้วอาคุนจึงถีบสามล้อให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า หนนั้นอาตงจึงได้เปิดปากถามหาความ “เกิดอะไรขึ้นรึ ทำไมลื้อถึงมากับสามล้อได้”
“นี่อาคุนเพื่อนอั๊วเอง อีจะช่วยพาลื้อไปส่ง”
“ลื้อคิดจะไปไหน”
“พาลื้อกับอาหยงไปบ้านหมอยอห์น”
“หมายความอย่างไร”
สีหน้าหยกยามนี้ช่างฝืนกลืน และแม้หยงหย่งบนตักตงตงจะร้องไห้สะอึกสะอื้นจนกลัวขาดใจตาย ดวงตากลมโตก็ไม่มองสบอย่างเคยจนหนุ่มงิ้วกลัวจับใจ
“ลื้อฟังอั๊วนะ”
“ลื้อจะทิ้งอั๊วกับอาหยงใช่ไหม” ตงตงแทรกขึ้นทันทีด้วยความหวาดกลัว
“พอไปถึงลื้อก็เอาจดหมายฉบับนี้ให้หมอยอห์น” หยกไม่ปฏิเสธ เขายื่นกระดาษเปื้อนเลือดพับครึ่งแผ่นหนึ่งให้ “ส่วนนี่เงินที่อั๊วเก็บไว้ทั้งหมด ลื้อรักษาไว้ให้ดี”
“หมายความว่าอย่างไร”
“อั๊วขอโทษ” ใบหน้าคมสันต์ยอมหันกลับมาหากันในที่สุด นัยน์ตาฉายความอาวรณ์ออกมาเด่นชัดท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง “อั๊วไปกับลื้อได้แค่นี้”
“ทำไม...”
“วาสนาอั๊วน้อยนิดมีโอกาสอยู่กับลื้อได้ไม่นาน หากชาติหน้าเราสองคนได้เกิดมาเจอกันอีกคงดี...อั๊วสัญญาจะอยู่กับลื้อให้นานกว่าชาตินี้” น้ำตาเม็ดโตกลิ้งหล่นตามกรอบหน้าขาวจนกระดาษที่ถืออยู่เปียกเป็นดวงๆ กระนั้นคนที่บอกว่าตนกำลังจากไปไกลแสนไกลยังคงเอื้อมมือขึ้นเช็ดปาดน้ำตาให้ “จากนี้ไปอั๊วคงปลอบลื้อไม่ได้อีกแล้ว ขอโทษนะ”
สามล้อถีบเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเท่าที่จะเร็วได้ สายลมตีพาลให้กายหนาวสั่นจนต้องเบียดตัวเข้าหา หยงหย่งเด็กน้อยร้องไห้จนหลับไปในที่สุด
หยกโอบกอดไหล่บางไว้ก้มลงพรมจูบบนกลุ่มผมหนา เมื่อแนบชิดกันตงตงจึงสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเป็นวงกว้างบนเอวสอบ กลิ่นสนิมตีขึ้นมาให้แน่ใจว่าเป็นสิ่งใดพลอยให้จิตใจยิ่งดำดิ่ง
“เจ็บมากไหม”
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ”
“ดีแล้ว” เขาว่าเหลือบมองจันทร์บนฟ้าแวบหนึ่งก่อนหันมองคนข้างกาย “นี่อาหยก”
“หืม...”
“ถึงอั๊วจะไม่เคยบอกลื้อ แต่อั๊วก็รักลื้อมาก ลื้อรู้ใช่ไหม”
“รู้สิ รู้มาตลอดนั่นแหละว่าลื้อรักอั๊วเหมือนที่อั๊วรักลื้อ”
“หึๆ ดีจริงที่ได้รักลื้อ”
ตงตงยิ้มออกในที่สุด ศีรษะทุยโน้มลงพักบนไหล่กว้าง อีกครั้งที่หนุ่มงิ้วรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้า หากคงดีกว่านี้ถ้าสามารถหยุดทุกอย่างลงได้ตรงนี้ที่ยังมีเขาและอาหยกอยู่เคียงกัน
“อาหยก...” ตงตงเรียกคนรักอีกครั้งหากไร้เสียงขานรับอย่างทุกที “อั๊วน่ะถ้าไม่มีลื้อก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกันนะ เพราะงั้นน่ะ...”
ตงตงผูกถุงเงินกับจดหมายที่หยกเขียนฝากให้หมอยอห์นเก็บไว้ในห่อผ้าห่มตัวหยงหย่ง ตรวจดูจนมั่นใจว่าจะไม่หล่นหาย จึงเงยหน้าขึ้นมองอาคุนมิตรแท้ของหยกที่ยอมเสี่ยงช่วยเหลือกันยามยาก
“อั๊วฝากอีด้วยนะอาคุน”
“ลื้อ...คิดดีแล้วรึ” สีหน้าคนถีบสามล้อไม่สู้ดีนักเมื่อรู้ว่าตงตงคิดทำการใด
“พวกอั๊วไม่มีญาติมิตรที่ไหนให้ห่วงหาอาวรณ์ มีแค่สองคนกันมาตลอดและคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป”
“แล้วอาหยงเล่า อียังเล็กนัก ขาดอาหยกแล้วต้องขาดลื้ออีกอีจะรู้สึกยังไง”
“อั๊วคงทำได้แค่ส่งอีไปอยู่กับหมอยอห์นตามความต้องการอาหยก ชีวิตอีคงได้ดีกว่าอยู่กับอั๊ว อั๊วรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวแต่ได้โปรดเข้าใจอั๊วด้วยเถอะนะ”
เมื่อสบตาแน่วแน่ของตงตงแล้วอาคุนจำต้องยอมรับการตัดสินใจ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหยกประกบมือสาบานกับร่างไร้วิญญาณว่าจักส่งหยงหย่งให้ถึงมือหมอฝรั่ง แล้วจึงลุกขึ้นตบบ่าตงตงก่อนขึ้นรถถีบทำตามคำขอสุดท้ายของหยกให้เป็นจริง แม้ทำได้เพียงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม
ตงตงมองส่งจนหลังคาสามล้อลับหายไปในความมืด ยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งถึงหันกลับมา ยกหลังมือปาดเช็ดน้ำนองบนใบหน้าให้หลงเหลือเพียงความเด็ดเดี่ยวเท่านั้น
เขาลงนั่งคุกเข่าหน้าอาหยก ยื่นสองมือจับกุมมือหนาเย็นเยียบไว้แน่น จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ดวงตากลมโตสุกใสปิดสนิท
“ชาตินี้เราสองวาสนาน้อยนิดอย่างลื้อว่า อั๊วจึงทำได้เพียงขอติดตามลื้อไปปรโลกให้เราสองกลายเป็นผีเสื้อครองคู่ในโลกหน้าเช่นเหลี่ยวตันบ๊กกับต๊กเองไห่ และหากชาติหน้ามีจริงอั๊วหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกดั่งคำอธิษฐานของลื้อเพื่อชดเชยเวลาในชาตินี้ที่หาได้มีโอกาสใช้”
ชายหนุ่มวางมือคนรักคืนบนหน้าตัก หยิบผ้าเช็ดปากจากกระเป๋าเสื้อผูกข้อมือพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันจนแน่น ก่อนจะพยุงร่างอีกคนแบกขึ้นหลังเดินย้อนกลับไปยืนริมตลิ่ง
แม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนมืดมิดชวนหวาดหวั่นเมื่อไม่อาจหยั่งถึงก้นบึ้งได้ กระนั้นเงาจันทร์สุกสกาวบนผิวน้ำกลับช่วยปลอบประโลมให้ตงตงรู้สึกว่าใต้ผิวน้ำหาใช่สถานที่น่ากลัวไม่
ตงตงพลิกตัวหยกมากอดแนบแน่น วางคางบนบ่ากว้างเอนศีรษะซุกซบกัน ภายในหัวหวนนึกคิดถึงเรื่องราวแต่อดีตหนหลัง ตั้งแต่ถูกขายมาอยู่คณะงิ้วจนถึงบัดนี้ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขาจะไร้เงาหยกเคียงกาย แม้แต่ตอนตายพวกเขาก็ยังได้อยู่ด้วยกัน ฉะนั้นแล้วเมื่อไม่หลงเหลือสิ่งใดให้อาวรณ์รอยยิ้มจึงถูกระบายบนใบหน้าสวยเป็นครั้งสุดท้าย
“มีอั๊วต้องมีลื้อ มีลื้อก็ต้องมีอั๊ว เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะ”
ท้ายสุดสองกายแนบชิดสนิทก่อนทิ้งลงสายน้ำไหลเชี่ยว พัดพาพวกเขาทั้งสองเดินทางสู่โลกหน้าไปพร้อมกัน...
“...น ไ...น”
“...”
“ไอ้วิน! มึงไหวปะเนี่ย”
ธาวินกระพริบตาปริบ กว่ารู้ตัวว่าถูกเพื่อนตัวขาวจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนก็ตอนกำลังจะโดนเจญญาประทุษร้ายอีกครั้ง เขายกมือห้ามอีกคนขณะหอบหายใจหนัก ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนมึนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน กระทั่งเสียงดังช้งเช้งสะกิดลอยเข้าหู
ใบหน้าหวานละมุนหันไปตามทิศเสียง ถัดจากแถวเก้าอี้พลาสติกและผู้ชมประปรายปรากฏเวทีงิ้วแต้จิ๋ว นักแสดงในชุดเสื้อผ้าสีฉูดฉาดกำลังร้องรำท่ามทำนองดนตรีปลุกเร้า ตอนนั้นถึงจำได้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนตนกับเพื่อนสนิทพากันชักชวนเข้ามาดูงิ้วที่จัดแสดงช่วงงานตรุษจีนของเยาวราช
เด็กหนุ่มไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำตาจึงพรั่งพรูไม่ขาดสาย ความเศร้าโศกถาโถมเข้าหาคับแน่นในอกจนปวดราวขาดใจตาย ยิ่งการแสดงดำเนินเท่าไหร่เขายิ่งทรมาน
เจญญาตาโตทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นธาวินเกิดอาการแปลกๆ ขึ้นอีกครั้ง ชั่วขณะที่นิสิตหนุ่มกำลังคิดว่าเพื่อนรักถูกผีโรงงิ้วเข้าสิงหรือไม่ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งกลับถูกยื่นมาตรงหน้าระหว่างพวกเขา
สองหนุ่มพร้อมใจมองไล่จากฝ่ามือใหญ่สีแทนขึ้นไปจนถึงกรอบหน้าคมสันต์เหนือระดับสายตา ใบหน้าหล่อเหลาของผู้มาใหม่เรียบนิ่งไม่แสดงอาการใด ทว่านัยน์ตากลมโตกลับปล่อยน้ำตาร่วงหยดลงมาไม่ต่างกันกับธาวิน
เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางอก น้ำตาแห้งเหือดโดยพลัน ความโศกศัลย์อาดูรกลับกลายเป็นความปีติยินดีขึ้นแทนที่
ธาวินคลี่ยิ้มเชื่องช้าไม่ต่างจากชายหนุ่มตรงหน้า ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมากุมไว้ทำให้เขาตัดสินใจซุกใบหน้าลงบนบ่ากว้าง ก่อนยินยอมให้ชายแปลกหน้าโอบกอดด้วยความยินดีท่วมท้นเหมือนพบเจอสิ่งที่ตามหามานานแสน
“ในที่สุดอั๊วก็เจอลื้อเสียที...อาตง” จบ