รักนะ
-BlackQueen-
ผมกอดร่างอุ่นข้างๆ แน่น ฝังจมูกลงกับท้ายทอยที่ผมถูกตัดสั้นเกรียนเพราะทรงอันเดอร์คัตของเจ้าตัว
"อะไร?"
"เปล่า" ผมกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีก กระซิบบอกความรู้สึกข้างหูเขา "รักนะครับ"
"รู้แล้วน่า" เขาพลิกตัวมาจ้องตาผมกลับ "รักเหมือนกัน"
"โดยเฉพาะ..." เขาเว้นช่วงไปในขณะที่มือไล้ต่ำลงไปกอบกุมเข้ากับความเป็นชายที่กำลังสงบนิ่งของผม "ตรงนี้"
สายตาวาววับเปิดเผยความต้องการเต็มที่ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะตอบสนองเขาได้ ผมเลยแค่ดึงเอาอีกคนเขามากอดแน่นแล้วหลับไป
เช้าที่ผมตื่นขึ้นมาก็อยู่เพียงลำพังเสียแล้ว ข้อความที่ถูกทิ้งไว้ในโทรศัพท์บอกว่าจะไปทำงาน ผมจึงเข้าห้องน้ำไปเตรียมเริ่มกิจกรรมประจำวันของตัวเองบ้าง
ผมชื่อ อีธาน เจ. วิลสัน เป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย เกิดและเติบโตในไทย ตอนนี้กำลังทำงานให้กับบริษัทส่งออกสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง เงินเดือนดี ชีวิตมีความมั่นคง ทุกอย่างสามัญธรรมดาเหมือนคนชนชั้นกลางทั่วๆไป
และผมมีแฟนหนุ่มคนหนึ่ง
เขาอายุมากกว่าผม ชื่อเจนทัพ และเขาให้ผมเรียกเขาว่าพี่โรม ความสัมพันธ์ของเราเรียบง่าย ได้เจอกันเพราะการร่วมงานระหว่างบริษัท คุยกันอยู่สักพักก็ตกลงคบหา ตลอดเวลากว่าปีครึ่งเราไม่เคยมีปัญหาใหญ่โตกันเลยสักครั้ง เราปล่อยที่ว่างให้อีกคนได้มีเวลาส่วนตัว ไม่เข้าไปก้าวก่าย ไม่กีดกัน ในหนึ่งสัปดาห์เราได้เจอกัน.. สักสามครั้งเห็นจะได้
“อีธาน เดี๋ยวออกไปหาลูกค้ากับพี่พลหน่อยนะ” พี่จิ๊บ เลขาของหัวหน้าถือแฟ้มเอกสารมายัดใส่มือผมที่กำลังชงกาแฟ “ฝากด้วยนะ เดี๋ยวพี่ต้องไปเตรียมเอกสารการประชุมแล้ว” ว่าจบสาวร่างเล็กที่จ้ำอ้าวกลับโต๊ะไปด้วยความเร็วสูงที่ผมสงสัยมากว่าทำได้อย่างไรเมื่อใส่รองเท้าส้นเข็มแหลมปรี๊ดขนาดนั้น
“อีธาน!” ยังไม่ทันได้จิบกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จก็ถูกพี่พลเรียกตัว เขายืนรออยู่ที่ประตู มือหนึ่งถือเสื้อสูทตัวนอกพร้อมกระเป๋าเอกสารรออยู่แล้ว สีหน้าและท่าทางดูรีบร้อน ผมรู้ได้ทันทีว่าเป็นงานด่วน
“ครับ” ผมตอบรับ มือหนึ่งหอบแฟ้มเอกสารที่เพิ่งได้จากพี่จิ๊บ อีกมือถือแก้วกาแฟที่ยังไม่ได้กินรีบเดินไปสมทบกับพี่พล ระหว่างทางก็วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะไอ้ตี๋ เพื่อนสนิทที่กำลังจะกลายร่างเป็นซอมบี้เพราะการทำงานหนักตลอดสามวันที่ผ่านมา มันมองผมด้วยสายตาแปลกใจ ก็น่าแปลกใจอยู่หรอก เพราะผมไม่เคยทำอะไรที่เหมือนเป็นการห่วงใยคนอื่นเลยสักครั้ง
“กูแดกไม่ทันแล้ว มึงแดกไป เสียดาย” ผมไขข้อสงสัยของมันด้วยคำพูดที่กระชับที่สุดแล้วปรี่ไปหาพี่พลด้วยความเร็วที่เทียบได้กับพี่จิ๊บเมื่อกี้นี้
เราทั้งสองคนพุ่งทะยานลงลิฟต์ไปลานจอดรถ ก่อนจะสวมวิญญาณนักซิ่งเหยียบมิดไมล์ออกจากบริษัทไปหาจุดหมายด้วยเวลาที่เหลือไม่ถึงยี่สิบนาที
เรามาถึงร้านอาหารของโรงแรมระดับสี่ดาวได้ทันฉิวเฉียด เมื่อมาถึงโต๊ะที่จองไว้ก็ได้เจอกับลูกค้าที่มารออยู่ก่อน เอ่ยทักทายกันตามมารยาทแล้วก็เริ่มมื้อเที่ยงไปพลางพูดคุยปูทางธุรกิจไปพลาง หลักๆ ของวันนี้เลยก็คือลูกค้าต้องการแหล่งส่งออกสินค้าไปตีตลาดญี่ปุ่น และสามารถให้ผลประโยชน์ร่วมกันได้สูงสุด หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือไม่ขัดผลประโยชน์กัน วิน-วินทั้งคู่ ซึ่งบริษัทผมก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
เมื่อการรับประทานอาหารจบลงก็จะถึงช่วงเจรจาธุรกิจอย่างจริงจัง เวลาที่ต้องมีสมาธิจดจ่อ อ่านเกมให้ออก ประมวลผลอย่างรอบครอบรวดเร็ว และชิงไหวพริบกันระหว่างสองฝ่าย.. ซึ่งผมค่อนข้างถนัดทีเดียว
ในขณะที่ต้องตั้งสมาธิผมก็เหลือบไปเห็นพี่โรมนั่งอยู่ถัดไปสามโต๊ะ ผมยิ้มจาง ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมาเจอกันในที่แบบนี้เพราะเรื่องงานของเราทั้งคู่ เขาคงไม่เห็นผมจึงไม่ได้มองมา ก่อนที่ผมจะละสายตาจากเขากลับได้เห็นเรื่องที่ทำให้สติผมเริ่มกระเจิงแทน
พี่โรมนั่งลงข้างหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดเดรสมีราคา เธอยิ้มหวานกอบกุมมือใหญ่ไว้แน่น พี่โรมเองก็ไม่ได้ผละออก ยิ้มสนทนากับผู้ใหญ่บนโต๊ะอย่างสนิทสนม
"อีธาน" ผมสะดุ้งเมื่อถูกสะกิดเรียก พี่พลมองหน้าผมเอาเรื่อง "สนใจลูกค้าหน่อย"
"ครับ" ผมปั้นยิ้มธุรกิจให้กับคนในวงสนทนา เริ่มทำหน้าที่ตัวเองต่อทั้งที่ในหัวจับอะไรมาประติดประต่อไม่ได้สักอย่าง ผมวอกแวกไปจมกับความคิดในหัวอยู่หลายครั้งจนโดนพี่พลเอ็ดยกใหญ่หลังจากแยกกับลูกค้าแล้ว ยังดีที่งานผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ตอนเย็นผมกลับมาที่ห้องด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง สับสนไปหมด เหมือนกับจะเข้าใจอะไรสักอย่างแต่ก็ยังมีหมอกมาบดบังความจริงนั้นไว้
ผมรอสายโทรศัพท์ด้วยหัวใจเต้นระส่ำ
'ว่าไง'
"พี่โรม"
'หืม? มีอะไร?'
"พี่อยู่ไหน?"
'ขับรถอยู่ กำลังกลับบ้าน'
"มาหาผมได้ไหม?"
'วันนี้พี่ติดธุระที่บ้านว่ะ โทษที'
"ครับ... งั้น..แค่นี้นะ"
'อืม ไม่น้อยใจนะ' ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ ก่อนสายจะตัดไป
ผมยังกำโทรศัพท์ไว้ในมือ ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีเลยเลื่อนดูรูปในแกลเลอรี่ ผมกับพี่โรมถ่ายรูปกันค่อนข้างจะบ่อย แต่เราไม่เคยโพสต์ลงสาธารณะเลยสักครั้ง เพราะตำแหน่งงานของพี่โรมที่เป็นถึงหัวหน้าแผนกที่กำลังเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้จัดการสาขา แสงจากหน้าจอทำให้ตาผมล้าเมื่อไม่ได้เปิดไฟในห้อง ผมหลับตาไล่ความแสบแล้วก็เผลอหลับไปทั้งคืน
"เหม่อไรอยู่จ๊ะ" พี่จิ๊บทักขณะกดน้ำร้อนใส่แก้วลายน่ารักของตัวเอง
"เปล่าครับพี่" ผมบอกปัด จิบกาแฟของตัวเองไปพลางคิดขึ้นมาได้ "พี่จิ๊บ เอ่อ พี่จำคุณ..เจนทัพได้ไหมครับ?"
"หือ จำได้สิ คุณโรมเขาออกจะดังในหมู่สาวๆ" พี่จิ๊บหัวเราะคิกคักเมื่อเอ่ยถึงเขา "อายุก็กำลังดี การงานก็ดี แถมหล่ออีก ใครๆก็อยากได้ล่ะนะ"
"ครับ"
"อะไรเนี่ย อีธานของเราสนใจเหรอ" พี่จิ๊บแซวขำๆ ผมจะพูดปฏิเสธก็ไม่ได้ เลยได้แต่ยิ้มตอบแกนๆ
"หยอกหรอกนะ" พี่จิ๊บยิ้มตาหยีและหมันตัวเดินกลับไป เดินได้สองก้าวก็เหมือนคิดอะไรได้เลยหันกลับมา
"แต่ถ้าจริงก็ตัดใจซะนะ คุณเจนเขาแต่งงานแล้ว รู้สึกว่าจะมีลูกสาวด้วยคนนึง" พี่จิ๊บขยิบตาให้ผมแล้วจากไป เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัว ผมยืนนิ่งค้าง กำหูแก้วกาแฟจนมือปวดหนึบไปหมด
แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมทำงานพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ พี่ๆ ในแผนกเป็นห่วงผมกันใหญ่ ไอ้ตี๋เองก็อาสาเป็นเพื่อนปรับทุกข์แต่ยังไงก็ต้องรอปลายสัปดาห์ เพราะการงานก็ยุ่งจนหัวฟูมันไม่เอื้อให้ไปนั่งชิลในบาร์กันเลยสักนิด
ผมกดโทรศัพท์หาคนที่จะคลายความกังวลในใจผมได้ คนเดียวกับที่ทำให้ผมกระวนกระวายแบบนี้
'ว่าไง' คำพูดทักติดปากของเขา
"พี่จะมาไหม?"
'พี่ไม่ว่าง' เป็นอีกครั้งที่ถูกปฏิเสธ
"ครับ"
'เดี๋ยวดึกๆ พี่โทรหา'
"ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมก็นอนแล้ว" ผมคิดว่าน้ำเสียงของผมคงเหวี่ยงน่าดู แต่ผมไม่ได้รู้สึกงอนอะไรเลยจริงๆ
'ไม่สบายเหรอ?' พี่โรมถามเสียงอ่อน เขารู้จักผมดีกว่าใคร รู้ว่าผมไม่ใช่คนเรียกร้องไร้สาระที่จะมางอนกับเรื่องแบบนี้ และรู้ว่าผมจะเหวี่ยงแค่เฉพาะเวลาที่ไม่สบาย
"ปวดหัวนิดหน่อยครับ เดี๋ยวจะกินยานอนแล้ว"
'อืม ไปนอนได้แล้ว' เขากำชับให้ผมดูแลตัวเองอีกสองสามประโยคก่อนเราจะจบบทสนทนาลง พี่โรมแค่พูดสองคำสั้นๆ 'รักนะ'
ผมใช้ชีวิตอีกวันอย่างเลื่อนลอย พยายามทำงานให้ยุ่งเพื่อจะลืมคิดถึงเรื่องของเขา ผมเคยเลิกบุหรี่ไปครั้งหนึ่งเมื่อตอนคบกับแฟนเก่า เธอไม่ชอบเลยขอให้ผมเลิก พอมาคบกับพี่โรมที่ได้ชื่อว่าสิงห์อมควันก็เลยกลับมาสูบบ้างบางครั้ง
ผมปล่อยควันสีหม่นออกจากปาก มองมันลอยเคว้งในอากาศก่อนจะสลายหายไป ความคิดในหัวเหมือนว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ผมไม่รู้ว่าต้องคิดอะไรในเวลาแบบนี้ดี เลยได้แต่นั่งสูบบุหรี่โง่ๆ อยู่ที่ทางหนีไฟ
...บุหรี่กลิ่นเดียวกับของพี่โรม กลิ่นที่ติดตามตัวเขาเสมอ กลิ่นที่แตะจมูกผมทุกครั้งที่ฝังหน้าลงบนคอเขา
"อีธานโว้ย" ไอ้ตี๋พุ่งพรวดเปิดประตูออกมา สีหน้ามันดูอมทุกข์บอกไม่ถูก "ไม่ต้องรอวันศุกร์แล้วห่า ไปแม่งมันวันนี้แหละ"
"เอาไหม?" ผมยื่นซองบุหรี่ให้เพื่อน มันคว้าหมับทันที
"ไฟดิ๊" ผมโยนไฟแช็กให้มัน ไอ้ตี๋เดินมานั่งลงบนขั้นบันไดเดียวกับผมพร้อมกับจุดบุหรี่ไปด้วย "ว่ามา"
"อะไร?"
"เรื่องมึงอ่ะ" มันเว้นช่วงไปพ่นควันออกจากปอดก่อนพูดต่อ "งานก็พลาด ประชุมก็เหม่อ แล้วนี่ก็สูบจัง กูไม่เคยเห็นมึงสูบหนักเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้แล้วแบบนี้"
"มันเหมือน..คบกันมาตั้งนานแล้วเพิ่งรู้ว่าเขาแต่งงานกับคนอื่นไปก่อนแล้ว" ผมหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว เลยหวังแค่ว่าไอ้เพื่อนจะเข้าใจ
"เชี่ย! ก็เลิกดิวะ" ไอ้ตี๋ตอบมาง่ายๆ "หน้ามึงฝรั่งจ๋าขนาดนี้ กูก็นึกว่าจะแฟร์ๆ เรื่องความสัมพันธ์ซะอีก"
"หมายความว่าไงวะ" ผมรู้สึกได้ถึงหว่างคิ้วที่ยับย่นของตัวเอง
"ก็นึกว่ามึงจะเป็นพวก.." มันเว้นระยะไปเหมือนกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะสม "แฟร์อ่ะ รักมารักกลับ ถ้าไม่ใช่ก็เลิก อะไรแบบนี้"
"กูรักเขา" ผมขยี้บุหรี่ลงกับขั้นบันไดเหล็ก "กูรักเขามาก"
"เขาหลอกมึงนะเว้ย แล้วเขาก็มีผัวแล้ว" ผมสบตาไอ้ตี๋ ไม่คิดจะบอกหรอกว่าเขาที่ว่าน่ะเป็นผู้ชาย ผู้ชายที่มีเมียแล้ว แถมลูกสาวด้วยอีกคน
ผมลุกยืน ปัดกางเกงให้เรียบร้อยเตรียมกลับเข้าไปทำงาน เมื่อมือผมแตะถึงบานประตู ไอ้ตี๋ก็พูดประโยคหนึ่งที่ผมต้องหยุดคิด
"หรือมึงจะทำลายครอบครัวเขา?"
ผมกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ห้อง กลิ่นของพี่โรมยังติดอยู่จางๆ ผมไม่รู้แล้วว่าตอนนี้อะไรเป็นอะไร แม้จะเพียงนิดเดียว ผมอยากจะเห็นกับตา สิ่งที่ได้รับรู้มามันคือความจริงรึเปล่า
ผมคว้าเอาแล็ปท็อปขึ้นมาเปิด กดเข้าเว็บโซเชี่ยลยอดฮิต ผมมีแอคเคาท์เฟสบุ๊คอยู่ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เล่นเลยก็ตาม ผมพิมพ์ชื่อจริงของพี่โรมเป็นภาษาอังกฤษในช่องค้นหา มีแอคเคาท์ของคนชื่อเดียวกันโผล่ให้เป็นพรืด แต่มันก็ไม่ยากที่จะหาพี่โรมจากในนั้นในเมื่อมีรูปโชว์หรากันขนาดนี้
ผมคลิกเข้าไปดูหน้าไทม์ไลน์ของเขา รูปโปไฟล์เป็นพี่โรมในวันหยุด ดูอ่อนวัยกว่าปัจจุบันอยู่มาก ผมอันเดอร์คัตไม่ได้ใส่เจลจัดทรง ชุดลำลองทำให้เขาดูแปลกตาไปจากลุคในชุดสูทเรียบร้อย ผมเคยเห็นเขาตอนก่อนนอนและตอนตื่นนอนมาเป็นร้อยครั้ง แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่ได้เห็นเขาในวันหยุดสบายๆ
นั่นสิ ทำไมกันนะ
เพราะหน้าตาทางสังคมของผมและเขา เราเลยไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์ได้ เวลาเดียวที่เราจะใช้ไปด้วยกันข้างนอกนั่นคือขับรถเล่นตอนกลางดึก
อา.. วันศุกร์ที่เขามานอนกับผม พอเช้าวันเสาร์เขาก็ใส่ชุดสูทเดินออกนอกประตูบานนั้นจากไปแล้ว เราไม่เคยใช้เวลาวันอาทิตย์ด้วยกัน
ผมเลื่อนดูไทม์ไลน์ของเขา พี่โรมเองก็ดูเหมือนพวกไม่ติดโซเชี่ยล โพสต์กับรูปภาพส่วนใหญ่ก็ถูกแท็กมา ผมเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ รูปหนึ่งรูปที่ถูกแท็กมาจากสาวสวยในวันนั้นพร้อมแคปชั่นที่ทำให้ผมเหมือนถูกฟ้าผ่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนมันกะเอาให้ตายไปในทีเดียวยังไงยังงั้น
'ลูกของเราโตขนาดนี้แล้วนะคะ' พร้อมกับรูปอัลตร้าซาวน์ทารกในครรภ์
แล้วถ้าเลื่อนลงไปอีก ก็มีรูปภาพที่ถูกแท็กมาจากผู้หญิงคนเดิมอีกมากมาย ทั้งรูปตอนไปเที่ยว รูปตอนเผลอ แม้แต่รูปตอนนอนหลับ และรูป..
งานแต่งงาน พี่โรมในชุดทักซิโด้สีขาวดูเหมาะมาก แม้แต่ในชุดไทยก็ยังดูดี ผู้หญิงคนนั้นเองก็สวย สวยมาก โดยเฉพาะนามสกุล และผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างเธอในงานแต่งงาน
...ประธานของบริษัทที่พี่โรมทำงานอยู่
ผมเปิดประตูห้องให้อีกคนที่เพิ่งโทรมาบอกว่าจะมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
"หายยัง" พี่โรมแตะหลังมือเข้ากับหน้าผากผม เขายิ้มร่าชูถุงในมือ "มาเป่าเค้กกัน"
"ครับ" ผมตอบรับด้วยรอยยิ้มฝืดๆ วันนี้ผมจะบอกเลิกเขา
"เปลี่ยนผ้าปูที่นอนด้วยเหรอเนี่ย" ผมมองเตียงนอนที่ถูกปูด้วยชุดเครื่องนอนสีน้ำตาลแทนสีฟ้าครามอย่างที่เคยเป็นมา ผมเปลี่ยนมันเพราะอยากจะลบกลิ่นของอีกคนที่ติดเต็มไปหมดจนผมลบเขาออกไปไม่ได้สักที
พี่โรมวางถุงของลงบนโต๊ะไม่ญี่ปุ่นตัวเตี้ย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง เขามองมาที่ผมพร้อมกับรอยยิ้มร้ายๆ ที่ทำให้เขาดูเซ็กซี่จนผมละสายตาไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ผมเบนหน้าหนีเขา
"พี่โรม" ผมเรียกเขา ไม่แน่ใจว่าน้ำเสียงตัวเองเป็นยังไง แต่พี่โรมลุกมากอดผม ผมเหมือนเด็กไร้ที่พึ่ง เคว้งคว้าง และตอนนี้พี่โรมก็เป็นที่ยึดเพียงหนึ่งเดียว
"งานหนักเหรอช่วงนี้?" ผมสั่นหัวที่ซุกอยู่บนไหล่กว้าง
"งั้นมาเป่าเค้กกัน" เขาผละอ้อมแขนออกจากผมไปง่วนอยู่กับเค้กปอนด์ที่ซื้อมาด้วย บรรจงปักเทียนตัวเลขสองกับหกลงไป ซึ่งมันไม่ใช่อายุที่เลยเลขสามไปครึ่งทางแล้วของเขา พี่โรมจุดเทียนและดับไฟในห้อง เสียงทุ้มร้องเพลงวันเกิดให้
...วันนี้เป็นวันเกิดผม
ผมลืม แต่พี่โรมจำได้...
ผมรู้สึกแน่นหน้าอก ขอบตาก็ร้อนผ่าวไปหมด ความรู้สึกผิดพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา
รู้สึกผิดต่อพี่โรมที่คิดจะจบความสัมพันธ์ทั้งที่เขาก็ดีกับผมถึงขนาดนี้
แต่ก็รู้สึกผิดต่อผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน ไหนจะเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก ...ผมกำลังจะทำลายครอบครัวพวกเขา
ผมไม่รู้ว่าผมผิดที่ตรงไหน แต่ก็รู้ว่าผิด ความรักของผมมันผิด
ผิดที่ ผิดทาง ผิดคน ผิดไปหมดทุกอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้น...
ตอนนี้ผมก็มีความสุข
พี่โรมยื่นเค้กมาตรงหน้าผม แสงสว่างจากเทียนเล่มน้อยท่ามกลางความมืดนั้นทำให้ภาพเบื้องหน้าผมไม่ชัดเจนนัก หรืออาจจะเป็นเพราะน้ำตาของผมเองที่ทำให้ทุกอย่างมันพร่าเลือน
พร่าเลือนไปหมด ทั้งการรู้ผิดชอบชั่วดี ความรู้สึกผิดบาปในใจ หรือแม้กระทั่งสามัญสำนึกที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรควรไม่ควร
ผมเป่าเทียนแล้วโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น พี่โรมสบถหยาบสองสามคำเพราะเค้กที่เปื้อนไปทั่วตัวเราสองคน ผมเลียครีมเค้กที่เปรอะคางเขาออก พี่โรมหัวเราะในคอเบาๆ แล้วจูบผม เราเริ่มทำความสะอาดกันและกัน พื้นห้องเละเทะไปหมด แล้วอีกไม่นานเตียงที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนก็คงไม่ต่างกัน
ผมกลืนเศษเค้กบนตัวอีกคนลงไป กัดหน้าท้องแน่นของเขาเบาๆ พี่โรมเสยผมที่เหนียวติดกันเพราะครีมของผมแล้วหยุดมือไว้อย่างนั้น ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว
“รักนะ” ผมดึงมือเขามาจูบ
“ครับ”
จะเรื่องที่เขาบอกว่ารักผม หรือเรื่องครอบครัวเขา หรือเรื่องความถูกต้อง หรือเรื่องแหกตา หรือเรื่องห่าเหวอะไรก็ช่างหัวมัน จะโกหกหรืออะไรก็ตาม
ผมก็ยังรักเขาอยู่ดี
...END...
สวัสดีค่ะ ช่วงนี้รีนเอางานเก่ามาอัพบ่อยเลย เรื่องนี้เองก็เป็นหนึ่งในเช็ตตามเทศกาลของรีนค่ะ ซึ่งมาในตีมของวันโกหกนั่นเอง
แล้วไหนๆ วันนี้ก็ April fool แล้ว ก็ขอลงงานเขียนเก่าที่ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อนเรื่องนี้ให้ทุกคนได้อ่านกันสักทีนะคะ 55555
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ