[11 Apr 20] Falling for you again... รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย (Prologue-Ch.25)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [11 Apr 20] Falling for you again... รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย (Prologue-Ch.25)  (อ่าน 5345 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4:
 :3123:

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้เช่นกันนะคะ ^^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 22: Am I the reason you are crying out ?

หรงหยางเซิงนั่งไขว่ห้างอ่านเอกสารจากไอแพดภายในรถยนต์คันหรู งานประมูลก่อสร้างที่อยู่อาศัยตามโครงการของรัฐเริ่มใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่พอมีศักยภาพต่างก็เล็งยื่นข้อเสนอราคาสู้ศึกในการประมูลครั้งนี้ รวมถึงบริษัทตระกูลหรงด้วย หรงหยางเซิงตั้งใจกับโปรเจ็กส์นี้เป็นพิเศษเพราะนี่เป็นงานชิ้นแรกที่จะพิสูจน์ฝีมือของเขาให้ผู้ถือหุ้นและกรรมการบริหารยอมรับในฐานะประธานบริษัท

“ผู้จัดการแจ้งว่าเสร็จงานแล้วครับ กำลังลงลิฟต์มา” เกาเสิ่นที่นั่งอยู่เบาะคู่คนขับเหลียวหน้ามารายงานผู้เป็นเจ้านาย หรงหยางเซิงพยักหน้านิดๆ

หลังจากนั้นไม่กี่นาที เสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นเมื่อไป๋เฟิงอี๋ปรากฏตัว แฟนคลับหลายคนพยายามเบียดเข้าไปรุมถ่ายรูปชายหนุ่ม แต่บอดี้การ์ดช่วยกันเอาไว้ได้ ไป๋เฟิงอี๋สาวเท้ายาวๆ เพื่อไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่นอกตึกของสถานีโทรทัศน์ แต่แล้วรถคันหนึ่งก็เคลื่อนมาจอดดักหน้า กระจกรถถูกคนด้านในกดเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย

“ขึ้นมาสิ”

“อาหยาง...” ระหว่างที่กำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น ไป๋เฟิงอี๋ก็ถูกเหลายี่รุนหลังให้ขึ้นรถของหรงหยางเซิง ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงต้องเลยตามเลย เมื่อเข้ามานั่งเรียบร้อยในห้องโดยสาร รถก็เคลื่อนออกจากตรงนั้นทันที ทิ้งให้เหลายี่รับมือกับกองทัพแฟนคลับที่ยังส่งเสียงกรี๊ดดังตามหลังไม่หยุด “นายมาได้ยังไง”

“นั่งรถมา” ไป๋เฟิงอี๋เดาะลิ้นให้กับการตอบยียวนกวนประสาทแบบหน้าตายของอีกฝ่าย ไม่คิดเลยว่าประธานหรงจะมีมุมอะไรแบบนี้ด้วย

“ยังดีไม่ตอบว่าเหาะมา” เอาสิ กวนมาเขาก็กวนกลับได้ “ตกลงนายมาได้ยังไง แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
   
“ฉันให้เกาเสิ่นเช็กตารางงานของนายจากผู้จัดการส่วนตัว พอดีฉันมาทำธุระแถวนี้พอดี เลยแวะมารับกลับด้วยกัน”
ไป๋เฟิงอี๋ขมวดคิ้ว ไม่เห็นเหลายี่บอกเรื่องนี้กับเขาสักคำ หรือผู้จัดการส่วนตัวตั้งใจจะเซอร์ไพรส์เขาอีกคน
   
“แล้ววันนี้นึกใจดีอะไรถึงมาชวนกลับด้วยกัน” ไป๋เฟิงอี๋หรี่ตามองไปทางหรงหยางเซิงที่นั่งอยู่ด้วยกันข้างๆ ร้อยวันพันปี หรงหยางเซิงไม่เคยเข้าหาเขาก่อน พูดจาดีๆ ด้วยก็แทบนับครั้งได้ แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามารอเขากลับบ้านพร้อมกัน
   
“ฉันมีธุระจะคุยกับนาย”
   
“คุยที่บ้านก็ได้นี่นา เอ... หรือว่านี่จะเป็นวิธีง้อของใครบางคน” หรงหยางเซิงไม่พูดอะไร แต่สีหน้าที่เข้มขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่ายก็ทำให้ไป๋เฟิงอี๋พอจะรู้คำตอบแล้ว ชายหนุ่มแอบยกยิ้มมุมปาก ท่าทางของหรงหยางเซิงน่าแกล้งชะมัด
   
“อยากกลับบ้านเลยไหม หรืออยากแวะทานข้าวเย็นก่อน”
   
“ทานข้าวก่อนแล้วกัน หิวจะแย่” หรงหยางเซิงมองไป๋เฟิงอี๋ที่ทำท่าลูบท้องป้อยๆ แล้วอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
   
“นายเลือกสิ”
   
“งั้นขอเป็นหม้อไฟเผ็ดๆ แล้วกัน อยากกินมาตั้งหลายวันแล้ว”

เกาเสิ่นทำหน้าตาประหลาดพิกลแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร ผู้ช่วยหนุ่มจัดการลองค้นหาร้านหม้อไฟชื่อดังจากอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็จัดการโทรไปจองโต๊ะแบบไพรเวทให้เรียบร้อยโดยที่หรงหยางเซิงไม่จำเป็นต้องออกปากสั่งอีกรอบ ใช้เวลาไม่นาน ทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ในร้านหม้อไฟในที่สุด



แม้จะโทรจองโต๊ะล่วงหน้าไม่นาน แต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่ทางร้านยังจัดโซนไพรเวทให้ ดังนั้น ไป๋เฟิงอี๋จึงค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกแอบถ่ายมากนัก ผู้ร่วมโต๊ะหม้อไฟมื้อนี้มีแค่เขาและหรงหยางเซิง เกาเสิ่นไม่ได้ร่วมด้วยทั้งที่ปกติจะตามติดผู้เป็นนายอยู่เป็นประจำ คงเพราะหรงหยางเซิงออกปากว่าต้องการคุยธุระส่วนตัวกับเขา

หม้อไฟหม่าล่ากำลังเดือดปุดๆ ตรงหน้า ไป๋เฟิงอี๋คีบเนื้อลงไปจุ่มแช่จนได้ที่แล้วเอาขึ้นมาวางพักในชาม ตอนแรกหรงหยางเซิงคิดว่าอีกฝ่ายจะคีบเนื้อเข้าปาก ที่ไหนได้ไป๋เฟิงอี๋กลับดันชามนั้นมาตรงหน้าเขา
   
“ชามนี้ให้เจ้ามือ”
   
“ขอบคุณ”
   
“ทำหน้าเหมือนไม่อยากกินอย่างนั้นแหล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋มองคู่สนทนาที่ยังไม่มีท่าทีจะแตะต้องเนื้อชิ้นนั้น “เอาเถอะ งั้นเรามาคุยกันก่อนก็ได้ พูดธุระของนายมาสิ”
   
“ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันยังไม่ได้มีโอกาสคุยกับนายอย่างจริงจังเสียที” ไป๋เฟิงอี๋วางตะเกียบลงกับจาน หัวใจรู้สึกหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว
   
“เรื่องไหนล่ะ ช่วงนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน”
   
“เรื่องแรกก็คือเรื่องพ่อ ขอบคุณ...” ที่นายอยู่ข้างๆ และคอยเตือนสติในยามที่ฉันเคว้ง หรงหยางเซิงสบตาไป๋เฟิงอี๋ที่มองตอบกลับมาเช่นกัน “เรื่องที่สองคือเรื่องหุ้นบริษัท ขอบคุณอีกครั้งที่นายช่วยช้อนซื้อหุ้นแทนฉัน แล้วยังไปขอร้องให้แม่นายช่วยสนับสนุนฉันอีกด้วย” เรื่องที่คุยกับฮั่วเซียงหลิงที่ดาดฟ้าของบริษัทในวันนั้นยังประทับอยู่ในใจของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋คุกเข่าขอร้องมารดาเพื่อเขา ขณะที่ฮั่วเซียงหลิงก็ขอร้องเรื่องบางอย่างจากเขาเพื่อลูกชายของหล่อน...
   
“ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นสิ่งที่ฉันสมควรทำ”
   
“แล้วก็เรื่องที่สาม... เรื่องระหว่างเรา” ไป๋เฟิงอี๋เผลอกัดริมฝีปากแน่น หม้อไฟตรงหน้าไม่ได้อยู่ในความสนใจอีกต่อไป “ขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น ฉันไม่ควร...”
   
“ถ้าขอโทษเพราะรู้สึกผิด แล้วแต่แรกทำไมถึงทำล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋เองก็รู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้มาสักพักตั้งแต่เกิดเรื่อง เขารู้ว่าอีกฝ่ายก็คงคิดแบบเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคนเย่อหยิ่ง ปากหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยทองพันชั่งอย่างหรงหยางเซิงไม่มีทางยอมพูดเรื่องแบบนี้แน่ๆ
   
“แค่คิดว่านายไปกับจ้าวถิงเกอ ฉันก็อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยพานโมโหจนเกิดเรื่อง”
   
“เรื่องวันนั้น... นายแค่โมโหเท่านั้นเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋กำลังคาดหวังบางอย่างอยู่ในใจเงียบๆ คาดหวังว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึก ‘ลึกซึ้ง’ ให้เขาบ้าง แค่สักนิดก็ยังดี
   
“ฉัน...”
   
“เอาเถอะ ถือว่าฉันยอมรับคำขอโทษก็แล้วกัน” ไป๋เฟิงอี๋ระบายลมหายใจแผ่ว เป็นเขาเองที่สุดท้ายยังใจไม่แกร่งพอจะฟังคำตอบของหรงหยางเซิง คำตอบจากปากของคนตรงหน้าเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด ทว่าก็กลัวมากที่สุดเช่นกัน ตั้งแต่รู้จักกันมา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหรงหยางเซิงก็ย่ำแย่มาโดยตลอด แต่ถึงยังไงไป๋เฟิงอี๋ก็ยังอยากจะรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ แม้มันจะเปราะบางที่พร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อ แต่ก็สัมผัสได้ว่าครั้งหนึ่งมันมีอยู่จริง
   
“อาเฟิง” เป็นครั้งแรกที่หรงหยางเซิงเรียกเขาด้วยสรรพนามเช่นนี้ “นายช่วยลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดได้ไหม”
   
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากดวงตากลมโตสีน้ำตาลของไป๋เฟิงอี๋ ก้อนความรู้สึกกำลังแล่นขึ้นมาจุกบริเวณลำคอ ดวงตาที่ยังคงจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของหรงหยางเซิงค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยม่านน้ำตาจนพร่ามัว
   
“ลืมทุกอย่างอย่างนั้นเหรอ”
   
“ใช่ ฉันอยากให้นายลืม” หรงหยางเซิงสบตากับคนที่นั่งหลังตรงอยู่เบื้องหน้า ดวงตาสีดำสนิทบัดนี้ไม่มีเค้าความเย็นชาเหมือนที่เคย ชายหนุ่มค่อยๆ ยกยิ้มแล้วเอ่ยประโยคที่ไป๋เฟิงอี๋ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ยินตลอดชั่วชีวิตนี้ “ลืมทั้งหมดไปเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้ไหมอาเฟิง”
   
สิ้นประโยคนั้น ไป๋เฟิงอี๋ก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ




หลังจากยอมลืมเรื่องในอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่ หรงหยางเซิงก็พบว่าตัวเองยิ้มง่ายขึ้นกว่าทุกวัน แม้เรื่องที่ฮั่วเซียงหลิงเป็นสาเหตุทำให้มารดาของเขาต้องตรอมใจตายจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจลืมได้ลง แต่หรงหยางเซิงก็พยายามบอกตัวเองว่าฮั่วเซียงหลิงก็ส่วนฮั่วเซียงหลิง ไป๋เฟิงอี๋ก็ส่วนไป๋เฟิงอี๋ น้ำใจที่ไป๋เฟิงอี๋มอบให้ เขาในตอนนี้กลับใจไม่แข็งพอที่จะมองข้ามเหมือนเช่นอดีต
   
หรงหยางเซิงเคยถามตัวเองหลายครั้งหลังจากที่เขากับไป๋เฟิงอี๋มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งในคืนนั้นว่าทำไมถึงได้ปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้ คืนนั้นเขาโมโหที่ไป๋เฟิงอี๋ออกไปกับจ้าวถิงเกอสองต่อสอง ตอนแรกก็พอบอกได้ว่าเพราะอารมณ์โมโหที่เคยเตือนหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมเชื่อฟัง แต่หลังจากนั้นหรงหยางเซิงรู้ดี มันมีอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
   
โมโห... หึงหวง... และหลงรัก...
   
ทุกครั้งที่หรงหยางเซิงคิดมาถึงตรงนี้ เขากลับไม่กล้าคิดต่อ รู้เพียงว่าความรู้สึกต่อไป๋เฟิงอี๋ค่อยๆ เปลี่ยนจากความชิงชังในช่วงวัยรุ่นเป็นความรู้สึกห่วงกังวลเมื่ออีกฝ่ายอยู่ไกลจากสายตา และค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอบอุ่นในใจในทุกครั้งที่เขาเผชิญปัญหาแต่ยังเห็นว่าอีกฝ่ายคอยยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่จากไปไหน หรงหยางเซิงไม่แน่ใจ... แบบนี้ใช่ความรักหรือเปล่า
   
เสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือทำให้หรงหยางเซิงหลุดจากภวังค์ความคิด ไป๋เฟิงอี๋ส่งข้อความมาบอกว่าใกล้จะถึงเวลาถ่ายทอดสดของรายการวาไรตี้ชื่อดังที่อีกฝ่ายไปร่วมออกรายการแล้ว ใช้เวลาถ่ายทอดสดประมาณสองชั่วโมง จากนั้น
ไป๋เฟิงอี๋จึงมีคิวว่างไปพบเขาตามนัดได้
   
หรงหยางเซิงละมือจากเอกสารเรื่องการประมูลโครงการก่อสร้างของภาครัฐที่กำลังพิจารณาอยู่แล้วหยิบไอแพดมากดเข้าลิ้งค์ไปยังเว็บที่กำลังเริ่มถ่ายทอดสดรายการวาไรตี้ ไป๋เฟิงอี๋ได้รับเชิญไปร่วมงานในฐานะนักแสดงดาวรุ่งชื่อดัง วันนี้แฟนคลับของฝ่ายนั้นตามไปให้กำลังใจในสตูดิโอจนคับคั่ง เวลากล้องแพนไปยังด้านล่างสเตจ ป้ายไฟชื่อไป๋เฟิงอี๋ก็โดดเด่นขึ้นมาและยิ่งเปล่งประกายระยิบระยับยามกระทบกับแสงสปอร์ตไลท์ที่สาดส่อง
   
“มาถึงคำถามเกี่ยวกับความรักกันบ้าง แฟนๆ จำนวนไม่น้อยเลยที่อยากจะรู้เกี่ยวกับทัศนคติความรักของคุณ เช่นว่าถ้าหากคุณกำลังแอบชอบใครสักคน คุณจะเลือกเก็บเงียบไว้กับตัว หรือจะบอกความรู้สึกเหล่านั้นออกไป”

ทั้งสตูดิโอเริ่มเงียบเสียงเมื่อพิธีกรโยนคำถามนี้มาให้ไป๋เฟิงอี๋ ทุกคนต่างรอลุ้นว่าไป๋เฟิงอี๋จะตอบคำถามนี้อย่างไร เพราะที่ผ่านมานักแสดงหนุ่มค่อนข้างหลีกเลี่ยงการตอบคำถามกับสื่อเกี่ยวกับประเด็นความรักมาโดยตลอด ทว่าคราวนี้ไป๋เฟิงอี๋กลับคลี่ยิ้มละมุน ไมค์ถูกจ่อนิ่งตรงริมฝีปาก...

ก๊อกๆ

หรงหยางเซิงเงยหน้าจากจอไอแพดแล้วส่งเสียงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ เกาเสิ่นเข้ามารายงานว่าตอนนี้รถพร้อมแล้ว หรงหยางเซิงมีนัดกับคู่ค้าจากบริษัทซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างในช่วงบ่ายวันนี้ หลังเสร็จงานในตอนเย็นแล้วจึงค่อยไปเจอกับใครอีกคน

“นี่เป็นเอกสารเรื่องงบประมาณที่ท่านประธานต้องเซ็น ส่วนนี่เป็นสรุปย้อนหลังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทเราและบริษัทคู่ค้าที่จะไปเจอวันนี้ ผมทำสรุปมาเผื่อช่วยได้บ้างครับ”

หรงหยางเซิงเอ่ยขอบใจ เกาเสิ่นเป็นผู้ช่วยที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยมและมักรู้ใจเขาเสมอ ไม่เว้นแม้แต่

“เอ่อ ถ้าท่านประธานอยากดูถ่ายทอดสดให้จบก่อน เดี๋ยวผมจะ...”

“ไม่ต้องหรอก ไปกันเถอะ” หรงหยางเซิงกดหยุดการสตรีมมิ่งรายการถ่ายทอดสดเอาไว้แค่นั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะดูต่อ ในเมื่อเขาได้ฟังคำตอบของไป๋เฟิงอี๋อย่างชัดเจนแล้ว...

“ถ้าผมมีคนที่ชอบ ไม่ว่าจะพูดความรู้สึกออกไปหรือไม่ แต่เค้าคนนั้นก็จะรู้สึกได้ในที่สุด เพราะว่าผม... ซ่อนความรู้สึกไม่เป็น”


Aislin: สวัสดีวันเสาร์นะคะ หวังว่าทุกคนจะแฮปปี้กับวันหยุดสุดสัปดาห์เนอะ ช่วงนี้ไวรัส covid ระบาดหนักเลย ยังไงกักตัวอยู่บ้านก็สามารถอ่านนิยายสนุกๆ แก้เบื่อได้นะคะ ^^

   มาว่าถึงนิยายตอนล่าสุดดีกว่า อาหลงก็เปิดใจขอคบ เอ้ย ขอทำความรู้จักกับอาเฟิงใหม่แล้ว อาเฟิงถึงขั้นน้ำตาแตกเลยจ้า แบบว่าที่รอมาตลอดหลายปี ในที่สุดก็เค้าก็เริ่มสนองตอบบ้างแล้ว เดี๋ยวตอนหน้ามาลุ้นกันต่อนะคะ เรื่องจะค่อยๆ หวาน มัน ผสมเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ฝากติดตามด้วยเน้อ

ปล. ขอขายของอีกหน่อย (เราจะขายจนกว่าคุณจะซื้อ!) ฮาๆๆๆ เรื่องนี้เปิด pre-order อยู่นะคะ ราคาพิเศษเล่มละ 380 บาท สามารถกดเข้าไปดูรายละเอียด คลิ๊ก หรือที่แฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon (เราปักหมุดไว้หน้าเพจเลย) หรือที่ Twitter (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) / ช่วยอุดหนุนต่อความฝันของนักเขียนตาดำๆ กันหน่อยนะคะ ^0^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 23: Sweet dream
   
บริเวณชั้นสูงสุดของตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานประธานกรรมการบริหารในเวลาช่วงหัวค่ำปราศจากผู้คน เนื่องจากผู้เป็นเจ้านายออกไปเจรจาธุรกิจตั้งแต่บ่ายและสั่งไว้ว่าวันนี้จะไม่กลับเข้าออฟฟิศอีก ดังนั้นเลขาฯ หน้าห้องจึงพลอยได้อานิสงส์เลิกงานเร็วไปด้วย เงาร่างหนึ่งค่อยๆ เดินปลายเท้าไปตามทางเดินที่ทอดยาวโดยมีจุดหมายอยู่ที่ห้องประธานกรรมการฯ วันนี้เป็นโอกาสทองสำหรับการลงมือ
   
ประตูห้องทำงานที่ถูกควบคุมด้วยการเข้ารหัสระบบรักษาความปลอดภัยถูกปลดล็อกได้อย่างง่ายดาย ภายในห้องทำงานมืดสนิท และผู้บุกรุกก็ไม่กล้าเปิดไฟเพราะกลัวว่าหากมีแสงสว่างลอดออกไปด้านนอก ถ้ามีคนผ่านมาอาจจะผิดสังเกต ดังนั้น แสงไฟดวงเล็กจากโทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นที่พึ่งในเวลาเช่นนี้
   
เงาร่างนั้นเคลื่อนกายผ่านโซฟารับแขกไปยังโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่กลางห้องก่อนจะเริ่มลงมือค้นหาสิ่งที่ต้องการ สมองก็พยายามนึกว่าคนอย่างหรงหยางเซิงจะเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน เวลาผ่านไปสักพักแต่ก็ยังไม่พบของสิ่งนั้น ดังนั้น เป้าหมายต่อไปสำหรับการค้นหาก็คือตู้เอกสารขนาดใหญ่ที่มุมด้านหนึ่งของห้อง
   
แฟ้มเอกสารจำนวนมากถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่บนชั้นวาง เงาร่างนั้นหยิบแฟ้มออกมาพลิกดูคร่าวๆ ทีละแฟ้มและสังเกตเห็นว่าเอกสารพวกนี้ถูกจัดเรียงเอาไว้ตามปี เนื้อหาภายในแฟ้มเป็นเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างของบริษัทตั้งแต่อดีตเริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน ทว่าเหล่านี้กลับไม่มีสิ่งที่ผู้บุกรุกต้องการ แต่แล้วชั้นเอกสารบนสุดที่ถูกตั้งล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนากลับสะกิดใจคนมองอย่างบอกไม่ถูก ดังนั้น มันจึงใช้อุปกรณ์งัดแงะที่พกมาด้วยในกระเป๋ากางเกงจัดการสะเดาะกุญแจและหยิบสิ่งที่เจ้าของห้องซ่อนไว้ออกมาดู

เป็นสิ่งที่ต้องการจริงๆ ด้วย
   
อย่างน้อยการเสี่ยงแอบเข้ามาในห้องทำงานของประธานฯ ได้ผลไม่เลวนักเพราะบัดนี้เอกสารที่ต้องการมาอยู่ในมือของมันเรียบร้อยแล้ว โทรศัพท์มือถือถูกกดเข้าสู่โหมดถ่ายภาพ จากนั้นก็ค่อยๆ ถ่ายเอกสารที่ละแผ่นอย่างใจเย็น มันไม่กล้าเสี่ยงขโมยเอกสารต้นฉบับออกไปเพราะถ้าหากหรงหยางเซิงรู้ตัวหรือผิดสังเกตขึ้นมา หายนะอาจมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว

หลังจากบันทึกเอกสารทั้งหมดลงโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว มันก็รีบเก็บแฟ้มเข้าที่แล้วล็อกกุญแจตามเดิม เมื่อตรวจตราแล้วว่าไม่ทิ้งร่อยรอยใดๆ เอาไว้ก็ค่อยคลายใจลง แต่ยังไม่ทันได้หลบฉากออกไป เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นบริเวณหน้าห้อง มันจำได้ดีว่าเป็นเสียงของหรงหยางเซิง ส่วนอีกเสียงน่าจะเป็นผู้ช่วยเกาเสิ่น

กริ๊ก

เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้น คนที่เข้ามาคนแรกก็คือเกาเสิ่นนั่นเอง ผู้บุกรุกรีบถอยไปย่อตัวหลบอยู่หลังโซฟาตัวใหญ่ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ใบหน้ามีเหงื่อเม็ดโตผุดซึมเพราะไม่คิดว่าเจ้าของห้องจะหวนกลับมาในเวลาแบบนี้

“ท่านประธานไม่น่าต้องลำบากขึ้นมาเอาเอง ให้ผมขึ้นมาหยิบให้ก็ได้ หรือไม่ก็วันพรุ่งนี้ค่อย...”

“พอดีเป็นเอกสารสำคัญน่ะ เลยไม่อยากทิ้งเอาไว้ที่นี่” ถึงไม่บอก เกาเสิ่นก็พอจะเดาได้ว่าคงเป็นเอกสารสำคัญมาก ไม่อย่างนั้นผู้เป็นเจ้านายคงไม่สั่งให้วนรถกลับมาที่บริษัททั้งที่มีนัดพิเศษกับใครบางคนที่ป่านนี้คงกำลังรออยู่

ตอนนี้ทั่วทั้งห้องทำงานถูกเปิดไฟจนสว่างไสว หรงหยางเซิงเดินไปไขรหัสแม่กุญแจเพื่อหยิบเอกสารที่ต้องการจากตู้ ขณะที่บุคคลที่สามภายในห้องกำลังค่อยๆ คลานเข่าไปยังอีกด้านหนึ่งของโซฟาอย่างเงียบเชียบเพราะตรงที่ซ่อนตัวเดิมอาจไม่รอดพ้นจากรัศมีการมองเห็นของหรงหยางเซิง

“เสร็จแล้ว นายโทรเรียกคนขับรถได้เลย” เกาเสิ่นรับคำแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจัดการตามที่เจ้านายสั่ง

“รถพร้อมแล้วครับ” หรงหยางเซิงพยักหน้าก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องทำงานไป โดยมีเกาเสิ่นเดินตามหลังไปติดๆ และเมื่อทั้งห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบและมืดสนิทอีกครั้ง คนที่ซ่อนตัวอยู่ก็ค่อยโผล่หน้าออกมาและระบายลมหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่แอบบันทึกเอกสารพวกนั้นเอาไว้หมดแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีโอกาสอีกเพราะหรงหยางเซิงเอาแฟ้มนั้นติดมือกลับบ้านด้วย 
เกือบโดนจับได้แล้วเชียว



ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาดเข่ากำลังยืนหลบมุมอยู่ที่บริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้มาส์กสีดำก้มลงต่ำพลางขยับหมวกแก็ปสีเดียวกันให้เข้าที่ ท่าทางโดดเด่นสะดุดตาทำให้เขาเป็นที่จับตาของใครหลายคนที่เดินผ่านไปมา เจ้าของร่างสูงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเล่นฆ่าเวลา คนที่เขารอยังมาไม่ถึงเสียที...
   
ไป๋เฟิงอี๋ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา อีกไม่นานภาพยนตร์ก็จะเริ่มฉายแล้ว ร่างสูงจึงตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งรอในโรง หวังว่าอีกฝ่ายคงจะไม่เบี้ยวนัดเขาหรอกนะ
   
ภาพยนตร์ที่เขาเลือกดูเป็นแนวพีเรียดผสมแฟนตาซี เรื่องนี้เข้าฉายมาได้สักพักแล้ว ประกอบกับรอบที่เลือกดูเป็นรอบดึก ดังนั้นด้านในโรงจึงมีคนค่อนข้างบางตา เมื่อภาพยนตร์เริ่มฉายไปได้สักพัก เก้าอี้ข้างๆ ไป๋เฟิงอี๋จึงค่อยมีคนมาจับจอง
   
“นึกว่าจะไม่มาแล้วเสียอีก” ไป๋เฟิงอี๋พูดโดยไม่หันมองผู้มาใหม่
   
“มาสิ ก็สัญญาไว้แล้ว” หรงหยางเซิงตอบโดยไม่มองคู่สนทนาเช่นกัน ทั้งคู่ให้ความสนใจกับภาพยนตร์ตรงหน้าที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ความเงียบเข้าคั่นกลางคนทั้งคู่จนกระทั่ง...
   
“หนาวเหรอ” หรงหยางเซิงถามเสียงเบาเมื่อมองผ่านความมืดแล้วเห็นว่าคนข้างกายยกมือขึ้นกอดอก ทำท่าลูบต้นแขนไปมา
   
แอร์ในโรงภาพยนตร์ค่อนข้างหนาว ไป๋เฟิงอี๋สวมเพียงเสื้อยืดตัวบาง ไม่แปลกที่ร่างกายจะเริ่มสั่นนิดๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร มือของชายหนุ่มก็ตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ที่คว้าไปกุมไว้เงียบๆ

“อาหยาง...”
   
“ดีขึ้นไหม” ไป๋เฟิงอี๋รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงทุ้มนั้นฟังดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ สัมผัสที่ส่งมาทางฝ่ามือทำให้หัวใจของชายหนุ่มอบอุ่นขึ้นมาทีละนิด
   
“อือ หายหนาวแล้ว” แม้จะได้ยินอย่างนั้น แต่หรงหยางเซิงก็ยังคงกุมมือข้างนั้นไว้จนภาพยนตร์ฉายจบ บัดนี้ไป๋เฟิงอี๋เข้าใจแล้วว่าทำไมคู่รักถึงชอบมาเดทกันในโรงภาพยนตร์

บางครั้งเราก็ไม่ได้ชอบหนังเรื่องนั้น... แต่เราชอบความสุขของการได้ใช้เวลาร่วมกันต่างหาก

เขาชอบความรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าคาดหวังให้อีกฝ่ายคิดแบบเดียวกัน แค่หรงหยางเซิงยอมให้เขาเข้าใกล้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ถ้าหากนี่เป็นความฝัน มันก็เป็นฝันดีที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งชีวิต...



เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหรงก็เป็นเวลาล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่ ไป๋เฟิงอี๋เริ่มรู้สึกง่วงนิดๆ แต่เมื่อเหลียวหน้าไปมองคนข้างกาย กลับเห็นว่าหรงหยางเซิงยังหยิบเอาแฟ้มเอกสารที่เบาะด้านหลังรถติดมือขึ้นไปบนห้องนอนด้วย

“ดึกแล้วยังจะทำงานต่ออีกเหรอ”

“อืม ยังมีงานต้องเคลียร์ให้เสร็จน่ะ”

“ขอโทษนะที่รบกวนเวลางานของนาย” สายตาคำถามของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ยอมอธิบายต่อ “หมายถึงเรื่องที่ชวนนายไปดูหนังวันนี้” ไป๋เฟิงอี๋ลืมนึกไปเลยว่าตอนนี้หรงหยางเซิงขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารฯ เวลาว่างคงไม่สามารถหาได้ง่ายๆ แค่การปลีกตัวไปดูหนังกลับต้องแลกมาด้วยการหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนดึกดื่น

“ไม่ต้องขอโทษหรอก นานๆ ได้ไปดูหนังในโรงบ้างก็ดีเหมือนกัน”

“นายคงเหนื่อยมากสินะ” หรงหยางเซิงอายุเท่ากันกับเขาแต่กลับต้องรับภาระยิ่งใหญ่ในฐานะผู้นำตระกูลหรง เรื่องการเสียชีวิตของบิดาบุญธรรมก็ยังหาคนร้ายมาปิดคดีไม่ได้ ไหนจะเรื่องวุ่นๆ ที่บริษัท โดยเฉพาะหรงหยางลี่ที่ยังคอยหาโอกาสเอาคืนอยู่ตลอด สิ่งที่หรงหยางเซิงกำลังเผชิญเรียกได้ว่าหนักหนากว่าคนวัยเดียวกัน ไป๋เฟิงอี๋จึงไม่คิดอยากให้อีกฝ่ายต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก

“ชินแล้วล่ะ” หรงหยางเซิงยกยิ้มมุมปากแล้วพูดต่อโดยที่ดวงตายังจับจ้องในทุกอิริยาบถของคู่สนทนา “ขอบใจที่เป็นห่วง”

“ฉันพูดตอนไหนว่าเป็นห่วง” ไป๋เฟิงอี๋รู้สึกว่าสองข้างแก้มของตนเองร้อนซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด ดวงตาสีดำสนิทราวถ่านกำลังทอประกายบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจความหมายได้เลย

หรงหยางเซิงหัวเราะเบาๆ ในคอแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เป็นไป๋เฟิงอี๋ที่ตกใจกับปฏิกริยากะทันหันแบบนั้นของร่างที่สูงกว่า

“มันสะท้อนอยู่ในดวงตาของนายหมดแล้วอาเฟิง” ไป๋เฟิงอี๋เผลอเม้มริมฝีปากด้วยความขัดเขิน บ้าชะมัด... นักแสดงเจ้าบทบาทอย่างเขามาแพ้ทางการหยอกเย้าของผู้ชายเคร่งขรึมอย่างหรงหยางเซิงได้อย่างไรกัน “เขินหรือไง” หรงหยางเซิงไล้ปลายนิ้วไปตามริมฝีปากได้รูปของไป๋เฟิงอี๋ สัมผัสนั้นทำเอาไป๋เฟิงอี๋แทบหยุดหายใจ

“ปะ... เปล่าซะหน่อย” คนถูกรุกรานผินหน้าไปอีกทางเพราะกลัวว่าหากปล่อยให้หรงหยางเซิงหยอกเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงเป็นเขาเองที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่

“เข้าห้องเถอะ ดึกมากแล้ว” หรงหยางเซิงบอกเมื่อตอนนี้ทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมาถึงหน้าห้องนอนของไป๋เฟิงอี๋ เจ้าของห้องพยักหน้าทั้งที่ยังไม่กล้าสบตาคู่สนทนาตรงๆ

“เอ่อ... ฝันดีนะอาหยาง” ไป๋เฟิงอี๋พูดงึมงำก่อนรีบเปิดประตูหนีเข้าห้องไป ทิ้งให้หรงหยางเซิงยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาที ใบหน้าที่เคยเย็นชาเป็นนิจ บัดนี้กลับแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ฝันดีอาเฟิง”



จ้าวถิงเกอเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจที่กำลังอ่านอยู่เมื่อลูกน้องเข้ามารายงานว่าคนที่เขารอ บัดนี้เดินทางมาถึงแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วบอกให้เชิญแขกเข้ามาพบเขาที่ห้องโถงรับรองในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวได้เลย

“เรื่องที่ฉันให้ไปจัดการ มีความคืบหน้ายังไงบ้าง” จ้าวถิงเกอพูดเข้าเรื่องทันที คนตรงหน้าไม่มีค่าพอให้เขาเสียเวลาด้วยมากนักหรอก

“ฉันเอาข้อมูลแผนงานประมูลก่อสร้างโครงการภาครัฐของฝ่ายนั้นมาได้แล้วค่ะ” จ้าวถิงเกอตาวาวขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ฟังข่าวดีจากอีกฝ่าย

“ทำดีมากจุ้ยฮวา” เสียงทุ้มเอ่ยชม แล้วสั่งให้หญิงสาวนั่งลงที่โซฟารับแขก

จุ้ยฮวานั่งลงด้วยท่าทางประหม่า ไม่บ่อยนักที่ ‘นาย’ จะอนุญาตให้ลูกน้องนั่งเทียบเสมอตน ดูท่าวันนี้เรื่องที่เธอแอบขโมยข้อมูลลับของบริษัทตระกูลหรงมาสำเร็จคงทำให้จ้าวถิงเกออารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย หญิงสาวส่งซองเอกสารที่เธอพิมพ์ออกมาจากรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือให้จ้าวถิงเกอรับไปดู ชายหนุ่มกวาดตาดูสักพักก็แน่ใจว่าไม่ผิดแน่ คราวนี้จุ้ยฮวาทำงานสำเร็จ

“ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ เธอแอบเอามาได้ยังไง”

“ฉันแอบเข้าไปในห้องทำงานของประธานหรงตอนที่เขาไม่อยู่ แล้วก็ทันได้เห็นข้อมูลชุดนี้ก่อนที่ประธานหรงจะย้อนกลับมาเก็บมันไป” จุ้ยฮวาเล่าเรื่องที่ตนแอบเข้าไปในห้องทำงานของหรงหยางเซิงให้จ้าวถิงเกอฟังตั้งแต่ต้นจนจบ คราวนี้ต้องถือว่าโชคเข้าข้างที่นอกจากจะเอาข้อมูลลับพวกนี้ออกมาได้ จุ้ยฮวายังรอดจากการถูกจับในฐานะสายลับอีกด้วย

จ้าวถิงเกอฟังด้วยสีหน้าที่คู่สนทนาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก ตอนแรกจ้าวถิงเกอแอบหวั่นใจว่าการส่งจุ้ยฮวาเข้าไปเป็นสายลับในบริษัทตระกูลหรงจะเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาดเพราะวันหนึ่งหญิงสาวอาจเปลี่ยนใจมาทรยศตนเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนกับไป๋เฟิงอี๋ ดังนั้น ชายหนุ่มจึงลองใจจุ้ยฮวาโดยการสั่งให้หญิงสาวหาวิธีขโมยแผนงานประมูลโครงการรัฐมาให้ได้ ซึ่งการที่อีกฝ่ายทำสำเร็จก็ทำให้เขาคลายความหวาดระแวงลงได้บ้าง

“แล้วหรงหยางเซิงระแคะระคายเรื่องนี้บ้างไหม” จุ้ยฮวารู้ดีว่าจ้าวถิงเกอหมายถึงเรื่องที่เธอลอบเป็นสายลับให้กับตระกูลจ้าว หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ

“ดีแล้ว เธอเองก็ระวังตัวให้ดี หรงหยางเซิงไม่ใช่คนที่เราประมาทได้ง่ายๆ”

จุ้ยฮวารับทราบ เดิมบิดาของเธอเป็นพนักงานในสังกัดบริษัทตระกูลจ้าว ภายหลังที่บิดาเสียชีวิต ครอบครัวของเธอก็ประสบปัญหาหลายเรื่อง โดยเฉพาะวิกฤติทางการเงิน โชคดีที่เจ้านายเก่าของบิดายื่นมือเข้าช่วยเหลือ ดังนั้น เธอจึงยอมทำงานเป็นสายลับคอยรับใช้จ้าวถิงเกอ แต่นึกไม่ถึงว่าคนที่เธอต้องหลอกก็คือเพื่อนเก่าสมัยมัธยม การเจอกันที่คลับวันนั้นระหว่างเธอกับไป๋เฟิงอี๋เป็นการจัดฉากตั้งแต่แรก เธอไม่ได้ถูกคุณชายเฉินลวนลาม แต่นี่เป็นหนึ่งในแผนการที่จ้าวถิงเกอตั้งใจส่งเธอเข้าไปแฝงตัวทำงานในบริษัทตระกูลหรงโดยใช้ความใจดีของไป๋เฟิงอี๋เป็นเครื่องมือ

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“เดี๋ยว ฉันยังมีอีกเรื่องที่อยากถาม” จ้าวถิงเกอยกมือขึ้นกอดอกแล้วจ้องจุ้ยฮวาเขม็ง สายตาคมกริบประดุจมีดโกนทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาทันที “เธอรู้เรื่องที่ไป๋เฟิงอี๋แอบเอาเครื่องดักฟังมาซ่อนไว้ในรถของฉันหรือเปล่า” จุ้ยฮวา
พยักหน้า ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องโกหกในเรื่องนี้

“อาเฟิงเป็นคนขอให้ฉันถอดข้อความจากเครื่องดักฟัง”

“พวกนั้นรู้อะไรมากน้อยแค่ไหน”

“เครื่องดักฟังทำงานได้แป๊บเดียวก็ถ่านหมด ข้อความที่อัดมาก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรและคงใช้เป็นหลักฐานเอาผิดไม่ได้เหมือนกัน คุณเลิกกังวลได้เลย”

“ส่งไฟล์พวกนั้นมาให้ฉัน แล้วฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าควรต้องกังวลหรือไม่” จ้าวถิงเกอเอ่ยเสียงเย็นก่อนโบกมือให้จุ้ยฮวาออกไปได้ หญิงสาวจึงทำความเคารพผู้เป็นนายแล้วล่าถอยออกจากห้องโถงรับรอง ทิ้งให้จ้าวถิงเกอคิดคำนวณบางอย่างในใจเงียบๆ คนเดียว

แววตาของผู้เป็นนายทำให้จุ้ยฮวาหวั่นใจไม่น้อย การที่ไป๋เฟิงอี๋กล้าเล่นกับไฟด้วยการเอาเครื่องดักฟังไปซ่อนไว้ในรถของจ้าวถิงเกอก็คงไม่ได้จินตนาการถึงผลลัพท์ที่อาจตามมา จุ้ยฮวารู้ดีว่าคนอย่างจ้าวถิงเกอไม่ยอมตกเป็นฝ่ายตั้งรับเพียงอย่างเดียวแน่ ในทางกลับกันชายหนุ่มจะหาวิธีเอาคืน และแม้เธอจะห่วงเพื่อนเพียงไร แต่การสารภาพทุกอย่างกับไป๋เฟิงอี๋ตามตรงก็ไม่ใช่สิ่งที่จุ้ยฮวาเลือกทำอยู่ดี เพราะเธอไม่อาจทรยศต่อผู้มีพระคุณได้เช่นกัน


Aislin: สวสดีค่ะ มาอัพนิยายให้แล้วนะคะ หวังว่าจะมีคนรอติดตามอยู่เนอะ ตอนนี้อาหยางกับอาเฟิงไปเดทกันแล้วววววว ฮิ้วววว ความสัมพันธ์ก็คืบหน้าไปแล้วอ่ะเนอะ แค่เค้าบอกฝันดีกัน อิชั้นก็กร๊าวใจ ฮาๆๆๆ แต่ตอนนี้ก็เฉลยออกมาแล้วว่าจุ้ยฮวาเป็นสายลับให้กับจ้าวถิงเกอ บอกเลยว่าเรื่องนี้มีหักมุมไปมาหลายตอน เล่นเอาหัวหมุนพอควร เอิ๊กๆ

ใครชอบนิยายเรื่องนี้ ฝากไปอุดหนุนฉบับรูปเล่มด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ คลิ๊ก หรือว่าอิซลินปักหมุดให้แล้วในแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon หรือใน Twitter ที่ @aislin_novel (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) เปิดพรีออเดอร์ถึง 20 เม.ย.63 เท่านั้นนะคะ ^^ ส่วนใครรอแบบ E-book ก็รบกวนรออีกนิด เพราะต้องรอให้รูปเล่มเสร็จเรียบร้อยก่อนค่ะ เดี๋ยวจะมาแจ้งอีกทีแล้วกันเนอะ / แล้วเจอกันค่ะ



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4:
 :3123:
ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนิยายเช่นกันนะคะ เรื่องนี้เงียบเหงามาก แงงง (T^T)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 24: Trust me

การลืมเพื่อเริ่มต้นใหม่เป็นสิ่งที่ทางปฏิบัติอาจจะทำได้ยากสักหน่อย แต่ไป๋เฟิงอี๋ก็พยายามทำตามที่หรงหยางเซิงบอก วันนั้นอีกฝ่ายขอให้เขาลืมเรื่องทั้งหมดแล้วเริ่มต้นจดจำใหม่อีกครั้ง เขาตกปากรับคำอย่างง่ายดายจนตัวเองยังขัดใจ ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไม่ใจอ่อนเดินกลับไปสู่วังวนความรักที่หาทางออกไม่ได้แบบเมื่อห้าปีก่อน แต่แววตาจริงใจคู่นั้นกลับทำให้ความตั้งใจเดิมของเขาพังทลายลงอย่างง่ายดาย หรงหยางเซิงคงต้องรู้แน่ๆ ว่าเขาไม่เคยใจแข็งกับเจ้าตัวได้เลยสักครั้ง และนั่นยิ่งทำให้เขาต้องทนวนเวียนจมอยู่กับความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
   
ไป๋เฟิงอี๋กล้าพอที่จะยอมรับความรู้สึกตรงๆ ว่าตัวเองยังคงรักหรงหยางเซิงไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าความรู้สึกของอีกฝ่าย เขากลับยังไม่แน่ใจ ในใจไป๋เฟิงอี๋คิดเข้าข้างตัวเองหลายครั้งว่าการได้อยู่ใกล้ชิด ได้ผ่านเรื่องราวหลายอย่างร่วมกันอาจทำให้
หรงหยางเซิงพอจะเริ่มมีใจให้เขาบ้าง แต่อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่ฝ่ายนั้นมาทำดีด้วย ยอมลดท่าทางเย็นชาลง นั่นเป็นเพราะอยากตอบแทนที่เขาช่วยเหลือเรื่องที่บริษัทและอยากไถ่โทษกับความไม่ตั้งใจในคืนนั้น ครั้นให้ออกปากถามไปตรงๆ
ไป๋เฟิงอี๋กลับไม่กล้าเพราะกลัวว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าจะพลันสลายไปหากหรงหยางเซิงไม่คิดเหมือนกันกับเขา... ถ้าเป็นความฝัน เขาก็ยังอยากอยู่กับมันให้นานอีกสักนิด
   
“คิดอะไรอยู่เหรออาเฟิง” ไป๋เฟิงอี๋สะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงฮั่วเซียงหลิงที่บัดนี้มานั่งข้างๆ เขาบนโซฟารับแขกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “แม่เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน”
   
“เปล่าครับ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
   
“แล้ววันนี้ไม่ต้องออกไปทำงานเหรอ” ฮั่วเซียงหลิงรู้ว่าไป๋เฟิงอี๋เริ่มกลับมารับเล่นซีรีส์เรื่องใหม่อีกครั้ง ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาลูกชายจึงยุ่งกับการฟิตติ้งและซ้อมท่องบท ไม่นึกว่าวันนี้อีกฝ่ายจะมานั่งใจลอยอยู่คนเดียวที่ห้องรับแขกของบ้าน
   
“รอรถที่บริษัทมารับน่ะครับ”
   
“แล้ววันนี้จะกลับเร็วไหม แม่จะได้รอทานข้าวพร้อมลูก”  ไป๋เฟิงอี๋ส่ายหน้า
   
“เสร็จจากสตูดิโอก็น่าจะดึก แม่ไม่ต้องรอนะครับ เดี๋ยวผมหาทานเองได้” ฮั่วเซียงหลิงพยักหน้า ไป๋เฟิงอี๋โตเป็นหนุ่มเต็มตัว มีหน้าที่การงานที่กำลังไปได้ดี แม้เธอจะวางใจแต่ก็อดเป็นห่วงลูกชายคนเดียวไม่ได้ การทำงานในวงการบันเทิงเป็นสิ่งไม่จีรังในความคิดของเธอ สำหรับอาชีพนักแสดงถ้าหากผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว นอกนั้นก็มีแต่ลงกับลง แต่เมื่อไป๋เฟิงอี๋อยากจะเดินบนเส้นทางสายนี้ต่อไป เธอก็คงขัดใจอะไรไม่ได้
   
“แล้วอาเฟิงของแม่ทำงานหนักขนาดนี้ จะมีเวลาหาไปจีบใครเขาบ้างไหมเนี่ย”
   
ก็มีอยู่คนนึง จีบเขามาตลอด ทุกวันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนเสียที ไป๋เฟิงอี๋หัวเราะเบาๆ รอยยิ้มกว้างขับเน้นให้ใบหน้าชายหนุ่มยิ่งละมุนกว่าเดิม ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ได้เอ่ยในสิ่งที่ใจคิดออกไปให้มารดารับรู้
   
“ถ้าหากผมมีคนรักตอนนี้ อนาคตในวงการคงดับสนิทแน่นอน”
   
“เอาเถอะๆ เราน่ะโตแล้ว ยังไงก็นึกถึงเรื่องนี้เอาไว้บ้างนะ” ฮั่วเซียงหลิงค้อนขวับ บรรดาลูกชายของเพื่อนๆ เธอก็เริ่มมีการออกเดทและแต่งงานไปบ้างแล้ว ใจจริงเธอก็อยากให้ไป๋เฟิงอี๋รีบเป็นฝั่งเป็นฝา ให้กำเนิดเด็กชายหน้าตาหน้ารักให้ผู้เป็นย่าอย่างเธอชื่นใจ แต่ในเมื่อลูกชายยังไม่คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ไม่อยากเร่งรัดอะไรมาก
   
“แล้วอาหยางล่ะครับ มีไปดูตัวลูกสาวบ้านไหนไว้บ้างหรือเปล่า” ฮั่วเซียงหลิงถอนหายใจ
   
“สมัยที่คุณพ่อยังอยู่ก็มีขอให้แม่สื่อนัดดูตัวให้อาหยางบ้าง แต่โดนอาหยางล่มงานทุกรอบ อาหยางก็คงเหมือนอาเฟิงนั่นแหล่ะ จริงจังกับการทำงานจนลืมว่าหน้าที่ให้กำเนิดทายาทสืบสกุลก็สำคัญเหมือนกัน”
   
ไป๋เฟิงอี๋ลอบกลั้นยิ้มเมื่อเผลอนึกถึงใบหน้าเย็นชาประดุจน้ำแข็งสลักของหรงหยางเซิงยามถูกบังคับให้ไปดูตัว คำบอกเล่าของมารดาทำให้เขาอุ่นวาบในใจ อย่างน้อยหรงหยางเซิงก็ยังไม่มีเจ้าของ แต่จะเป็นไปได้ไหมที่คนๆ นั้นจะเป็นเขา
   
“อ้อ เกือบลืมไปเสียสนิท อาทิตย์หน้าเป็นวันครบรอบร้อยวันการเสียชีวิตของคุณพ่อ แม่เลยอยากจะไปทำบุญที่สุสาน อาเฟิงไปด้วยกันกับแม่นะ” เมื่อพูดถึงการเสียชีวิตของเจ้าสัวหรงหยางเค่อ ฮั่วเซียงหลิงก็เสียงสั่นขึ้นมานิดๆ
   
“แล้วอาหยางล่ะครับ”
   
“แม่บอกไปแล้ว แต่อาหยางก็เฉยๆ อาหยางคงไม่อยากไปกับเราหรอกลูก” ฮั่วเซียงหลิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหรงหยางเซิงก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าที่อยู่ร่วมชายคาไปวันๆ หากเลี่ยงได้ เธอก็เห็นว่าการไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายกับหรงหยางเซิงน่าจะเป็นการดีกว่า อีกฝ่ายก็คงคิดแบบเดียวกัน ไป๋เฟิงอี๋ถอนหายใจ ชายหนุ่มคว้ามือมารดาไปกุมไว้แล้วสัญญาว่าจะเคลียร์งานพามารดาไปเคารพศพเจ้าสัวหรงหยางเค่อด้วยกัน
   


หลังเสร็จงานถ่ายแบบที่สตูดิโอก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ไป๋เฟิงอี๋บอกให้รถของบริษัทขับไปส่งที่สปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง สปอร์ตคลับแห่งนี้ตั้งอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ภายใต้แบรนด์ของตระกูลหรง มีกฎว่าผู้ใช้บริการจะต้องเป็นเมมเบอร์ที่พักอยู่คอนโดฯ แห่งนี้ แต่เขาที่เป็นคุณชายรองตระกูลหรงกลับได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ
   
ไป๋เฟิงอี๋หยิบกระเป๋าใส่ชุดออกกำลังกายขึ้นพาดบ่า ช่วงที่ผ่านมาวุ่นวายกับหลายเรื่องจึงไม่ค่อยมีเวลาเข้าฟิตเนสมากนัก วันนี้คงต้องรื้อฟื้นกันสักหน่อย เวลาฟิตติ้งเสื้อผ้าออกกล้องจะได้ดูดีสมบทบาท ชายหนุ่มเดินไปเก็บของในล็อกเกอร์แล้วเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกาย หลังจากโทรถามพิกัดของคนที่นัดเขามาที่นี่ก็ได้ความว่าฝ่ายนั้นรออยู่ที่บริเวณสระว่ายน้ำของสปอร์ตคลับ
   
เมื่อเดินเรื่อยมาถึงบริเวณสระว่ายน้ำก็พบว่าใครคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาและแผงอกกำยำครึ่งหนึ่งที่โผล่พ้นผิวน้ำคลอรีนทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ โชคดีที่ตอนนี้มืดแล้ว อีกฝ่ายคงไม่สามารถสังเกตเห็นสีหน้าเขาได้ชัด ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรเช่นกัน
   
“มาช้านะ” หรงหยางเซิงว่ายน้ำมาตรงขอบสระ ไป๋เฟิงอี๋เปลี่ยนเป็นย่อตัวลงนั่งยองๆ เพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับคู่สนทนา
   
“รถติดน่ะ”
   
“ว่ายน้ำด้วยกันไหม”
   
“มาว่ายน้ำตอนอากาศหนาวแบบนี้เนี่ยนะ”
   
“ในสระมีเครื่องควบคุมอุณหภูมิ ไม่หนาวเท่าไหร่หรอก”
   
“แต่นายก็รู้ว่าฉันว่ายน้ำไม่เป็น” เรื่องนี้ทำให้ไป๋เฟิงอี๋อดนึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเกือบจมน้ำตายเมื่อห้าปีก่อนไม่ได้ น้ำคลอรีนที่เข้าหูเข้าปากทำให้เขาหายใจไม่ออก ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาหมดแรงตะเกียกตะกายอยากมีชีวิตรอดก็คือสายตาเย็นชาที่มองมาของหรงหยางเซิงนั่นแหล่ะ
   
“ฉันรู้ แต่นายไม่อยากลองพยายามหน่อยเหรอ”
   
“ไม่ล่ะ ฉันเข้าไปในฟิตเนสดีกว่า นายว่ายเสร็จแล้วก็เข้าไปตามฉันในนั้นก็แล้วกัน”
   
“ไป๋เฟิงอี๋” เสียงเรียกจากสระน้ำทำให้เจ้าของชื่อชะงักฝีเท้า ไป๋เฟิงอี๋หันไปมองจึงพบว่าหรงหยางเซิงยื่นมือส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้มแบบที่หาได้ยากยิ่ง “เชื่อใจฉัน”
   
เชื่อใจฉัน เพียงประโยคนี้ก็ทำให้ไป๋เฟิงอี๋ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ชายหนุ่มค่อยๆ หย่อนตัวลงไปในสระน้ำทั้งที่ยังอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นออกกำลังก่อนจะพบว่าเขาสูงพอที่จะใช้ขาแตะพื้นได้ ทุกการเคลื่อนไหวมีมือแข็งแรงของหรงหยางเซิงให้เกาะกุม เสมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันปล่อยมือข้างนี้หรือทิ้งให้เขาจมอยู่ใต้น้ำอีกต่อไป
   
“มา ลองหัดจากการลอยคอในน้ำก่อน” หรงหยางเซิงอธิบายให้ไป๋เฟิงอี๋ลองทำตาม แม้คนถูกสอนจะยังกังวลใจกับการต้องมาเรียนว่ายน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เพราะเชื่อมั่นในตัวหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋จึงพยายามรวบรวมความกล้า
   
“อื้อ อึกๆ” ทุกครั้งที่ร่างของเขาจมลงไปในสระและน้ำทะลักเข้าทั้งทางจมูกและปาก ความทรงจำในอดีตจะผุดย้อนกลับเข้ามาโจมตีในหัวเป็นระลอก 
   
“ไม่เป็นไร ลองใหม่นะอาเฟิง” หรงหยางเซิงให้กำลังใจ และเมื่อหัดแบบเดิมๆ อยู่หลายครั้ง ไป๋เฟิงอี๋ก็เริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น คราวนี้หรงหยางเซิงอยากให้ไป๋เฟิงอี๋ลองด้วยตัวเองบ้าง “คราวนี้ฉันจะปล่อยมือ นายก็แค่ลองลอยตัวแบบเดิม ไม่ยากเลยใช่ไหม”
   
“ฉันจะพยายาม” หรงหยางเซิงยิ้มให้กำลังใจแล้วค่อยๆ ปล่อยมือที่เกาะกุมไป๋เฟิงอี๋ออก

ไป๋เฟิงอี๋สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพยายามทำท่าลอยคอเพื่อพยุงตัวในน้ำ แม้ปลายเท้าจะแตะพื้นสระ แต่ชายหนุ่มก็ยังกังวลอยู่ดี ภาพเหตุการณ์จมน้ำเมื่อตอนเด็กฉายสลับกับภาพการจมน้ำที่สระของโรงเรียนเมื่อห้าปีก่อน

“อาหยาง ชะ... ช่วยด้วย ฉะ... ฉัน...” ไป๋เฟิงอี๋เสียงสั่น เมื่อห้าปีก่อนเขาเคยเรียกหรงหยางเซิงให้ช่วย ไม่นึกว่าผ่านไปหลายปี เขาก็ยังคงยึดติดกับอีกฝ่ายไม่คลาย

น้ำที่ทะลักเข้าไปในจมูกและปากทำให้ไป๋เฟิงอี๋แสบจมูกและคอ ชายหนุ่มครางเรียกชื่อหรงหยางเซิงซ้ำๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่น ไป๋เฟิงอี๋แนบหน้าลงสัมผัสกับอกกว้างของคนตรงหน้า เสียงหัวใจของหรงหยางเซิงที่ดังเป็นจังหวะคงที่ทำให้ไป๋เฟิงอี๋รู้สึกใจสงบขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรนะ ฉันอยู่นี่แล้ว” หรงหยางเซิงลูบไหล่ลาดของคนในอ้อมกอดอย่างปลอบประโลม เขาผิดเองที่บังคับไป๋เฟิงอี๋มากเกินไป ถึงแม้จะหวังดีแต่ก็ควรจะรู้ขีดจำกัดของอีกฝ่ายด้วย
   
“ฉัน... ทำไม่ได้” ไป๋เฟิงอี๋กัดริมฝีปาก ความรู้สึกและความหวาดกลัวการจมน้ำยังคงตามมาเล่นงานเขาอยู่ ชายหนุ่มขืนตัวออกมาจากอ้อมกอดนั้น แล้วสบตาคนตรงหน้า “นายคงผิดหวังในตัวฉันมากเลยใช่ไหม เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้”
   
“นายเคยจมน้ำก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา มันไม่เกี่ยวว่าง่ายหรือยากหรอก” หรงหยางเซิงจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาล คำพูดที่เอ่ยออกมาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “แต่ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่ง นายจะเอาชนะความกลัวนี้ได้”
   
“นายมั่นใจมากกว่าตัวฉันเองเสียอีกนะอาหยาง”
   
“ก็เพราะนายเคยเอาชนะ...” จู่ๆ หรงหยางเซิงก็พูดไม่ออกเสียดื้อๆ ชายหนุ่มเสหลบตาไป๋เฟิงอี๋ไปอีกทาง
   
“หืม เอาชนะอะไรนะ”
   
“เปล่า ไม่มีอะไร ขึ้นจากสระเถอะ แช่น้ำนานๆ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
   
“นายก็... ปล่อยก่อนสิ” ไป๋เฟิงอี๋หลุบตามองอ้อมแขนของหรงหยางเซิงที่ยังคงโอบรั้งจนเขาแทบขยับตัวไม่ได้ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นทำให้สองข้างแก้มของไป๋เฟิงอี๋ร้อนซู่ โชคดีที่มืดทำให้อีกฝ่ายมองเห็นสีหน้าเขาได้ไม่ชัด ไม่อย่างนั้นบรรยากาศคงอิลักอิเหลื่อยิ่งกว่านี้เป็นแน่
   
หรงหยางเซิงคลายมือออกแล้วพึมพำขอโทษเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนจางจากเรือนกายของไป๋เฟิงอี๋ยังคงติดอยู่ที่ปลายนาสิก ถ้าหากพวกเขายังแช่น้ำต่อไปเช่นนี้อีกสักพักล่ะก็ หรงหยางเซิงก็ไม่อาจรับประกันว่าเขาจะไม่นึกพิเรนทร์ก้มหน้าลงไปพิสูจน์ความหอมบริเวณซอกคอของฝ่ายนั้นจริงๆ คิดมาถึงตรงนี้ แก่นกายของเขาก็รู้สึกปวดหนึบจนน่าโมโห
 

   
หลังขึ้นจากสระน้ำ หรงหยางเซิงก็ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้อง ไป๋เฟิงอี๋เพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีคอนโดฯ ส่วนตัวที่โครงการนี้ด้วย หรงหยางเซิงเล่าว่าเพราะมีหลายครั้งที่ต้องทำงานดึกดื่น กว่าจะขับรถกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหรงก็ใช้เวลานาน ดังนั้น ชายหนุ่มจึงแก้ปัญหาด้วยการพักที่คอนโดฯ เพราะสะดวกและใกล้บริษัทมากกว่า หรงหยางเซิงชวนให้ไป๋เฟิงอี๋ขึ้นไปด้วยกัน
   
“จะดีเหรอ เผื่อว่านายต้องการความเป็นส่วนตัว” ไป๋เฟิงอี๋ถามลองเชิง แต่แท้จริงในใจกลับลิงโลดเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หรงหยางเซิงยอมให้เขาก้าวเข้าไปในโลกส่วนตัวของฝ่ายนั้นมากขนาดนี้
   
“ถ้าไม่อยากให้ขึ้นไป ก็คงไม่ชวนตั้งแต่แรกหรอก” ไป๋เฟิงอี๋ยักไหล่
   
“งั้นก็ได้ อยากรู้เหมือนกันว่าห้องพักของประธานหรงหยางเซิงจะเป็นยังไง” หรงหยางเซิงยิ้มมุมปากแล้วพาแขกคนพิเศษขึ้นลิฟท์ไปยังห้องพักส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุดของคอนโดมิเนียมแห่งนี้
   
ห้องพักของหรงหยางเซิงหรูหราสมฐานะประธานบริษัทตระกูลหรง ภายในห้องพักถูกแบ่งเป็นสองชั้น และตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยเฟอร์นิเจอร์เข้าชุด พื้นที่ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องแต่งตัวและห้องน้ำ ส่วนชั้นบนถูกจัดเป็นห้องนอน
   
ไม่รู้ทำไมตอนที่เดินชมมาจนถึงห้องนอน ไป๋เฟิงอี๋ถึงได้หน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เตียงคิงไซส์กลางห้องยิ่งทำให้ไป๋เฟิงอี๋หน้าร้อนวาบเหมือนโดนไฟอัง ชายหนุ่มหมุนตัวจะเดินลงไปชั้นล่างแต่สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นกรอบรูปบนผนัง คนในภาพคือเจ้าสัวหรงหยางเค่อในวัยหนุ่ม ส่วนอีกคน เขาคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นจากภาพวาดในห้องทำงานที่คฤหาสน์ตระกูลหรง ดังนั้นก็คงจะเป็น...
   
“แม่ของฉันเอง” หรงหยางเซิงตอบคำถามในแววตาของไป๋เฟิงอี๋ “สวยใช่ไหม”
   
“อืม สวยมากเลยล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋ชมจากใจจริง มารดาของหรงหยางเซิงเป็นผู้หญิงสวยหวาน กริยาท่าทางเรียบร้อยตามแบบฉบับกุลสตรี คิดไม่ถึงว่าจะอายุสั้น แถมเรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็มีสาเหตุมาจากมารดาของเขาอีกต่างหาก “อาหยาง นายยังโกรธแม่ฉันอยู่ใช่ไหม”
   
“ใช่” คำตอบที่ได้ยินทำให้ไป๋เฟิงอี๋หลุบตาลงต่ำ “แต่ความรู้สึกโกรธเกลียดพวกนั้นก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ” หรงหยางเซิงยังจำได้ดีถึงสิ่งที่บิดาเคยพูดเอาไว้ว่าต่อให้บิดาจะเจ้าชู้หรือมีผู้หญิงอีกสักกี่คน แต่ผู้หญิงที่อยู่ในฐานะแม่ของลูกชายที่รักมากที่สุดกลับมีได้แค่คนเดียว... คือมารดาของเขา

ตอนที่ยังเป็นเด็ก เมื่อมารดาจากไป หรงหยางเซิงโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของฮั่วเซียงหลิง ถ้าหากฮั่วเซียงหลิงไม่เข้ามาเป็นมือที่สาม ครอบครัวของเขาก็คงได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทว่าเมื่อโตขึ้น หรงหยางเซิงก็เริ่มเข้าใจว่าแท้จริงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน มันมีปัจจัยอื่นประกอบมากกว่านั้น และคนที่รู้ดีที่สุดก็คือบิดาและมารดาที่ตอนนี้ทั้งคู่ก็คงได้พบกันแล้วในปรโลก
   
“แล้วฉันล่ะ... นายยังเกลียดอยู่ไหม”
   
“ทำไมถึงถามแบบนี้”
   
“ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนนายเคยเกลียดฉัน ก็เลยอยากรู้ต่อว่านายจะเปลี่ยนความคิดบ้างไหม”
   
“ถ้าเกลียดจะพามาที่นี่เหรอ”
   
“แล้วทำไมถึงพามาล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋สวนกลับอย่างรวดเร็ว ห้องพักส่วนตัว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับสิทธิ์ให้เข้ามาได้ง่ายๆ  การที่หรงหยางเซิงพาเขามาที่นี่ เหตุผลคืออะไรกัน

หรงหยางเซิงเงียบไปกับคำถามนั้น สุดท้ายก็กลายเป็นไป๋เฟิงอี๋ที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมาเอง

“ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบคุณที่ชวนมาดูห้องนะ” ไป๋เฟิงอี๋ยกยิ้มทว่าดวงตากลับเจือไว้ด้วยความเศร้าลึกๆ “กลับกันเถอะอาหยาง ดึกมากแล้ว”

ในเมื่อหรงหยางเซิงยังไม่พร้อมตอบคำถาม ไป๋เฟิงอี๋ก็ไม่อยากเร่งรัด ในเมื่อรอมานานขนาดนี้ เขาก็ยินดีจะรอต่อไป แม้สุดท้ายสิ่งที่รอคอยอาจเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่าก็ตามที

Aislin: เป็นตอนที่หวานแต่ก็มีความหน่วงๆ ปนอยู่ด้วย แงงง ใครชอบสไตล์นี้ฝากอุดหนุนแบบรูปเล่มหรือแบบ E-book ด้วยนะคะ ตอนนี้เปิด pre-order รูปเล่มอยู่ถึง 20 เม.ย. 63 นี้ ส่วนอีบุ๊คจะเปิดให้สนับสนุนยอดโหลดหลังจากรูปเล่มเรียบร้อยแล้วค่ะ บอกเลยว่าในเล่มมีตอนพิเศษกร๊าวใจถึง 3 ตอนเต็มอิ่มด้วยน้า ปกก็งาม ดังนั้นไม่ซื้อไม่ได้แล้วววว สนใจเชิญไปดูรายละเอียดที่ คลิ๊ก เลยจ้า

ปล. เพื่อไม่ให้พลาดทุกข่าวสาร เรียนเชิญแฟนๆ นิยายทุกท่านไปกด Like ได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon หรือ Twitter (@aislin_novel) (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) แล้วเจอกันนะคะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2020 13:32:43 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 25: You are shining in my eyes

ถัดจากวันทำบุญครบรอบการเสียชีวิตของเจ้าสัวหรงหยางเค่อไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋รู้จากฮั่วเซียงหลิงว่าวันเกิดของหรงหยางเซิงทุกปี หรงหยางเค่อมักจะจัดให้มีการทานข้าวมื้อใหญ่ในครอบครัว แต่ปีนี้บิดาบุญธรรมสิ้นบุญไปแล้ว คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานก็คงไม่มี และแน่นอนว่ามารดาเลี้ยงอย่างฮั่วเซียงหลิงก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับ
หรงหยางเซิงเช่นกัน
   
แม้บิดาแท้ๆ ของไป๋เฟิงอี๋จะเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เขายังเด็ก แต่เขาก็ยังมีมารดาที่รักและคอยเป็นห่วง ได้เป็นคุณชายอยู่สุขสบายในตระกูลหรง ทว่าหรงหยางเซิงตอนนี้กลับยิ่งโดดเดี่ยว ไป๋เฟิงอี๋ยังจำสายตาของชายหนุ่มตอนที่อีกฝ่ายถามเขาว่ามารดาตนสวยหรือไม่ ดวงตาสีดำสนิทที่ปกติมักจะเย็นชา แต่คราวนี้กลับแฝงความเศร้าเพราะบิดามารดาของชายหนุ่มล้วนจากไปแล้วทั้งคู่ สิ่งที่เหลืออยู่กลับกลายเป็นธุรกิจและศักดิ์ศรีของตระกูลหรงที่อีกฝ่ายต้องแบกรับไว้บนบ่าทั้งที่ความจริงหรงหยางเซิงเพิ่งจะอายุเพียงยี่สิบสองเท่านั้น
   
“เรื่องสัญญาจ้างซีรีส์เรื่องใหม่ ทางบริษัทให้ฝ่ายกฎหมายช่วยดูให้แล้วนะ คิดว่าน่าจะเรียบร้อยแล้วส่งมาให้นายเซ็นได้ช่วงต้นสัปดาห์หน้า” เหลายี่เดินมาแจ้งข่าวกับไป๋เฟิงอี๋ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพักเพื่อรอถ่ายแฟชั่นเช็ตใหม่ ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้าแล้วถามกลับบ้าง
   
“เรื่องที่ผมไหว้วานให้พี่ช่วย เรียบร้อยดีไหมครับ”
   
“วางใจเถอะ ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว” เหลายี่ยักคิ้วให้ไป๋เฟิงอี๋ที่ยกยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ ในเมื่อผู้จัดการส่วนตัวการันตีเสียขนาดนี้ เขาเองก็ไม่ควรต้องกังวลใจอีก
   
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ” ไป๋เฟิงอี๋ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางยกนาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลา กว่าจะไปถึงที่นัดหมายก็น่าจะพอดีกับที่นัดหรงหยางเซิงเอาไว้
   
เหลายี่ส่ายหน้ามองอากัปกริยาร่าเริงของไป๋เฟิงอี๋ด้วยความเอ็นดู ดูท่าคืนนี้คงเป็นนัดที่พิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่จริงจังกับงานอย่างไป๋เฟิงอี๋คงไม่ยอมยกเลิกตารางงานทั้งหมดเพื่อฉลองวันเกิดให้คนๆ เดียวเป็นแน่ คนที่ตกอยู่ในห้วงความรัก โลกก็มักจะสดใสแบบนี้นี่เอง



รถของบริษัทมาจอดส่งไป๋เฟิงอี๋ที่ริมแม่น้ำสายหลักบริเวณชานเมือง ชายหนุ่มบอกให้คนขับรถกลับไปก่อนได้เลย เพราะกว่าเขาจะเสร็จธุระก็คงอีกนาน ไป๋เฟิงอี๋มาก่อนเวลานัดนิดหน่อยจึงตัดสินใจเดินทอดน่องขึ้นไปรับลมเย็นๆ บนสะพาน

ช่วงต้นฤดูหนาว อากาศเริ่มเย็นลงมากและท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ แม้จะอยู่ในชุดเสื้อสเว็ตเตอร์คอเต่าและสวมทับด้วยโค้ทตัวยาว แต่ลมเย็นที่โชยมาปะทะผิวกายทำให้ก็ยังอดสั่นสะท้านนิดๆ ไม่ได้อยู่ดี ไป๋เฟิงอี๋จึงยกมือขึ้นกอดอกแล้วลูบแขนไปมาพลางมองท้องฟ้ายามราตรีที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินกำมะหยี่เป็นสีดำสนิทในเวลาอันรวดเร็ว
   
“รอนานไหม” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง ไป๋เฟิงอี๋จึงหันไปส่งยิ้มให้ แต่ยังไม่วายแอบแดกดันเล็กๆ
   
“รอจนตัวจะแข็งเป็นก้อนหินอยู่แล้วเนี่ย”
   
“ไหน ขอพิสูจน์หน่อยว่าจริงหรือเปล่า” หรงหยางเซิงขยับเข้าใกล้ แต่ไป๋เฟิงอี๋รีบถอยกรูด หรงหยางเซิงอาจต้องการแกล้งเขาเล่น แต่เขาดันคิดจริงและเขินจริงนี่น่ะสิ
   
“พอเลยๆ อาหยาง นี่อยู่ในที่สาธารณะ ยังจะมาเล่นอะไรแบบนี้อีก”
   
“กลัวว่าแฟนๆ จะมาเห็นไป๋เฟิงอี๋โดนลวนลามอย่างนั้นเหรอ” หรงหยางเซิงพูดหน้าตาย แต่ไป๋เฟิงอี๋เกือบยิ้มไม่ออก ยังโชคดีที่แถวนี้ค่อนข้างสลัวและไม่มีคนพลุกพล่าน ไม่อย่างนั้น ถ้าหากมีใครมาเห็นว่าเขาเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับผู้ชายอีกคนล่ะก็ เขาคงได้กลายเป็นข่าวดังแน่ๆ สมัยนี้เรื่องส่วนตัวของนักแสดงชื่อดังขายเป็นข่าวทำเงินได้เสมอนั่นแหล่ะ
   
หรงหยางเซิงมองท่าทางขัดเขินของคนตรงหน้าแล้วก็เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ไป๋เฟิงอี๋ตวัดตาค้อนขวับแล้วทำปากบึนโดยไม่รู้ตัว
   
“เลิกยิ้มได้แล้ว”
   
“เอาล่ะๆ เลิกแกล้งนายก็ได้” ท่าทางแง่งอนของอีกฝ่ายไม่ได้ดูขัดตา ออกจะดูน่ามองในสายตาของหรงหยางเซิงด้วยซ้ำ “ว่าแต่ชวนมานี่ที่ มีอะไรหรือเปล่า”
   
“ลองทายดูสิ” หรงหยางเซิงมองไป๋เฟิงอี๋ที่กำลังกอดอกแล้วเอียงคอจ้องใบหน้าตนอย่างรอคอยคำตอบ
   
“เพราะวันนี้วันเกิดฉัน?” คราวนี้เป็นหรงหยางเซิงที่เป็นฝ่ายจ้องกลับบ้าง สายตาคมกริบทว่าร้อนแรงทำให้ไป๋เฟิงอี๋อุ่นวาบบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
   
“ทายเก่งนี่”
   
“แล้วไหนล่ะของขวัญ” หรงหยางเซิงแกล้งแบมือทวง แต่ถึงแม้ไป๋เฟิงอี๋จะไม่ได้มีของขวัญอะไรมาให้ แค่อีกฝ่ายจดจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดเขา แค่อยู่เป็นเพื่อนในวันที่เขาไม่เหลือใคร เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่หรงหยางเซิงต้องการ
   
ไป๋เฟิงอี๋เหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็พบว่าถึงเวลาสักที ชายหนุ่มแกล้งกระแอมไอแล้วบอก
   
“หลับตาสิ เดี๋ยวฉันจะเสกของขวัญมาให้” หรงหยางเซิงยอมหลับตาลงอย่างว่าง่าย “3... 2... 1 ลืมตาได้แล้วอาหยาง” หรงหยางเซิงลืมตาขึ้นมอง
   
‘ฟิ้วววววววว... ปังๆๆๆ’
   
พลุหลายชุดถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะสาดลำแสงเป็นลวดลายสวยงามตัดกับท้องฟ้าสีดำสนิท พลุลูกแล้วลูกเล่าถูกจุดจากเรือหลายลำที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำใหญ่ ไป๋เฟิงอี๋ชี้ชวนให้หรงหยางเซิงดูพลุเหล่านั้นจากบนสะพาน ดูท่าทางไป๋เฟิงอี๋จะตื่นเต้นกว่าเขาที่เป็นเจ้าของวันเกิดเสียอีก รอยยิ้มสดใสของคนตรงหน้าทำให้หรงหยางเซิงเองก็กลั้นยิ้มไม่ได้เช่นกัน
   
หลังพลุที่เตรียมมาถูกจุดจนหมดและท้องฟ้าก็กลับเป็นมืดสนิทตามเดิม หรงหยางเซิงหันไปทางไป๋เฟิงอี๋ที่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า
   
“ไม่คิดว่านายจะลงทุนเพื่อฉันถึงขนาดนี้”
   
“ยังไม่หมดนะ” ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็หยิบเอาไฟเย็นสองอันที่ซ่อนเอาไว้ในเสื้อโค้ทออกมาจุด แล้วส่งให้หรงหยางเซิงไปหนึ่งอัน “ก่อนไฟดับ อธิษฐานขอพรสิ”
   
“อืม มาอธิษฐานด้วยกัน” ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้าก่อนทั้งคู่จะหลับตาลงอธิษฐานขอพร เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งแสงจากไฟเย็นก็ดับลงพอดี
   
“สุขสันต์วันเกิดนะอาหยาง” ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มแล้วสบตาเจ้าของวันเกิดด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นด้วยความจริงใจ “ขอให้นายมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ตระกูลหรงต่อจากนี้ต้องพึ่งพานายแล้ว”
   
หรงหยางเซิงพยักหน้า แววตาที่ทอดมองไป๋เฟิงอี๋เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ถูกส่งตรงมาจากหัวใจ ทั้งขอบคุณและตื้นตันกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำเพื่อตนมาตลอด และวันนี้เขาก็แน่ใจเสียทีว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่ตนมีให้กับไป๋เฟิงอี๋นั้นหมายความว่าอย่างไร
   
“ขอบคุณนะอาเฟิง ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ แล้วก็ขอบคุณ... ที่รักกัน”
   
ไป๋เฟิงอี๋ครางอืมในลำคอ ชายหนุ่มหลับตาลง อยากซึมซับความรู้สึกแบบนี้ให้นานเท่านาน ลมหนาวที่พัดโชยปะทะร่างทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องลืมตาขึ้น ตั้งใจจะจัดชายเสื้อโค้ทที่ถูกลมพัดให้เข้าที่ ทว่าเมื่อเบือนหน้าไปทางหรงหยางเซิงกลับพบว่าใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
   
“อาหยาง...”
   
ริมฝีปากของไป๋เฟิงอี๋ถูกผนึก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเบิกกว้างก่อนค่อยๆ สงบลงเมื่อปลายนิ้วของหรงหยางเซิงไล้ไปตามสันกรามของเขา เรียวลิ้นของชายหนุ่มแทรกเข้าไปในโพรงปากนุ่มนิ่ม หยอกเย้าลิ้นเรียวของไป๋เฟิงอี๋เบาๆ แล้วควานเกี่ยวความหวานล้ำเก็บไว้ทุกอณู เนิ่นนานกว่าหรงหยางเซิงจะเป็นฝ่ายผละออกก่อน
   
“นาย...” ไป๋เฟิงอี๋กัดริมฝีปากแน่น ยากเหลือเกินที่จะบังคับลมหายใจที่กำลังหอบหนักให้เป็นปกติ
   
“จะร้องเรียกให้คนช่วยเพราะโดนลวนลามเหรอ”
   
“ใครจะไปทำอย่างนั้นกันล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋ตวัดเสียงถาม ใบหน้าหล่อเหลาซับสีเลือด แม้แถวนี้จะค่อนข้างมืดแต่เพราะหรงหยางเซิงอยู่ใกล้จึงสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย
   
ไป๋เฟิงอี๋เหลียวมองไปรอบตัว เมื่อไม่เห็นใครนอกจากพวกเขาที่กำลังยืนชมวิวอยู่บนกลางสะพาน ชายหนุ่มก็ค่อยวางใจ ท่าทางระมัดระวังตัวของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงนึกรู้
   
“ไม่มีใครเห็นหรอก นายไม่ต้องกังวล”
   
“อืม” ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้านิดๆ ยังไม่ค่อยกล้าสบตาคู่สนทนาอยู่ดี จูบเมื่อกี้ไม่ว่าหรงหยางเซิงจะตั้งใจหรือไม่ แต่สำหรับเขาแล้ว มันจะเป็นความทรงจำที่เขาเก็บเอาไว้ในซอกมุมลึกที่สุดในหัวใจ... จูบอ่อนโยนที่ยืนยันว่าเรื่องคืนนี้ไม่ใช่ความฝัน แต่มันได้เกิดขึ้นจริง

“อาหยาง เมื่อกี้นายขอพรว่าอะไร” ไป๋เฟิงอี๋เปลี่ยนเรื่องพูดแก้เขิน
   
“ถ้าบอกนาย กลัวเดี๋ยวจะไม่สมหวัง”
   
“โธ่...” ไป๋เฟิงอี๋ครางเสียงอ่อนแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ
   
“น้ำค้างลงแล้ว เรากลับกันเถอะ”

ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้าก่อนเดินเคียงคู่หรงหยางเซิงไปยังรถของอีกฝ่ายที่จอดอยู่ริมแม่น้ำอีกด้าน โดยไม่รู้เลยว่าการเคลื่อนไหวของพวกตนตกอยู่ภายใต้สายตาคู่หนึ่งและกล้องถ่ายรูปแบบเลนส์ซูมที่จับภาพทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว
   


เนื่องจากเมื่อคืนกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหรงก็เป็นเวลาดึกแล้ว เช้านี้ไม่มีตารางงานถ่ายแบบตอนเช้า ไป๋เฟิงอี๋จึงนอนตื่นสาย แต่เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังก่อกวนต่อเนื่องเป็นสิบสาย ทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องงัวเงียขึ้นมากดรับในที่สุด
   
คนที่โทรมาคือเหลายี่ ผู้จัดการส่วนตัวบอกว่าตอนนี้มีรูปหลุดคนหน้าคล้ายไป๋เฟิงอี๋จูบกับผู้ชายคนหนึ่งว่อนอินเทอร์เน็ต รูปดังกล่าวเป็นที่วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ตอนนี้ ไป๋เฟิงอี๋แทบหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แม้จะยังไม่เห็นภาพต้นเรื่องแต่ก็เดาได้ทันทีว่าเหตุการณ์ที่เขาจูบกับหรงหยางเซิงเมื่อคืนนี้จะต้องถูกปาปารัซซี่แอบถ่ายภาพได้อย่างแน่นอน ไป๋เฟิงอี๋เม้มริมฝีปากแน่น สิ่งที่เขากลัวบัดนี้ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว เหลายี่รู้ว่าไป๋เฟิงอี๋กำลังรู้สึกเช่นไร แต่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามากกว่าก็ยังมีสติพอที่จะสั่งห้ามไม่ให้ไป๋เฟิงอี๋เคลื่อนไหวโดยพลการ แล้วบอกว่าตนจะแวะเข้าไปหาชายหนุ่มที่คฤหาสน์ตระกูลหรงเพื่อปรึกษาหาทางรับมือกับเรื่องนี้
   
หลังวางสายจากเหลายี่ ไป๋เฟิงอี๋รีบกดเข้าไปดูในแอปพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์ รูปดังกล่าวเป็นรูปหลุดของเขาจริง ทว่าภาพที่ถ่ายมาได้ค่อนข้างมืดทำให้ตอนนี้เกิดกระแสโต้เถียงกันอย่างกว้างขวางว่าคนในภาพคือไป๋เฟิงอี๋จริงหรือไม่ แม้แฟนคลับบางส่วนจะปกป้องเขาแล้วเถียงแทนว่าไม่น่าใช่ แต่กระแสส่วนใหญ่ก็ตัดสินไปแล้วว่าไป๋เฟิงอี๋ นักแสดงยอดนิยมที่เป็นขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศมีรสนิยมชมชอบเพศเดียวกัน
   
เหลายี่ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋รอที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าเคร่งเครียดของผู้จัดการส่วนตัวทำให้ไป๋เฟิงอี๋เดาได้ว่าเรื่องนี้คงรับมือได้ไม่ง่ายนัก
   
“ที่บริษัทรับรู้เรื่องภาพหลุดแล้ว และตอนบ่ายก็คงมีการจัดแถลงเรื่องนี้กับสื่อ”
   
“ปล่อยให้เรื่องมันเงียบไปเฉยๆ ไม่ได้เหรอครับ” เหลายี่ส่ายหน้า
   
“นายเป็นนักแสดงที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงนะอาเฟิง ปฏิกิริยาความเคลื่อนไหวทุกอย่างของนายมีสายตาหลายคู่จับจ้อง แถมครั้งนี้ไม่ใช่รูปหลุดกับผู้หญิง แต่เป็นผู้ชาย ถ้าหากทางต้นสังกัดไม่ออกมาจัดการดับไฟเรื่องนี้ ทุกอย่างมันอาจจะยิ่งเลยเถิดจนคุมยากนะ นายก็น่าจะรู้ว่าสื่อน่ะน่ากลัวแค่ไหน”
   
“แล้ว... มีใครรู้ไหมว่าผู้ชายอีกคนคือ...”
   
“ไม่มีคนอื่นรู้เรื่องนี้” ไป๋เฟิงอี๋ถอนหายใจบาง นี่น่าจะเป็นข่าวดีเพียงอย่างเดียวของวันนี้กระมัง “แต่ว่า...” เหลายี่ถอนหายใจก่อนตัดสินใจบอกไป๋เฟิงอี๋ไปตามตรง “เรื่องงานของนายคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย”
   
“เกิดอะไรขึ้น” แม้จะนึกเดาได้ลางๆ แต่ไป๋เฟิงอี๋ก็ยังไม่พร้อมรับฟังความจริงจากปากเหลายี่อยู่ดี
   
“ฉันพยายามแก้ปัญหาด้วยการบอกว่าคนในรูปก็แค่คนหน้าคล้ายกับนาย แต่ทางบริษัทเจ้าของแบรนด์สินค้าไม่อยากเสี่ยง ก็เลยติดต่อเข้ามายกเลิกสัญญาที่ยังค้างเกือบทั้งหมดเมื่อเช้านี้หลังจากมีรูปหลุดได้ไม่นาน รวมถึง... การถอดชื่อนายออกจากบทพระเอกของซีรีส์ที่กำลังจะเปิดกล้องด้วย”
   
ไป๋เฟิงอี๋ตัวชาพูดอะไรไม่ออก กฎหมายปัจจุบันยังไม่เปิดกว้างต่อความสัมพันธ์รักร่วมเพศ พอเกิดมีภาพหลุดออกมาเด่นหราทั่วอินเทอร์เน็ตแบบนี้ หน้าที่การงานในฐานะนักแสดงของเขาก็เสี่ยงโดนแบนจากสื่อกระแสหลักไปด้วย ไม่คิดเลยว่าชื่อเสียงที่เพียรสั่งสมมาตลอดเป็นปีกลับเปราะบางและถูกใครบางคนที่ไม่หวังดีทำลายลงได้เพียงชั่วข้ามคืน
   
“อาเฟิง เกิดอะไรขึ้นลูก เพื่อนแม่ส่งรูปมาให้ดู ทำไมถึงได้..” ฮั่วเซียงหลิงรีบก้าวเท้าลงบันไดมาหาผู้เป็นลูกชาย ผู้จัดการส่วนตัวก็อยู่ที่นี่ด้วย น่าจะกำลังคุยกันถึงเรื่องนี้พอดี
   
ภาพที่ถูกส่งต่อมาจากเพื่อนทำให้ฮั่วเซียงหลิงร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ
   
“แม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยเสียงเครียด แม้จะพยายามบอกให้ผู้เป็นมารดาใจเย็น แต่น่ากลัวว่าจะเป็นเขาเองที่เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว
   
“อาเฟิง บอกแม่มาว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ คนในภาพนี้ไม่ใช่ลูกใช่ไหม ลูกคงไม่...”
   
“คนในภาพเป็นผมเอง” ไป๋เฟิงอี๋ไม่อยากโกหกมารดาจึงเลือกที่จะเอ่ยความจริงที่แม้แต่เหลายี่ยังตกใจ ฮั่วเซียงหลิงเบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ลูกชายของเธอจูบกับผู้ชายอีกคน!
   
“มะ... ไม่จริงใช่ไหมอาเฟิง บอกแม่มาสิว่ามันไม่จริง” อาการนิ่งเงียบของไป๋เฟิงอี๋กลับเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ฮั่วเซียงหลิงปากคอสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ “ผู้ชายอีกคนเป็นใคร”
   
“แม่...”
   
“บอกแม่มาอาเฟิง” ฮั่วเซียงหลิงจับไหล่ไป๋เฟิงอี๋แล้วบีบแน่น เมื่อผู้เป็นบุตรชายส่ายหน้าไม่ยอมตอบ ฮั่วเซียงหลิงจึงยิ่งโมโห “บอกมาสิว่ามันเป็นใคร อาเฟิง แม่สั่งให้พูดไง ไม่ได้ยินที่แม่สั่งเหรอ”
   
“ผมเอง” ฮั่วเซียงหลิงชะงักเมื่อเห็นหรงหยางเซิงอยู่ที่ประตูห้องโถง ท่าทางเหมือนชายหนุ่มเพิ่งจะรีบร้อนกลับมาจากข้างนอกเพราะอีกฝ่ายยังอยู่ในชุดสูทเนื้อดี หรงหยางเซิงก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋เฟิงอี๋ ทว่าดวงตาสีดำสนิทกลับยังคงประสานสายตากับฮั่วเซียงหลิงอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง...
   
“เธอพูดว่าอะไรนะ”
   
“ผู้ชายในภาพคนที่กำลังจูบอาเฟิงก็คือผมเอง”

(โปรดติดตามต่อในรูปเล่ม / E-book)

ปิดรับ pre-order แล้ว หากสนใจรูปเล่มกรุณาติดต่อที่แฟนเพจโดยตรง www.facebook.com/aislin.napoon

Aislin: ขออนุญาตตัดจบเท่านี้นะคะ ในส่วนที่เหลืออีก 9 ตอน + 3 ตอนพิเศษ สามารถติดตามได้ในแบบรูปเล่มหรือแบบ E-book นะคะ โดยรูปเล่มยังเปิด pre-order อยู่ถึง 20 เม.ย. 63 นี้ ส่วนอีบุ๊คจะเปิดให้สนับสนุนยอดโหลดหลังจากรูปเล่มเรียบร้อยแล้วค่ะน่าจะช่วงวันที่ 11 พ.ค. 63 เป็นต้นไป สนใจเชิญไปดูรายละเอียด pre-order ที่ คลิ๊ก หรือติดตามความคืบหน้านิยายผ่านแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon หรือ Twitter (@aislin_novel) (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) ได้เลยจ้า

   สุดท้ายนี้ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากๆ นะคะ ที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ ถ้านิยายมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะเน้อ

ปล. เนื่องจากเว็บเล้าเป็ดเก็บเฉพาะนิยายที่โพสจนจบ เดี๋ยวผ่านไปสามเดือนเราจะมาลบนิยายทิ้ง ยังไงขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตาม ซาบซึ้งมากๆ เลยค่ะ ^0^

ปล. (สุดท้ายจริงๆ) ตอนนี้ยอดจอดนิยายต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก คงขาดทุนแน่ๆ เพราะปกจ้างวาดแพงมาก เลยแอบคิดไม่ได้ว่านิยายเรามันแย่ขนาดไม่มีใครสนใจเลยเหรอ แงงงงง (T^T)  แต่อิซลินก็ยังจะทำเล่มต่อไป เพราะอยากให้นักอ่านที่อยากสะสมรูปเล่มได้มีเก็บไว้เป็นที่ระลึก ยังไงถ้าใครสนใจ รบกวนอุดหนุนหน่อยนะคะ ตอนนี้ถ้าใครมีนิยายเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็น rare item เลยจ้า / ไหว้ย่อละเด้อ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2020 15:36:39 โดย Aislin »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด