ผมเลิกกับเขาเพราะเกลียดเพจคำคม (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมเลิกกับเขาเพราะเกลียดเพจคำคม (จบ)  (อ่าน 1960 ครั้ง)

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



************************************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
ผมเกลียดเพจคำคม

ครับ ไอ้พวกเพจคำคมแนวซึม เศร้า เหงา รัก ที่ยอดไลค์ยอดเอนเกจเมนต์มันเยอะๆ นั่นแหละ

เพจคำคมเหล่านั้นมักเอารูปสวยๆ เหงาๆ ซึ่งไม่รู้ว่าก็อปมาจากที่ไหน จะมีกี่คนที่นำมาอย่างถูกต้องจากเว็บไซต์ฟรีก็ไม่รู้ เพื่อนำมาโพสต์ประกอบความเรียงสั้นๆ ที่แต่งขึ้น

ทุกคนคงเคยเห็นไม่มากก็น้อย บางคนก็อาจชอบคำคมจากเพจประเภทนี้ ถ้าชอบ ผมขอดักไว้ก่อน ว่าอยากให้ทำใจเย็นๆ แล้วฟังผมสักหน่อย

ที่ผมบอกว่าเกลียด มันคือสิทธิ์ของผมที่จะเกลียด เช่นเดียวกับสิทธิ์ที่จะชอบ และผมเกลียดอยู่ในใจ ไม่เคยไปคอมเมนต์ด่า กดรีพอร์ต หรือตามก่อกวนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมก็ไม่อยากเห็นมันผ่านสายตา ที่เห็นในฟีดก็เพราะมีเพื่อนในเฟซแชร์มาก็เท่านั้น

เอาจริง เจ้าของเพจก็มีความขยันเพราะแต่งความเรียงขึ้นเอง โดยปกติแล้วผมควรจะไม่เกลียด แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

แล้วเพจคำคมพวกนี้มันเหมือนกันหมด นั่นก็คือจะมีสไตล์เหงาๆ หว่องๆ

ถ้าใครไม่รู้ว่า ‘หว่อง’ แปลว่าอะไร ผมจะเล่าให้ฟังย่อๆ

หว่อง มาจากชื่อ หว่องกาไว ผู้กำกับชาวฮ่องกง ที่มีชื่อเสียงจากการทำหนังสไตล์ เหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง แต่มีสีสันเฉพาะตัว จนคนเหงาหลายคนชื่นชอบ ใช้เป็นต้นแบบในการผลิตความเรียงของตัวเองในเพจคำคมมากมาย ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่ใกล้เคียงเลย

ผมเคยไล่อ่านความเรียงเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบว่าไม่ได้อคติไปเอง แล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นภาพคนกำลังยืนคุยกับกำแพงหลังจากอกหักแบบพระเอกเรื่อง In the mood for love หรือไม่ก็พยายามกินสับปะรดกระป๋องถึง 30 กระป๋องแบบพระเอกเรื่อง Chungking Express ที่ยังหวังว่าคนรักจะกลับมา แต่ภาพเหล่านั้นที่เห็นจากเพจคำคมเป็นแค่การแต่งคอสเพลย์ทางงานเขียน

หรือถ้าไม่หว่อง ที่ฮิตๆ กันก็จะออกมาสไตล์มูราคามิ นักเขียนชื่อดังชาวญี่ปุ่นที่สไตล์การเขียนค่อนข้างขบถต่อวรรณกรรมในประเทศของตัวเอง จุดเด่นคือเขียนบรรยายสภาพแวดล้อมและการกระทำอย่างละเอียด แบบที่ถ้ามี 5 ย่อหน้า ก็บรรยายสภาพแวดล้อมหรืออากัปกริยาของตัวละครอย่างละเอียดไปแล้ว 4 ย่อหน้าครึ่ง – กล่าวด้วยความเคารพต่อเฮียมู เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

เอาล่ะ แล้วทำไมผมถึงเกลียดเพจคำคมที่มีนักเขียน และผู้กำกับแนวนั้นเป็นต้นฉบับเหลือเกิน

ถ้าแค่เห็นว่ามันเป็นงานเขียนที่ดันทุรัง ผมจะรู้สึกเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเกลียดก็ได้จริงไหม แต่ผมก็ดันเกลียดซะงั้น

มันคงคล้ายกับการไม่ชอบหน้าใครสักคนโดยหาเหตุผลไม่ได้ แบบแค่เห็นก็ไม่ชอบแล้ว

ผมรู้ดีว่าเพจคำคมเหล่านี้ อาจกำลังเป็นนักเขียนฝึกหัด ใช้พื้นที่บนโลกโซเชียลในการเผยแพร่ผลงานที่ยังไม่ตกผลึกดีทั้งทางภาษาและทางความคิด รวมถึงตรรกะบางอย่าง รู้ดีว่าอาจพัฒนาเป็นนักเขียนที่ดีในสักวัน แต่ผมก็เกลียดอยู่ดี

และยิ่งเกลียดเข้าไปอีก ในตอนที่รู้ว่า ‘เขา’ คือเจ้าของเพจคำคมสไตล์หว่องๆ มูๆ ชื่อดัง



**


ผมลากยาวความเกลียดเพจคำคมมาเป็นหน้าก็จริง แต่เรื่องของเขาต่างหากคือสิ่งที่ผมอยากจะเล่า ที่ดึงประเด็นเพจคำคมขึ้นมา เพราะมันเกี่ยวข้องกับเขาอย่างตัดไม่ได้

นอกจากการเกริ่นเรื่องเกลียดเพจคำคม ผมไม่แน่ใจว่าควรเริ่มตั้งแต่ตรงไหนดี อันที่จริงผมสามารถเล่าได้สั้นๆ ว่า ‘ผมเจอกับเขาครั้งแรกในร้านคราฟต์เบียร์’ แต่ผมคิดว่ามันตกหล่นอะไรไปเยอะมาก ดังนั้นผมคิดว่าควรเล่าชีวิตผมตั้งแต่ต้น

เริ่มด้วยประโยคที่ว่า...พ่อผมเป็นนักหนังสือพิมพ์

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะมึนงงว่าจำเป็นต้องย้อนไปถึงอาชีพของบุพการีเลยเหรอ แต่บางคนอาจจะพอนึกนิสัยและความชอบส่วนตัวบางประการของผมออกแล้ว

ใช่ครับ ผมชอบอ่านหนังสือก็เพราะพ่อ

อีกครั้ง พ่อผมเป็นนักหนังสือพิมพ์

พ่อเป็นคนที่เขียนข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง ดังนั้นพ่อจึงเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ มีหนังสือเต็มบ้าน และเป็นคนที่เลือกสรรถ้อยคำตามเงื่อนไขบนพื้นที่จำกัดของกรอบหนังสือพิมพ์ได้เก่งมาก แต่ขณะเดียวกัน งานสื่อก็เป็นงานที่หนัก แล้วหนังสือพิมพ์สมัยก่อนจะมีการตีพิมพ์สองรอบ การตีพิมพ์รอบแรก เรียกว่ากรอบต่างจังหวัด จะต้องปิดให้ทันภายใน 6 โมงเย็นเพื่อให้ตีพิมพ์ทันขนส่งออกต่างจังหวัดวันรุ่งขึ้น ส่วนกรอบกรุงเทพฯ จะปิดตอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื้อหาจะอัพเดตกว่ากรอบต่างจังหวัดเล็กน้อย เนื่องจากขนส่งภายในกรุงเทพฯ ใช้เวลาไม่มาก พ่อจึงมักจะกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ เสมอ

หนำซ้ำพ่อยังเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่ผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กเพราะโรคไข้เลือดออก พ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ทำงานหนักจึงเลี้ยงดูผมด้วยหนังสือกองพะเนิน ไม่ก็พาไปนั่งเล่นที่โต๊ะข่าว ทำให้ผมเห็นการทำงานของหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่เด็กๆ

ด้วยเหตุนั้น ผมจึงเป็นคนรักการอ่านหนังสือ และเมื่อโตขึ้นมา ผมก็ทำงานในบริษัทเดียวกันกับพ่อ แต่แตกต่างออกไปนิดหน่อยที่ผมไม่ได้เขียนข่าวลงหนังสือพิมพ์ แต่เขียนข่าวลงออนไลน์

แรกเริ่มเดิมทีผมก็เป็นนักข่าวภาคสนาม แต่พอทำงานมาได้สัก 2-3 ปี โซเชียลมีเดียก็มีอิทธิพลต่อผู้เสพสื่อมากขึ้น งานข่าวจึงเริ่มรุกตลาดออนไลน์ ผมที่เห็นว่ามันน่าจะดีกับอนาคต เลยขอย้ายมาทำงานโต๊ะออนไลน์เพื่อเพิ่มสกิล

หน้าที่หลักๆ ของโต๊ะออนไลน์มี 2 ส่วนคือ รับข่าวจากนักข่าวภาคสนาม นักข่าวต่างจังหวัด มารีไรท์และพาดหัว รวมถึงปรับให้ได้คะแนน SEO เพื่อขึ้นหน้าเว็บไซต์ข่าว อีกส่วนคือการหาประเด็นเด็ดๆ ตามโซเชียลมีเดียมาทำข่าว บางข่าวที่เป็นข่าวใหญ่ก็มาจากการไลฟ์ หรือการโพสต์ของคนทั่วไปนั่นแหละ ซึ่งหลายครั้งก็ได้ประเด็นแยกย่อยได้อีกหลายประเด็น

ความจริงตำแหน่งของผมมีชื่อเรียกเท่ๆ ว่ารีไรเตอร์ แต่คนทั่วไปก็คงเรียกแอดมินเหมือนแอดมินเพจธรรมดา แม้แต่นักข่าวด้วยกันเองยังเรียกอย่างนั้น แถมพวกรุ่นเก่าๆ ยังชอบบ่นลักษณะการทำงานของพวกผม เพราะบางครั้งใช้ภาษาแปลกๆ โผล่ในพาดหัว บางครั้งก็พาดมึนๆ งงๆ ล่อคนอ่าน บางคนหนักข้อหน่อยก็พาดหัวแบบคลิกเบตซึ่งแน่นอนว่าโดนด่าทั้งจากคนอ่านและบก.ข่าว ผมเองก็ไม่ค่อยชอบจึงไม่ทำแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตามพวกผมนี่แหละที่ทำกำไรเข้าบริษัทได้มากที่สุด ขณะที่หนังสือพิมพ์กำลังจะตายเข้าไปทุกที

สังคมงานข่าวเป็นสังคมแคบๆ และเพราะบริษัทของผมมีเครือที่เป็นสำนักพิมพ์ทำหนังสืออยู่ด้วย แวดวงคนรักตัวหนังสือจึงเหมือนแคบเข้าไปอีก วนเวียนพบปะกันแต่คนหน้าเดิมๆ เดี๋ยวก็เจอนักข่าวคนนู้นคนนี้ นักเขียนคนนั้นคนโน้น และสถานที่พบปะที่ทำให้สนิทง่าย พูดคุยถกนั่นนี่ออกมาจากใจได้ดีก็คือร้านเหล้า

คนทั่วไปมักคิดว่าวิศวะกินเหล้าดุ ผมขอเถียงว่านักข่าวนักเขียนก็กินเหล้าดุไม่แพ้กัน

แถมนักข่าวนี่เป็นพวกมีอุดมการณ์อยู่ในหัว เวลาจุดประเด็นทางสังคมบางอย่างขึ้นมา ยาวตลอด ผมเคยอยู่กินเหล้ากับพวกพี่นักข่าวรุ่นเก่าๆ ที่รวมถึงพ่อผมด้วย พบว่าพูดกันได้ไม่หยุด กระดกเหล้าเบียร์กันเหมือนน้ำเปล่า ตั้งแต่ตอนกลางคืนยันเช้า แต่เป็นเช้าของอีกวันก็เคยมาแล้ว

หลังๆ ผมเริ่มยอมแพ้เพราะรู้สึกว่าพวกพี่กินกันดุฉิบหาย และเน้นไปที่ร้านคราฟต์เบียร์แทน ซึ่งร้านเหล่านั้นก็ทำให้ได้พบปะนักเขียนรุ่นใหม่ๆ มากกว่าร้านเหล้าที่ให้บรรยากาศบ้านๆ เจ้าของร้านชิวๆ หลับๆ ตื่นๆ บางทีก็ขึ้นบ้านไปนอนระหว่างเฝ้าร้านให้พวกนักข่าวขี้เมาก๊งเหล้ากัน เพราะนอกจากรสชาติที่พิถีพิถันกว่า บรรยากาศและการตกแต่งร้านยังดีกว่าด้วย

และการเริ่มหันมาเสพคราฟต์เบียร์นั่นแหละที่ทำให้ผมพบกับเขาเป็นครั้งแรก

เขาชื่อหยก ชื่อเหมือนผู้หญิง เหมือนลูกคนจีน แต่เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ บ่ากว้าง เอวคอด ตัดผมทรงอันเดอร์คัทแล้วเสยผมด้านบนไปข้างหลัง อย่างเนี้ยบ เผยทรงกะโหลกสวย ส่วนดวงหน้าแน่นอนว่าได้รูป ใส่แว่นกรอบกลมเล็กแบบแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ เข้ากันดีกับกรอบตาที่เบ้าลึกลงไปคล้ายชาวตะวันตก ตาหวานแบบเศร้าเล็กๆ คิ้วบางแต่ก็ไม่ถึงกับหาย เขาดูเหมือนลูกครึ่ง ดูมีเสน่ห์ ขนาดเจอครั้งแรกใส่เสื้อโปโลที่ผมเหมาเอาเองว่าเชย แต่เขากลัดกระดุมเสื้อถึงเม็ดบนสุด เข้ากับกางเกงสแล็คเข้ารูป รองเท้าหนังสลิปออน ดูดีจนสะดุดตาสาวๆ หลายคนรวมถึงเกย์อย่างผม

ขยายความถึงรสนิยมทางเพศของผมอีกสักหน่อย ผมเป็นเกย์ฝ่ายรับที่ไม่ค่อยชอบเผยตัวเท่าไหร่

วันที่เจอเขาครั้งแรก ผมจำได้ว่าดื่มเบียร์ประเภท IPA สักแบบที่มีความขมแบบ Aftertaste ซึ่งเป็นรสที่ผมชอบ ดื่มไปสองสามแก้ว พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่มาด้วยกันหลายประโยค สลับกับลอบมองเขาเป็นอาหารสายตาเคล้าเบียร์คราฟต์ ท่ามกลางฝูงเพื่อนของเขา จำได้ว่าโต๊ะนั้นเป็นบุคคลในแวดวงนักเขียนรุ่นใหม่แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าเขา ผมรู้แค่ว่าเขาไม่รู้ตัวว่าถูกมองก็พึงพอใจ เพราะไม่ได้คิดออกตัวสานสัมพันธ์ แต่หลังกลับมาที่บ้านในคืนนั้น ผมจำได้เลยว่าเซ็ง

ก่อนนอน ตอนยังกรึ่มจากเบียร์ ผมปิดไฟให้เหลือแต่โคมไฟหัวเตียง นอนไถมือถือเพื่อไล่ดูฟีดบนเฟซบุ้ก แล้วก็สะดุดกับโพสต์หนึ่งของรุ่นน้องที่ชอบแชร์เพจคำคมมา

สิ่งที่รุ่นน้องแชร์คือภาพของหยก ชายที่ผมเจอในร้านคราฟต์เบียร์ อ่า ผมเพิ่งรู้ชื่อเขาจริงๆ ก็จากโพสต์นี้แหละ และสิ่งที่ทำให้ผมเซ็งก็ไม่ใช่ภาพของเขากับแฟน หรือภาพของเขาในสภาพที่สะเหล่อหรืออะไร แต่เป็นภาพ...ที่มีแคปชั่นบอกว่า เขาคือเจ้าของเพจคำคมชื่อดัง ที่กำลังจะมีหนังสือรวมความเรียงสั้นๆ ในเพจ

ความคิดสามพยางค์ดังขึ้นในหัวทันที ‘ไม่น่าเลย’

ยิ่งกดเข้าไปอ่านคอมเมนต์ที่กรี๊ดกร๊าดความหล่อเหลาของเจ้าของเพจ ความอคติที่มีต่อเพจคำคมอยู่แล้วยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก

เหมือนผมได้คำตอบที่เป็นรูปธรรมในวันนั้น ว่าผมไม่ชอบเพจคำคมเหล่านี้ เพราะว่า ‘มันมีแต่เปลือก แล้วข้างในก็กลวง’ นั่นเอง

คืนนั้นผมวางมือถือลง แล้วหยิบนวนิยายเรื่อง โลลิตา ของนักเขียนชื่อก้องอย่างวลาดิเมียร์ นาโบคอฟขึ้นมาอ่านล้างความเซ็งแล้วค่อยนอน



**



แต่ให้ตายเถอะ

ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ตอนที่ผมเห็นหนังสือของเขาวางขาย ผมหยิบไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทันที ราวกับอยากเสียเงินเล่นๆ

ไม่หรอก ผมไม่ได้ซื้อมาเพราะหลงเสน่ห์เจ้าของเพจคำคมจนลืมไม่ลง ผมลืมเสน่ห์เขาไปตั้งแต่ปิดหนังสือโลลิตาวางที่หัวเตียงคืนนั้นด้วยซ้ำ แต่พอได้มาเห็นหนังสือเขาบนชั้นวาง ผมก็อยากลงทุนพิสูจน์ความคิดที่ว่า ‘มันมีแต่เปลือก แล้วข้างในก็กลวง’

สำหรับนักเขียน มันเป็นคำด่าที่แรงมาก ผมเลยอยากจะรู้ว่าตัวเองใจร้ายเกินไปหรือเปล่า และก็แอบหวังให้มันดี ให้มันมีการปรับปรุงและขัดเกลา อย่างที่ต้นฉบับจะได้รับการพัฒนาเมื่อผ่านสำนักพิมพ์

ผมนำหนังสือคำคมที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะซื้อไปนั่งอ่านที่ร้านคราฟต์เบียร์ย่านประตูผีที่ตกแต่งสไตล์จีน เต็มไปด้วยโคมไฟสีแดง พร้อมดราฟต์เบียร์หรือเบียร์สดให้เลือก 10 กว่าแท็ป กับเพลงสไตล์ Chinese Trap ที่เคล้าคลอเข้าบรรยากาศ ด้วยหวังว่ามันจะเสริมอารมณ์หว่องกาไวในการอ่านหนังสือเล่มนี้มากขึ้น

เหมือนเดิมที่ผมสั่ง IPA มาดื่ม จิบไปพลาง ขมวดคิ้วอ่านไปพลาง ผมรู้สึกขัดใจตลอดการอ่าน เพราะสัมผัสได้ถึงความเก๊กจากตัวหนังสือ มันช่างประดิดประดอยเสียเหลือเกิน อะ เนี่ย อยู่ดีๆ ก็เล่าเรื่องของผีเสื้อกลางคืนที่หลงรักพระจันทร์ว่าเหมือนรักข้างเดียวที่ไม่มีทางสมหวัง ไม่มีทางบินไปถึง โถ่ แน่จริงแต่งเรื่องของดอกทานตะวันที่หลงรักดวงจันทร์ไปเลยดิวะ ดูซิมันจะไปตกหลุมรักกันตอนไหน

“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงที่ดังขึ้นด้านข้าง ขณะที่กำลังขะมักเขม้นด่าหนังสือเล่มนี้อยู่ในหัว แต่เมื่อหันไปมองเจ้าของเสียง ใจของผมก็สะดุ้งหนักกว่าเก่า เพราะเขาคือ...หยก เจ้าของหนังสือเล่มนี้นั่นเอง

เชี่ย

นั่นคือพยางค์เดียวที่ดังลั่นในใจ ผมปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่จนมันดังปั้บ เขามองการกระทำนั้นของผมแล้วก็มุมปากสองข้างก็ยกยิ้ม ซึ่งผมมองว่านั่นคือความหลงตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

ตอนนั้นผมคิดสู้อยู่ในหัวว่า ‘คิดว่าเป็นแฟนคลับที่เขินอายไง้? ไม่ใช่เลยโว้ย ไอ้หัวกลวงขี้เก๊ก’ ซึ่งความจริงแล้วผมลนมากเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเขา เลยคิดให้ตัวเองเหนือกว่าไปอย่างนั้น

“เอ่อ...ถ้ารบกวน ผมไปนั่งที่อื่นก็ได้ครับ”

แต่ผิดคาดที่เขากล่าวอย่างนอบน้อมออกมาแบบนั้น แถมยังดูเป็นคนเสียงเบา ตอนได้ฟังผมคิดทันทีว่า หรือผมจะอคติกับเขาเกินไป?

รอยยิ้มนั้นอาจจะไม่มีอะไรก็ได้

“นั่งได้ๆ”

ปากผมตอบไปแบบนั้นเพราะอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่เกลียดงานของเขาที่อยู่ในมือตนเองเหลือเกิน

ครับ ถึงอ่านไปได้แค่ครึ่งเล่ม แต่ผมก็รู้แล้วว่ามันไม่ได้มีอะไรพัฒนาขึ้นจากความเรียงที่อยู่ในเพจเลยสักนิด

ระหว่างที่ผมยังคิดด่าๆ งานของหยกอยู่ในใจ เขาก็เลื่อนเก้าอี้สูงสำหรับนั่งตรงเคาน์เตอร์มาเพื่อมานั่งใกล้ผม เพิ่งสังเกตว่าเขาแต่งเสื้อคอจีนสีเขียวหัวเป็ด เข้ากันดีกับกางเกงสีกากี และรองเท้าหนังคู่เดิม

จำความแค้นในตอนนั้นได้เลยว่าเขายังคงหล่อจนผมต้องยอมรับ คนบ้าอะไรใส่คอเสื้อคอจีนแล้วไม่ดูเป็นอาแปะ แต่ดูเป็นลูกครึ่งที่มีความแฟชั่นนิสต้าในตัวเหมือนหลุดมาจากโฆษณาเสื้อผ้าแบรนด์ไฮเอนด์

หยกสั่งเบียร์ยี่ห้อ Brothers รสแอปเปิ้ล ผมเหลือบมองรายชื่อดราฟต์เบียร์บนกระดาน เห็นว่าไม่มีในแท็ป ทำเอานึกสงสัยว่าเขาสั่งเบียร์อะไร แต่ระหว่างที่รอพนักงานนำมาเสิร์ฟ เขาก็หันมาคุยกับผม

“ชอบเบียร์ IPA เหรอครับ”

ด้วยความไม่ทันตั้งตัว การที่เขาหันมาสบตาแล้วถามผม ทำเอาช็อตไป 2-3 วินาทีก่อนเอ่ยตอบ

“ใช่ ว่าแต่...คุณรู้ได้ไง?” ผมถามเพราะปกติแล้วคนเราไม่น่าจะรู้จากการแค่มองสีของเบียร์ในแก้วหรอก

“ผมได้ยินคุณสั่ง” เขาตอบ ยิ้มมุมปากสองข้าง เห็นรอยยิ้มนี้อีกทีก็รู้สึกว่ามันเป็นสไตล์ของรอยยิ้มเขามากกว่าจะยิ้มเยาะใคร “แล้วก็เคยเห็นคุณสั่งคราวก่อน”

“ฮะ?”

ผมร้องทันที ทำเอาเขาหัวเราะเบาๆ

“ผมเคยเห็นคุณตอนคุณมากับแก๊งนักข่าวน่ะ แต่คุณอาจจะจำผมไม่ได้”

คำตอบของผมทำเอาผมคิดได้ 2 อย่าง

อย่างแรก...โอ๊ย ทำไมเขาจำผมได้ด้วยวะ แถมวันนี้มาขอนั่งด้วย มันตีความได้ไม่กี่อย่างหรอกเว้ย

อย่างที่สอง...โอ๊ย ไอ้ขี้เก๊กนี่ คนหน้าตาดีมันก็รู้ตัวว่าหน้าตาดีทุกคนอะ มาทำเป็นพูดถ่อมตัวว่าคงจำผมไม่ได้ให้ดูดีเข้าไปอีกล่ะสิ

แต่พอคิดครบถ้วนทั้งสองอย่าง ผมก็พบว่า ผมนี่แหละจำเขาได้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ยิ่งกว่าโคมไฟหลายดวงที่ห้อยระย้าเหนือหัวเราสองคนตอนนี้เสียอีก

รู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรงขึ้นแบบงงๆ และหวังว่าถ้าหน้าแดงกับความอับอายในใจของตนเอง แสงสีแดงของโคมไฟจีนนั่นจะช่วยกลบเกลื่อนไป

“คุณอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วชอบไหม”

เหมือนเขาเห็นว่าผมไม่ตอบ เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง และคำถามที่ยิงมาทำเอาผมคิดว่าจะเบี่ยงหลบ หรือพุ่งชนไปเลยดี สุดท้าย ผมเลือกจะพุ่งชน

“ถ้าผมอิจฉาใคร ผมจะอันเฟรนด์ แต่ถ้าผมเกลียดใคร ผมจะแอดไว้”

เขาขมวดคิ้วนิดๆ ทันที ดวงตาใต้เลนส์แว่นกรอบกลมเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ปากยังยิ้มเล็กๆ แบบไม่ได้ซีเรียสอะไร “ยังไงนะครับ?”

“ผมซื้อมาเพราะผมอยากรู้ว่าเพจคำคมแบบที่ผมไม่ชอบ พอเป็นหนังสือแล้วเป็นยังไง”

“อ้อ...” เขาทำหน้าแบบเดินทางจากดวงจันทร์ถึง ‘บางอ้อ’ ภายในวันเดียว “แล้ว...เป็นยังไงครับ?”

สีหน้าเขาดูลุ้น ซึ่งเขาอาจคิดอยู่ว่าผมไม่รู้จักเจ้าของหนังสือเล่มนี้ จึงแกล้งเลียบๆ เคียงๆ เพื่อฟังความจริงจากปากคนอ่าน ซึ่งก็...เออ เข้าทาง

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอด่าให้เต็มปากเต็มคำ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไง

“ตอนรู้ว่าเพจคำคมจะได้รวมเล่มเป็นหนังสือ ผมก็คิดว่าคงจะมีการขัดเกลาให้มีการพัฒนาขึ้น ทั้งภาษา แนวคิด เพราะผมคิดจริงๆ นะว่าเพจคำคมพวกนี้อะ แนวคิดต่างๆ ในนั้นผมคิดเองก็ได้ ทำไมต้องให้มาอ่านอะไรพวกนี้ที่บางทีใช้ภาษาวกวนวุ่นวาย แต่เนื้อความไม่มีอะไรมากมายเลย แล้วพอเป็นหนังสือก็พบว่า...มันไม่ต่างกันเลยว่ะเฮ้ย งงเลย หนังสือมันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ”

“อ้อ...”

อีกครั้งที่เขาทำสีหน้าเหมือนเดินทางถึงบางอ้อ แต่ดูเจื่อนลงเล็กน้อย พอดีจังหวะกับที่แก้วเบียร์ของเขามาเสิร์ฟพอดี มันไม่ใช่เบียร์สดจากแท็ป เป็นเบียร์จากขวด ยี่ห้อ Brothers รสแอปเปิ้ล พนักงานรินเบียร์ให้เสร็จสรรพ และก่อนที่เขาจะจิบดื่ม เขาหันมาถามผม

“ลองชิมหน่อยไหมครับ ผมชอบเบียร์ยี่ห้อนี้มาก”

“อะ อ้อ ได้สิ” ผมตอบไปแบบงงๆ เหมือนสมองประมวลผลไม่ทัน เพราะผมรู้สึกว่าเมื่อครู่เพิ่งด่าเขาไปขนาดนั้น แต่เขายังชวนให้ผมชิมเบียร์ของเขาอีก

หลังจากที่ผมดื่มเบียร์ที่เหลือนิดหน่อยในแก้วตัวเองให้หมดแล้วรับรินเบียร์จากขวดของเขา พอชิมรสชาติก็พบว่านี่มัน...น้ำหวาน

“คุณ...กินเบียร์หวานมากอะ” ผมวิจารณ์รสเบียร์ที่เขาดื่ม ทำเอาเขายิ้มขำๆ

“ผมชอบกินเบียร์หวานๆ มันหอมดี”

“กินเบียร์ทั้งทีแต่กินหวานๆ เนี่ยนะคุณ ถ้าให้เดา คุณชอบโรเซ่ด้วยใช่ไหม”

“เป็นแอลกอฮอล์แก้วแรกที่ผมลองเลยล่ะ” เขาหัวเราะ ผมเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว

“ไม่เคยเจอผู้ชายแบบคุณเลยแฮะ” ผมจิบ Brothers ที่ยังเหลือในแก้วของตัวเองให้หมด “น้องครับ ขอแบบเดิมอีกแก้ว”

“IPA หรือ India Pale Ale ที่คุณชอบ รู้หรือเปล่าครับว่ารสมันขมเหมือนเรื่องราวของมันเลย” อยู่ๆ เขาก็พูดถึงเบียร์ที่ผมชอบกินขึ้นมา “ถึงจะชื่ออินเดีย แต่จริงๆ เป็นเบียร์ของอังกฤษ ที่ส่งให้พวกพ้องที่ประจำการอยู่อินเดียสมัยล่าอาณานิคมน่ะครับ เป็นเบียร์ที่ไว้ดื่มตอนไล่ยึดครองดินแดนคนอื่นนั่นแหละ น่าเสียดายที่เรื่องราวของมันเป็นแบบนี้”

“แล้วคุณคิดอยากให้มันเกิดขึ้นเพราะความโรแมนติก อารมณ์แบบแอบรักเขาเท่ากับเวลาที่บ่มเบียร์มาเป็นสิบปีแต่เขาไม่รักตอบหรือไง”

เขาได้ฟังผมก็หัวเราะ ผิดกับหน้าเจื่อนๆ ตอนฟังผมด่าหนังสือของเขา

“ผมชอบมุมมองของคุณจัง” แล้ว...เขาก็พูดแบบนั้นทั้งที่ผมเพิ่งด่าหนังสือเขาเนี่ย... “แปลกดี”

เอ๊ะ หรือว่าด่าวะ

ณ ตอนนั้นผมสับสวิตช์อารมณ์และความคิดสลับไปมาแทบไม่ทัน เหมือนผมกำลังสับสนกับตัวเอง เพราะหนังสือจากเพจคำคมที่ผมเกลียดก็ยังวางอยู่บนโต๊ะด้วยซ้ำ ผมเกลียดเพจคำคม เกลียดคนที่เปลือกนอกดูดีแต่ข้างในกลวง แต่ผม...กลับไม่รู้สึกว่าผมเกลียดเขาสักเท่าไหร่

เหมือนว่าพอได้มาพบและพูดคุยจริงๆ ก็ไม่ได้แย่อะไร

“คุณชอบอ่านหนังสือเหรอ” พลันเขาเปิดประเด็นขึ้นมาอีก “แต่เออ...คุณเป็นนักข่าวสินะ จะชอบอ่านหนังสือก็ไม่แปลก”

“เดาถูก” ผมตอบสั้นๆ พลางยกเบียร์ขึ้นจิบ

“แล้วคุณชอบอ่านหนังสือหนักๆ เหรอ”

“ใช่ ไม่งั้นผมไม่รู้จะอ่านไปทำไม การอ่านหนังสือมันต้องพาผู้อ่านไปยังโลกที่เขาไม่เคยไปสิ”

“ชอบแฟนตาซีเหรอครับ”

“ไม่ใช่สิ...” ความจริงผมอยากตะโกนว่า ‘ไม่ใช่โว้ย’ กับความซื่อของเขา “ผมหมายถึงเรื่องสมจริงก็ได้ แต่ต้องให้แง่มุมใหม่ๆ กับผู้อ่านอะ มุมมองที่ผู้อ่านไม่ได้ตกตะกอนออกมาแบบนักเขียนอะ”

“ฟังแล้วเหมือนเบียร์ขมๆ เลยนะครับ” เขาบอกพลางยิ้มมุมปาก หัวเราะในลำคอ จิบเบียร์หวานๆ ในแก้วของตัวเอง “ผมไม่ค่อยสันทัดแนวนั้นเท่าไหร่”

“สำหรับผม เบียร์ไม่ขม ผมก็ไม่รู้จะกินไปทำไมน่ะ”

“บางอย่างมันก็พอดีกับการที่เติมเครื่องปรุงไปแค่นิดๆ หน่อยๆ นะครับ หรือไม่ก็ไม่ต้องเติมเลย บางคนเขาก็ชอบทานจืด”

“แต่คุณดื่มเบียร์หวาน”

“อ่า นั่นสิครับ ฮ่ะๆ” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะเบาๆ เรียบๆ แต่ก็ดูยิ้มจริงใจ

อันที่จริงผมสังเกตตั้งแต่แรกแล้วว่าลักษณะการพูดจาของเขาจะใช้เสียงเบา ไม่ดังมาก ทำให้ผมต้องเงี่ยหูฟังเล็กน้อย ดูเขาเป็นคนที่ไม่ใช่พวกชอบทำอะไรโฉ่งฉ่างเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจเหมือนนักเขียนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่ดูวอนนาบีมีตัวตนจนน่ารำคาญทั้งที่ควรวัดกันที่งานเขียน และขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้เก๊กดึงหน้าทำเป็นพูดเสียงเบาสร้างคาแรคเตอร์ เหมือนแค่ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ

“ดื่มเบียร์เสร็จแล้วไปหาอะไรทานกันไหมครับ”

พลันระหว่างที่ผมกำลังคิดวิเคราะห์ เขาก็ชวน

“เอ่อ...ชวนไปกินข้าวละ? เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลยนี่”

“อ้อ...” อีกครั้ง เขาทำหน้าแบบถึงบางอ้อ แต่คราวนี้บางอ้อดูอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ “ผมชื่อหยก คุณชื่ออะไร”

“ผมชื่อเจตน์”

ผมตอบ พลันเขายิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ใหญ่โตกว่าเสียงเบาๆ ของเขามากทีเดียว

“เจตน์ถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษ J-A-D-E ก็แปลว่าหยกนะครับ บังเอิญดีจัง”

แล้วพอได้ฟังเหตุผลที่เขายิ้ม ผมก็เกิดสามพยางค์ในใจ

ให้ตายเถอะ

ตอนนั้นผมหวังจริงๆ ว่าแสงสีแดงจากโคมไฟจีนจะแดงมากพอเพื่อกลบเกลื่อนสีเดียวกันบนแก้มของผม



**


ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2


กลายเป็นว่าผมเริ่มรู้จักมักจี่กับหยกนับแต่วันที่ดื่มคราฟต์เบียร์แล้วต่อด้วยก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้าน

เขาสั่งเส้นเล็กน้ำไม่งอก ไม่เติมเครื่องปรุงอะไรเลยอย่างที่พูดว่าชอบทานจืด ส่วนผมสั่งเส้นใหญ่เย็นตาโฟ เติมน้ำตาลเข้าไปอีก 3 ช้อน

“คุณกินเบียร์ขม แต่กินอาหารหวานสินะ” หยกพูดเมื่อเห็นการปรุงก๋วยเตี๋ยวของผม

“ใครจะเหมือนคุณ จืดชืด” ผมสวนกลับ เขาหัวเราะ

จำได้ว่าเราแนะนำตัวกันเกี่ยวกับงานที่ทำขณะกินก๋วยเตี๋ยว เขาเป็นกองบรรณาธิการอยู่ในสำนักพิมพ์ขนาดกลาง แต่ฟังชื่อแล้วก็ชวนเอ๊ะเพราะไม่ใช่สำนักเดียวกันกับที่หนังสือเขาตีพิมพ์ และผมได้รู้ว่าเขาอายุน้อยกว่าผม 5 ปีเพราะอายุการทำงานของเขาเพิ่งไม่กี่ปีเท่านั้น

“คุณไม่คิดเหรอว่างานเขียนข่าวออนไลน์ก็คล้ายๆ การทำเพจคำคม” อยู่ๆ หยกก็พูดแบบนั้น ตอนที่เขากำลังจะกินลูกชิ้นลูกสุดท้าย

“ไม่มีทาง”

ผมตอบเสียงแข็ง หยกหัวเราะเบาๆ ก่อนกินลูกชิ้นที่เหลือ

ในวันนั้นเราไม่ได้แลกคอนแทคเพื่อติดต่อกันสักอย่าง ไม่ว่าจะเฟซบุ๊ก ไอจี หรือไลน์ ราวกับว่าเขาแค่อยากหาเพื่อนนั่งดื่มด้วยเฉยๆ แม้ในตอนแรกเขาจะบอกว่าเป็นฝ่ายแอบสังเกตผม ทำเอาผมคิดเข้าข้างตัวเอง แต่พอเราต่างโบกมือลาไปขึ้นแท็กซี่คนละคัน ผมก็รู้ว่าผมคิดไปเอง

หน้าตาดีขนาดนั้น เขาคงหาได้ดีกว่าผมแน่นอน

ผมเป็นคนหน้าตาเรียบๆ ที่เด่นก็คือใบหน้ามีกระเหมือนพ่อเพราะผิวขาว และเรือนผมยุ่งๆ เพราะมักขี้เกียจไปตัด รู้ตัวอีกทีก็ต้องหาหนังยางมารัดเป็นจุกเล็กๆ ตรงท้ายทอยอยู่บ่อยๆ ที่ประดับประดาตัวเองหน่อยก็มีแค่ต่างหูกลมๆ สีดำตรงติ่งหูข้างซ้ายล่ะมั้ง

สภาพแบบนี้คงไม่ใช่สเป็กคนหน้าตาดีนักหรอก

พอรู้ตัวว่าเซ็งที่หน้าตาคงไม่เข้าสเป็กเขา ผมก็ยิ่งเซ็งเข้าไปอีก เพราะเขาที่ว่าก็คือหยก เจ้าของเพจคำคมที่ผมเกลียดนักเกลียดหนา

แบบนี้ก็แทบไม่ต่างกับพวกที่กรี๊ดหน้าตาเขาแล้วตามไลค์เพจเลยดิ

คิดแล้วก็สะบัดหัวพร้อมตบแก้มตัวเองสองสามรอบ จะด่าคนอื่นว่าเปลือก กลวง แต่ตัวเองชอบเปลือกเองไม่ได้ ถึงแม้...ผมจะรู้สึกว่าเปลือกของเขามันไม่ได้เคลือบคลุมไว้หนาเพื่อปกปิดความกลวงภายในขนาดนั้นก็เถอะ

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังได้เจอกับหยกตามร้านคราฟต์เบียร์อยู่บ่อยๆ ด้วยความที่งานของเรามันอยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน และชอบดื่มเหมือนกันนั่นเอง

ร้านที่สองที่เราเจอกัน เป็นร้านคราฟต์เบียร์ย่านอารีย์ ต่างคนต่างมากับเพื่อนฝูง และด้วยความที่รู้จักกันต่อเป็นทอดๆ การลากโต๊ะมานั่งรวมกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และในตอนที่เพื่อนนักข่าวคนหนึ่งของผมแนะนำหยกให้รู้จัก หยกก็ยิ้มเหมือนเด็กที่กำลังสนุก

“เจตน์ นี่หยกนะ นักเขียนหน้าใหม่ซิงๆ เจ้าของผลงานที่กำลังขายดีตอนนี้ ชื่อว่า—”

“อ๋อ กูรู้จักหยกอยู่ละ” ผมพูดแทรกขึ้นก่อน นอกจากขัดเพื่อนที่กำลังพูด ผมยังขัดรอยยิ้มของหยกด้วย

“อ้าว มึงรู้จักกันอยู่แล้วเหรอ” เพื่อนผมถาม

“ใช่ เคยเจอ”

“แล้วรู้เหรอว่าผมเขียนงานเล่มไหน” คำถามนี้หยกเป็นฝ่ายสงสัย

“ก็เล่มที่ผมเอาไปอ่านในร้านเบียร์วันนั้นไง”

คำตอบของผมเขาขมวดคิ้ว

“ยังไงนะครับ?”

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณคือเจ้าของงาน”

พลันหยกได้ฟัง สีหน้าของเขาก็เหมือนบ่งบอกว่าได้เดินทางไปไกลกว่าบางอ้อแล้ว

“คุณนี่มัน...” เขาทำปากเหมือนเข็ดฟันอยากคำราม กำมือชูนิ้วชี้ขึ้นมาเหมือนอยากชี้หน้าด่า แต่ก็ได้แค่เขย่าไปมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง “โคตรใจร้ายเลยว่ะ ผมยอมเลย”

“นิดหน่อยเอง”

ไม่รู้ทำไมผมฉีกยิ้มร้ายๆ ตามคำที่เขาว่า รู้สึกเหมือนได้ที ยกเบียร์ขึ้นจิบแบบเชิดหน้าชูคอ

“ไม่มีง้อด้วย?”

แต่คำที่หยกพูดต่อมาดันเป็นคำพูดที่ดูงอน มากกว่าจะโกรธ เขาดูไม่ได้ซีเรียสจริงจัง ทั้งที่ผมเคยด่างานเขาไปขนาดนั้น

ไม่ทันให้ผมได้สงสัยอะไรเพิ่ม หรือตอบโต้อะไรเขา เพื่อนของผมที่อายุอยู่กึ่งกลางระหว่างผมและหยกก็ถามว่าผมทำอะไรเขา หยกก็ฟ้องทันที

“เขาแกล้งไม่รู้จักกู แล้วด่างานกูให้ฟังอะ”

คำตอบของหยกเรียกเสียงหัวเราะให้กับความแสบของผม และความน่าสงสารของหยก วงสนทนาระหว่างนักคิด นักข่าว นักเขียนครื้นเครงขึ้นมาอีกเลเวลภายในชั่วพริบตา แน่นอนว่าเกิดคำถามว่าผมด่าอะไรในงานหยกไปบ้าง แต่ผมก็แกล้งตอบไปเป็นทำนองว่าหมั่นไส้ความหล่อให้เกิดเสียงหัวเราะ ไม่ได้ตอบอย่างละเอียดเหมือนตอนนั้น

สุดท้ายบทสนทนาในวงเหล้าก็ถูกเบนไปเรื่องอื่นอย่างง่ายดาย เราพูดคุย ถกเถียง หัวเราะกันอยู่นานจนถึงตีสอง ซึ่งเจ้าของร้านใจดีให้นั่งต่อทั้งที่ปกติบาร์ปิดตอนตีหนึ่ง แน่นอนว่ามีบางคนที่เมาจนเริ่มเดินโซเซ ดูเป็นนักดื่มมือใหม่ผิดกับพี่ๆ นักข่าวที่ดื่มกันยันเช้าของอีกวันเหลือเกิน

เมื่อถึงเวลาเกรงใจเจ้าของร้านให้ต่างคนต่างแยกย้ายกลับ ความบังเอิญก็ทำให้ผมกับหยกได้ติดรถของรุ่นพี่นักเขียนออกมาเพื่อไปลงยังจุดที่ใกล้บ้านกว่าและเรียกแท็กซี่ได้ง่ายกว่า ผมนั่งข้างคนขับ หยกนั่งหลัง ระหว่างทางที่พี่เขาพยายามขับรถลัดเลาะหลบด่าน พวกผมพยายามชวนคุย แต่ก็โดนแกเบรกว่า ขับรถหลังดื่มต้องใช้สมาธิสูง พวกผมก็เลยนั่งกันเงียบ

แน่นอนล่ะว่าพี่เขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในเรื่องดื่มแล้วขับ แต่สิ่งที่ผมจดจ่อมากกว่าคือการคอยช่วยดูทางให้พี่แก แล้วก็ดูด้วยว่าพี่แกจะหลับในไหม จังหวะที่ผมเห็นว่าน่าจะไม่เป็นไร ผมเหลือบมองกระจกหลังก็เห็นว่าหยกนั่งเล่นมือถืออยู่ ผมเบนสายตากลับมามองถนน ผ่านไปอีกสักพักผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูก พอหันไปมองก็เห็นว่า...หยกกำลังถอดแว่นออกมาเพื่อปาดน้ำตา

ประกอบกับที่เขาวางมือถือลงบนตัก ผมจึงเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอได้ชัด

มันคือ...เพจคำคมสไตล์หว่องๆ มูๆ เพจอื่นที่ไม่ใช่เพจของเขา

ในหัวผมตอนนั้นมีอยู่สองพยางค์

ไอ้เพี้ยน

ด่าในใจยังไม่ทันขาดคำ พี่นักเขียนก็บอกว่าจอดลงตรงนี้นะ พวกผมจึงเก็บข้าวของ...ไม่สิ มีไอ้หยกแหละที่ต้องรีบสวมแว่น จัดแต่งหน้าตาให้ดูเหมือนไม่ได้ร้องไห้ ส่วนผมก็แค่ยกมือไหว้ขอบคุณพี่แกแล้วลงรถมา

หลังจากรถพี่แกขับออกไปแล้ว ผมและหยกก็ยืนกันอยู่สองคนริมถนน เขายืนอยู่ริมขวา ทำเป็นก้มหน้าก้มตา ทำเป็นมองหารถแท็กซี่ ทำเป็นยกนิ้วดันแว่นให้ชิดหน้า จนผมอดไม่ได้ ท้วงไปในที่สุด

“เมื่อกี้อ่านเพจคำคมแล้วร้องไห้เหรอวะ”

คำถามทำให้หยกหันขวับกลับมามองหน้าทันที พร้อมด้วยสายตาเลิ่กลั่ก

“เห็นเหรอ”

“เออดิ”

“อ่า ผมว่าผมเมาแล้วล่ะ” เขาหัวเราะเจื่อนๆ ยกมือขึ้นดันแว่น แต่อยู่ๆ ก็ค้างมือนิ่ง เหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมา “แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องคิดว่าผมเมาก็ได้”

“อ๋อ ไม่เมาก็เพี้ยนอยู่แล้วใช่ไหม ไม่งั้นเขียนเพจคำคมไม่ได้หรอก”

ผมว่า แต่เขาหัวเราะ แล้วยิ้มกว้าง เป็นยิ้มใหญ่โตกว่าเดซิเบลเสียงของเขาอีกแล้ว

“ผมชอบเวลาคุณด่าผมจัง”

แล้วเขาก็พูดแบบนั้น ทำเอาผมอ้ำอึ้งไปชั่วครู่

อะไรวะ

นั่นคือสามพยางค์ในหัว ก่อนที่ปากจะสู้รบปรบมือต่อ

“นี่ไง โคตรเพี้ยน คนปกติที่ไหนเขาชอบโดนด่าวะ”

หยกได้ฟังก็ยังยิ้ม เล็กลงจากเมื่อครู่ ไม่พูดอะไรต่อ พอดีกับที่รถแท็กซี่ว่างคันหนึ่งขับผ่าน เขาโบกมือเรียก ตอนที่รถจอดเทียบฟุตปาธ เขาหันมาถาม

“ให้ผมไปส่งไหม”

ดวงตาหวานเศร้าของเขาจ้องมองผมผ่านเลนส์แว่นกรอบกลม ผมไม่รู้ว่าเจ้าของเพจคำคมที่ผมเกลียดนั้นคิดอะไรอยู่

“คุณท่าจะเมาจริงๆ แล้วล่ะ”

ผมว่า เขาหัวเราะ

แต่สุดท้ายในคืนนั้น ผมก็ให้เขาไปส่งที่บ้าน


**



ถึงแม้การกระทำของหยกจะส่งสัญญาณบางอย่างมา แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเขาก็ปะติดปะต่อกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปในร้านคราฟต์เบียร์ต่างๆ ที่เราบังเอิญเจอ เพราะเราไม่เคยนัดกัน ต่อให้จะมีเฟซบุ้กกันแล้วเพราะมันเด้งแนะนำมาเนื่องจากมีเพื่อนร่วมกันไม่น้อย

การเจอกันส่วนใหญ่มักพ่วงกลุ่มเพื่อนของผม และกลุ่มเพื่อนของเขามาด้วย เรานั่งร่วมโต๊ะ สนุกสนานเฮฮา บางครั้งถกเครียดเรื่องการเมือง บางครั้งก็ถกจริงจังเรื่องไร้สาระ แต่โดยรวมแล้วเป็นวงเหล้าที่บทสนทนาสนุก ต่างจากการพูดคุยกับกลุ่มนักเขียนหน้าใหม่ๆ บางกลุ่มที่มีแต่ความเพ้อพกละเมอฝัน

บางครั้งเมื่อร้านปิด เราแยกย้ายกันกลับ บอกลาด้วยรอยยิ้ม แต่บางครั้งเขาก็ชวนผมไปหาอะไรกิน ส่วนใหญ่เป็นก๋วยเตี๋ยว เขาสั่งเส้นเล็กน้ำไม่งอก ไม่ปรุง ต่อให้เป็นร้านที่ไม่เคยกินก็ตาม และผมก็มักจะอัดน้ำตาลไปสามช้อนราวติดหวานเสมอ

ครั้งหนึ่งผมถามเขาถึงการอ่านเพจคำคมแล้วร้องไห้

“อ้อ...” อีกแล้วที่เห็นสีหน้าเขาเดินทางไปถึงบางอ้อ “เนื้อหาตอนนั้นมันไม่ได้พูดถึงความรักนะครับ พูดถึงเด็กที่โดนรังแกต่างหาก”

“ทำไม อินเหรอ”

“มันน่าจะให้กำลังใจคนที่ถูกรังแกให้ลุกขึ้นมาสู้ได้ดีน่ะ”

“อืม...เหรอ” ผมตอบรับ ครุ่นคิด “เคยโดนรังแกเหรอ”

ตอนนั้นเขาไม่ตอบ ทำเพียงยกยิ้มมุมปากแล้วงับหมูเด้งเข้าปาก ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจถามอะไรต่อ

เมื่อถึงก๋วยเตี๋ยวมื้อถัดไป หลังสำราญคราฟต์เบียร์ ผมถามถึงเรื่องหนังสือคำคมของเขา

“มีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่ง”

“ครับ?”

“ในเมื่อทำงานกอง บก. แท้ๆ แต่ทำไมไม่เอาหนังสือตัวเองตีพิมพ์กับที่นั่นไปเลยล่ะ ก็ใช่ว่าสำนักพิมพ์ไม่รับแนวนั้นไม่ใช่เหรอ”

“อ้อ...” เขาหยุดตะเกียบในมือ “ผมไม่อยากดูเหมือนใช้เส้นน่ะ”

“จริงอะ” ผมหรี่ตามอง ส่งภาษากายบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ ทำเอาเขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“จริงครับ”

“แต่งานของคุณไม่ได้รับการเกลาเลยนะ น่าเสียดาย”

“ไม่หรอกครับ ผมตบตีกับเขาแทบตาย กว่าจะได้งานที่คงความดั้งเดิมไว้มากที่สุด”

“อ้าว แปลว่าคุณตั้งใจงั้นเหรอ?”

“ครับ ผมว่าแบบนั้นดีที่สุดแล้ว” เขาบอก แล้วยกยิ้มมุมปากเหมือนคิดอะไรได้ “ต่อให้คุณจะด่าเละก็เถอะ”

ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่จ้องมองเขาเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะในลำคอดัง ‘หึ’

“อ้าว หึอะไรอะคุณ”

เขาทักท้วงทันที แต่ผมแค่ยิ้มร้าย ตักน้ำซุปขึ้นมาซด ทำให้เขาโวยวายแต่เป็นการโวยวายแบบคนเสียงเบาว่าผมแกล้งเขาอีกแล้ว

ตัวใหญ่ซะเปล่า แต่พูดก็พูดเสียงเบา แถมยังชอบงึมงำอะไรเป็นเด็กๆ เลย

แต่เอาจริง ที่ผมคิดแบบนั้น ทำแบบนั้น คงเป็นการกลบเกลื่อนความประทับใจที่มีต่อเขาล่ะมั้ง

ถึงผมจะยืนกรานว่าเกลียดเพจคำคมแค่ไหน เขาก็ยังยืนกรานในความเป็นตัวเขา ไม่เปลี่ยนตัวตนของตัวเองไปเลย

ผมไม่รู้หรอกว่าเขาชอบผมที่ตรงไหน

แต่ถ้าถามถึงจุดที่ผมจะชอบเจ้าของเพจคำคมสักคนได้ นอกจากหน้าตาที่เป็นเปลือกแล้ว การที่เขายืนกรานในความเป็นตัวเองก็น่าเคารพกว่าการเปลี่ยนตัวตนให้คนอื่นชอบ

ตอนที่เขานั่งแท็กซี่มาส่งผมที่บ้านเหมือนเคย แล้วผมเห็นไฟหน้าบ้านไม่เปิด ทำให้นึกได้ว่าพ่อลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ผมก็หันไปมองหน้าเขา เขาสบตาด้วยแววตาที่มีคำถาม ผมจึงเฉลยให้เขาตกใจเล่น

“มันดึกมากแล้ว ค้างที่บ้านผมไหม”

อีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาชอบผมที่ตรงไหน

แต่ผมเป็นคนแบบนี้แหละ

ไม่ค่อยพุ่งชนสานสัมพันธ์กับใครก่อนต่อให้ถูกใจ

แต่ถ้าคิดจะทำ ผมไม่ถอยเลย



**

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2

แล้วความสัมพันธ์ของเราก็ขยับไปอีกขั้นด้วยการลงมือของผมเอง

ย้ำว่าเป็นการลงมือของผมเองจริงๆ แม้แต่เซ็กส์ที่เรามีกัน

การมีเซ็กส์กับเขา ไม่ได้แซ่บเร้าใจอะไร ผิดกับหน้าตาดูดีที่ใครก็คงคิดว่าเขาผ่านประสบการณ์มาโชกโชน ความจริงแล้วฝีมือเซ็กส์ของเขายังดูเหยาะแหยะ เขาเอาแต่ถามเพราะกลัวผมเจ็บ จนสุดท้ายผมเป็นฝ่ายพลิกขึ้นคร่อมเขาแล้วอยู่บนให้เสียเลย

เขามีสีหน้าอึ้งไปในตอนแรกที่ผมเป็นคนลงมือเอง แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มมุมปาก เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเขายิ้มเจ้าเล่ห์

“ตกลงว่าเราคบกันแล้วใช่ไหมครับ”

เป็นคำถามแรกของเขาหลังจากเราเสร็จกามกิจ

“ข้ามขั้นตอนเนอะ” ผมตอบไม่ตรงคำถาม เขายกยิ้มมุมปาก

“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่สนใจ”

ได้ยินดังนั้น ผมไม่ตอบอะไรอีก เพราะรู้สึกว่าพึงพอใจ แล้วความสัมพันธ์ในฐานะคนรักของเราก็เริ่มจริงๆ ที่ตรงนั้น

จะว่ามันต่างจากก่อนหน้าเป็นแฟนไหม มันก็ต่าง จะว่าไม่ต่าง มันก็อาจไม่ต่าง

เรายังพบกันบ่อยๆ ที่ร้านคราฟต์เบียร์เหมือนเดิม นี่คือที่ไม่ต่าง

เราคุยกันมากขึ้น ไปบ้านของกันและกัน มีอะไรกัน นัดเจอกันจากที่ไม่เคยนัดเจอ นี่คือที่ต่าง

แต่ที่ต่างที่สุด คือการที่เขามักพาผมไปด้วย เวลามีงานแจกลายเซ็นตามงานหนังสือ งานบุ้คแฟร์ต่างๆ

ผมได้เห็นการกระทำของเขาตั้งแต่วันก่อนที่จะไปงาน คือการเลือกเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน เข้าร้านทำผม โกนหนวด กันคิ้ว ตัดผมให้เนี้ยบ วันงานจริงกว่าจะออกจากบ้านก็แต่งตัวเป็นชั่วโมงเพราะการเซ็ตผม ซึ่งก็พยายามเข้าใจเพราะผู้ชายหลายๆ คนเซ็ตผมนานกว่าที่ผู้หญิงแต่งหน้าอีก ขณะที่ผมผูกผมลวกๆ ก็ออกจากบ้านแล้ว จนเขาอยากจะเซ็ตผมให้ แต่ผมปฏิเสธเพราะไม่ชอบเวลาเจลมันทำให้เส้นผมแข็ง

พออยู่ในงาน เขาก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มตลอดเวลาที่พบปะนักอ่านที่เป็นแฟนคลับ แสดงความพูดคุยอย่างใส่ใจ แต่ผมมองแล้วขัดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน แม้กระทั่งการจับมือกับนักอ่าน หรือบางคนขอกอด ผมมองว่ามันน่ารำคาญ

เป็นไอดอลหรือไง

การชื่นชอบใครสักคนที่เนื้อหางาน ทำไมถึงต้องมาอยากกอด อยากจับมืออะไรกันขนาดนั้น และขอยืนยันว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความหึง ผมคงไม่หึงเขากับนักอ่านทุกคนหรอก แค่รู้สึกว่าการกระทำแบบนี้มันไม่ใช่แนวผมเท่านั้นเอง

ตลอดเวลาที่คบเป็นปี เขาไปงานหนังสือ งานบุ้คแฟร์ต่างๆ รวมถึงงานเสวนาในร้านหนังสืออิสระเล็กๆ อยู่บ่อยครั้ง และก็ชวนให้ผมติดตามไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เคยปฏิเสธถ้าไม่ติดงาน

ระหว่างนั้น พฤติกรรมอีกอย่างที่ผมเห็นคือเขามักจะชอบเช็คยอดไลค์ ยอดแชร์ เวลาลงความเรียงสักอย่างในเพจ

วันไหนยอดไลค์น้อยก็จะบ่นงึมงำแบบคนเสียงเบา วันไหนยอดไลค์เยอะก็จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขาไปงานเสวนาในร้านหนังสืออิสระเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังเลิกงาน ผมไปซื้อน้ำมาให้เขาดื่ม พอเดินกลับมาก็พบฉากที่นักอ่านที่มาร่วมงานคนหนึ่งกำลังชวนคุยในหัวการตกหลุมรักนักเขียนจากตัวหนังสือ ตลอดเวลาที่ฟัง ผมถกเถียงในใจตลอด

ถ้าหน้าตาไม่ดี เจอตัวจริงแล้วจะชอบไหม

ถ้านิสัยไม่ได้เป็นอย่างงานที่เขียน จะรู้สึกยังไง

แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ทำให้ขัดใจเท่ากับการที่ผมรู้สึกว่านักอ่านคนนั้นพยายามจะสานต่อความสัมพันธ์กับหยก ซึ่งยังดีที่หยกขอปลีกตัวมาเอง โดยพูดชัดเจนจนใจผมแอบพองฟูว่า ‘แฟนรออยู่’

อย่างไรก็ตาม คืนนั้น ที่ร้านคราฟต์เบียร์ย่านประตูผี ร้านที่ประดับประดาด้วยโคมไฟจีนสีแดงที่เราเจอกันครั้งแรก ผมก็เปิดประเด็นขึ้นมา ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องใส่ใจกับความชื่นชอบของคนอื่นนักหนา

“เคยได้ยินคำศัพท์นี้ไหม ‘เจอกันบนแผง’ น่ะ” ผมถามเขา หลังดื่ม IPA ไปได้ครึ่งแก้ว

“หมายถึงนิตยสารเหรอ”

“ไม่ใช่ คำนี้เป็นคำที่นักหนังสือพิมพ์สมัยก่อนชอบใช้พูดกันตอนที่เจอคู่แข่ง”

“อ้อ... มิน่า ว่าแต่ทำไมต้องเจอกันบนแผงล่ะ” เขาถาม ยกแก้วเบียร์ที่หอมแอปเปิ้ลขึ้นดื่ม

“สิ่งที่บ่งบอกว่านักหนังสือพิมพ์มีความสามารถคือเนื้อหาของข่าว ว่ามีข้อมูลมากน้อยกว่ากันแค่ไหน ใครเจาะลึกกว่า และอีกอย่างคือการเลือกประเด็น เลือกใช้คำที่ดึงดูดผู้อ่านได้มากกว่า การวัดผลก็คือดูยอดขายในวันนั้น ใครเขียนดีกว่า วันนั้นก็ขายดี หมดแผง เขาถึงท้ากันว่า ‘เจอกันบนแผง’ ไง”

“น่าสนใจ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย”

“แหงล่ะ นักเขียนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้หรอก”

“คุณแก่สินะครับ”

“เดี๋ยวนี้กล้าว่าแล้วเหรอ”

เขาหัวเราะเมื่อผมเสียงเขียวใส่

“ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ พูดเรื่องนี้ล่ะครับ” เขาถาม เหมือนรู้ว่าผมมีอะไรจะพูด

“คุณอยากรู้ไหมล่ะ หนึ่งในสาเหตุที่ผมเกลียดเพจคำคมน่ะ”

“ผมว่าผมพอจะรู้”

“แล้วไม่อยากฟังเพิ่มเติม?”

“อยากสิครับ” มุมปากเขายกยิ้มน้อยๆ ผมเลยวางใจที่จะพูดต่อ

“ผมรู้สึกว่านักคิดนักเขียนสมัยก่อน เขาวัดกันที่เนื้องานจริงๆ นักข่าวก็วัดกันที่พาดหัวและความลึกของประเด็นข่าว ส่วนนักเขียนก็วัดหลายอย่าง ทั้งแนวคิด การดำเนินเรื่อง ภาษา แต่นักเขียนสมัยนี้เหมือนสร้างตัวตนขึ้นมาก่อนผ่านโซเชียล ว่าฉันเป็นคนมีสไตล์ฮิปๆ แบบนี้นะ มุมมองความคิดชิคๆ แบบนี้นะ หรือบางทีก็ขายหน้าตา แล้วค่อยขายงาน ซึ่งงานก็ไม่ใช่ว่าดีเด่อะไรด้วย หลายๆ ครั้งเนื้อหาก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แค่มีตัวตน คนเลยตามจากตัวตนไปติดตามผลงาน เหมือนกับว่า...นักเขียนเหล่านี้ต้องการคนมาชื่นชอบโดยใช้ผลงานเป็นตัวกลางเท่านั้นเอง”

“คุณคิดว่านักเขียนเพจคำคม...ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม?”
“ใช่”

“ที่พูดเนี่ย รวมผมด้วยหรือเปล่า”

“รวมสิ ไม่งั้นจะพูดขึ้นมาเหรอ”

การตอบแบบไม่ต้องคิด ทำให้เขายกยิ้มทั้งที่โดนด่า

“ปากร้ายเสมอต้นเสมอปลายเลยนะครับ”

“คุณก็เพี้ยนเสมอต้นเสมอปลาย”

“จะว่าเพี้ยนก็ได้ แต่ขอแก้ต่างผมได้ไหมครับ”

“แก้ต่างว่า?”

“ผมไม่ได้ขายตัวตนแต่แรกนะครับ มีคนเปิดเผยหน้าผมเอง พอมีคนรู้ ผมก็ปกปิดไม่ได้แล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็แต่งตัวเนี้ยบเป็นบ้าเป็นหลังเวลาจะไปไหนไม่ใช่เหรอ”

“คุณหึงเหรอ”

“เหอะ เปล่า” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง “แค่คิดว่าคุณอินกับการที่คนมาชอบมากไปเท่านั้น”

“เขาชอบผลงานของผม ผมก็ดีใจไง แล้วอีกอย่างนะคุณ มีเพจคำคมอีกหลายเพจเลยที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตน แต่ก็มีคนชื่นชอบและติดตาม คุณจะบอกว่าเขาไม่ได้ติดตามผลงานอีกเหรอ”

“ถ้าคุณถามแบบนี้ ผมก็ยืนยันสิ่งที่คิดไว้ไม่เปลี่ยน ผมรู้สึกจริงๆ ว่าเพจคำคมมันไม่มีเนื้อหา ไม่มีอะไรเลย”

จบประโยคนี้ หยกนิ่งไปชั่วครู่ เหมือนคิดอะไรอยู่ ผมแอบแปลกใจเล็กน้อย ย้อนทวนว่าตนเองพูดอะไรผิดไปไหม แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างจากที่เคยๆ พูดมาตลอด จนสุดท้ายเขาก็พูดขึ้น ไม่ต้องตรองอะไรอีก

“เจตน์ก็แค่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า”

“อ่า... ก็คงใช่”

“ยังมีคนอีกมากที่ได้กำลังใจ หรือได้แนวคิดอะไรบางอย่างจากเพจคำคมที่คุณคิดว่ามันดูไม่มีอะไรนะครับ”

“เออ จุดนี้ก็เข้าใจ แต่เพจพวกนี้ชั้นเชิงการเล่าเรื่องมันมักจะธรรมดามาก เพลนๆ อะ บางทีภาษาก็วกวน เอะอะให้ยาวๆ ไว้ก่อนจะได้ดูสวย ทั้งที่จริงไม่ได้มีอะไรเลยด้วยซ้ำ”

“แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะครับถ้ามันธรรมดา ถ้ามันไม่มีอะไร เหมือนที่ผมชอบทานก๋วยเตี๋ยวจืดๆ ก็บางคนเขาชอบทานจืดไง”

เป็นครั้งแรกที่รู้สึกขึ้นมาว่าเขาสู้กลับทางความคิด เพราะปกติเขานิ่งฟังผมตลอด ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ ก่อนจะถกเถียงต่อ

“ผมว่ามันก็แค่งานที่ย่อยมาแล้ว มันอ่านง่าย คนก็เลยอ่านกันมั้ง”

“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าบางทีภาษาของเพจพวกนี้ก็วกวนไม่ใช่เหรอ” เขาไม่ลดละ สีหน้าดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็น และเพิ่งสังเกตว่าเบียร์หวานๆ ในแก้วของเขาไม่พร่องเลยตั้งแต่ผมเริ่มเปิดประเด็น “คุณจำที่ผมเคยพูดได้ไหม ว่าความจริงแล้วงานเขียนข่าวออนไลน์ที่คุณทำอยู่ มันก็ไม่ต่างจากเพจคำคมเท่าไหร่หรอก”

“จำได้ และจำได้ว่าปฏิเสธไปด้วยว่าไม่เหมือน”

“ผมว่าเหมือน” เขาสวนทันควัน เสียงดัง แต่ไม่ใช่ขึ้นเสียง แค่ดังกว่าเสียงเบาที่เป็นปกติ จนผมรู้ว่าเวลานี้ควรฟังเขา ไม่ควรเถียง ถึงสิ่งที่ฟังจะน่าขัดใจก็ตาม “นี่มันยุคออนไลน์แล้วนะคุณ คุณก็รู้นี่เลยเปลี่ยนจากนักข่าวภาคสนามเข้าออฟฟิศมาเป็นแอดมิน แล้วที่ผมบอกว่างานข่าวออนไลน์ กับเพจคำคมเหมือนกันน่ะ มันเหมือนเพราะมันเล่นกับความสนใจของคนเหมือนกัน ที่คุณพาดหัวข่าว คุณก็ต้องคิดมาแล้วว่าพาดแบบนี้คนจะสนใจคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า จะได้ยอดไลค์มากกว่า จนบางครั้งต้องทำเป็นคลิกเบต แล้วมันต่างอะไรกับเพจคำคมของพวกผมที่ก็เล่นกับความสนใจของคน แต่เป็นความสนใจในแง่มู้ดโทนของอารมณ์ ให้เหมือนว่ามีเพื่อนที่คิดและรู้สึกแบบเดียวกันอยู่ มันต่างกันตรงไหนเหรอครับ”

“คุณอย่าพูดว่าข่าวที่ผมทำมันเป็นคลิกเบตนะ มันไม่เหมือนกันเลย” ผมเถียงในจุดที่รู้สึกขัดที่สุด

“โอเค ผมถอนคำพูดว่าคุณทำข่าวคลิกเบต แต่ผมถามซ้ำอีกที มันต่างกันตรงไหน เราผลิตงาน เราก็อยากได้คนสนใจนี่ครับ คุณจะบอกว่าข่าวคือการนำเสนอสิ่งที่คนควรรู้ มีคุณค่ามากกว่าเหรอ เอาจริงๆ นะ ผมว่าพวกเพจคำคมน่ะ ตั้งใจทำมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะที่ทำก็มาจากใจ มาจากสิ่งที่อยากถ่ายทอด ไม่ได้เอะอะอยากพาดหัวล่อเป้าให้คนเข้ามาอ่านแล้วได้ยอดวิวเยอะๆ ให้ได้เงินจากโฆษณาหรอก”
“คุณอย่ามาดูถูกงานผมนะ”

“แต่ตลอดมาคุณก็ดูถูกงานผมนี่ ผมไม่เคยเห็นว่าอะไรเลย”

ถึงจุดนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าเราทะเลาะกัน และเป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงด้วยต่อให้ไม่ได้ขึ้นเสียงหรือขึ้นมึงขึ้นกู เขาชี้ให้เห็นความร้ายกาจของตัวผมเองที่เป็นมาตลอด ซึ่งผมก็เห็นและยอมรับ แต่เขายังพูดต่อ

“ข่าวบางข่าวที่คุณทำน่ะ พาดหัวตีตราเหยื่อ หรือสร้างชื่อให้อาชญากรด้วยซ้ำ คุณชอบจริงๆ เหรอกับการทำงานแบบนั้น มันมาจากใจเหรอ แล้วคุณจะว่าผมได้เหรอ ทั้งที่สิ่งที่ผมทำ มันก็เป็นความชอบของผมจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะอยากเด่นอยากดังอะไรแบบที่คุณว่า”

“แน่ใจเหรอ? ชอบเขียนจริงๆ เหรอ? ไม่ใช่ว่าชอบที่มีคนมาสนใจเหรอ?”

ผมสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าไม่พอใจ กึ่งๆ จะขึ้นเสียง เพราะเมื่อครู่เส้นอารมณ์ก็ถูกแหย่ด้วยคำว่าการทำงานของผมมันไม่ได้มาจากใจ

งานข่าวเป็นงานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเป็นประจำ และการพาดหัวที่เป็นปัญหา พวกเราก็พยายามหาทางออก แต่บางครั้งมันก็มีเงื่อนไขหลายอย่างที่บีบให้ต้องเลือกใช้ถ้อยคำ หรือกระบวนการทำงานแบบเก่าๆ เช่น พื้นที่ไม่พอ พื้นที่บนหน้าออนไลน์ก็ใช่ว่ามีมากล้นไปกว่าพื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์ กรณีที่ตั้งชื่อตั้งฉายาคนร้าย เจตนาหลักก็เพื่อให้คนทั่วไปสนใจข่าว รับรู้ได้ง่ายว่าบุคคลในข่าวคือใคร ทำอะไร ยิ่งเป็นคนร้ายหลบหนีจะได้ระวังตัว แต่กรณีที่ตีตราเหยื่อ ต่อให้มอบเวลาคิดหาความผิดนั้นมาสักชั่วโมง ผมก็คิดได้ทันทีในวินาทีเดียวว่าไม่เคยทำ

“ไอ้การที่คุณเช็คยอดไลค์อยู่แทบจะทุกสามนาทีหลังลงโพสต์คำคมใหม่ๆ การที่คุณเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ตลอดก่อนออกไปงานพบปะนักอ่าน ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ การที่คุณแต่งตัวก่อนออกจากบ้านเป็นชั่วโมงๆ ตอนไปงาน ไม่ใช่ว่าชอบให้คนมาสนใจเหรอ”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่าคนผลิตงานก็ต้องชอบแบบนี้ทั้งนั้นนี่”

“แต่ผมว่าไม่ใช่แค่นั้นว่ะ ผมว่าคุณชอบให้คนมาสนใจมากๆ เพราะคุณรู้สึกว่าได้มีตัวตน สิ่งที่คุณกลัวที่สุดน่าจะเป็นการถูกเมิน อ้อ...หรือว่าตอนเด็กๆ คุณโดนแกล้งโดนบอยคอต คุณก็เลยชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ”

การทะเลาะกันทำให้แม้แต่ประเด็นลบเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวตนของอีกคนถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ราวกับว่าการทะเลาะกันคือการทำร้ายอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ใครทำได้ดีกว่า คนนั้นชนะ

“เจตน์ ถ้าเราจะเป็นกันอย่างนี้ เราเลิกกันไหม”

แต่ครั้งนี้เราเสมอ ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะทั้งนั้น

ผมจ้องหน้าเขาอยู่นานหลังจากที่เขาพูดคำนั้นออกมา รู้เลยว่าเขาโกรธผมมาก มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผมเองก็โกรธเขามากเช่นกัน
อีกอย่าง ความจริงเราน่าจะเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว

“ได้”

ผมจึงตัดสินใจตอบเขาไปแบบนั้น

ตอนเขาได้ฟังคำตอบ ดวงตาหวานเศร้าของเขาจ้องหน้าผมนิ่ง จ้องเหมือนค้นหาอะไรบางอย่างในตัวตนของผม เขาจ้องอยู่เป็นนาทีจนผมเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน นั่นแหละทำให้เขาลุกขึ้น หยิบเงินค่าเบียร์รสโปรดของเขาวางบนเคาน์เตอร์บาร์ แล้วเดินออกจากร้านไป ไม่กลับมาอีก

ตอนนั้นผมคิดว่าผมเองก็คงไม่ได้รักเขาจริง เรื่องแบบนี้เลยทำให้เราเลิกกันได้ ผมจึงไม่ได้ไปง้ออะไร



**



น่าตลกที่ไม่กี่สัปดาห์หลังเลิกกับเขา หนังสือพิมพ์ของสำนักผมก็ปิดตัวลงอย่างถาวร

พ่อของผมที่เคยเขียนข่าวขึ้นหน้าหนึ่งมาตลอด ก็ตัดสินใจเกษียณตัวเองไปพร้อมความตายของหนังสือพิมพ์ อย่างที่เคยคาดการณ์และตั้งใจไว้ตลอด

พ่อบอกว่าคงปรับตัวไปกับโลกออนไลน์ไม่ไหว พ่อเริ่มต้นทำงานด้วยสิ่งพิมพ์ ก็ขอเกษียณไปกับสิ่งพิมพ์อย่างสวยงาม อย่าให้ต้องพยายามปรับตัวอะไรอีกเลย

ขณะเดียวกันพ่อก็บอกว่าแนวคิดของพ่อไม่ใช่แนวคิดที่ดีนัก การไม่ปรับตัวไม่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไหวอยู่ แต่พ่อแก่แล้ว ขอให้ยกเว้นพ่อไว้แล้วกัน

คำพูดของพ่อทำให้ผมสะอึกในใจ ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอะไรบ้าง ผมรู้แค่ว่ามีก้อนบางอย่างอุดตันในลำคอทำให้ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรพ่อไป

แต่ที่น่าตลกอีกอย่างคือ ผมรู้ตัวว่าไอ้ก้อนที่จุกคอนั้นมีความรู้สึกอะไรอัดแน่นอยู่บ้าง ก็ตอนที่พ่อชวนไปกินก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารมื้อแรกหลังจากเกษียณอย่างเต็มตัว เพราะพ่อผมชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นมาก และพ่อมักจะปรุงรสโดยใส่น้ำพริกกะเหรี่ยงลงไป ภาพที่เห็นเป็นภาพชินตา แต่ผมกลับนึกถึงคนที่กินก๋วยเตี๋ยวแบบไม่เคยปรุงอะไรเลยขึ้นมา

พอนึกถึงเขา ผมก็รู้ว่าคำพูดของพ่อที่บอกว่าการไม่ปรับตัวไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ มันทำให้ผมเศร้าเพราะอะไร

เราต่างผลิตงานอยู่ในโลกออนไลน์ และเราต่างต้องการความสนใจมากกว่าที่เคยเป็นในสื่อสิ่งพิมพ์ เราทำทุกวิถีทางเพื่อปรับตัวให้เข้ากับผู้อ่าน ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงไปด้วย

ก้อนสะอึกในลำคอมีแต่ความเศร้า และโหยหา ทั้งโหยหางานสิ่งพิมพ์ที่ค่อยๆ ตายจาก โหยหางานเขียนที่ไม่ว่าเป็นงานของใครแบบไหนก็หวังจะได้รับความรัก และโหยหาเขาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

มื้อนั้นพ่อทักผมว่าทำไมกินก๋วยเตี๋ยวไม่ปรุง

ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะคำตอบของเขามันดังก้องในหัวจนน่ารำคาญ

‘บางคนเขาก็ชอบกินจืดๆ’

ผมคิดถึงหยก

ภาพแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงคือรอยยิ้มมุมปากที่ดูเป็นสไตล์ของเขา และถัดจากรอยยิ้มก็เป็นภาพตอนที่เขาร้องไห้เพราะอ่านเพจคำคม ตอนนั้นผมคิดด่าในใจว่าไอ้เพี้ยน แต่ความจริงแล้วมันน่าประทับใจพิลึก เพราะมันแปลว่าสิ่งที่เขาทำ มันเป็นสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาจริงๆ

ตอนที่เขายืนยันว่างานเขียนในเล่มที่ไม่ผ่านการขัดเกลาคือความตั้งใจของเขา ผมก็ประทับใจเหมือนกัน

ผมคิดถึงเสียงเบาๆ ของเขา กับรอยยิ้มที่ใหญ่โตกว่าเสียงนั้น แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้เขาพูดเสียงดัง และรอยยิ้มหดหายในตอนที่ทะเลาะกัน

ตลอดมาผมเอาแต่ว่าตัวตนของเขา ว่างานของเขา แล้วเขาก็เอาแต่ยิ้มรับ แถมบอกว่าชอบเวลาผมด่า จนผมลืมตัวคิดว่าทำได้ เขาไม่เจ็บไม่อะไร พอมาวันหนึ่งเขาไม่ยอมและว่างานของผมบ้าง ผมกลับรับไม่ได้ในทันที

พอย้อนคิดว่ามีอะไรในตัวตนของเขาที่ผมรับไม่ได้บ้าง เห็นทีก็มีแต่ที่เขาทำเพจคำคมให้คนนิยมชมชอบ อย่างอื่นแทบไม่มีเลย เขาเป็นคนนิสัยดี ไม่โอ้อวด เรียบง่าย มองโลกแง่ดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ส่วนการเป็นแฟน เขาทำหน้าที่แฟนได้ดี ดีจนไม่เหมือนว่ามันเป็นหน้าที่สักนิด มีอะไรก็เปิดเผยให้ผมรับรู้ และไม่เคยปิดบังกับใครเลยว่ามีผมเป็นแฟน

ความคิดถึงทำให้ผมหยิบหนังสือรวมความเรียงสั้นๆ จากเพจคำคมของเขาขึ้นมา เปิดไปยังหน้าที่คั่นหนังสือเอาไว้ มันอยู่กลางเล่ม ซึ่งผมไม่ได้อ่านมันต่ออีกเลยตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาคุยด้วย เพราะผมตีตราไปแล้วว่ามันก็งานสไตล์หว่องๆ มูๆ ไม่ต่างจากเพจคำคมทั่วไป

ทั้งที่ผมเป็นนักข่าวที่ไม่ควรตีตราใคร แต่กลับตีตราแฟนตัวเองซะเอง

ผมกรีดเปิดหน้าถัดไป แล้วบรรจงอ่านงานของเขา พออ่านไปเรื่อยๆ ผมเห็นภาพของชายที่ยืนคุยกับกำแพงเพราะผิดหวังในรัก กับชายที่กินสับปะรดกระป๋องถึง 30 กระป๋องเพื่อรอให้คนรักกลับมา

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การแต่งคอสเพลย์ทางงานเขียนอย่างที่ผมเคยคิด

ชายที่ยืนคุยกับกำแพงเพราะผิดหวังในรัก กับชายที่กินสับปะรดกระป๋องถึง 30 กระป๋องเพื่อรอให้คนรักกลับมานั่นคือสภาพของผมเองในตอนนี้

เมื่ออ่านงานนี้ด้วยดวงตาที่ไร้อคติบดบังก็พบว่างานของเขามีสไตล์ของตัวเอง ไม่ได้เลียนแบบใคร แค่มีกลิ่นอายเหงาๆ อยู่เท่านั้น ผมจึงเหมาเอาเองว่ามันคล้ายหว่องกาไว และมูราคามิไปเสียหมด ซึ่งมันน่าเสียใจและน่าเสียดายเหลือเกินที่ด่วนตัดสินไปเช่นนั้น

แต่พออ่านจบและเดินลงไปข้างล่าง บ้านที่เต็มไปด้วยหนังสือ ทั้งบนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ ทั้งกองพะเนินเป็นคอนโด ทั้งวางตามมุมนั้นมุมนี้ และมีกรอบรูปที่บรรจุหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อสมัย 40 ปีที่แล้วติดอยู่ที่ผนังบ้านเพราะเป็นฉบับแรกที่พ่อผมได้เขียนลงหน้าหนึ่ง ผมก็พอจะรู้ถึงสาเหตุลึกๆ ในใจของตัวเองดีว่าทำไมถึงเกลียดเพจคำคมนักหนา

ที่เคยคิดด่าเขาว่ามีแค่เปลือก ข้างในกลวง แท้จริงแล้วคำนั้นอาจย้อนกลับมาหาตัวเองก็ได้

คืนนั้นผมไปที่ร้านคราฟต์เบียร์ที่ผมกับเขาคุยกันครั้งแรกและเลิกกันที่นั่น สั่งดราฟต์เบียร์ยี่ห้อ Brothers รสแอปเปิ้ลมาดื่ม และทั้งที่ดื่มเบียร์หวานขนาดนี้ แต่ผมกลับนึกถึงตอนที่เขาเล่าถึงประวัติของเบียร์ IPA ได้เป็นฉากๆ

เบียร์ที่มีประวัติน่าเศร้าบ้าบออะไรกัน มันเศร้าเพราะคุณดันมาเล่าอะไรเอาไว้ให้ผมไม่อยากจะดื่มอีกเพราะคิดถึงคุณเกินไปนั่นแหละ

อย่างไรก็ตาม เมื่อผมดื่ม Brothers จนหมดขวด ผมเดินไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้มันสุดไปเลยแล้วกัน

ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นชายที่กินสับปะรด 30 กระป๋องเพื่อรอคนที่รักกลับมาจริงๆ

เพียงแต่นี่เป็นก๋วยเตี๋ยว ไม่รู้ว่าผมต้องมากินทุกวันให้ครบ 30 ชามหรือเปล่า

ไม่นาน เส้นใหญ่เย็นตาโฟก็มาเสิร์ฟบนโต๊ะ เพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่าบนโต๊ะไม่มีชุดพวงเครื่องปรุงวางอยู่ หันซ้ายหันขวาไปมองโต๊ะด้านข้างก็เห็นว่ามีคนกำลังใช้อยู่พอดี ผมจึงหันกลับมา กะเรียกเด็กเสิร์ฟให้จัดการให้ แต่มีคนนำชุดพวงเครื่องปรุงมาวางบนโต๊ะพอดี

“คุณต้องใส่น้ำตาลสามช้อนไม่ใช่เหรอ”

พร้อมกับพูดกับผมด้วยเสียงเบาอันเป็นเอกลักษณ์

เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบชายหนุ่มในชุดเสื้อคอจีนที่ใส่แล้วดันไม่เหมือนอาแปะมายืนอยู่ตรงหน้า

หยก

ผมอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก แต่เขาก็นั่งลงร่วมโต๊ะผมแล้ว แถมเด็กเสิร์ฟยังนำเส้นเล็กไม่งอกมาเสิร์ฟตรงหน้าอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม เราต่างคนต่างไม่ได้หยิบตะเกียบคีบเส้นหรือใช้ซ้อนตักซุปขึ้นมากิน เอาจริงๆ เหมือนเรานั่งนิ่งเพื่อมองหน้ากัน เหมือนว่าตอนก่อนจะเลิกกัน เรายังมองหน้ากันไม่เสร็จมากกว่า

แล้วจังหวะที่ผมตั้งใจจะพูดว่า ‘ขอโทษ’ กับสิ่งที่พูดไปในวันนั้น หยกก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ตอนเด็กๆ ผมเคยโดนล้อว่าหน้าผี เพราะเบ้าตาผมดูลึกกว่าคนอื่นๆ จนเพื่อนพากันไม่อยากเข้าใกล้” เขาพูด พลางยกมือขยับเลนส์แว่น เหมือนต้องการขับให้เห็นว่าดวงตาของเขาเบ้าลึกดังที่ว่า ซึ่งก็ทำเอาผมอยากพูดไปว่าผมเห็นตั้งแต่ครั้งแรก และมองว่ามันเป็นเสน่ห์ตลอดมา

“ตอนนั้นผมเหงามาก มันเป็นความทรงจำที่แย่ ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงมัน ก็เลยไม่เคยเล่าให้คุณฟัง แต่คุณกลับรู้ซะได้ว่าผมเคยโดนแกล้งโดนบอยคอต” เล่าถึงตรงนี้ เขาก็ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เป็นรอยยิ้มบาง  “ผมถึงชอบเวลาคุณด่าผมไง มันจี้ใจดี ผมอาจจะโรคจิตก็ได้ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดสิ่งที่เลวร้ายตรงๆ ผมชอบพูดให้มันดูเป็นเรื่องเล่าที่สวยงาม แล้วใส่แง่มุมดีๆ ของมันลงไป เพราะงั้นก็เลยกลายเป็นเพจคำคมนั่นแหละ แต่...แย่นิดหน่อยที่คุณไม่เคยชอบเพจคำคมของผมเลย”

ทั้งที่สิ่งที่ผมเป็นดูเลวร้ายสำหรับเขา แต่เสียงเบาๆ ของเขากลับเล่ามันออกมาด้วยน้ำเสียงแบบคนมองโลกในแง่ดีอีกแล้ว

เล่นเอาใจผมปวดแปลบไปหมด

“มีเรื่องหนึ่งที่คุณไม่รู้” ผมตัดสินใจเกริ่นขึ้น ไม่อยากให้เขาจมอยู่กับสิ่งที่ผมเคยกระทำไว้ “ผมเคยคิดด้วยนะ...ว่าคุณ ‘มีแต่เปลือก ข้างในกลวง’ แต่สุดท้ายผมก็พบว่าผมนี่แหละที่ข้างในกลวง”

เขานิ่งเงียบ ฟังผม ดวงตาหวานเศร้าจ้องผ่านเลนส์แว่น และคราวนี้ผมไม่หลบตาเขาอีก

“ที่ผมเกลียดพวกเพจคำคม เพราะผมก็แค่กลัว ซึ่งที่จริงมันเป็นความกลัวที่ไร้สาระมาก ผมกลัวว่าวันหนึ่ง ในอนาคตอันใกล้ บนชั้นวางของร้านหนังสือ จะมีแต่หนังสือแนวนี้เต็มไปหมด ไม่มีหนังสือดีๆ บนชั้นวางอีกเหมือนกับที่สื่อสิ่งพิมพ์ค่อยๆ ตายจากไป ซึ่งนั่นแหละ...หนังสือที่ผมคิดว่าดีก็คือดีตามนิยามของผมเอง ไม่เคยสนเลยว่าหนังสือแนวแบบที่คุณเขียนมันมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ไม่เคยเปิดใจยอมรับเลย คงคล้ายกับเรื่องของนักดนตรีร็อคที่มักจะเกลียดขี้หน้านักดนตรีป๊อบล่ะมั้ง ทั้งที่นักดนตรีป๊อบส่วนใหญ่เปิดใจฟังดนตรีได้ทุกแนว ดนตรีจึงพัฒนาไปได้ไกลกว่า ขณะที่นักดนตรีร็อคก็ย่ำอยู่ที่เดิม สุดท้ายผมจึงพบว่าความรักในหนังสือของผมมันเหมือนเป็นแค่เปลือกเลย”

ผมเล่าออกไปยืดยาว ซึ่งเขาก็ตั้งใจฟัง ฟังจนก๋วยเตี๋ยวน่าจะเส้นเริ่มอืด แต่หลังจากผมเล่าจบ เขาก็ยังนิ่ง ครุ่นคิดอีกชั่วครู่ ก่อนเอ่ยออกมา

“เพราะคุณรัก คุณก็เลยกลัวล่ะมั้งครับ คุณไม่ได้กลวงหรอก”

แม้แต่ตอนนี้ เขายังมองโลกในแง่ดี ทำเอาผมอยากร้องไห้

ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ผมอยากได้ยิน

“แต่ตอนนี้ ผมเลิกกลัว แล้วเปิดใจแทนแล้วนะ” ผมจึงพูดคำที่หวังว่าเขาจะอยากได้ยินเหมือนกัน “ผมอ่านหนังสือของคุณจบแล้ว ผมชอบมากกว่าที่คิด”

เอ่ยจบ หยกนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร เหมือนเขาครุ่นคิดบางอย่าง เหมือนหาคำตอบ อาจจะสงสัยว่าที่ผมพูดว่าชอบงานของเขานั้นเป็นความจริง หรือแค่ชดเชยความเลวร้ายที่ทำไว้ แต่สุดท้าย เขาก็พูดออกมา

“ตอนแรกผมกลัวแทบแย่ว่าคุณจะไม่คุยกับผมอีก” หยกเอ่ยบอก “ผมไม่กล้าติดต่อคุณ สุดท้ายเลยทำได้แค่มาร้านที่เราเคยมา พอได้เห็นว่าคุณดื่มเบียร์ที่ผมชอบ ทั้งที่คุณเคยบอกว่ามันหวาน ผมก็เลยคิดว่าต้องมาคุยกับคุณแล้ว”

“เลยโผล่มาพร้อมชุดเครื่องปรุงน่ะเหรอ”

“ก็ใช่... ผมลังเลอยู่ ตอนแรกว่าจะเดินไปนั่งข้างๆ แล้วสั่ง IPA แต่คุณก็ออกจากร้านมาแล้วก้าวฉับๆ ข้ามถนนมาสั่งก๋วยเตี๋ยวอย่างเร็ว เหมือนหิวอะ”

พอได้ฟังสิ่งที่เขาเล่าด้วยเสียงเบาที่ใส่อารมณ์เล็กๆ ตรงท้ายประโยค ทำให้ดูเหมือนบ่นงึมงำตามนิสัยของเขา ประกอบกับสิ่งที่เขาเล่ามันดูผิดที่ผิดทาง หมดความโรแมนติก ผมจึงหัวเราะ ก่อนที่เขาจะยกยิ้มแล้วบ่นๆ ว่า ‘หัวเราะอะไรกันคุณ’ ซึ่งมันก็ทำให้ความตึงเครียดและเกร็งก่อนหน้านี้อันตรธานหาย

“จะว่าไป คุณก็ไม่ต้องกลัวแล้วนะว่าจะไม่มีหนังสือดีๆ อ่าน” หยกพูดขึ้น

“ทำไมล่ะ”

“ต่อไปนี้ผมจะเขียนหนังสือดีๆ ให้คุณอ่านเองครับ”

ได้ฟัง ผมรู้สึกว่าใจตัวเองพองโตราวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามที่กำลังอืด ฟังดูเป็นการเปรียบเปรยที่น่าขำ แต่ก็นั่นแหละ ผมดีใจ แต่ก็ขำเขินกับความมั่นใจของเขา ส่งเสียง ‘โห’ เป็นเชิงแซว จนเขาเขิน แกล้งตักพริกพูนๆ ขึ้นมาทำเป็นจะเทใส่ชามก๋วยเตี๋ยวของผม จนผมต้องบอกว่าไม่แกล้งแล้วๆ และก็บอกว่าผมอยากอ่านงานของเขาจริงๆ

ซึ่งสิ่งที่พูดไปทั้งหมด เป็นความสัตย์จริง

จะงานจากเพจคำคมหรืออะไรก็ตาม ถ้าเป็นงานของเขา ผมก็อยากอ่านทั้งหมด

โดยไม่มีอคติใดๆ มาบดบังอีกแล้ว








**********************************************
สวัสดีค่ะ ถ้าชอบติชมได้นะคะ
ถ้าไม่สะดวกคอมเม้น ติดแฮชแท็ก #ผมเลิกกับเขาเพราะเกลียดเพจคำคม ในทวิตเตอร์ได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
โชคดีที่ได้ปรับความเข้าใจกัน  :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Rainebay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นงานเขียนที่ดีมาก ๆ เลยครับ
ชอบวิธีการเขียนที่ค่อย ๆ เผยข้อเสียของตัวละครออกมา ตอนแรกรู้สึกเบาบางมากจนแทบจับสังเกตไม่ได้ และค่อย ๆ ชัดขึ้นในภายหลัง
และก็การบรรยายความรู้สึกและวิธีการรับมือต่อข้อเสียของตัวละครนั้นก็ทำได้ดีมาก ๆ สมจริงจนทำให้เหมือนเห็นตัวเองเวลาอ่านเลยครับ (เพิ่งมารู้ว่าตัวเองอคติหนามากก็คราวนี้แหละครับ 5555)
ประเด็นเรื่องสิ่งตีพิมพ์และงานเขียนออนไลน์ก็น่าสนใจมากครับ แม้ว่าอาจจะไม่ใช่พ้อยต์หลักของเรื่องนี้ก็ตาม 5555
ขอบคุณมากนะครับ เหมือนจะได้แง่คิดอะไรใหม่ ๆ หลายอย่างเลยละครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด