[เรื่องสั้น] 月光愛人 | MOONLIGHT LOVER จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] 月光愛人 | MOONLIGHT LOVER จบแล้ว  (อ่าน 2520 ครั้ง)

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------+++------------

จริงๆ แต่งไว้เป็นฟิคแต่ว่าเป็น Thai AU ก็เลยขอเอามาลงเล้าค่ะ
ไม่ได้ลงนิยายในนี้มานานมาก ผิดพลาดประการบอกได้นะคะ

ผลงานเก่าๆ ในเล้า
เรื่องสั้น(จบแล้ว)
White/Red Rose, Milk/Dark Chocolate
Over the Rainbow สักแห่ง...ที่แสนไกล
S w i s h e r S w e e t s

เรื่องยาว
♥ HEART ATTACK ♥ ห้ามโดดเวร ห้ามหนีเคส ห้ามพรากผู้เยาว์ - จบแล้ว

Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
อ้างถึง
Note – เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่กี่ปีนะคะ




ตอน ‘ตงตง’ อายุได้เพียง ๘ ขวบ เขาก็ถูกมารดาพามาขายให้โรงงิ้วชื่อดังของเยาวราชในราคาถึง ๑,๐๐๐ บาท สูงกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่ถูกนำมาเร่ขายในสมัยนั้น ด้วยเถ้าแก่เจ้าของคณะสายตากว้างไกล พิจารณาหน้าตาผิวพรรณหน่วยก้านเล็งเห็นแวว จับฝึกงิ้วสัก ๒-๓ ปีหลังจากนั้นคงขึ้นเป็นตัวชูโรงได้ไม่ยาก

นับจากวันแรกที่จากอกมารดา แต่ละวันของอาตงในคณะงิ้วผ่านไปเหมือนเล่นซ้ำ เริ่มจากตื่นแต่ฟ้ายังไม่สาง ติดตามแม่ครัวไปตลาดจับจ่ายข้าวของ สายช่วยงานจิปาถะ ย่างบ่ายจึงถูกเรียกไปเรียนงิ้ว ทั้งการเดิน การพูด การร้องร่ายรำ ไปจนถึงการแต่งหน้า

อยู่โรงงิ้วได้ ๑ ปี ๓ เดือนก็มีเด็กชื่อ ‘หยก’ ถูกเตี่ยขี้เมาพามาขาย ด้วยอายุใกล้กันกว่าเด็กคนอื่นเขาจึงได้หน้าดูแลสั่งสอนเด็กใหม่ อาตงจึงเริ่มดูแลเด็กชายตั้งแต่คืนแรก ด้วยการกวักมือเรียกให้มานอนด้วยในมุ้งเล็กๆ หลังเดียวกันบนโรงนอนที่มีอีกหลายสิบชีวิตอาศัยอยู่

ตงตงจำได้ว่าหยกไม่ได้ร้องไห้หาพ่อแม่เหมือนเขา หากดวงตากลมโตคู่นั้นดูไม่สดใส ก่อนหลับไปจึงใช้มือน้อยๆ ของตนจับมืออีกฝ่ายไว้ หมายให้เด็กชายรู้ว่า ณ โรงงิ้วแห่งนี้อาหยกหาได้อยู่ตัวคนเดียว และคืนนั้นอาตงก็ได้เห็นรอยยิ้มจากหยกเป็นครั้งแรก
 


หยกอายุน้อยกว่าตงตงขวบกว่า มีหน้าขี้ริ้ว ตาโปน ปากหนา ผิวคล้ำท่าทางสกปรกมอมแมม เจ้าของคณะเห็นแล้วว่าเอาไปเล่นเป็นตัวโกงน่าจะดี ทว่าถึงถูกขายให้โรงงิ้วเด็กชายกลับเกลียดการรำงิ้วท่องจำบทละครเข้ากระดูก

ทุกครายามได้เวลาฝึกก็มักหนีไปวิ่งเล่นในตลาดให้เป็นที่ปวดหัวของผู้ใหญ่ ถูกทำโทษเขี่ยตีต่างๆ นานาไม่เคยเข็ดหลาบยังหาโอกาสหนีทุกครั้ง เดือดร้อนตงตงคอยทายาใส่แผลที่ถูกตีให้ทุกคืน เปลี่ยนให้ไปฝึกเล่นดนตรียังไม่เอา

ท้ายแล้วเจ้าของคณะหมดแรงกับการจับลิงมาเล่นละคร ปล่อยเด็กชายไปทำงานกับพวกจับกังคอยในคณะ กอปรตอนนั้นตงตงอายุ ๑๑ ปี ได้ขึ้นเวทีเป็นครั้งแรก แม้เป็นแค่ตัวประกอบไร้บทพูด ทำเพียงยืนนิ่งเหมือนท่อนไม้และขยับกายร่ายรำไม่กี่หนหากก็นับว่าเป็นนักแสดงงิ้วแล้ว เด็กชายจึงได้เวลาแยกโรงนอนไปพักกับพวกนักแสดงผู้ใหญ่

แม้ถูกจับแยกหากความสัมพันธ์ทั้งสองมิได้หยุดถักทอ กลับสร้างความห่วงใยแก่กันมากขึ้น ยิ่งเกิดเหตุเฉียดตายกับหยกตอนอายุ ๑๒ ความสัมพันธ์เด็กโรงงิ้วทั้งสองยิ่งทวีแนบแน่นรักใคร่กว่าพี่น้องท้องเดียวกันเสียอีก

เหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มจากกิมลั้งกล่าวหาหยก อีว่าเด็กจับกังขโมยสร้อยมุกราคาแพงที่ได้จากอาเฮียเจ้าของภัตตาคารชื่อดังตอนเข้ามาทำความสะอาดในห้องพัก เดาไม่ยากว่าน้ำหนักคำพูดระหว่างดาวเด่นโรงงิ้วกับเด็กไม่เอางานเถ้าแก่จะเชื่อคำใคร ไม่มีการไต่สวนหาความจริง อาหยกถูกมัดกับเสาใช้หวายเฆี่ยนบังคับให้บอกที่ซ่อนสร้อยมุกที่ขโมยไปทันที

หยกโดนเฆี่ยนสิบห้าไม้ แผ่นหลังเล็กแตกยับเนื้อเปิดเลือดอาบ กระนั้นเด็กหัวแข็งอย่างหยกต่อให้ถูกตีจนตายแต่ถ้าเขาไม่ผิดย่อมไม่เปิดปากยอมรับเพื่อเอาตัวรอดเด็ดขาด

ยามนั้นตงตงเพิ่งกลับจากธุระข้างนอก พอรู้ความก็โยนข้าวของที่ซื้อมาทิ้ง วิ่งเข้าไปกางแขนคั่นกลางไม่ให้เถ้าแก่ลงหวายซ้ำ เป็นปากเป็นเสียงแทนยืนยันหนักแน่นว่าอาหยกไม่มีทางเป็นขโมยเด็ดขาด ซ้ำยังเอาตำแหน่งนักแสดงของตนเป็นเดิมพัน หากหยกขโมยสร้อยมุกกิมลั้งไปจริงจะสละตัวละครที่เพิ่งได้รับบทให้เด็กคนอื่นไปเสีย

โชคดีตงตงเป็นคนโปรดเจ้าคณะและความประพฤติเรียบร้อย ผู้ใหญ่ทั้งหลายจึงยอมฟังแล้วไล่เด็กๆ ช่วยหาสร้อยไข่มุกที่หายไป

ทว่ากว่าความจริงประจักษ์ว่าสร้อยมุกของกิมลั้งแท้จริงแล้วหล่นอยู่ใต้หมอนอาหยกก็เจียนตาย ตงตงรีบปลดเชือกมัดเด็กชายขอให้คนช่วยพาขึ้นสามล้อไปหาหมอฝรั่ง ยอมสละเงินเก็บจากน้ำพักน้ำแรงเล่นงิ้วจ่ายค่ารักษาสูงลิ่วทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด

พอเด็กชายอาการทุเลาหมอให้กลับมาพักฟื้นที่โรงงิ้ว อาตงก็ให้มาอาศัยห้องตนชั่วคราว คอยป้อนข้าวป้อนยาทำแผลดูแลให้ ยาจีนตัวไหนว่าดีก็ไปหามาต้มให้กินจนอาหยกกลับมาแข็งแรงดังเดิม เขาทำทั้งหมดด้วยความเต็มใจไม่ถือเป็นบุญคุณ กระนั้นน้ำใจที่มอบให้ก็ถือใจหยกแน่นแฟ้นเกินกว่าเด็กชายจะเหลือใจสนใครอื่นอีก

นับจากวันนั้นไม่ว่าตงตงมีเรื่องเดือดร้อนใจสิ่งใด หยกจะเป็นคนแรกที่รับรู้และยื่นมือเข้าช่วยเหลือเสมอไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม

หากสิ่งที่ทำให้งิ้วหนุ่มประทับใจไม่รู้ลืม คือเรื่องเล็กน้อยอย่างการที่หยกยอมช่วยฝึกท่องบทงิ้วที่เกลียดนักเกลียดหนา นั่นทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วอีกคนมีพรสวรรค์การแสดงมากเพียงใด ทว่าเอ่ยชวนให้เล่นงิ้วด้วยกันทีไรเจ้าตัวเป็นต้องแสร้งตีหน้ามึนหาเรื่องวิ่งหนีไปทุกที จนอาตงยอมเลิกพูดเรื่องนี้เองในที่สุด
 
 
 
ย่างเข้าวัยหนุ่มอายุ ๑๖ ปี ตงตงเลื่อนขั้นได้รับบทนำเสียที แม้ผ่านเวทีมาแล้วหลายครั้งยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ยามต้องป้ายพู่กันระบายสีบนหน้าจึงเขียนผิดเขียนถูกลบแล้วแต่งใหม่อยู่หลายครั้ง กระนั้นอาหยกที่นั่งเฝ้าไม่ห่างก็คอยพูดให้กำลังใจตลอด ก่อนจะขึ้นเวทีเด็กชายยังบอกคอยอยู่ด้านล่าง เมื่อใดที่อาตงประหม่าขอให้มองหน้าเขาเอาไว้ แล้วนำเครื่องรางที่ใช้เงินเก็บเจียดไปซื้อมา ผูกเข้ากับผ้าคาดเอวสอดแอบไว้ให้ติดตัวอาตงตลอดเวลาทำการแสดง

ตงตงไม่แน่ใจว่าเพราะฝึกมาดีหรือกำลังใจดี เวทีแรกในฐานะตัวละครเอกจบลงอย่างดงามจนเถ้าแก่เอ่ยปากชมและมอบเงินพิเศษให้ ๒ บาท วันถัดมาเขาจึงเอาเงินจำนวนนั้นไปซื้อเป็ดพะโล้ร้านดังมากินกับหยกกันสองคน

ระหว่างนั่งกินข้าวด้วยกันตงตงคิดว่าที่ตนกับหยกได้กินกับอาหารดีๆ ล้วนเพราะเล่นงิ้วแลกมา จึงอดถามไถ่อีกคนไม่ได้ว่าคิดเปลี่ยนใจเล่นงิ้วบ้างหรือไม่ จะได้สบายไม่ต้องทำงานแบกหามให้มือไม้หยาบกร้านอีก

แน่นอนว่าเด็กชายส่ายหน้าทันควัน บอกไม่คิดจะอยู่โรงงิ้วไปจนตาย เขาจะทำงานเก็บเงินไถ่ตัวจากที่นี่ไปใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ

เพราะถูกขายเข้าโรงงิ้วแต่เด็กอาตงจึงไม่เคยมีความฝันใดนอกจากได้เล่นงิ้วจนกว่าไม่มีแรง พอได้ยินหยกตอบเช่นนั้นคิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากัน แล้วถามกลับว่าแล้วคิดจะทำการอะไร

หยกส่ายหน้าอีกครั้งบอกยังไม่รู้ ตงตงจึงนึกห่วงกลัวอีกคนไถ่ตัวออกไปใช้ชีวิตระหกระเหเร่ร่อน กระนั้นเพราะโตมาด้วยกันแต่เล็กรู้นิสัยกันดีจึงไม่เอ่ยปากห้าม “ไว้อาหยกรู้ว่าอยากทำอะไรก็มาบอกอั๊วนะ อั๊วจะช่วยลื้อออกทุนเอง”

หยกกำลังพุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยได้ยินอาตงพูดเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้จนตาหยี รีบกลืนข้าวลงคอตอบกลับไป “อั๊วต้องบอกลื้อแน่นอนอยู่แล้ว เพราะภาพตอนโตที่อั๊วคิดไว้มีลื้ออยู่ด้วยนะ”

“เอ๋? งะ งั้นเหรอ”

“อื้อ มีอั๊วต้องมีลื้อ มีลื้อก็ต้องมีอั๊ว เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะ”

ไม่รู้ทำไมทั้งที่เป็นแค่คำพูดของเด็กๆ ทว่าหัวใจตงตงกลับเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งได้สบตาแน่วแน่ของหยกด้วยแล้วยิ่งสลักจำคำพูดนั้นไว้ไม่รู้ลืม

หนุ่มงิ้วมองนิ้วก้อยเล็กๆ ยื่นมาตรงหน้าด้วยหัวใจพองฟู รอยยิ้มหวานระบายบนใบหน้างามก่อนเอานิ้วก้อยตนเข้าไปเกี่ยวแทนคำสัญญา

“อืม อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะ”
 
 
 

วันเวลาผ่านผันนับได้ ๕ ปีทั้งตงตงและหยกต่างเติบใหญ่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเยาวราชกันทั้งคู่

ตอนตงตงอายุแค่ ๑๖ ก็เริ่มรับบทนำแล้ว ไม่แปลกเมื่อล่วง ๒๐ จะกลายเป็นดาวเด่นชูโรงงิ้ว ยามชายหนุ่มปรากฏตัวจากหลังม่านย่างก้าวสง่างามยืนกลางเวทีเปล่งเสียงร้องก้องกังวาน สายตานับร้อยคู่พร้อมใจกันจับจ้องแต่เพียงเขาผู้เดียว ทั้งสาวน้อยสาวแก่แม่หม้ายต่างเฝ้ารอหน้าเวทีทุกค่ำคืน กระนั้นสายตาของอาตงยังคงมองหาเพียงหยกที่ยืนดูจากข้างเวที มีเครื่องรางชิ้นเดิมผูกติดกายไว้ตลอดเวลาทำการแสดงเป็นกำลังใจดั่งเช่นวันวาน

ด้านหยกชีวิตกลับผกผันอย่างน่าตลก ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากาลเวลาจะช่วยขัดเกลาเด็กหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ให้กลายเป็นหนุ่มรูปงามคมเข้ม กายสูงใหญ่กำยำ เดินเหินสง่าดั่งจูล่ง นางงิ้วในคณะพากันชม้ายชายตาหว่านเสน่ห์จนวุ่น แม้แต่เถ้าแกเจ้าของคณะยังลงทุนอ้อนวอนแทบคุกเข่าขอร้องให้เจ้าตัวกลับใจมาเล่นงิ้วด้วยซ้ำ

ทว่าหยกยังคงเป็นคนเดิมที่ไม่ชื่นชอบการเล่นละคร วันไหนไม่มีการแสดง เสร็จจากงานจับกังในโรงงิ้วก็วิ่งเข้าตลาดรับจ้างสารพัดอย่างเท่าที่จะมีคนจ้าง ตั้งแต่เข็นผักแบกหามไปจนถึงลูกจ้างร้านอาหารเหลา คนในคณะแทบไม่เห็นหน้า ดึกดื่นเที่ยงคืนถึงเดินกลับเข้าโรงงิ้วมาด้วยเนื้อตัวมอมแมมเหม็นเหงื่อ หากยังมีรอยยิ้มสว่างไสวให้ตงตงที่นั่งรอทุกคืนพร้อมข้าวต้มอุ่นๆ และกับง่ายๆ สองสามอย่างอยู่เสมอ

หากคืนนี้มีสิ่งหนึ่งแปลกไปเมื่ออาหยกไม่ได้กลับมาตัวเปล่าดั่งเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาในคณะงิ้วพร้อมจักรยานหนึ่งคันให้อาตงตื่นเต้นสงสัย

“ลื้อไปเอาจักรยานใครเขามาน่ะ คงไม่ได้ไปขโมยมาหรอกนะ” ถึงมั่นใจในตัวอีกคน แต่พาหนะสองล้อข้างกายแสนจะใหม่เอี่ยมราคาแพงเกินกว่าพวกเขาจะจับต้องได้ เมื่ออยู่กันสองคนในห้องนอนจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงทันที

“หึๆๆ หมอยอห์นอีให้อั๊วยืมมาใช้ อีว่านั่งรถไปกลับเยาวราช-สีลมทุกวันเงินค่าจ้างอั๊วคงไม่เหลือ” หยกอ้างถึงหมอฝรั่งที่เพิ่งไปเริ่มช่วยงานได้ไม่นาน “ลื้อชอบไหม ไว้วันหยุดอั๊วถีบจักรยานพาลื้อไปเที่ยวเล่นที่ท่าเตียนกันนะ”

“ได้เหรอ”

“ได้สิ”

“อาคุณหมอยอห์นใจดีมากเลย ลื้อต้องขอบคุณอีให้มากๆ ตั้งใจขยันทำงานนะรู้ไหม”

“ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างอีบอกว่าอั๊วหัวไวหน่วยก้านใช้ได้เลยว่าจะสอนหนังสือให้ด้วย อ่านเขียนคล่องเมื่อไหร่จะให้เลื่อนเป็นผู้ช่วยอี เงินค่าจ้างก็จะเพิ่มให้ ทำสักปีสองปีอั๊วคงพอมีเงินไถตัวออกจากโรงงิ้วไปตั้งต้นชีวิตใหม่สักที อาตง...ตอนนี้อั๊วรู้แล้วนะว่าจะทำอะไร”

“ลื้อจะทำอะไรหรือ”

“อั๊วว่าจะขายเป็ดพะโล้ ตื๊อช่วยงานแปะมู่หลายปี ในที่สุดอีก็ยอมสอนอั๊วทำเป็ด ใครๆ ก็ว่าเป็ดพะโล้แปะมู่อร่อย ถ้าอั๊วทำขายบ้างรสชาติไม่ผิดเพี้ยนรับรองขายดีเทน้ำเทท่า หาบกระจาดเร่ขายสักสองสามปีคงพอมีเงินเก็บไปเช่าห้องแถวได้”

ยามวาดฝันถึงอิสระภายภาคหน้านอกโรงงิ้ว นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายสดใสไม่ต่างจากพระจันทร์เต็มดวง ผิดกับตงตงคล้ายจะล้มทั้งยืน นึกถึงคำมั่นที่อีกคนเคยให้ไว้ครั้งยังเด็กว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป อกยิ่งปวดหนึบจนแทบหายใจไม่ออก

อาตงใช้เกือบทั้งชีวิตไปกับงิ้วจนที่นี่เสมือนบ้านไปแล้ว เขานึกวาดภาพไม่ออกว่าจะหยิบจับอะไรหากต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอก แม้แต่หุงหาอาหารหาได้คล่องแคล่ว ไม่แคล้วอยู่ให้เกะกะขวางทางอาหยกเท่านั้น สุดท้ายคงกลับมาเล่นงิ้วเหมือนคนอื่นที่เคยหนีออกไป

“ลื้ออยากไปจากโรงงิ้วขนาดนั้นเลยรึ”

“อั๊วเกลียดที่นี่แค่ไหนลื้อก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึ ออกจากที่นี่ได้เมื่อไหร่อั๊วจะไปให้ไกลแสนไกลไม่กลับมาอีกเลย”

“ใช่ แต่...” ลื้อเกลียดโรงงิ้วจนทอดทิ้งสัญญาและตัวเขาได้ลงหรือ...

“แต่อั๊วรู้ว่าลื้อรักที่นี่มาก” หยกพูดแทรกขึ้นมาก่อนอาตงจะได้เอ่ยสิ่งที่คิดไว้ ชายหนุ่มกอดอกหันมาสบตาหนุ่มงิ้วที่ใบหน้าแหยเกเข้าไปทุกทีก่อนฉีกยิ้มให้ “อั๊วเคยบอกลื้อไปแล้วไงว่ามีอั๊วต้องมีลื้อ มีลื้อก็ต้องมีอั๊ว จนกว่าลื้อจะเบื่อเล่นงิ้ว อั๊วก็จะอยู่กับลื้อที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละ”

“แต่อั๊วจะเลิกเล่นงิ้วเมื่อไหร่ยังคิดไม่ออกเลยนะ”

“ช่างมันเหอะ ร้านเป็ดพะโล้ของอั๊วถ้ายังไม่ตายจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่กับลื้อ...อั๊วก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” หยกว่าพลางยิ้มกว้าง ใช้สองมือใหญ่รวบมือตงตงขึ้นจรดริมฝีปาก “ไว้ลื้อเบื่อที่นี่เมื่อไหร่ เราค่อยไถตัวออกจากโรงงิ้วพร้อมกัน เอ้า! ลื้อร้องไห้ทำไม ลื้อไม่ดีใจหรอกหรือ”

“ฮือ อั๊วดีใจแต่ร้องไห้ทำไมอั๊วก็ไม่รู้”

“ติ๊งต๊องเสียแล้ว มีอย่างที่ไหนดีใจแต่ร้องไห้ หรือคนเล่นงิ้วเขาเป็นกันแบบนี้”

“ลื้อล้อเลียนอั๊วเหรอ”

พอถูกเย้าแหย่อาตงก็ลืมร้องไห้เชิดหน้าจ้องอาหยกตาเขียวปั๊ด หากคนตัวโตไม่นึกกลัว ฉีกยิ้มกว้างตาหยี “หยุดร้องแล้ว”

“ฮึ! ลื้อมันกะล่อนนัก”

“แค่กับลื้อเท่านั้นแหละ มาๆ เจี๊ยะดีกว่า อั๊วหิวจะแย่แล้ว”

ตงตงถอนหายใจนั่งเท้าคางมองหยกหยิบตะเกียบกับชามกระเบื้องขึ้นพุ้ยข้าวเข้าปาก สักพักนึกบางอย่างได้จึงลุกเดินไปหลังห้อง หยิบขนมกับผลไม้มาวางหน้าชายหนุ่มบอกให้กินเสีย

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ แค่ข้าวโรงงิ้วอั๊วก็อิ่มแล้ว วันหลังไม่ต้องไปซื้อมาอีกนะเปลืองสตางค์”

“อั๊วไม่ได้ซื้อ พวกเจ๊ๆ เขาฝากอั๊วไว้ให้ลื้อ”

“อีกแล้วรึ” หยกวางตะเกียบลงยกแขนขึ้นกอดอกทันควัน ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึ้ง “อั๊วบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องรับมา”

“ทำไมเล่าอาหยก ของดีๆ แพงๆ ทั้งนั้น พวกเจ๊ๆ อีอุตส่าห์มีน้ำใจ” พูดแล้วก็หยิบส้มขึ้นมาผลหนึ่ง ฉีกเปลือกออกยื่นให้อีกคน “ลื้อลองกินส้มนี่สิ เจ๊กิมลั้งอีซื้อมาให้ อร่อยใช้ได้ทีเดียว”

“อั๊วไม่กิน”

“ลื้อยังโกรธเจ๊กิมลั้งอยู่อีกเหรอ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะอาหยก ตอนนี้เจ๊เขาออกจะเอ็นดูลื้อ ลื้ออย่าตั้งแง่กับอีนักเลย”

หยกมองปากบางขยับขึ้นลงพยายามอธิบายให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงซื่อๆ อย่างใจเย็น เขาส่ายหัวก่อนถอนหายใจเฮือก จัดการฉวยส้มขากมือเล็กฉีกแบ่งครึ่งยัดเข้าปากอีกคนเมื่อพูดจบทันที “อีเอ็นดูหรืออยากดูเอ็นอั๊วกันแน่”

“ไอ้หยา!” ตงตงไอค่อกแค่ก ส้มเกือบติดคอตาย “ลื้ออย่าซี้ซั้วต่าน่า พวกอีแค่ซื้อของกินให้เองนะ”

“ลื้อนั่นแหละซื่อบื้อ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมนางจิ้งจอกพวกนั้น” อาหยกยิ้มกว้าง เอาส้มครึ่งซีกที่เหลือป้อนตงตงไม่ให้ปากว่างมาพูดขัดอีก “พวกอีอยากได้อั๊วเป็นผัวตัวระริก อยู่หลังเวทีชอบเดินผ่านแกล้งมือไม้อ่อนทำผ้าหลุดบ่อยๆ ลื้อไม่สังเกตรึ”

ตงตงได้ยินแล้วตาเหลือก รีบเคี้ยวส้มลงคอผิดกับหยกที่ตบขาหัวเราะชอบใจ

“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวติดคอซี้แหงแก๋”

“ละ แล้ว... ลื้อไม่สนใจพวกอีหรือ” น้ำเสียงยามถามเปล่งออกมาเบาแสนเบา นัยน์ตาเรียวหลุบต่ำมองถ้วยใส่จับฉ่ายที่ถูกวางทิ้งไว้จนเย็นชืด

“ทำไมอั๊วต้องสนใจพวกอี”

“ก็...พวกอีแต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้น”

“สวยแล้วอย่างไร วันหนึ่งก็ต้องแห้งเหี่ยวเหมือนซิ้มเหมี่ยวทั้งนั้น” อ้างแม่ครัวสาวทึนทึกประจำคณะงิ้ว ก่อนหยิบตะเกียบกับชามข้าวขึ้นมาอีกครั้ง คีบผักกาดในถ้วยจับฉ่ายวางบนข้าว “อั๊วไม่สนใจหรอก อั๊วสนแค่ลื้อ ตั้งแต่โดนขายมาโรงงิ้วอั๊วมีแค่ลื้อ สุขหรือทุกข์ก็มีแต่ลื้อ ไม่ว่าเมื่อไหร่ลื้อก็เป็นทุกอย่างของอั๊วเสมอมาและเสมอไป”

สิ้นประโยคตรงไปตรงมาจากหยก ตงตงที่เกิดมา ๒๑ ปีเพิ่งค้นพบว่าหัวใจสามารถเต้นแรงได้ถึงเพียงนี้ ใบหน้าขาวร้อนผ่าวไปถึงใบหูจนไม่กล้าสบตากลมโตที่จ้องตรงมา

“ถ้าลื้อไม่อยากมีปัญหากับพวกอี ทีหลังแค่รับมา แต่จะเอาไปกินเองหรือแบ่งเด็กๆ ก็เรื่องของลื้อ ไม่ต้องเอามาให้อั๊ว อั๊วไม่ต้องการของใครทั้งนั้นนอกจากข้าวที่ลื้อเตรียมไว้ให้”

พูดจบก็พุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยเหมือนไม่มีอะไรสลักสำคัญ หากตงตงไม่สามารถนั่งอยู่ต่อได้ด้วยกลัวเสียงหัวใจจะดังลอดออกจากอกให้หยกได้ยิน หนุ่มงิ้วเม้มปากนั่งกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจลุกขึ้น

“อั๊วจะไปเตรียมน้ำให้ลื้ออาบ”

“อาตง”

“อะไร” ใบหน้าขาวตวัดมอง เห็นคนเรียกเลิกคิ้วหนาข้างหนึ่งมาให้ราวรู้ทัน

“อย่าลืมจุดตะเกียงไปด้วยล่ะ”

“อั๊วรู้แล้วน่า!” ตงตงตวาดเสียงเบาเหมือนแมวขู่ฟ่อ ฟึดฟัดเดินออกไปเตรียมน้ำร้อนท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจของจับกังหนุ่ม
 
 
 
ตรุษจีนปีถัดมาชีวิตตงตงถึงจุดหักเหครั้งสำคัญ...

งิ้วไหว้เจ้าเป็นงานสำคัญประจำปีของชาวคณะ เพื่อความเป็นมงคลตลอดทั้งปีจึงจะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ ทุกปีชาวคณะจะเริ่มเตรียมการกันตั้งแต่หลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทั้งบทที่ต้องเขียนขึ้นใหม่ ดนตรี เสื้อผ้า ฉากหลัง และอุปกรณ์อื่นๆ ทว่าก่อนขึ้นแสดงในวันตรุษจีนในอีกสามวันข้างหน้า อาเหมย นางเอกงิ้วประจำคณะคนปัจจุบันกลับหอบผ้าหอบผ่อนหนีตาม อาลั้ง ลูกชายเถ้าแก่โรงสีที่บางเลนไปกลางดึก ทิ้งจดหมายลาไว้ต่างหน้าให้เจ็บใจ

ดังฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เจ้าคณะทราบความตกใจหนักถึงขั้นเป็นลมล้มตึง พอฟื้นขึ้นมาผมดำบนหัวก็กลายเป็นขาวไปครึ่งหนึ่ง ร้องแต่ว่าซี้แล้วๆ

ปีนี้เจ้าคณะอุตส่าห์ไหว้วานอาจารย์จากไหหลำเขียนบทเรื่อง ‘เหลี่ยวตันบ๊กกังต๊กเองไห่ ’ ให้ หวังส่งอาเหมยขึ้นเป็นดาวคณะแทนกิมลั้งที่ร่วงโรยมาหลายปี อีดันไม่รักดีก่อเรื่องหนีตามผู้ชายไป จะหาตัวแทนมองไปทางไหนไม่รู้จะเลือกใครขึ้นแสดงเป็น ‘ต๊กเองไห่ ’ นักแสดงหญิงในคณะตอนนี้หากไม่เด็กไร้ประสาไปเลยก็เป็นพวกเพิ่งหัดบินยังไม่เจนจัดบนเวที หนทางเดียวที่พอทำได้คือยกบทให้กิมลั้งเสีย แม้หล่อนอายุมากเกินกว่าจะรับบทเด็กสาวและหว่านเสน่ห์เรียกสตางค์จากบรรดาเศรษฐีที่มาชมได้

ทว่าก่อนเอ่ยปากเจ้าคณะเหลือบเห็นอาตงเข้า ชายกลางคนลูบเคราครุ่นคิดพิจารณาเปรียบเทียบแล้วเห็นว่าหน้าตาผิวพรรณชายหนุ่มไม่ด้อยไปกว่าหญิงสาวในคณะ ฝีไม้ลายมือการแสดงนับว่าเข้าขั้น ครั้งเริ่มขึ้นเวทีก็เคยรับบทตัวละครหญิงอยู่บ้าง หากต้องสวมบท ‘ต๊กเองไห่’ หญิงปลอมตัวเป็นชายเพื่อเรียนหนังสือคงไม่ขัดนัก ฉะนั้นแล้วจึงตัดสินใจมอบตัวนางให้ตงตงไปฝึกซ้อม และยกบท ‘เหลี่ยวตันบ๊ก ’ แต่เดิมของชายหนุ่มให้ตัวรองขยับขึ้นมาเล่นแทน

ตงตงไม่ขัดหากต้องรับบทนาง ติดเพียงเวลากระชั้นทำให้กลัวแสดงได้ไม่ดี หลังซักซ้อมบทเวทีกับชาวคณะตกค่ำจึงเรียกหยกมาช่วยฝึกซ้อมเป็นเพื่อนต่อ กระนั้นแม้จับกังหนุ่มเอ่ยชมว่าทำได้ดีแล้วก็ยังไม่มั่นใจ

คืนก่อนตรุษจีนอาตงประหม่าจนนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาอยู่นานจึงลุกจากเตียงในที่สุด ตะเกียงดวงน้อยถูกจุดขึ้นหอบหิ้วนำทางไปถึงศาลเจ้า ตั้งใจขอพรเทพเจ้าช่วยคุ้มครองให้การแสดงผ่านพ้นไปด้วยดี

ทว่าศาลเจ้ายามค่อนคืนหาไร้ผู้คนอย่างนึกไว้ นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตานั่งเข่าหน้าเทพเจ้าประธาน ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะผินมาเมื่อสังเกตเห็นผู้บุกรุก

“อาตงทำไมไม่หลับไม่นอน พรุ่งนี้ลื้อต้องขึ้นแสดงแล้วนะ”

“อั๊วนอนไม่หลับ เลยตั้งใจมาไหว้เจ้าให้ใจสงบ” เขาว่า เดินเข้าไปนั่งเข่าข้างๆ คนตัวสูง “ลื้อแหละทำไมไม่นอน พรุ่งนี้ต้องช่วยเตรียมของไหว้แต่เช้ามืดมิใช่รึ”

“อั๊วอยากมาขอพรให้ลื้อก่อน”

“ให้อั๊ว?”

“อั๊วรู้ว่าลื้อกังวล แต่เชื่ออั๊วนะ...ลื้อทำได้ ลื้อเก่งที่สุดแล้ว”

นอกจากคำพูดหนักแน่นและสายตามั่นคงดังเคย ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่สอดกุมไว้ก็ช่วยให้ใจว้าวุ่นของตงตงสงบลงได้

พวกเขานั่งจับมือกันเงียบๆ จนหยกเห็นควรแก่เวลา จึงกระตุกมือชักชวนอาตงกลับ “กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“อื้ม”

ไร้คำพูดใดแค่เพียงปลายนิ้วจากสองมือเกี่ยวกันไว้แนบแน่นตั้งแต่ศาลเจ้าจนถึงโรงงิ้ว ก่อนจำใจผละออกเมื่อถึงหน้าห้องพักส่วนตัวของพระเอกประจำคณะ หยกยืนยิ้มส่งรอจนตงตงปิดประตูไม้สนิทถึงยอมกลับโรงนอนของตน
 
 
 
ตงตงในบทต๊กเองไห่งามผุดผาดจนผู้ชมตกตะลึงทั้งงาน กระทั่งหยกที่นั่งเฝ้าตอนอีกคนแต่งหน้าก่อนนี้ยังอดตะลึงไม่ได้ ตากลมโตเบิกกว้างเฝ้ามองเพียงร่างบอบบางขับร้องร่ายรำจากข้างเวทีราวที่แห่งนี้มีแค่พวกเขาสองคน

ม่านการแสดงปิดลงเมื่อต๊กเองไห่กลายเป็นผีเสื้อตามเหลี่ยวตันบ๊ก ครองคู่กันในโลกหน้าชั่วนิจนิรันดร์ เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วศาลเจ้า อาตงหอบหายใจหนัก ใช้พลังไปกับการแสดงตลอดสามชั่วโมงแทบไม่ได้หยุดพักหายใจ หากเมื่อเลี้ยวเท้าเดินกลับหลังเวทีเจอหยกยืนรออยู่ก็พลันหายเหนื่อย ฉีกยิ้มหวานโผเข้าหาอีกคนรอรับคำชม ทว่าก้าวยังไม่ทันถึงตัวเจ้าคณะกลับปราดเข้ามาฉกดาวเด่นคืนนี้ไปเสียก่อน

หยกโบกมือบอกอาตงที่เหลียวมองจนคอหันว่าไม่เป็นไรพร้อมยิ้มจางบนใบหน้า ยืนรอจนต๊กเองไห่ลับสายตาจึงค่อยกลับไปทำหน้าที่เก็บกวาดเวทีของตน

สถานที่ที่ตงตงถูกเถ้าแก่ลากพามาคือภัตตาคารชื่อดัง เขาและเถ้าแก่ร่วมโต๊ะทานอาหารเหลากับเหล่าเจ้านายคนไทย คอยทำหน้าที่ปั้นยิ้มเอาอกเอาใจพวกลูกท่านแลกซองแดงบรรจุเงิน แม้ได้มามากมายกลับหาได้นึกปีติสักนิด

(ต่อ)

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
โรงงิ้วเงียบสงัดเมื่อตงตงก้าวลงจากรถยนต์ของคุณพระท่านหนึ่งที่อาสามาส่ง ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อไม่พบร่างสูงคุ้นตา เหลือบมองทางโรงนอนเห็นว่าดับตะเกียงกันแล้วก็ถอดใจเดินกลับห้องพักตน

ค่อนคืนอาตงนั่งใจลอยสางผม ทั้งที่เรื่องหนักใจเพิ่งผ่านพ้น ทว่าใบหน้าหมดจดปราศจากแป้งสีและวิกหนาหนักกลับฉายความอาดูรชัดบนกระจกขุ่นมัว

เสียงผ่อนลมหายใจดังขึ้นอีกครั้งก่อนมือขาววางหวีลงบนโต๊ะ เขาลุกขึ้นยืนฉวยตะเกียงมาถือไว้เดินไปปิดหน้าต่างแล้วจึงกลับมาที่เตียง หากจังหวะกำลังเลิกชายมุ้งขึ้นเสียงเคาะประตูกลับดังขัดขึ้นเสียก่อน

หัวใจอาตงเต้นเร็วพอๆ กับจังหวะสาวเท้าไปยืนหลังบานไม้หนา “ใครหรือ”

“อั๊วเอง”

ตงตงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าริมฝีปากระบายออกกว้างในทันที เขารีบปลดกลอนเปิดประตูออกเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ยืนรออยู่ด้านนอก

“อั๊วนึกว่าลื้อหลับไปแล้ว เข้ามาก่อนสิ” เอ่ยพลางผลักประตูเปิดกว้าง เบี่ยงกายให้อีกคนเข้ามาด้านใน คิ้วเรียวขยับเข้าหากันเมื่อเห็นว่าหยกมีเหงื่อโทรมกาย ทั้งยังสวมกางเกงตัวเดียวกับเมื่อเช้า

หนุ่มจับกังรอจนอาตงปิดประตูจึงต่อบทสนทนา “อั๊วเพิ่งเก็บเวทีเสร็จสักชั่วโมงก่อนนี้เอง”

“แล้วลื้อไปไหนมา ไยไม่หลับไม่นอน”

“อั๊วไปทำสิ่งนี้มาให้ลื้อ”

สิ้นประโยคนั้นตงตงจึงเพิ่งสังเกตเห็นมงกุฎดอกไม้ในมือใหญ่ ตาเรียวมองด้วยความประหลาดใจก่อนเงยใบหน้าขึ้นสบสายตาคมที่ทอดลงมา

“อั๊วไม่มีของขวัญมีค่าอะไรจะให้ลื้อ มีปัญญาหาได้แค่มงกุฎดอกส้มนี้ อาตง...ลื้อชอบหรือไม่”

“อืม... อั๊วชอบที่สุดเลย”

เปลือกตาบางค่อยๆ หลับพริ้มเมื่อมือใหญ่เอื้อมบรรจงวางมงกุฎดอกไม้ลงบนศีรษะ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจึงพบว่าใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างออกไปเพียงฝ่ามือ

“คืนนี้ลื้อสวยมาก สวยกว่าใครที่อั๊วเคยเจอ”

ยิ้มกว้างของหยกเป็นสิ่งสุดท้ายที่ตงตงเห็นก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ลมหายใจร้อนเป่ารดปลายจมูกชวนกระสับกระส่ายไปทั้งตัว ชั่ววินาทีที่ใบหน้าพวกเขาคลอเคลียกันอาตงรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ ริมฝีปากบางเผยอออกเฝ้ารอบางสิ่งจากอาหยก ทว่าสัมผัสอุ่นกลับผละจากในชั่วอึดใจต่อมา

อาตงลืมตามองตัดพ้อหยกอย่างไม่เข้าใจ

“ลื้อพักผ่อนเถอะ อั๊วไปล่ะ”

“เดี๋ยว” มือไวเท่าใจนึก ตงตงคว้าท่อนแขนกำยำก่อนอีกคนจะหันหลังกลับไป ตาเรียวสวยดั่งอินทรีย์เหลือบมองคนตัวสูงกว่าเว้าวอน

หยกก้มดูมือเล็กที่รั้งเขาไว้ด้วยสีหน้าทรมาน กลั้นใจหมายสะบัดออกน้ำเสียงหวานก็เอ่ยหยุดความคิดนั้นเสีย

“คืนนี้ลื้อนอนที่นี่เถอะ”

“อาตง...”

“อั๊ว...อยากให้ลื้ออยู่กับอั๊ว”
 


ฟ้าสางตงตงรู้สึกตัวตื่นพบว่ากายอุ่นร้อนที่โอบกอดเขาทั้งคืนหายไปเสียแล้ว เขาผุดลุกขึ้นทรงตัวนั่งแม้เจ็บหยอกสะโพกอยู่ไม่น้อย เหลียวมองหาคนในคะนึงหากไม่เห็นแม้แต่เงา อกพลันเสียดแน่นลำคอตีบตันก่นด่าตนเองที่ไม่รู้จักหักห้ามกิเลส บังคับเอาแต่ใจอาหยกให้ทำตามความต้องการของตัว

ก่อนน้ำตาหยดลงบนฟูกให้เปียกปอนประตูกลับถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงเดินเข้ามา หยกมีสีหน้ามึนงงรีบวางข้าวของในมือลงบนโต๊ะ ปราดเข้ามานั่งยองเงยหน้ามองอาตง

“ลื้อเจ็บหรือ”

“เปล่า” กลืนก้อนสะอื้นลงคอตอบปัดกลับไป “ลื้อหายไปไหนมา”

ได้ยินคำถามจึงทราบอาการในทันที หนุ่มจับกังยิ้มบางพลางเอื้อมมือขึ้นลูบแก้มคนบนเตียง ใช้ปลายนิ้วปัดคราบน้ำตาออกเบาๆ

“อั๊วไปเตรียมของมา”

“เตรียมของอะไร วันนี้ไม่มีงานนี่”

“เตรียมของทำพิธี” หยกพูดอย่างใจเย็น ตาโตพิศใบหน้าหวานละมุนไม่เร่งรีบจนพอใจจึงลุกขึ้นยืน “ลื้อตื่นแล้วก็ดี มานั่งตรงนี้เถอะ”

ชายหนุ่มพยุงตงตงลงมานั่งคุกเข่าบนเบาะกลางห้องหันหน้าเข้าผนัง ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะกุลีกุจอยกข้าวของวางเตรียมบนพื้นตรงหน้า

ตงตงมองธูปกับชุดน้ำชาฉงน หากไม่ทันได้เอ่ยปากถามกลับถูกผ้าแดงคลุมทับศีรษะจนภาพตรงหน้าพร่าเลือนเสียก่อน

“เราสองไร้บิดามารดา พิธียกน้ำชานี้ยกให้แก่กันคงไม่เป็นไร”

“อาหยก...” ได้ยินจุดประสงค์ของชายหนุ่มอาตงถึงกับเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู

หยกไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม เขาเพียงยิ้มพลางหยิบธูปขึ้นจุดส่งให้ตงตงและตนเองไหว้เทพเจ้ากับฟ้าดิน เสร็จแล้วจึงหันหน้าเข้าหากันผลัดรินชาใส่ถ้วยยกให้อีกฝ่ายดื่ม เมื่อวางถ้วยเปล่าบนถาดแล้วคนตัวโตถึงเอื้อมแขนเลิกผ้าคลุมศีรษะอาตงตลบไปด้านหลังเผยใบหน้างดงามที่มองสบตรงมาเช่นกัน

“อาตง ลื้อเป็นเมียอั๊วแล้วนะ”

ไร้ซึ่งคำรักหวานหู กระนั้นอกตงตงกลับฟูฟ่องด้วยความตื้นตันอย่างที่ไม่เคยรู้สึกถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต เมื่อนับจากนี้เขาและหยกได้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว
 
 

แม้ตัดสินใจอยู่กินฉันท์ผัวเมียกันแล้วหากพวกเขาต่างเป็นชายเหมือนกัน ถึงในคณะจะพอมีคล้ายคู่พวกเขาอยู่บ้างแต่เป็นที่ดูแคลนล้อเลียนอยู่เสมอ หยกไม่ต้องการให้อาตงผู้เปรียบดั่งดาวบนฟ้าต้องฉาวโฉ่ตกเป็นขี้ปากคน หลังตรุษจีนผ่านพ้นจึงมีความคิดออกไปเช่าบ้านข้างนอกอยู่กันสองคน แม้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่คำนวณเงินเก็บดูแล้วน่าจะพอเช่าบ้านหลังน้อยไม่ไกลโรงงิ้วและตั้งตัวทำกิจการเล็กๆ ได้ ทว่าไม่ทันได้ตระเวนหาบ้านเช่ากลับมีเหตุให้อาตงและอาหยกต้องอาศัยหลังคาโรงงิ้วเป็นที่พักพิงต่อเสียก่อน

ปกติที่โรงงิ้วมักให้เด็กในคณะคอยรับใช้นักแสดงผู้ใหญ่เพื่อแลกกับการสอนงิ้วให้เป็นพิเศษ ทว่าตั้งแต่ตงตงขึ้นเป็นดาราใหญ่เขาไม่เคยรับเด็กมาดูแลสักคน อะไรที่พอจะทำได้ก็ช่วยตนเองไปก่อน เหลือบ่ากว่าแรงค่อยเรียกหยกให้ช่วย พอมีความคิดออกไปอยู่ข้างนอกเจ้าคณะกลับพาเด็กน้อยมาแนะนำตัว บอกว่าเห็นแล้วนึกถึงงิ้วหนุ่มเมื่อครั้งยังเล็กจึงมั่นหมายให้ชายหนุ่มช่วยปั้นหวังเป็นดาวคณะสืบต่อไป

เด็กชายที่เจ้าคณะพามาฝากมีนามว่า ‘หยงหย่ง’ เพิ่งจะ ๕ ขวบเท่านั้น เยาว์กว่าตงตงและหยกตอนถูกหม่าม้าพามาขายเสียอีก พิจารณาหน้าตาน่ารักผิวพรรณดี ซ้ำยังยิ้มเก่งเข้าใจออดอ้อน เพียงสบตากลมๆ ใสแจ๋วก็ชวนให้นึกถึงอาหยกตอนเด็ก พระเอกงิ้วจึงตกปากรับคำดูแลอย่างไม่ลังเล

ทีแรกตงตงคิดเอาว่าหยกคงไม่พอใจที่มีภาระเพิ่มอีกหนึ่งชีวิต ซ้ำจะพาหยงหย่งไปอยู่ข้างนอกด้วยก็ไม่ได้ต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่กว่าเด็กชายจะดูแลตัวเองได้ คิดไปถึงว่าถ้ามีปากเสียงจะเอ่ยปากดูแลอาหยงแต่เพียงผู้เดียวไม่ให้รบกวนอีกคน หากกลางดึกจับกังหนุ่มกลับมาเจอเด็กน้อยนอนขดตัวอยู่บนเตียงของอาตงพลันนึกถูกชะตาเข้าอย่างจัง ยอมให้รับเลี้ยงไม่ซักถามให้มากความ สร้างความประหลาดใจแก่อาตงยิ่งนัก

“เห็นอีแล้วนึกถึงพวกเราตอนเด็กๆ” ฝ่ามือใหญ่ปัดเหนือร่างเล็กไล่แมลงที่ทำท่าจะเข้ามากัดเนื้ออ่อนเป็นตุ่มรอย “ยังไม่ทันรู้ความก็ถูกพามาขายโรงงิ้วให้เขาทุบตีใช้งาน โตมาไม่พ้นเล่นงิ้วอย่างลื้อก็เป็นจับกังเหมือนอั๊ว”

ตงตงมองเสี้ยวหน้าด้านข้างคนรักก่อนโน้มศีรษะลงซบหน้าผากบนไหล่กว้าง นึกย้อนไปครั้งยังเยาว์ตอนมารดาพามาโรงงิ้วคิดเพียงว่าจะได้แต่งตัวสวยๆ เล่นสนุก โตเป็นใหญ่รู้ความจึงเพิ่งสะท้อนใจ ทั้งชีวิตถูกเอามาขายแลกเงินเพียงหนึ่งก้อน ใช้ร่างกายทำงานแลกที่อยู่ที่กินจนกว่าขยับไม่ไหว ไม่สามารถนับญาติใกล้ชิดกับใครได้สนิทใจ

“อั๊วโชคดีมากที่ได้เจอกับลื้อ หากไม่ได้ลื้อ...อั๊วคงตายไปนานแล้ว” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบเอวบาง ตบสีข้างเบาๆ ให้ตงตงขยับแนบชิดขึ้น “แต่อาหยงอีไม่มีใคร ถ้าอีได้อยู่กับคนจิตใจดีอย่างลื้อ อั๊วเชื่อว่าอีต้องโตขึ้นมามีความสุขเหมือนอั๊วแน่ๆ”

หยกไม่ใช่คนประดิษฐ์คำพูดหวานหูเอาใจใคร ทุกคำพูดของหนุ่มจับกังล้วนแต่ซื่อตรงต่อความรู้สึก คิดเช่นไรเอื้อนเอ่ยออกมาไม่คดเคี้ยวเช่นคนอื่น ตงตงจึงสบายใจเสมอเมื่อได้อยู่กับอีกฝ่าย และรู้สึกโชคดีเช่นกันที่เบื้องบนบันดาลให้พวกเขาได้พบเจอ

อิงกอดกันมองเด็กน้อยด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน สักพักเสียงหัวเราะจากคนตัวโตก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ อาตงเงยหน้ามองคนรักนึกฉงน “มีอะไรน่าขันรึ”

“อีชื่อหยงใช่ไหม”

“หยงหย่ง”

“หึๆ ชื่ออีเหมือนเอาชื่ออั๊วกับลื้อมารวมกันเลย หยกกับตงตงเป็นหยงหย่ง”

ด้วยพอจะเริ่มรู้หนังสือบ้างแล้วจึงคิดได้ ผิดกับอาตงที่อ่านไทยไม่ออกเขียนไม่ได้ก็ยังคงสงสัยต่อไป กระทั่งอีกคำพูดหลุดจากปากคนรักใบหน้าขาวพลันขึ้นสีทันควัน

“อย่างกับอีเป็นลูกพวกเราเลยแหะ”

ตงตงอ้าปากค้าง ฝ่ามือบางฟาดเข้าแผ่นอกเปลือยก่อนบ่นออกมาชุดใหญ่ “ไอ้หยา พูดอะไรซี้ซั้วต่า ลื้อนี่นับวันยิ่งติ๊งต๊อง”

“ไม่ดีหรอกหรือ อั๊วกับลื้อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำไง” หนุ่มจับกังหัวเราะชอบใจ รวบเอวบางดึงรั้งอาตงขึ้นนั่งตัก พิศมองคนรักหวานเชื่อม “จากนี้ให้อาหยงนอนกับลื้อที่นี่นะ อั๊วไม่อยากให้อีไปนอนบนโรงนอน อั๊วไม่อยู่ตลอดอีจะโดนพวกเด็กโตรังแกเอา”

“แล้วเรื่อง...อั๊วกับลื้อ”

“เราก็ทำเบาๆ แล้วกัน อียังเด็กถึงเวลาหลับไม่รู้เรื่องแล้ว”

“อาหยก! อั๊วไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ในหัวมีแต่เรื่องสัปดนหรือไง”

“เอ้า แล้วลื้อหมายถึงเรื่องไหนกัน”

“อั๊วหมายถึงที่ลื้อบอกจะออกไปหาเช่าบ้านอยู่ข้างนอก” พูดแล้วก็ถอนใจ “อั๊วโตแล้วคงไม่เป็นไร แต่อาหยงยังเล็กแบบนี้เถ้าแก่ไม่ยอมให้พาอีออกไปอยู่ด้วยแน่”

“นั่นสินะ” ตาโตหลุบมองเด็กน้อยบนเตียงอีกครั้ง พอเห็นยุงตัวจิ๋ววนเวียนเข้ามาใกล้อีกก็ปัดมือไล่ “ไว้รออีรู้ความกว่านี้สักสองปีสามค่อยคิดอีกทีแล้วกัน” หยกดึงสายตากลับมายังคนข้างกายด้วยความรักใคร่ เปลือยตาหนาหลุบต่ำลงขณะโน้มกายลงแนบเนาริมฝีปากอิ่มบนกลีบเนื้อบาง “หรือจะห้าปี สิบปี ยี่สิบปีก็ไม่เป็นไร อั๊วกับลื้อยังมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนอีกทั้งชีวิต”
 
 
 
เพียงสามเดือน เหลี่ยวตันบ๊กกังต๊กเองไห่ กลายเป็นละครชูโรงประจำคณะไปโดยปริยายจากกิตติศักดิ์เรื่องความงามและฝีมือการแสดงของอาตงที่เลื่องลือไปทั่วพระนคร แม้กระทั่งเหล่าเจ้านายชั้นสูงก็ต้องเคยผ่านพระเนตรพระกรรณกันบ้าง ทุกคืนที่โรงงิ้วเปิดการแสดงผู้คนจากสารทิศพากันจับจองที่นั่งตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินหวังยลโฉมต๊กเองไห่ผู้งดงาม กิจการคณะละครเฟื่องฟูมีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนมากมายนักแสดงก็พลอยอู้ฟู่ไปด้วย

ทว่าหลังม่านปิดลงตงตงกลับรู้สึกหนักใจขึ้นทุกที เขายังไม่ทันได้ล้างหน้าถอดวิกผมก็ถูกพาขึ้นสามล้อออกไปสังสรรค์กับบรรดาผู้อุปถัมภ์ที่ภัตตาคารหรูแล้ว ทิ้งหยกและหยงหย่งไว้กับงานแบกหามเบื้องหลังในขณะที่ตนกินดื่มอาหารสุขสบาย

เกือบสามทุ่มรถยนต์คันโก้ขับเคลื่อนช้าๆ ไปตามถนนเยาวราชจนจอดนิ่งหน้าโรงงิ้วแสนคุ้นตา ใบหน้านวลหันหาหลวงเทิด สองมือพนมกลางหน้าอกไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายที่ขับรถมาส่ง “ขอบพระคุณคุณหลวงมากขอรับที่มีน้ำใจมาส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เองสบายมาก แล้วก็ไม่ต้องพูดจาสุภาพกับฉันมากก็ได้ คนกันเองทั้งนั้น”

“มิได้หรอกขอรับ กระผมเป็นผู้น้อยคงมิอาจตีตัวเสมอคุณหลวง” ตงตงฝืนยิ้มก่อนเอ่ยขอตัว “กระผมคงมิรบกวนคุณหลวงแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ”

ชายหนุ่มก้าวลงจากรถยนต์ ยืนรอส่งจนไฟท้ายลับสายตาจึงค่อยหมุนตัวกลับ บานไม้หนาหนักถูกฝ่ามือเรียวออกแรงผลักเบาๆ ก็เปิดออกกว้าง ขาเพรียวก้าวข้ามผ่านธรณีประตูพาตนเองกลับสู่สถานที่เติบโตมา เมื่อลับซึ่งสายตาบุคคลที่สามลมหายใจก็ถูกถ่ายถอนออกมาให้สมความอัดอั้น

ตั้งแต่รับบท ต๊กเองไห่ ทุกค่ำคืนการแสดง ตงตงยิ่งรู้สึกว่าวิกผมบนศีรษะและเครื่องสำอางบนหน้าช่างหนักหนาขึ้นทุกที ฉุดถ่วงทั้งแรงกายแรงใจจนไม่อยากขยับตัวทำอะไร

ชายหนุ่มยืนนิ่งกับความคิดในหัวกลางลานกว้างอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นจันทร์กระจ่างตาจึงรู้สึกว่าวันนี้ไม่ได้แย่นัก อย่างน้อยท่ามกลางความมืดมิดก็ยังมีแสงสว่างนำทางอยู่ เขายิ้มกับตนเองแล้วเริ่มต้นเดินอีกครั้งเพื่อปลดเปลื้องภาระหน้าที่ทั้งหลายทิ้งไว้ใต้เวทีงิ้วกลับมาเป็นตงตงดังเดิม


 
“อาตงกลับมาแล้ว”

เสียงต้อนรับจากหยกดังขึ้นทันทียามใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นจากของบนโต๊ะสบเข้ากับใบหน้างาม นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่าอาหยกอาหยงยังคงนั่งสุมหัวกันที่โต๊ะ หาได้เข้านอนแล้วอย่างที่นึกไว้ไม่ หากไม่ลืมยกยิ้มส่งคืนให้อีกคนทันทีเมื่อได้รับมา

“เฮียตง” หยงหย่งพอได้ยินว่าใครกลับมาก็รีบหมุนตัวมาทางประตู เด็กน้อยชูสองแขนขึ้นสูงร้องทักคนโตกว่าเสียงใสไร้เค้าความง่วงงุน

“อั๊วกลับมาแล้ว พวกลื้อทำอะไรกันดึกดื่นไม่หลับไม่นอน พรุ่งนี้ตื่นสายเดี๋ยวจะโดนดุเอาหรอก”

“เฮียหยกสอนอั๊วเขียนหนังสือล่ะ สนุกมากเลย”

“เขียนหนังสืออะไรรึ” ใบหน้าใต้เครื่องสำอางฉายแววฉงน ขัยบเดินเข้ามาจนใกล้พอจะเห็นสมุดและดินสอบนโต๊ะ “ไปเอามาจากไหนน่ะ อาหยกซื้อมารึ”

“คุณหนูมะลิอีให้อั๊วมา อีว่าหมอยอห์นซื้อใหม่ทุกปีเหลือทุกที เลยยกให้อั๊วมาฝึกเขียนเล่นตอนไม่ได้ไปช่วยหมอยอห์นอีทำงาน”

“อ่อ แล้วลื้อกำลังสอนอะไรอาหยงล่ะนั่น”

“แค่หัดให้อีเขียนชื่อเป็น อั๊วยังเรียนไม่ถึงไหนจะเอาอะไรมาสอนอีเยอะแยะ”

“เฮียตงดูนะ อั๊วจะเขียนชื่อให้ดู” เสียงใสๆ ร้องเรียกความสนใจจากผู้ใหญ่สองคนให้หันมอง มือเล็กหยิบดินสอขีดลงบนกระดาษช้าๆ ด้วยความตั้งใจจนออกมาเป็นตัวหนังสือโยกโย้ “หอ-หีบ ยอ-ยักษ์ งอ-งู หอ-หีบ ยอ-ยักษ์ ไม้เอก งอ-งู อ่านว่า หยงหย่ง อั๊วเก่งไหม”

“เก่งมาก” ตงตงดูตัวหนังสือตัวโตๆ แล้วลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู “ลื้อเก่งกว่าอั๊วอีก เพราะฉะนั้นวันนี้พอได้ ถึงเวลาเด็กดีเข้านอนแล้วนะ”

“ขออีกนิดไม่ได้เหรอเฮียตง อั๊วยังไม่ง่วงเลยอะ”

“ไม่ได้ๆ ไหนใครสัญญากับอั๊วว่าอยู่แค่รออาตงกลับมาไง” พอเด็กน้อยทำท่างอแง หยกจึงต้องแสร้งทำเสียงแข็งปรามเพื่อไม่ให้ได้ใจ

หยงหย่งอิดออดพอเป็นพิธีเห็นว่าเฮียหยกเอาจริงจึงยอมวางดินสอแต่โดยดี แล้วหันไปคว้าคอกอดให้คนตัวโตอุ้มไปเข้านอน หากไม่วายอ้อนขอตามประสา “เฮียหยกเล่านิทานก่อนนอนให้อั๊วฟังด้วยนะ”

“ได้ ลื้ออยากฟังเรื่องไหนดี”

“กระต่ายกับเต่า”

“ได้” หยกหัวเราะตอบ ลุกขึ้นอุ้มอาหยงเข้าเอวก่อนหันมองอาตง “ลื้อไปล้างหน้าอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวอั๊วดูอาหยงเอง”

“อื้อ”


 
ตงตงใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับห้องมาในสภาพพร้อมนอน หยงหย่งหลับสนิทอยู่ในมุ้งไปแล้ว ส่วนหยกยังคงนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่เดิม พอจับกังหนุ่มเห็นเขาก็ตบเก้าอี้เบาๆ เรียกให้ไปนั่ง “อาตงมานี่สิ”

“ลื้อกินข้าวแล้วหรือยัง” เขาเอ่ยถามพลางเอนศีรษะซบไหล่หนาเมื่อนั่งลงเคียงร่างสูงใหญ่

หยกใช้แขนขวาโอบเอวบางกระชับเข้าหาตัว หันหน้าหาคนตัวเล็กกว่าก่อนกดจูบลงบนไรผมเปียกชื้น “อั๊วกินแล้ว ลื้อหิวหรือ”

“เปล่าหรอก อั๊วแค่เป็นห่วงกลัวลื้อยังไม่ได้กินข้าว อั๊วขอโทษนะ พักหลังมานี้อั๊วไม่ได้เตรียมข้าวมื้อดึกให้ลื้อเลย”

“จะขอโทษทำไม ไม่ใช่ความผิดลื้อเสียหน่อย ลื้อเล่นงิ้วเสร็จก็ต้องออกไปข้างนอกกับพวกเถ้าแก่ต่อ กว่าจะได้กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำล้างหน้าก็ดึกแล้ว จะมาเหนื่อยเตรียมข้าวให้อั๊วอีกทำไม ข้าวแค่นี้อั๊วหากินเองได้ ลื้อไม่ต้องเก๊กซิม”

“แต่...”

“น่าๆๆ รู้แค่อั๊วไม่ลำบากก็พอ”

คนตัวเล็กกว่าถอนใจอีกครั้ง อยากเถียงอยากบอกความอึดอัดใจให้รู้ แต่กลัวเซ้าซี้ไม่หยุดอาหยกจะโกรธเอา จึงหุบปากเงียบมองอีกคนเขียนหนังสือ

“ลื้ออยากลองเขียนบ้างไหม” หยกสังเกตว่าตาเรียวจดจ้องสมุดมาสักพัก พอเขาคัดคำศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเรียนมาจากคุณหนูมะลิจบจึงหันมาถามคนข้างตัว

ตงตงจำที่หยกเคยบอกได้ว่าถ้าเขียนอ่านเก่งแล้วจะสอนตนให้รู้หนังสือบ้าง ดูเหมือนว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะรู้หนังสือพอควรแล้ว แต่กลับเป็นเขาเองเสียเองที่ไม่ว่างขวนขวายเอาวิชาจากอีกคน พอคนรักเอ่ยถามจึงรีบพยักหน้าด้วยความดีใจ

“อื้อ อั๊วอยากลอง”

“มา งั้นอั๊วจะสอนเขียนชื่อลื้อให้”

อาหยกขยับตัวนั่งซ้อนหลังคนรัก เอาดินสอใส่มือเล็กจับนิ้วเรียวจนถือถูกวิธี คอยกุมหลังมือประคองให้กดไส้ดินสอลงบนกระดาษ พอเขียนได้หนึ่งตัวก็ยกขึ้นเขียนพยัญชนะตัวใหม่

“ชื่ออั๊วเขียนอย่างนี้เองหรือ” ตาเรียวขยายกว้างถามออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจทันทีที่เขียนเสร็จ ก่อนหันไปยิ้มให้อาจารย์ชั่วคราว

“ใช่” จับกังหนุ่มยิ้มตอบพลางจับมือเล็กเขียนอีกครั้ง ค่อยๆ อธิบายทีละพยัญชนะ “ตัวนี้คือ ตอ-เต่า”

“ทำไมถึงเรียกว่าตอ-เต่า หรือ”

“เพราะว่าหลังหักเหมือนเต่า”

“ตรงไหนกัน”

“ตรงนี้” หยกอธิบายอย่างใจเย็น จับมืออาตงเขียนตอ-เต่าซ้ำอีกหลายครั้งแล้วให้เจ้าตัวลองเขียนเอง

“อั๊วเขียน ตอ-เต่า ได้แล้ว” ตงตงส่งเสียงดีใจเมื่อเขียนตัวหนังสือออกมาได้ใกล้เคียงที่หยกสอนมา

“เก่งมาก”

“แล้วตัวต่อไปล่ะอาหยก อีเป็นตัวอะไร”

“ตัวนี้เรียกว่า งอ-งู”

“งอ-งู” เขาออกเสียงตามขณะเขียนตัวอักษรลงกระดาษ ให้หยกจับมือเขียนจนมั่นใจแล้วจึงลองเขียนด้วยตนเองอีกครั้ง “ตอ-เต่า งอ-งู ตอ-เต่า งอ-งู อ่านว่า ตงตง”

“เกือบถูกแล้ว แต่เมื่อจะประสมคำเป็นชื่อลื้อต้องมีสระโอะด้วย”

“สระโอะคืออะไร”

“สระโอะคือสระที่ทำให้พยัญชนะผสมกันออกมาเป็นหนึ่งคำ”

“แล้วอะไรคือสระกับพยัญชนะ”

“ก็อย่าง ตอ-เต่า กับ งอ-งู เนี่ยเรียกกันว่าพยัญชนะ มีทั้งหมด ๔๔ ตัว ส่วนสระมี ๒๑ รูป”

“โห เยอะขนาดนั้นเชียวรึ”

“ใช่”

“แล้วทำไมชื่ออั๊วถึงไม่เขียนสระโอะที่ลื้อว่าด้วยล่ะ”

“สระโอะจะหายไปเมื่อพยัญชนะ ๒ ตัวรวมกัน” หยกอธิบายไปยิ้มไปด้วยความเอ็นดู แต่ละคำถามของอาตงล้วนเป็นสิ่งที่เขาเคยถามคุณหนูมะลิมาก่อนแล้วทั้งสิ้น

“ฟังแล้วยากน่าดู ลื้อเก่งจัง”

“อั๊วยังไม่เก่งหรอก มีอะไรให้อั๊วต้องเรียนอีกเยอะ”

“เท่านี้ก็เก่งมากสำหรับอั๊วแล้ว” ตงตงปะเหลาะก่อนอ้อนขอ “ลื้อสอนอั๊วเขียนชื่อลื้อด้วยสิ”

“หึหึ ได้”

หนุ่มจับกังพยักหน้ารับก่อนจับมือตงตงลองหัดให้เขียนชื่อเขาบ้าง ปากคอยสอนคอยอธิบายเช่นเดิม กระทั่งเห็นว่าเขียนได้เองแล้วจึงแย่งดินสอมา

“อั๊วจะเขียนอะไรให้ลื้อ” หยกกระซิบชิดใบหูขาว ขีดตัวหนังสือลงกระดาษทีละตัวอย่างบรรจง เสร็จแล้วจึงยื่นให้อาตงดู “ลื้อรู้ไหมว่าอั๊วเขียนอะไร”

“หยก กับ ตงตง ใช่หรือไม่”

“ถูกต้องแล้ว”

อาตงมองตัวอักษรบนกระดาษสมุดจากฝีมือคนรักด้วยความประทับใจ ปลายนิ้วไล้ไปบนเส้นดินสอช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นถาม “หากแต่คำตรงกลางอ่านว่าอะไรหรือ อั๊วไม่รู้”

หยกยิ้มเอ็นดูคนขี้สงสัย เขาเลิกนั่งซ้อนหลังอาตงเพื่อให้มองสบสายตากันได้ก่อนจะสอนอีกหนึ่งคำ “ตัวนี้คือ รอ-เรือ ข้างบน รอ-เรือ คือไม้หันอากาศ ส่วนตัวนี้คือ...”

“กอ-ไก่ เหมือนในชื่อลื้อ อั๊วจำได้”

“ใช่”

“พอแล้วกันแล้วอ่านได้ว่าอย่างไร”

“รอ-ไม้หัน-กอ รวมกันเป็นคำว่า ‘รัก’ ”

“...”

“หยกรักตงตง” ถ้อยคำสั้นๆ ถูกเอ่ยออกมาหนักแน่นไม่แพ้สายตาคมกล้าที่จ้องมองมา “รักอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักชอบใครสักคนได้”

หัวใจอาตงเต้นเร็วไม่ต่างจากค่ำคืนแรกที่พวกเขาร่วมหลับนอน เปลือกตาบางหลุบต่ำยามใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้กระทั่งริมฝีปากแนบชิดกัน

“อื้อ...” ชายหนุ่มปล่อยเสียงครางเล็ดลอดออกมาเมื่อพวกเขาต่างเปิดปากขยับองศาใบหน้าเข้าใกล้กันมากขึ้น ฝ่ามือเล็กบีบต้นแขนหนั่นหนาระบายความอึดอัดในกายที่กำลังก่อตัวขึ้น และแม้หยกยอมปล่อยให้เป็นอิสระแล้วแต่ตงตงยังวางมือไว้ที่เดิมคล้ายไม่ต้องการให้พวกเขาแยกจากกัน

ดวงตาสองคู่มองผ่านแสงสลัวจากตะเกียงดวงน้อย ต่างเข้าใจความนัยแม้ไร้ถ้อยคำเอื้อนเอ่ยใดๆ แขนยาวเอื้อมออกมาดับไฟตะเกียงจนห้องพักมืดสนิท แล้วจึงจัดการช้อนตัวตงตงขึ้นอุ้มเข้าเอวไม่ต่างจากอุ้มเด็กน้อย กระเตงมาพักแผ่นหลังบางแนบผนังห้อง ใช้ปากอิ่มประทับชิมรสหวานบนใบหน้าละมุนลากไล้ลงมาถึงลำคอไม่ว่างเว้น ขณะมือใหญ่สอดเข้าเอวกางเกงผ้าแพร กระตุกเชือกผูกเบาๆ ให้ผ้ารั้งลงมาสัมผัสผิวเนียนถนัดถนี่

“หยก...”

“อื้อ”

“อาหยง”

“วันนี้อีฝืนนอนดึก หลับไม่รู้เรื่องหรอก”

“อืม”

แม้ตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างเมื่อต้องทำรักในห้องที่มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ร่วมด้วย แต่หากให้หยุดตอนนี้ตงตงไม่สามารถทำได้เช่นกัน พวกเขาปลดปล่อยร่างกายให้ขยับเคลื่อนด้วยปรารถนาภายในจิตใจ สัมผัสกันและกันราวพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายเพื่อบอกว่าต่างรักกันมากแค่ไหน


 
เสียงไก่ขันช่วงฟ้าใกล้สางปลุกตงตงให้ตื่นก่อนอีกสองชีวิตบนเตียง เขาตวัดผ้าห่มผืนบางออกจากตัว เลิกมุ้งขึ้นย่องลงจากเตียงค่อยๆ เดินฝ่าความมืดมาที่โต๊ะตัวเดียวกับเมื่อคืน สมุดเล่มเดิมยังเปิดทิ้งไว้ให้เห็นตัวหนังสือที่พวกเขาต่างขีดเขียนลงไปบนนั้น

ตาเรียวมองข้อความบอกรักของหยกขณะเผยยิ้มกว้าง ปลายนิ้วมนลูบเหนือรอยดินสอซ้ำไปซ้ำมา ก่อนตัดสินใจฉีกส่วนนั้นออกมาจากเล่มยกขึ้นแนบริมฝีปาก แล้วหย่อนใส่ถุงเครื่องรางประจำตัวที่คนรักเคยให้เมื่อครั้งยังเด็ก

“ทำอะไรน่ะ”

“ไอ้หยา!”

อาตงอุทานเสียงลั่นเมื่อมือร้อนแปะเข้าที่เอวพร้อมเสียงกระซิบข้างหู พอหันไปเจอหยกยืนซ้อนหลังหัวเราะชอบใจจึงจัดการฟาดอกเปลือยเปล่าไปเต็มแรงหนึ่งที

“เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง อั๊วตกใจหมด นึกว่าโดนผีหลอก”

“ผีที่ไหนจะหล่ออย่างอั๊ว” ชมตัวเองหน้าไม่อาย สองมือก็ขยับลูบไล้ส่วนสัดร่างกายคนตัวเล็กในอ้อมกอด จับบีบนวดพลางซุกหน้ากับหลังคอขาวถูไถราวเป็นแมวตัวเขื่องอ้อนเจ้าของ “แล้วลื้อย่องตื่นมาทำการใด วันนี้ไม่ต้องไปไหนทำอะไรนี่”

“อาหยกอย่ารุ่มร่าม อื้อ... เดี๋ยวอาหยงตื่น เมื่อคืนได้ไปแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไม่พอหรอก อั๊วอยากได้ลื้อตลอดเวลา ไม่รู้เหรอ”

“ทะลึ่ง” จัดการตีมือหนาที่เริ่มซนล้วงเข้ามาใต้เสื้อ ก่อนดันให้หยกขยับถอยออกไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งก่อตัวขึ้นแนบชิดสะโพก

“หึๆๆ อั๊วไม่แกล้งแล้ว” หนุ่มจับกังยอมถอยแต่โดยดี มิวายฉวยขโมยจูบบนแก้มใสก่อนเดินไปเปิดหน้าต่าง

แสงรำไรเริ่มแต่งแต้มบนผืนฟ้ากอปรเสียงคนเริ่มลุกมาทำกิน หยกสูดอากาศยามเช้าจนชุ่มปอดก่อนหมุนตัวกลับมา เห็นตงตงเริ่มลงมือเก็บมุ้งแม้ว่าหยงหย่งยังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง กอดตุ๊กตาเน่าที่หนุ่มงิ้วเย็บให้ตั้งแต่ถูกขายมาอยู่นี่ไม่ยอมปล่อย

เขายิ้มให้ภาพนั้นจึงค่อยเดินไปช่วยอีกคนเก็บเตียง “ลื้อจะไม่บอกอั๊วจริงๆ เหรอว่าทำอะไรเมื่อกี้”

“ไม่ได้มีอะไรสำคัญ แค่...ฉีกกระดาษที่ลื้อเขียนให้อั๊วเมื่อคืนเก็บไว้”

“...”

“จะได้เหมือนมีลื้ออยู่ด้วยกันตลอด” มือบางตบฟูกนอนเบาๆ ก่อนเลยไปลูบหลังเล็กๆ ของอาหยง “ตอนนี้อั๊วเข้าใจแล้วว่าทำไมอาเหมยถึงหนีตามอาลั้ง ตื่นก็คิด กินก็คิด ทำงานก็คิด ก่อนนอนก็ยังคิดอยากอยู่ใกล้กันตลอดเวลา ความรักเห็นเป็นเช่นนี้เอง”

“อั๊วรอได้”

ใบหน้างามเหลียวมองคนรักที่ยังคงยืนยันคำเดิมตลอดมาด้วยนัยน์ตาหนักแน่น สองสิ่งนี้สร้างความเชื่อมั่นให้ตงตงเสมอว่าหยกจะไม่มีวันไปไหนจากเขา หากเป็นเขาเองที่ไม่เคยมอบความเชื่อมั่นให้อีกคนเลยนอกจากความหวังลมๆ แล้งๆ

“ก่อนตรุษจีนปีหน้าอั๊วจะดันอามิ้งขึ้นเป็นนางเอกแทนอั๊ว แล้วไถ่ตัวเราสองคนกับอาหยงออกจากโรงงิ้วไปอยู่ข้างนอกด้วยกันนะ”

“อาตง...ลื้อแน่ใจหรือ”

“อืม...” เขาพยักหน้า “อั๊วไม่อยากให้ลื้อรอแล้ว”

ตงตงไม่อยากเชื่อเลยว่าเพียงคำพูดสั้นๆ ของตนจะสร้างรอยยิ้มงดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นจากหยกได้ ริมฝีปากหนาฉีกออกกว้างดันแก้มขึ้นจนนัยน์ตาโตหรี่ยิบหยีเหมือนมีดาวนับล้านเปล่งประกายอยู่ในนั้น ภาพตรงหน้ากลายเป็นตราประทับลงบนหัวใจดวงน้อยอย่างไม่มีวันลบเลือน

ไม่ว่าวันเวลาจะผันไปเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ตาม...
 
 
 
(ต่อ)

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
ทุกครั้งหลังเสร็จสิ้นการแสดงคนในโรงงิ้วจะหยุดทำงานกันหนึ่งวัน หยกเองก็หยุดงานรับจ้างข้างนอกด้วยเช่นกันเพื่อใช้เวลาว่างออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับตงตงและหยงหย่ง หากบางครั้งเลี่ยงไม่ได้ต้องรับงานกะทันหัน อย่างเช่นวันนี้ที่ภัตตาคารของเถ้าแก่โง้วคนขาดจึงให้เด็กมาเรียกจับกังหนุ่มไปช่วยตั้งแต่สาย อาตงกับอาหยงจึงต้องหาอะไรทำอยู่ในโรงงิ้วกันสองคนแทนที่จะได้ซ้อนท้ายจักรยานคันสูงไปเที่ยวเล่นอย่างทุกที

ทั้งสองช่วยกันเก็บกวาดห้อง หอบผ้ามาซักตากจนเสร็จ จนตงตงเห็นว่าไม่มีกิจใดให้ทำแล้วจึงจูงมือหยงหย่งออกไปซื้อขนมกินเล่นที่ตลาด ไม่พลาดซื้อกับข้าวกลับมาให้หยกไว้กินตอนกลางคืนหลังเสร็จงานด้วย

ตกบ่ายกลับมาเด็กน้อยชักเหนื่อยงอแงจึงจับนอนกลางวันเสียแล้วตั้งใจจะงีบเอาแรงบ้าง หากพอคิดจะเอนหลังลงตามเด็กน้อยไปเจ้าคณะก็ใช้เด็กมาตามพอดี เขาเห็นว่าได้โอกาสปรึกษาเรื่องส่งเสริมอามิ้งจึงลงจากเตียงสวมรองเท้าเดินไปห้องทำงานเถ้าแก่ทันที

กลิ่นกำยานคละคุ้งทั่วห้องทำงานปิดทึบ ตงตงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สลักเมื่อเถ้าแก่ผายมือเชื้อเชิญ ก่อนจะสังเกตเห็นชุดกี่เพ้าผู้ชายสีกรมท่าพิมพ์ลายนกกระเรียนแขวนอยู่ด้านหลัง หนแรกคิดไปว่าเป็นชุดของเถ้าแก่หากพิจารณาจากขนาดแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะสวมใส่ได้ กระทั่งความเฉลยว่าแท้จริงเป็นชุดของเขาเอง

“คุณหลวงเทิดอีซื้อให้ลื้อ”

“ให้อั๊ว” ตาเรียนเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เนื่องในโอกาสอะไรหรือเถ้าแก่”

“ไม่มีอะไรหรอก อีแค่อยากให้ลื้อเฉยๆ ผ่านเจออีคิดเห็นว่าเหมาะกับลื้อดี ลื้อชอบไหมล่ะ”

“อื้อ สวยดี”

“งั้นลื้อก็สวมไปขอบคุณอีเย็นนี้หน่อยสิ”

“เถ้าแก่ว่าอย่างไรนะ” ใบหน้าสวยเอียงถามด้วยความตกใจ รู้ทันว่าเถ้าแก่หมายถึงเรื่องใด

“อีอยากให้ลื้อไปกินข้าวด้วยเย็นนี้ ประเดี๋ยวสักห้าโมงจะให้คนรถมารับ”

“เดี๋ยวก่อนเถ้าแก่ อั๊วไม่...”

“อาตง” เถ้าแก่ใหญ่เอ่ยขัดก่อนนักแสดงหนุ่มจะได้ปฏิเสธ “ถือว่าทำเพื่อปากท้องพวกเราทั้งหมดในโรงงิ้วเถอะนะ ลื้อก็รู้ว่างิ้วไม่ได้นิยมเหมือนก่อนแล้ว หากลื้อทำให้คุณหลวงอีอุปถัมภ์คณะเราได้พวกเราก็จะพลอยสบายไปด้วยกันหมด”

ตงตงพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ได้ยินไม่เกินจริง “แต่ว่า...อั๊วจะทำได้อย่างไร อั๊วมิใช่อย่างพวกเจ๊ลั้ง”

“ไม่เป็นไรหรอก อีคงแค่ถูกใจลื้ออยากได้เป็นเพื่อนเที่ยวเล่นเฉยๆ กระมัง ไม่อย่างนั้นคงสั่งให้ลื้อแต่งเป็นเองไห่ไปหาอีแล้ว”

แม้ยกภูเขาออกจากอกได้หนึ่งลูกแต่หาใช่ว่าจะลดความกังวลลงได้ ตงตงถอนใจด้วยความอัดอั้น ในหัวสับสนวุ่นวาย สุดท้ายจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดไว้ “ปีหน้าอั๊วจะให้อามิ้งขึ้นเป็นนางเอกแทนอั๊ว หน่วยก้านอีดี เคี่ยวเข็ญสักหน่อยก็ใช้งานได้”

“แล้วแต่ลื้อเห็นควรเถอะ หากตอนนี้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดดีกว่า เดี๋ยวไม่ทันคนรถคุณหลวงมารับ”

ตงตงจงใจถอนใจเสียงดังให้เถ้าแก่รู้ว่าไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็สำเหนียกได้ว่าทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น จึงลุกขึ้นคว้าเสื้อผ้าจากมือเจ้าคณะเดินกลับไปที่ห้อง



รถของหลวงเทิดขับมาจอดนิ่งหน้าโรงงิ้วห้าโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน ตงตงโบกมือลาอาหยงก่อนกำชับฝากเด็กชายกับอามิ้งอีกครั้งจนมั่นใจว่าอีกคนจะดูแลเด็กน้อยเป็นอย่างดี จึงยอมขึ้นนั่งตอนหลังของรถรอคนขับพาไปยังภัตตาคารที่นัดแนะไว้

ใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงยังจุดนัดหมาย หัวใจดวงน้อยเต้นเร็วเมื่อพบว่าถูกพามายังภัตตาคารเถ้าแก่โง้วที่เดียวกับที่อาหยกมาทำงานเช่นกัน ริมฝีปากบางแอบลอบยิ้มเล็กน้อยขณะก้าวขึ้นบันไดไปยังชั้นสามที่เป็นห้องอาหารส่วนตัว ทำทีสอดส่ายสายตาก่อนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเจอร่างสูงใหญ่กำลังเดินสวนตรงมา

“อาหยก” ส่งเสียงเรียกไม่เบานัก ขาเล็กรีบปราดเข้าหาปิดทางไม่ให้จับกังหนุ่มเดินลงครัวไปเสียก่อน

“อาตง ลื้อมาทำอะไรที่นี่”

“อั๊วมากินข้าวกับหลวงเทิดน่ะ”

“อ้อ อีอยู่ห้องบนชั้นสามมาตั้งแต่สามโมง ตอนนี้ชักเริ่มจะเมาแล้ว” หยกส่ายหัวระอาเมื่อนึกถึงลูกค้าชาวไทยชั้นบนสุดของร้าน ก่อนใช้ตาสำรวจอีกคน “ลื้อสวมเสื้อผ้าจากไหนกัน เหมาะกับลื้อมาก”

“หลวงเทิดอีซื้อให้นั่นแหละ อั๊วเลยต้องมากินข้าวเป็นเพื่อนอีแทนคำขอบคุณ”

“ดูแล้วลื้อได้นั่งเป็นเพื่อนอีจนร้านปิดแน่”

“ดีสิ ขากลับอั๊วจะได้ซ้อนท้ายจักรยานกลับพร้อมลื้อไง”

สิ้นประโยคหยกก็หลุดยิ้มเขิน รู้สึกตงตงน่ารักจนอยากดึงมาจูบให้หายมันเขี้ยว หากต้องหักห้ามใจแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน

เมื่อตงตงเดินขึ้นมาถึงชั้นสามไม่พบเด็กยืนหน้าห้องจึงเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป หลวงเทิดเริ่มเมามายแล้วอย่างหยกว่า แก้มของอดีตนักเรียนนอกแดงปลั่งหากสติยังครบถ้วนดีอยู่ เพียงเขาเห็นตงตงเดินเข้ามาก็ตบเก้าอี้ข้างกายเรียกให้ไปนั่งด้วย “ตงตงมานั่งนี่ มานั่งข้างๆ ฉันเร็ว”

“สวัสดีคุณหลวงขอรับ” เขายกมือไหว้ก่อนเดินไปนั่งตามคำชักชวน บนโต๊ะกลมเต็มไปด้วยอาหารราคาแพงน่าตาน่ากิน เห็นแล้วนึกอยากให้หยกกับหยงหย่งได้ลิ้มชิมรสบ้าง

“ตงตงรับประทานเยอะๆ เลยนะไม่ต้องเกรงใจฉัน นี่น่ะสั่งมาแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น”

“ขอบพระคุณคุณหลวงมากขอรับ”

เขายกมือไหว้อีกครั้งจึงค่อยหยิบตะเกียบคีบอาหารวางบนจาน กินบ้างนิดๆ หน่อยๆ ให้พอไม่น่าเกลียด พลางฟังอีกฝ่ายเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ ทั้งเรื่องที่เคยฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างวีรกรรมสมัยนั่งเรือไฟไปเรียนอังกฤษ หรือเรื่องใหม่อย่างการงานที่ทำอยู่ ใครเป็นใครบ้างในกรมกอง หรือแม้แต่นินทาเจ้านายชั้นสูงที่เป็นเพื่อนร่วมหัวจมท้ายกัน

ตงตงได้แต่เออออไปตามประสาตั้งแต่ฟ้าข้างนอกยังสว่างจนพระอาทิตย์ตกดิน คิดเสียว่าคุณหลวงคงจะเหงาจึงเรียกเขามาเป็นเพื่อนนั่งฟัง

“จะว่าตอนนี้ตงตงไม่ได้แต่งงิ้วแต่ก็ยังสวยอยู่ดี ไม่สิ...สวยกว่าตอนแต่งงิ้วเสียอีก”

คนถูกชมเหลือบตาขึ้นมอง เห็นว่าหลวงเทิดเมาหนักแล้วจึงพูดจาเลอะเทอะ กระนั้นก็ไม่ได้ท้วงติงอะไรเพราะไม่อยากขัดใจให้อารมณ์เสียเดี๋ยวจะพลอยเดือดร้อนกันไปหมด เขาเพียงยิ้มบางก่อนใช้ตะเกียบกลางคีบขาห่านวางลงบนจานข้าวให้โดยไม่นึกว่าจะถูกคุณหลวงยึดมือเอาไว้

“คุณหลวงปล่อยเถอะขอรับ ใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี ยิ่งเป็นชายเหมือนกันยิ่งไม่ควร”

ตงตงใจหายวาบ ละล่ำละลั่กพูดให้อีกคนคิดตาม หากหลวงเทิดน่าจะถูกฤทธิ์สุราครอบงำเสียแล้วจึงหาได้ใส่ใจไม่

“จริงๆ นะ เธอสวยยิ่งกว่าครั้งแรกที่ฉันเจอบนเวทีงิ้วเสียอีก”

“ทราบแล้วขอรับ ฉะนั้นได้โปรดปล่อยเถอะขอรับ”

แม้พยายามท้วงติงทว่าหลวงเทิดกลับยิ่งบีบแน่นขึ้น ซ้ำยังใช้แรงบังคับดึงให้ตงตงเข้าหาตัวจนแนบชิดกัน หนุ่มงิ้วกลั้นหายใจทันทีเมื่อกลิ่นสุราเหม็นโฉ่เตะเข้านาสิกเต็มๆ

“ชุดที่สวมวันนี้ก็เหมาะกับเธอมาก คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ซื้อให้”

ตงตงเห็นแล้วว่าหลวงเทิดหาสนใจการขัดขืนของตนไม่ จึงแสร้งมารยาทำทีเขินอายหันหน้าหนีห่างก่อนบังคับปากตอบ “กระผมก็ชอบมากขอรับ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”

“เธอชอบฉันก็ดีใจ” หลวงเทิดก้มใบหน้าลงกระซิบชิดใบหูขาวแล้วจึงยอมปล่อยตงตงเป็นอิสระ นั่งเงียบร่ำสุราอีกหนึ่งแก้วก็ลุกขึ้นบ่นว่าตนเมามากแล้วก่อนขอตัวไปสุขา

ลับหลังอีกคนตงตงถึงกับถอนหายใจหนัก วันนี้คุณหลวงช่างรุ่มร่ามพาลอึดอัดไปหมดจนนึกอยากกลับไวกว่าทุกที เงยดูนาฬิกาบนผนังเห็นว่าเริ่มดึกแล้ว คิดว่าทนอีกไม่นานจะได้กลับคณะพร้อมหยกก็พอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

ครู่ใหญ่หลวงเทิดกลับเข้าห้องมาดูมีสติกว่าเมื่อครั้งออกไป หนุ่มงิ้วคิดว่านั่งอีกพักหนึ่งให้ดื่มสุราอีกสักสองแก้วค่อยตะล่อมชวนอีกคนกลับน่าจะดี หากแทนคุณหลวงจะเดินลงนั่งเก้าอี้ตัว เขากลับหยุดยืนซ้อนหลังตงตง วิสาสะใช้สองมือวางบนไหล่ก่อนฉวยโอกาสก้มลงจูบแก้มขาวเนียน

ตงตงร้องอุทานเสียงดัง ผุดลุกขึ้นเผชิญหน้าหวังปกป้องตนเอง หารู้ไม่ว่ากลับเปิดทางให้อีกคนพุ่งเข้ากอดรัดได้ถนัดขึ้น ถึงตรงนี้ก็หมดความอดทน ใช้สองมือปัดป้องพลางก่นด่าอีกคนที่ล่วงเกินร่างกายตน ไม่คำนึงถึงบรรดาศักดิ์ต่างชนชั้นระหว่างกันอีกต่อไป

“ปล่อยอั๊วนะ อั๊วไม่ใช่พวกเฉ้าลก ลื้อจะทำอย่างนี้กับอั๊วไม่ได้”

“อย่าเล่นตัวนักเลย พวกไอ้อีเจ๊กเล่นงิ้วก็หากินในโคมเขียวกันทั้งนั้นแหละ”

“ลื้อจะดูถูกกันเกินไปแล้วนะ”

“แล้วเจ๊กอย่างพวกแกมีอะไรให้ยกย่อง ฉันเป็นใครแกเป็นใครหัดสำเหนียกตัวเสียบ้าง ยอมเป็นเมียฉันดีๆ สบายไปทั้งชาติไม่อยากเป็นหรือไง”

“อั๊วก็มีสองมือสองเท้าเหมือนลื้อ ไม่ได้เป็นง่อยทำมาหากินเองได้ ไม่หวังพึ่งเศษเงินลื้อหรอก ปล่อยอั๊วเดียวนี้นะไม่งั้นอั๊วจะตะโกนเรียกคนทั้งภัตตาคารให้มามุงดู ให้พูดกันไปทั้งพระนครเลยว่าหลวงเทิดชอบผู้ชาย”

ยิ่งถูกพูดดูถูกใส่ตงตงยิ่งสู้ยิบตา ขณะเดียวกันก็ลืมนึกไปว่าคำพูดตนจะสุมไฟในตัวหลวงเทิดให้ลุกโชนเช่นกัน

สองหนุ่มยื้อยุดชุดกระชากกันไปมาจนเก้าอี้ล้มเสียงสนั่น ตงตงตกใจเผลอหันไปดูจึงพลาดท่าเสียทีถูกดันชนขอบโต๊ะอาหารบั้นเอวกระแทกเข้าเต็มแรง เขาเจ็บจนเข่าอ่อนเผลอทรุดนั่งยองกับพื้น พอนึกได้เงยหน้าขึ้นเห็นหลวงเทิดเตรียมตะครุบลงมา รีบเอื้อมมือขึ้นโต๊ะอาหารกวาดคว้าอะไรติดมือมาได้ก็จับฟาดเปรี้ยงเข้าที่อีกฝ่ายเต็มแรงจนล้มแน่นิ่งไป

สิ้นเสียงแตกเพล้งก้องห้องอาหาร เลือดสีแดงสดก็ค่อยๆ ออกมาจากศีรษะหลวงเทิดแผ่กระจายบนพื้นกระเบื้อง อาบท่วมเศษแก้วน้อยใหญ่ที่เมื่อครู่มีสภาพเป็นขวดเหล้านอกราคาแพง

ตงตงช็อกจัด หงายหลังก้นจ้ำเบ้ากับพื้นนั่งตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก คิดกลัวแต่ว่าหลวงเทิดจะตาย

“อาตง” หยกโผล่เข้ามาตอนไหนไม่อาจทราบได้ หากเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็รีบปราดเข้าหาคนรักดึงอีกคนเข้ามากอดแนบอกพลางสำรวจร่างกายหาบาดแผล

“หยก...”

“ไม่ต้องกลัวนะ อั๊วอยู่นี่แล้ว”

“อี... อั๊วฆ่าอี...”

“ลื้อใจเย็นๆ ก่อน หายใจเข้าลึกๆ” ฝ่ามือใหญ่ลูบประโลมแผ่นหลังบางขึ้นลงจนตงตงหายใจเป็นจังหวะจึงผละออกมาดูหลวงเทิด
หยกยื่นนิ้วชี้อังใต้จมูกเห็นว่ายังหายใจจึงค่อยเบาใจ กระนั้นก็ประคองศีรษะพลิกหาบาดแผลตามที่เคยเห็นหมอยอห์นทำกับคนไข้ พิจารณาบาดแผลไม่ใหญ่แต่จำนวนเลือดทำให้ไม่อาจวางใจ จึงจัดการหาผ้าสะอาดบนโต๊ะเอามาห้ามไว้

“หยก... อี... เป็นไงบ้าง”

จับกังหนุ่มลุกมาช่วยพยุงตงตงยืนขึ้นประคองเดินออกไปนอกห้อง ระหว่างนั้นก็บอกแก่คนรักตามจริง “อียังไม่ตาย แต่ฟื้นขึ้นมาอีเอาลื้อขังคุกแน่”

“ละ...แล้วอั๊วจะทำอย่างไรดี”

“คงต้องรีบหนี เราอยู่นี่ไม่ได้แล้ว”

เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงโครมครามจึงเร่งรุดขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วงคนรัก เมื่อพบเหตุดังว่าก็มืดแปดด้านไปชั่วขณะ หยกเชื่อมั่นว่าตงตงผู้แสนอ่อนหวานไม่มีทางทำร้ายร่างกายหลวงเทิดโดยไร้สาเหตุ กระนั้นหากต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเจ๊กอย่างพวกเขามีหรือจะสู้เจ้านายมียศศักดิ์อย่างหลวงเทิดได้ ซ้ำหากอีกฝ่ายผู้ใจเจ็บพลอยแต่จะพาลโดนรังแกจนชิบหายกันไปหมด

หยกลอบพาตงตงหนีออกทางหลังร้าน หูได้ยินเสียงคนข้างในเริ่มวิ่งขึ้นวิ่งลงบันได คิดว่าอีกไม่นานคงรู้กันหมดว่าหลวงเทิดถูกทำร้าย สักพักคงแจ้งโปลิศตามหาตงตงกับเขาให้วุ่น

“อั๊วไม่ได้ตั้งใจ อี...อีจะทำร้ายอั๊ว” ตงตงก้มหน้าซุกแผ่นหลังกว้างร้องไห้ ขณะหยกพาเขาซ้อนท้ายจักรยานปั่นหนีออกมาจากภัตตาคารได้แล้ว นึกแต่โทษตนเองที่ไม่นึกอดทนให้มากกว่านี้

“อั๊วรู้แล้ว แต่ตอนนี้อั๊วยังปลอบลื้อไม่ได้ ลื้ออย่าเพิ่งร้องไห้เลยนะ”

“ฮือ...อั๊วขอโทษ... อั๊วขอโทษ”


 
ซ้อนท้ายจักรยานอยู่นานในที่สุดหยกก็ใช้สองเท้าแตะพื้นห้ามล้อ ตงตงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เห็นสถานที่ไม่คุ้นเคยก็นึกกังวล หากไม่ทันเปิดปากถามก็ถูกหยกจูงมือให้เดินตามไปเสียก่อน เขาถูกอีกคนพามาหยุดยืนหน้าศาลเจ้าเล็กๆ ติดเจ้าพระยา เงยขึ้นมองเสี้ยวหน้าด้านข้างคนตัวสูงเห็นเพียงใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด

หยกลอบเปิดประตูศาล มองซ้ายมองขวาหาที่ทางลับตาคนก่อนจับตงตงไปซ่อน จังหวะดันคนตัวเล็กกว่าให้เข้าไปด้านในซอกหลังเทพเจ้าประธาน เห็นสายตาวูบไหวจากคนรักที่เหมือนนึกรู้ว่าเขาคิดทำเช่นไรก็อดใจหายไม่ได้

“ลื้อจะทิ้งอั๊วเหรอ” ตงตงเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเมื่อไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากอีกคน น้ำใสเอ่อคลอนัยน์ตาสวยจนภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด

“ลื้อรออั๊วอยู่ที่นี่อย่าไปไหน อั๊วจะรีบกลับมา”

“ลื้อจะไปไหน ไม่พาอั๊วหนีแล้วหรือ”

“อั๊ว...” ฝ่ามือหยาบกร้านจากการทำงานหนักยกขึ้นแตะแก้มขาวทะนุถนอม ไล้หัวแม่มือพยายามลบคราบน้ำตาให้อีกคนแผ่วเบา กระนั้นกลับป้ายสีเลือดบนมือลงใต้ตาเรียวให้ยิ่งดูน่าสงสาร “อั๊วทิ้งอาหยงไม่ได้ อั๊วจะไปพาอีมาหนีไปพร้อมกันกับเรา”

ตงตงได้แต่กล้ำกลืนฝืนน้ำตาเมื่อฟังคำตอบจากปากคนรัก สองมือยกขึ้นจับข้อมืออาหยกแน่น “ละ...ลื้อรีบไปรีบพาอาหยงมาหาอั๊วนะ”

“อื้อ”



ตงตงไม่อาจล่วงรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดที่เขาหลบซ่อนอยู่หลังเทพเจ้าประธานเช่นนี้ ในความรู้สึกนั้นแสนเนิ่นนานหากความจริงอาจเพียงไม่กี่ครึ่งโมงยามเท่านั้น มือข้างหนึ่งกำถุงเครื่องรางแน่นพยายามยึดเหนี่ยวจิตใจไว้แม้มั่นใจว่าหยกจะไม่มีวันทอดทิ้งตนเพียงลำพังแน่นอน

จะว่าไปชะตาชีวิตเขาช่างตลก เมื่อเช้าเพิ่งเอ่ยจะวางมือจากคณะงิ้ว ตกดึกเทพเจ้าดลบันดาลให้สมหวังทันใจ ลองคิดวาดฝันภาพข้างหน้าพวกเขาสามคนมีชีวิตใหม่อยู่สักแห่งหนไหน อาหยกขายเป็ดตามความฝันมีเขาคอยช่วยอีกคนอยู่ข้างๆ เก็บเงินส่งอาหยงเรียนหนังสือก็พอยิ้มออกได้บ้าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

ชายหนุ่มอยู่คนเดียวจนฟุ้งซ่านกระทั่งได้ยินเสียงกุกกักจากด้านนอก ใบหน้านวลหันขวับไปยังต้นทางจวบจนเห็นแสงสว่างลอดเข้ามา จึงรีบแนบกายเข้ากับช่องว่างหลังเทพเจ้าประธาน

“อาตง... อาตงอยู่ไหม”

เสียงกระซิบเรียกชื่อตนควรทำให้ตงตงดีใจหาใช่ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มเช่นนี้ เมื่อเสียงที่ได้ยินหาใช่มาจากคนที่ตนรอคอยไม่ ความหวาดกลัวกลับเข้าครอบงำมือเท้าพลันเย็นเยียบ เขาไม่กล้าขยับได้แต่ทำตัวลีบตัวแข็งเกร็งนิ่ง แม้เสียงเรียกหาตนและเสียงฝีเท้าจะก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หวั่นเป็นคนจากหลวงเทิดมาตามหา

“อาตงอยู่ไหนออกมาเถอะ อาหยกอีจะไม่ไหวแล้ว”

ชื่อคนรักหาได้สร้างความกังวลได้เท่าสิ่งที่ผู้พูดอ้างตามมา ตงตงเกิดความลังเล ขณะสองจิตสองใจก็ได้ยินเสียงลากฝีเท้าดังตามมาจากด้านนอก

“อาคุน หาอาตงเจอไหม”

“ยังไม่เจอ ลื้อจำไม่ผิดนะว่าพาอีมาไว้ที่นี่ แล้วลื้อเดินมาไหวรึ”

“ช่างอั๊วก่อน อาตงอยู่นี่แหละ ลื้อไปดูหลังประธานซิ”

ไม่รอให้เดินค้นถึงเทพเจ้าประธานตงตงก็ผุดออกจากที่ซ่อนทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนรัก ใบหน้าขาวตื่นตระหนกหากวิ่งโผเข้าหาหยกทันทีที่เห็นหน้า

“อาหยก...”

“อาตง...อั๊วขอโทษที่ให้รอ ไม่มีเวลาแล้วรีบไปเถอะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงหนุ่มจับกังรีบจับตงตงถูลู่ถูกังพากันออกมาจากศาลเจ้า

ตงตงสังเกตสีหน้าอีกคนไม่ใคร่ดีนัก มือก็เย็นไม่อุ่นร้อนเช่นทุกที จะเปิดปากถามก็ไม่มีโอกาสได้แต่เดินตามไปจนเจอสามล้อเก่าๆ คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ เสียงร้องไห้ของหยงหย่งที่ถูกจับห่อผ้าห่มอยู่บนเบาะดังมาแต่ไกล

“อาหยง” เขารีบโผเข้าหาเด็กน้อย อุ้มอีกฝ่ายมากอดตบตูดตบหลังปลอบได้สองสามทีหยกก็บอกให้ขึ้นรถเสีย เมื่อพร้อมกันหมดแล้วอาคุนจึงถีบสามล้อให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้า หนนั้นอาตงจึงได้เปิดปากถามหาความ “เกิดอะไรขึ้นรึ ทำไมลื้อถึงมากับสามล้อได้”

“นี่อาคุนเพื่อนอั๊วเอง อีจะช่วยพาลื้อไปส่ง”

“ลื้อคิดจะไปไหน”

“พาลื้อกับอาหยงไปบ้านหมอยอห์น”

“หมายความอย่างไร”

สีหน้าหยกยามนี้ช่างฝืนกลืน และแม้หยงหย่งบนตักตงตงจะร้องไห้สะอึกสะอื้นจนกลัวขาดใจตาย ดวงตากลมโตก็ไม่มองสบอย่างเคยจนหนุ่มงิ้วกลัวจับใจ

“ลื้อฟังอั๊วนะ”

“ลื้อจะทิ้งอั๊วกับอาหยงใช่ไหม” ตงตงแทรกขึ้นทันทีด้วยความหวาดกลัว

“พอไปถึงลื้อก็เอาจดหมายฉบับนี้ให้หมอยอห์น” หยกไม่ปฏิเสธ เขายื่นกระดาษเปื้อนเลือดพับครึ่งแผ่นหนึ่งให้ “ส่วนนี่เงินที่อั๊วเก็บไว้ทั้งหมด ลื้อรักษาไว้ให้ดี”

“หมายความว่าอย่างไร”

“อั๊วขอโทษ” ใบหน้าคมสันต์ยอมหันกลับมาหากันในที่สุด นัยน์ตาฉายความอาวรณ์ออกมาเด่นชัดท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง “อั๊วไปกับลื้อได้แค่นี้”

“ทำไม...”

“วาสนาอั๊วน้อยนิดมีโอกาสอยู่กับลื้อได้ไม่นาน หากชาติหน้าเราสองคนได้เกิดมาเจอกันอีกคงดี...อั๊วสัญญาจะอยู่กับลื้อให้นานกว่าชาตินี้” น้ำตาเม็ดโตกลิ้งหล่นตามกรอบหน้าขาวจนกระดาษที่ถืออยู่เปียกเป็นดวงๆ กระนั้นคนที่บอกว่าตนกำลังจากไปไกลแสนไกลยังคงเอื้อมมือขึ้นเช็ดปาดน้ำตาให้ “จากนี้ไปอั๊วคงปลอบลื้อไม่ได้อีกแล้ว ขอโทษนะ”

สามล้อถีบเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเท่าที่จะเร็วได้ สายลมตีพาลให้กายหนาวสั่นจนต้องเบียดตัวเข้าหา หยงหย่งเด็กน้อยร้องไห้จนหลับไปในที่สุด

หยกโอบกอดไหล่บางไว้ก้มลงพรมจูบบนกลุ่มผมหนา เมื่อแนบชิดกันตงตงจึงสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเป็นวงกว้างบนเอวสอบ กลิ่นสนิมตีขึ้นมาให้แน่ใจว่าเป็นสิ่งใดพลอยให้จิตใจยิ่งดำดิ่ง

“เจ็บมากไหม”

“ไม่เจ็บแล้วล่ะ”

“ดีแล้ว” เขาว่าเหลือบมองจันทร์บนฟ้าแวบหนึ่งก่อนหันมองคนข้างกาย “นี่อาหยก”

“หืม...”

“ถึงอั๊วจะไม่เคยบอกลื้อ แต่อั๊วก็รักลื้อมาก ลื้อรู้ใช่ไหม”

“รู้สิ รู้มาตลอดนั่นแหละว่าลื้อรักอั๊วเหมือนที่อั๊วรักลื้อ”

“หึๆ ดีจริงที่ได้รักลื้อ”

ตงตงยิ้มออกในที่สุด ศีรษะทุยโน้มลงพักบนไหล่กว้าง อีกครั้งที่หนุ่มงิ้วรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้า หากคงดีกว่านี้ถ้าสามารถหยุดทุกอย่างลงได้ตรงนี้ที่ยังมีเขาและอาหยกอยู่เคียงกัน

“อาหยก...” ตงตงเรียกคนรักอีกครั้งหากไร้เสียงขานรับอย่างทุกที “อั๊วน่ะถ้าไม่มีลื้อก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกันนะ เพราะงั้นน่ะ...”
 
 
 
ตงตงผูกถุงเงินกับจดหมายที่หยกเขียนฝากให้หมอยอห์นเก็บไว้ในห่อผ้าห่มตัวหยงหย่ง ตรวจดูจนมั่นใจว่าจะไม่หล่นหาย จึงเงยหน้าขึ้นมองอาคุนมิตรแท้ของหยกที่ยอมเสี่ยงช่วยเหลือกันยามยาก

“อั๊วฝากอีด้วยนะอาคุน”

“ลื้อ...คิดดีแล้วรึ” สีหน้าคนถีบสามล้อไม่สู้ดีนักเมื่อรู้ว่าตงตงคิดทำการใด

“พวกอั๊วไม่มีญาติมิตรที่ไหนให้ห่วงหาอาวรณ์ มีแค่สองคนกันมาตลอดและคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป”

“แล้วอาหยงเล่า อียังเล็กนัก ขาดอาหยกแล้วต้องขาดลื้ออีกอีจะรู้สึกยังไง”

“อั๊วคงทำได้แค่ส่งอีไปอยู่กับหมอยอห์นตามความต้องการอาหยก ชีวิตอีคงได้ดีกว่าอยู่กับอั๊ว อั๊วรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวแต่ได้โปรดเข้าใจอั๊วด้วยเถอะนะ”

เมื่อสบตาแน่วแน่ของตงตงแล้วอาคุนจำต้องยอมรับการตัดสินใจ เขาคุกเข่าลงตรงหน้าหยกประกบมือสาบานกับร่างไร้วิญญาณว่าจักส่งหยงหย่งให้ถึงมือหมอฝรั่ง แล้วจึงลุกขึ้นตบบ่าตงตงก่อนขึ้นรถถีบทำตามคำขอสุดท้ายของหยกให้เป็นจริง แม้ทำได้เพียงแค่ครึ่งเดียวก็ตาม

ตงตงมองส่งจนหลังคาสามล้อลับหายไปในความมืด ยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งถึงหันกลับมา ยกหลังมือปาดเช็ดน้ำนองบนใบหน้าให้หลงเหลือเพียงความเด็ดเดี่ยวเท่านั้น

เขาลงนั่งคุกเข่าหน้าอาหยก ยื่นสองมือจับกุมมือหนาเย็นเยียบไว้แน่น จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ดวงตากลมโตสุกใสปิดสนิท

“ชาตินี้เราสองวาสนาน้อยนิดอย่างลื้อว่า อั๊วจึงทำได้เพียงขอติดตามลื้อไปปรโลกให้เราสองกลายเป็นผีเสื้อครองคู่ในโลกหน้าเช่นเหลี่ยวตันบ๊กกับต๊กเองไห่ และหากชาติหน้ามีจริงอั๊วหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกดั่งคำอธิษฐานของลื้อเพื่อชดเชยเวลาในชาตินี้ที่หาได้มีโอกาสใช้”

ชายหนุ่มวางมือคนรักคืนบนหน้าตัก หยิบผ้าเช็ดปากจากกระเป๋าเสื้อผูกข้อมือพวกเขาทั้งสองไว้ด้วยกันจนแน่น ก่อนจะพยุงร่างอีกคนแบกขึ้นหลังเดินย้อนกลับไปยืนริมตลิ่ง

แม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนมืดมิดชวนหวาดหวั่นเมื่อไม่อาจหยั่งถึงก้นบึ้งได้ กระนั้นเงาจันทร์สุกสกาวบนผิวน้ำกลับช่วยปลอบประโลมให้ตงตงรู้สึกว่าใต้ผิวน้ำหาใช่สถานที่น่ากลัวไม่

ตงตงพลิกตัวหยกมากอดแนบแน่น วางคางบนบ่ากว้างเอนศีรษะซุกซบกัน ภายในหัวหวนนึกคิดถึงเรื่องราวแต่อดีตหนหลัง ตั้งแต่ถูกขายมาอยู่คณะงิ้วจนถึงบัดนี้ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เขาจะไร้เงาหยกเคียงกาย แม้แต่ตอนตายพวกเขาก็ยังได้อยู่ด้วยกัน ฉะนั้นแล้วเมื่อไม่หลงเหลือสิ่งใดให้อาวรณ์รอยยิ้มจึงถูกระบายบนใบหน้าสวยเป็นครั้งสุดท้าย

“มีอั๊วต้องมีลื้อ มีลื้อก็ต้องมีอั๊ว เราสองคนอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะ”

ท้ายสุดสองกายแนบชิดสนิทก่อนทิ้งลงสายน้ำไหลเชี่ยว พัดพาพวกเขาทั้งสองเดินทางสู่โลกหน้าไปพร้อมกัน...
 
 
 




 “...น ไ...น”

“...”

“ไอ้วิน! มึงไหวปะเนี่ย”

ธาวินกระพริบตาปริบ กว่ารู้ตัวว่าถูกเพื่อนตัวขาวจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนก็ตอนกำลังจะโดนเจญญาประทุษร้ายอีกครั้ง เขายกมือห้ามอีกคนขณะหอบหายใจหนัก ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนมึนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน กระทั่งเสียงดังช้งเช้งสะกิดลอยเข้าหู

ใบหน้าหวานละมุนหันไปตามทิศเสียง ถัดจากแถวเก้าอี้พลาสติกและผู้ชมประปรายปรากฏเวทีงิ้วแต้จิ๋ว นักแสดงในชุดเสื้อผ้าสีฉูดฉาดกำลังร้องรำท่ามทำนองดนตรีปลุกเร้า ตอนนั้นถึงจำได้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนตนกับเพื่อนสนิทพากันชักชวนเข้ามาดูงิ้วที่จัดแสดงช่วงงานตรุษจีนของเยาวราช

เด็กหนุ่มไม่รู้เพราะเหตุใดน้ำตาจึงพรั่งพรูไม่ขาดสาย ความเศร้าโศกถาโถมเข้าหาคับแน่นในอกจนปวดราวขาดใจตาย ยิ่งการแสดงดำเนินเท่าไหร่เขายิ่งทรมาน

เจญญาตาโตทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นธาวินเกิดอาการแปลกๆ ขึ้นอีกครั้ง ชั่วขณะที่นิสิตหนุ่มกำลังคิดว่าเพื่อนรักถูกผีโรงงิ้วเข้าสิงหรือไม่ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งกลับถูกยื่นมาตรงหน้าระหว่างพวกเขา

สองหนุ่มพร้อมใจมองไล่จากฝ่ามือใหญ่สีแทนขึ้นไปจนถึงกรอบหน้าคมสันต์เหนือระดับสายตา ใบหน้าหล่อเหลาของผู้มาใหม่เรียบนิ่งไม่แสดงอาการใด ทว่านัยน์ตากลมโตกลับปล่อยน้ำตาร่วงหยดลงมาไม่ต่างกันกับธาวิน

เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางอก น้ำตาแห้งเหือดโดยพลัน ความโศกศัลย์อาดูรกลับกลายเป็นความปีติยินดีขึ้นแทนที่

ธาวินคลี่ยิ้มเชื่องช้าไม่ต่างจากชายหนุ่มตรงหน้า ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมากุมไว้ทำให้เขาตัดสินใจซุกใบหน้าลงบนบ่ากว้าง ก่อนยินยอมให้ชายแปลกหน้าโอบกอดด้วยความยินดีท่วมท้นเหมือนพบเจอสิ่งที่ตามหามานานแสน
 
 
 
“ในที่สุดอั๊วก็เจอลื้อเสียที...อาตง”



จบ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยยยยยยยยจบดี๊แต่อยากให้มีต่ออีกให้จุใจเลย เป็นนิยายที่ดีมากกก สนุกจริง อิ่มเอมใจกับความรักของทั้้งคู่สู้ฝ่าฟันไปด้วยกันไม่ทิ้งกันเลย น้ำตาท่วมจออีกแล้ว ตอนจากไปด้วยกันก็ว่าหนักแล้ว แต่ตอนมาเจอกันชาตินี้ยิ่งไหลไม่หยุด ดีใจกับพวกเขามาก ฮื้อออออ  :hao5: :hao5: ขอบคุณผู้แต่งมากที่แต่งนิยายดราม่าหน่วงแบบนี้มาให้อ่าน ตามมาอ่านหลายเรื่องแล้ว บอกเลยน้ำตาท่วมจอทุกเรื่อง 5555  :pig4: :pig4: นิยายคุณดีจริง มาสายดราม่านี้ใช่เลย จะตามหาผลงานคุณอีก อย่าหยุดแต่งนะคะ  :call: :call:

ออฟไลน์ Fufufeel

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao5: :hao5: :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด