[11 Apr 20] Falling for you again... รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย (Prologue-Ch.25)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [11 Apr 20] Falling for you again... รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย (Prologue-Ch.25)  (อ่าน 5321 ครั้ง)

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************

Falling for you again... รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย

Just one misstep and I fall. My heart is no longer mines. It starts beating for you over again.

เพราะมารดาแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐี ไป๋เฟิงอี๋ จึงกลายเป็นคุณชายรองของคฤหาสน์ ‘ตระกูลหรง’ มีชีวิตหรูหราแบบที่เคยใฝ่ฝัน
ทว่าลึกๆ แล้ว สิ่งเดียวที่เขาปรารถนาคือการเป็นที่ยอมรับและการถูกรักจากพี่ชายนอกสายเลือดคนนั้น

ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่ทำให้ หรงหยางเซิง รู้สึกรังเกียจ สองแม่ลูกฮั่วเซียงหลิงและไป๋เฟิงอี๋คือจำพวกที่ถูกนับรวมอยู่ในนั้น
ฮั่วเซียงหลิงเป็นสาเหตุทำให้มารดาแท้ๆ ของเขาต้องตรอมใจตาย ขณะที่ไป๋เฟิงอี๋ก็มักก่อปัญหาให้เขาวุ่นวายใจอยู่เสมอ
หลายครั้งที่เขาถอยห่าง แต่เป็นอีกฝ่ายที่ขยับตามเข้ามาชิดใกล้ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นเหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง
ทว่าเขากลับไม่นึกอยากฟังแม้แต่คำเดียว!

เพราะต้องการให้คนๆ นั้นหันมอง... ไป๋เฟิงอี๋จึงยอมทำทุกอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เพราะต้องการแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีให้... ไป๋เฟิงอี๋ถึงกับไม่เลือกใช้วิธีการ

เมื่อความรักลึกซึ้งถูกตอบแทนด้วยความหมางเมินเย็นชา ไป๋เฟิงอี๋บอกตัวเองให้หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้
ทิ้งเรื่องราวทั้งหมดให้เป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง หากแต่เมื่อได้พบกับหรงหยางเซิงในอีกห้าปีให้หลัง
ในที่สุดไป๋เฟิงอี๋ก็ตระหนัก... ไม่ว่าจะรักอีกสักกี่ครั้ง หัวใจของเขาก็ยังคงจดจำแต่คนเดิม

********************************************

ปิดรับ pre-order แล้ว หากสนใจรูปเล่มกรุณาติดต่อที่แฟนเพจโดยตรง www.facebook.com/aislin.napoon

เปิด Pre-order วันนี้ - 20 เมษายน 2563

รายละเอียดเพิ่มเติม
คลิ๊ก


::: สารบัญ :::



ประกาศจากนักเขียน

1. เรื่องนี้เป็นนิยายจีนปัจจุบัน แนวโรแมนติก-ดราม่า-ชิงไหวชิงพริบทางธุรกิจ (ไม่หน่วง ไม่เศร้ามากนัก)
2. Chapter 1-9 เป็นพาร์ทสมัยเรียน และตั้งแต่ Chapter 10 เป็นต้นไปจะเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งใน 5 ปีให้หลัง (วัยทำงาน)
3. หากชอบนิยายเรื่องนี้ ฝาก share หรือ tweet (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) ด้วยนะคะ
4. สามารถติดต่อนักเขียนทาง fanpage หรือ Twitter หรือทิ้งคอมเม้นท์เมาธ์มอย หรือติ/ชมนิยายไว้ได้เลย เดี๋ยวมาตอบให้แน่นอนค่ะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2020 15:35:32 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Prologue
 


เขายืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่แล้ว...

ดวงตาสีดำสนิทที่เดิมเคยสงบนิ่งราวทะเลไร้คลื่นเริ่มไหววูบเมื่อเจ้าตัวได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดในรั้วคฤหาสน์ตระกูลหรง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะด้วยความชื่นมื่นเมื่อใครบางคนเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ หนึ่งในบรรดาต้นเสียงนั้น เขาจำได้แม่นว่ามันเป็นเสียงหัวเราะของผู้เป็นบิดา

บิดาออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อไปรับผู้หญิงคนนั้นกับลูกติดหล่อนให้มาอาศัยอยู่ด้วยกันที่นี่ การแต่งงานและจดทะเบียนอย่างถูกต้องเมื่อหนึ่งเดือนก่อนทำให้ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นมีสิทธิ์เต็มที่ในคฤหาสน์ตระกูลหรงแห่งนี้ หนำซ้ำบิดาเขายังใจป้ำยอมรับลูกชายเจ้าหล่อนเป็นบุตรบุญธรรม เรื่องทั้งหมดถูกหรงหยางเค่อจัดการเรียบร้อยโดยไม่เสียเวลาถามความเห็นชอบจากลูกชายแท้ๆ อย่างเขาแม้สักครึ่งคำ

ท่อนขาเริ่มชาจนในที่สุดก็ไร้ความรู้สึก หรงหยางเซิงในวัยสิบเจ็ดปีจับจ้องอยู่ที่ภาพวาดของสุภาพสตรีใบหน้าอ่อนหวานในชุดกี่เพ้าสีแดงสดเบื้องหน้า รอยยิ้มเบาบางประดับอยู่ตรงริมฝีปาก ทว่าดวงตาสีดำกลับเย็นเยียบไร้ความรู้สึก

“ถึงพ่อจะยอมรับผู้หญิงคนนั้น แต่ผมไม่มีวันยอมให้เขามาแทนที่แม่ ไม่มีวัน!”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2020 13:59:02 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 1: Newcomers

ไป๋เฟิงอี๋สาวเท้าตามมารดาและบิดาเลี้ยงเข้าไปในตัวคฤหาสน์ตระกูลหรง ภายในคฤหาสน์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราร่วมสมัยยังความตื่นตาตื่นใจมาให้เขาไม่น้อย บ้านหลังเดิมที่เคยอยู่ แม้ไม่ได้อึดอัดคับแคบ แต่ก็ไม่อาจเทียบกับความหรูหราของบ้านใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่วันนี้เป็นวันแรก เด็กหนุ่มกวาดตาไปรอบตัวด้วยความพึงพอใจ

มารดาของเขาเป็นคนรักเก่าของหรงหยางเค่อแต่ในอดีตมีเหตุให้ต้องเลิกรากันไป ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายไปแต่งงานสร้างครอบครัวของตัวเอง หรงหยางเค่อโชคดีแต่งงานกับคุณหนูตระกูลเศรษฐี ภายหลังจึงอาศัยอิทธิพลทางธุรกิจของภรรยาบุกเบิกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตนเองจนประสบความสำเร็จ โดยมีบุตรชายโทนเพียงคนเดียวก็คือหรงหยางเซิง ขณะที่ฮั่วเซียงหลิงแต่งงานอยู่กินกับข้าราชการชั้นผู้น้อยในมณฑลห่างไกลแห่งหนึ่งและให้กำเนิดไป๋เฟิงอี๋ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

เส้นทางรักของหรงหยางเค่อและฮั่วเซียงหลิงกลับมาบรรจบกันอีกครั้งเมื่อสองปีก่อนตอนที่หรงหยางเค่อไปเจรจาธุรกิจต่างเมืองและบังเอิญได้พบกับฮั่วเซียงหลิงที่เพิ่งเป็นหม้าย ความสัมพันธ์หวานชื่นในวันวานจึงหวนคืนทั้งที่หรงหยางเค่อมีภรรยาแล้วอยู่ทั้งคน!

“ชอบที่นี่ไหมเฟิงอี๋”

“ชอบครับคุณลุง” คนถูกถามตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง อวดเรียวฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ฟันหน้าของไป๋เฟิงอี๋เหมือนกระต่าย ทว่าเวลาเด็กหนุ่มยิ้มแย้มกลับทำให้น่ามองมากกว่าดูตลก

“คุณลุงอะไรกันล่ะ เรียกพ่อจะดีกว่านะ”

“ครับ คุณพ่อ” สรรพนามใหม่ทำเอาผู้ถูกเรียกถึงกับยิ้มไม่หุบ เช่นเดียวกับฮั่วเซียงหลิง

“แล้วนี่ลูกชายของคุณไม่อยู่เหรอคะ” แท้จริงแล้วฮั่วเซียงหลิงไม่ได้อยากพบหน้าลูกเลี้ยงของเธอสักเท่าไหร่เพราะนึกเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงตั้งแง่ต่อต้านเธอกับลูกเป็นแน่ แต่ที่ถามออกไปก็เพราะมารยาทล้วนๆ

คำถามของฮั่วเซียงหลิงทำให้หรงหยางเค่อเลิกคิ้ว หรงหยางเซิงสมควรจะออกมาต้อนรับแขกคนสำคัญถึงจะถูก แต่นี่เจ้าลูกชายของเขากลับไปมุดหัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หรงหยางเค่อเรียกแม่บ้านมาสอบถามจึงได้ความว่าหรงหยางเซิงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว

“มาเถอะ เดี๋ยวผมพาขึ้นไปดูห้องข้างบน” ทั้งหมดจึงก้าวขึ้นบันได มุ่งสู่ชั้นสองของคฤหาสน์



เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หรงหยางเซิงหลุดออกจากภวังค์ เด็กหนุ่มผินหน้ากลับไปมองผู้มาใหม่ช้าๆ ดวงตาสีดำสนิทกวาดผ่านใบหน้าของสตรีวัยเกือบห้าสิบปีที่ผ่านการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนงดงาม ทว่ากลับหยุดนิ่งเมื่อประสานเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอประกายสุกใส สะท้อนบุคลิกร่าเริง เปี่ยมเสน่ห์ของเจ้าตัว

“แกก็รู้ว่าวันนี้จะมีแขก ทำไมไม่ลงไปต้อนรับที่ข้างล่าง” หรงหยางเค่อเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน หรงหยางเซิงไม่ตอบ มีเพียงความเงียบแทรกกลางระหว่างคนทั้งสี่ที่เพิ่งจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันหมาดๆ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาหยางอาจจะกำลังยุ่งอยู่” ฮั่วเซียงหลิงพยายามทำลายความอึมครึม ทว่าคำพูดของเจ้าหล่อนกลับทำให้หรงหยางเซิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อาหยางงั้นเหรอ... ชื่อนี้คุณไม่มีสิทธิ์เรียก” ดวงตาสีดำสนิทเริ่มเป็นประกายกร้าว “ชื่อนี้ของผม เอาไว้ให้คนในครอบครัวเรียก ซึ่งคุณกับลูก...” พูดพร้อมปรายตามาทางไป๋เฟิงอี๋แล้วเน้นเสียงหนัก “ไม่ใช่”

“อาหยาง!” สีหน้าหรงหยางเค่อเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ฮั่วเซียงหลิงเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าเธอเพราะคิดว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้มารดาเด็กหนุ่มต้องตรอมใจตาย แต่ใครจะนึกว่าอีกฝ่ายจะแสดงกริยาแข็งกร้าวใส่เธอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันโดยไม่เห็นแก่หน้าหรงหยางเค่อแม้แต่น้อย เห็นทีชีวิตใหม่ของเธอกับลูกภายใต้ชายคาคฤหาสน์ตระกูลหรงคงจะไม่ราบรื่นเหมือนที่คิดไว้ตอนแรกเสียแล้ว

หรงหยางเค่อมองลูกชายสลับกับภรรยาใหม่พลางถอนหายใจหนัก ความกลัดกลุ้มในใจทำให้น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดโดยไม่รู้ตัว

“คุณกับเฟิงอี๋จะไปดูที่ห้องก่อนก็ได้ ผมจะให้แม่บ้านพาไป ผมอยากคุยกับอาหยางสักครู่หนึ่ง” สองแม่ลูกพยักหน้าก่อนเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงานไปแต่โดยดี ทิ้งให้ภายในห้องทำงานเหลือเพียงการเผชิญหน้าตามลำพังของพ่อลูกแซ่หรง         

“เรื่องของเซียงหลิงกับเฟิงอี๋ ฉันคิดว่าแกน่าจะเข้าใจแล้วเสียอีก” หรงหยางเซิงใช้ความเงียบเป็นคำตอบ “ไปขอโทษพวกเขาซะที่แกแสดงกริยาไม่เหมาะสม”

“แล้วที่เหมาะสมในสายตาพ่อคืออะไรล่ะ” ผู้อ่อนวัยกว่าแค่นยิ้ม “คือการพาผู้หญิงคนใหม่พร้อมลูกติดเข้ามาอยู่ในบ้าน ทั้งๆ ที่ร่างของแม่เพิ่งจะฝังไปได้ไม่ถึงสามวันน่ะเหรอครับ”

“แกไม่เข้าใจ”

“ใช่ ผมไม่เข้าใจ” หรงหยางเซิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นบิดา “ไม่เข้าใจว่าทำไมแก่จนปูนนี้ พ่อก็ยังไม่เลิกมักมากเสียที”

“อาหยาง!” เป็นอีกครั้งที่หรงหยางเซิงขึ้นเสียงกับลูกชาย ทว่าหลังจากนั้น เขากลับเป็นฝ่ายอับจนคำพูด
ใครๆ ในเมือง S ต่างก็รู้ว่ามหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยอย่างหรงหยางเค่อเป็นโรคขาดผู้หญิงไม่ได้ ข้างกายของหรงหยางเค่อมักจะมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยติดตามเคียงข้างเสมอ ที่ผ่านมา หรงหยางเซิงไม่เคยออกความคิดเห็นกับประเด็นนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาทำใจยอมรับได้ แต่เป็นเพราะมารดาขอร้องเอาไว้ มาดามหรงป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายปีทำให้ไม่อาจปรนนิบัติผู้เป็นสามีได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การมีคุณนายเล็กๆ เพิ่มมาก็เป็นสิ่งที่พอจะยอมกล้ำกลืน ยังดีที่หรงหยางเค่อเองก็ไม่ได้ยกย่องผู้หญิงพวกนั้นจนออกหน้าออกตา ทว่ากับฮั่วเซียงหลิงและลูกชาย สถานการณ์กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

“พ่ออยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ขออย่างเดียว อย่าให้คนพวกนั้นมายุ่งกับผม”

“แต่เขากำลังจะกลายมาเป็นแม่ใหม่ มาเป็นน้องชายของแกนะ”

“ผมมีแม่แค่คนเดียว” หรงหยางเซิงสวนกลับทันควัน

“ทำไมแกไม่ยอมหัดเปิดใจ...”

“ผมเสียแม่ไปแล้ว ดังนั้น ได้โปรด... อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกว่าเสียพ่อไปอีกคนเลย” พูดจบก็หันไปมองรูปเหมือนสีน้ำมันของมารดาที่แขวนอยู่บนผนังห้องทำงานอีกครั้ง ไม่สนใจหรงหยางเค่ออีกต่อไป

หรงหยางเค่อมองแผ่นหลังเหยียดตรงของลูกชายคนเดียว มีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ย ทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ตามใจนึก เขาเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของอีกฝ่าย เพราะหน้าที่ผู้นำตระกูลทำให้เขายุ่งอยู่กับการทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก แม้ไม่ถึงกับละเลยลูกชายคนนี้ ทว่าเขากลับเพิ่งตระหนักได้... ช่องว่างระหว่างเขากับลูกชาย มันกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

(To be continued)

Aislin: สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอบคุณทุกท่านนะคะที่กดเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ แจ้งก่อนว่าตอนที่ 1-9 จะเป็นพาร์ทอดีตสมัยเรียน แต่เดี๋ยวตั้งแต่ตอนที่ 10 เป็นต้นไป จะเป็นการกลับมาพบกันในอีก 5 ปีให้หลังซึ่งเป็นช่วงวัยทำงานแล้ว โดยภาพรวมนิยายเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติก-ดราม่า (ไม่หนักหน่วงมากนัก) เรียกได้ว่ามีครบทุกฟีล เน้นเนื้อหาและพล็อตเป็นหลัก ใครที่อยากอ่านเน้นแนว NC เรื่องนี้อาจไม่ตอบโจทย์นะคะ แห่ะๆ  / แล้วเจอกันใหม่เร็วๆ นี้ค่ะ

ปล. ใครชอบแนวนี้ฝากแชร์ / tweet (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) หน่อยนะคะ อิซลินเข้าไปส่อง tag บ่อยๆ จะได้มีกำลังใจอัพนิยาย ^^
ปล. (สุดท้ายสำหรับวันนี้) สามารถคอมเม้นท์พูดคุย หรือติ/ชม นิยายได้เลยนะคะ เดี๋ยวมาตอบให้ หรือว่าอยากติดตามอัพเดทงานเขียน ก็เข้าไปพูดคุยกันได้ที่ fanpage หรือ twitter ได้เลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2020 09:07:34 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 2: Do you care if I live or die

“ฉันแอบได้ยินมาว่าน้อง... เอ้อ ไป๋เฟิงอี๋ มีนัดดวลกับพวกแก๊งค์เฮยหลงที่สนามหลังโรงเรียนวันนี้”

ตอนที่ได้ยินประโยคนั้น หรงหยางเซิงกำลังทบทวนบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษอยู่ เด็กหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทเอ่ยถึงใครคนนั้น

ฮั่นหมิงเหลือบมองสีหน้าหรงหยางเซิง เมื่อเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายยังเป็นปกติดีก็ลอบถอนหายใจ เขาเกือบหลุดคำว่าน้องชายออกไปแล้วไหมล่ะ คำนี้เป็นคำต้องห้ามสำหรับหรงหยางเซิง เพื่อนของเขาเป็นบุตรโทนเพียงคนเดียวของตระกูลหรง ไม่เคยมีน้องชายที่ไหนอีก

“นายจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”

“It’s not my business” เดาไม่ถูกว่าหรงหยางเซิงกำลังทบทวนวิชาภาษาอังกฤษหรือตอบคำถามเมื่อครู่ของฮั่นหมิงกันแน่

ท่าทางไม่อีนังขังขอบของหรงหยางเซิงนั้นฮั่นหมิงชินเสียแล้ว ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไป๋เฟิงอี๋ หรงหยางเซิงไม่คิดจะให้ความสนใจแม้แต่น้อย เขาสนิทกับหรงหยางเซิงมาหลายปีย่อมพอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ตระกูลหรงมาบ้าง แม้บางเรื่องหรงหยางเซิงไม่ได้เล่าให้เขาฟังโดยตรง แต่เพราะตระกูลหรงเป็นตระกูลดังในเมือง S ดังนั้น ผู้คนย่อมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบหนึ่งปีก่อนก็คือข่าวการแต่งงานของหรงหยางเค่อกับแม่หม้ายลูกติด แถมลูกติดคนนั้นดันย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกับพวกเขาอีกต่างหาก

“ตอนแรกฉันได้ยินก็ตกใจ ถึงไป๋เฟิงอี๋จะต่อสู้เก่ง แต่พวกแก๊งค์เฮยหลงน่ะอันธพาลชัดๆ แถมคนก็มากกว่าตั้งเยอะ ฉันก็แค่กลัวว่า... แต่ถ้านายไม่สนใจก็แล้วไปเถอะ” ฮั่นหมิงโบกมือวูบเมื่อเห็นดวงตาคมกริบของคู่สนทนาที่ตวัดจ้องมองตน หรงหยางเซิงคงเริ่มไม่พอใจขึ้นมานิดๆ แล้ว

“เอาเวลามาสนใจทบทวนหนังสือเตรียมสอบดีกว่า คะแนนวิชาภาษาอังกฤษนายไม่ดีไม่ใช่เหรอ” หรงหยางเซิงเอ่ยเรียบๆ พลางเลื่อนหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ไปตรงหน้าของฮั่นหมิง “ฉันคั่นหน้าที่สำคัญเอาไว้ให้แล้ว นายลองอ่านแล้วก็ทำแบบฝึกหัดดูแล้วกัน ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถามฉันได้” ยังไม่ทันที่ฮั่นหมิงจะได้พูดอะไรต่อ หรงหยางเซิงก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า

“นั่นนายจะไปไหนน่ะอาหยาง” แวบหนึ่งของความคิด ฮั่นหมิงคิดว่าเพื่อนรักของเขาคงไปสนามหลังโรงเรียนเป็นแน่ ถึงแม้จะทำเป็นไม่สนใจ แต่อย่างน้อยไป๋เฟิงอี๋ก็อยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับฝ่ายนั้น จะทำเป็นไม่สนใจเลยก็ออกจะเกินไปหน่อย

“ไปอ่านหนังสือต่อที่ห้องสมุดน่ะ” ดูท่าฮั่นหมิงประเมินความเย็นชาของเพื่อนคนนี้ต่ำไปจริงๆ



แม้จะพยายามตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับบทเรียนตรงหน้า ทว่าคำพูดของฮั่นหมิงก็มักแทรกขึ้นมาในหัวหรงหยางเซิงทุกๆ สิบนาที
ไป๋เฟิงอี๋มีนัดดวลกับแก๊งค์เฮยหลงวันนี้...

ก็ช่างปะไร เรื่องของฝ่ายนั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไป๋เฟิงอี๋ก็แค่คนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน สำหรับเขาแล้ว ไป๋เฟิงอี๋ก็แค่คนแปลกหน้า แค่ลูกติดของผู้หญิงหน้าเงินคนนั้น แม้ทุกๆ คนจะยกย่องให้อีกฝ่ายเป็นคุณชายรองของบ้านตระกูลหรง แต่เขาไม่มีทางยอมรับ ไม่มีวัน!   

สองชั่วโมงผ่านไปกับการอ่านหนังสือที่แทบจะไม่เข้าหัวเลยสักนิด หรงหยางเซิงถอนหายใจพร้อมกับปิดหนังสือลง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว เสียงประกาศตามสายทำให้รู้ว่าห้องสมุดกำลังจะปิดให้บริการในอีกสิบห้านาที เด็กหนุ่มรวบหนังสือพร้อมเก็บอุปกรณ์เครื่องเขียนใส่กระเป๋าแล้วตรงไปยังทางออกห้องสมุด จังหวะการก้าวเดินค่อยๆ เปลี่ยนจากเนิบช้าเป็นเร็วขึ้นตามลำดับ สุดท้ายหรงหยางเซิงไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอวิ่งเต็มฝีเท้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ลมหายใจของหรงหยางเซิงเปลี่ยนเป็นหอบกระชั้นจากการวิ่ง ขาทั้งสองข้างพาเขามาที่สนามหลังโรงเรียน เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ภายในสนามหญ้าเวลาหนึ่งทุ่มในฤดูหนาวไม่ได้มืดสนิทเพราะมีแสงจากสปอร์ตไลท์รอบข้างส่องสว่างอยู่
ไม่มีไป๋เฟิงอี๋ ไม่มีพวกแก๊งค์เฮยหลง ไม่มีใครสักคนอยู่ที่นี่...

“หรงหยางเซิง ในที่สุดนายก็มา” เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังเรียกให้หรงหยางเซิงหันกลับไปมอง

คือไป๋เฟิงอี๋...

สภาพของไป๋เฟิงอี๋ดูดีกว่าที่หรงหยางเซิงจินตนาการเอาไว้ แม้ตามใบหน้าและเสื้อผ้าจะมีคราบเลือดเปรอะอยู่บ้างก็ตาม คำพูดของฮั่นหมิงที่บอกว่าฝ่ายนั้นต่อสู้เก่งลอยเข้ามาในหัวเด็กหนุ่ม

“รู้ไหมฉันพนันกับตัวเองในใจว่านายจะมาที่นี่หรือเปล่า โชคดีจริงๆ ที่ทายถูก” ไป๋เฟิงอี๋เดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม ช่องว่างระหว่างทั้งคู่ค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ “เป็นห่วงฉันล่ะสิ” พูดพร้อมจุดยิ้มตรงมุมปาก ดวงตาสีน้ำตาลพราวระยับคล้ายจะล้อเลียนอีกฝ่าย
ท่าทางของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงรู้สึกตัว เด็กหนุ่มปั้นสีหน้าเย็นชาก่อนตอบกลับไปว่า

“ฉันแค่มาดูว่านายโดนพวกนั้นซ้อมจนเละหมดสภาพคาสนามไปแล้วหรือยัง”

“ไอ้ที่หมดสภาพน่ะคือพวกนั้นต่างหากล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋พยักเพยิดไปทางรอยคราบเลือดบนเสื้อผ้าของตัวเอง ที่แท้ไม่ใช่เลือดของเจ้าตัวหรอกเหรอ

หรงหยางเซิงแค่นเสียงในลำคอ เขาไม่น่ามาที่นี่เลย ตอนแรกก็ว่าจะไม่ยุ่งแล้วแท้ๆ แต่ในใจกลับนึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ที่แท้เขาก็แค่คิดมากไป กลัวไปว่าไป๋เฟิงอี๋คนเดียวจะสู้อีกฝ่ายที่มีคนมากกว่าไม่ได้ ที่ไหนได้ ฝ่ายนั้นยังสบายดีทุกอย่าง แถมยังมายืนกอดอกจ้องหน้าเขาด้วยแววตาแบบที่เขาไม่เคยชอบเลยสักนิด

“ตกลงว่านาย... เป็นห่วงฉัน” ไป๋เฟิงอี๋ย้ำคำถามเดิม เขาอยากให้อีกฝ่ายตอบว่าใช่ ทว่าคำตอบกลับกลายเป็นความเงียบ “แค่พูดความจริง มันทำให้นายลำบากใจขนาดนั้นเลยเหรอไง”

“นายไม่ได้มีความสำคัญอะไรให้ฉันต้องเป็นห่วง” แม้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ไป๋เฟิงอี๋จะพยายามบอกหัวใจให้ชินชากับคำพูดไร้เยื่อใยของพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ ทว่าเขากลับยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงอกข้างซ้ายแทบทุกครั้งที่ได้ยิน หรือไม่มีวันที่หรงหยางเซิงจะยอมรับเขาจริงๆ...

“ถ้าอย่างนั้นนายมาที่นี่ทำไม”

“ฉันบอกแล้วไงว่ามาดูว่านายโดนพวกนั้นซ้อมจนตายไปแล้วหรือยัง”

“ถ้าเกิดเป็นแบบที่ว่า นายคงจะดีใจมากใช่ไหม อย่างน้อยหนึ่งในสองคนที่นายจงเกลียดจงชังก็ตายไปแล้วหนึ่ง”

หรงหยางเซิงไม่เพียงไม่ตอบคำถามนั้น แต่เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินห่างออกไปทีละนิด แม้เขาจะเกลียดสองแม่ลูกฮั่วเซียงหลิงกับไป๋เฟิงอี๋ แต่เขาไม่เคยคิดอยากให้ทั้งคู่ตาย แค่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเท่านั้น คิดมาถึงตรงนี้ หรงหยางเซิงก็สะดุดความคิดของตัวเอง ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แล้วเหตุใดเขาถึงพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับไป๋เฟิงอี๋ถึงที่นี่ เห็นทีสมองเขาคงเบลอจากการอ่านหนังสือเมื่อตอนเย็นมากเกินไปกระมัง

ไป๋เฟิงอี๋ใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก แม้อีกฝ่ายจะไม่ยอมตอบ แต่เขาก็เดาได้อยู่ดี

หรงหยางเซิงเกลียดเขา...



เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋คิดจะตรงขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอน แต่ป้าจาง แม่บ้านชรากลับมาดักรอแล้วบอกว่าบิดาบุญธรรมและมารดาของเขากำลังรอพบอยู่ที่ห้องทำงาน ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้ารับรู้แล้วบอกว่าตนขอไปล้างหน้าล้างตัวให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยไปพบทั้งคู่ เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายจะตกใจโดยใช่เหตุเปล่าๆ ลำพังบิดาบุญธรรมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มารดาของเขานี่สิ เด็กหนุ่มกลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เขารู้นิสัยมารดาของตัวเองดี

ฮั่วเซียงหลิงกำลังเอนกายอยู่บนโซฟานำเข้าจากยุโรปตอนที่ผู้เป็นลูกชายเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา แม้ไป๋เฟิงอี๋จะอยู่ในสภาพเสื้อคลุมชุดนอนเรียบร้อย แต่ฮั่วเซียงหลิงยังตาดีพอที่จะเห็นความผิดปกติและรอยช้ำเล็กน้อยบนใบหน้าหล่อเหลาของลูกชาย

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าถึงมีรอยช้ำได้ล่ะอาเฟิง” ฮั่วเซียงหลิงปราดเข้าไปหาลูกชายแล้วเอามือคลึงบริเวณข้างแก้มของอีกฝ่ายที่พยายามเอียงหน้าหลบ

“มีเรื่องนิดหน่อยครับแม่ แต่ไม่ต้องห่วง ผมจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋อธิบายและพยายามพูดตัดบทในคราวเดียวกัน เขารู้ว่ามารดาเป็นห่วงเขา แต่การที่จะมาคอยดูแลประคบประหงมทำราวกับเขาเป็นเด็กอมมือ สำหรับไป๋เฟิงอี๋แล้ว นี่ออกจะน่าอึดอัดใจไม่น้อย

“มันเป็นใคร บอกแม่มานะอาเฟิง”

“เอาน่าเซียงหลิง อาเฟิงก็บอกแล้วว่าจัดการไปเรียบร้อย เราก็อย่าไปถือสาหาความกับเรื่องของเด็กๆ เลย เด็กหนุ่มก็เลือดร้อนแบบนี้น่ะแหล่ะ” หรงหยางเค่อช่วยพูดจึงทำให้ฮั่วเซียงหลิงจำต้องหยุดการซักไซ้ไว้เพียงเท่านี้ก่อน เธอกับหรงหยาง เค่อมีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องบอกให้ไป๋เฟิงอี๋ทราบ “นั่งก่อนสิอาเฟิง พ่อกับแม่มีเรื่องอยากจะบอก เกี่ยวกับอนาคตของลูกน่ะ”

ไป๋เฟิงอี๋มองหน้าหรงหยางเค่อสลับกับใบหน้ายิ้มแย้มของฮั่วเซียงหลิง อนาคตงั้นเหรอ? เขาเป็นคนประเภทใช้ชีวิตรื่นรมย์อยู่กับปัจจุบันมากกว่าคำนึงถึงอนาคต แต่ท่าทางของบุพการียามนี้ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก

“หลังจากเรียนจบ แม่เขาอยากให้อาเฟิงไปเรียนต่อที่เมืองนอก”


(To be continued)

Aislin: สวัสดีค่ะ วันนี้มาอัพต่อให้แล้วนะคะ พอดีว่าที่ทำงานไม่ให้อัพนิยาย (บล็อกเว็บ) ดังนั้น อิซลินเลยมาอัพให้ได้ช่วงดึกๆ แทน หวังว่าจะยังมีคนรออ่านเน้อ แล้วเจอกันดึกๆ ของวัน... (น่าจะพรุ่งนี้นะ)
ปล. ตามไปหวีดต่อใน fb หรือ twitter ได้โลดดด (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2020 22:56:28 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 3: Love is still so far away

ไป๋เฟิงอี๋เงียบไปนาน ไม่แสดงออกถึงความดีใจแม้แต่น้อย เหมือนสมองของเด็กหนุ่มหยุดสั่งการตั้งแต่แต่ยินคำพูดที่ออกจากปากหรงหยางเค่อว่าทั้งคู่จะส่งเขาไปเรียนต่อเมืองนอก

“อาเฟิง...”

“ผม... ไม่ไปได้ไหม”

“ทำไมล่ะอาเฟิง ใครๆ ก็อยากไปเรียนต่อเมืองนอกกันทั้งนั้น อีกอย่างแม่ว่า...” หรงหยางเค่อใช้สายตาปรามผู้เป็นภรรยาก่อนเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ไป๋เฟิงอี๋ปฏิเสธโอกาสและอนาคตอันสดใสที่พวกตนหยิบยื่นให้

“แล้วอาหยางล่ะครับ” คนถามพยายามทำสีหน้าเป็นปกติ ทั้งที่ในใจกำลังรอคำตอบด้วยความกระวนกระวาย

“พ่อคุยกับอาหยางแล้ว เขามีเป้าหมายชัดเจนว่าอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่” หมายความว่าถ้าหากเขาไปเรียนต่อเมืองนอก เขาก็จะไม่ได้พบหน้าหรงหยางเซิงอีกหลายปีใช่ไหม

“ถ้าหากอาหยางจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่ แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงต้องส่งผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้วย” หรงหยาง เค่อและฮั่วเซียงหลิงมองหน้ากัน ก่อนหรงหยางเค่อจะยกหน้าที่อธิบายให้เป็นของภรรยา

“ลูกก็รู้ว่าที่ผ่านมาเราสองคนลำบากกันมามาก ในเมื่อมีโอกาสแล้ว แม่ก็อยากจะให้ลูกของแม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ตอนแรกพ่อกับแม่ก็หวังจะให้ลูกกับอาหยางไปเรียนต่อพร้อมกัน แต่ในเมื่ออาหยางปฏิเสธ ลูกก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธตามอาหยาง อาเฟิง... ลูกอย่าเอาอนาคตของตัวเองไปผูกกับคนอื่นเลยนะ”

ไป๋เฟิงอี๋เป็นลูกชายของเธอ ทำไมเธอจะดูเขาไม่ออก ในสายตาของไป๋เฟิงอี๋ หรงหยางเซิงเป็นต้นแบบในหลายๆ เรื่อง ลูกชายเธอมักจะให้ความสนใจกับพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้เป็นพิเศษ แม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีหมางเมินเย็นชาแค่ไหนก็ตาม แต่ไป๋เฟิงอี๋ก็ไม่เคยละความพยายามที่จะทำให้หรงหยางเซิงยอมรับตัวเอง และฮั่วเซียงหลิงยังรู้มากกว่านั้น... สาเหตุที่หรงหยางเซิงไม่เคยเปิดใจยอมรับไป๋เฟิงอี๋ให้เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ทั้งหมดก็เพราะหรงหยางเซิงเกลียดเธอ!

ไป๋เฟิงอี๋ออกมาจากห้องทำงานของหรงหยางเค่อด้วยอาการใจลอย คำพูดของฮั่วเซียงหลิงยังคงดังก้องอยู่ในรูหู เขาไม่ควรเอาอนาคตตัวเองไปผูกไว้กับคนอื่น เขากับหรงหยางเซิงต่างก็มีทางเดินชีวิตเป็นของตัวเอง ทำไมเขาจะต้องเอาแต่สนใจและวิ่งไล่ตามคนๆ นั้นด้วย

เขาเริ่มเหนื่อย... ถ้าหากหรงหยางเซิงหยุดรอบ้างก็คงดี แต่นี่... ฝ่ายนั้นกลับวิ่งหนีเขา รักษาระยะห่างให้ไกลเท่าเดิม



ถุงอะไรบางอย่างห้อยอยู่ตรงลูกบิดประตูห้องนอน ไป๋เฟิงอี๋เปิดถุงออกดูก็พบว่ามันคือยาและอุปกรณ์ทำแผล ใครเอามาให้เขา? พอดีป้าจางเดินผ่านมา ไป๋เฟิงอี๋จึงเรียกเอาไว้แล้วถาม ในใจนึกหวังว่าจะเป็นคนๆ นั้น

“ป้าเอามาแขวนไว้เองค่ะ พอดีเห็นคุณชายรองได้แผลกลับมา เลยคิดว่าควรต้องใส่ยาเสียหน่อย”

ไม่ใช่คำตอบที่ไป๋เฟิงอี๋คาดหวังไว้ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ลืมเอ่ยขอบคุณแม่บ้านชรา ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลหรงดีกับเขา คนเดียวที่ต่อต้านและเห็นเขากับมารดาเป็นศัตรูก็คือหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มสมเพชตัวเอง ทั้งที่รู้แบบนี้แล้ว เขายังมีแก่ใจคาดหวังอะไรจากฝ่ายนั้นกันเล่า



ไป๋เฟิงอี๋รู้ว่าช่วงใกล้สอบ หรงหยางเซิงจะมาอ่านหนังสือที่ห้องสมุดทุกวัน ฝ่ายนั้นเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิของโรงเรียน เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้าน ทั้งหล่อเหลา เรียนเก่ง ฐานะดี ทว่าติดนิสัยเย็นชาไปสักนิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคง
ป็อปปูล่าห์ในหมู่นักเรียนหญิงอยู่ดี

ไป๋เฟิงอี๋เคยได้ยินมาว่าก่อนหน้าที่ตนจะย้ายมาเรียนที่นี่ หรงหยางเซิงคือเบอร์หนึ่ง แต่การมาถึงของเขาก็ทำให้ตำแหน่งนักเรียนชายสุดป๊อบของฝ่ายนั้นมีอันต้องสั่นคลอน ไป๋เฟิงอี๋รู้ตัว เขาเองก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้ว แถมตอนนี้ฐานะก็เป็นถึงคุณชายรองตระกูลหรง เรียกได้ว่าไม่ได้ดูด้อยกว่าหรงหยางเซิงตรงไหน นิสัยที่ดูผ่อนคลายกว่าหรงหยางเซิงทำให้เขาเองก็มีคนเข้าหาไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งเขาเองก็พอใจที่จะให้เป็นแบบนั้น เขาต้องแย่งความป๊อบปูล่าห์มาจากพี่ชายนอกสายเลือดบ้าง ขืนให้ทนมองหรงหยางเซิงมีคนอื่นมาพัวพันมากๆ เขาคงได้คลั่งใจตายก่อนแน่

มือเรียวแหวกตั้งหนังสือบนชั้นวางออกเป็นช่องเล็กๆ พอให้สายตาลอดผ่านไปได้ ดวงตาสีน้ำตาลของไป๋เฟิงอี๋เพลิดเพลินอยู่กับการจับจ้องทุกอิริยาบถของหรงหยางเซิง ท่าทางจริงจิงของฝ่ายนั้นทำให้เขาต้องจุดยิ้มตรงมุมปาก แต่แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ คลายลงเมื่อเห็นใครบางคนเดินมาหาหรงหยางเซิงที่โต๊ะ

เหมยอิง เพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง

ไป๋เฟิงอี๋เคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงในห้องพูดแซวเหมยอิงเกี่ยวกับหรงหยางเซิง ไม่แปลกถ้าหากเหมยอิงจะชอบผู้ชายอย่างหรงหยางเซิง แต่ที่แปลกคือหรงหยางเซิงกลับยอมให้อีกฝ่ายนั่งร่วมโต๊ะอ่านหนังสือด้วย ทั้งที่ปกติฝ่ายนั้นจะพยายามเลี่ยงผู้หญิงทุกคนที่พยายามหว่านเสน่ห์ให้มาโดยตลอด แถมท่าทางของหรงหยางเซิงตอนนี้กลับยิ้มแย้ม ไร้อารมณ์หงุดหงิดเย็นชา ต่างจากที่แสดงออกเป็นประจำอย่างสิ้นเชิง!

“นั่นแน่ แอบมาเป็นถ้ำมองอยู่นี่เอง” เสียงตบป้าบเข้าที่ไหล่ทำเอาไป๋เฟิงอี๋ถึงกับสะดุ้ง “ใครบางคนนี่น่าสงสารชะมัด แอบมองอยู่ได้ตั้งนาน สุดท้ายโดยคนอื่นคาบเนื้อไปกินเฉยเลย” จุ้ยฮวาพยักเพยิดไปทางสองคนที่นั่งอ่านหนังสือด้วยกันอยู่อีกทางหนึ่ง ท่าทางของเหมยอิงเต็มไปด้วยความสุขขนาดว่าคนที่แอบมองอยู่ก็ยังสัมผัสได้ ขณะที่หรงหยางเซิงแม้ไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่ไป๋เฟิงอี๋รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงยกให้เหมยอิงเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมชั้นธรรมดาๆ เสียแล้ว

“เธอรู้อะไรมาบ้างล่ะ”

“เลี้ยงข้าวหน่อยสิ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง” จุ้ยฮวาพยายามพูดด้วยท่าทางติดตลก แต่ไป๋เฟิงอี๋ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นหัวในตอนนี้ ภาพตรงหน้าทำให้เขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จุ้ยฮวาเองก็จับอารมณ์ของเพื่อนสนิทได้ เด็กสาวจึงไม่กล้าล้อเล่นกับอารมณ์ของไป๋เฟิงอี๋ในตอนนี้ “มาเถอะ หิวจะตายอยู่แล้ว”



ที่ร้านอาหารใกล้ๆ โรงเรียน ไป๋เฟิงอี๋รับฟังเรื่องที่จุ้ยฮวาเล่าด้วยอาการสงบ ทว่าในใจร้อนรุ่มเหมือนมีเพลิงสุมกองโต เป็นแบบที่เขาคิดไว้ไม่ผิด หรงหยางเซิงตัดสินใจคบหากับเหมยอิง แม้จะไม่รู้ว่าทั้งคู่ไปสานสัมพันธ์กันตั้งแต่ตอนไหน ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาเลยสักนิด

จุ้ยฮวารวบช้อนส้อมหลังจากรับประทานจนอิ่มแล้ว เด็กสาวมองเพื่อนสนิทที่ยังคงนิ่ง ไม่แตะต้องแม้กระทั่งน้ำอัดลมตรงหน้า

“นายจะเอายังไงต่อ จะตัดใจไหม” จุ้ยฮวาเอ่ยถามพลางเหลือบมองสีหน้าของคู่สนทนา

“ไม่” คำตอบสั้น แต่แฝงความหนักแน่นเสมือนว่าผู้พูดคิดมาดีแล้ว

“แล้วนายจะทนมองสองคนนั้นมีความสุขด้วยกัน ทรมานตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เนี่ยนะอาเฟิง” จุ้ยฮวาคิดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของไป๋เฟิงอี๋มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมอีกฝ่ายจึงยอมรับเธอเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในโรงเรียนแห่งนี้ เธอทราบดีว่าไป๋เฟิงอี๋หลงรักหรงหยางเซิง และเธอก็ไม่ได้นึกรังเกียจรสนิยมทางเพศของเพื่อนคนนี้ แต่บางครั้งเธอกลับไม่เข้าใจการกระทำของไป๋เฟิงอี๋เลยสักนิด เพื่อนของเธอควรจะตัดใจได้แล้ว ดื้อรั้นชอบหรงหยางเซิงต่อไป รังแต่จะทำให้เสียใจเปล่าๆ แต่ดูเหมือนไป๋เฟิงอี๋จะคิดต่างจากเธอ

“เรื่องอะไรที่ฉันจะทนมองสองคนนั้นมีความสุขด้วยกันล่ะ”

“หมายความว่ายังไง” จุ้ยฮวาขมวดคิ้วมุ่น “อย่าบอกนะว่านาย...”

ดวงตาสีน้ำตาลของไป๋เฟิงอี๋ทอประกายเข้มขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าจุ้ยฮวากำลังจับสังเกตตนอยู่ เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายมากขึ้น

“เดี๋ยวไปดูหนังกันไหม ฉันเลี้ยงเอง”

“แน่นอน คุณชายไป๋เฟิงอี๋เป็นเจ้ามือทั้งที ขอสองเรื่องเลยได้หรือเปล่า”

“เธอนี่มันงกจริงๆ”

“แน่ล่ะ ใครใช้ให้ฉันมีเพื่อนเป็นคุณชายรองตระกูลหรงล่ะ”

ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มขำกับคำพูดนั้น ทันทีที่จุ้ยฮวาเริ่มหันไปให้ความสนใจกับเรื่องโปรแกรมภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่ตอนนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาของไป๋เฟิงอี๋ก็ค่อยๆ สลายไป เขาไม่อยากให้จุ้ยฮวารู้สิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ ถ้าหากจุ้ยฮวารู้ เธอต้องพยายามขัดขวางเขาเป็นแน่ ดังนั้น เขาจึงได้พยายามกลบเกลื่อน แสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนหนาว ทั้งที่หัวใจตอนนี้เจ็บปวดเหมือนกำลังถูกใครกระชากทึ้งไปมา

ใช่... เรื่องอะไรที่เขาจะต้องทนมองเหมยอิงมีความสุขกับหรงหยางเซิงล่ะ

ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเพิ่งจะเริ่มต้น ถ้าหากเขาจะทำให้มันต้องจบลง หรงหยางเซิงคงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าไหร่กระมัง...


(To be continued)

Aislin: สวัสดีค่ะ มาอัพแบบต่อเนื่องเลย อัพเรื่องนี้มาแล้วสักพัก ไม่มีคนคอมเม้นท์เลยแฮะ เงียบเหงาจัง ใครอ่านอยู่ แสดงตัวทักทายกันหน่อยเถิดน้าาาา อยากคุยกะคนบ้างอะไรบ้าง ฮาๆๆ / เจอกันตอนต่อไปค่ะ


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 4: I hope you understand how I am feeling


สุดสัปดาห์นี้หรงหยางเค่อพาครอบครัวไปพักผ่อนที่ต่างเมือง ตอนแรกหรงหยางเซิงหาเรื่องปฏิเสธไม่ไปเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฮั่วเซียงหลิงและไป๋เฟิงอี๋ แต่หรงหยางเค่อก็หว่านล้อมแกมบังคับ โดยบอกว่าในตอนเย็นวันอาทิตย์จะมีนัดดินเนอร์กับหุ้นส่วนธุรกิจคนสำคัญและตนก็อยากให้หรงหยางเซิงไปด้วยกัน จะได้แนะนำให้หุ้นส่วนธุรกิจรู้จักกับทายาทที่จะมารับช่วงต่อกิจการอสังหาริมทรัพย์ตระกูลหรงรุ่นต่อไป ดังนั้น หรงหยางเซิงจึงจำใจต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

เมือง H เป็นเมืองเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา อากาศจึงค่อนข้างเย็นสบายตลอดทั้งปี แม้จะเป็นเพียงเมืองเล็กๆ แต่ก็มีทัศนีภาพที่งดงามราวภาพวาด หรงหยางเค่อชอบที่นี่มากถึงขั้นซื้อบ้านพักตากอากาศเอาไว้สำหรับพักผ่อนเป็นการส่วนตัว แต่ก่อนหรงหยางเซิงมาที่นี่บ่อย แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาก่อนที่มารดาของเขาจะเสียชีวิต มารดาเขาเองก็ชอบที่นี่ บ้านพักแห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายของบิดาและมารดา ทว่าตอนนี้ภาพของผู้หญิงอีกคนกลับลอยซ้อนทับเข้ามาแทนที่

บ้านพักแห่งนี้กว้างใหญ่และสะดวกสบาย เฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนทุกชิ้นถูกจัดวางอย่างสวยงาม ไม่มีส่วนใดที่ขัดหูขัดตา การตกแต่งภายในตัวบ้านสอดรับกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบนอกที่ถูกโอบล้อมด้วยสวนป่าไผ่อายุเกือบร้อยปี ฮั่วเซียงหลิงชื่นชอบที่นี่ยิ่งนัก เธอส่งเสียงชื่นชมไม่หยุด ส่วนหรงหยางเค่อก็เอาใจด้วยการอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้ภรรยาฟังอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรงหยางเซิงมองภาพนั้นด้วยแววตาว่างเปล่า เด็กหนุ่มค่อยๆ หลบฉากออกมาเงียบๆ ตั้งใจว่าจะปลีกตัวไปพักผ่อนคนเดียว ขืนอยู่ตรงนี้นานเข้า เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัวแสนสุขนี้

ห้องพักของหรงหยางเซิงอยู่ทางปีกด้านตะวันออก เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นจากหางตาว่าใครบางคนเดินตามเขามาติดๆ ไป๋เฟิงอี๋

“ห้องของฉันก็อยู่ทางนี้เหมือนกัน” ผู้มาใหม่รีบตอบเพราะนึกเดาความคิดของหรงหยางเซิงได้

เมื่อมาถึงห้องพัก หรงหยางเซิงจึงได้รู้ว่าไป๋เฟิงอี๋พักอยู่ห้องติดกันกับเขา ห้องอื่นมีตั้งมากมาย ทำไมจะต้องมาพักอยู่ใกล้ๆ กันด้วย เขาต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากจะสนทนากับคนอื่นให้มากความ สำหรับเขาแล้ว ไป๋เฟิงอี๋ก็เป็นจำพวกที่เขาจัดให้อยู่ในสถานะ ‘คนอื่น’

“นี่ อาหยาง” คนถูกเรียกชะงักมือที่กำลังไขกุญแจเปิดประตูห้อง “เก็บของเสร็จแล้ว เราไปเดินเล่นกันไหม”

“ไม่”

“ฉันเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก นายจะไม่ช่วยแนะนำหรือพาชมหน่อยเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋กอดอกแล้วใช้หลังพิงบานประตูด้วยท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาของหรงหยางเซิงที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเรียบสนิท

“อยากไปก็ไปเองเถอะ ฉันไม่ได้มีหน้าที่เป็นไกด์ส่วนตัวให้ใคร”

“เย็นชาจังนะ” ไป๋เฟิงอี๋บิดยิ้มมุมปาก “กับเหมยอิง นายจะยังพูดแบบนี้หรือเปล่า”

“ไป๋เฟิงอี๋!” น้ำเสียงหรงหยางเซิงเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น ปกติเขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามเรื่องส่วนตัว และเขาเองก็ไม่เคยไปยุ่งกับสองแม่ลูกนั่น ต่างคนต่างอยู่น่าจะดีที่สุด แต่นี่ไป๋เฟิงอี๋ชักจะล้ำเส้นกันเกินไปแล้ว

“เรียกเน้นเสียงแบบนี้ กลัวจะลืมชื่อฉันหรือไง”

“อย่ามายั่วโมโหฉัน” ใบหน้าที่ฉายแววเริ่มไม่สบอารมณ์ของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋พอใจไม่น้อย เขาชอบเหลือเกินที่จะได้เห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่เย็นชาเงียบขรึมแบบที่เขาเคยเห็นอยู่เป็นนิจ หรงหยางเซิงอาจจะดีกับคนอื่น แต่สำหรับเขากลับเป็นข้อยกเว้น

“ได้ข่าวว่านายเดทกับเหมยอิง”

“ฉันจะคบกับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของนาย” ไป๋เฟิงอี๋เถียงในใจ ใครว่าไม่เกี่ยวกับเขาล่ะ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหรงหยางเซิงมันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาไม่มากก็น้อย

“ทำไมถึงชอบเหมยอิงล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋ถามเพราะอยากรู้จริงๆ ที่ผ่านมาหรงหยางเซิงแทบไม่ชายตามองผู้หญิงคนไหน แล้วทำไมอยู่ดีๆ เกิดมาชอบพอเหมยอิงได้

“ฉันคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบคำถามนี้” หรงหยางเซิงดันบานประตูให้เปิดออกก่อนแทรกตัวเข้าไปด้านใน “แล้วก็ช่วยจำเอาไว้ด้วยว่าเราสองคนน่ะต่างคนต่างอยู่ดีแล้ว เห็นนี่ไหม” ไป๋เฟิงอี๋มองตามปลายนิ้วของหรงหยางเซิงที่ชี้ไปยังเส้นกรอบประตู

“เส้นนี้ก็เหมือนเส้นกั้นแบ่งเขตความสัมพันธ์ของฉันกับนาย ได้โปรด... ไป๋เฟิงอี๋ อย่าก้าวเข้ามาในชีวิตของฉัน เหมือนอย่างที่ฉันก็จะไม่มีวันก้าวเข้าไปในโลกของนายเช่นกัน”

บานประตูถูกปิดลงต่อหน้าไป๋เฟิงอี๋ สีหน้าเด็กหนุ่มหมองลงถนัดตา คำพูดเมื่อสักครู่ยังดังก้องอยู่ในรูหู สะท้อนซ้ำไปซ้ำมาราวกับต้องการจะปลุกให้คนโง่งมอย่างเขาตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียที

หรงหยางเซิงไม่รักเขา แล้วก็ไม่มีวันจะรักด้วย...



ไป๋เฟิงอี๋ได้เจอหรงหยางเซิงอีกครั้งตอนมื้อเย็น ฝ่ายนั้นก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าตัวเองเงียบๆ มีบ้างที่ต่อบทสนทนากับหรงหยางเค่อผู้เป็นบิดา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องธุรกิจของตระกูลหรง ขณะที่ฮั่วเซียงหลิงก็เอาใจผู้เป็นสามีด้วยการขยันตักอาหารให้ แถมยังเผื่อแผ่มาถึงหรงหยางเซิงที่เป็นลูกเลี้ยงอีกด้วย

“ทานปลานึ่งบ๊วยหน่อยนะจ๊ะอาหยาง ปลาน่ะช่วยบำรุงสมองแล้วก็ความจำได้ดีเชียวล่ะ” ฮั่วเซียงหลิงพยายามทำดีกับลูกเลี้ยงคนนี้ แต่ดูเหมือนความพยายามของหล่อนจะสูญเปล่าเมื่อหรงหยางเซิงใช้ส้อมเขี่ยปลาออกจากจานราวกับเป็นขยะที่น่ารังเกียจ
ใบหน้ายิ้มแย้มของฮั่วเซียงหลิงกลับกลายเป็นซีดเผือด เธออยากจะใช้คำผรุสวาทกับลูกเลี้ยงคนนี้ แต่ติดที่ว่าสามีเองก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย เธอจึงได้แต่จำทนต่อการกระทำที่แสดงออกถึงการต่อต้านของหรงหยางเซิง เป็นหรงหยางเค่อที่ระงับอารมณ์ไม่ได้เสียเอง

“แกเป็นอะไรน่ะอาหยาง เซียงหลิงเขาไปทำอะไรให้แกนักหนา ทำไมถึงต้องทำกริยาแบบนี้ด้วย เหมือนเด็กไม่รู้จักโตไม่มีผิด”

“ผมเป็นคนเลือกทาน” หรงหยางเซิงมองผู้เป็นบิดาสลับกับมารดาเลี้ยง “ไม่เหมือนพ่อที่รับประทานไม่เลือก” คำพูดแฝงนัยของหรงหยางเซิงทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน ไม่มีใครกล้าแตะช้อนส้อมอีกต่อไป เด็กหนุ่มปรายตามองไปทางฮั่วเซียงหลิง “ปลาเนี่ย คุณเก็บเอาไว้ทานเองเถอะ ปลามีโอเมก้าช่วยบำรุงสมอง จะได้ฉลาดพอจะคิดได้ว่าการแย่งสามีของคนอื่นมันเป็นความผิดชนิดไม่น่าให้อภัย”

“อาหยาง!” หรงหยางเค่อตวาดดังลั่นห้องอาหาร ใบหน้าชายชราเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หรงหยางเซิงมองท่าทางของบิดาด้วยอาการนิ่งสงบ ฮั่วเซียงหลิงไม่พอใจมาก แต่สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการกำมือแน่นให้เล็บจิกลงไปบนฝ่ามือ แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่เธอก็ต้องอดทน เธอจะไม่มีวันยอมให้สิ่งที่ทุ่มเทลงไปทั้งหมดต้องสูญเปล่าเพราะคำพูดระคายหูไม่กี่คำของหรงหยางเซิง “ออกไป ออกไปจากที่นี่ก่อนที่ฉันจะฆ่าแก”

คนถูกไล่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่นักหรอก ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว วูบหนึ่งของความคิด หรงหยางเซิงรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหากมารดาเขายังมีชีวิตอยู่ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้น เขาคงไม่ต้องผิดใจกับบิดาเช่นวันนี้

หรงหยางเซิงหมุนตัวเดินออกจากห้องอาหารไป ไป๋เฟิงอี๋ที่เงียบดูสถานการณ์มาตลอดรีบสาวเท้าตามไปติดๆ เด็กหนุ่มร้องเรียกชื่อหรงหยางเซิง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหยุดง่ายๆ ไป๋เฟิงอี๋จึงตัดสินใจวิ่งไปดักหน้าอีกฝ่ายเอาไว้

“หรงหยางเซิง นายทำเกินไปแล้ว”

“มันยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่แม่นายทำกับแม่ฉัน”

“ฉันรู้ว่านายรังเกียจฉันกับแม่ แต่เรื่องการตายของแม่นาย ทำไมนายต้องปักใจว่าเป็นความผิดของแม่ฉันด้วย แม่นายเจ็บป่วยออดแอดมาตั้งนานหลายปี ตอนนี้ท่านก็ไปสบายแล้ว แต่ทำไมนายถึงไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมให้โอกาสแม่ของฉันบ้าง” ไป๋เฟิงอี๋เองก็ทนกับเรื่องนี้มานานเช่นกัน ประเด็นความสัมพันธ์ที่แสนเปราะบางในครอบครัวทำให้เขาใกล้จะบ้าตายอยู่รอมร่อ ฝ่ายหนึ่งก็มารดาแท้ๆ อีกฝ่ายก็เป็นคนที่เขาแคร์ยิ่งกว่าอะไร ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ไป๋เฟิงอี๋ก็เห็นแต่ปัญหาลอยอยู่เต็มไปหมด

“นายไม่มาเป็นฉัน นายไม่มีวันเข้าใจหรอกไป๋เฟิงอี๋” ภาพมารดาที่ตัดพ้อบิดากับนายหญิงคนใหม่ของบ้านตระกูลหรงก่อนสิ้นใจยังฝังแน่นอยู่ในความนึกคิดของหรงหยางเซิง

“เราจะไม่มีวันญาติดีกันเลยใช่ไหม”

“ใช่” หรงหยางเซิงตอบกลับแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย “ไม่มีวัน!”

(To be continued)


Aislin: มาอัพให้แล้วนะคะ ขออภัยที่หายไปหลายวัน พอดีงอนที่ไม่มีคนอ่าน ไม่มีคนคอมเม้นท์เล้ยยยย เศร้าแปป เง้อออ ยังไงให้กำลังใจหรือพูดคุยกันบ้างน้าาา เค้าเหงามากมาย / เจอกันตอนหน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 5: Just dream and delusion

ไป๋เฟิงอี๋ตื่นนอนแต่เช้า ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืน คำพูดของหรงหยางเซิงยังดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว สีหน้ายามอีกฝ่ายมองเขาเหมือนราวกับกำลังมองเชื้อโรคน่ารังเกียจตัวหนึ่ง มีหลายครั้งที่เขานึกไปว่าถ้าหากมารดาไม่ได้แต่งเข้ามาในตระกูลหรง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหรงหยางเซิงคงไม่ย่ำแย่ขนาดนี้

แย่กว่ารักคือเกลียดชัง

ทว่าที่แย่กว่าเกลียดชังคือความรู้สึกเฉยชา

ถ้าเลือกที่จะทำเฉย นั่นแสดงว่าตัวตนของเรา... สำหรับเขาแล้ว มันไม่มีความหมายอีกต่อไป

ไป๋เฟิงอี๋พรูลมหายใจเหยียดยาว บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร ถ้าหากหรงหยางเซิงไม่รัก อาจจะดีกว่าถ้าหากอีกฝ่ายเกลียดเขาแทนที่จะทำตัวเย็นชาใส่ เพราะถ้าหากเป็นอย่างหลัง เขาคงยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิมหลายเท่า

เช้านี้วันนี้ ท้องฟ้าสดใส มีแดดอ่อนๆ ทว่าอุณหภูมิยิ่งลดต่ำลงจากเมื่อวาน เป็นสัญญาณของการก้าวผ่านจากฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ไป๋เฟิงอี๋ตัดสินไปเดินเล่นที่ป่าไผ่ใกล้ๆ กับบ้านพัก ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าจะไปชวนหรงหยางเซิงให้ไปด้วยกัน แต่พอนึกเดาคำตอบของอีกฝ่ายได้ เลยชะงักมือที่กำลังจะเคาะประตูห้องข้างๆ

ต้นไผ่สูงชะลูดที่เรียงรายตลอดสองข้างทางเดินก่อให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงาม กลิ่นไอดินผสมกับกลิ่นใบไผ่ยังความสดชื่นมาสู่นาสิก ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มบางๆ นี่เขาไม่ได้เดินชมวิว ดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างนี้มาเป็นปีแล้วนับตั้งแต่ย้ายตามมารดามาอยู่ที่เมือง S

ทุกอิริยาบถของไป๋เฟิงอี๋อยู่ในสายตาใครบางคนที่กำลังมองมาจากที่ไกลๆ ตอนแรกหรงหยางเซิงหงุดหงิดเล็กๆ ที่ถูกรบกวนการพักผ่อน ทั้งที่เขาแอบหนีมาที่นี่แล้วเชียว ยังไม่วายถูกฝ่ายนั้นตามมาพบจนได้ ทว่าพอดูดีๆ ท่าทางของฝ่ายนั้นดูเหมือนจะยังไม่สังเกตเห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้เดินมาหาเรื่องชวนทะเลาะเป็นแน่

รอยยิ้มและท่าทางที่กำลังเอามือไล้ไปตามปล้องไผ่ด้วยความสนอกสนใจของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงหยักยิ้มเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว ทำราวกับไม่เคยเห็นมาต้นไผ่มาก่อน หรงหยางเซิงสะดุดความคิดของตัวเองเข้าอย่างจัง เขาเองก็ไม่เคยเห็นไป๋เฟิงอี๋ยิ้มแบบนี้เช่นกัน ที่ผ่านมา ถ้าฝ่ายนั้นไม่ยิ้มด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท ก็มักจะมีความเศร้าจางๆ ที่เขาไม่เข้าใจแฝงไว้กับรอยยิ้มฝืดเฝื่อน เขาไม่เคยเห็นหรือบางทีอาจไม่เคยสังเกต ไม่เคยรู้เลยว่าพออีกฝ่ายยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มแบบนั้นมันรับกับดวงตาสีน้ำตาลที่พราวระยับอย่างพอเหมาะพอเจาะ แถมยังน่ามองไม่น้อย

คิดมาถึงตรงนี้ หรงหยางเซิงก็รีบดึงสติตัวเองกลับมา เขานี่ชักจะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว สงสัยเพราะเมื่อคืนนอนน้อย สมองเลยเบลอและพานคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย ถึงขั้นไปหลงชื่นชม ทั้งที่เขากับฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ญาติดีกันสักเท่าไหร่

ไป๋เฟิงอี๋รู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาทางตน เด็กหนุ่มหันไปมองจึงได้ทันประสานสายตากับคนที่มองอยู่ก่อน

หรงหยางเซิงนั่นเอง

ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดเดิน ใบไผ่ไม่พลิ้วไหวตามแรงลม สรรพสิ่งรอบกายหยุดนิ่งเหมือนมีใครกดปุ่มปิดสวิตซ์ สำหรับไป๋เฟิงอี๋ เบื้องหน้าที่มีหรงหยางเซิงยืนอยู่ท่ามกลางป่าไผ่เป็นเสมือนภาพฝันที่ไม่กล้าเชื่อว่ามันคือความจริง แต่แล้วไป๋เฟิงอี๋ก็พลันรู้สึกตัวเมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเดินมาทางที่ตนยืนอยู่

“ไม่คิดว่านายจะมาอยู่ที่นี่” หรงหยางเซิงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ฉันมาเดินเล่นน่ะ”

อีกฝ่ายแค่ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้ หลังจากนั้นความเงียบก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่จนบรรยากาศเริ่มน่าอึดอัด ไป๋เฟิงอี๋เลยพยายามหาเรื่องชวนคุย มีโอกาสไม่บ่อยนักหรอกที่ฝ่ายนั้นจะเข้าหาเขาก่อน โอกาสดีก็ควรจะรีบคว้าไว้ถึงจะถูก

“ที่นี่สวยมาก สวยเหมือนที่บทกวีบรรยายไว้ในหนังสือเรียนเลย”

“ใช่ แต่ก่อนฉันชอบพาแม่มานั่งชมวิวที่นี่บ่อยๆ” พูดแค่นั้นหรงหยางเซิงก็ชะงักไป ก่อนท่าทางของเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาแทบจะทันทีเมื่อรู้สึกว่าวันนี้เขาต่อความกับไป๋เฟิงอี๋มากเกินความจำเป็นแล้ว

“อาหยาง...”

“ขอตัวก่อนนะ” ไม่รอให้ไป๋เฟิงอี๋พูดต่อ หรงหยางเซิงก็สาวเท้ายาวๆ จากไปเสียแล้ว ทว่าผ่านไปยังไม่ถึงสิบเก้า เด็กหนุ่มก็หันกลับมาทางไป๋เฟิงอี๋ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหันหลังกลับแล้วเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทิ้งให้ไป๋เฟิงอี๋ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความสับสน เพราะไม่รู้ว่าวันนี้หรงหยางเซิงอยู่ในอารมณ์แบบไหนกันแน่



มื้อเช้าผ่านพ้นไปด้วยความกระอักกระอ่วนไม่น้อยเพราะหรงหยางเค่อมึนตึงกับบุตรชายเนื่องจากยังเคืองเรื่องเมื่อวานไม่หาย ขณะที่หรงหยางเซิงกลับมีท่าทีไม่อินังขังขอบสักเท่าไหร่ ผู้หญิงหน้าไม่อายอย่างฮั่วเซียงหลิง โดนแบบนี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ

หรงหยางเซิงใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการอ่านหนังสือเล่มโปรด ช่วงบ่ายจึงคิดอยากออกกำลังกายให้กระฉับกระเฉงขึ้นบ้าง ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบกางเกงว่ายน้ำออกมา เขาเป็นคนชอบว่ายน้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้เตรียมกางเกงว่ายน้ำติดเอาไว้ที่บ้านหลังนี้ด้วย ถ้าเผื่อลืมเอามาจากคฤหาสน์ตระกูลหรง ถึงยังไงก็ยังมีชุดสำรองไว้ใช้

แต่เดิมบ้านพักหลังนี้ไม่มีสระว่ายน้ำ แต่เมื่อหรงหยางเซิงเริ่มหัดเรียนว่ายน้ำตอนอายุเจ็ดขวบ มารดาของเขาก็ออกปากขอให้บิดาสร้างสระว่ายน้ำเอาไว้ที่นี่เพราะรู้ว่าเขาชอบว่ายน้ำ ตอนนั้นเขาหัดว่ายน้ำจนเก่งถึงขนาดได้เป็นตัวแทนนักกีฬาของโรงเรียน แต่พอเริ่มขึ้นมัธยมปลายและต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็เปลี่ยนไปให้ความสนใจด้านวิชาการแทน แม้ไม่ถึงกับทิ้งกีฬาว่ายน้ำ แต่อย่างไรก็ไม่ได้ว่ายบ่อยๆ ดังเช่นวันวาน

น้ำในสระหนาวเย็นจนบาดผิวกาย หรงหยางเซิงว่ายไปมาอยู่ไม่กี่รอบก็ต้องยอมแพ้ เด็กหนุ่มถอดแว่นตาว่ายน้ำที่สวมอยู่ออกก่อนจะเห็นว่าใครบางคนกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงพลาสติกริมสระ จ้องมาที่เขาด้วยแววตาอ่านยาก

“จะมองอีกนานไหม” คนถูกจ้องถามเสียงห้วน รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยกับสายตาแปลกๆ ของอีกฝ่าย

“ว่ายน้ำเก่งนี่ อ้อ ลืมไปว่าเคยได้ยินว่านายเป็นนักกีฬาเก่า” ไป๋เฟิงอี๋พูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เด็กหนุ่มเดินมาส่งผ้าเช็ดตัวกับเสื้อคลุมให้หรงหยางเซิงที่ยังไม่ยอมขึ้นจากสระ

หรงหยางเซิงเอื้อมมือไปรับจากนั้นก็ใช้มือยันขอบสระแล้วพาตัวเองขึ้นจากน้ำ แต่แล้วเพราะอุณหภูมิน้ำที่เย็นเกินปกติและกล้ามเนื้อที่คงออกแรงมากเกินไปทำให้เกิดอาการเหน็บชาฉับพลันบริเวณน่อง หรงหยางเซิงคำรามในลำคอ เสียการทรงตัวในทันที ขณะที่ไป๋เฟิงอี๋เองก็ตกใจ เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปหมายประคองหรงหยางเซิง ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายดึงให้ตกลงไปในสระว่ายน้ำด้วยกัน

ไป๋เฟิงอี๋ตั้งท่าจะร้อง ทว่าเสียงยังไม่ทันได้หลุดรอดจากริมฝีปากก็กลับสำลักน้ำเข้าไปอึกใหญ่ ความทรงจำในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง เขาเคยจมน้ำตอนอายุยังไม่ถึงสิบขวบดีเพราะตอนนั้นนึกแผลงเห็นเพื่อนๆ ว่ายน้ำกันก็อยากหัดบ้าง ตอนนั้นจำได้ว่ากินน้ำเข้าไปเยอะมาก โชคยังดีที่ไม่ถึงฆาต คุณลุงแถวบ้านผ่านมาเจอเลยกระโดดลงไปพาเขาลอยคอเข้าฝั่ง นับแต่นั้นมา มารดาก็ไม่เคยให้เขาว่ายน้ำอีกเลย เมื่อครู่เขาผ่านมาแถวนี้ เห็นหรงหยางเซิงกำลังว่ายน้ำอยู่เลยหยุดรอดู ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ เขาจะต้องลงมาว่ายน้ำเป็นเพื่อนฝ่ายนั้นอีกคน

ท่าทางตะกุยตะกายน้ำของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงมองออกทันทีว่าอีกฝ่ายว่ายน้ำไม่เป็น น่าขำสิ้นดี แค่การลอยคอง่ายๆ ในสระก็ยังทำไม่ได้ ไป๋เฟิงอี๋เติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน แม้จะคิดแบบนั้น แต่ในที่สุดหรงหยางเซิงก็ยื่นแขนออกไปช่วยประคองร่างอีกฝ่ายเอาไว้ เป็นไป๋เฟิงอี๋ที่คว้าต้นแขนเอาไว้แน่นราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย และยังไม่ทันได้ตั้งตัว หรงหยางเซิงก็รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของไป๋เฟิงอี๋เปลี่ยนมาโอบรอบคอของตนเอาไว้แทน ใบหน้าที่มีเค้าความหล่อเหลาค่อยเขยิบเข้ามาใกล้ทีละนิดจนหรงหยางเซิงรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายจนลืมความหนาวเย็นของน้ำในสระไปชั่วขณะ...


Aislin: มาอัพนิยายแล้วค่ะ แม้ว่าอาจจะไม่มีคนรออ่านก็ตาม โอ๊ยเศร้าแปบ ฮาๆๆ ใครรออ่าน แสดงตัวหน่อยนะคะ จะมีไหมเนี่ย เง้อออ นิยายเรื่องนี้มี 34 ตอบจบ อีกหลายตอนกว่าจะจบ ยังไงอยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคะ / แล้วพบกันใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4: :pig4: :3123:

ขอบคุณมากเลยค่าาา ดีใจที่มีคนอ่าน ฮาๆๆ นึกว่าอัพฟรีไม่มีคนอ่านซะแล้ว แง่มๆ ^^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 6: My hottest love has the coldest end

“ทำบ้าอะไรน่ะ” หรงหยางเซิงเป็นฝ่ายได้สติก่อน เด็กหนุ่มรีบดันไป๋เฟิงอี๋ออกห่าง ใบหน้าตอนนี้ร้อนผ่าวไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนกันแน่

“หวั่นไหวหรือไง” ไป๋เฟิงอี๋หน้าซีดจากอาการที่ยังสำลักน้ำไม่หาย แต่เด็กหนุ่มก็ยังมีอารมณ์หยอกเย้าอีกฝ่าย

หรงหยางเซิงสบถออกมาอย่างหัวเสีย เด็กหนุ่มรีบว่ายเข้าขอบสระด้านหนึ่ง พยายามรักษาระยะห่างจากไป๋เฟิงอี๋ให้มากที่สุด หวั่นไหวงั้นเหรอ ไม่ใช่หรอก เขารังเกียจอีกฝ่ายต่างหาก เหตุการณ์ชวนล่อแหลมเมื่อครู่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย หรงหยางเซิงอยากจะบริภาษไป๋เฟิงอี๋ยกใหญ่ แต่ก็ติดที่ประดักประเดิดจนไม่กล้าเอ่ยออกไป

สำหรับไป๋เฟิงอี๋แล้ว ระยะห่างระหว่างเขากับหรงหยางเซิงมองดูใกล้ แท้จริงกลับห่างไกลเหลือเกิน แถมฝ่ายนั้นยังพยายามก่อกำแพงปิดกั้นใจตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา ไป๋เฟิงอี๋เคยคิดว่าตัวเองกล้าและแกร่งพอที่จะปีนป่ายไปบนกำแพงนั้น ทว่ายิ่งปีนสูงขึ้นไป หรงหยางเซิงกลับยิ่งก่ออิฐให้หนาเพิ่มทวีคูณ แต่ไป๋เฟิงอี๋บอกกับตัวเอง... เพราะความรักที่วาดหวัง เขาไม่เคยลังเลที่จะเอื้อมมือไปข้างหน้า แม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะคว้าได้เพียงอากาศธาตุหรือไม่ก็ตาม

หรงหยางเซิงจากไปโดยไม่มองหน้าไป๋เฟิงอี๋อีกเลย...



การพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์จบลงไปพร้อมกับความรู้สึกที่ยังค้างคาของไป๋เฟิงอี๋ เขาไม่รู้ว่าหรงหยางเซิงจะยังกระอักกระอ่วนใจหรือไม่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สระว่ายน้ำวันนั้น แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามมองหาคำตอบจากดวงตาของอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นก็มีเพียงความเฉยเมยเย็นชาเป็นนิจ ฝ่ายนั้นทำเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่พวกเขาเกือบจะจูบกัน!

สอบปลายภาคเริ่มงวดเข้ามาทุกที ช่วงนี้ไป๋เฟิงอี๋สังเกตเห็นว่าหรงหยางเซิงกับเหมยอิงไปติวหนังสือด้วยกันทุกวัน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปเดทตามประสาคู่รัก ภาพความใกล้ชิดสนิทสนมของทั้งคู่ทำให้ไป๋เฟิงอี๋ยิ่งเจ็บแปลบ เด็กหนุ่มนึกสมเพชตัวเอง แม้การเฝ้ามองทุกความเป็นไปของพี่ชายต่างสายเลือดคนนี้จะยังความปวดร้าวมาสู่หัวใจไม่น้อย แต่เขาก็ไม่อาจหยุดการกระทำของตัวเองได้ เขาอยากให้หรงหยางเซิงอยู่ในสายตาตัวเองตลอด แม้จะต้องพ่วงเงาของผู้หญิงอีกคนมาด้วยก็ตาม

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไป๋เฟิงอี๋ใช้เวลาทบทวนเรื่องหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา เขากำลังคิดถึงแผนการที่จะแยกหรงหยางเซิงและเหมยอิงออกจากกัน ใจหนึ่งบอกว่าเขาไม่ควรทำเพราะมันอาจจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายและทำให้หรงหยางเซิงหมดความอดทนกับเขา ขณะที่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกท้าทาย แม้อาจต้องแลกกับความเกลียดชัง แต่ถ้าหากแววตาของหรงหยางเซิงยังมองที่เขา มันก็น่าลองดู

“นายจะยิ่งเกลียดฉันมากขึ้นใช่ไหมอาหยาง” ไป๋เฟิงอี๋รำพึงเบาๆ กับตัวเอง แววตาเหมือนคนที่ตัดสินใจได้แล้ว



ทุกวันเหมยอิงมาเรียนหนังสือด้วยความสุข ตั้งแต่ที่เธอคบหากับหรงหยางเซิง โลกของเธอก็กลายเป็นสีชมพู เธอแอบชอบหรงหยางเซิงมานาน ไม่คิดว่าพอตัดสินใจรวบรวมความกล้าสารภาพรักกับอีกฝ่าย ทุกอย่างกลับง่ายดายเหมือนฝัน หรงหยางเซิงเองก็สนใจเธอเช่นกัน การคบหาในฐานะคนรักจึงเริ่มต้นขึ้น แม้เหมยอิงจะรู้สึกได้ว่าหรงหยางเซิงมีบางมุมที่ออกจะเย็นชาและเก็บตัวไปบ้าง แต่เด็กสาวก็ยังมีความมั่นใจว่าในที่สุดเธอจะเปลี่ยนเขาได้ หรือแม้ถ้าหากเปลี่ยนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่หรงหยางเซิงยอมคบหากับเธอก็ดีมากพอแล้ว

เด็กสาวสอดมือเข้าไปที่ลิ้นชักใต้โต๊ะเรียนเพื่อจะหยิบหนังสือออกมาเตรียมเรียนคาบแรกของบ่ายวันนี้ แต่แล้วเธอก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

ดอกกุหลาบสีขาวกับการ์ดใบหนึ่ง...

เหมยอิงอมยิ้มกับตัวเอง เด็กสาวใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามกลีบดอกกุหลาบเบาๆ จากนั้นก็เก็บเอาไว้ในลิ้นชักโต๊ะตามเดิม แม้ลึกๆ จะอยากนึกอวดให้คนอื่นรู้ว่าหรงหยางเซิงดีกับเธอแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากทำตัวโดดเด่นในสายตาของคนรอบข้างเช่นกัน เธอเข้าใจดีว่ามีหลายคนที่ไม่นึกยินดีกับความสัมพันธ์ของเธอกับหรงหยางเซิง โดยเฉพาะพวกนักเรียนหญิงที่โดนหรงหยางเซิงหักอก พวกนั้นมักจะมองมาทางเธอแล้วจับกลุ่มซุบซิบกันตามประสาพวกขี้อิจฉา ทางที่ดีก็คืออย่าทำตัวเป็นเป้าสายตาในตอนนี้
การ์ดใบนั้นเขียนด้วยลายมือที่เธอจำได้ว่าเป็นของหรงหยางเซิง เหมยอิงอมยิ้มแล้วค่อยๆ บรรจงสอดการ์ดนั้นกลับเข้าไปในซองตามเดิม



“นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นนาย” หรงหยางเซิงนึกสงสัยว่าใครกันที่ส่งจดหมายนัดให้เขามาเจอที่นี่ ที่แท้ก็เป็นคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดนั่นเอง

ไป๋เฟิงอี๋รออีกฝ่ายอยู่นานแล้ว ตอนบ่ายเขาส่งจดหมายฝากเพื่อนร่วมห้องไปให้หรงหยางเซิงแล้วนัดให้อีกฝ่ายมาเจอกันที่นี่ เขาอุตส่าห์จองห้องอ่านหนังสือแบบส่วนตัวเพื่อรอรับหรงหยางเซิง แม้ไม่ค่อยมั่นใจนักว่าฝ่ายตรงข้ามจะมา แต่อะไรบางอย่างในใจทำให้ไป๋เฟิงอี๋ตัดสินใจพนันดูสักครั้ง

หรงหยางเซิงมองหน้าไป๋เฟิงอี๋แล้วทำท่าจะหมุนตัวกลับโดยไม่พูดอะไร ทว่าคนที่รออยู่ก่อนกลับถลันมาขวางหน้าประตูเอาไว้

“ติวหนังสือให้หน่อยสิ” ไป๋เฟิงอี๋ยกเรื่องสอบขึ้นมาอ้าง

“ไม่ยักรู้ว่าฉันกลายเป็นติวเตอร์ให้นายตั้งแต่เมื่อไหร่” หรงหยางเซิงรู้ว่าฮั่วเซียงหลิงจ้างครูสอนพิเศษมาติวให้กับลูกชายของหล่อนนอกเวลา ที่ผ่านมาเขาก็เห็นว่าไป๋เฟิงอี๋ไม่ได้สนใจกับเรื่องเรียนมากนัก วันนี้นึกอย่างไรถึงอยากขยันเรียนขึ้นมา

“ก็ใกล้สอบแล้วนี่ ฉันจะขยันบ้างมันแปลกตรงไหน”

“ฉันไม่ว่าง”

“เอาน่า อย่าเย็นชานักเลยอาหยาง”

“นายไม่มีสิทธิ์เรียกชื่อนี้” เสียงของหรงหยางเซิงเริ่มกระด้าง เขาเลยลั่นวาจาไว้ว่าฮั่วเซียงหลิงกับไป๋เฟิงอี๋ไม่มีสิทธิ์เรียกเขาด้วยชื่อนี้ แต่สองแม่ลูกก็ไม่เคยฟัง

“ฉันจะเรียก นายจะทำไมเหรออาหยาง”

“บอกแล้วไงว่า...”

“อาหยาง อาหยาง อาหยางๆๆๆๆ”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หรงหยางเซิงโมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ เด็กหนุ่มคว้าคอเสื้อนักเรียนของไป๋เฟิงอี๋แล้วกระชากเข้ามาใกล้ “นายมันน่ารังเกียจที่สุด”

ไป๋เฟิงอี๋สะอึกกับคำพูดนั้น แต่ก็ยังปั้นรอยยิ้มฉาบกลบความรู้สึกในใจ

“ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน แล้วอยากรู้หรือเปล่าว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย” เด็กหนุ่มค่อยๆ ใช้มือปลดมือข้างนั้นของหรงหยางเซิงให้คลายออกจากบริเวณลำคอของเขา ไป๋เฟิงอี๋สูดลมหายใจลึก “ฉัน...”

“ถอยไป ฉันจะกลับแล้ว” หรงหยางเซิงพยายามดันอีกฝ่ายให้ออกห่าง แต่ไป๋เฟิงอี๋ไม่ยอมง่ายๆ เด็กหนุ่มดันหรงหยางเซิงถอยไปหลายก้าวจนแผ่นหลังของฝ่ายนั้นแนบสนิทไปกับกำแพงห้อง จากนั้นก็ใช้สองมือคร่อมร่างของอีกฝ่ายเอาไว้

“ฉันจะพูดง่ายๆ สั้นๆ นายตั้งใจฟังให้ดีนะหรงหยางเซิง” ไป๋เฟิงอี๋จ้องหน้าคู่สนทนาที่ตอนนี้ถึงกับออกอาการทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ “ยิ่งนายพยายามถอยห่าง ฉันยิ่งอยากเข้าใกล้ และยิ่งนายรังเกียจฉันเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่ง... รักนาย”

มีแต่ความเงียบหลังคำสารภาพรักของไป๋เฟิงอี๋ หรงหยางเซิงจ้องคู่สนทนาเหมือนกับไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน เป็นไปได้อย่างไรที่ไป๋เฟิงอี๋จะรักเขา ในเมื่อเขากับฝ่ายนั้นต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่!

“นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” หรงหยางเซิงเค้นเสียงรอดไรฟัน ในดวงตาสีดำสนิทตอนนี้กลับมีเค้าลางของพายุอารมณ์ที่เริ่มโหมกระพือ

“รู้สิ ถ้านายไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด นั่นก็เพราะไม่มีใจตอบสนองก็เท่านั้น”

‘พลั่ก!’

หมัดหนักๆ กระแทกใส่ใบหน้าของไป๋เฟิงอี๋ ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มสะบัดไปตามแรงกระแทก ขณะที่จมูกก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจากริมฝีปากที่แตก ทว่าไป๋เฟิงอี๋ไม่มีทางยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว เด็กหนุ่มกระชากหรงหยางเซิงเข้าใกล้อีกครั้ง จากนั้นก็มอบจุมพิตเจือคาวเลือดสดๆ ให้กับฝ่ายตรงข้าม จูบนี้อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของไป๋เฟิงอี๋ที่เก็บในหัวใจมานานแรมปี ไม่มีความโรแมนติกแบบที่เคยจินตนาการเอาไว้ ตอนนี้ในหัวของไป๋เฟิงอี๋มีเพียงความน้อยใจ เขาอยากได้รับความรักจากคนตรงหน้าบ้าง ทว่าแม้เพียงเศษเสี้ยวของหัวใจ เขาก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้รับ

‘กรี้ดดดดดดด’

เสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญดังขึ้นที่หน้าห้องอ่านหนังสือ ไป๋เฟิงอี๋กับหรงหยางเซิงผละออกจากกันทันที คนๆ นั้นวิ่งหนีไปไกลแล้ว แต่แค่เพียงมองจากด้านหลัง หรงหยางเซิงก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นเหมยอิงแน่ๆ

ความกลัวแล่นจู่โจมสู่หัวใจของหรงหยางเซิง เหมยอิงเห็นเหตุการณ์สัปดนเมื่อครู่ระหว่างเขากับไป๋เฟิงอี๋...

“เหมยอิง...” หรงหยางเซิงโมโหไป๋เฟิงอี๋จนพูดไม่ออก เด็กหนุ่มตวัดสายตามองอีกคนที่เขาประณามว่าเป็นตัวปัญหาด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง ไป๋เฟิงอี๋ทำเป็นไม่ยี่หร่ะกับสายตาคู่นั้น เด็กหนุ่มยึดแขนของหรงหยางเซิงเอาไว้แน่น ในใจเอาแต่ตะโกนก้องซ้ำไปมา อย่าไปนะอาหยาง ได้โปรด...

“รู้อะไรไหม นอกจากรังเกียจแล้ว ฉันยังขยะแขยงนายอีกด้วย”

มือที่ยึดแน่นของไป๋เฟิงอี๋ค่อยๆ คลายออกอย่างช้าๆ ในที่สุดก็ตกสนิทอยู่ข้างลำตัว เด็กหนุ่มได้แต่มองตามแผ่นหลังหรงหยางเซิงที่วิ่งตามเหมยอิงไป แววตาสีน้ำตาลหม่นแสงวูบ ทว่าเด็กหนุ่มกลับยิ้มขื่นแล้วพยายามสะกดความรู้สึกรวดร้าวเอาไว้ในอก
ขยะแขยง...

เขาน่ารังเกียจมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ...


Aislin: มาอัพนิยายให้แล้วนะคะ หลังจากที่จิตตกไปหลายวัน เพราะอัพนิยายแล้วไม่ค่อยมีคนอ่านเล้ยยย แงๆๆ พลังการอัพนิยายเลยหดหาย ยังไงถ้าหากใครอ่านอยู่ ส่งเสียงผ่านคอมเม้นท์บอกกันหน่อยนะคะ เรื่องนี้จะได้ไม่เงียบเหงาเกินไปนัก ปล่อยอิซลินพูดเองเองคนเดียวมันเหงานะเออ

ปล. เจอกันใหม่เร็วๆ นี้ค่ะ แต่ถ้าหากไม่อยากรออ่านในเล้า เรียนเชิญได้ที่เว็บ ReadAwrite หรือเด็กดีได้เลยเน้อ อัพจนจบแล้วจ้า ลองเอาชื่อเรื่องนี้ไป search หาใน google ดูโลดด แห้ะๆ ^^

ปล. 2: อ่านแล้วจะตามไปหวีดใน fb หรือ twiter ตามสะดวกจ้า อย่าลืมติด #รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย ให้ด้วยนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 7: Love is a game, a very serious game

“นายรู้ข่าวเช้านี้หรือยัง” ไป๋เฟิงอี๋หลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของจุ้ยฮวาที่นั่งเรียนอยู่ถัดจากเขาไปหนึ่งโต๊ะ เด็กสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงค่อย “เรื่องของหรงหยางเซิงกับเหมยอิง”

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋ถามเหมือนไม่รู้ ทั้งที่ความจริงก็รู้อยู่แก่ใจ

“สองคนนั้นเลิกกันแล้ว ตอนนี้ข่าวดังไปทั่วโรงเรียนเลย” แน่ล่ะ หรงหยางเซิงรั้งอันดับหนุ่มฮอตของโรงเรียน เรื่องที่เกี่ยวกับฝ่ายนั้นมีเหรอจะไม่เป็นที่สนใจ โดยเฉพาะข่าวรักร้างของคู่นี้ที่คงถูกอกถูกใจบรรดานักเรียนหญิงที่แอบชอบหรงหยางเซิงไม่น้อย

“อืม” ไป๋เฟิงอี๋รับคำสั้นๆ แล้วไม่ได้ต่อบทสนทนากับจุ้ยฮวาอีก เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นสนใจกับสิ่งที่อาจารย์กำลังอธิบายบนกระดาน ทว่าความคิดกลับไหลย้อนไปสู่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่คฤหาสน์ตระกูลหรง



“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะไป๋เฟิงอี๋” เสียงกระหน่ำทุบประตูดังขึ้นหลายครั้ง ไม่ต้องบอกไป๋เฟิงอี๋ก็รู้ว่าผู้มาคือใคร

เด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตูรับผู้มาใหม่ เมื่อไร้บานประตูขวางกั้น ไป๋เฟิงอี๋จึงได้เห็นสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามชัดเจน ใบหน้าของหรงหยางเซิงซีดเผือด ทว่าดวงตาสีดำคู่นั้นราวกับพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ

หรงหยางเซิงผลักไป๋เฟิงอี๋ถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นจึงใช้มือดันประตูให้ปิดสนิทตามเดิม เขารู้ดีว่าทุกห้องในคฤหาสน์ตระกูลหรงเก็บเสียง ดังนั้นเรื่องที่เขาจะพูดกับไป๋เฟิงอี๋ในตอนนี้ คนอื่นย่อมไม่มีวันรู้ ไป๋เฟิงอี๋แค่นยิ้มทั้งที่ปากยังเจ็บอยู่

“เป็นอะไร อยู่ดีๆ ก็มาเคาะห้องฉันดึกดื่นค่อนคืน หรือว่านายเกิดอารมณ์...”

“นายมันวิปริต” หรงหยางเซิงเค้นเสียงรอดไรฟัน ใจเขาอยากจะจับไป๋เฟิงอี๋หักคอให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่พอคิดว่ามือของเขาจะต้องสัมผัสกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไป๋เฟิงอี๋ เขาก็รู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก ริมฝีปากของเขายังรู้สึกได้ถึงรสชาติคาวเลือดของอีกฝ่าย

“งั้นนายมาทำไม”

“นายต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”

“รับผิดชอบเหรอ ได้สิ ฉันเต็มใจที่จะรับผิดชอบนายอยู่แล้วอาหยาง”

“ไป๋เฟิงอี๋!” หรงหยางเซิงโมโหจนหน้าแดงก่ำ เด็กหนุ่มหมายความว่าไป๋เฟิงอี๋จะต้องรับผิดชอบที่ทำให้เขากับเหมยอิงต้องเข้าใจผิดกันต่างหากล่ะ “ฉันไม่รู้ว่านายหวังอะไรจากเรื่องนี้กันแน่ แต่นายทำให้ฉันกับเหมยอิงต้องทะเลาะกัน ดังนั้นนายต้อง...”

“นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ฉันหวัง” หรงหยางเซิงมองหน้าไป๋เฟิงอี๋เหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มมุมปากแล้วพูดด้วยเสียงที่เหมือนรำพึงกับตัวเอง “นายมองได้แค่ฉันคนเดียวเท่านั้นอาหยาง ไม่มีสิทธิ์มองคนอื่น”

“นายบ้าไปแล้วไป๋เฟิงอี๋ บ้าไปแล้วจริงๆ” ไป๋เฟิงอี๋มองท่าทางของหรงหยางเซิงแล้วก็หัวเราะออกมา น้ำเสียงเศร้าระคนขมขื่น ภายใต้เสียงหัวเราะนั้น คู่สนทนาไม่มีวันรู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังพยายามเก็บซ่อนน้ำตาเอาไว้ด้วยความยากลำบากเพียงไร

“ใช่ ฉันมันบ้า ก็เพราะนายนั่นแหล่ะอาหยาง เพราะนายคนเดียว”

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม นายต้องไปอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เหมยอิงเข้าใจ”

“เธอไม่เชื่อที่นายพูดสินะ” ประโยคนี้เหมือนค้อนที่กระแทกลงมาที่กลางใจของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋เดาถูกทุกอย่าง หลังจากที่เขาวิ่งตามเหมยอิงไป เขาพยายามจะอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การเข้าใจผิด แต่เหมยอิงไม่เชื่อ เธอบอกว่าสิ่งที่เห็นมันชัดเจนอยู่แล้ว เขากับน้องชายนอกสายเลือดของตัวเองมีความสัมพันธ์แบบวิปริตผิดเพศซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้

“ฉันให้โอกาสนายแก้ตัว ไปอธิบายความจริงทุกอย่างกับเหมยอิง แล้วฉันจะทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

หรงหยางเซิงคิดว่าตัวเองใจกว้างมากแล้วที่ยื่นข้อเสนอนี้กับอีกฝ่าย สิ่งที่ไป๋เฟิงอี๋ทำกับเขามันเกินวิสัยที่เขาจะให้อภัย แถมเหมยอิงยังขอเลิกคบกับเขาอีก ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะผิดที่ผิดทางไปหมด ทั้งหมดก็เพราะการกระทำบ้าๆ ของไป๋เฟิงอี๋คนเดียว!

ไป๋เฟิงอี๋จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนที่ยื่นข้อเสนอให้เขา แววตาคู่นั้นแฝงความโกรธเกรี้ยวสลับกับเย็นชา

“นายลืมรสจูบของฉันได้เหรอหรงหยางเซิง”

“นาย!”

“ลืมคำสารภาพรักของฉันได้จริงๆ น่ะเหรอ” ตั้งแต่เกิดจนโตมาถึงขนาดนี้ ไป๋เฟิงอี๋ไม่เคยบอกรักใครมาก่อน แม้กระทั่งมารดาแท้ๆ เขายังเคยบอกรักแทบนับครั้งได้ เหตุใดพอเขาคิดจะมอบหัวใจให้คนๆ หนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับยากเย็นถึงเพียงนี้

“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” หรงหยางเซิงหันหลังให้อีกฝ่าย ตอนนี้เขากลุ้มใจแทบบ้า ทำไมไป๋เฟิงอี๋ช่างดื้อด้านไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย “ทำตามที่ฉันบอก ไม่อย่างนั้น...”

“ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั้น นายนั่นแหล่ะที่ต้องฟังฉัน” ไป๋เฟิงอี๋แทรกเสียงห้วน “นายไม่เห็นจำเป็นต้องไปไยดีกับผู้หญิงแบบนั้น คนรักเหรอ... เฮอะ คนรักก็ต้องเชื่อมั่นในตัวกันและกันสิ ทำไมเหมยอิงกลับไม่เชื่อที่นายพูดล่ะ”

“ก็เพราะว่าจดหมายบ้าๆ ฉบับนั้นน่ะสิ” หรงหยางเซิงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดความอดทนในอีกไม่นานนี้แล้ว

สมองของไป๋เฟิงอี๋พลันนึกไปถึงจดหมายฉบับนั้นที่เขาแอบเอาไปสอดไว้ที่ใต้โต๊ะของเหมยอิงพร้อมดอกกุหลาบสีขาว เขาอุตส่าห์ลงทุนแอบหยิบเอาสมุดการบ้านของหรงหยางเซิงไปจ้างให้คนงานในบ้านเลียนแบบลายมือของพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เหมยอิงเชื่อได้อย่างสนิทใจขนาดนั้นว่าหรงหยางเซิงจงใจนัดหล่อนเพื่อไปพบกับความจริงที่พยายามเก็บซ่อนไว้

สมน้ำหน้า!

“นายกล้ามากนะที่ปลอมลายมือฉันไปหลอกเหมยอิง”

“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ” พูดพร้อมทอดสายตามองไล่ไปตามเรียวปากของหรงหยางเซิง “มากกว่านี้ก็ทำมาแล้ว จริงไหมอาหยาง”

“ในเมื่อพูดดีๆ ไม่ยอมฟัง ก็อย่าหาว่าฉันใจร้าย ไม่ยอมเห็นแก่หน้าพ่อก็แล้วกัน!”

หรงหยางเซิงจากไปพร้อมกับความฉุนเฉียว ประตูห้องถูกปิดดังปัง แต่ไป๋เฟิงอี๋ไม่นึกสนใจ เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังกว้าง ปลายนิ้วคลึงเบาๆ ตรงริมฝีปากที่ยังเจ็บอยู่ อยากจะรู้เหมือนกันว่าหรงหยางเซิงจะทำอย่างไรกับเขา แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยให้หรงหยางเซิงทุรนทุรายเพราะพิษของความรักบ้าง ฝ่ายนั้นจะได้เริ่มเข้าใจเสียทีว่าเขามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกเช่นไรตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

อยากรู้จริงๆ ว่านายจะแก้เกมนี้อย่างไร...


ผ่านมาแล้วสองวันก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋รู้ว่าหรงหยางเซิงเป็นพวกพูดจริงทำจริง ดูท่าตอนนี้ฝ่ายนั้นคงกำลังไปนั่งคิดหาวิธีเล่นงานเขาอยู่กระมัง วิธีไหนที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้ หรงหยางเซิงคงไม่ลังเลที่จะทำ

เมื่อไป๋เฟิงอี๋เดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้านก็พบว่าหรงหยางเค่อและฮั่วเซียงหลิงอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา บนโต๊ะมีนิตยสารรถยนต์วางอยู่หลายฉบับ มารดากำลังชี้ชวนบิดาเลี้ยงดูและเปรียบเทียบสเป็คของรถแต่ละรุ่นอยู่ เมื่อเห็นว่าเขาเพิ่งกลับจากโรงเรียน ฮั่วเซียงหลิงก็รีบเรียกให้เขาเข้าไปหา

“อาเฟิงมาพอดีเลยลูก มาดูนี่สิ” ฮั่วเซียงหลิงยื่นนิตยสารรถยนต์ให้เขาฉบับหนึ่ง “รุ่นนี้เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ” ไป๋เฟิงอี๋ตอบแค่นั้น เขาไม่ได้มีความสนใจเรื่องรถมากมายเท่าใดนัก ถ้าหากมารดาเก็บคำถามนี้ไปถามหรงหยางเซิง ฝ่ายนั้นคงแสดงอาการสนอกสนใจไม่น้อยเชียวล่ะ หรงหยางเซิงชมชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถยนต์ เคยได้ยินว่าฝ่ายนั้นถึงขั้นเคยขอหรงหยางเค่อซื้อรถ ผู้เป็นบิดาจึงตั้งเงื่อนไขว่าถ้าหากฝ่ายนั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เมื่อไหร่ก็จะซื้อให้เป็นของขวัญ หรือว่า...

“พ่อเค้าจะซื้อให้อาหยางคันนึง แล้วก็จะให้ลูกด้วยคันนึงนะอาเฟิง” ไป๋เฟิงอี๋ไม่ได้นึกตื่นเต้นเท่าใดนักที่จะมีรถส่วนตัวขับ แต่ก็เอ่ยขอบคุณบิดาเลี้ยงไปตามมารยาท “อยากได้แบบไหนก็ลองเลือกดูนะ”

“แล้ว เอ่อ ของอาหยางล่ะครับ”

“เจ้าลูกคนนั้นน่ะมันมีรุ่นและยี่ห้อในใจอยู่ตั้งนานแล้ว พ่อก็เลยไม่ต้องถาม ตั้งใจว่าจะซื้อให้เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้น่ะ”

“แต่เรายังไม่ทันได้ลงสนามสอบเลยนะครับ” ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยผ่านรอยยิ้มติดตลก ไม่แปลกหรอกที่หรงหยางเค่อจะเตรียมของขวัญให้กับลูกชายแต่เนิ่นๆ เรื่องการเรียน หรงหยางเซิงไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว

“ยังไงอาหยางก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอยู่แล้วจ้ะ” ฮั่วเซียงหลิงเอ่ยยิ้มๆ พูดเหมือนที่ไป๋เฟิงอี๋คิดเอาไว้ไม่ผิด “เอ้อ ลูกอย่าเพิ่งไปเอ่ยเรื่องนี้กับอาหยางนะ พ่อเขาอยากทำเซอร์ไพรส์น่ะ” ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้า

“ส่วนของอาเฟิง แม่เขาลองเปรียบเทียบตัวเลือกให้คร่าวๆ แล้ว แม้จะได้ใช้งานไม่นานเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ไม่ต้องเกรงใจพ่อหรอกนะ ไม่ว่าลูกจะเอารุ่นไหน พ่อซื้อให้อยู่แล้วล่ะ แค่นี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย”

ไป๋เฟิงอี๋สะดุดกับคำพูดของหรงหยางเค่อ ใช่... สำหรับเขาแล้ว รถพวกนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก หลังจากซื้อมาก็คงได้ใช้เพียงแค่ไม่นาน เพราะทั้งคู่เตรียมส่งเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่ซื้อรถให้อาจเพราะไม่อยากให้เขาเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับหรงหยางเซิงให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ คิดมาถึงตรงนี้ ไป๋เฟิงอี๋ก็ลอบพรูลมหายใจเหยียดยาว เขาโตพอที่จะไม่คิดมากกับเรื่องแค่นี้ แล้วก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่หลายครั้งก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่นึกอยากขัดใจฮั่วเซียงหลิง

“เป็นอะไรไปอาเฟิง ทำไมเงียบไปล่ะลูก”

“ผม... ไม่อยากไปเรียนต่อเมืองนอก” เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเอ่ยคำพูดเจือแววอ้อนวอนแบบนี้ต่อหน้าหรงหยางเค่อและฮั่วเซียงหลิง ทว่าคราวนี้ก็เป็นเหมือนอย่างทุกครั้งที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของผู้สูงวัยกว่าได้เลย

“ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วอาเฟิง”


Aislin: สวัสดีค่ะ มาอัพนิยายให้แล้วค่ะ ช่วงนี้อาจจะอัพไม่ค่อยถี่เท่าไหร่ เพราะว่าพอดีคุณตาเสียกะทันหัน เลยต้องไปช่วยที่บ้านจัดการเรื่องงานศพและธุระต่างๆ แต่ยังไงจะแวะมาอัพให้แน่น ยังไงรอกันหน่อยเน้อ
ปล. บอกใบ้ให้ว่าเรื่องรถนี่แหล่ะที่จะนำไปสู่จุดพลิกผันของเรื่องในพาร์ทวัยเรียนของทั้งคู่ / เจอกันตอนหน้านะคะ :)


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 8: Hatred in your eyes

รถของคฤหาสน์ตระกูลหรงจอดเทียบหน้าประตูโรงเรียน ไป๋เฟิงอี๋ก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าสะพายที่ยกขึ้นพาดบ่า เด็กหนุ่มผิวปากเป็นทำนองเพลงวัยรุ่นที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ สาเหตุเนื่องมาจากเขาหาเรื่องแกล้งหยอกหรงหยางเซิงได้แล้วนั่นเอง อยากเห็นสีหน้าของฝ่ายนั้นยามโมโห แววตาวาววามด้วยโทสะคู่นั้นช่างสะกดใจเขาเหลือเกิน

ไป๋เฟิงอี๋ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกุญแจรถ...

บริษัทรถยนต์นำรถที่หรงหยางเค่อสั่งให้ลูกชายมาส่งถึงคฤหาสน์ตระกูลหรงเรียบร้อยเมื่อคืนวาน หรงหยางเซิงยังไม่รู้เรื่องเพราะเมื่อคืนฝ่ายนั้นไม่ได้กลับบ้านเนื่องจากต้องไปทำรายงานและค้างบ้านเพื่อน นอกจากเรื่องรายงานที่หรงหยางเซิงอ้างกับผู้เป็นบิดาแล้ว ไป๋เฟิงอี๋กลับคิดว่าฝ่ายนั้นคงตั้งใจหาเรื่องหลบหน้าเขา แต่ไม่มีวันที่หรงหยางเซิงจะหลบได้ตลอดหรอก อย่างน้อยเขาก็ต้องเจออีกฝ่ายที่โรงเรียนบ้างแหล่ะ

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋คิดว่าเป็นจุ้ยฮวาโทรเข้ามาเรียกให้เขารีบไปลอกการบ้าน ทว่ากลับกลายเป็นฮั่วเซียงหลิง มารดาโทรมาเพื่อบอกว่าเย็นนี้ให้เขารีบกลับบ้านเร็วกว่าปกติเพราะหรงหยางเค่ออยากให้สมาชิกทุกคนทานข้าวเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ที่สำคัญคือบิดาเลี้ยงอยากทำเซอร์ไพรส์มอบของขวัญให้กับหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋รับคำก่อนตัดสายไป เด็กหนุ่มควงกุญแจในมือเล่นพลางนึกถึงเรื่องสนุกบางอย่าง

ระหว่างที่เดินไปยังห้องเรียน ไป๋เฟิงอี๋รู้สึกได้ว่าวันนี้มีบางสิ่งบางอย่างแปลกไป เขาสังเกตว่านักเรียนคนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกัน พอเขาหันมอง พวกนั้นก็หลบตาแล้วรีบเดินหนี ไป๋เฟิงอี๋หรี่ตาลง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

สิ่งที่เขาสงสัยก็ได้จุ้ยฮวาเป็นคนเฉลย สรุปว่าที่นักเรียนคนอื่นมองเขาแปลกๆ ก็เพราะว่าตอนนี้มีข่าวลือแพร่ไปทั่วโรงเรียนว่าเขา ไป๋เฟิงอี๋ คุณชายรองแห่งตระกูลหรงเป็นพวกมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน ไป๋เฟิงอี๋ถึงกับพูดไม่ได้ หัวเราะไม่ออก จริงอยู่ว่าเขาเป็นพวกค่อนข้างสัตย์ซื่อกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ในสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ประเด็นนี้ค่อนข้างเปราะบางพอสมควร ดังนั้น ถ้าหากเก็บไว้เป็นความลับได้ก็น่าจะดีเสียกว่าการโดนโพนทนาไปทั่วโรงเรียนแบบนี้ และแน่นอนว่าเขาฉลาดพอที่จะเดาไว้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร

นายเริ่มเอาคืนแล้วสินะ

ไป๋เฟิงอี๋กระตุกยิ้มตรงมุมปาก ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเริ่มข่าวลือนี้ก่อน จะเป็นไรไปถ้าหากเขาจะช่วยสานต่อให้จบแบบครบถ้วนกระบวนความ

หรงหยางเซิง นายอย่าประมาทฉันเกินไปนัก



แม้จะรู้สึกผิดไม่น้อยกับสิ่งที่ทำลงไป แต่หรงหยางเซิงก็พยายามปลอบตัวเองไม่ให้คิดมาก ในเมื่อไป๋เฟิงอี๋ระรานและทำลายความรักของเขาก่อน คนอย่างหรงหยางเซิงก็ไม่ยอมอยู่เฉยเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเช่นกัน

เช้านี้ เขาเป็นคนปล่อยข่าวลือเรื่องรสนิยมทางเพศของไป๋เฟิงอี๋ในเว็บบอร์ดของโรงเรียน ข่าวนี้แพร่ไปในหมู่นักเรียนอย่างรวดเร็ว อยากจะรู้ว่าต่อจากนี้ ไป๋เฟิงอี๋จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จู่ๆ ใบหน้าของไป๋เฟิงอี๋ก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดของหรงหยางเซิง ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยแววตัดพ้อกับการกระทำของเขา หรงหยางเซิงสะบัดหน้าแรงๆ พยายามสลัดให้หลุดจากห้วงความคิดอันสับสน ในเมื่อฝ่ายนั้นเริ่มก่อน เขาจะเอาคืนบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็สมควรแล้ว นี่ยังเทียบไม่ได้กับที่เขาต้องเสียคนรักไปเพราะความเข้าใจผิดที่ไป๋เฟิงอี๋เป็นต้นเหตุ

เสียงพุ่งตัวลงไปในน้ำดังขึ้นตัดความเงียบบริเวณสระว่ายน้ำในร่มของโรงเรียน ช่วงนี้เกิดเรื่องวุ่นๆ ขึ้นหลายอย่างเลยพานทำให้หรงหยางเซิงหงุดหงิดใจไม่น้อย เด็กหนุ่มจึงคิดว่าการได้ทำกิจกรรมที่ชอบอาจช่วยให้เขาสงบจิตใจลงได้บ้าง หรงหยางเซิงเคลื่อนไหวในน้ำอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ปกติเขาไม่ได้ว่ายสระนี้เป็นประจำเพราะนี่เป็นสระที่ทั้งใหญ่และลึก เอาไว้สำหรับนักกีฬาซ้อมกระโดดน้ำโดยเฉพาะ ถ้าหากคนว่ายน้ำไม่แข็งก็คงมีร้อนๆ หนาวๆ บ้างล่ะ แต่ไม่ใช่สำหรับนักกีฬาว่ายน้ำเก่าที่ล่าเหรียญรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่างเขา

ว่ายไปกลับอยู่หลายรอบ หรงหยางเซิงก็หยุดพักที่ริมขอบสระ นาฬิกาข้างสระน้ำบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว วันนี้ผู้เป็นบิดาโทรมาบอกว่าให้เขารีบกลับบ้านเพราะมีธุระสำคัญจะพูดด้วย เขาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ก็ขี้คร้านจะสอบถามให้มากความ บางอย่างถ้าไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรือขัดใจจนเกินทน เขาก็เลือกที่จะยอมอ่อนข้อให้กับผู้เป็นบิดาบ้าง อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด แต่ถ้าหากกลับกันเป็นฮั่วเซียงหลิงกับไป๋เฟิงอี๋แล้วล่ะก็ เขาก็คงมีแต่ความหมางเมินเย็นชาที่จะมอบให้ได้

“ฝีมือนายใช่ไหม” เสียงดังนำหน้ามาก่อนเจ้าตัว หรงหยางเซิงหันไปมองตรงประตูทางเข้าสระว่ายน้ำ เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของไป๋เฟิงอี๋

“ถ้าใช่แล้วจะทำไมล่ะ” หรงหยางเซิงขึ้นจากน้ำ เด็กหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวมาซับผมที่เปียกและใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราว เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับไป๋เฟิงอี๋เต็มที่

“ไม่ยักรู้ว่านายจะมีมุมแบบนี้ด้วย” หรงหยางเซิงหรี่ตาลง “มุมที่ชอบลอบกัดคนอื่นน่ะ”

“ฉันก็แค่เรียนรู้เรื่องสกปรกพวกนี้มาจากนาย” คนถูกแขวะยิ้มพลางยักไหล่แบบไม่ยี่หร่ะ

“ถ้าอย่างนั้นนายยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยล่ะอาหยาง” ไป๋เฟิงอี๋เดินวนรอบคู่สนทนาที่ยังยืนนิ่ง “ข่าวลือของนายก็ได้ผลดีนะ ตอนนี้ใครต่อใครก็มองฉันเป็นตัวประหลาดกันหมด แต่ฉันว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากฉันจะช่วยเพิ่มมูลความจริงลงไปในข่าวลือนี้อีกสักนิด ว่ายังไงล่ะหรงหยางเซิง” ไป๋เฟิงอี๋เน้นเสียงที่ชื่อของอีกฝ่าย

หรงหยางเซิงเดาคำพูดนั้นของไป๋เฟิงอี๋ไม่ออก แต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ผู้มาใหม่ไม่ปล่อยให้หรงหยางเซิงต้องเดานาน เด็กหนุ่มยื่นบางอย่างที่ถือติดมาด้วยให้หรงหยางเซิงรับไปดู

“นี่มัน... อะไรกัน” หรงหยางเซิงรู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้คืออะไร แต่ที่คิดไม่ถึงก็คืออีกฝ่ายทำได้อย่างไร

ภาพถ่ายตรงหน้าทำให้หรงหยางเซิงอดรู้สึกสะท้านใจไม่ได้ ภาพตอนที่เขากับไป๋เฟิงอี๋จูบกัน ดูแล้วน่าจะเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ทำไมไป๋เฟิงอี๋ถึงมีภาพนี้อยู่ในมือ...

“ภาพนี้ค่อนข้างชัดนะนายว่าไหม” ภาพนี้เขาพิมพ์มาจากกล้องวงจรปิดที่ห้องสมุดโดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนของจุ้ยฮวาที่เข้าเวรเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์พอดี ใบหน้าของสองคนในภาพไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ถ้าหากซูมลึกลงไปมากกว่านี้ก็พอจะมองออกว่าคือใคร รูปนี้เขาแค่ต้องการพิมพ์มาแกล้งหยอกหรงหยางเซิงเล่นๆ เท่านั้น แต่ดูปฏิกริยาฝ่ายตรงข้ามแล้วก็คิดว่านี่ออกจะได้ผลลัพท์ดีเกินคาดเพราะหรงหยางเซิงตอนนี้ถึงกับใบหน้าแทบไร้สีเลือด “จะเป็นยังไงนะถ้าหากฉันเอารูปนี้โพสในเว็บบอร์ดโรงเรียน คนอื่นเขาจะได้รู้ว่าที่แท้คู่ขวัญของไป๋เฟิงอี๋ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณชายใหญ่ตระกูลหรงนั่นเอง”

“ไป๋เฟิงอี๋!” หรงหยางทั้งโกรธระคนอับอาย เหตุการณ์วันนั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ เขาพยายามไม่คิดถึงมัน แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าไป๋เฟิงอี๋ เขาก็พานหวนกลับไปคิดถึงมันอีกจนได้

“เอ้อ นอกจากรูปนี้แล้ว ฉันมีอย่างอื่นจะอวดนายด้วยนะ” ท่าทางของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ เด็กหนุ่มล้วงกุญแจรถหรูสัญชาติอิตาลีจากกระเป๋ากางเกงออกมาโบกไปมาตรงหน้าหรงหยางเซิง

“นี่มัน...”

“รถสปอร์ตยี่ห้อมาเซราติรุ่นล่าสุดยังไงล่ะ” หรงหยางเซิงแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “รู้ไหมว่าพอฉันแค่เปรยเท่านั้นแหล่ะ คุณพ่อก็รีบสั่งซื้อให้ทันที ที่สำคัญก็คือมันเป็นของขวัญที่คนให้ให้มาแบบไม่มีเงื่อนไข” ไป๋เฟิงอี๋เน้นเสียงที่ประโยคสุดท้าย หรงหยางเซิงกำมือแน่น ทำไมเขาจะไม่เข้าใจนัยที่แฝงมากับคำพูดนั้น อีกฝ่ายก็แค่ต้องการจะอวดให้เห็นว่าสิ่งที่เขาปรารถนาอยากจะได้นักหนา ฝ่ายนั้นกลับได้มาแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย!

“ถอยไป” หรงหยางเซิงทำท่าจะเดินหนีไปจากตรงนั้น ตอนนี้ความผิดหวัง ความน้อยใจหรงหยางเค่อผู้เป็นบิดา ความโมโหในพฤติกรรมของไป๋เฟิงอี๋ตีกันมั่วไปหมด ขืนอยู่นานกว่านี้ เขาคงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แน่ ทว่าไป๋เฟิงอี๋ไม่ยอมหลบง่ายๆ เด็กหนุ่มยังคงแกล้งยั่วโมโหไม่เลิก

“ดูสิอาหยาง รุ่นนี้น่ะเป็นรุ่นลิมิตเต็ดเชียวนะ ราคาก็...”

“พอได้แล้ว!” หรงหยางเซิงตะคอกอย่างเหลืออด เด็กหนุ่มคว้ากุญแจรถในมือไป๋เฟิงอี๋มาขว้างทิ้งเต็มแรง กุญแจรถหรูจมดิ่งหายไปในสระว่ายน้ำต่อหน้าต่อตาไป๋เฟิงอี๋ที่เบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าหรงหยางเซิงจะแสดงอาการโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนี้ “นายต้องการจะยั่วโมโหฉันนักใช่ไหมไป๋เฟิงอี๋ นายทำแบบนี้เพราะนายรู้ว่านี่เป็นรถรุ่นที่ฉันอยากได้ เฮอะ ในเมื่อนายอยากได้นักก็เชิญลงไปงมเก็บจากก้นสระเองก็แล้วกัน!”

“นายทิ้งไปทำไม ลงไปเก็บกุญแจขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะอาหยาง”

“รถของนายนี่ อยากได้คืนก็ต้องลงทุนหน่อยล่ะ”

“ฉัน...” ไป๋เฟิงอี๋ชะงักไป

“แล้วต่อจากนี้ไป นายก็ช่วยเลิกยุ่งกับฉันเสียที ทำเหมือนว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกันได้ยิ่งดี”

ไป๋เฟิงอี๋จ้องใบหน้าเย็นชาของหรงหยางเซิง กี่ครั้งแล้วที่อีกฝ่ายตัดรอนเขาอย่างไม่ไยดี มนุษย์เมื่อเจ็บตัวได้แผลก็สมควรต้องจดจำและระวังให้มากขึ้น แต่นี่เขากลับโดนคนๆ เดิมเอามีดกรีดที่แผลเดิมตรงหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาอยากลืมหรงหยางเซิง แต่ทุกครั้งที่พยายามจะลืม หัวใจกลับยิ่งทรมาน และเขาจะต้องทนไปจนถึงเมื่อไหร่กัน...

“นายต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

หรงหยางเซิงใช้ความเงียบแทนคำตอบ เด็กหนุ่มหันหลังให้ไป๋เฟิงอี๋จึงไม่ทันเห็นว่าแววตาสีน้ำตาลคู่นั้นกำลังฉ่ำน้ำเพียงใด
ไป๋เฟิงอี๋จ้องมองผืนน้ำตรงหน้า ดวงตายังคงพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา กุญแจตกหายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาจะต้องเอามันกลับขึ้นมาให้จงได้ วันนี้เป็นวันที่หรงหยางเค่อจะเซอร์ไพรส์ให้ของขวัญหรงหยางเซิง ถ้าหากคนที่บ้านรู้ว่าเขาแอบหยิบกุญแจออกมาแกล้งหรงหยางเซิงแล้วดันทำหายล่ะก็ งานนี้จะต้องกลายเรื่องใหญ่แน่

‘ตูม’

เสียงกระโดดน้ำดังขึ้น หรงหยางเซิงหมุนตัวกลับไปมอง เป็นไป๋เฟิงอี๋ที่โดดลงไปงมหากุญแจรถ ร่างของฝ่ายนั้นผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางสระ มือไม้โบกไปมาไม่หยุด ท่าทางดูตลกสิ้นดี

สถานการณ์ในตอนนี้ของไป๋เฟิงอี๋กลับย่ำแย่หนัก เด็กหนุ่มสำลักน้ำเข้าไปเต็มปอด ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่ากุญแจเจ้ากรรมไปตกหล่นอยู่ตรงไหนบนพื้นสระ รู้แต่ว่าเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ วินาทีนั้นเขานึกถึงแต่หรงหยางเซิง เด็กหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาสูดอากาศบริเวณผิวน้ำแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน สระว่ายน้ำแห่งนี้ลึกเกินกว่าที่ขาสองข้างของเขาจะยืนถึง เขาพยายามโบกมือและตะโกนเรียกหรงหยางเซิง แต่จากสายตาที่มองเห็น ฝ่ายนั้นเพียงแค่กอดอกมองมาด้วยสายตาเย็นชา

“อาหยาง ชะ... ช่วยด้วย ชะ..ช่วย...ฉะ... ฉัน...” ไป๋เฟิงอี๋กลืนน้ำลงไปอีกอึกใหญ่ เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าลมหายใจของตัวเองใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว สมองของเขาเบลอไปหมด ภาพตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือนทีละนิด

หรงหยางเซิงมองสภาพไป๋เฟิงอี๋ที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่กลางสระน้ำแล้วก็พลันได้สติ ความโกรธที่ถูกยั่วโมโหทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าฝ่ายนั้นว่ายน้ำไม่เป็น!


Aislin: สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปหลายวันนะคะ พอดีที่บ้านมีเรื่องยุ่งๆ นิดหน่อย เลยไม่ค่อยได้แวะเข้ามาอัพนิยายเรื่องนี้ให้ แต่อย่างที่เคยแจ้งไปว่าถ้าหากนักอ่านท่านใดอยากอ่านแบบรวดเดียวจบ ยังไงไปตามอ่านได้ที่ ReadAwrite หรือ เว็บเด็กดีได้เลยค่ะ เพราะ 2 เว็บนั้นอัพจบแล้ว เหลือแค่รอผลพิจารณาจาก สนพ. และรอรวมเล่ม (กรณีพิมพ์เอง)
   เดี๋ยวตอนหน้าก็จะเป็น climax ของพาร์ทวัยเรียนแล้วนะคะ มาตามลุ้นไปด้วยกันเน้อ ^^

ปล. คอมเม้นท์คุยกันบ้างนะคะ อิซลินเหงามากมาย หรือจะตามไปรีวิวนิยายให้ใน twt หรือ FB จะขอบคุณมากเลยค่ะ แล้วก็อย่าลืมติด #รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย #รีวิวนิยายวาย ด้วยนะคะ (ใครช่วยรีวิวให้ ส่งหลักฐานมาทางข้อความ fanpage หรือ dm ใน Twitter แล้วมารับโปสการ์ดที่ระลึกจากนิยายเรื่องนี้ไปได้เลยจ้า)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2020 09:09:13 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 9: Moving on from you

ไป๋เฟิงอี๋ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มมาถึงโรงพยาบาลในสภาพที่ยังไม่ได้สติแม้หรงหยางเซิงจะช่วยปฐมพยาบาลในเบื้องต้นไปแล้ว ใบหน้าไร้สีเลือดของฝ่ายนั้นทำให้หรงหยางเซิงนึกหวาดกลัวจับใจ เขายังจำสายตาของไป๋เฟิงอี๋ได้ดี แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยการตัดพ้อเสียใจก่อนที่ร่างอีกฝ่ายจะดำดิ่งลงไปใต้ผืนน้ำ

“เกิดอะไรขึ้นกับอาเฟิง” ฮั่วเซียงหลิงกรีดร้องเสียงแหลม ใบหน้างดงามของสตรีวัยเกือบห้าสิบทอประกายตระหนกระคนโกรธเกรี้ยว

“ไป๋เฟิงอี๋จมน้ำ” คนถูกถามตอบสั้นๆ เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ที่ไป๋เฟิงอี๋ต้องมีสภาพแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นต้นเหตุ

“แล้วอาเฟิงจมน้ำได้ยังไง เขาว่ายน้ำไม่เป็น แล้วทำไมถึงได้...” ฮั่วเซียงหลิงถลาจะเข้าไปเค้นคอถามหรงหยางเซิงที่หล่อนเดาว่าเด็กหนุ่มน่าจะอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ลูกชายเธอตกน้ำ แต่หรงหยางเค่อสังเกตุเห็นสีหน้าผิดปกติของหรงหยางเซิง จึงรีบเข้ามาห้ามฮั่วเซียงหลิงก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต

“ใจเย็นๆ นะเซียงหลิง อาเฟิงต้องไม่เป็นอะไร” ฮั่วเซียงหลิงปากคอสั่น ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้ไป๋เฟิงอี๋จมน้ำ ทั้งที่เธอคอยกำชับตลอดให้ลูกชายระวังเรื่องทำนองนี้เพราะยังฝังใจไม่หายกับเรื่องราวในอดีตที่เธอเกือบจะต้องเสียลูกไป ทว่าอีกใจหนึ่ง เธอห่วงอาการของไป๋เฟิงอี๋ที่สุด อยากแน่ใจว่าลูกชายเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ อย่างที่ผู้เป็นสามีเพียรกล่าวปลอบใจอยู่ข้างๆ

สักพักใหญ่ๆ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก แพทย์สูงวัยเดินออกมาพร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าคนไข้ปลอดภัยแล้ว ได้ยินแบบนี้ฮั่วเซียงหลิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เช่นเดียวกับหรงหยางเซิงที่ค่อยคลายใจลงได้บ้าง ทุกอากัปกริยาของผู้เป็นลูกชายไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของหรงหยางเค่อแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวคุณไปดูอาการอาเฟิงก่อน เดี๋ยวผมกับอาหยางค่อยตามไปนะ” ฮั่วเซียงหลิงพยักหน้าก่อนจะเดินตามพยาบาลไปติดต่อเรื่องการพักฟื้นของคนไข้และเยี่ยมคนป่วย

“มาคุยกับพ่อหน่อยอาหยาง”

หรงหยางเค่อเดินนำลูกชายออกมาคุยกันเป็นการส่วนตัวที่บริเวณสวนหย่อมของโรงพยาบาล การตกน้ำของไป๋เฟิงอี๋จะต้องเกี่ยวพันกับประเด็นบางอย่างแน่นอน และเขาสงสัยว่าหรงหยางเซิงกำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่างอยู่

“บอกมาตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” สายตาที่มองมาของหรงหยางเค่อทำให้หรงหยางเซิงรู้สึกกดดันไม่น้อย แต่เพราะเขาเป็นลูกผู้ชายพอจึงตัดสินใจเล่าไปตามตรง บางทีถ้าหากพ่อกับผู้หญิงคนนั้นจะบริภาษเขา มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เขาไม่น่าโมโหไป๋เฟิงอี๋จนขาดสติและเสียการควบคุมตัวเองมากถึงขนาดนั้น ที่แย่ที่สุดก็คือดันลืมว่าอีกฝ่ายว่ายน้ำไม่เป็น

“ไป๋เฟิงอี๋ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็ยังโดดลงไปงมเก็บกุญแจในสระว่ายน้ำ”

“กุญแจอะไร” หรงหยางเซิงขมวดคิ้ว

“กุญแจรถมาเซราติที่พ่อซื้อให้เขาเป็นของขวัญยังไงล่ะครับ” จากนั้นหรงหยางเซิงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟัง โดยจงใจเว้นเรื่องความสัมพันธ์อันแสนประหลาดระหว่างตนกับไป๋เฟิงอี๋เอาไว้ ปล่อยให้หรงหยางเค่อเข้าใจว่านี่เป็นเพียงการทะเลาะกันของเด็กหนุ่มเลือดร้อนธรรมดาๆ เขาไม่กล้าบอกใครต่อใครว่าตัวเองโดนไป๋เฟิงอี๋สารภาพรัก ยิ่งคนตรงหน้ายิ่งไม่อาจให้รู้!

“อะไรนะ!” หรงหยางเค่ออุทานออกมาด้วยสีหน้างุนงงหลังจากฟังเรื่องทุกอย่างจบ เขาซื้อรถคนนี้ให้หรงหยางเซิง ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับบุตรชายแท้ๆ แต่นึกไม่ถึงว่ารถเจ้ากรรมดันกลับกลายเป็นชนวนปากเสียงระหว่างหรงหยางเซิงและไป๋เฟิงอี๋เสียได้ “เฮ้อ ทำไมแกไม่รู้จักอดกลั้นมากกว่านี้ ลูกผู้ชายน่ะสำคัญก็คือความอดทน แล้วอย่างนี้ต่อไปในอนาคตจะทำงานใหญ่ได้ยังไง”

หรงหยางเซิงไม่ตอบโต้อะไร เด็กหนุ่มกลับไปมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม เขาทำใจมาก่อนแล้วว่าจะต้องโดนตำหนิ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่รู้ว่าที่บิดาดุด่าก็เพราะต้องการจะฝึกให้เขาเดินตามรอยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในอนาคต หรือเพราะต้องการระบายความโมโหแทนใครบางคนกันแน่

ฝ่ายหรงหยางเค่อเมื่อเห็นหรงหยางเซิงเงียบไปก็พานให้นึกแปลกใจ ปกติถ้าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮั่วเซียงหลิงและไป๋เฟิงอี๋ หรงหยางเซิงไม่ยอมสงบแบบนี้แน่ ดวงตาสีดำสนิทของบุตรชายเจือแววสำนึกผิดจางๆ

“เรื่องรถนั่น...” หรงหยางเค่อถอนหายใจ “ฉันตั้งใจซื้อให้แก ไม่ใช่อาเฟิง” หรงหยางเซิงชะงักไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกแบบนั้น แล้วทำไมไป๋เฟิงอี๋ถึงได้... “อาเฟิงก็ทำไม่ถูกที่ไปยั่วโมโหแกแบบนั้น แต่ในเมื่อเขาก็ตกน้ำจนเกือบตาย ก็ถือเสียว่าเรื่องนี้ฉันขอให้แล้วกันไปเถอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะพูดกับเซียงหลิงแล้วก็อาเฟิงเอง ไม่ต้องห่วงนะ” พูดพร้อมกับตบหนักๆ ที่บ่าของหรงหยางเซิง   

เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงกระแสความห่วงใยที่เจือมาในน้ำเสียงของผู้เป็นบิดา อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังสามารถเรียกผู้ชายตรงหน้าว่าพ่อได้เต็มปากหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาเริ่มมีปัญหากันเพราะการเข้ามาของสองแม่ลูกนั่น

“ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบเซียงหลิงกับลูก เพราะแกคิดว่าเขาจะมาแทนที่แม่ของแก แต่ฉันก็อยากจะพูดบางอย่างให้ชัดเจนตรงนี้... อาหยาง ต่อให้ฉันจะเจ้าชู้มีผู้หญิงอีกสักกี่คน แต่ผู้หญิงที่อยู่ในฐานะแม่ของลูกชายที่ฉันรักมากที่สุดกลับมีได้แค่คนเดียว”

หรงหยางเซิงจุกไปกับคำพูดนั้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นบิดา ดวงตานั้นเป็นสีดำสนิทแช่นเดียวกับเขา หรงหยางเซิงคิดว่าเขาเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในนั้น...

“แล้วก็อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ถึงฉันจะไม่ใช่สามีที่ดีนัก แต่... ก็จะพยายามเป็นพ่อที่ดีให้ได้”

“พ่อ...”

“สักวันแกจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดวันนี้อาหยาง” หรงหยางเค่อตบไหล่ลูกชายเบาๆ อีกครั้งก่อนเดินจากไป ทิ้งให้หรงหยางเซิงยืนอยู่คนเดียวกับความคิดนับร้อยนับพันที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มมั่นใจ

วันนี้เขาไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเช่นวันวาน... 



เขารอดตายจากการจมน้ำอีกครั้ง

ไป๋เฟิงอี๋จมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองเงียบๆ ในห้องพักผู้ป่วยวี.ไอ.พี. อาการเขาดีขึ้นมากจนเกือบหายเป็นปกติแล้ว แต่ฮั่วเซียงหลิงก็ยังยืนกรานให้เขาพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งวันเพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยดี เขาเองก็ขี้คร้านจะโต้แย้งเลยต้องปล่อยเลยตามเลย

ฮั่วเซียงหลิงจากไปเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน บอกว่าจะกลับไปจัดการธุระที่คฤหาสน์ตระกูลหรงแล้วค่อยกลับมาอีกครั้งในช่วงเย็น ทิ้งไป๋เฟิงอี๋ให้พักผ่อนอยู่ในห้องตามลำพัง เด็กหนุ่มใช้โอกาสนี้นึกทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องของเขากับใครอีกคน

สายตาเย็นชาของหรงหยางเซิงยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของไป๋เฟิงอี๋ แม้แต่ตอนที่เขาร้องเรียกให้ช่วย ฝ่ายนั้นก็เพียงแค่มองมาด้วยสายตาว่างเปล่า ความเป็นตายของเขาไม่มีความสำคัญใดๆ ในสายตาของหรงหยางเซิงเลยอย่างนั้นเหรอ

เลือดเย็นเกินไปแล้ว...

ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นขึ้นมาตรงอกข้างซ้าย หัวใจของเขากำลังเจ็บปวดโดยที่หรงหยางเซิงคือตัวต้นเหตุ!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวตายที่บ้าบิ่นกระโดดลงไปในสระน้ำลึกทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่วินาทีนั้นเขากลับนึกอยากรู้... อยากรู้เหลือเกินว่าหรงหยางเซิงจะมีปฏิกริยาตอบสนองอย่างไร ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับยิ่งชัดเจนจนไม่อาจลืมได้ลง

เสียงลูกบิดดังแกร็กก่อนประตูห้องพักผู้ป่วยจะค่อยๆ ถูกดันให้เปิดกว้าง ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋คิดว่าเป็นฮั่วเซียงหลิงที่ย้อนกลับมา กำลังจะโพล่งถามไปว่าทำไมมารดาถึงกลับมาเร็วนัก ทว่าผู้มาใหม่กลับเป็นคนที่เขาไม่พร้อมจะเผชิญหน้าด้วยที่สุดในตอนนี้ หรงหยางเซิง

“ฉัน... เอ่อ มารบกวนนายพักผ่อนหรือเปล่า” น้ำเสียงลังเลแบบนี้ดูไม่เหมือนหรงหยางเซิงเวลาปกติ แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังรู้สึกได้ วันนี้เขาซื้อผลไม้มาเยี่ยมคนป่วยด้วย เพราะไม่รู้ว่าไป๋เฟิงอี๋ชอบอะไร เขาเลยซื้อผลไม้มาหลายๆ อย่าง คิดเอาว่ายังไงต้องมีบางอย่างที่ไป๋เฟิงอี๋น่าจะพอทานได้บ้าง “ฉันแวะซื้อไอ้นี่มาให้น่ะ” พูดพร้อมชูถุงใส่ผลไม้ให้คนป่วยดู

“ขอบใจ” ไป๋เฟิงอี๋ตอบเพียงแค่นั้น บรรยากาศในห้องเริ่มทวีความอัดอัดขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ

“อาการเป็นยังไงบ้าง” หรงหยางเซิงใช้ดวงตาคมกริบสีดำสนิทกวาดสำรวจไปทั่วร่างของไป๋เฟิงอี๋ เมื่อเห็นว่านอกจากใบหน้าที่ยังซีดเซียวอยู่เล็กน้อย อย่างอื่นล้วนปกติ

“นายคิดว่าคนที่เพิ่งผ่านความตายมาได้จะรู้สึกยังไงล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋ไม่คิดจะปิดบังความเย็นชาที่แฝงอยู่ในคำตอบของตน ดวงตาสีน้ำตาลจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคู่สนทนา

“ฉัน... ลืมนึกไปว่านายว่ายน้ำไม่เป็น” ถ้าเขามีสติพอก็คงไม่ท้าให้ไป๋เฟิงอี๋กระโดดลงน้ำไปงมหากุญแจแบบนั้น ถึงเขาจะไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เคยอยากให้ถึงตาย ทว่าแววตาของคนป่วยที่มองตอบมาทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

“หรงหยางเซิง” ไป๋เฟิงอี๋เรียกชื่อเต็มของอีกฝ่าย คราวนี้น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นราบเรียบ เด็กหนุ่มบิดยิ้มขื่นตรงมุมปาก สิ่งที่เขาใช้เวลาทบทวนมาตลอดทั้งบ่าย ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเสียที “อันที่จริงนายไม่ต้องฝืนใจมาทำดีเพื่อให้ตัวเองเลิกรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ ฉันไม่โกรธนายหรอก”

“ฉันแค่อยากจะขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น...”

 “ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอโทษกับเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา” ไป๋เฟิงอี๋แทรกขึ้นกลางคัน “ถ้าหากไม่มีฉันสักคน นายคงมีความสุขมากขึ้นสินะอาหยาง” คำพูดแปลกๆ ของไป๋เฟิงอี๋ ทำให้หรงหยางเซิงสะกิดใจอย่างบอกไม่ถูก

“หมายความว่ายังไง” ไป๋เฟิงอี๋ไม่ตอบ เป็นหรงหยางเซิงที่ร้อนรนขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล

“ถึงฉันจะเดินออกไปจากชีวิตของนาย แต่นายก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอกใช่ไหม เพราะสำหรับนาย... ฉันไม่เคยมีตัวตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“นายพูดเรื่องอะไรกันแน่ ฉันงงไปหมดแล้ว”

ท่าทางร้อนรนเล็กๆ ของหรงหยางเซิงทำให้คนมองอดรู้สึกหัวใจสั่นไหวไม่ได้ ไป๋เฟิงอี๋ไม่อยากให้ตัวเองต้องจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ อีกแล้ว วันนี้หรงหยางเซิงอาจจะดีกับเขา แต่พรุ่งนี้มันก็อาจจะกลายเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง จริงอยู่ว่าเขาชอบฝันดี แต่เขาก็ควรต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ไม่อาจหนีได้ตลอดไป

ความจริงที่ว่าหรงหยางเซิงไม่มีวันมองเขาด้วยแววตาแบบเดียวกับที่เขามองฝ่ายนั้น...

“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอก ถ้าจัดการเอกสารเรียบร้อยแล้วก็คงออกเดินทางเลย คงไม่รอจนจบเทอม” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคู่สนทนา แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ที่ผ่านมาฉันทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสก้าวเข้าไปในโลกของนาย ขณะที่นาย... ก็ทำทุกอย่างเพื่อผลักไสฉันออกไปจากชีวิตเช่นกัน และตอนนี้นายทำสำเร็จแล้วล่ะอาหยาง”     

ไม่มีน้ำตาสักหยดขณะที่พูดประโยคนี้ออกไป ไป๋เฟิงอี๋ยังนึกแปลกใจในความเข้มแข็งของตัวเอง ลึกๆ ในใจเด็กหนุ่มภาวนาขอให้หรงหยางเซิงพูดอะไรสักอย่าง พูดอะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็แคร์ความรู้สึกของเขาเช่นกัน ทว่าหรงหยางเซิง กลับเอาแต่นิ่งเงียบ ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ หรงหยางเซิงจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาตรงๆ เขาอ่านความหมายอันแสนซับซ้อนในแววตาคู่นั้นไม่ออก ทว่าคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเปรียบเสมือนมีดคมกริบที่เกือบจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

“ในเมื่อคิดจะไปแล้ว ไปเฟิงอี๋... นายก็อย่าได้หวนกลับมาอีกเลย”


Aislin: ตอนนี้ก็เป็นตอนสุดท้ายของพาร์ทวัยเรียนแล้วนะคะ เดี๋ยวตอนหน้าเจอกันเมื่อเวลาห้าปีผ่านไป การกลับมาเจอกันอีกครั้งของอาหยางกับอาเฟิงจะสนุกเข้มข้นแค่ไหน อย่าลืมติดตามกันเน้อ ^^ / แล้วเจอกันค่ะ

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 10: Back at one

ห้าปีต่อมา

ร่างสูงของนักแสดงหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีเบจจากห้องเสื้อแบรนด์ดังของอิตาลีกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากเกทขาเข้าประเทศของสนามบินประจำเมือง S พร้อมผู้จัดการส่วนตัว ด้านหน้าและด้านหลังเป็นกลุ่มแฟนคลับหลายสิบชีวิตที่พยายามวิ่งตามมาเก็บภาพส่วนตัวของเขา นักแสดงหนุ่มขยับหมวกแก็ปสีขาวให้ต่ำลง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่บริษัทต้นสังกัดส่งมาดูแลพยายามกันฝูงชนออกห่างเพื่อเปิดทางให้เขาได้เดินอย่างสบายมากขึ้น เสียงร้องเรียกชื่อเขาดังก้องไปทั่วบริเวณจนเกือบคล้ายจลาจลย่อมๆ เวลานี้เขาไม่พร้อมจะหยุดทักทายหรือจับมือกับแฟนๆ เพราะถ้าหากหยุดเดินเมื่อไหร่ล่ะก็ คงได้ถูกรุมห้อมล้อมจนวันนี้อาจจะไม่ได้ออกจากสนามบิน ทั้งที่พยายามปิดข่าวการเดินทางแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าพวกแฟนคลับรู้ได้อย่างไรว่าเขามีไฟลท์บินกลับบ้านเกิดที่เมือง S วันนี้

“มาเถอะ” เหลายี่ ผู้จัดการส่วนตัวรีบดันตัวเขาเข้าไปในรถแวนสีดำที่มาจอดเทียบรอรับอยู่ด้านนอกอาคารผู้โดยสารขาเข้า จากนั้นอีกฝ่ายจึงค่อยก้าวขึ้นไปนั่งข้างๆ “แฟนคลับพวกนี้นี่น่ากลัวมากกว่าน่ารัก รุมทึ้งอย่างกับอีกา”

“ไม่เป็นหรอก ผมชินแล้ว”

“ช่วยไม่ได้นี่นาอาเฟิง ใครใช้ให้นายเล่นซีรีส์เรื่องแรกก็ฮอตฮิตเรทติ้งกระฉูดขนาดนี้” เจ้าของชื่อปลดมาสก์ที่ใส่อยู่ลง เผยใบหน้าคมคายพร้อมรอยยิ้มกว้างในแบบที่ใครเห็นก็ต้องอดชื่นชมไม่ได้

“ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดๆ นี้เหมือนกัน”

“เอาน่า รักษามาตรฐานการทำงานและหมั่นพัฒนาฝีมือการแสดง ฉันเชื่อว่านายต้องไปได้ไกลแน่ๆ” เหลายี่ตบบ่าเขา ผู้จัดการส่วนตัวคนนี้แก่กว่าไป๋เฟิงอี๋ไม่กี่ปี แต่หลังจากที่ทำงานร่วมกันมาสักระยะหนึ่ง ไป๋เฟิงอี๋ก็รับรู้ได้ว่าเหลายี่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขามาก เหลายี่คอยดูแลให้คำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว อีกฝ่ายทำหน้าที่ได้ดีทั้งในฐานะผู้จัดการนักแสดง และพี่ชายที่คอยดูแลเด็กดื้ออย่างเขา “นายคงคิดถึงบ้านมาก นี่เป็นการกลับบ้านเกิดครั้งแรกในรอบห้าปีของนายเลยนี่”

ไป๋เฟิงอี๋เพียงยกยิ้ม แต่ไม่ได้ต่อบทสนทนาอะไร ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสะท้อนอารมณ์ในใจที่หลากหลาย ชายหนุ่มจากบ้านเกิดไปเรียนต่อที่อเมริกาเป็นเวลาห้าปีเต็ม ระหว่างกำลังเรียนอยู่ที่สาขาศิลปกรรมและภาพยนตร์ มีโมเดลลิ่งมาติดต่อขอให้เขาลองไปเทสต์หน้ากล้อง ช่วงนั้นเขาไม่คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าเป็นเพียงการหาประสบการณ์ในสายอาชีพธรรมดา แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับได้รับเลือกให้เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดของบริษัทผลิตสื่อบันเทิงชื่อดังข้ามชาติที่เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างจีนและอเมริกา ซึ่งต่อมาเขาก็ได้มีโอกาสร่วมแสดงนำในซีรีส์จีนย้อนยุคทุนสร้างมหาศาลเรื่องหนึ่ง ซีรีส์เรื่องนี้กวาดเรตติ้งถล่มทลาย ทำให้ชื่อไป๋เฟิงอี๋เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในวงกว้าง 

จริงอยู่ว่าไป๋เฟิงอี๋เริ่มเดบิวต์ในฐานะนักแสดงเมื่อปีก่อน การตัดสินใจเป็นนักแสดงทำให้เขาต้องพักการเรียนเทอมสุดท้ายที่อเมริกา หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาทำงานหนัก ออกกองแทบทุกวัน ซึ่งโลเคชั่นถ่ายทำหลักมักอยู่ที่ต่างจังหวัด กว่าจะปิดกล้องซีรีส์รวมถึงเดินสายโปรโมตตามสื่อต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ใช้เวลาร่วมปี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลับบ้าน

“ฉันโทรบอกกำหนดการเดินทางให้แม่นายทราบตั้งเมื่อวาน ตอนแรกแม่นายตั้งใจจะมารับที่สนามบินด้วยตัวเอง แต่ฉันเกรงว่าเหตุการณ์มันจะชุลมุน เลยบอกให้รอเจอที่บ้านดีกว่า”

“ทำดีแล้วล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋เองก็ไม่อยากให้มารดาต้องมาเจอเรื่องวุ่นๆ ที่สนามบินเช่นกัน คงเป็นการดีกว่าถ้าหากจะไปเจอกันที่บ้าน... บ้านที่เขาไม่เคยกลับไปเหยียบอีกเลยตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน...



เมื่อรถแล่นเข้ามาจอดเทียบสนิทที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋ก้าวตามเหลายี่ลงมาจากรถ ร่างบอบบางของสตรีวัยห้าสิบต้นๆ ก็ถลาเข้ามากอดเขาจนแน่น ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางไปตามวัยคลอเอ่อด้วยน้ำใสๆ ตอนไป๋เฟิงอี๋เรียนอยู่ที่อเมริกา นางก็บินไปหาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหลังจากลูกชายเริ่มอาชีพนักแสดงซึ่งต้องเดินทางบ่อยๆ โอกาสได้เจอกันก็ยิ่งยากขึ้น และนี่เป็นครั้งแรกที่ลูกชายของเธอกลับบ้าน

หลังจากฮั่วเซียงหลิงยอมคลายอ้อมกอดลง ไป๋เฟิงอี๋ก็เงยหน้ามองคฤหาสน์ตระกูลหรงเต็มตา ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม ทว่าความรู้สึกของเขากลับไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ครั้งแรกที่มารดาพาเขามาที่นี่ เขารู้สึกตื่นเต้นกับบ้านใหม่ ครอบครัวใหม่ ทว่าครั้งนี้เขากลับรู้สึกแตกต่าง ไม่มีความตื่นเต้นเหมือนเช่นวันวาน มีแต่ความรู้สึกประหม่าผสมอิหลักอิเหลื่อเมื่อคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนที่อาศัยร่วมชายคาในคฤหาสน์แห่งนี้ด้วย

เหลายี่เพียงแต่มาส่งไป๋เฟิงอี๋ที่บ้าน เขาและทีมงานเปิดห้องพักที่โรงแรม ดังนั้นหลังจบงาน ชายหนุ่มจึงเอ่ยอำลาไป๋เฟิงอี๋และฮั่วเซียงหลิงก่อนบอกว่าจะส่งตารางงานที่คอนเฟิร์มแล้วให้ไป๋เฟิงอี๋ดูอีกครั้งวันพรุ่งนี้ อย่างน้อยวันนี้ก็ปล่อยให้ชายหนุ่มได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาแล้วทั้งวัน

“มาเถอะ อาเฟิง” ฮั่วเซียงหลิงเรียกเสียงสดใสพลางแตะข้อมือลูกชายเป็นเชิงเรียกให้เข้าบ้าน ก่อนจะหันหน้าไปส่งสัญญาณให้คนรถรีบเอากระเป๋าเดินทางใบเขื่องของคุณชายรองไปเก็บไว้บนห้องนอนเดิมของเจ้าตัว มีเพียงหรงหยางเค่อที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก ไร้เงาของคนๆ นั้น ไป๋เฟิงอี๋ทำความเคารพบิดาเลี้ยงตามมารยาทก่อนอีกฝ่ายจะชักชวนให้นั่งลงคุยกันตามประสาคนในครอบครัว

“ไม่เจอนาน อาเฟิงเปลี่ยนไปจนเกือบจะจำไม่ได้” คนถูกทักยิ้มรับ

“แต่คุณพ่อยังเหมือนเดิมนะครับ หล่อเหมือนเดิมเลย” ไป๋เฟิงอี๋เพียงมองก็รู้ว่าทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิม ผ่านไปเพียงห้าปี แต่หรงหยางเค่อดูแก่ลงไปมาก มารดาเคยเล่าให้ฟังว่าช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจตระกูลหรงที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เกิดปัญหายุ่งยาก หรงหยางเค่อเป็นประธานกรรมการต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ยังดีหน่อยที่ลูกชายอย่างหรงหยางเซิงเข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัทและช่วยแบ่งเบาภาระไปได้มาก 

หรงหยางเค่อหัวเราะเสียงดังกับคำชมจากลูกเลี้ยง ชายชราโบกมือวูบ

“หล่ออะไรกัน พ่อน่ะแก่แล้ว จะไปสู้พวกหนุ่มๆ ได้ยังไง จริงไหมคุณ” หันไปขอความเห็นจากผู้เป็นภรรยา

“นั่นน่ะสิคะ หนุ่มๆ ตระกูลนี้เสน่ห์แรงเหลือเกินเชียว ดูอย่างอาหยางนั่นล่ะ มีแต่สาวๆ เข้าหาตลอด แต่ก็ไม่มีวี่แววจะแต่งงานเสียที” ชื่อของหรงหยางเซิงทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋เฟิงอี๋กระตุกวูบ “เอ้อ ว่าแต่อาหยางไปไหนคะคุณ อาเฟิงเพิ่งกลับมาวันนี้ น่าจะมาทักทายกันหน่อย”
 
“ติดงานสำคัญน่ะ เห็นรีบออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว แต่เดี๋ยวเย็นๆ ก็คงได้เจอกัน” หรงหยางเค่อเล่าว่าตอนนี้หรงหยางเซิงเข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัทเต็มตัวแล้ว ดังนั้น ชายชราจึงมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ปล่อยให้ลูกชายเข้ามาเรียนรู้โลกของธุรกิจตามแบบที่เจ้าตัวตั้งใจเอาไว้แต่แรก


หลังจากนั่งคุยกันได้สักพักใหญ่ ไป๋เฟิงอี๋ก็ขอตัวไปพักผ่อนในห้องเพราะยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไม่หาย หรงหยางเค่อและฮั่วเซียงหลิงจึงไม่ได้รั้งเอาไว้คุยต่อเพราะยังไงลูกชายก็กลับมาแล้ว ยังมีเวลาอีกมากที่จะคุยกันทดแทนความคิดถึงที่ห่างหายไปหลายปี

ไป๋เฟิงอี๋ถูกปลุกจากห้วงนิทราตอนหกโมงเย็นเพื่อมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำ ที่โต๊ะอาหารยังคงไร้วี่แววของหรงหยางเซิง ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะกลับมาวันนี้เลยจงใจหลบหน้ากันหรือเปล่า แต่ทำไมหรงหยางเซิงจะต้องหลบหน้าเขาด้วยล่ะ ควรเป็นเขามากกว่าที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายนั้น ถ้าหากถึงเวลาที่ต้องเจอกันจริงๆ เขาควรจะทำอย่างไรดี คำพูดสุดท้ายก่อนจากกันยังคงก้องอยู่ในหัวของไป๋เฟิงอี๋

“ในเมื่อคิดจะไปแล้ว ไปเฟิงอี๋... นายก็อย่าได้หวนกลับมาอีกเลย”

ชายหนุ่มถอนหายใจเหยียดยาว นั่นน่ะสิ... เขากลับมาที่นี่อีกทำไมกัน



หลังมื้ออาหารค่ำ ไป๋เฟิงอี๋กลับไปพักผ่อนที่ห้องด้านบนตามเดิม ชายหนุ่มพยายามข่มตานอนหลับ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ อาจเพราะวันนี้เขานอนตลอดทั้งบ่าย พอตกกลางคืนเลยยังไม่ง่วงเท่าไหร่ พอคิดว่าจะหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาก็ไม่พบว่าตัวเองมีอารมณ์อยากอ่านหนังสือเล่มไหน สุดท้ายไป๋เฟิงอี๋จึงตัดสินใจลงมาเดินเล่นที่สวนหน้าบ้าน หวังว่ากลิ่นดอกไม้ราตรีกับลมโชยเบาๆ จะทำให้รู้สึกเคลิ้มง่วงได้บ้าง

เดินเล่นคิดอะไรเพลินๆ คนเดียวในสวนอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มรู้สึกหนาว ก่อนลงมาชายหนุ่มสวมเพียงเสื้อสเวตเตอร์ตัวเดียว ดันลืมหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวลงมาด้วย ขืนยังทนตากน้ำค้างในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงอยู่แบบนี้สงสัยว่าพรุ่งนี้เขาคงได้หวัดเป็นของแถมแน่ ไป๋เฟิงอี๋ถอนหายใจก่อนตัดสินใจเดินลัดสนามเพื่อกลับขึ้นห้องนอนตามเดิม แต่แสงไฟจากรถคันหรูที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าโถงคฤหาสน์ทำให้เขาต้องชะงักเท้า ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก แม้จะเห็นจากที่ไกลๆ แต่ไป๋เฟิงอี๋ก็จำได้แม่น คนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งมีเพียงแค่คนเดียว

หรงหยางเซิง! 

เสียงสวบสาบที่ดังจากสวนดอกไม้ด้านข้างดึงความสนใจของหรงหยางเซิงให้หันไปมอง ปกติคนบ้านนี้เข้านอนเร็ว แล้วต้นเสียงนี่คือใครกัน

“นั่นใคร”

“ฉันเอง” ไป๋เฟิงอี๋เดินออกมาจากมุมมืดด้านหนึ่งของสวนดอกไม้ ชายหนุ่มค่อยๆ พาตัวเองก้าวไปอยู่เบื้องหน้าของหรงหยางเซิง แปลก... ตอนแรกเขายังนึกประหม่าไปต่างๆ นานาว่าจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอกับฝ่ายนั้น แต่พอมันมาถึงจริงๆ เขากลับวางตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติจนตัวเองยังนึกแปลกใจ ราวกับว่าเขาไม่เคยมีประเด็นความหลังอะไรกับคนตรงหน้ามาก่อนเลยสักนิด


“ไป๋-เฟิง-อี๋” หรงหยางเซิงเน้นเสียงที่ละพยางค์ เจ้าของชื่อพยายามคาดเดาอารมณ์ของคนตรงหน้า ทว่าภายใต้ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรี เขากลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

“ใช่ ฉันเอง” ไป๋เฟิงอี๋คลี่ยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลยนะอาหยาง”

จำได้ว่าบิดาเคยบอกล่วงหน้าแล้วว่าไป๋เฟิงอี๋จะกลับมาวันนี้ แต่เขาไม่ได้นึกสนใจมากนัก ใครจะอยู่จะไปยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของเขา โดยเฉพาะไป๋เฟิงอี๋ที่นับเป็นคนแปลกหน้ามาตั้งนานแล้ว เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีอิทธิพลเหนือชีวิตเขา อย่างน้อยหรงหยางเซิงก็บอกให้ตัวเองคิดเช่นนั้น

“นายกลับมาอีกทำไม” แววตาที่ทอดมองมาของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋แทบสะดุดลมหายใจของตัวเอง หรงหยางเซิงเคยบอกว่าถ้าหากเขาคิดจะไปแล้วก็อย่าได้หวนกลับมาอีก แต่วันนี้เขาสองคนได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ภาพความทรงจำในอดีตย้อนสลับไปมา ทว่าความจริงก็คือระหว่างหรงหยางเซิงและไป๋เฟิงอี๋ เขาทั้งคู่เป็นได้แค่เพียงคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี

“โลกของนายที่ไม่มีฉันมันเป็นยังไงบ้างล่ะอาหยาง... มีความสุขดีหรือเปล่า”

“ดีสิ ดีที่สุดเลยล่ะ ดีจนฉันอยากให้มันเป็นแบบนั้นตลอดไป” คำตอบไร้น้ำใจกับแววตาว่างเปล่าของคู่สนทนาทำให้หัวใจของคนฟังหดเกร็ง ห้าปีที่ผ่านมา ไป๋เฟิงอี๋คิดว่าการไม่ได้เจอ ไม่ต้องเห็นหน้าคนๆ นี้จะทำให้เขาสามารถตัดใจได้ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ทว่าวันนี้สิ่งที่คิดไว้มันกลับผิดอย่างสิ้นเชิง! เวลาจะช่วยอะไร ถ้าหากในใจเขายังคงไม่อาจลืม...

“กลับกัน โลกของฉันที่ไม่มีนาย มันไม่สนุกเลยสักนิดเดียว” คำพูดทีเล่นทีจริงของคนตรงหน้าทำให้หรงหยางเซิงแค่นหัวเราะ ชายหนุ่มบิดยิ้มเย็นชา
             
“เลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตได้แล้วไป๋เฟิงอี๋ มันน่ารำคาญ”

“นายเองก็ไม่ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยหรอกอาหยาง มันน่าเบื่อ”

“ไป๋เฟิงอี๋!” หรงหยางเซิงเคยคิดว่าเมื่อเวลาผ่านไป ไป๋เฟิงอี๋จะโตขึ้น ที่ไหนได้ก็แค่โตแต่ตัว อีกฝ่ายยังทำตัวน่าโมโหและอวดดีเหมือนเมื่อห้าปีก่อนไม่มีผิด “จะอยู่นานแค่ไหน”

“หมายความว่ายังไง”

“ฉันหมายถึงนายจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน”

“ไม่รู้สิ หลังปิดกล้องซีรีส์ ฉันแค่รับงานประปรายเพราะอยากพักยาวหน่อย นายอาจต้องทนเห็นหน้าฉันไปอีกนานเลยอาหยาง”

“ความอดทนฉันไม่สูงขนาดนั้นหรอก” หรงหยางเซิงพูดพร้อมกับทำท่าจะเดินเลี่ยงเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ทว่าต้นแขนกลับถูกไป๋เฟิงอี๋คว้าจับไว้ ร่างสูงสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมด้วยท่าทางถือตัว

“รังเกียจกันขนาดนี้เลยเหรอ”

“ฉันไม่ชอบให้ใครสัมผัสตัว”

“มากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว” ไป๋เฟิงอี๋หยักยิ้ม ทำไมหรงหยางเซิงจะไม่รู้ว่ายิ้มแบบนี้แปลความหมายได้ว่าอย่างไร “ทบทวนหน่อยดีไหม” คนพูดขยับกายเข้าไปใกล้ขึ้น ไม่สนใจสายตารุนแรงที่จ้องมาที่เขาราวกับจะแล่เนื้อเถือหนัง จูบเมื่อห้าปีก่อนยังความขยะแขยงมาให้หรงหยางเซิงทุกครั้งที่เผลอนึกถึง

“ถึงฉันจะไม่ชอบนาย แต่ก็ขออย่าทำให้ต้องถึงขั้นเกลียดเลย”

ประโยคนั้นหยุดการกระทำของไป๋เฟิงอี๋ได้ในที่สุด คำพูดของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ตระหนักว่าตัวเองโง่งมเพียงไร ห้าปีก่อนเขาอยากได้รับการยอมรับจากหรงหยางเซิง เคยเรียกร้องความสนใจอยู่บ่อยครั้ง หนักสุดก็ตอนคิดแกล้งอีกฝ่ายจนตัวเองเกือบจมน้ำตายแต่ก็ยังไม่รู้จักเลิกรา ปัจจุบันที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง เขาก็แค่แอบหวังลึกๆ ว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาบ้าง แค่สักนิดก็ยังดี แต่ดูท่าเขาคงหวังมากไป

“อาหยาง... ขอโทษนะ”

หรงหยางเซิงเดินจากไปแล้วแต่ไป๋เฟิงอี๋ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลมพัดแรงจนได้ยินเสียงกิ่งไม้ไหว บรรยากาศรอบกายชวนให้รู้สึกหนาวสะท้าน เช่นเดียวกับเจ้าของร่างสูงที่ยกมือขึ้นโอบกอดร่างที่กำลังสั่นเทาของตัวเอง


Aislin: และแล้วห้าปีก็ผ่านไปอย่างไว (เพราะเป็นนิยาย) ฮาๆๆ การกลับมาพบกันของทั้งคู่ รับรองเลยว่าเด็ด โดยเฉพาะเรื่องการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมแย่งอำนาจในบริษัทตระกูลหรง อาเฟิงจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องยังไง จะต้องรอติดตามต่อกันเองนะคะ บอกเลยว่าเรื่องจะค่อยๆ สนุกและตื่นเต้นขึ้นในทุกตอนค่ะ / เจอกันตอนหน้าเน้อ ^^ 

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 11: Friends

หลังจากวันนั้น ไป๋เฟิงอี๋ก็ไม่เจอหน้าหรงหยางเซิงอีกเลย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหลบหน้าเขาหรือเปล่า พอเขาลองเลียบเคียงถามบิดาบุญธรรมเกี่ยวกับความเป็นไปของพี่ชายต่างสายเลือด ก็ได้ความว่าช่วงนี้ที่บริษัทกำลังยุ่ง บางวันที่เลิกงานดึก หรงหยางเซิงจะอาศัยหลับนอนที่คอนโดมิเนียมส่วนตัวที่ซื้อไว้ใกล้ออฟฟิศ ส่วนตัวเขาหลังจากที่พักมาเป็นสัปดาห์ก็เริ่มมีตารางต้องออกงานอีเว้นท์บ้างแล้ว แต่เขาก็ขอเหลายี่ว่าช่วงนี้ไม่อยากรับงานเยอะเพราะอยากจะใช้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด ทดแทนช่วงเวลาที่หายไปหลายปี ขืนเขาออกไปตระเวนข้างนอกทุกวัน มารดาได้บ่นจนหูชาแน่นอน

คฤหาสน์ตระกูลหรงไม่มีอะไรน่าสนใจและแปลกใหม่สำหรับไป๋เฟิงอี๋ ทนอดอู้อยู่ได้ไม่นาน ชายหนุ่มก็ต้องหาเรื่องออกนอกบ้านจนได้ วันนี้เขานึกอยากดื่มจึงตัดสินใจมานั่งเล่นที่คลับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในย่านแสงสีของเมือง โชคดีที่ภายในคลับค่อนข้างมืด เขาเลยไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นมากนัก บางครั้งการเป็นคนมีชื่อเสียงอยู่ท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์ที่ทุกคนพากันจับจ้องก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดบ้างเหมือนกัน แต่ในเมื่อนี่เป็นอาชีพที่เขาเลือกเอง ก็คงได้แต่ต้องทำใจให้ยอมรับเท่านั้น

ไป๋เฟิงอี๋คลึงแก้ววิสกี้ในมือเล่นไปมา แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าล่วงผ่านลำคอชายหนุ่ม ไป๋เฟิงอี๋รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี เขาไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองเมาง่ายๆ แน่ เข็มนาฬิกาหมุนผ่านไปรอบแล้วรอบเล่า ตอนที่ไป๋เฟิงอี๋กำลังจะเรียกขอเหล้าแก้วที่หกจากบาร์เทนเดอร์ เสียงเอะอะโวยวายด้านหลังก็ดังขึ้นเสียก่อน

“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ดะ... ได้โปรด” หญิงสาวท่าทางอ้อนแอ้นคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบริกรของร้านถูกใครบางคนเหวี่ยงลงไปกองอยู่บนพื้น หญิงสาวรีบคลานเข้ามาเกาะขาผู้ชายตัวใหญ่ที่ดูท่าทางนักเลงพลางอ้อนวอนด้วยท่าทางน่าสงสาร “ฉัน... ฉันยังมีแม่กับน้องที่ต้องดูแล ได้โปรดเถอะค่ะ อย่าไล่ฉันออกเลย”

“นังบ้า เธอกล้าดียังไงเอาเหล้าสาดหน้าคุณชายเฉิน”

ไป๋เฟิงอี๋เลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งที่พวกนักเลงเรียกว่าคุณชายเฉิน ดูท่าทางคุณชายเฉินคนนี้มีพฤติกรรมรุ่มร่ามไม่น้อย ยืนธรรมดาไม่ได้ ต้องมีสาวๆ แต่งกายน้อยชิ้นยืนพะเน้าพะนออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

“ฉะ... ฉันไม่ได้ตั้งใจ ก็เพราะคุณชายเฉินเอามือมาจับ....”

“จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวงตัว เฮอะ ผู้หญิงอย่างเธอจะมีค่าสักเท่าไหร่เชียว” คุณชายเฉินคนนั้นใช้ขายันร่างบอบบางให้ล้มลงไปกับพื้น แขกคนอื่นๆ ในคลับพากันหลีกเลี่ยงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทะเลาะวิวาท ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋ก็คิดจะทำเช่นนั้น เพราะด้วยอาชีพการงานทำให้เขาต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีอยู่เสมอ หากต้นสังกัดรู้ว่าเขายุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทคงไม่เป็นการดีแน่ ทว่าท่าทางวางท่าหยาบคายของคุณชายแซ่เฉินอะไรนั่นทำให้ไป๋เฟิงอี๋อดรู้สึกโมโหแทนหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้

“ขอโทษค่ะ ยกโทษให้ฉันเถอะนะคะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว” เสียงสะอึกสะอื้นเจือมากับน้ำเสียงนั้น

“ขอโทษแล้วมันหายไหมล่ะ คนอย่างเธอนี่มัน!” นักเลงทำท่าจะยกมือตบหน้าหญิงสาวสักสองสามฉาดเป็นการสั่งสอน แต่เพียงแค่เงื้อมือกลับไม่สามารถฟาดลงมาที่สองข้างแก้มได้ ที่แท้มือข้างนั้นถูกไป๋เฟิงอี๋จับยึดเอาไว้

“แกเป็นใคร ถ้าไม่อยากเดือดร้อน อย่ามายุ่งกับเรื่องนี้” นักเลงตะคอก แต่ไป๋เฟิงอี๋ไม่นำพา เขาเป็นคนต่อสู้เก่งตั้งแต่เด็ก มั่นใจว่าถ้าออกแรงสุดกำลัง อย่างน้อยก็คงไม่โดนกระทืบตายที่นี่แน่

“ไหนๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ขอโทษไปแล้ว ยังไงก็ช่วยเห็นใจเธอด้วย”

“กล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ไม่รู้หรือไงว่าคุณชายเฉินเป็นใคร”

“คุณชายเฉินเป็นใครผมไม่รู้จัก แต่คุณชายเฉินคงไม่อยากโด่งดังในโลกออนไลน์ข้อหารังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้แน่ๆ” ไป๋เฟิงอี๋ตวัดสายมองไปรอบๆ เพราะเห็นว่าแขกหลายคนในคลับกำลังยกโทรศัพท์มือถือทำท่าจะถ่ายคลิปทะเลาะวิวาท

“แก...” ยังไม่ทันที่คุณชายเฉินจะได้บริภาษใส่คนอวดดีที่สอดมือเข้ามายุ่ง แม้มันที่ไหล่ปรามเบาๆ เสียก่อน

“ให้แล้วไปเถอะ อาจิ้น” ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาสะอาดสะอ้าน ประเมินจากการแต่งกายแล้วอีกฝ่ายน่าจะมีฐานะพอตัว เมื่อไป๋เฟิงอี๋เห็นว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยน ชายหนุ่มจึงย่อตัวลงไปช่วยประคองหญิงสาวเคราะห์ร้ายขึ้นมาจากพื้น

“ขอบคุณคุณชาย...” ทันทีที่ได้เห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดๆ ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปชั่วอึดใจ

“เธอ... / อาเฟิง?”

“จุ้ยฮวา เป็นเธอเองเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋ครางเสียงแผ่ว ไม่ผิดแน่ คนตรงหน้าเขาก็คืออดีตเพื่อนสมัยมัธยม “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่” มีคำถามมากมายที่เขาอยากถามจุ้ยฮวา แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก

“อาเฟิงเป็นนายจริงๆ ด้วย” หญิงสาวปาดน้ำตาข้างแก้ม ไม่นึกว่าจะได้มาเจอกับไป๋เฟิงอี๋อีกครั้งในสถานที่แบบนี้

“ออกจากที่นี่ก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน” ไป๋เฟิงอี๋ล้วงมือหยิบธนบัตรสามสี่ใบจากกระเป๋าสตางค์มาวางที่โต๊ะเป็นค่าเหล้า ก่อนจะช่วยพยุงจุ้ยฮวาออกไปจากคลับแห่งนี้โดยมีสายตาหลายสิบคู่มองตามหลัง โดยเฉพาะสายตาที่แสดงความไม่พอใจของคุณชายเฉิน

รถของไป๋เฟิงจอดอยู่หน้าคลับ ชายหนุ่มเปิดประตูให้จุ้ยฮวาเข้าไปนั่งพัก ส่วนตัวเองรีบอ้อมไปยังฝั่งคนขับ ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูรถ ใครคนหนึ่งที่เดินตามออกมาจากคลับก็เรียกเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนครับ” ผู้ชายคนที่มากับคุณชายแซ่เฉินนั่นเอง สีหน้าคำถามของไป๋เฟิงอี๋ทำให้อีกฝ่ายยอมเฉลย “คุณลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่เคาเตอร์เครื่องดื่ม ผมเลยเอามาคืนให้”

“ขอบคุณ” ไป๋เฟิงอี๋รับมาเก็บไว้ ท่าทางอีกฝ่ายยังน่าคบหามากกว่าคุณชายเฉินอะไรนั่นเสียอีก

“หน้าคุณคุ้นมาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเราเคยเจอ...”

“คุณคงจะจำคนผิด ขอตัวก่อนนะครับ” ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มสุภาพ นึกภาวนาในใจว่าขออย่าให้อีกฝ่ายนึกออกเลยว่าคุ้นหน้าตาเขาจากโฆษณาในโทรทัศน์หรือตามสื่อบิลบอร์ด ถ้าไม่เพราะนึกสงสารผู้หญิงที่ถูกรังแก เขาก็ไม่อยากพาตัวเองเข้าสู่เรื่องยุ่งยากเช่นกัน

“แล้วพบกันครับ” ไป๋เฟิงอี๋สะดุดใจกับคำร่ำลาที่อีกฝ่ายใช้ แต่ก็รีบปัดความรู้สึกแปลกๆ แบบนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว สำคัญที่สุดตอนนี้คือพาจุ้ยฮวาไปให้พ้นจากที่นี่ก่อน

รถของไป๋เฟิงอี๋เคลื่อนออกจากตรงนั้นโดยมีร่างสูงมองจนลับสายตา คิดไม่ถึงว่าจะได้เจออีกฝ่ายในที่แบบนี้

“เราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ คุณชายรองตระกูลหรง” 



ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋ตั้งใจจะพาจุ้ยฮวาไปที่คฤหาสน์ตระกูลหรง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าจะต้องถูกมารดาและบิดาบุญธรรมซักไซ้ไล่เลียงเป็นแน่ เพื่อเป็นการตัดปัญหา ชายหนุ่มจึงเบนเป้าหมายไปยังโรงแรมที่เหลายี่กับทีมงานพักอยู่ อย่างน้อยจุ้ยฮวาอยู่กับเหลายี่ เขาก็ยังพอวางใจได้ ไป๋เฟิงอี๋ไม่นึกอยากให้จุ้ยฮวากลับบ้านตอนนี้ กลัวว่าฝ่ายคุณชายเฉินจะพาพวกไปดักรอที่นั่นและหญิงสาวจะไม่ปลอดภัย

สีหน้าของเหลายี่ตอนเปิดประตูห้องมารับเต็มไปด้วยความมึนงง ไป๋เฟิงอี๋สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่คลับให้ฟังเพียงสั้นๆ เหลายี่มองจุ้ยฮวาด้วยความสงสารและไม่ขัดข้องเมื่อไป๋เฟิงอี๋ขอให้จุ้ยฮวาพักอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว
   
“ทำไมเธอถึงไปทำงานในที่แบบนั้นล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋ถามเป็นคำถามแรกหลังจากที่จุ้ยฮวาหยุดร้องไห้แล้ว

“แม่ฉันกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ลำพังเงินเดือนประจำของฉันยังไม่ค่อยจะพออยู่พอกินเท่าไหร่ น้องก็ยังเรียนอยู่ ดังนั้นฉันก็เลยต้องมารับงานพิเศษในคลับที่เจอกับนายนั่นแหล่ะ”

“แล้วไอ้พวกนั้นมันทำอะไรเธอ”

“ไอ้คุณชายเฉินมันสั่งให้ฉันชงเหล้าให้ แล้วก็ถือโอกาสลวนลามฉัน ฉันก็เลย...”

“เอาเหล้าสาดหน้ามัน” จุ้ยฮวาพยักหน้า

“โชคดีที่นายไปช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นฉันคง... เฮ้อ...”

“ว่าแต่มีคนจำได้หรือเปล่าว่านายเป็นใคร” เหล่ายี่หันไปถามไป๋เฟิงอี๋ คนถูกถามส่ายหน้าเป็นเชิงไม่แน่ใจ

“ในนั้นค่อนข้างมืด ถ้าหากไม่เพ่งดีๆ คงมองไม่ชัดหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ประกาศชื่ออะไรออกไปให้พวกนั้นมันตามตัวได้” ผู้จัดการส่วนตัวพยักหน้า แต่ก็ยังไม่วางใจเท่าไหร่

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะให้ทีมงานช่วยเช็กข่าวกับสื่อแล้วกัน ถ้าเกิดมีใครถ่ายรูปหรือคลิปส่งไปที่สำนักข่าว จะได้กันเอาไว้ก่อน” แม้ข่าวไป๋เฟิงอี๋ช่วยเหลือหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายในคลับจะช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดูดีแก่เจ้าตัว แต่โลกออนไลน์เดี๋ยวนี้ก็วางใจมากไม่ได้ ถ้าหากมีพวกจอมขุดข้อมูลแล้วดันรู้ว่าจุ้ยฮวาเป็นเพื่อนเก่าของไป๋เฟิงอี๋ บางทีกระแสอาจตีกลับกลายเป็นว่าไป๋เฟิงอี๋จัดฉากสร้างเรื่องให้กับตนเองก็เป็นได้ ต้นสังกัดกำชับเขาในฐานะผู้จัดการส่วนตัวอยู่เสมอว่าภาพลักษณ์ของนักแสดงเป็นสิ่งที่สร้างยากแต่กลับถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เรื่องประเภทนี้เขาต้องระวังให้มาก

“คืนนี้เธออยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันค่อยมาเยี่ยมใหม่”

“ขอบคุณนะอาเฟิง ไม่เจอกันนาน นายยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” จุ้ยฮวาส่งยิ้มขอบคุณเพื่อนเก่า ไป๋เฟิงอี๋เป็นคนมีน้ำใจ แต่ก่อนเพราะรู้ว่าฐานะทางบ้านเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นอกจากอีกฝ่ายจะไม่รังเกียจแล้ว ยังคอยช่วยเหลือเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนังอยู่บ่อยๆ วันนี้โชคดีเหลือเกินที่ได้อีกฝ่ายช่วยเอาไว้

“เธอก็เหมือนกัน เด็กๆ น่าเกลียดยังไง โตมาก็ยังน่าเกลียดเหมือนเดิม” ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยผ่านรอยยิ้มก่อนขอตัวกลับคฤหาสน์ตระกูลหรงโดยไม่ลืมกำชับเหลายี่ให้ช่วยหาคนไปดูแลที่บ้านของจุ้ยฮวาให้ด้วย อย่างน้อยก็อยากให้จุ้ยฮวาสบายใจว่าแม่กับน้องอยู่อย่างปลอดภัยดี


ตอนไป๋เฟิงอี๋มาเยี่ยมจุ้ยฮวาในตอนสายวันรุ่งขึ้น สภาพจุ้ยฮวาดูดีกว่าเมื่อคืนมาก หญิงสาวขอบคุณไป๋เฟิงอี๋กับเหลายี่อีกครั้งที่ยื่นมือช่วยเหลือ เมื่อเช้าเธอลองโทรหาที่บ้าน ได้ความว่านักเลงพวกนั้นไม่ได้ไประรานแม่กับน้องชาย ทำให้เบาใจไปได้มาก

“แล้วเธอจะเอายังไงต่อ” ไป๋เฟิงอี๋ถาม จุ้ยฮวาประสบกับเรื่องแบบนี้ คงไม่ได้กลับไปทำงานที่คลับแห่งนั้นอีกแล้ว

“ก็คงหางานใหม่” ไป๋เฟิงอี๋ถามต่อว่าหญิงสาวเรียนจบด้านไหนมา เผื่อว่าจะหาลู่ทางช่วยเพื่อนคนนี้ได้บ้าง

จุ้ยฮวาบอกว่าเธอเรียนจบมาทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ไป๋เฟิงอี๋ก็ถอนหายใจ ตอนแรกคิดว่าจะขอให้ทางต้นสังกัดจ้างงานจุ้ยฮวาเป็นผู้ช่วยของเหลายี่ แต่ดูแล้วคุณสมบัติของเพื่อนคนนี้คงไม่เหมาะกับการเป็นผู้จัดการนักแสดงเท่าใดนัก

“ครอบครัวนายทำธุรกิจใหญ่โต ถ้าพอจะช่วยหาลู่ทางหรือฝากฝังให้ฉันได้ จะเป็นบุญคุณกับฉันมากเลยล่ะอาเฟิง” เงินเดือนพนักงานปัจจุบันอันน้อยนิดของเธอ ลำพังตัวตนเดียวยังไม่พอกินใช้ นับประสาอะไรกับการเก็บเป็นทุนรอนสำหรับมารดาที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ถ้าหากได้รับคัดเลือกเข้าทำงานในบริษัทขนาดใหญ่และมั่นคง ครอบครัวของเธอคงไม่ลำบากขนาดนี้

“ฉันจะลองปรึกษาที่บ้านดูก็แล้วกัน” ไป๋เฟิงอี๋ยังไม่กล้าหน้าใหญ่ใจกว้างตกปากรับคำ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเข้าไปยุ่งย่ามกับธุรกิจของตระกูลหรง ดังนั้นเรื่องนี้จำเป็นต้องปรึกษาบิดาบุญธรรมเสียก่อน จุ้ยฮวาพยักหน้าอย่างเข้าใจสถานการณ์ ในใจก็ได้แต่หวังว่าไป๋เฟิงอี๋จะนำข่าวดีมาบอกเธอในเร็ววัน

Aislin: สวัสดีค่ะ มาอัพนิยายให้แล้วนะคะ ขออภัยที่หายไปหลายวันเลย หวังว่ายังมีคนตามอ่านอยู่เน้อ ถ้ายังใครตามอ่านอยู่ส่งเสียง (ผ่านคอมเม้นท์) บอกกันหน่อยนะคะ ช่วงนี้อิซลินเป็นท้อเหลือเกิ้นนนน อยากได้กำลังใจมว้ากกกก (>”<)
   ส่วนนิยายตอนหน้า แง้มนิดๆ ว่าอาหยางจะเริ่มเผยความอ่อนโยนมาให้เห็นทีละนิด แต่จะเป็นยังไงนั้น รอติดตามนะคะ / ช่วงนี้ไวรัสระบาด ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยน้า ^^

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
:pig4: :pig4:

ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ดีใจที่ยังมีคนอ่านเรื่องนี้อยู่ ^^

ออฟไลน์ piakunaa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
จิ้มๆๆๆ​ สู้ๆนะคะนักเขียน

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
จิ้มๆๆๆ​ สู้ๆนะคะนักเขียน

ขอบคุณมากเลยนะคะ นานๆ จะมีคนคอมเม้นท์ให้ ^^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 12: A bit of gentleness

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋ตั้งใจจะขึ้นไปหาบิดาบุญธรรมที่ห้องทำงานบนชั้นสองเพื่อพูดเรื่องฝากฝังจุ้ยฮวาเข้าทำงานที่บริษัท แต่ตอนที่ยกมือจะเคาะประตูกลับพบว่าประตูถูกปิดไม่สนิท เสียงบทสนทนาในห้องดังแว่วออกมา ฟังดูคล้ายการโต้เถียงกันของคนกลุ่มหนึ่ง และหนึ่งในนั้นชายหนุ่มจำได้ว่าเป็นเสียงของหรงหยางเซิง
   
“ผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่อาเสนอ เรื่องอะไรที่เราจะต้องไปแย่งซื้อที่ดินผืนนั้นในราคาที่สูงถึงเกือบสามเท่าตัวทั้งที่เราเองก็มีที่ดินสำหรับพัฒนาเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว”
   
“อาหยาง แกยังไม่เข้าใจธุรกิจดี ตอนนี้รัฐบาลประกาศจะสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงตรงโซนนั้น ที่ดินก็ต้องแพงขึ้นเป็นธรรมดา แถบนั้นเป็นทำเลทอง คู่แข่งเราก็กำลังเล็งที่ผืนนั้นเช่นกัน ถ้าหากช้าเกรงว่า...” ไป๋เฟิงอี๋เดาได้ลางๆ ว่าคนพูดก็คือหรงหยางลี่ น้องชายต่างมารดาของบิดาบุญธรรมนั่นเอง
   
“ผมให้คนตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เรื่องโครงการรถไฟความเร็วสูงยังเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น พวกนายหน้าที่ดินมันปั่นราคากันไปเอง อีกอย่างตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี กำลังซื้อตกลง ถ้าหากเรามีต้นทุนที่ดินแพง การปรับราคาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อนั้นก็แทบจะทำไม่ได้เลย”
   
“งั้นเราก็หาทางลดต้นทุนส่วนอื่นสิ เช่นการลดเกรดวัสดุก่อสร้าง หรือไม่ก็...”

“เราจะไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นแน่ๆ” คราวนี้เป็นหรงหยางเค่อที่ค้านขึ้นบ้าง “เพราะแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน ลูกค้าที่มาซื้อบ้านกับเราย่อมต้องวางใจในคุณภาพ แต่นี่แกกลับเห็นกำไรเพียงเล็กน้อยมีค่ามากกว่าความซื่อสัตย์ที่บริษัทควรมีต่อลูกค้า แกนี่มันคิดตื้นจริงๆ” หรงหยางเค่อเน้นเสียงแข็งที่ประโยคสุดท้าย
   
“ผมเสนอโน่นนี่ตั้งมากมาย พี่ก็ไม่เคยเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาถามความเห็นของรองประธานฯ อย่างผมแล้ว พี่กับอาหยางอยากจะทำยังไงก็เชิญ แต่อย่ามาเสียใจที่หลังก็แล้วกัน!” น้ำเสียงหรงหยางลี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ไป๋เฟิงอี๋ที่กำลังแนบหูไปกับบานประตูตระหนักได้ว่าใครบางคนกำลังเดินลงส้นเท้ามาทางเขา ชายหนุ่มจึงรีบผละออกจากประตูห้องทำงานแล้วหลบฉากไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว หากคนข้างในรู้ว่าเขามาเสียมารยาทแอบฟังคงจะยิ่งไม่พอใจเป็นแน่ ช่วงนี้เขาคงต้องพยายามทำตัวดีๆ หน่อยหากอยากจะช่วยพูดให้จุ้ยฮวาได้เข้าทำงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหรง

ลับหลังหรงหยางลี่ ในห้องทำงานก็เหลือเพียงแค่หยงหยางเค่อกับลูกชายเพียงสองคน ผู้สูงวัยกว่าถอนหายใจเหยียดยาว นึกรู้นิสัยของน้องชายต่างมารดาคนนี้ดีว่าคงไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ ทำไมเจ้าสัวชราจะไม่รู้ว่าหรงหยางลี่กำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ ความปรารถนาสูงส่งในใจของฝ่ายนั้นเปรียบเสมือนดาบคมกริบที่รอวันถูกชักออกจากฝัก และหรงหยางเค่อไม่กล้ารับประกันว่าเขากับลูกชายจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากคมดาบนั้น

“แกคิดยังไงกับเรื่องนี้” หรงหยางเซิงอ่านคำถามในดวงตาของผู้เป็นบิดาออก ชายหนุ่มพรูลมหายใจเหยียดยาว

“ท่าทางของอารองทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้น่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เรายังไม่รู้ เดี๋ยวผมจะให้คนไปตามสืบเรื่องนี้เพิ่ม” ผู้เป็นบิดาพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วคู่แข่งเราล่ะ” คู่แข่งที่หรงหยางเค่อหมายถึงคือบริษัทในเครือตระกูลจ้าว ตระกูลหรงและตระกูลจ้าวเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันมานาน หลังจากประธานคนเก่าวางมือเกษียณไปแล้ว คนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบันก็คือจ้าวถิงเกอ แม้จ้าวถิงเกอจะอายุเพียงแค่สามสิบต้นๆ แต่ก็ถือเป็นคนหนุ่มที่มีฝีมือพอตัว มิเช่นนั้นคงไม่สามารถนำพาธุรกิจของตระกูลให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในช่วงห้าปีหลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูล

“ตระกูลจ้าวก็สนใจที่ดินผืนนั้นเช่นกัน แถมตอนเปิดประมูลหยั่งเสียงรอบแรกยังกล้าเสนอราคาสูงลิบ”

“ระวังจ้าวถิงเกอคนนี้เอาไว้ให้ดี” หรงหยางเค่อหันไปสบตากับบุตรชายอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจือกระแสความอ่อนโยนอย่างหาได้ยากยิ่ง “อาหยาง ในโลกธุรกิจ ถ้าหากพลาด คู่แข่งก็พร้อมจะเหยียบเราให้จมดิน ดังนั้น ทุกย่าวก้าวเปรียบเสมือนการย่ำอยู่บนดงดาบ ต้องระมัดระวังให้มาก เข้าใจไหม”

เมื่อหรงหยางเซิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ผู้เป็นบิดาจึงค่อยวางใจ ลูกชายคนนี้เพิ่งเข้ามาช่วยเหลืองานที่บริษัทได้ไม่นาน แต่ก็เป็นกำลังสำคัญและช่วยแบ่งเบาภาระงานเขาได้มาก หากเขาเพียรทุ่มเทขัดเกลาหรงหยางเซิงให้ดี เชื่อแน่ว่าอนาคตบนเส้นทางธุรกิจของเจ้าลูกชายคนนี้จะต้องไปได้ไกลกว่าเขาอย่างแน่นอน

“ว่าแต่ช่วงนี้ได้พบอาเฟิงบ้างหรือเปล่า” หรงหยางเซิงส่ายหน้าแทนคำตอบ นับตั้งแต่ไป๋เฟิงอี๋กลับมาอยู่ที่นี่ เขาก็เจออีกฝ่ายแทบจะนับครั้งได้ ซึ่งเจ้าตัวก็พอใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากต้องโดนไป๋เฟิงอี๋ก่อกวนให้อารมณ์เสียบ่อยๆ ความสัมพันธ์ที่เปราะบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็คงยิ่งย่ำแย่ชนิดมองหน้ากันไม่ติดอีกต่อไป แม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าไป๋เฟิงอี๋ แต่ก็ขี้เกียจไปทะเลาะกับฝ่ายนั้นให้กลายเป็นเรื่องราวยุ่งยากตามมา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“แกจำเรื่องที่อารองของแกเคยเสนอในที่ประชุมครั้งก่อนได้ไหม” หรงหยางเซิงขมวดคิ้วมุ่น หรงหยางลี่เคยเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาแผนงานด้านการประชาสัมพันธ์บริษัท ซึ่งรวมถึงการพัฒนาภาพลักษณ์ เจาะกลุ่มตลาดใหม่เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงานที่พอมีกำลังซื้อหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้แล้ว

“หรือว่า...”

“ในเมื่อเราต้องหาพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อยู่แล้ว จ้างคนในครอบครัวก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ จริงไหมอาหยาง” วินาทีนั้น หรงหยางเซิงสาบานได้ว่าตัวเองเห็นประกายประหลาดในดวงตาของหรงหยางเค่อ มันวูบไหวก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มระบายลมหายใจแผ่วแล้วเอ่ยเสียงขรึม

“ถ้าเขาไม่ขัดข้อง ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร”



หลังจากใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงหมดไปกับการนั่งอ่านคอมเม้นท์ในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับกระแสความนิยมของตัวเอง ไป๋เฟิงอี๋ตั้งใจจะนอนกลางวันงีบหนึ่ง ทว่าตื่นมาอีกที ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว เสียงน้ำย่อยในกระเพาะที่ดังโครกครากทำให้ไป๋เฟิงอี๋ตระหนักได้ว่าตนไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ตอนบ่าย ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นจากที่นอน ตั้งใจจะเดินลงไปหาอะไรรองท้องที่ด้านล่าง

นาฬิกาตีบอกเวลาสี่ทุ่มพอดี หรงหยางเซิงสะบัดคอเพื่อขับไล่ความเครียดและความเมื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มเดินลงบันไดจากห้องทำงานเข้าไปในครัว ตั้งใจจะชงกาแฟดื่มก่อนจะกลับขึ้นห้องไปสะสางงานที่ยังคั่งค้างอยู่อีกมาก ทว่าเขากลับพบใครคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัว

“ทำอะไรของนาย” เสียงดังจากด้านหลังทำให้ไป๋เฟิงอี๋สะดุ้ง

“จะเข้ามาทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียงก่อนล่ะ ทำฉันตกใจหมด”

“ถ้าไม่ให้เสียง นายจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าฉันมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว” หรงหยางเซิงตอบหน้าตาย ชายหนุ่มใช้มือสางเนคไทให้หลวมก่อนตรงไปหยิบแก้วกาแฟใบโปรดของตนจากชั้นวาง ไม่มีทีท่าสนใจไป๋เฟิงอี๋อีก

“นี่อาหยาง ที่บ้านนี้เก็บพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไว้ที่ไหนน่ะ” หรงหยางเซิงชี้ไปที่ตู้เก็บของแห้งอีกฝั่งหนึ่งของครัว

ไป๋เฟิงอี๋จึงเดินไปเปิดดูในตู้ ทว่าเขากลับหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่าไม่เจอ “สงสัยหมดแน่เลย”

“หิวเหรอ” แม้ตั้งใจจะไม่ยุ่งแล้วแต่หรงหยางเซิงกลับอดถามออกไปไม่ได้ คนถูกถามพยักหน้า เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวจริงๆ จังๆ ก็ตอนดึกเอาป่านนี้นี่แหล่ะ

“ขอยืมกุญแจรถนายได้ไหม ฉันจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกแป๊บนึง” เนื่องจากเขาเพิ่งกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่นานจึงยังไม่มีรถยนต์ใช้ส่วนตัว เวลานี้จึงได้แต่ต้องอาศัยขอยืมคนตรงหน้าไปก่อน

“อย่าเลย นี่ก็ดึกมากแล้ว ฝนทำท่าจะตกอีกต่างหาก” หรงหยางเซิงพยักเพยิดให้อีกฝ่ายมองลอดหน้าต่างห้องครัวออกไปด้านนอก ฝนตั้งเค้าอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ด้วย

“แต่ฉันหิวนี่นา” ไป๋เฟิงอี๋ทำแก้มป่องแล้วเอามือลูบท้องป้อยๆ ท่าทางแบบนั้นของไป๋เฟิงอี๋ทำให้แววตาที่ปกติเย็นชาเป็นนิจของหรงหยางเซิงอ่อนแสงลงโดยไม่รู้ตัว

“ของสดในตู้เย็นน่าจะมี นายก็เลือกทำเมนูง่ายๆ กินประทังหิวไปก่อนแล้วกัน”

“ฉันทำกับข้าวเป็นเสียที่ไหนล่ะ” ไป๋เฟิงอี๋สารภาพเสียงอ่อยแต่ถึงกับทำให้หรงหยางเซิงเลิกคิ้วสูง

“ไปอยู่เมืองนอกมาตั้งหลายปี ทำกับข้าวไม่เป็นเลยนี่ออกจะเหลือเชื่อไปนะ”

“ปกติซื้อเอาง่ายกว่า”

“ถ้างั้นคืนนี้ก็ทนหิวเอาน้ำกลั้วท้องไปก่อนแล้วกัน” หรงหยางเซิงหันไปใส่ใจกับการต้มน้ำร้อนเตรียมชงกาแฟ ไม่สนใจไป๋เฟิงอี๋ที่พยายามโอดครวญอีก ไป๋เฟิงอี๋พยายามแก้ปัญหาให้ตัวเองด้วยการบอกว่าจะไปตามแม่บ้านมาทำอาหารให้ แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน

“อยากกินอะไร”

“ถามทำไม”

“เดี๋ยวทำให้กิน” ไป๋เฟิงอี๋แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง นี่คือหรงหยางเซิงตัวจริงแน่เหรอ ทำไมวันนี้อีกฝ่ายถึงดีกับเขาเป็นพิเศษ หรือว่าอยากจะชดเชยเรื่องที่แต่ก่อนเคยทำไม่ดีกับเขาเอาไว้มาก “มองอะไร หรือว่าเกิดไม่หิวแล้ว” หรงหยางเซิงเสยผมแก้เก้อ เขาก็แค่ไม่อยากให้ไป๋เฟิงอี๋ไปรบกวนพวกแม่บ้านในเวลาดึกดื่นแบบนี้ก็เท่านั้น

“เปล่า แค่สงสัยว่าทำไมนายดูใจดีผิดปกติ” ไป๋เฟิงอี๋ยกมือกอดอกหลวมๆ ดวงตากลมโตเหล่มองหรงหยางเซิงที่กำลังเสทำเป็นตั้งใจแกะซองกาแฟสำเร็จรูป หลังจากกดน้ำร้อนใส่แก้วเรียบร้อย หรงหยางเซิงจึงหันมาถามคนที่กำลังยืนพิงอ่างล้างจานอยู่ไม่ไกล

“ตกลงจะกินหรือไม่กิน” ไป๋เฟิงอี๋รีบตอบรับว่ากินเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

เมื่อลองสำรวจอาหารสดในตู้เย็นแล้วพบว่าเหลือเพียงแค่ผักสดกับเนื้อนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเพราะปกติแม่บ้านจะออกไปซื้อของสดเข้าบ้านทุกเช้า จึงไม่ได้ตุนของในตู้เย็นมากมายนัก ดังนั้น เมนูที่พอจะทำได้ตอนนี้ก็คือผัดผักใส่ซอสหวานผสมเนื้อที่เหลือเก็บในตู้เย็น

ไป๋เฟิงอี๋เท้าคางมองหรงหยางเซิงหั่นผักกับสับเนื้อด้วยท่าทางชำนาญ เสี้ยวหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมยามทำกับข้าวให้ความรู้สึกขัดตาไม่น้อย ทว่าก็ยังน่ามองเหลือเกิน ไป๋เฟิงอี๋คงจะเหม่อใจลอยต่อไปเรื่อยๆ ถ้าหากหรงหยางเซิงไม่เรียกสติเขาด้วยการเอาจานเนื้อผัดผักมาอังยั่วที่ปลายจมูกเขา!

“กินสิ”

ไป๋เฟิงอี๋ตักข้าวที่เพิ่งอุ่นร้อนจากไมโครเวฟใส่จาน แล้วใช้ตะเกียบคืบเนื้อขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ทำท่าเพ่งพิศอยู่นานสองนาน

“รสชาติจะกินได้หรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่รู้ เพราะไม่เคยทำให้ใครกินมาก่อน”

ไป๋เฟิงอี๋ชะงักไป นี่หมายความว่าเขาเป็นคนแรกที่อีกฝ่ายทำกับข้าวให้กินอย่างนั้นเหรอ ชายหนุ่มรีบรับจานนั้นมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาใช้ตะเกียบคีบเนื้อเข้าปาก พูดแบบไม่มีอคติ เนื้อผัดผักจานนี้ของหรงหยางเซิงรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว

พ่อครัวจำเป็นกอดอกมองไป๋เฟิงอี๋ทานผัดผักจานนั้นด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ความรู้สึกบางอย่างจู่โจมเข้ามาที่หัวใจอย่างถนัดถนี่ พลันใบหน้าของหรงหยางเซิงก็เปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมเหมือนเดิม ชายหนุ่มล้างมือแล้วหมุนตัวเดินออกจากครัวไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทิ้งให้ไป๋เฟิงอี๋ได้แต่งงว่าเกิดอะไรขึ้นกับหรงหยางเซิงกันแน่ อารมณ์ของฝ่ายนั้นถึงได้แปรปรวนยิ่งกว่าสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนฤดู


Aislin: มาอัพนิยายแล้วค่ะ ช่วงนี้คงไม่ได้อัพนิยายให้ทุกวัน เพราะพอดีติดขัดหลายๆ อย่างทั้งงานราษฎร์งานหลวง ยังไงรบกวนรอกันหน่อยเน้อ ถ้าหากรอนาน ไปตามอ่านได้จาก ReadAwrite ได้เลย เราอัพจนจบเรื่องแล้ว
   มาว่าถึงนิยายตอนนี้บ้าง อาหยางจริงๆ มีมุมอ่อนโยนนะเนี่ย แต่จะใจดีแบบนี้ตลอดไปไหม ต้องรอติดตามเองจ้า ไม่อยากสปอย เดี๋ยวไม่สนุก ส่วนตอนหน้าแง้มนิดๆ ว่าตัวละครสำคัญกำลังจะออกโรงแล้วเด้อออ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 13: The way you call me

ตั้งแต่คืนนั้นที่ได้กินกับข้าวฝีมือหรงหยางเซิงเป็นครั้งแรก ไป๋เฟิงอี๋ก็แทบไม่ได้เจอหรงหยางเซิงอีก ช่วงนี้เขารับงาน
อีเว้นท์ค่อนข้างถี่ทำให้ต้องไปเดินทางต่างเมืองบ่อยๆ ส่วนหรงหยางเซิงก็คงยุ่งกับงานที่บริษัท เพราะเห็นบิดาบุญธรรมเปรยว่าช่วงนี้บริษัทกำลังเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ ซึ่งโครงการนี้หรงหยางเซิงเป็นผู้ควบคุมดูแลทั้งหมด และแน่นอนว่านักแสดงที่ถูกรับเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ก็คือเขานั่นเอง

ไป๋เฟิงอี๋พรูลมหายใจเหยียดยาวเมื่อนึกถึงใครคนนั้น รสชาติผัดผักใส่เนื้อจานนั้นยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น ไม่เคยคิดเลยว่าหรงหยางเซิงผู้เย็นชาจะยอมลงมือทำกับข้าวให้เขากินด้วยตัวเอง ตอนแรกก็นึกว่าฝ่ายนั้นจะใจร้ายปล่อยให้เขาท้องร้องโครกครากตลอดทั้งคืนเสียแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ ไป๋เฟิงอี๋ก็อดยิ้มบางๆ ไม่ได้ แต่ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ คลายลงทีละนิดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยสัญญาอะไรกับตัวเองเอาไว้

สำหรับไป๋เฟิงอี๋... ห้าปีที่ผ่านมา ในเมื่อเลือกที่จะลืมหรงหยางเซิงให้หมดจากใจ เขาก็ควรจะต้องหัดฝืนบังคับใจตัวเองเสียบ้าง ไม่ใช่แค่อีกฝ่ายมาทำดีด้วยนิดๆ หน่อยๆ ก็เคลิ้มไปกับการกระทำพวกนั้นจนลืมไปว่าเมื่อก่อนผู้ชายชื่อหรงหยางเซิงเป็นคนไร้หัวใจแค่ไหน

ของเหลวสีอำพันล่วงผ่านลำคอเพรียวของไป๋เฟิงอี๋แก้วแล้วแก้วเล่า ช่วงสองวันนี้เขาเดินทางมาร่วมงานเปิดตัวสินค้าที่เมือง P ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเหลายี่ หลังจากเสร็จงาน ผู้จัดการส่วนตัวจึงขออนุญาตลากลับไปเยี่ยมที่บ้านซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ขัดข้อง ทว่าก่อนแยกตัวจากไป เหลายี่ยังไม่วายกำชับห้ามไม่ให้ไป๋เฟิงอี๋ก่อเรื่องระหว่างที่ตนไม่อยู่เด็ดขาด ไป๋เฟิงอี๋รับคำแต่โดยดี วันนี้เขาแค่ตั้งใจมาดื่มแก้เบื่อ คงไม่สอดมือยุ่งเรื่องทะเลาะวิวาทในคลับแบบครั้งก่อนอีกแล้ว

“มาคนเดียวเหรอครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัว เมื่อไป๋เฟิงอี๋เหลือบมองก็พบว่าคนที่ทักเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาสะอาดสะอ้าน และเป็นคนเดียวกับที่เขาเจอที่คลับวันนั้น “ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหม” ไป๋เฟิงอี๋คลี่ยิ้มแล้วผายมือเป็นเชิงว่าตามสบาย อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน แล้วชวนคุยต่อ “เพิ่งมาครั้งแรกเหรอครับ”

“คุณรู้ได้ยังไง” ไป๋เฟิงอี๋หรี่ตาลงเล็กน้อย

“ผมมาเที่ยวที่นี่บ่อย แต่เพิ่งเจอคุณครั้งแรก ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นแบบนั้น” ไป๋เฟิงอี๋ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ชายหนุ่มยังคงจิบเหล้าของตัวเองต่อไปเงียบๆ ตั้งใจจะดำดิ่งในโลกส่วนตัว ทว่าคู่สนทนากลับช่างเป็นฝ่ายหาเรื่องชวนคุยเสียเหลือเกิน “ท่าทางคุณดื่มเก่งเหมือนกันนะครับเนี่ย”

“คุณก็เหมือนกัน” คู่สนทนามีสีหน้าสงสัยว่าไป๋เฟิงอี๋รู้ได้อย่างไร ชายหนุ่มจึงยอมเฉลยแต่โดยดี “ผมเดาจากกลิ่นเหล้าน่ะ”

“คราวก่อนลืมแนะนำตัวไปเสียสนิท” ผู้มาใหม่ล้วงนามบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์หนังแท้ราคาแพงแล้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะเลื่อนไปเบื้องหน้าไป๋เฟิงอี๋ที่เพียงแค่เหลือบมองด้วยหางตาเท่านั้น “ผมแซ่จ้าว ชื่อถิงเกอ”

“อ้อ คุณจ้าว” ไป๋เฟิงอี๋ขยับรอยยิ้ม อาชีพนักแสดงหล่อหลอมให้เขารู้จักการเข้าสังคมและผูกมิตรกับคนรอบข้าง แม้บางครั้งเขาไม่มีอารมณ์จะต่อบทสนทนากับใครแต่ก็ต้องฝืนใจทำผ่านรอยยิ้มฉาบฉวย เพราะทุกสิ่งที่แสดงออกไปล้วนมีผลต่อภาพลักษณ์ในฐานะนักแสดงทั้งสิ้น “ยินดีที่รู้จักครับ ผมชื่อไป๋เฟิงอี๋”

“ไป๋เฟิงอี๋... คุณชายรองแห่งตระกูลหรง” ประวัติส่วนตัวของนักแสดงชื่อดังอย่างไป๋เฟิงอี๋ย่อมไม่ใช่ความลับ แต่ดูท่าทางคุณชายแซ่จ้าวคนนี้น่าจะรู้จักเขาในเบื้องลึกมากกว่าแค่ในฐานะนักแสดงกระมัง สายตาของไป๋เฟิงอี๋ทำให้จ้าวถิงเกอยอมเฉลยแต่โดยดี

“ใครบ้างไม่รู้จักตระกูลหรงที่ทรงอิทธิพลในเมือง S นอกจากหรงหยางเซิง คุณชายคนโตของบ้านที่เป็นนักธุรกิจดาวรุ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ คุณชายรองไป๋เฟิงอี๋ก็ยังเป็นนักแสดงชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมอีกด้วย” จ้าวถิงเกอจงใจไม่เอ่ยถึงฮั่วเซียงหลิง มารดาของไป๋เฟิงอี๋ เพราะไม่อยากเผลอพาดพิงไปถึงเรื่องข่าวลือในอดีตที่ว่าฮั่วเซียงหลิงเป็นตัวการทำให้มาดามหรงคนก่อนต้องตรอมใจตาย

ไป๋เฟิงอี๋ยกแก้วของเหลวสีอำพันขึ้นจิบอีกครั้งพลางรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาจากคนข้างกาย เขาไม่ได้ใสซื่อจนไม่รู้ว่าสายตาร้อนแรงแบบนั้นของจ้าวถิงเกอหมายความว่าอย่างไร สัญชาตญาณลึกๆ เตือนว่าจ้าวถิงเกอไม่ธรรมดา และเขาเองก็ยังไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัวในตอนนี้เช่นกัน

“ผมจะกลับแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิครับ จะรีบไปไหนล่ะ” จ้าวถิงเกอไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มยังถือวิสาสะยึดข้อมือของไป๋เฟิงอี๋เอาไว้อีกด้วย ยังไม่ทันที่ไป๋เฟิงอี๋จะพูดอะไร เสียงห้วนกระด้างก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน

“ปล่อยมือ!” วินาทีที่หันไปสบตากับผู้มาใหม่ เพียงแค่เห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร หัวใจของไป๋เฟิงอี๋กลับเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อเห็นว่าจ้าวถิงเกอไม่ยอมปล่อยมือจากไป๋เฟิงอี๋ง่ายๆ เสียงทุ้มจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นดังขึ้นตัดกับเสียงเพลงฮิปฮอปเร้าอารมณ์ในคลับ น้ำเสียงทุ้มต่ำเน้นย้ำในทุกคำที่เอ่ย “ผมบอกให้ปล่อยมือน้องชายผม”

นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เฟิงอี๋ถึงกับนิ่งงัน...

เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินหรงหยางเซิงเรียกเขาว่าน้องชาย...

“อ้อ ที่แท้ก็คุณชายหรงนี่เอง” จ้าวถิงเกอยักไหล่เมื่อเห็นว่าหรงหยางเซิงกำลังบีบต้นแขนเขาแน่น พยายามให้เขาปล่อยมือจากไป๋เฟิงอี๋ เนื่องจากไม่อยากมีเรื่องกับคนตระกูลหรง จ้าวถิงเกอเลยจำต้องปล่อยมือจากไป๋เฟิงอี๋อย่างเสียไม่ได้ แววตามีร่องรอยของความเสียดายอย่างไม่คิดปิดบัง

ไป๋เฟิงอี๋ถอนหายใจบาง ชายหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนที่เพิ่งออกตัวว่าเป็นพี่ชายเขา ใบหน้าหรงหยางเซิงราบเรียบ ช่างขัดกับน้ำเสียงเมื่อสักครู่ที่ใช้ข่มขู่จ้าวถิงเกออย่างลิบลับ

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ขอตัวก่อน” พูดจบหรงหยางเซิงก็ดึงมือไป๋เฟิงอี๋ให้มากับตน ทิ้งให้จ้าวถิงเกอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา



หรงหยางเซิงกึ่งจูงกึ่งลากไป๋เฟิงอี๋มายังด้านหลังของคลับที่เชื่อมกับทางหนีไฟ ไป๋เฟิงอี๋พยายามสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่หรงหยางเซิงไม่ยอมง่ายๆ แถมยังแกล้งกำข้อมืออีกฝ่ายให้แน่นยิ่งกว่าเดิม

“เพิ่งกลับมาไม่ทันไรก็หว่านเสน่ห์ไปทั่วเลยนะ” หรงหยางเซิงเริ่มบริภาษไป๋เฟิงอี๋ด้วยแววตาคมกริบ ทว่าอีกฝ่ายกลับยักยิ้มแบบไม่ยี่หร่ะ

“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย”

“ยังจะปฏิเสธอีก” หรงหยางเซิงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไป๋เฟิงอี๋ถึงยังคงชอบยั่วโมโหเขาไม่เลิก ท่าทางยิ้มแย้มเป็นมิตรของไป๋เฟิงอี๋ที่มีให้กับจ้าวถิงเกอเมื่อสักครู่ทำให้เขาไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้เลย

“ถ้านายอารมณ์เสีย ก็อย่ามาพาลลงที่ฉัน” ไป๋เฟิงอี๋ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ หรงหยางเซิงมาโผล่ที่เมืองนี้ได้ยังไง ถึงฝ่ายนั้นจะมาทำธุระก็ดี หรือจะมาเที่ยวก็ช่าง แต่ก็ไม่ควรมาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขากับจ้าวถิงเกอยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรเสียหายเสียหน่อย

“อย่าไปยุ่งกับพวกตระกูลจ้าว”

“คุณจ้าวก็ดูเป็นคนกว้างขวาง อัธยาศัยก็ใช้ได้ การคบหาเพื่อนฝูงเยอะๆ เพื่อเสริมสร้างคอนเน็คชั่นมันผิดตรงไหนล่ะ”

“ไม่ใช่กับจ้าวถิงเกอ”

“เพราะอะไร” นี่ถ้าเขาไม่อธิบาย ไป๋เฟิงอี๋จะไม่ยอมฟังที่เขาพูดเลยใช่ไหม “บอกมาสิว่านายมีเหตุผลอะไรที่ห้ามฉันคบหากับคุณจ้าว” ไป๋เฟิงอี๋มองหน้าหรงหยางเซิงเป็นเชิงท้าทาย เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะให้อีกฝ่ายมาบงการชี้นิ้วสั่งได้ตามใจชอบ แต่ก่อนหรงหยางเซิงชอบพูดเองว่าขอให้เขาต่างคนต่างอยู่ แต่ทำไมตอนนี้อีกฝ่ายกลับกลืนคำพูดตัวเองเสียล่ะ

“ตระกูลจ้าวเป็นคู่แข่งธุรกิจของเรา ความสัมพันธ์ของสองตระกูลไม่ได้ดีนักหรอกนะ”

“แล้วยังไงอีก”

“ยังมีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับหมอนั่น” คราวนี้หรงหยางเซิงเปลี่ยนเป็นจ้องหน้าไป๋เฟิงอี๋เขม็ง

“ข่าวลืออะไร” ท่าทางของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ยิ่งอยากรู้

“ก็ข่าวลือว่า... เอ้อ... จ้าวถิงเกอเป็นพวกมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน”

“อ้อ เพราะแบบนี้เองน่ะเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋หยักยิ้มมุมปาก “ขอบคุณที่อุตส่าห์เตือน... แต่ไม่จำเป็น”

“ไป๋เฟิงอี๋!”

“นายคงลืมไปว่าฉันเองก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่นายกล่าวหาคุณจ้าวสักเท่าไหร่”

“นั่นสินะ คนประเภทเดียวกันก็เหมาะสมกันแล้ว” หรงหยางเซิงพยายามข่มความหงุดหงิดเอาไว้ในใจ แต่ในเมื่อไป๋เฟิงอี๋เล่นไม่ฟังกันขนาดนี้ ไม่มีประโยชน์ที่เขาต้องพูดอะไรอีก “ขอโทษด้วยที่มารบกวนการบริหารเสน่ห์ของนาย” เขาอุตส่าห์หวังดีไม่อยากให้ไป๋เฟิงอี๋โดนฝ่ายนั้นหลอกเอาเปรียบ แต่ถ้าไป๋เฟิงอี๋เต็มใจเองแล้วเขาจะไปทำอย่างไรได้ พูดจบหรงหยางก็เซิงหมุนตัวเดินไปจากตรงนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด ทิ้งให้ไป๋เฟิงอี๋ครุ่นคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองเงียบๆ


คืนนั้นมีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ โทรมาหาไป๋เฟิงอี๋ที่เบอร์ส่วนตัว ปกติถ้าหากลูกค้าต้องการติดต่อเรื่องงานกับเขา พวกนั้นจะติดต่อผ่านเบอร์ของเหลายี่ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว ไป๋เฟิงอี๋ชั่งใจอยู่นานว่าจะรับสายดีหรือไม่ สุดท้ายชายหนุ่มก็กดตัดสายทิ้ง นึกมั่นใจเกินครึ่งว่าปลายสายที่โทรเข้ามาคงจะเป็นจ้าวถิงเกอคนนั้น

การที่ไป๋เฟิงอี๋ไม่ยอมรับโทรศัพท์ไม่ทำให้จ้าวถิงเกอละความพยายาม วันรุ่งขึ้นเมื่อไป๋เฟิงอี๋เพิ่งเสร็จจากงานโชว์ตัวที่ห้างสรรพสินค้าก็พบว่าฝ่ายนั้นกำลังรอเขาอยู่ที่ห้องแต่งตัวด้านหลังเวที
   
“เมื่อวานคุณไม่รับโทรศัพท์ผม” จ้าวถิงเกอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีวี่แววความไม่พอใจใดๆ ทั้งสิ้น

“มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ” ไป๋เฟิงอี๋ไม่อ้อมค้อม ชายหนุ่มมองดอกไม้ช่อโตที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ตรงหน้า มอง... แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ
   
“ผมมาแสดงความยินดีกับคุณ เมื่อกี้ผมดูอยู่ด้านนอก คุณพรีเซ้นท์สินค้าได้ยอดเยี่ยมมาก” ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยขอบคุณก่อนทำท่าจะเดินเลี่ยงไปเปลี่ยนชุด คำเตือนของหรงหยางเซิงแวบเข้ามาในหัว จ้าวถิงเกอเป็นศัตรูธุรกิจของตระกูลหรง ทางที่ดีเขาควรจะห่างฝ่ายนั้นไว้ ทว่าอีกเสียงหนึ่งในหัวก็ค้านว่าแล้วยังไงล่ะ เขาไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจตระกูลหรงเสียหน่อย ในเมื่อจ้าวถิง เกอมีไมตรีให้ เขาก็ควรถนอมน้ำใจอีกฝ่ายตามสมควร “คุณชายไป๋ไม่ชอบดอกไม้เหรอครับ”
   
“ไม่ใช่อย่างนั้น ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับ” ไป๋เฟิงอี๋คลี่ยิ้มแล้วรับช่อดอกไม้มาถือไว้ ช่อดอกไม้นั้นเป็นกุหลาบสีขาวประดับด้วยดอกไฮเดรนเยียหลากสี ไม่รู้ว่าจ้าวถิงเกอรู้อยู่ก่อนหรือเปล่าว่าไฮเดรียนเยียเป็นดอกไม้ที่เขาชื่นชอบที่สุด
   
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เหลายี่ก็เดินเข้ามาแทรกบทสนทนา ผู้จัดการหนุ่มหรี่ตามองจ้าวถิงเกอเพราะไม่รู้สึกคุ้นหน้ามาก่อน แต่การที่ไป๋เฟิงอี๋ยอมสนทนาด้วยย่อมแสดงว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่แฟนคลับนักแสดงที่ตามมายุ่งย่ามอะไรที่ข้างหลังเวที เหลายี่เดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูไป๋เฟิงอี๋เบาๆ สองสามประโยค ส่วนไป๋เฟิงอี๋ก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
   
“พอดีผมมีนัดคุยงานต่อ ขอตัวก่อนนะครับ”
   
“ตอนแรกคิดว่าหลังจบงานนี้ผมจะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวสักมื้อ น่าเสียดายที่คุณชายไป๋ติดธุระ”
   
“เลี้ยวข้าว... เนื่องในโอกาสอะไรเหรอครับ” ไป๋เฟิงอี๋แกล้งถามไปอย่างนั้น แกล้งทำเป็นเลี้ยงข้าวแล้วหวังจะสานสัมพันธ์ต่อแบบนี้เขาเจอมานักต่อนักแล้ว
   
“ผมอยากขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่คลับ”
   
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยครับ คุณจ้าวไม่ผิดเสียหน่อย อาหยางต่างหากที่วู่วามเกินไป”
   
“ดูท่าทางคุณชายหรงจะหวงน้องชายมาก” เขาแค่คุยกับไป๋เฟิงอี๋ ยังไม่ทันทำอะไรเกินเลยกับคนตรงหน้า หรงหยางเซิงก็ออกอาการหัวเสียเสียงแข็งขนาดนั้น
   
หวงงั้นเหรอ... ดูท่าทางฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจผิดเสียแล้ว คนเย็นชาอย่างหรงหยางเซิงที่ชิงชังเขาเสียจนน้ำหน้ายังไม่อยากมองจะมาเป็นห่วงเป็นใยเขาทำไมกัน
   
“ไม่หรอกครับ” ไป๋เฟิงอี๋ตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็ว “ผมต้องไปแล้ว ขอบคุณอีกครั้งสำหรับดอกไม้”
   
“เจอกันครั้งหน้าคุณชายไป๋คงจะให้เกียรติไปทานอาหารกับผมสักมื้อนะครับ แล้วถ้าว่างก็... รับสายผมบ้าง” จ้าวถิงเกอยิ้มกว้าง ชวนให้บรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายอย่างประหลาด
   
ไป๋เฟิงอี๋ทั้งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ชายหนุ่มส่งช่อดอกไม้ให้เหลายี่รับไปช่วยถือก่อนจะหมุนตัวเดินนำไปจากตรงนั้น ทิ้งให้จ้าวถิงเกอมองตามด้วยแววตาวาววาม คุณชายรองตระกูลหรงคนนี้บุคลิกน่าค้นหากว่าที่เขาเคยคิดไว้ ไป๋เฟิงอี๋ไม่เหมือนคนอื่นที่เขาเคยผ่านมา ใบหน้างดงามที่ดึงดูดทั้งสตรีและบุรุษชวนให้นึกเสน่หา ยิ่งฝ่ายนั้นเล่นตัว เขายิ่งรู้สึกท้าทายและอยากเอาชนะให้ได้ เวลาที่จ้าวถิงเกอหมายตาใครเป็นพิเศษ เขาไม่มีวันปล่อยให้คนๆ นั้นหลุดรอดมือไปได้อย่างเด็ดขาด ไป๋เฟิงอี๋ก็ไม่ใช่กรณียกเว้น!


Aislin: สวัสดีค่ะ มาอัพนิยายให้แล้วเน้อ หวังว่าคงไม่รอกันนาน ^^ ตอนนี้อาหยางก็ออกอาการหึงบ้างแล้ว จริงๆ ก็แอบมองเค้าอยู่ แต่คนมันปากแข็งอ่าเนอะ ฮาๆๆ ส่วนจ้าวถิงเกอก็รุกเสียเหลือเกิน เรื่องจะดำเนินต่อไปยังไง รอติดตามอ่านนะคะ วันนี้ขอลาไปก่อน ง่วงนอนมากมาย แห่ะๆ

ปล. ใครขี้เกียจรอเราอัพ สามารถไปตามอ่านได้ใน readAwrite หรือเว็บ Dek-d นะคะ ในนั้นอัพจนจบแล้ว ลอง search จากชื่อเรื่องได้เลยค่ะ แล้วถ้าหากใครสนใจแบบรูปเล่มก็ไปลงชื่อรอกันได้โลดดด

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 14: The first one and only

รถยนต์ของเหลายี่แล่นมาจอดเทียบที่หน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของตระกูลหรง ตึกสูงที่กรุด้วยกระจกแก้วนิรภัยดูโดดเด่นท่ามกลางสิ่งก่อสร้างอื่นที่อยู่บริเวณโดยรอบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบกระวีกระวาดมาเปิดประตูรถให้ ไป๋เฟิงอี๋ลงจากรถแล้วก้าวเข้าไปในอาคารพร้อมกับเหลายี่ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้อง พนักงานหญิงหลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเขา เสียงซุบซิบด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นโดยรอบ ส่วนใหญ่เท่าที่จับความได้เร็วๆ ก็คือทุกคนกำลังสงสัยว่าไป๋เฟิงอี๋มาที่นี่ได้อย่างไร ดูท่าทางพวกพนักงานคงยังไม่รู้ว่านักแสดงที่กำลังโด่งดังและได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลานี้ก็คือคุณชายรองตระกูลหรงนั่นเอง

ไป๋เฟิงอี๋และเหลายี่ขึ้นลิฟต์พิเศษเพื่อตรงไปยังห้องผู้บริหารระดับสูง วันนี้บิดาบุญธรรมเรียกให้เขามาพบที่บริษัทเพื่อคุยรายละเอียดกับทีมงานที่รับผิดชอบโปรเจ็กส์คอนโดมิเนียมที่เขารับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ และเมื่อมาถึงตามนัดหมาย ไป๋เฟิงอี๋จึงพบว่านอกจากบิดาบุญธรรมแล้ว ในห้องนั้นยังมีหรงหยางเซิงและทีมงานอีกเกือบสิบชีวิตที่เขาไม่ทราบชื่อ เมื่อไป๋เฟิงอี๋นั่งลงเรียบร้อยแล้ว หรงหยางเค่อก็เริ่มเข้าเรื่องทันที

“ขอบคุณมากนะอาเฟิงที่รับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทของเรา”

“ถ้าผมพอช่วยอะไรได้ ผมก็ยินดีครับคุณพ่อ” ไป๋เฟิงอี๋เห็นจากหางตาว่าริมฝีปากของหรงหยางเซิงที่นั่งอยู่ที่โซฟาฝั่งตรงข้ามเขาเปลี่ยนเป็นเหยียดยิ้ม

“ได้อาเฟิงมาช่วยงาน รับรองว่ายอดขายโครงการนี้พุ่งกระฉูดแน่ๆ จริงไหมอาหยาง” หรงหยางเค่อหัวเราะเสียงดัง พลางหันไปขอเสียงสนับสนุนจากบุตรชายแท้ๆ

“ไม่ทราบสิครับ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี เงินในกระเป๋าน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญมากกว่าหน้าตาพรีเซ็นเตอร์สินค้า” หรงหยางเค่อหันไปใช้แววตาตำหนิลูกชาย จริงอยู่ว่าที่หรงหยางเซิงพูดมานั้นไม่ผิด แต่ก็ควรจะไว้หน้าไป๋เฟิงอี๋บ้าง

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะยังต้องเสียเงินจ้างพรีเซ็นเตอร์ไปทำไมล่ะ สู้เอาค่าตัวที่จ่ายให้ฉันไปลดราคาให้ลูกค้าไม่ดีกว่าเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋ย้อนเข้าให้ ชายหนุ่มกอดอกพิงพนักโซฟาตัวกว้างแล้วสบตากับหรงหยางเซิงอย่างท้าทาย เรื่องธุรกิจเขาอาจจะสู้หรงหยางเซิงไม่ได้ แต่เรื่องตีฝีปาก เขามั่นใจว่าไม่เป็นรอง

“เอาล่ะๆ สองคนนี้เลิกทะเลาะกันเป็นเด็กๆ เสียที” หรงหยางเค่อรีบหยุดสงครามน้ำลายที่ทำท่าจะปะทุขึ้นเนืองๆ เจ้าสัวชราหันไปทางไป๋เฟิงอี๋ “เดี๋ยววันนี้ทีมงานจะบรีฟงานทั้งหมดให้ฟังคร่าวๆ ถ้าหากตกลงกันได้ตามนี้ เดี๋ยวพ่อจะให้เจ้าหน้าที่ส่งร่างหนังสือสัญญาจ้างไปให้ต้นสังกัดของอาเฟิงลงนามเป็นหลักฐานร่วมกัน”

ไป๋เฟิงอี๋กับเหลายี่พยักหน้ารับทราบ หลังจากนั้นทีมงานก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับโปรเจ็กส์คอนโดมิเนียมแห่งใหม่ให้ชายหนุ่มฟังอย่างละเอียด รวมถึงแผนงานเปิดตัวเขาในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์สินค้า

ไป๋เฟิงอี๋ตั้งใจฟังสลับกับสอบถามเป็นระยะเมื่อไม่เข้าใจตรงจุดไหน ท่าทางเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานช่างแตกต่างจากสีหน้ายียวนเมื่อครู่อย่างลิบลับ ยิ่งคุยกันไปเรื่อยๆ หรงหยางเซิงก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมไป๋เฟิงอี๋ถึงเป็นนักแสดงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากหน้าตากับบุคลิกภายนอกอันโดดเด่น ความมุ่งมั่นในการทำงานก็ล้วนมีส่วนทำให้ไป๋เฟิงอี๋ขึ้นแท่นลูกรักในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่เจ้าพ่อธุรกิจหลายรายเรียกใช้บริการ

“นายว่ายังไงบ้างอาหยาง” เสียงไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อสักครู่

“ว่ายังไงนะ”

“คุณเกาบอกว่าปกติบริษัทจะเน้นโปรโมตโครงการผ่านโทรทัศน์ โบร์ชัวหรือบิลบอร์ด ฉันจึงเสนอเพิ่มว่าบริษัทน่าจะลองเน้นการโปรโมตทางอินเทอร์เน็ตด้วย เพราะต้นทุนโดยรวมจะถูกกว่าการเช่าโฆษณารายนาทีตามสื่อต่างๆ ทุกคนเลยอยากถามความเห็นนาย” ไป๋เฟิงอี๋ไม่ใช่คนทำงานหยาบๆ ตรงข้ามชายหนุ่มกลับใส่ใจในรายละเอียดและคอยเสนอแนะในบางจุดโดยอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาของตน ซึ่งหรงหยางเซิงยังอดยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น  เมื่อเห็นสายตาทุกคู่กำลังจับจ้องมาที่ตน หรงหยางเซิงก็กลับคืนสู่โหมดเป็นการเป็นงานอย่างรวดเร็ว

“ฉันเห็นด้วยนะ การโปรโมตผ่านอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มลูกค้าวัยเริ่มต้นทำงานได้ตรงจุดมากขึ้น งานวิจัยหลายแห่งชี้ว่ากลุ่มคนที่อายุยังน้อยพวกนี้มักใช้เวลากับการท่องโลกออนไลน์มากถึงราวเจ็ดชั่วโมงต่อวัน ถ้าหากเราซื้อโฆษณากับพวกบริษัทมาร์เก็ตติ้งออนไลน์ แล้วยิงแอดโฆษณาซ้ำๆ เพื่อให้ลูกค้ามีภาพจำโครงการของเรา เวลาที่เราทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ลูกค้าก็คงตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”

“ถ้าอาหยางเห็นด้วยก็ตกลงตามนี้” หรงหยางเค่อค่อนข้างให้อิสระหรงหยางเซิงในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในเมื่อเขาวางใจให้ลูกชายดูแลรับผิดชอบโครงการนี้ ดังนั้น เขาก็ควรจะปล่อยให้หรงหยางเซิงแสดงความสามารถให้เต็มที่ “ถัดจากเรื่องแผนประชาสัมพันธ์ ยังมีเรื่องอื่นที่จะต้อง...”

เสียงเคาะประตูห้องทำงานของประธานบริษัทดังขึ้นสามครั้ง หรงหยางเค่ออนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ ผู้มาใหม่เป็นคือเลขาฯ ส่วนตัวของหรงหยางเค่อที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เลขาฯ คนสนิทกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเจ้านาย สิ่งที่ได้ยินทำให้หรงหยางเค่อมีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ชายชราหันไปบอกหรงหยางเซิงกับไป๋เฟิงอี๋ให้คุยงานกันต่อได้เลย ส่วนตนขอตัวไปจัดการเรื่องสำคัญก่อน

หรงหยางเซิงไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้บิดาของเขาโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี ปกติถ้าเป็นเรื่องงาน ผู้เป็นบิดาจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีเสมอ ดูท่าวันนี้คงมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้นเป็นแน่

“ถ้าอย่างนั้นเราคุยเรื่องรายละเอียดการถ่ายภาพนิ่งกับคลิปเพื่อโปรโมตตามสื่อโฆษณาต่อดีไหมครับ” เกาเสิ่น ผู้ช่วยของหรงหยางเซิงเสนอขึ้น ทุกคนในห้องจึงกลับมาสนใจประเด็นที่คุยค้างไว้ก่อนหน้านี้ กว่าจะเลิกประชุม ดวงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว


ด้วยความที่ต้องไปร่วมงานเปิดตัวสินค้าตั้งแต่เช้า ตอนบ่ายยังต้องเข้ามารับบรีฟงานที่บริษัท ทำให้ร่องรอยความเหนื่อยล้าปรากฏชัดบนใบหน้าของไป๋เฟิงอี๋ ระหว่างที่กำลังยืนรอคนขับรถอยู่ที่ด้านหน้าอาคารกับเหลายี่ รถสปอร์ตยี่ห้อออดี้สีน้ำเงินมันปลาบก็แล่นเข้ามาเทียบก่อนกระจกฝั่งคนขับจะถูกลดลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมของหรงหยางเซิง

“ขึ้นมาสิ ฉันกำลังจะกลับบ้าน”

ไป๋เฟิงอี๋นึกว่าตัวเองหูฝาดไป ชายหนุ่มขยับปากจะถาม แต่อีกฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน

“ฉันมีธุระจะพูดด้วย” ไป๋เฟิงอี๋หันไปคุยกับเหลายี่สองสามประโยคก่อนตัดสินใจเปิดประตูขึ้นไปนั่งคู่คนขับ จากนั้นรถสปอร์ตราคาแพงก็แล่นจากไปโดยมีเหลายี่มองตามพลางอมยิ้มนิดๆ

ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว เขาเคยคุยเปิดใจเรื่องความรักกับนักแสดงที่เขาต้องรับหน้าที่ดูแล จึงพอจะรู้เรื่องราวในอดีตระหว่างไป๋เฟิงอี๋กับหรงหยางเซิงมาบ้าง เท่าที่จำได้ ไป๋เฟิงอี๋เล่าว่าหรงหยางเซิงชอบวางท่าปั้นปึ่งเย็นชา แถมยังตั้งแง่รังเกียจไป๋เฟิงอี๋กับมารดาเพราะฝังใจว่าทั้งคู่เป็นต้นเหตุการเสียชีวิตของมาดามหรงคนก่อน ดังนั้น วันนี้ที่หรงหยางเซิงยอมให้ไป๋เฟิงอี๋โดยสารรถกลับคฤหาสน์ตระกูลหรงพร้อมกันออกจะผิดวิสัยไปสักหน่อย ถ้าหากไม่รู้ว่าเพราะต้องการปรึกษาเรื่องสำคัญ เหลายี่คงคิดไปว่ากำแพงน้ำแข็งในใจของคุณชายหรงคงกำลังถูกใครบางคนสั่นคลอนอยู่กระมัง



ภายในรถเงียบสนิท หรงหยางเซิงไม่ได้เปิดเพลงฟัง เพียงแค่เหยียบคันเร่งพารถสปอร์ตคู่ใจทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ เป็นไป๋เฟิงอี๋ที่เริ่มทนความอึดอัดแบบนี้ไม่ไหว ชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ไหนว่ามีธุระจะคุยกับฉันไง” ไป๋เฟิงอี๋หันไปมองหรงหยางเซิง ใบหน้าชายหนุ่มยังคงเรียบเฉยคล้ายว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด

“อาหยาง”

“หิวไหม”

“ฮะ!” ไป๋เฟิงอี๋คาดเดาอารมณ์ของหรงหยางเซิงไม่ถูก นี่อีกฝ่ายเป็นอะไรกันแน่ ทำไมวันนี้ถึงได้ทำตัวแปลกๆ “นาย... เอ่อ... ว่ายังไงนะ”

“ไปกินข้าวก่อน แล้วเราค่อยคุยธุระกัน” หรงหยางเซิงไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถามอะไรเพิ่มเติม ชายหนุ่มเลี้ยวรถไปอีกทางซึ่งไม่ใช่เส้นทางปกติที่ใช้กลับคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋ถอนหายใจ ถึงจะถามอะไรออกไป หรงหยางเซิงก็คงไม่ยอมบอกอะไรอยู่ดี สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือการนั่งสงบปากสงบคำไปตลอดทางเท่านั้น

สถานที่ที่หรงหยางเซิงพามาก็คือร้านอาหารญี่ปุ่นแถบชานเมืองที่คนไม่พลุกพล่าน ชายหนุ่มเลือกใช้บริการห้องอาหารสำหรับเจรจาธุรกิจที่ผนังทั้งสี่ด้านปิดทึบ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว ไป๋เฟิงอี๋ลอบระบายลมหายใจแผ่ว นึกขอบคุณหรงหยางเซิงในใจที่เลือกห้องนี้ เพราะถ้าหากจองเป็นโต๊ะธรรมดา เขากับฝ่ายนั้นคงได้กลายเป็นเป้าสายตาของแขกที่กำลังรับประทานอาหารในร้านอย่างแน่นอน อีกอย่างคือเขาขี้เกียจหลบกล้องของพวกปาปารัซซี่ที่หวังแอบถ่ายเอารูปเขาไปโพสขายหากำไรกับพวกแฟนคลับทางอินเทอร์เน็ต

อาหารที่สั่งไปมาเสริ์ฟเรียบร้อยแล้ว ไป๋เฟิงอี๋ยกแก้วเบียร์เย็นๆ ขึ้นจิบอึกใหญ่ พลางเหลือบตามองหรงหยางเซิงที่ยังไม่แตะต้องแก้วเบียร์ที่เขารินส่งให้แม้แต่น้อย

“ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

“ฉันต้องขับรถ” ไป๋เฟิงอี๋ยักไหล่และไม่คะยั้นคะยออะไรอีก

“ตกลงนายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันกันแน่ เอ... อย่าบอกนะว่าแกล้งพูดไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วนายแค่อยากหาข้ออ้างมาดินเนอร์สองต่อสองกับฉันต่างหาก” สองประโยคสุดท้าย ไป๋เฟิงอี๋พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทว่าใบหน้าของหรงหยางเซิง กลับไม่มีร่องรอยของความล้อเล่น “ก็ได้ๆ ไม่เห็นต้องทำท่าทางซีเรียสขนาดนั้นเลย” ไป๋เฟิงอี๋เปลี่ยนน้ำเสียงให้เป็นการเป็นงานมากขึ้น

“พ่อบอกนายเรื่องหุ้นหรือยัง”

“หุ้นอะไร” สีหน้าฉงนของคู่สนทนาทำให้หรงหยางเซิงเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงยังไม่รู้เรื่องนี้

“พ่อเคยพูดเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าถ้าหากนายกลับจากเมืองนอกเมื่อไหร่ก็จะโอนหุ้นบริษัทจำนวนหนึ่งให้เป็นของขวัญ”

“แล้วยังไง” ไป๋เฟิงอี๋ก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหล่ะ

“ถ้าหากพ่อโอนหุ้นบางส่วนที่กำลังถืออยู่ให้นาย สัดส่วนผู้ถือหุ้นก็อาจมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะตามมาก็คือการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างอำนาจในบอร์ดบริหาร” หรงหยางเซิงพูดมาถึงตรงนี้ ไป๋เฟิงอี๋ถึงแม้ไม่ได้เก่งกาจเรื่องธุรกิจการค้านักก็พอจะนึกเดาได้ หากผู้ถือหุ้นใหญ่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่แน่ว่าตระกูลหรงอาจตกที่นั่งลำบาก

“แต่เท่าที่ฉันพอจับความได้จากการประชุมเมื่อกี้ก็คือจะมีการเปิดขายหุ้นเพิ่มทุนล็อตใหม่นี่นา” ตอนประชุมงานกันที่บริษัท จำได้ว่าทีมงานคนหนึ่งแจ้งว่าเงินทุนส่วนที่นำมาใช้โปรโมตและลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ส่วนใหญ่จะมาจากการออกหุ้นเพิ่มทุน

“นั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา” ไป๋เฟิงอี๋นิ่วหน้า เขายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เท่าใดนัก แล้วการที่บิดาบุญธรรมจะมอบหุ้นจำนวนนิดๆ หน่อยๆ ให้เป็นของขวัญกับเขา ทำไมหรงหยางเซิงจะต้องร้อนใจขนาดนี้ เท่าที่เขารู้มา ฝ่ายนั้นถือหุ้นบริษัทในสัดส่วนที่สูงพอตัว หรือกลัวว่าเขาจะไปแย่งงานฝ่ายงั้น?

“ปกติการออกขายหุ้นเพิ่มทุนจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสิทธิ์ซื้อก่อน แต่ว่า... บอกนายตามตรง ด้วยสถานะการเงินของเราในตอนนี้เกรงว่าคงยากที่รักษาสัดส่วนและโครงสร้างอำนาจการบริหารให้เหมือนเดิม”

“หมายความว่ายังไง”

“ช่วงที่ผ่านมา บริษัทประสบปัญหาหลายครั้ง ทั้งปัญหาภายในและภายนอก พ่อเลยต้องใช้เงินทุนส่วนตัวเพื่อประคองสภาพคล่องภายในบริษัทเอาไว้ เรื่องนี้น้อยคนที่รู้ แต่วันนี้ฉันจำเป็นต้องบอกนาย” หรงหยางเค่อเริ่มสร้างตัวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก่อนจะขยับขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ ถึงกระนั้น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ยังเป็นธุรกิจหลักที่เปรียบเสมือนชีวิตและลมหายใจของหรงหยางเค่อ และต่อให้บริษัทประสบปัญหาร้ายแรงแค่ไหน แต่หรงหยางเค่อก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้บริษัทนี้ล้ม

“เอาเถอะ ถ้าหากพ่อจะเซ็นโอนหุ้นให้ฉันจริงๆ ฉันจะปฏิเสธท่านเอง” ท่าทางเข้าใจสถานการณ์และพร้อมช่วยเหลือโดยไม่อิดออดของไป๋เฟิงอี๋ทำให้เป็นครั้งแรกที่หรงหยางเซิงรู้สึกขอบคุณฝ่ายนั้นจากใจจริง ชายหนุ่มมองไป๋เฟิงอี๋ที่มีท่าทางสบายๆ แล้วก็พรูลมหายใจยาว

“แม้นายจะยอมปฏิเสธหุ้นจำนวนนั้น แต่ว่าสิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือตอนรอบเปิดขายหุ้นให้คนทั่วไปต่างหาก” ไป๋เฟิงอี๋นิ่วหน้า ชายหนุ่มวางตะเกียบที่กำลังคืบซูชิในมือลงกับจานตามเดิม หากมีการเปิดขายหุ้นให้สาธารณชนตามที่หรงหยางเซิง บอกล่ะก็... หรือว่า...

“นายอยากให้ฉันทำยังไงกันแน่” ไป๋เฟิงอี๋สบตากับหรงหยางเซิง ดวงตาสีดำสนิทเช่นเดียวกับความมืดมิดยามรัตติกาลกำลังกดดันจนเขาแทบหายใจไม่ออกอยู่นานหลายวินาที ก่อนคู่สนทนาจะเอ่ยออกมาช้าๆ ทว่าชัดถ้อยชัดคำ

“รับหุ้นจำนวนนั้นไว้”

“อาหยาง...”

“แล้วซื้อเพิ่มให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ฉัน...”

“ไป๋เฟิงอี๋... นี่เป็นคำขอร้องครั้งแรกและครั้งเดียวจากฉัน”


Aislin: สวัสดีค่ะ ขออภัยที่หายไปนานนะคะ ช่วงนี้งานค่อนข้างเยอะ เลยไม่ได้ค่อยอัพนิยายเรื่องนี้เท่าไหร่ อีกอย่างคอมเม้นท์น้อยเลยพานหมดแรงอัพ ฮาๆๆๆ ล้อเล่นนะคะ แต่ถ้าหากคอมเม้นท์ให้กันจะมีมากเลย แต่งเอง พูดเอง เออเองมันก็เหงามากๆ อีกอย่างคืออยากทราบฟีดแบ็กนิยายด้วยค่ะ จะได้เอาไปปรับปรุงผลงานต่อในอนาคต ยังไงรบกวนทุกคนหน่อยนะคะ ^^

ปล. นิยายเรื่องนี้จะทยอยเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ยังไงฝากติดตามกันหน่อยน้าาา

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 15: The heirs   

หลังจากกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหรง แม่บ้านก็มาตามหรงหยางเซิงให้ไปพบหรงหยางเค่อที่กำลังรออยู่ที่ห้องทำงาน ไป๋เฟิงอี๋จึงเลี่ยงไปอีกทาง ตั้งใจจะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง แต่ตอนเดินผ่านห้องรับแขกก็พบว่าฮั่วเซียงหลิงกำลังนั่งดูรายการโทรทัศน์อยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นบุตรชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวัน ฮั่วเซียงหลิงก็กวักมือเรียกให้คุยกันก่อน

“ทำไมวันนี้อาเฟิงกลับบ้านเร็ว ปกติแม่ไม่เคยได้เห็นหน้า” ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปกอดมารดาที่อ้าแขนรออยู่ก่อนแล้ว

“ก็เห็นแล้วนี่ครับ”

“ยังจะมาพูดเล่นอีก” ฮั่วเซียงหลิงตบเบาะโซฟาข้างตัวเป็นเชิงว่าให้ผู้เป็นลูกชายนั่งคุยเป็นเพื่อนเธอก่อน “ได้ข่าวว่าอาเฟิงจะมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทของเรา แล้วอาหยางก็เป็นคนดูแลโครงการนี้ใช่ไหม” ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้า

“วันนี้ผมเข้าไปคุยงานที่บริษัทมา อาหยางน่ะ... เขาเก่งมากเลย” ท่าทางเคร่งขรึมจริงจังของหรงหยางเซิงตอนกำลังประชุมงานทำให้ไป๋เฟิงอี๋เผลอจับจ้องฝ่ายนั้นอยู่นาน เท่าที่เขาจับสังเกตได้ หรงหยางเซิงมีลักษณะของความเป็นผู้นำที่ดี ฝ่ายนั้นมีหัวธุรกิจเหมือนกับผู้เป็นบิดา คิดทุกอย่างเป็นเชิงกลยุทธ์ รู้จักปรับเปลี่ยนพลิกแพลงตามสถานการณ์ ถ้าหากว่าหรงหยางเซิงสั่งสมประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจต่อไปเรื่อยๆ รับรองว่าในอนาคตชื่อของฝ่ายนั้นจะต้องติดทำเนียบนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นแน่

ฮั่วเซียงหลิงมองทุกอากัปกริยาของลูกชาย น้ำเสียงไป๋เฟิงอี๋ยามที่เอ่ยถึงหรงหยางเซิงเต็มไปด้วยความชื่นชม เธอรู้ว่าลึกๆ แล้ว ไป๋เฟิงอี๋อยากได้รับการยอมรับจากพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หรงหยางเซิงกับไป๋เฟิงอี๋อายุไล่เลี่ยกัน ความจริงสมควรสนิทสนมกันถึงจะถูก ทว่าความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนักระหว่างเธอกับลูกเลี้ยง ทำให้ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องต่างสายเลือดเข้าขั้นย่ำแย่ตามไปด้วย ฮั่วเซียงหลิงยิ้มแล้วลูบใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นบุตรชายแผ่วเบา

“อาเฟิงของแม่ก็เก่งไม่แพ้กัน” ไป๋เฟิงอี๋คลี่ยิ้มอบอุ่นเสมือนอาทิตย์สาดส่องในฤดูใบไม้ผลิ รอยยิ้มนั้นทำให้ฮั่วเซียงหลิงพลอยยิ้มตามไปด้วย “ยิ้มแบบนี้ใครไม่หลงรักก็บ้าแล้ว” ฮั่วเซียงหลิงแกล้งหยิกแก้มไป๋เฟิงอี๋ทำราวกับฝ่ายนั้นเป็นเด็กอายุสามขวบ

ไป๋เฟิงอี๋หัวเราะเบาๆ ทว่าแววตาแฝงความโศกเอาไว้ชนิดที่ถ้าหากคู่สนทนาไม่สังเกตดีๆ ก็คงมองไม่เห็น หลายคนเคยบอกว่าไป๋เฟิงอี๋เป็นนักแสดงที่ทั้งหล่อเหลาและงดงามในคนเดียวกัน รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้โลกมืดมนสดใสขึ้นทันตา ทว่าใครบางคนที่เขาตั้งใจจะเก็บรอยยิ้มนี้ให้อาจไม่คิดแบบนั้น

“เอ้อ เรื่องที่ขอให้แม่ช่วยฝากเพื่อนลูกเข้าทำงานที่บริษัท พ่อเค้าช่วยจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ” ฮั่วเซียงหลิงขอให้สามีรับจุ้ยฮวาเข้าทำงานในฝ่ายไอทีของบริษัท โดยบอกว่าหญิงสาวเป็นเพื่อนเก่าของไป๋เฟิงอี๋สมัยเรียนมัธยม ซึ่งหรงหยางเค่อก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรอยู่แล้ว

เมื่อรู้ว่าจุ้ยฮวามีงานที่ดีทำ รวมถึงมีเงินเดือนพอกินพอใช้เลี้ยงครอบครัวแบบไม่ขัดสน ไป๋เฟิงอี๋ก็ค่อยเบาใจ สมัยเรียนมัธยมปลาย เขาย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ในช่วงกลางเทอม ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีเพื่อน ก็ได้จุ้ยฮวาคอยช่วยเหลือหลายเรื่อง รวมถึงเคยเป็นที่ปรึกษาหัวใจตอนที่เขายังแอบชอบหรงหยางเซิงอีกด้วย พอตอนนี้หญิงสาวมีปัญหา เขาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายแน่นอน

“อีกเรื่องก็คือ...” ฮั่วเซียงหลิงเว้นจังหวะไปเล็กน้อย นึกชั่งใจว่าจะบอกไป๋เฟิงอี๋ดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ไม่เห็นประโยชน์ของการปิดบังเรื่องนี้ “พ่อเค้าตั้งใจจะโอนหุ้นบริษัทส่วนหนึ่งให้อาเฟิงเป็นของขวัญต้อนรับการกลับจากเมืองนอก” เรื่องที่หรงหยางเซิงพูดกับเขาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเมื่อตอนหัวค่ำแล่นวาบเข้ามาในห้วงความคิด

“ไม่เห็นจำเป็นนี่ครับ ยังไงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งย่ามในบริษัทนั้นอยู่แล้ว”

“ได้ยังไงล่ะ อาเฟิงก็เป็นลูกคนหนึ่งของคุณพ่อ เป็นคุณชายตระกูลหรงเหมือนอย่างอาหยางนะ”

ไป๋เฟิงอี๋นึกอ่อนใจ ชายหนุ่มเข้าใจดีว่ามารดามีปมในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรงหยางเค่อแต่งงานกับมารดาเขาและเชิดชูให้เป็นมาดามหรง ทว่าในสายตาของหรงหยางเซิง มารดาเขาก็ไม่ต่างจากผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งสามีคนอื่น ถึงแม้หรงหยางเค่อจะรับเขาเป็นลูกชายบุญธรรม ทว่าหรงหยางเซิงกลับไม่เคยยอมรับเขาเป็นน้อง หรือแม้กระทั่งยอมรับว่าเขากับมารดาเป็นสมาชิกในครอบครัว ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์อันแสนเปราะบางในครอบครัวตระกูลหรง มารดามักจะเสียกริยาอยู่ร่ำไป

“ก็เป็นแค่ลูกชายบุญธรรม ไม่ได้เป็นลูกชายแท้ๆ เหมือนอย่างอาหยางเสียหน่อย”

“แต่คุณพ่อก็รักอาเฟิงไม่ต่างจากอาหยางนะ เรื่องหุ้น... มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่อาเฟิงสมควรจะได้รับ”

“ถ้าหากสมมติว่าคุณพ่อเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ยังไงคนที่จะเข้ามารับช่วงต่อบริษัทก็ต้องเป็นอาหยางอยู่ดี”

“แม่พูดไปอาเฟิงก็คงไม่เข้าใจหรอก” ไป๋เฟิงอี๋แค่นยิ้ม รอยยิ้มนั้นไม่ได้ฉาบไว้ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนแบบเมื่อสักครู่อีกต่อไป ทำไมเขาจะไม่เข้าใจล่ะ บิดาบุญธรรมคงคิดมาล่วงหน้าแล้วว่ามีหุ้นบริษัทอยู่ในมือ หุ้นจำนวนนั้นจะเป็นตัวบีบให้หรงหยางเซิงต้องเกรงใจเขากับมารดา คราวนี้หรงหยางเซิงที่อดีตเคยแสดงท่าทีต่อต้านเขาสองแม่ลูกมาโดยตลอดก็คงต้องเกรงใจกันมากขึ้น การจะไล่เขากับแม่ออกไปจากตระกูลหรงก็คงทำได้ไม่ง่ายนัก

“เอาเป็นว่าถ้าพ่อเซ็นโอนหุ้นให้เมื่อไหร่ ผมจะรับเอาไว้ก็แล้วกัน” ไป๋เฟิงอี๋ตัดบท ในเมื่อทั้งมารดาและหรงหยางเซิงต่างก็อยากให้เขารับหุ้นจำนวนนั้นจากหรงหยางเค่อ เขาก็จะรับเอาไว้เพื่อความสบายใจของทุกคนก็แล้วกัน



เจ้าสัวหรงหยางเค่อนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะตอนที่หรงหยางเซิงเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน ดูจากสีหน้าผู้เป็นบิดา ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องที่ทำให้ประธานใหญ่ตระกูลหรงโกรธจนหน้าเปลี่ยนสีและผลุนผลันออกไปทั้งที่ยังบรีฟงานไม่เสร็จคงจะต้องเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ๆ

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“อาลี่สร้างเรื่องอีกแล้ว” ชื่อของอาบุญธรรมทำให้หรงหยางเซิงเลิกคิ้ว หรงหยางเค่อถอนหายใจเสียงดังแล้วเล่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นให้ลูกชายฟัง “วันนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารที่เรายื่นเรื่องขอกู้โปรเจ็กส์ไฟแนนซ์มาขอพบพ่อ บอกว่ามีปัญหาเกี่ยวกับยอดจองที่เราส่งหลักฐานประกอบการยื่นกู้”

หรงหยางเซิงลองคิดตาม ปกติเวลาทำเรื่องขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อก่อสร้างโครงการ ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้จะขอดูเอกสารยอดจองเพื่อประเมินว่าหลังจากบริษัทเปิดตัวโครงการไปแล้ว โครงการนั้นๆ มีผู้สนใจจองซื้อจำนวนมากน้อยเพียงใด ยิ่งยอดจองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ธนาคารเพิ่มความมั่นใจในการปล่อยกู้ เพราะอีกนัยหนึ่งคือบริษัทจะมีเงินที่ได้จากการขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมในโครงการนั้นมาจ่ายเงินกู้คืนธนาคารเจ้าหนี้

“ปกติธนาคารจะกำหนดยอดจองขั้นต่ำประมาณสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งบริษัทเราก็ทำเป้าได้ตามนั้นตลอด” หรงหยางเค่อพยักหน้า

“แต่คราวนี้เกิดปัญหากับโครงการอาคารพาณิชย์ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน” คราวนี้เป็นหรงหยางเซิงที่เลิกคิ้ว ชายหนุ่มจำได้ว่าข้อมูลล่าสุดที่เขาได้ฟังมาจากที่ประชุมของบริษัท โครงการอาคารพาณิชย์แห่งนั้นมียอดจองค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ทั้งที่ตอนแรกเขาเองก็ยังกังวลว่ายอดจองอาจจะไม่ถึงเป้าขั้นต่ำที่ตั้งไว้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในขณะนี้

“หรือว่า...” หรงหยางเซิงไม่กล้าพูดต่อ ผู้เป็นบิดาส่งแฟ้มเอกสารในมือให้หรงหยางเซิงรับไปพลิกดู พลางอธิบายคร่าวๆ ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

“อาลี่ทำเอกสารการจองปลอมๆ ขึ้นมา แล้วธนาคารจับพิรุธนี้ได้”

“ว่าไงนะครับ!” การปลอมแปลงเอกสารยื่นกู้ถือเป็นความผิดร้ายแรง ซึ่งธนาคารมีสิทธิ์ระงับขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อได้ทันที โชคดีที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารที่ดูแลเคสนี้คุ้นเคยกับหรงหยางเค่อมานาน ดังนั้น จึงได้นำเรื่องนี้เข้าหารือกับหรงหยางเค่อก่อน ยังไม่ถึงขั้นเสนอกรรมการพิจารณาสินเชื่อของธนาคาร

“แม้ทางเราจะประนีประนอมขอให้ธนาคารเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตและไม่เอาผิดเรื่องนี้ แต่เรื่องเงินกู้ก็ต้องล้มไปโดยปริยาย” นอกจากหรงหยางเค่อจะขอร้องให้ธนาคารไม่เอาผิดบริษัทเรื่องปลอมแปลงเอกสารแล้ว เจ้าสัวชรายังจำใจทำหน้าด้านหน้าทนขอร้องให้ผู้บริหารธนาคารไม่เอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน เพราะจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัทเป็นอย่างมาก

“แล้วคุณอาว่ายังไงบ้าง”

“ฉันเรียกอาลี่มาคุยเรื่องนี้แล้ว อาลี่บอกว่าหลงทำผิดไปชั่ววูบก็เพราะเจตนาดีต่อบริษัท ตอนนี้สภาพคล่องของบริษัทกำลังมีปัญหา ถ้าหากไม่สามารถพึ่งพาเงินกู้จากธนาคารได้ก็คง...”
   
“แต่ก็ไม่ควรจะเอาชื่อเสียงของบริษัทมาเป็นเดิมพันแบบนี้” ชื่อเสียงเป็นหน้าตาของแบรนด์ ถ้าหากเสียไปแล้วก็ยากจะกู้กลับคืนโดยง่าย
   
“แกพูดถูกต้องทุกอย่าง ฉันโมโหมากเลยมีปากเสียงกับอาลี่ของแกไปเมื่อตอนเย็น” หรงหยางเค่อยิ่งพูดก็ยิ่งถอนหายใจด้วยความเครียด “ปัญหาเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือจะทำยังไงให้มีเงินทุนมาเริ่มก่อสร้างโครงการให้ได้ เท่าที่ฉันคิดไว้ เราคงต้องเร่งแผนงานโครงการคอนโดมิเนียมที่แกรับผิดชอบให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ถ้าหากได้อาเฟิงมาช่วยโปรโมตให้ เราจะได้อาศัยเงินจากยอดจองโครงการนั้นมาหมุนโครงการนี้ ประกอบกับเร็วๆ นี้จะมีการออกหุ้นเพิ่มทุน ในระยะสั้นคงพอแก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องไปได้บ้าง”

“เรื่องออกหุ้นเพิ่มทุน พ่อจะไม่ลองคิดดูอีกรอบเหรอครับ” หรงหยางเค่อส่ายหน้า เขารู้ดีว่าลูกชายกำลังกังวลเรื่องโครงสร้างอำนาจภายในบริษัท แต่ปัญหาตอนนี้หากปล่อยไว้จะยิ่งแย่ และเขาในฐานะประธานบริษัทคงต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“ฉันคิดมาดีแล้ว เรื่องขายหุ้นเพิ่มทุนยังไงก็ต้องเกิดขึ้น ตอนนี้สิ่งที่แกจะช่วยบริษัทได้ก็คือตั้งใจทุ่มเทกับโปรเจ็กส์คอนโดมิเนียมให้มาก คราวนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับผลงานของแกและอาเฟิงแล้ว”
   
หรงหยางเซิงพยักหน้ารับคำ ดวงตาสีดำสนิททอประกายมุ่งมั่น เขาจะไม่ทำให้ผู้เป็นบิดาผิดหวังเป็นอันขาด!

Aislin: สวัสดีค่ะ วันนี้มาอัพนิยายต่อแล้ว หวังว่าคงไม่รอนานเนอะ ขออนุญาตแจ้งข่าวนิดนึงว่าตอนนี้นิยายเรื่องนี้กำลังเปิด pre-order อยู่ (วันนี้-20 เมษายน 63) ดังนั้นถ้าหากนักอ่านท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดต่อได้ตามลิ้งก์นี้นะคะ Pre-order

ปล. ฝากอุดหนุนผลงานหน่อยนะคะ / ไหว้ย่อ ^^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 16: I can’t stand seeing you in a pain

อีกสองสัปดาห์ถัดมา บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลหรงดำเนินการเปิดขายหุ้นให้กับสาธารณชนหลังจากที่ก่อนหน้านั้นได้เปิดขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมไปก่อนแล้ว วงการตลาดทุนค่อนข้างให้ความสนใจกับการออกหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพราะตระกูลหรงถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งข่าวประชาสัมพันธ์ที่ออกมาล่วงหน้าว่าไป๋เฟิงอี๋ นักแสดงชื่อดังที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์จึงยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้กับหุ้นตัวนี้มากทีเดียว

การถ่ายทำโฆษณาและสื่อต่างๆ เพื่อโปรโมตโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้วเช่นกัน กว่าจะเสร็จสิ้นก็น่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ หยงหยางเซิงละสายตาจากไอแพดในมือแล้วมองไปยังนายแบบร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ทรงทะมัดทะแมงที่กำลังโพสท่าให้กับตากล้องที่รัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง ไป๋เฟิงอี๋รู้จักหามุมและจัดองศาให้เหมาะสมกับรูปหน้าของตน หรงหยางเซิงได้ยินผู้กำกับเอ่ยปากชมชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง ตอนแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกนักแสดงเย่อหยิ่งจองหองที่บ้ายอจากคนรอบข้าง ทว่าไป๋เฟิงอี๋เพียงแค่เอ่ยขอบคุณแล้วหันกลับไปตั้งใจทำงานตามเดิม

“คุณชายหรงครับ หลังจากเปิดขายหุ้นไป หุ้นบริษัทก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาก ราคาจึงเพิ่มสูงค่อนข้างเร็ว” เกาเสิ่นที่เป็นผู้ช่วยของหรงหยางเซิงเปิดไอแพดอีกเครื่องที่มีกราฟราคาหุ้นขึ้นลงแล้วส่งให้หรงหยางเซิงที่รับไปดู

“ราคาหุ้นขึ้นเร็วแบบนี้ เป็นไปได้ไหมว่ามีนักลงทุนบางรายกำลังกว้านซื้อล็อตหุ้นใหญ่”

“เท่าที่ตรวจสอบล่าสุดจากคณะกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ ทางนั้นแจ้งว่ายังไม่พบความผิดปกตินะครับ”
หรงหยางเซิงพยักหน้า แล้วนิ่งคิดอะไรบางอย่างกับตัวเองเงียบๆ ถ้าหากเขาเดาไม่ผิด หรงหยางลี่ผู้เป็นอาก็คงวางแผนจะซื้อหุ้นรอบนี้เช่นกัน แต่จากที่เกาเสิ่นรายงาน ในเมื่อยังไม่มีรายงานการซื้อขายมูลค่าที่สูงผิดปกติ ดังนั้น เป็นไปได้ที่หรงหยางลี่อาจติดขัดเรื่องเงินทุน ทำให้การรวบรวมซื้อหุ้นเพื่อหวังเปลี่ยนทิศทางอำนาจการบริหารบริษัทต้องถูกจำกัดไปด้วย

“ฝากนายตามเรื่องนี้ต่อ ถ้าหากได้รับแจ้งว่ามีความผิดปกติอะไรก็รีบมารายงานทันที” เกาเสิ่นรับคำ 

“เอาล่ะ พักกองครึ่งชั่วโมง” เสียงผู้กำกับดังขึ้น จากนั้นทีมงานก็แยกย้ายกันพัก ไป๋เฟิงอี๋เดินมาขอบคุณผู้กำกับแล้วถามว่าอยากให้ตนแก้ไขหรือเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือไม่ ท่าทางมุ่งมั่นกับการทำงานของคนๆ นั้นทำให้หรงหยางเซิงเผลอยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เกาเสิ่นเรียกชื่อเขา

“น้ำครับคุณชายหรง” หรงหยางเซิงรับขวดน้ำจากเกาเสิ่นที่ยื่นให้ก่อนจะหันไปขอทีมงานเพิ่มอีกขวด แล้วจึงเดินตรงไปหาไป๋เฟิงอี๋ที่กำลังยืนพักอยู่ที่มุมด้านหนึ่งกับเหลายี่

“น้ำหน่อยไหม” ไป๋เฟิงอี๋ช้อนตามองหรงหยางเซิงที่ยื่นขวดน้ำมาตรงหน้าตน นึกแปลกใจกับท่าทีของชายหนุ่ม ปกติหรงหยางเซิงมักวางท่าเฉยชากับเขา แต่ทำไมวันนี้ถึงใจดีเอาน้ำมาให้ด้วยตัวเอง
   
“เอ่อ... ขอบคุณนะครับ” เหลายี่เห็นหรงหยางเซิงยื่นน้ำให้นานแล้ว แต่ไป๋เฟิงอี๋ก็ยังไม่ยอมรับเสียที เขาเลยต้องช่วยออกหน้ารับให้แทน
   
“เรื่องที่เราเคยคุยกัน ฉันจัดการให้แล้ว ไม่ต้องห่วง” ไป๋เฟิงอี๋คิดว่าที่หรงหยางเซิงมาทำดีด้วยเพราะอยากจะรู้ข่าวคราวเรื่องการซื้อหุ้นเพิ่มทุน สำหรับเรื่องนี้ ชายหนุ่มให้เหลายี่ติดตามทิศทางราคาหุ้นโดยตลอด ช่วงไหนที่ราคามีแนวโน้มลดลง เขาก็ให้เหลายี่เข้าไปทยอยซื้อหุ้นโดยใช้ชื่อบัญชีเขา เงินเก็บจำนวนมากที่ลงทุนไปกับการซื้อหุ้นเขาไม่คิดเสียดาย เพราะอย่างน้อยเงินก้อนนี้ก็ยังพอเป็นประโยชน์ต่อบริษัท อีกทั้งหรงหยางเซิงยังออกปากขอร้องด้วยตนเอง เขาต่างหากที่ใจไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธไปแต่แรก
   
“ขอบคุณมาก” ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไป๋เฟิงอี๋คิดว่ายังไงก็คงไม่มีวันได้ยินคำนี้หลุดออกมาจากปากของคนตรงหน้า “นายทำได้ดีทีเดียว” เมื่อเห็นไป๋เฟิงอี๋ขมวดคิ้ว หรงหยางเซิงจึงกระแอมไอ “หมายถึงงานถ่ายแบบเมื่อกี้ ไม่ใช่เรื่องหุ้น”
   
“ก็แน่ล่ะ เป็นอาชีพของฉันนี่นา”

เหลายี่มองหรงหยางเซิงกับไป๋เฟิงอี๋ต่อบทสนทนาไปมาแล้วก็คิดว่าตนคงเป็นส่วนเกิน ดังนั้น จึงหลบฉากตั้งใจจะเลี่ยงไปอีกทาง แต่ครั้นพอเดินห่างออกมาแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องเรียกให้ไป๋เฟิงอี๋ไปแต่งหน้าเพิ่มเพื่อเตรียมถ่ายงานเซ็ตใหม่
เหลายี่จึงหมุนตัวกลับไปทางที่จากมา แต่แล้วสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นว่าเสาไฟสปอร์ตไลต์ขนาดใหญ่ถูกทีมงานคนหนึ่งเดินชนจนเสาเอียงโงนเงนและทำท่าจะล้มมาตรงที่ไป๋เฟิงอี๋ยืนอยู่

“อาเฟิง ระวัง!”

ไป๋เฟิงอี๋หันไปตามสายตาของเหลายี่ จึงได้เห็นว่าเสาไฟสปอร์ตไลท์กำลังเอียงกระเท่เร่มาทางตน ชายหนุ่มยกมือขึ้นบังศีรษะตามสัญชาตญาณพร้อมๆ กับเสียงดังโครมและเสียงร้องตกใจของทีมงานหลายคน

ไป๋เฟิงอี๋ล้มลงไปนอนกับพื้น ตอนแรกเขาคิดว่าคงโดยเสาไฟล้มทับเสียแล้ว ที่ไหนได้กลับมีใครบางคนโถมตัวเข้ามาบังและรับแรงกระแทกจากเสาไฟสปอร์ตไลท์แทนตน ตอนนี้ร่างสูงจึงกำลังอยู่ในท่าคร่อมอยู่เหนือร่างเขา ถ้าหากไม่เห็นแววตาทอประกายเจ็บปวดของฝ่ายนั้น ไป๋เฟิงอี๋คงคิดว่าตนกำลังเข้าฉากโรแมนติกอยู่ในกองซีรีส์เรื่องไหนสักเรื่องเป็นแน่

“อาหยาง นาย...”

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” คำถามแรกของหรงหยางเซิงทำให้เขาอึ้งไป ถ้าเขาตาไม่ฝาด เมื่อสักครู่นี้เขาเห็นแววตาสีดำสนิททอประกายห่วงใยขึ้นมาแวบหนึ่ง

“ฉันว่าคนที่เป็นอะไรน่าจะเป็นนายมากกว่านะ” หรงหยางเซิงยันตัวลุกขึ้นโดยมีทีมงานช่วยประคอง ส่วนไป๋เฟิงอี๋ก็ได้เหลายี่ที่รีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลือ

ผู้กำกับและทีมงานตัวต้นเรื่องรีบเข้ามาขอโทษหรงหยางเซิงกับไป๋เฟิงอี๋ หรงหยางเซิงไม่ได้ต่อว่าอะไร เพียงขอให้คราวหลังทีมงานระวังให้มากกว่านี้ หลังจากนั้นผู้กำกับก็รีบให้คนนำรถออกเพื่อพาหรงหยางเซิงไปทำแผลและตรวจร่างกายเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋จะขอไปด้วยเพราะเป็นห่วงคนเจ็บ แต่หรงหยางเซิงห้ามไว้และบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่เจ็บหลังนิดหน่อยเท่านั้น ขอให้ทุกคนตั้งใจกับการทำงานต่อ ดังนั้น จึงมีเพียงเกาเสิ่นกับทีมงานอีกคนที่พาคนเจ็บไปขึ้นรถที่มาจอดรับอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไรแน่นะอาเฟิง” เหลายี่มองไป๋เฟิงอี๋ด้วยความเป็นห่วง คนถูกถามส่ายหน้าแล้วบอกว่าตนปลอดภัยดี “เมื่อกี้ฉันตกใจแทบแย่ แต่ก็ไม่คิดว่าคุณชายหรงจะเอาตัวเองออกรับแทนนายแบบนั้น”

ไป๋เฟิงอี๋ก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ชายหนุ่มยังสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดแข็งแรงของหรงหยางเซิงเมื่อครู่ แววตาคมกริบคู่นั้นสะท้อนความเป็นห่วงเป็นใยออกมาจนเขารู้สึกได้

“เดี๋ยวเลิกกองแล้ว ผมจะไปเยี่ยมอาหยาง ฝากพี่กับการ์ดช่วยกันพวกแฟนคลับที่มารอด้านนอกสตูดิโอให้ผมด้วยนะ” เหลายี่รับคำก่อนบอกให้ไป๋เฟิงอี๋รีบไปแต่งหน้าเพิ่มเพื่อเตรียมถ่ายภาพนิ่งโปรโมตต่อ หากงานวันนี้เสร็จเร็วก็จะได้ไปเยี่ยมหรงหยางเซิงได้เร็วขึ้นด้วย



หรงหยางเซิงไม่ได้รับบาดเจ็ดอะไรร้ายแรง เพียงแค่หลังเดาะจากการรับแรงกระแทกของเสาไฟที่ล้มลงมาเท่านั้น ดังนั้น หลังจากใส่ยานวดและพันแผลเรียบร้อยแล้ว หมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ตอนที่ไป๋เฟิงอี๋มาถึง หรงหยางเซิงกับเกาเสิ่นก็กำลังจะกลับพอดี ไป๋เฟิงอี๋จึงอาสาพาหรงหยางเซิงกลับคฤหาสน์ตระกูลหรงโดยที่คนเจ็บก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

“นายไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงใช่ไหม” ไป๋เฟิงถามขึ้นระหว่างที่กำลังขับรถกลับบ้าน หรงหยางเซิงที่นั่งคู่คนขับเพียงตอบสั้นๆ ว่าไม่ได้เป็นอะไร ไป๋เฟิงอี๋ถอนหายใจแล้วถาม “ทำไมนายถึงช่วยฉันล่ะ”

หรงหยางเซิงนิ่งไปเพราะก็นึกหาคำตอบดีๆ ให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน เขาไม่ชอบหน้าไป๋เฟิงอี๋ ไม่ชอบท่าทางยียวนกวนประสาทของฝ่ายนั้น แต่ทำไมวันนี้เขาถึงขนาดเอาตัวเข้าไปปกป้องคนที่เขาไม่ชอบเพียงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุ

“ก็คงเหมือนกับที่นายยอมช่วยฉันเรื่องซื้อหุ้น” นี่เป็นเหตุผลเดียวที่หรงหยางเซิงพอจะนึกออกในตอนนี้ ทว่ากลับทำให้คนฟังแค่นเสียงในลำคอ

“แค่ตอบแทนเรื่องหุ้นเท่านั้นเองสินะ” ดวงตากลมโตสีน้ำตาลทอประกายโศก โชคดีที่ภายในรถค่อนข้างมืด อีกฝ่ายจึงไม่ทันสังเกตเห็น หลังจากรออยู่นานแต่หรงหยางเซิงยังคงเงียบ ไป๋เฟิงอี๋เม้มปากแน่น ชายหนุ่มคาดหวังให้หรงหยางเซิงพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนเขาจะหวังมากเกินไปเสียแล้ว

เมื่อมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋จะช่วยประคองหรงหยางเซิงไปพักผ่อนที่ห้องด้านบน แต่อีกฝ่ายปฏิเสธและบอกว่าเขาช่วยเหลือตัวเองได้ หากแต่ไป๋เฟิงอี๋ไม่ยอม ดึงดันจะช่วยเพราะอีกฝ่ายต้องเจ็บตัวคราวนี้ก็เพราะช่วยเขา เมื่อมาถึงหน้าห้องนอนของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋กลับไม่ยอมจากไปง่ายๆ

“ให้ฉันช่วยเปลี่ยนยากับผ้าพันแผลให้ไหม นายทำเองอาจไม่ถนัด”

“ไม่ต้องหรอก ฉันทำเองได้” มีนายอยู่ด้วยจะยิ่งไม่ถนัด หรงหยางเซิงคิดเงียบๆ ในใจ

“ถ้างั้นก็ได้ แต่ถ้าหากนายต้องการความช่วยเหลือก็ตะโกนดังๆ ห้องฉันอยู่ไม่ไกล รับรองว่าได้ยิน” ไป๋เฟิงอี๋ไม่อยากเซ้าซี้ให้หรงหยางเซิงรำคาญใจไปมากกว่านี้ จึงตัดบทบอกให้อีกฝ่ายพักผ่อนให้มากๆ “ถ้าหากพรุ่งนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนไปที่สตูดิโอหรอกนะ ฉันรับปากว่าจะตั้งใจทำงานเป็นอย่างดี ไม่ให้คุณชายหรงที่เป็นหัวหน้าโปรเจ็กส์ผิดหวังแน่นอน” ท้ายประโยคยังแอบประชดประชันหรงหยางเซิงอย่างอดไม่ได้

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

“บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้นายไม่จำเป็นต้อง...” สายตาคมกริบของหรงหยางเซิงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องยอมแพ้ “ตามใจคุณชายหรงก็แล้วกันคร้าบบบบบบบบบบบบบบบ”

ท่าทางทะเล้นของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงหยักยิ้มมุมปาก เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังเสียกริยา ร่างสูงก็รีบดึงรอยยิ้มนั้นกลับแล้วเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง ทว่าเมื่อประตูกำลังจะปิดลง เสียงไป๋เฟิงอี๋ก็ลอดผ่านเข้ามาให้ได้ยิน

“ขอบคุณมากนะอาหยาง”

Aislin: เห็นขรึมๆ ปนเย็นชาแบบนี้ จริงๆ อาหยางก็มีมุมอ่อนโยนนะคะ ^^ เดี๋ยวตอนหน้าจะเป็นจุดพลิกผันจุดหนึ่งของเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามให้ได้เน้อ

   แจ้งข่าวนิดนึงค่ะ ตอนนี้นิยายเรื่องนี้เปิด pre-order แล้วนะคะ วันนี้ – 20 เมษายน 2563 ใครอยากรับอาหยางกับอาเฟิงไปดูแล ติดต่ออ่านรายละเอียเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิ๊ก หรือที่แฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon อีกช่องทางนึงคือทาง Twitter ค่ะ กดไปที่ #รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย ได้เลยจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2020 09:10:30 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 17: Truth or dare


การถ่ายทำโฆษณาโครงการคอนโดมิเนียมผ่านพ้นไปได้ด้วยดีภายใต้การทำงานหนักของทีมงานทุกฝ่าย หลังจากที่เริ่มโปรโมตผ่านสื่อต่างๆ ยอดจองคอนโดมิเนียมก็เพิ่มขึ้นสูงเป็นที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะกระแสความนิยมในตัวไป๋เฟิงอี๋ รวมถึงการออกแบบโครงการที่ดูทันสมัยและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ในราคาที่สามารถเอื้อมถึง ดังนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุน เจ้าสัวหรงหยางเค่อจึงเซ็นอนุมัติให้เริ่มก่อสร้างโครงการได้ทันที


เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จของโครงการที่ถูกจองซื้อจนเกือบหมดทั้งตึก หรงหยางเค่อจึงอนุญาตให้ทีมงานที่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็กส์นี้จัดงานฉลองหลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมาระยะหนึ่ง นอกจากนี้ ยังใจกว้างเปิดบ้านพักตากอากาศส่วนตัวของตระกูลหรงที่เมือง H ให้ทีมงานใช้เป็นสถานที่พักผ่อนเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย

ไป๋เฟิงอี๋มองบรรยากาศงดงามและสงบเงียบของป่าไผ่แล้วเผลอยกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาเที่ยวที่นี่ก็คือตอนสมัยมัธยม แค่ครั้งเดียว... หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้มาอีกเพราะเขาถูกส่งไปเรียนต่อที่อเมริกา ไป๋เฟิงอี๋ชอบสีเขียว สัมผัสเรียบลื่นของปล้องไผ่ทำให้เขารู้สึกใจสงบอย่างประหลาด

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง หรงหยางเซิงนั่นเอง
   
“แล้วนายล่ะ มาทำอะไรตรงนี้ หรือว่า... นายตามฉันมา” ประโยคสุดท้ายไป๋เฟิงอี๋แกล้งถามคนที่ยังทำหน้านิ่ง

“ตรงนี้เป็นทางผ่านจะไปห้องพักของฉัน”
   
“บรรยากาศดีเนอะ นายว่าไหม” หรงหยางเซิงมองไป๋เฟิงอี๋ที่หลับตาลงแล้วสูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด ท่าทางของคนตรงหน้าทำให้หรงหยางเซิงนึกย้อนไปถึงเมื่อหลายปีก่อนที่บิดาพาครอบครัวมาพักผ่อนที่นี่ เขาเห็นไป๋เฟิงอี๋ชอบมาเดินเล่นแถวป่าไผ่ ดูท่าทางฝ่ายนั้นคงชอบจริงๆ
   
“ทีมงานบอกว่าเดี๋ยวจะมีกิจกรรมเล่นเกมตอนบ่ายสี่โมง พวกเค้าอยากให้นายไปร่วมด้วย”
   
“แล้วนายล่ะ... อยากให้ฉันไปร่วมด้วยไหม” ไป๋เฟิงอี๋สบตากับหรงหยางเซิง พยายามค้นหาคำตอบที่แท้จริงภายในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ทว่าหรงหยางเซิงกลับเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน
   
“นายควรเข้าร่วมในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์”
   
“ฉันไม่ได้ถามเรื่องควรหรือไม่ควร แต่ฉันถามว่านายอยากหรือไม่อยากให้ฉัน...” ยังไม่ทันพูดจบ หรงหยางเซิงก็ชิงเดินไปจากตรงนั้นเสียก่อน ปล่อยให้ไป๋เฟิงอี๋มองตามด้วยความรู้สึกโหวงในอกพิลึก
   


ทีมงานจัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในทริปเพื่อไม่ให้การพักผ่อนสองวันหนึ่งคืนน่าเบื่อจนเกินไปนัก หลายเกมสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากไป๋เฟิงอี๋ได้มาก ตั้งแต่เริ่มทำงานในวงการบันเทิง ชายหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตส่วนตัวกลับค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ หลายครั้งที่เขาจำเป็นต้องหัวเราะอย่างฝืนใจ ต้องพยายามมอบความสุขให้คนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความสุขอะไรมากมาย ทุกการกระทำของเขาเสมือนถูกส่องด้วยสปอร์ตไลต์ที่มีสายตาจำนวนมากจ้องจับผิด น้อยครั้งที่เขาจะได้เป็นตัวของตัวเองเช่นในวันนี้

เกมสุดท้ายของวันนี้ก็คือเกมกระโดดขาเดียว ทั้งสองทีมจะต้องส่งตัวแทนมาทีมละสามคน กติกาคือให้ตัวแทนทั้งหมดใส่ชุดตุ๊กตาพลาสติกที่ถูกเป่าลมจนพอง จากนั้นให้แต่ละทีมกระโดดขาเดียวและพยายามชนคู่ต่อสู้ หากทีมใดทำให้คู่ต่อสู้แพ้โดยการเอาขาที่ยกสูงแตะพื้นก่อน ทีมนั้นก็จะชนะและมีสิทธิ์สั่งทำโทษทีมที่แพ้ได้

เป็นอีกครั้งที่ไป๋เฟิงอี๋ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของทีม ชายหนุ่มมองหรงหยางเซิงที่กำลังถูกคะยั้นคะยอจากพวกพนักงานให้ร่วมเล่นเกมด้วยกัน เพราะตั้งแต่เกมแรกจนมาถึงเกมสุดท้ายนี้ หรงหยางเซิงยังไม่ยอมเข้าร่วมด้วยสักเกม เมื่อหมดหนทางปฏิเสธ หรงหยางเซิงจึงจำต้องให้ความร่วมมืออย่างเสียไม่ได้
   
ตัวแทนทั้งหมดหกคนอยู่ในชุดตัวการ์ตูนที่ถูกเป่าจนพองลมเรียบร้อย ไป๋เฟิงอี๋อยู่ในชุดเด็กทารกสีขาวที่ยังต้องใส่ผ้าอ้อม ส่วนหรงหยางเซิงอยู่ในชุดตัวการ์ตูนปีศาจก็อตซิล่าสีเขียวหน้าตาน่ารัก ฝ่ายนั้นตวัดสายตาคมกริบมาจ้องไป๋เฟิงอี๋ที่กำลังทำท่ากลั้นขำอย่างสุดความสามารถ เมื่อเสียงเป่านกหวีดดังขึ้น ทั้งสองทีมก็เริ่มจู่โจมฝั่งตรงข้ามทันที ผ่านไปไม่กี่นาที แต่ละทีมก็เหลือตัวแทนทีมละหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งก็คือหรงหยางเซิงกับไป๋เฟิงอี๋นั่นเอง
   
“เอาล่ะ มาถึงรอบตัดสินแล้ว อย่าลืมนะครับว่าถ้าหากทีมไหนแพ้จะต้องโดนทำโทษโดยทีมที่ชนะ ดังนั้น ขอให้ทั้งคุณชายหรงและคุณชายไป๋พยายามอย่างสุดความสามารถนะครับ”

เสียงนกหวีดของพิธีกรดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเชียร์รอบข้างที่ดังกระหึ่ม หรงหยางเซิงกับไป๋เฟิงอี๋กระโดดเหย็งๆ ขาเดียวพุ่งเข้าหากัน ทั้งคู่เหมือนตุ๊กตาล้มลุกที่ถูกเป่าลมจนอุ้ยอ้าย หรงหยางเซิงฉวยโอกาสตอนที่ไป๋เฟิงอี๋เผลอแล้วพุ่งชนอีกฝ่ายจนเสียหลัก ในที่สุดเท้าของไป๋เฟิงอี๋ก็แตะพื้นก่อน แต่เพราะยังทรงตัวไม่ดี ทำให้ไป๋เฟิงอี๋ออกอาการเซคล้ายจะล้ม ดีที่หรงหยางเซิงยื่นมือไปประคองไว้เสียก่อน

“ขอบใจ” ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยพร้อมมองมือของตนเองที่ยังอยู่ภายใต้การเกาะกุมของหรงหยางเซิง สายตาของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงรู้สึกตัว แล้วจึงรีบปล่อยมือข้างนั้นให้เป็นอิสระ

“สรุปว่าเกมนี้ ทีมของคุณชายไป๋แพ้ ดังนั้นจะต้องถูกทำโทษตามกติกา” เสียงพิธีกรสรุปผลแพ้นะของเกม “ว่าแต่ทีมที่ชนะอยากจะลงโทษทีมที่แพ้ยังไงดีครับ” ทีมงานคนหนึ่งจะเสนอว่าให้เต้นเป็นการลงโทษซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ดังนั้น ไป๋เฟิงอี๋กับเพื่อนร่วมทีมทั้งหมดจึงต้องเต้นตามจังหวะเพลงอย่างเสียไม่ได้ ชุดพองลมอุ้ยอ้ายทำให้เต้นได้ไม่ถนัดนัก แต่ก็ทำให้ดูน่ารักเสียเหลือเกินในสายตาของคนมอง โดยเฉพาะหรงหยางเซิงที่แอบอมยิ้มตรงมุมปาก

ในที่สุดกิจกรรมเล่นเกมสานสัมพันธ์ก็สิ้นสุดลงด้วยความประทับใจ ทีมงานหลายคนเข้ามาขอจับมือและถ่ายรูปคู่กับไป๋เฟิงอี๋ที่อยู่ในชุดตุ๊กตาพองลมน่ารักน่าชัง หลังจากนั้นจึงเป็นเวลาที่ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนส่วนตัว โดยทีมงานแจ้งนัดหมายเวลาทานข้าวเย็นและกิจกรรมในวงเหล้าคืนนี้สำหรับคนที่สนใจ ซึ่งแน่นอนว่าไป๋เฟิงอี๋สนใจเข้าร่วมด้วย


หลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อย ทีมงานบางส่วนก็จับกลุ่มดื่มเหล้าสังสรรค์ที่ลานกว้างของบ้านพัก คืนนี้ไม่มีแสงจากดวงจันทร์ทำให้สามารถมองเห็นดาวระยิบระยับที่ดารดาษบนท้องฟ้ากำมะหยี่สีเข้ม เมื่อไป๋เฟิงอี๋คุยแผนงานสัปดาห์หน้ากับเหลายี่เสร็จ ชายหนุ่มก็ชวนให้ผู้จัดการส่วนตัวออกมาร่วมสังสรรค์ด้วยกัน ทว่าเหลายี่ปฏิเสธเพราะอยากพักผ่อนเงียบๆ ในห้องมากกว่า ดังนั้นไป๋เฟิงอี๋จึงมาคนเดียว ทว่าเมื่อมาถึง กลับพบว่าหรงหยางเซิงก็นั่งรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นด้วย

“อ้าว คุณชายไป๋มาพอดีเลยครับ ทุกคนกำลังถามหาคุณอยู่เลย” เสียงทีมงานเรียกให้เขาเข้าไปนั่งล้อมวง

“นายดื่มด้วยเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋ทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆ หรงหยางเซิง ตั้งแต่รู้จักกันมา ไป๋เฟิงอี๋ไม่เคยเห็นหรงหยางเซิงแตะต้องแอลกอฮอล์ แต่ทำไมวันนี้ชายหนุ่มถึงมาร่วมวงเหล้ากับพวกลูกน้องได้

“เปล่า”

“อ้อ” ไป๋เฟิงอี๋เข้าใจในทันที ที่หรงหยางเซิงมาก็คงเพราะต้องการรักษามารยาท อีกอย่างชายหนุ่มเป็นถึงผู้สืบทอดธุรกิจตระกูลหรง การผูกมิตรกับเหล่าพนักงานก็เป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน

แอลกอฮอล์ถูกส่งเข้าปากของไป๋เฟิงอี๋เรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาระคนห่วงใยของหรงหยางเซิงที่ลอบมองมาบ่อยครั้ง เสียงพูดคุยหัวเราะดังสลับกับเสียงชนแก้ว และเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับค่ำคืนนี้ ทีมงานคนหนึ่งจึงเสนอให้เล่นเกมยอดฮิตประจำวงเหล้า นั่นคือเกม ‘truth or dare’ (จริงหรือกล้า) ซึ่งทุกคนก็ขานรับอย่างครื้นเครงรวมถึงไป๋เฟิงอี๋ กติกาเกมนี้ก็คือถ้าหากขวดเหล้าถูกหมุนไปหยุดที่ตรงหน้าใคร คนนั้นจะต้องเลือกว่าจะพูดความจริง หรือจะใจกล้ารับคำท้าแปลกๆ ของคนในวง หลังจากเสร็จภารกิจ ขวดเหล้าก็จะถูกหมุนต่อไปเรื่อยๆ

เกม truth or dare เริ่มต้นขึ้นและดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน หลายคนเลือกใจกล้าทำพฤติกรรมพิเรนทร์ๆ มากกว่าการยอมเล่าความลับที่เป็นความจริงให้คนอื่นฟัง และคราวนี้ก็วนมาถึงคราวของไป๋เฟิงอี๋จนได้

“จริงหรือกล้า” ใครคนหนึ่งในวงถามขึ้น

“จริง” ไป๋เฟิงอี๋ตอบโดยไม่ลังเล ชายหนุ่มวางแก้วเหล้าในมือลง หลายคนเริ่มคิดหนักว่าจะถามอะไรนักแสดงเจ้าเสน่ห์คนนี้ดี สักพักทีมงานคนหนึ่งก็ถามขึ้นเสียงดัง

“อยากฟังเรื่องความรักครั้งแรกของคุณชายไป๋” เสียงสนับสนุนดังขึ้นรอบวง รอยยิ้มของไป๋เฟิงอี๋กระตุกไปนิดหนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทั้งที่หากโกหกก็คงไม่มีใครจับได้ แต่เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของใครบางคน ไป๋เฟิงอี๋จึงตัดสินใจเล่าความจริง

“รักแรกของผมเกิดขึ้นสมัยเรียนมัธยมปลาย” ทุกคนในวงตั้งใจฟังเรื่องที่ชายหนุ่มกำลังเล่า หรงหยางเซิงก็เช่นกัน “เราเรียนโรงเรียนเดียวกัน อายุเท่ากัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันลิบลับ ผมเป็นคนขี้เล่น เขาเป็นคนเย็นชา ผมเป็นคนเรียนแย่ แต่เขาเป็นนักเรียนตัวอย่าง”

“ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าผู้หญิงคนไหนกันนะที่โชคดีได้รับความรักจากคุณชายไป๋” ทีมงานผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยแซวขึ้นมา ไป๋เฟิงอี๋เพียงยิ้ม แต่ไม่ยอมตอบคำถามนั้น

“ผมชอบ... หรืออาจจะรักเขา... แต่เขากลับเกลียดผม”
   
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกคุณทั้งคู่เหรอครับ” อีกคนถามขึ้น แววตาของทุกคนใคร่อยากรู้เรื่องต่อ แต่ไป๋เฟิงอี๋ชิงตัดบทเสียก่อน
   
“หมดโควตาสำหรับคำถามนี้แล้วครับ” คำตอบนั้นเรียกเสียงโห่ฮาจากทุกคน ยกเว้นหรงหยางเซิงที่ยังมีสีหน้าสงบนิ่ง
   
เกม truth or dare เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และหลังจากนั้นอีกไม่กี่นาน ขวดเหล้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋เฟิงอี๋เป็นรอบที่สอง
   
“จริงหรือกล้า!” แน่นอนว่าไป๋เฟิงอี๋ต้องตอบว่าจริงอยู่แล้ว

“อยากฟังเรื่องความรักของคุณชายไป๋ต่อจากเมื่อกี้” การเล่นเกมนี้เหมือนกับพวกเขาได้สวมบทเป็นนักข่าวถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของนักแสดงดัง ทุกคนต่างใคร่รู้ว่าเรื่องราวความรักในอดีตของไป๋เฟิงอี๋ที่คนหนึ่งรัก คนหนึ่งเกลียด สุดท้ายจะจบลงอย่างไร
   
“ตอนนั้น เพื่อเรียกร้องความสนใจ ผมทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีตัวตนในสายตาของเขา มีครั้งหนึ่งเคยแกล้งเขาจนทำให้ตัวเองต้องเกือบจมน้ำตาย” สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่คนเล่า ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปทรัพย์อย่างไป๋เฟิงอี๋จะเคยมีประสบการณ์รักที่ไม่สมหวังแบบนี้ด้วย “จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมคิดได้ว่าความเจ็บปวดที่สุดที่เกิดจากการรักใครบางคนก็คือการสูญเสียความเป็นตัวเอง และหลงลืมไปว่าตัวเราเองต่างหากที่ต้องการความรักที่สุด”
   
“แล้วตอนนี้คุณยังรักเขาอยู่ไหม” ไป๋เฟิงอี๋เห็นจากหางตาว่ามือคนข้างกายที่กำลังจับแก้วเครื่องดื่มนั้นสั่นเล็กน้อย
   
“หมดโควตาคำถามแล้วครับ” คราวนี้เสียงโห่ฮายิ่งดังกว่าเก่า ไป๋เฟิงอี๋เจ้าเล่ห์จริงๆ ที่ดันหยุดเล่าในช่วงสำคัญที่สุด
   
คราวนี้ เมื่อขวดเหล้าถูกหมุนอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ลุ้นให้ปากขวดมาหยุดตรงหน้าไป๋เฟิงอี๋ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
   
“คราวนี้คุณจะหนีไม่ได้อีกแล้วนะคุณชายไป๋” ทุกคนจับจ้องที่ไป๋เฟิงอี๋อย่างพร้อมเพียง ทว่า...
   
“ผมขอเลือกกล้า!” หลายเสียงถอนหายใจด้วยความผิดหวังไปตามๆ กัน ความรู้สึกของพวกเขาเหมือนกับรถไฟเหาะที่พุ่งขึ้นสูง จากนั้นขบวนรถก็หยุดนิ่งอยู่กับที่แล้วค่อยๆ ไหลลงสู่จุดเดิม
   
ไป๋เฟิงอี๋ถูกปรับด้วยการให้ดื่มเหล้า ชายหนุ่มยกแก้วจรดริมฝีปาก ยังไม่ทันได้กระดกจนหมดแก้ว มือของใครบางคนก็ยึดแก้วเหล้าเอาไว้เสียก่อน
   
“พอเถอะ นายเริ่มเมาแล้ว” ไป๋เฟิงอี๋หรี่ตา ใช่... เขาเริ่มเมานิดๆ แต่ว่าก็ยังคอแข็งพอจะดื่มได้อีกหลายแก้ว ชายหนุ่มทำท่าจะดึงแก้วกลับมา แต่อีกฝ่ายยึดไว้แน่น แถมยังหันไปบอกคนอื่นๆ ในวงให้เลิกดื่มเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว
   
น้ำเสียงกับสายตาที่เปลี่ยนเป็นคมกริบของคุณชายหรงหยางเซิงทำให้วงเหล้าสลายตัวอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันไปมองทางไป๋เฟิงอี๋ที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ตอนนี้ที่ลานกว้างเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน
   
“นายไม่อยากรู้คำตอบของฉันเหรอ” หรงหยางเซิงรู้ดีว่าไป๋เฟิงอี๋พูดถึงเรื่องอะไร ชายหนุ่มถอนหายใจ
   
“จำเป็นด้วยเหรอ”
   
“อาหยาง...”
   
“กลับไปพักผ่อนเถอะ” หรงหยางเซิงทำท่าจะเดินไปจากตรงนั้น แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดรับสาย ไป๋เฟิงอี๋ได้ยินหรงหยางเซิงทักทายอีกฝ่าย เดาว่าน่าจะเป็นเกาเสิ่น “ว่าไงนะ!” เสียงหรงหยางเซิงเริ่มเปลี่ยนเป็นสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
   
“เกิดอะไรขึ้นอาหยาง” ไป๋เฟิงอี๋ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรกันแน่ที่ทำให้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ มือของหรงหยางเซิงกำโทรศัพท์มือถือแน่น ใบหน้าหล่อเหลาที่ปกติแฝงเค้าความเย็นชา ในตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
   
“พ่อ...”
   
“ตั้งสติหน่อยอาหยาง เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ...” ไป๋เฟิงอี๋เริ่มรู้สึกถึงเค้าลางไม่ชอบมาพากล และคำตอบของหรงหยางเซิงก็แทบทำให้เขาสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง
   
“พ่อโดนลอบยิง ตอนนี้อาการสาหัส”


Aislin: สวัสดีค่ะ จบไปแล้วกับตอนที่ 17 เป็นยังไงกันบ้าง เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้วสิ อย่างที่บอกไปนะคะว่าจุดนี้จะเป็นจุดพลิกผันค่อนข้างสำคัญของเรื่อง เดี๋ยวต่อจากนี้เนื้อเรื่องจะค่อยๆ เข้มข้นขึ้นตามลำดับ รับรองว่าถูกใจทุกคนแน่นอน ^^

   ช่วงนี้อิซลินจะอัพนิยายให้ค่อนข้างถี่หน่อย เพราะช่วงนี้ work from home ยังไงอย่าลืมติดตามเกาะขอบจอให้แน่นๆ เด้อ ถ้าหากมีอะไร สามารถทิ้งคอมเม้นท์ไว้ หรือตามไปพูดคุยเม้ามอยกันได้ที่แฟนเพจ หรือทวิตเตอร์ค่ะ (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย)

   ท่านใดสนใจสั่ง pre-order รูปเล่มกดตามลิ้งค์ไปเลยค่ะ คลิ๊ก ในเล่มจะมีเนื้อหาครบทั้งหมดและตอนพิเศษ 3 ตอนที่ไม่ได้ลงเว็บใดๆ รับรองว่าคุ้มค่าที่ซื้อ แค่ปกก็งามแล้ว ไม่เชื่อกดเข้าไปดูได้เล้ยยย !!!


ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 18: What doesn’t kill you makes you stronger


หรงหยางเซิงและไป๋เฟิงอี๋ตัดสินใจเดินทางกลับเมือง S ทันที ตอนแรกหรงหยางเซิงดึงดันจะขับรถเอง แต่เพราะเกรงว่าชายหนุ่มจะคุมสติไม่อยู่เพราะเป็นห่วงบิดา ไป๋เฟิงอี๋จึงไปปลุกเหลายี่จากนิทราเพื่อมาเป็นสารถีให้ ระหว่างทางหรงหยางเซิงโทรอัพเดทอาการของหรงหยางเค่อกับเกาเสิ่นตลอด ได้ความคร่าวๆ ว่าบาดแผลที่โดนยิงนั้นสาหัสเพราะกระสุนโดนอวัยวะสำคัญ ตอนนี้หมอยังไม่ออกจากห้องไอซียู จึงยังบอกรายละเอียดมากไม่ได้ แต่ก็เร่งให้หรงหยางเซิงรีบมาที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
   
เมื่อทั้งสามคนมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าหน้าห้องฉุกเฉิน นอกจากเกาเสิ่นแล้ว ยังมีฮั่วเซียงหลิงที่นั่งรออยู่ ไป๋เฟิงอี๋รีบเข้าไปหามารดา เมื่อฮั่วเซียงหลิงเห็นหน้าลูกชายก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ไป๋เฟิงอี๋พยายามลูบหลังปลอบใจ ขณะที่หรงหยางเซิงถามเกาเสิ่นว่ามีข่าวอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของผู้เป็นบิดาหรือไม่ ยังไม่ทันที่เกาเสิ่นจะตอบอะไร ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก ทั้งหมดกรูเข้าไปหาหมอเจ้าของเคสทันที
   
“เสียใจกับญาติด้วยนะครับ คนไข้ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัด หมอพยายามยื้อจนสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ”
   
“พ่อ...” หรงหยางเซิงแทบหมดแรง ในที่สุดเขาก็มาไม่ทันดูใจบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
   
ฮั่วเซียงหลิงปล่อยโฮอย่างไม่อายใคร นี่มันฝันร้ายสำหรับเธอชัดๆ เมื่อตอนเย็นเขาและเธอยังดินเนอร์ด้วยกันอยู่เลย แล้วทำไมจู่ๆ สามีเธอถึงโดนคนร้ายลอบยิงจนเสียชีวิต ไป๋เฟิงอี๋เองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ความสูญเสียจู่โจมใส่ทุกคนโดยไม่ให้โอกาสใครได้ตั้งตัว
   
“ฉันจะเข้าไปหาพ่อ” หรงหยางเซิงทำท่าจะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลจึงรีบเข้ามาช่วยห้าม แล้วบอกให้ญาติไปรอพบที่ห้องดับจิตแทน ทว่าหรงหยางเซิงไม่ยอม ชายหนุ่มดึงดันจะเข้าไปให้ได้ ตอนนี้หรงหยางเซิงเหมือนคนขาดสติที่ไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชาถูกกระเทาะทำลายจนหมดสิ้น ความเจ็บปวดสูญเสียทำให้แม้แต่การจะยืนให้มั่นคงก็ยังไม่อาจทำได้ง่าย
   
ไป๋เฟิงอี๋มองหรงหยางเซิงที่โวยวายเสียงดังอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เขาเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี การจากไปของเจ้าสัวหรงหยางเค่อที่เป็นบิดาบุญธรรมเขาเองยังเสียใจ นับประสาอะไรกับลูกชายแท้ๆ อย่างหรงหยางเซิง พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมง ขับรถเหน็ดเหนื่อยฝ่าความมืดยามราตรีจากเมือง H มาที่เมือง S เพื่อมาพบกับความว่างเปล่าในท้ายที่สุด แม้แต่คำลาก็ไม่มีโอกาสได้พูด ไป๋เฟิงอี๋ปาดน้ำตาที่ไหลรินแล้วเดินไปแตะไหล่หรงหยางเซิง พูดเบาๆ ที่ริมใบหูฝ่ายนั้น
   
“เราไปลาคุณพ่อกันเถอะอาหยาง”


บรรยากาศในห้องดับจิตดูเงียบสงัดและวังเวง ร่างไร้ลมหายใจของเจ้าสัวหรงหยางเค่อถูกย้ายมาที่นี่เรียบร้อยแล้ว ฮั่วเซียงหลิงร้องไห้จนสลบไป ไป๋เฟิงอี๋จึงฝากให้พยาบาลช่วยดูแลมารดาชั่วคราว ส่วนชายหนุ่มเข้ามาเป็นเพื่อนหรงหยางเซิงที่ตอนนี้เริ่มสงบลงแล้ว
   
ก่อนเข้ามาที่นี่ เกาเสิ่นที่ดูจะมีสติดีสุดในเวลานี้เล่าเรื่องที่ได้ฟังจากฮั่วเซียงหลิงให้หรงหยางเซิงรับรู้  ฮั่วเซียงหลิงเล่าว่าก่อนที่หรงหยางเค่อจะโดนลอบยิง เจ้าสัวชราผลุนผลันออกจากคฤหาสน์ตระกูลหรง ฮั่วเซียงหลิงเป็นห่วงกลัวจะเกิดเรื่อง จึงรีบโทรหาหรงหยางเค่อสอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรงหยางเค่อเพียงบอกสั้นๆ ว่าตอนนี้ที่บริษัทมีปัญหาเรื่องตรวจพบการลดเกรดวัสดุก่อสร้าง และตนกำลังจะไปสอบถามหรงหยางลี่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นจริงเท็จอย่างไร
   
หรงหยางเซิงค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมร่างที่อยู่บนเตียง มือข้างนั้นสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมก็คือบิดาบังเกิดเกล้าของตน หรงหยางเซิงจำได้ว่าตอนเด็ก เขาเคยสนิทกับบิดามาก ทว่าเมื่อฮั่วเซียงหลิงกับไป๋เฟิงอี๋ย้ายเข้ามาอยู่ในตระกูลหรง เขาก็มักมีปากเสียงขัดแย้งกับบิดาบ่อยๆ พอนานวันเข้า ความขัดแย้งก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความห่างเหิน บทสนทนาระหว่างพ่อลูกมีเพียงแค่เรื่องธุรกิจเท่านั้น น่าแปลกที่ตอนนี้หรงหยางเซิงกลับมีเรื่องราวมากมายที่อยากเล่าให้บิดาฟัง ทว่ากลับไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้ว
   
“อาหยาง... ” ไป๋เฟิงอี๋จับบ่าลาดของหรงหยางเซิงแล้วตบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
   
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง” ไป๋เฟิงอี๋ก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เมื่อวานซืน บิดาบุญธรรมยังเรียกเขาไปคุยและมอบหุ้นบริษัทให้เป็นของขวัญ เขายังเคยสัญญาว่าหลังกลับจากทริปพักผ่อนที่เมือง H จะพยายามลดการรับงานอีเว้นท์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ลงเพื่ออยู่บ้านเป็นเพื่อนคุยแก้เบื่อให้บิดาบุญธรรม แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
   
“ตำรวจกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ นายไม่ต้องกังวลนะ เราจะต้องหาคนร้ายมารับผิดให้ได้”
   
“ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นใคร ทำไมต้องถึงขั้นเอาชีวิตกันด้วย” หรงหยางเซิงเค้นเสียงรอดไรฟัน แววตาสีดำสนิททั้งคมกริบทั้งเย็นชา มือของไป๋เฟิงอี๋เลื่อนไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ ทั้งที่ไม่ชอบให้คนอื่นมาถูกเนื้อต้องตัว แต่คราวนี้ สัมผัสจากมือข้างนั้นกลับทำให้หรงหยางเซิงรู้สึกอบอุ่นในใจท่ามกลางเหตุการณ์เศร้าสลดที่กำลังเผชิญในขณะนี้
   
“นายออกไปรอข้างนอกก่อนได้ไหม ฉันอยากอยู่คนเดียว” หรงหยางเซิงเอ่ยเสียงเบา ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้า ก่อนร่างสูงจะก้าวผ่านประตูออกไปก็เหลียวหน้ามาพูด
   
“ถ้านายเศร้าก็ร้องไห้ออกมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องฝืนเก็บเอาไว้คนเดียว ร้องออกมาให้หมด เพื่อวันพรุ่งนี้นายจะได้ลุกขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง ทำให้พ่อภูมิใจให้ได้นะอาหยาง”
   
ลับหลังไป๋เฟิงอี๋ หรงหยางเซิงก็ค่อยๆ เอื้อมมือไล้ไปตามใบหน้าของผู้เป็นบิดา ปล่อยน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ให้ไหลรินลงมาเป็นทาง ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่เสียเวลามัวแต่งัดข้อกับบิดา แต่จะทำทุกเวลาให้ดีที่สุด ทว่าพอมาคิดได้ตอนนี้ก็กลับสายเกินไปเสียแล้ว
   
“ผมรักพ่อ... ขอโทษ... ที่เพิ่งมาบอกเอาตอนนี้”
   
ไป๋เฟิงอี๋หันหลังพิงบานประตูอย่างอ่อนแรง เสียงสะอื้นเบาๆ จากข้างในห้องดับจิตทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่าหรงหยางเซิงกำลังรู้สึกเช่นไร ถ้าหากทำได้ เขาอยากจะช่วยแบ่งเบาความเศร้าเหล่านั้นมาเก็บไว้เอง อย่างน้อยก็ดีกว่าการต้องทนเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดโดยที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย



แม้งานศพของหรงหยางเค่อจะเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่ตำรวจก็ยังไม่สามารถปิดคดีฆาตกรรมนี้ได้ จากคำให้การของ
ฮั่วเซียงหลิง หรงหยางลี่ถือเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยเนื่องจากเคยมีประเด็นขัดแย้งกับผู้ตาย อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจยังตามจับมือปืนไม่ได้ ประกอบกับขาดพยานหลักฐานที่แน่นหนาพอที่จะชี้ชัดความผิดของหรงหยางลี่ ดังนั้น หรงหยางลี่จึงยังรอดพ้นจากการกล่าวหาในฐานะจำเลย
    
พินัยกรรมถูกเปิดหลังจากหรงหยางเค่อเสียชีวิต ทรัพย์สินส่วนใหญ่รวมถึงหุ้นบริษัทและคฤหาสน์ตระกูลหรงตกเป็นของหรงหยางเซิงผู้เป็นบุตรชายแท้ๆ ขณะที่ฮั่วเซียงหลิงและไป๋เฟิงอี๋ได้รับมรดกเป็นเงินสดก้อนใหญ่และทรัพย์สินอื่นๆ เมื่อรวมกับจำนวนหุ้นบริษัทที่หรงหยางเค่อเคยเซ็นโอนให้สองแม่ลูกก่อนหน้านั้นทำให้ทรัพย์สินพวกนี้หากบริหารดีๆ  ก็มากพอให้มีกินใช้สุขสบายไปตลอดชีวิต
   
เมื่อตำแหน่งประธานบริษัทว่างลงจึงจำเป็นต้องมีการประชุมเพื่อโหวตเลือกประธานคนใหม่ ก่อนหน้านี้ หรงหยางเซิงเคยให้เกาเสิ่นตรวจสอบรายละเอียดของผู้ถือหุ้นทั้งหมดแล้ว แม้จะมีการออกขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับสาธารณชนในช่วงเดือนก่อน แต่ผู้ที่ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วนที่มากที่สุดก็ยังคงเป็นเขาอยู่ดี ดังนั้น หรงหยางเซิงจึงค่อนข้างเบาใจว่าโครงสร้างอำนาจการบริหารงานภายในบริษัทจะยังไม่ถูกเปลี่ยนแปลง
   
“เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ได้เวลาสมควรแล้ว ผมขออนุญาตเปิดประชุมกรรมการบริหารเพื่อคัดเลือกประธานบริษัทคนใหม่เพื่อรับตำแหน่งแทนเจ้าสังหรงหยางเค่อ” กรรมการบริหารอาวุโสคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ประธานบริษัทชั่วคราวเอ่ยขึ้น หลังจากนั้นกรรมการอีกคนจึงเสนอให้เลือกประธานโดยวิธีลงมติโหวตตามสัดส่วนหุ้น ซึ่งหลายเสียงต่างเห็นชอบ เนื่องจากเป็นวิธีที่สอดคล้องตามธรรมเนียมและแนวปฏิบัติเดิม “อย่างนั้น ถ้าดูตามบัญชีรายชื่อและสัดส่วนการถือหุ้น ผู้ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นสองอันดับแรกจะมีสิทธิ์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธาน โดยฝ่ายใดที่สามารถรวบรวมเสียงโหวตจากผู้ถือหุ้นได้มากที่สุดจะถือเป็นผู้ชนะ”
   
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่จำเป็นต้องโหวตแล้วล่ะครับ เพราะคุณชายหรงเพียงคนเดียวก็ถือหุ้นในสัดส่วนถึงสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว มากกว่าอันดับสอง คุณหรงหยางลี่ที่ถืออยู่เพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

หรงหยางเซิงยังคงนิ่ง อันที่จริง เขาถือหุ้นบริษัทเพียงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น  แต่หลังจากบิดาเสียชีวิต หุ้นทั้งหมดในส่วนของบิดาก็กลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงเขาในฐานะลูกชาย ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงมีสัดส่วนการถือครองหุ้นมากกว่าหรงหยางลี่ ผู้เป็นอา

“เอกสารในมือทุกท่านน่าจะยังไม่ได้อัพเดทข้อมูล เพราะเมื่อเช้านี้เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นใหม่อีกครั้ง” หรงหยางเซิงหันไปมองทางต้นเสียงจึงเห็นว่าคนพูดเป็นกรรมการบริหารที่สนิทสนมกับหรงหยางลี่ และเมื่อชายหนุ่มมองไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็พบว่าหรงหยางลี่กำลังจ้องมองตนพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“หมายความว่ายังไงครับ” หรงหยางเซิงถามขึ้น แววตายังไม่ละไปจากหรงหยางลี่ง่ายๆ
   
“เมื่อเช้าก่อนเข้าประชุม ผมทำธุรกรรมโอนหุ้นจำนวนหนึ่ง ดังนั้น เกรงว่าสัดส่วนการถือหุ้นคงจะมีการเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว” หรงหยางลี่ส่งสัญญาณให้ลูกน้องแจกเอกสารสรุปสัดส่วนการถือหุ้นที่เตรียมมาให้ที่ประชุมรับไปดู หลังจากที่หรงหยางเซิงกวาดตาอ่านเอกสารอย่างรวดเร็วก็รู้ได้ทันทีว่าตนประมาทผู้เป็นอามากเกินไป
   
“นี่หมายความว่ายังไงกัน...” กรรมการบริษัทหลายคนมองหน้ากันด้วยความสับสน เอกสารแผ่นนี้ระบุว่าผู้ที่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นสูงที่สุดถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็คือหรงหยางลี่ ไม่ใช่หรงหยางเซิง!

หรงหยางเซิงหันไปส่งสายตาถามเกาเสิ่นที่ยืนกุมมืออยู่ด้านหลัง ผู้ช่วยหนุ่มจึงเข้ามากระซิบว่าเมื่อวานเขาได้ตรวจสอบกับคณะกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ พบว่าสัดส่วนผู้ถือหุ้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่าหรงหยางลี่ใช้วิธีใดในการรวบรวมหุ้นถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงของเช้าวันนี้ หรงหยางเซิงกำมือแน่น บางทีนี่อาจจะเป็นแผนที่หรงหยางลี่วางไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เช่น การอยู่เบื้องหลังการซื้อหุ้นของนักลงทุนรายย่อยในลักษณะนอมินี ทว่าสิ่งที่หรงหยางเซิงยังคิดไม่ออกก็คืออาของเขาเอาเงินทุนตั้งมากมายมาจากไหนกัน

“หมายความว่าตอนนี้ผู้ที่ถือหุ้นมากที่สุดก็คือรองประธานหรงหยางลี่ อันดับสองก็คือคุณชายหรงหยางเซิง” รอยยิ้มของหรงหยางลี่ยิ่งกว้างกว่าเก่าเมื่อเห็นหลานชายตัวดีกำลังตกที่นั่งลำบาก แกยังอ่อนหัดเกินไปไอ้หลานชาย

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มโหวตกันเลยดีไหมครับ” กรรมการบริหารคนเดิมเสนอขึ้นซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

หรงหยางเซิงขบกรามแน่น ตอนนี้สถานการณ์เขาพลิกกลับมาเป็นรอง หากต้องตัดสินด้วยการโหวต โอกาสที่เขาจะแพ้โหวตให้หรงหยางลี่มีสูงมาก เหตุผลหลักๆ เนื่องจากเขายังอ่อนประสบการณ์ในโลกธุรกิจ แม้โครงการคอนโดมิเนียมที่เขาดูแลจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้กรรมการบริหารหลายคนเชื่อมั่นในศักยภาพของเขา ต่างจากหรงหยางลี่ที่คร่ำหวอดอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานาน ชื่อของหรงหยางลี่ย่อมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าอยู่แล้ว

การขานเสียงสนับสนุนเริ่มต้นขึ้นและจบลงในเวลาอันรวดเร็ว เป็นอย่างที่หรงหยางเซิงคาดไว้ หรงหยางลี่ได้รับเลือกให้เป็นประธานกรรมการบริหารต่อจากผู้เป็นพี่ชาย

“ขอบคุณคะแนนเสียงสนับสนุนจากทุกท่าน บริษัทภายใต้การนำของหรงหยางลี่คนนี้จะต้องยิ่งใหญ่และเติบโตอย่างมั่นคงในทุกด้าน ผมขอสัญญา” หรงหยางลี่ยืนขึ้นรับการปรบมือและโค้งศีรษะลงเป็นการขอบคุณ
หรงหยางเซิงขบกรามแน่น สิ่งที่ตนเคยกลัวเป็นจริงในที่สุด โครงสร้างสมดุลอำนาจภายในบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และตอนนี้ทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของหรงหยางลี่

“ทำไมถึงรีบสรุปนักล่ะคะ ฉันยังไม่ทันได้ลงคะแนนเลย” ประตูห้องประชุมถูกผลักเปิดออกก่อนสุภาพสตรีผู้หนึ่งจะก้าวเข้ามาหยุดยืนกลางห้องแล้วยิ้มละไม

หรงหยางเซิงหันไปมองผู้มาใหม่ ความหวังลึกๆ ในอกถูกเป่าให้ดับวูบเมื่อเห็นว่าคนที่เดินนวยนาดเข้ามาในห้องประชุมก็คือฮั่วเซียงหลิงนั่นเอง แต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยญาติดีกับมารดาเลี้ยง ดังนั้น ความหวังว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายจะช่วยให้เขาชนะโหวตจึงกลายเป็นศูนย์ในทันที ที่ฮั่วเซียงหลิงมาที่นี่วันนี้ก็คงเพราะอยากจะมาเห็นกับตาว่าเขาพ่ายแพ้หมดรูปเพียงใด

“ว่ายังไงละค่ะ ฉันลงคะแนนยังทันไหม” ทุกคนในที่ประชุมรู้ว่าฮั่วเซียงหลิงคือมาดามหรงคนปัจจุบัน แม้ประธานคนก่อนจะล่วงลับไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรฮั่วเซียงหลิงก็ยังถือว่ามีสถานะเป็นมารดาเลี้ยงของหรงหยางเซิงและเป็นพี่สะใภ้ของหรงหยางลี่ที่กุมอำนาจการบริหารอยู่ในขณะนี้ แม้จำนวนหุ้นที่อีกฝ่ายถือจะมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่ด้วยสถานะดังกล่าวก็ยังทำให้ทุกคนต้องเกรงใจ

“ได้สิครับ ว่าแต่พี่สะใภ้จะลงคะแนนให้ใครดีล่ะ ผม... หรือว่าอาหยาง” หรงหยางลี่ถามด้วยแววตาวาววับ เขารู้มาตลอดว่าฮั่วเซียงหลิงไม่ถูกกับหรงหยางเซิง พอพี่ชายเขาตาย ฮั่วเซียงหลิงก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอดทนอดกลั้นกับลูกเลี้ยงคนนี้อีกต่อไป และหรงหยางลี่ก็เชื่อว่าพี่สะใภ้คนนี้ไม่โง่ หากปล่อยให้หรงหยางเซิงมีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในคฤหาสน์ตระกูลหรงและบริษัทล่ะก็ คนที่จะไม่มีที่ยืนคนแรกก็คือฮั่วเซียงหลิงกับลูกนั่นเอง ดังนั้น...

“คนที่ฉันจะโหวตสนับสนุนก็คือ...” ฮั่วเซียงหลิงประสานสายตากับหรงหยางลี่แล้วยกยิ้มกว้างกว่าเก่า... “หรง-หยาง-เซิง!”

“อะไรนะครับ!” หรงหยงลี่ตะลึงไป ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ ฮั่วเซียงหลิงถือหุ้นอยู่สิบเปอร์เซ็น เมื่อรวมกับฝั่งผู้สนับสนุนหรงหยางเซิง ทำให้สัดส่วนหุ้นทั้งหมดที่หรงหยางเซิงมีในมือเท่ากับหรงหยางลี่พอดิบพอดี 

“อย่างนี้ คุณชายหรงกับรองประธานฯ ก็มีสัดส่วนหุ้นเท่ากันแล้ว ถ้าอย่างนั้น...”

“ใครว่าเท่ากันล่ะคะ ยังมีผู้ถือหุ้นอีกคนที่ให้การสนับสนุนหรงหยางเซิง” ฮั่วเซียงหลิงเดินไปหยุดยืนด้านหลังหรงหยางเซิง มือบางเอื้อมไปแตะไหล่ลูกเลี้ยงแล้วบีบแน่น “หุ้นที่เหลือห้าเปอร์เซ็นต์สุดท้ายของไป๋เฟิงอี๋ยังไงล่ะ”

“หมายความว่ายังไง อาเฟิงไม่ได้เข้าร่วมประชุมก็ไม่ควรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกประธาน”

“ถึงอาเฟิงจะไม่ได้เข้าร่วมประชุมวันนี้ แต่เขาได้เซ็นต์หนังสือมอบอำนาจให้ฉันเป็นคนลงคะแนนแทน” ฮั่วเซียงหลิง เปิดกระเป๋าถือแบรนด์เนมแล้วหยิบหนังสือมอบอำนาจของไป๋เฟิงอี๋ออกมาแสดงให้ทุกคนในห้องได้ประจักษ์

“อย่างนั้นก็คงต้องสรุปว่า...” กรรมการบริหารอาวุโสคนเดิมหันไปทางหรงหยางลี่อีกครั้งด้วยความลำบากใจ แต่ในเมื่อผลโหวตออกมาแบบนี้ เขาก็ต้องทำตามหน้าที่ด้วยการประกาศว่า “ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัทก็คือคุณหรงหยางเซิง”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง หรงหยางเซิงลุกขึ้นโค้งคำนับที่ประชุม ใบหน้าหล่อเหลายังคงสงบนิ่ง ทว่าแววตากลับทอประกายเย็นเยียบ โดยเฉพาะยามเมื่อสบตากับหรงหยางลี่ที่กำลังกัดฟันกรอด และมารดาเลี้ยงที่ใบหน้ากำลังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเย็นชาเกินคาดเดา

Aislin: เจ้าสัวหรงตายเสียแล้วค่ะ แงๆๆ หลังจากนี้อาหยางก็ต้องรับบทหนักในฐานะทายาทแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวตอนหน้าเกมการแย่งชิงอำนาจในบริษัทจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว มาดูกันว่าฮั่วเซียงหลิงจะมีลูกไม้อะไรกันแน่ ติดตามให้ได้นะคะ

ขอขายของนิดนึง พอดีอิซลินลองทำคลิปวิดีโอ trailer นิยาย แม้มันจะกิงก่องแก้วไปหน่อย แต่ก็อยากอวดเพราะเพลงเพราะมากๆ ยังไงตามไปดูใน youtube ได้เลยนะคะ คลิ๊กดู trailer และหากใครใจดีอยากอุดหนุนนักเขียนตาดำๆ สามารถสั่ง pre-order หนังสือรูปเล่มได้ที่นี่เลยค่ะ ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดก่อนก็ยังดี ^^ คลิ๊ก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2020 09:13:22 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1

Chapter 19: Our feeling is so deep

หรงหยางเซิงทอดสายตามองมหานครเมือง S ยามบ่ายจากชั้นดาดฟ้าของอาคารบริษัท เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับไปมอง
    
“ยินดีด้วยกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคนใหม่” ฮั่วเซียงหลิงเอ่ยขึ้น ทว่าไม่มีเค้าความยินดีเจืออยู่ในน้ำเสียงของเธอเลยสักนิด

“คิดจะทำอะไรของคุณ”

“สนับสนุนเธอไง” หรงหยางเซิงแค่นเสียง

“ถ้าพูดว่าอยากจะเยียบผมให้จมดิน ยังน่าเชื่อถือเสียกว่า”

“อันที่จริงก็ถูกอย่างที่เธอพูด ตอนแรกฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นแหล่ะ แต่ว่าอาเฟิง... เขามาขอไว้” ชื่อของบุคคลที่สามทำให้หรงหยางเซิงชะงักไป

“เกี่ยวอะไรกับไป๋เฟิงอี๋”

“ตอนแรกฉันตั้งใจจะสนับสนุนหรงหยางลี่เพราะอยากสั่งสอนและให้บทเรียนกับความยโสของเธอ แต่ว่าเมื่อคืน อาเฟิงไปหาฉันที่ห้องและคุกเข่าขอร้องให้ฉันเปลี่ยนใจมาสนับสนุนเธอแทน เขาพูดว่า...” ฮั่วเซียงหลิงสบตาหรงหยางเซิงแล้วเค้นเสียง “ถ้าแม่รักผม ก็ขอให้แม่เอ็นดูและสนับสนุนอาหยางที่เป็นสายเลือดแท้ๆ ของพ่อบุญธรรมด้วย”

พอหรงหยางเซิงได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าไป๋เฟิงอี๋จะมีน้ำใจลึกล้ำต่อเขาถึงเพียงนี้ ที่เขาเคยขอร้องให้ไป๋เฟิงอี๋ช่วยลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทเพราะว่าตอนนั้นเขากำลังมีปัญหาทางการเงินและขาดสภาพคล่อง จึงออกปากขอร้องให้ไป๋เฟิงอี๋ที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้างช่วยซื้อหุ้นจำนวนนั้นเก็บไว้ก่อนเพราะรู้ดีว่าคงพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากมารดาเลี้ยงไม่ได้แน่ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนั้นก็คือการหาวิธีรวบรวมหุ้นให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจในบริษัท หรงหยางเซิงตั้งใจว่าถ้าหากสถานะการเงินของเขากลับมาดีขึ้นแล้วก็จะมาขอซื้อหุ้นคืนจากฝ่ายนั้น แต่สุดท้ายนอกจากจะช่วยซื้อหุ้นแล้ว ไป๋เฟิงอี๋ยังช่วยเกลี้ยกล่อมฮั่วเซียงหลิงให้ยอมออกหน้าช่วยเขาในงานประชุมวันนี้อีกด้วย

“เอาเถอะ ที่ฉันช่วยก็เพราะเห็นแก่อาเฟิงที่ยอมทนคุกเข่าอ้อนวอนเป็นชั่วโมง ความจริงเธอก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของสามีฉัน สนับสนุนเธอก็คงเหมาะสมกว่าการไปสนับสนุนคนอื่น” ฮั่วเซียงหลิงถอนหายใจแรง ถ้าหากเมื่อคืนไป๋เฟิงอี๋ไม่ไปขอร้องเธอล่ะก็ เธอไม่มีวันยอมออกหน้าช่วยเหลือหรงหยางเซิงแน่ เพราะการก้าวเข้ารับตำแหน่งสูงสุดของหรงหยางเซิงอาจทำให้สถานะของเธอกับลูกในตระกูลหรงภายภาคหน้าต้องพบกับความลำบาก ฮั่วเซียงหลิงรู้ดีว่าคนตรงหน้ายังคงฝังใจเรื่องที่เธอเป็นต้นเหตุการตรอมใจจนเสียชีวิตของมาดามหรงคนก่อน

“ไป๋เฟิงอี๋... เขาอยู่ไหน” หรงหยางเซิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติมาก

“วันนี้อาเฟิงมีงานเลยมาไม่ได้” ฮั่วเซียงหลิงสบตากับลูกเลี้ยงแล้วตัดสินใจเอ่ยตรงๆ “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเธอจะเกลียดฉันแค่ไหนเรื่องแม่ของเธอ แต่เรื่องนี้อาเฟิงไม่เกี่ยวอะไรด้วย ตั้งแต่มัธยมจนถึงตอนนี้ เขาชื่นชมพี่ชายนอกสายเลือดอย่างเธอมาก ดังนั้น ได้โปรดอย่าเกลียดอาเฟิงเพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของฉัน”

หรงหยางเซิงหลับตาลง เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ในอก ประโยคสุดท้ายของฮั่วเซียงหลิงยังคงก้องอยู่ในห้วงความคิดแม้ว่าเจ้าตัวจะเดินจากไปไกลแล้ว

“สิ่งเดียวที่ฉันอยากได้ตอบแทนสำหรับเรื่องวันนี้ นั่นก็คือขอเพียงเธอเปิดใจยอมรับอาเฟิงบ้าง... แค่สักนิดก็ยังดี”



หรงหยางเซิงให้เกาเสิ่นโทรเช็กตารางงานวันนี้ของไป๋เฟิงอี๋จากเหลายี่ ได้ความว่าไป๋เฟิงอี๋มีคิวถ่ายรายการวาไรตี้ที่สตูดิโอของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง และกำหนดเลิกงานคือช่วงเย็น ดังนั้น หรงหยางเซิงจึงวานให้เกาเสิ่นช่วยจองร้านอาหารให้ เขามีหลายเรื่องอยากคุยกับไป๋เฟิงอี๋ โดยเฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายยื่นมือช่วยเขาเรื่องหุ้นบริษัท

เมื่อมาถึงสถานีโทรทัศน์ หรงหยางเซิงพบเพียงเหลายี่ ส่วนคนที่เขาตั้งใจขับรถมาหากลับไม่อยู่เสียแล้ว เหลายี่บอกว่าไป๋เฟิงอี๋เพิ่งออกจากสตูดิโอไปได้ไม่นานนัก คลาดกับชายหนุ่มเพียงไม่กี่นาที

“ไป๋เฟิงอี๋ออกไปไหน และไปกับใคร” หรงหยางเซิงฝากเหลายี่บอกไป๋เฟิงอี๋ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะมารับที่สตูดิโอหลังเลิกงาน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมรอเขา

“เอ่อ...” ที่จริงไป๋เฟิงอี๋สั่งไม่ให้เหลายี่บอก แต่เมื่อเห็นแววตาคาดคั้นของร่างสูง เหลายี่เลยต้องจำใจตอบ “อาเฟิงออกไปกับคุณจ้าวครับ”

“คุณจ้าว... จ้าวถิงเกออย่างนั้นเหรอ” เหลายี่พยักหน้า พอรู้ว่าไป๋เฟิงอี๋ออกไปกับใคร หรงหยางเซิงก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีอย่างบอกไม่ถูก  ชายหนุ่มเดินลิ่วออกไปจากสตูดิโอทันที ไม่สนใจเสียงเหลายี่ที่ร้องเรียกตามหลัง



จ้าวถิงเกอเหลือบมองไป๋เฟิงอี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ สลับกับมองท้องถนนเบื้องหน้า ไป๋เฟิงอี๋รูปงามหมดจด ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว คาง ปาก จมูก ทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นคนตรงหน้าช่างดูงดงามราวกับภาพวาดของจิตกรเอก คำพูดจารวมถึงการวางตัวก็ล้วนมีเสน่ห์ชวนให้หลงรักได้โดยง่าย จ้าวถิงเกอจึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนักแสดงดาวรุ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลาอันรวดเร็ว

“คุณแอบมองผมแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากร้านอาหารแล้ว” ไป๋เฟิงอี๋คลี่ยิ้มชวนมอง ส่วนจ้าวถิงเกอยักไหล่

“ก็คุณชายไป๋น่ามองเสียขนาดนี้” ผมจะอดใจไหวได้ยังไง ประโยคที่สอง จ้าวถิงเกอเพียงแค่คิด แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา

“ถ้าขืนยังมองผมอีก รถอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้นะครับ” ไป๋เฟิงอี๋ใช้น้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง ชายหนุ่มรู้ดีว่าจ้าวถิงเกอต้องการอะไร แต่สัญชาตญาณลึกๆ เตือนไป๋เฟิงอี๋ว่าผู้ชายคนนี้อันตรายไม่ต่างจากไฟ ดังนั้น อย่าเข้าใกล้มากจนเกินไปจะดีกว่า

“ผมดีใจมากเลยนะครับที่คุณชายไป๋ยอมให้เกียรติออกมาดินเนอร์กับผม”

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณจ้าว ดินเนอร์มื้อนี้อร่อยมากครับ” ถ้าไม่เพราะข่าวที่เพิ่งได้ยินมาทำให้เขานึกสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวถิงเกอกับหรงหยางลี่จนอยากสืบเรื่องนี้ให้ชัดแล้วล่ะก็ เขาคงไม่มีทางยอมไปไหนมาไหนกับอีกฝ่ายสองต่อสองแน่

เมื่อเช้าที่สตูดิโอ ผู้กำกับรายการของสถานีโทรทัศน์มาบรีฟงานกับเขา และยังทักขึ้นว่าเมื่อวันก่อนตนเห็นจ้าวถิงเกอ กับรองประธานหรงหยางลี่นัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดูท่าเรื่องที่สองตระกูลไม่ถูกกันน่าจะเป็นเพียงแค่ข่าวถือเท่านั้น

ไป๋เฟิงอี๋เพียงรับฟังโดยไม่ได้แสดงความเห็น ทว่าในใจกลับรู้สึกประหลาด หรงหยางเซิงเคยบอกเขาว่าตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันมานาน ดังนั้น การที่ญาติห่างๆ ของเขาซึ่งเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนัดพบกับจ้าวถิงเกอเป็นการส่วนตัวจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่เป็นแน่

“อาหยางเคยบอกผมว่าตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ไป๋เฟิงอี๋ตัดสินใจลองเลียบเคียงถามเรื่องนี้กับจ้าวถิงเกอดู

“อันที่จริงก็เป็นความขัดแย้งมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแล้วล่ะครับ ตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งคู่ ดังนั้น เรื่องการชิงดีชิงเด่นในโลกธุรกิจก็คงหลีกเลี่ยงได้ยาก ตอนแรกผมคิดว่าถ้าหมดยุคของเจ้าสัวหรงหยางเค่อไปแล้ว สองตระกูลอาจจะพอญาติดีกันได้ แต่ดูท่าทางผมคงหวังมากเกินไป” จ้าวถิงเกอถอนหายใจบาง ไป๋เฟิงอี๋เองก็พอจะนึกออก ท่าทางแข็งกร้าวที่หรงหยางเซิงมีต่อจ้าวถิงเกอเขาเองก็เคยเห็นมากับตา

“อาหยางเป็นคนที่ไม่ค่อยมีทักษะด้านการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ คุณจ้าวอย่าคิดมากเลย”

“ได้ข่าวว่าวันนี้คุณชายหรงเพิ่งได้รับการโหวตให้ขึ้นเป็นประธานกรรมการบริหาร” จ้าวถิงเกอเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าไปมองคนข้างๆ “ชนะคะแนนเพราะได้เสียงสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นคนสุดท้าย” ไป๋เฟิงอี๋รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหมายถึงเขา

“อาหยางเป็นคนมีความสามารถ ผมเชื่อว่าเขาต้องนำพาตระกูลหรงให้รุ่งโรจน์ได้แน่” น้ำเสียงของไป๋เฟิงอี๋เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ อย่างน้อยการสนับสนุนหรงหยางเซิงก็ดีกว่าการสนับสนุนหรงหยางลี่ที่เขายังเคลือบแคลงว่าฝ่ายนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของบิดาบุญธรรม “ว่าแต่คุณจ้าวล่ะครับ อยากให้ใครขึ้นเป็นประธานบริษัทตระกูลหรง” ไป๋เฟิงอี๋ใช้น้ำเสียงทีเล่นทีจริงถามคู่สนทนา จ้าวถิงเกอหัวเราะเสียงดัง

“สำคัญด้วยเหรอครับ ในเมื่อไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธาน ยังไงตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวก็เป็นคู่แข่งกันอยู่ดี”

“ก็สมมติว่าถ้าหากประธานไม่ใช่อาหยาง สองตระกูลก็อาจจะพอมีทางญาติดีกันได้” คราวนี้ไป๋เฟิงอี๋สบตากับจ้าวถิงเกอตรงๆ พยายามค้นหาความจริงจากดวงตาคู่นั้น แต่อีกฝ่ายกลับตอบไม่ตรงคำถามแล้วเลี่ยงมองท้องถนนเบื้องหน้าแทน

“แค่ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่เลวร้ายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็ดีมากแล้วล่ะครับ”   

รถของจ้าวถิงเกอมาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายที่อุตส่าห์ขับรถมาส่ง ทว่าตอนที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ แขนของไป๋เฟิงอี๋กลับถูกอีกฝ่ายรั้งไว้เสียก่อน

“ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวเป็นเรื่องธุรกิจ แต่ระหว่างผมกับคุณชายไป๋ไม่มีเรื่องธุรกิจพวกนี้มาเกี่ยวข้อง ดังนั้น คุณชายไป๋จะให้โอกาสผมได้หรือเปล่าครับ” ไป๋เฟิงอี๋ฉลาดพอที่จะรู้นัยของคำพูดประโยคสุดท้าย แต่เพราะไม่อยากเปิดทางให้กับจ้าวถิงเกอมากเกินไป จึงแกล้งสวมบทนักแสดงย้อนหน้าซื่อ

“สำหรับเพื่อน ผมให้โอกาสได้เสมอ” จ้าวถิงเกอยิ้มมุมปาก ไป๋เฟิงอี๋คนนี้น่าสนใจกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอมาเสียอีก “ปล่อยเถอะครับ ผมต้องลงแล้ว” จ้าวถิงเกอจึงไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้อีก เมื่อไป๋เฟิงอี๋ลงจากรถไปแล้ว ชายหนุ่มยื่นหน้ามาร่ำลาคนขับพร้อมรอยยิ้มละไม “มืดแล้ว ขับรถกลับดีๆ นะครับคุณจ้าว”

ไป๋เฟิงอี๋ยืนมองรถของจ้าวถิงเกอจนลับสายตา รอยยิ้มละไมบนใบหน้าเมื่อสักครู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตน ‘แกล้งลืม’ เอาไว้ในรถของฝ่ายนั้น



เมื่อเข้ามาในห้องโถงรับรอง ไป๋เฟิงอี๋ก็พบว่าหรงหยางเซิงกำลังนั่งกอดอกด้วยสีหน้าเรียบสนิท ความเย็นชาของร่างสูงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนขณะทักทายอีกฝ่าย

“ยินดีด้วยนะอาหยางสำหรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร” หรงหยางเซิงแค่นเสียงหึ ตอนแรกเขาตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับไป๋เฟิงอี๋ แต่ดูท่าคงมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่าต้องคุยเสียแล้ว

“ทำไมถึงออกไปกับจ้าวถิงเกอสองต่อสอง จำที่ฉันเคยเตือนนายไม่ได้เหรอไป๋เฟิงอี๋”

“ฉัน...” ยังไม่ทันที่ไป๋เฟิงอี๋จะได้อธิบายอะไร หรงหยางเซิงก็ลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ประโยคถัดมาของฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้ากลับไปเป็นหรงหยางเซิงเมื่อตอนสมัยมัธยมไม่มีผิด

“อ้อ ลืมไปว่านายชอบบริหารเสน่ห์” 

“หรงหยางเซิง!” ที่เขายอมไปดินเนอร์สองต่อสองกับจ้าวถิงเกอก็เพราะอยากช่วยคนตรงหน้าสืบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหรงหยางลี่และจ้าวถิงเกอ แต่ในเมื่อหรงหยางเซิงไม่คิดจะถามให้กระจ่างก็พานหาเรื่องกันเสียแล้ว เขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน

“แล้วนี่ไปถึงไหนกันมาล่ะถึงได้กลับดึกดื่นป่านนี้” ไป๋เฟิงอี๋ไม่ตอบคำถามนั้น ชายหนุ่มเลี่ยงเดินขึ้นไปยังห้องนอนส่วนตัวที่ชั้นสอง แต่หรงหยางเซิงไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ ตราบใดที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง “ฉันถามนายอยู่นะไป๋เฟิงอี๋”

“ปกตินายไม่ได้สนใจฉันอยู่แล้วนี่ แล้วเรื่องนี้จะมายุ่งด้วยทำไม” หรงหยางเซิงอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเดินตามติดไป๋เฟิงอี๋ ชายหนุ่มหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำของตัวเองว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับจ้าวถิงเกอที่เป็นศัตรูของตระกูลหรง ดังนั้น เขาจึงต้องถามให้กระจ่าง

“นายเป็นคนของตระกูลหรง การที่นายไปสนิทสนมกับ...”

“ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” ไป๋เฟิงอี๋เอื้อมมือจับลูกบิดประตูแล้วกระชากเปิดออกก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องนอนของตน จังหวะที่กำลังจะดันประตูปิดลง หรงหยางเซิงกลับใช้มือยันเอาไว้

“งั้นก็บอกมาว่านายกำลังทำอะไรกันแน่”

“อาหยาง ไว้นายอารมณ์เย็นแล้วเราค่อยมาคุยกัน” แววตาคมกริบของหรงหยางเซิงทำให้คนถูกมองรู้สึกร้อนวูบวาบพิกล จังหวะที่ไป๋เฟิงอี๋เผลอ หรงหยางเซิงก็ดันประตูและก้าวเข้ามาอยู่ในห้องนอนของไป๋เฟิงอี๋ บานประตูหนาหนักถูกปิดลง กั้นทั้งคู่ออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

“กลับมาที่คำถามเดิมว่านายไปไหนและไปทำอะไรกับมัน” หรงหยางเซิงเน้นเสียงที่คำว่า ‘ทำ’ เป็นพิเศษ ท่าทางและน้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้ไป๋เฟิงอี๋นึกโมโหขึ้นมาจริงๆ

“ฉันจะไปไหนหรือทำอะไรกับใคร จำไม่ได้ว่าต้องรายงานให้นายทราบด้วย”

“ไป๋เฟิงอี๋!”

“ฉันไม่ใช่ลูกน้องภายใต้บังคับชาของนาย ดังนั้น นายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน” ท่าทางเชิดหน้าอวดดีของคู่สนทนาทำให้หรงหยางเซิงหงุดหงิดเป็นที่สุด ในเมื่อเขาถามดีๆ แต่อีกฝ่ายกลับยียวนกวนประสาท เขาก็คงต้องเปลี่ยนเป็นวิธีการถามใหม่

“นายจะตอบคำถามฉันดีๆ หรือว่าต้องให้ฉัน...”

“ฉันไม่ตอบ นายจะทำไม...” ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค ริมฝีปากของคนพูดก็ถูกหรงหยางเซิงผนึกไว้ ไป๋เฟิงอี๋เบิกตากว้าง ตั้งสติไม่ถูกว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นไรดี “อะ... อื้อ...”

จูบร้อนแรงของหรงหยางเซิงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นทีละน้อย เรียวลิ้นร้อนของร่างที่สูงกว่ารุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของไป๋เฟิงอี๋แล้วเกี่ยวกระหวัดไปมาราวกับต้องการแกล้งให้สาสมกับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย ลมหายใจของไป๋เฟิงอี๋คล้ายถูกช่วงชิงไปจนหมดสิ้น ตลอดทั้งร่างเริ่มโงนเงนโดยมีอ้อมกอดแน่นหนาของหรงหยางเซิงประคองเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงไปกองกับพื้น เนิ่นนานทีเดียวกว่าหรงหยางเซิงจะเป็นฝ่ายถอนจูบออกก่อน

“อาหยาง...” ไป๋เฟิงอี๋เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว แต่เหมือนหรงหยางเซิงจะไม่ได้ยิน เพราะร่างสูงโน้มใบหน้าลงมาจูบ
ไป๋เฟิงอี๋อีกครั้ง คราวนี้เริ่มต้นจากริมฝีปากแล้วค่อยๆ เรื่อยลงไปตามซอกคอเพรียว ขณะเดียวกันก็ดันให้ร่างของไป๋เฟิงอี๋ล้มลงไปนอนอยู่บนเตียงหลังกว้างกลางห้อง

“หยุดเถอะ...” ไป๋เฟิงอี๋ไม่รู้ว่าหรงหยางเซิงจะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกบางอย่างในใจกำลังถูกหรงหยางเซิงปลุกปั่นจนบ้าคลั่ง

หรงหยางเซิงไม่สนใจคำห้ามปรามของไป๋เฟิงอี๋ ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของไป๋เฟิงอี๋ออกจนหมด เผยเรือนกายขาวผ่องให้ปรากฏสู่สายตา สัมผัสตั้งแต่บริเวณท้องน้อยขึ้นไปถึงยอดอกสีระเรื่อนำความรู้สึกเรียบลื่นมาสู่ปลายนิ้วของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋หอบหายใจแรง ภาพหรงหยางเซิงขณะที่กำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองเริ่มเปลี่ยนเป็นพร่ามัวจนยากที่จะแยกออกว่านี่ความฝันหรือความจริงกันแน่


Aislin ขอตัดค้างเอาไว้ที่ตรงนี้ ตอนหน้าจะมาต่อความหืดหาดให้จบ กร้ากกกๆๆ ยังไงใครชอบนิยายเรื่องนี้ฝากอุดหนุนรูปเล่มกันหน่อยนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิ๊ก รับรองว่าคุ้มค่าทุกตัวอักษรอย่างแน่นอน จะได้อ่านอาหยางกับอาเฟิงกันแบบจุใจเลย หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ในแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon ถ้าหากใครเล่น Twitter สามารถตามไป follow ได้ที่ @aislin_novel หรือรีวิวเม้ามอยที่ #รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย / อิซลินรอทุกคนอยู่นะคะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2020 09:14:15 โดย Aislin »

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 20: I throw us into the flame

เพียงไม่นาน หรงหยางเซิงและไป๋เฟิงอี๋ต่างก็เปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ ริมฝีปากของหรงหยางเซิงที่แตะผะแผ่วผ่านผิวกายทำให้อารมณ์ของไป๋เฟิงอี๋ทะยานขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ แก่นกายเริ่มปวดหนึบจนชายหนุ่มต้องใช้ปลายนิ้วจิกผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความรู้สึกที่อัดแน่นในใจตอนนี้

“บอกมาว่ามันทำแบบนี้กับนายหรือเปล่า หืม” ‘มัน’ ที่หรงหยางเซิงหมายถึงคงจะเป็นจ้าวถิงเกอ ไป๋เฟิงอี๋ส่ายหน้า
   
“มะ... ไม่ได้ทำ”
   
“จริงเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋ส่ายหน้า ถ้าหากไม่ได้ตาฝาด ชายหนุ่มคิดว่าเขาเห็นแววตาพึงพอใจจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น “แล้วนาย... อยากให้ฉันทำหรือเปล่า”
   
ไป๋เฟิงอี๋นึกอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าหากเขาตอบว่าไม่ หรงหยางเซิงจะยอมหยุดไหม ทว่าอารมณ์รัญจวนที่เกิดขึ้นตอนนี้เปรียบเสมือนหินหนักพันชั่งที่ถ่วงปากไว้ไม่ให้ขยับ หรงหยางเซิงโน้มหน้าลงมาแนบชิดใบหูร่างข้างใต้แล้วกระซิบถามอีกครั้ง
   
“อยากให้ทำต่อไหม” หรงหยางเซิงมองใบหน้าไป๋เฟิงอี๋ที่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แต่ไหนแต่ไรมา ใครต่อใครต่างพูดว่า
ไป๋เฟิงอี๋มีรูปเป็นทรัพย์ คราวนี้ที่ได้มีโอกาสพิสูจน์กับตาตัวเองในระยะประชิด ชายหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าน้องชายต่างสายเลือดคนนี้ช่างหล่อเหลาและงดงามราวกับประติมากรรมชิ้นเอกที่จิตรกรบรรจงสรรค์สร้างขึ้นอย่างประณีต
   
“อาหยาง... ยะ... อย่า...” ไป๋เฟิงครางเมื่อสัดส่วนความเป็นบุรุษเพศของตนกำลังถูกอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือหยอกเย้า
   
“จะให้ฉันหยุดจริงๆ เหรอ” อย่าว่าแต่ไป๋เฟิงอี๋เลย หรงหยางเซิงเองก็อาจทนไม่ไหวถ้าหากต้องหยุดทุกอย่างเอาไว้กลางคันเช่นนี้
   
“นายมันบ้า! อะ... อื้อ” ยังไม่ทันบริภาษให้สาสมกับการกระทำของอีกฝ่าย ไป๋เฟิงอี๋ก็ต้องเปลี่ยนเป็นร้องครางเสียงต่ำในลำคอเพราะตอนนี้ปลายนิ้วเรียวยาวของหรงหยางเซิงเริ่มรุกล้ำเข้ามาในกายเขาทีละนิดๆ
   
อารมณ์ของหรงหยางเซิงถูกใบหน้าแดงก่ำกับริมฝีปากสีระเรื่อของร่างข้างใต้ปลุกปั่นจนแทบคลั่ง และหรงหยางเซิงก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองทรมานอีกต่อไป ปลายนิ้วเรียวจึงถูกชักออกแล้วแทนที่ด้วยแก่นกายแข็งขึง ไป๋เฟิงอี๋ผวาเฮือก ชายหนุ่มจับแขนของหรงหยางเซิงแน่นคล้ายคนกำลังจมน้ำต้องการที่ยึดเหนี่ยว แก่นกายใหญ่โตของอีกฝ่ายเมื่อถูกสอดผ่านช่องทางคับแคบทำให้ไป๋เฟิงอี๋เจ็บปวดจนเหมือนร่างกายกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
   
“เจ็บ...” สีหน้าเจ็บปวดของไป๋เฟิงอี๋ทำให้หรงหยางเซิงผ่อนจังหวะสอดใส่ให้ช้าลง ปลายนิ้วของร่างสูงเปลี่ยนมาเค้นคลึงยอดอกของร่างข้างใต้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วม ใช้เวลาไม่นาน ร่างกายของหรงหยางเซิงก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับไป๋เฟิงอี๋อย่างสมบูรณ์
   
แม้ว่าไป๋เฟิงอี๋จะเป็นผู้ชายเจ้าเสน่ห์และก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเรื่องเพศ ทว่าสำหรับภาคปฏิบัติ นี่คือครั้งแรกที่เขามีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งกับใครสักคน แต่ถึงกระนั้น ไป๋เฟิงอี๋ก็ยังพยายามบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกและพยายามผ่อนคลายให้มากที่สุดซึ่งชายหนุ่มก็พบว่ามันช่วยได้มาก เพราะไม่นานหลังจากนั้นความเจ็บปวดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแสนหวานและหฤหรรษ์จนเกินบรรยาย
   
หรงหยางเซิงขยับกายให้เร็วขึ้น ตอนนี้ฝ่ามือของชายหนุ่มเปลี่ยนมาเกาะกุมที่แก่นกายชูชันของไป๋เฟิงอี๋แล้วรูดขึ้นลงเป็นจังหวะเดียวกับการเคลื่อนไหวของสะโพก ช่องทางคับแน่นเบื้องล่างจึงยิ่งตอดรัดจนหรงหยางเซิงเผลอขบกรามแน่น เสียงครางของไป๋เฟิงอี๋หอบกระชั้นขึ้น บ่งบอกให้รู้ว่าจุดสูงสุดของอารมณ์ใกล้จะมาถึงในอีกไม่ช้า ร่างสูงใช้สองมือคร่อมเหนือร่างของไป๋เฟิงอี๋ ดวงตาสีดำสนิทประสานดวงตาสีน้ำตาลของฝ่ายนั้น เผยความรู้สึกลึกล้ำบางอย่างให้สะท้อนผ่านดวงตา
   
“อ๊า...” ร่างของไป๋เฟิงอี๋กระตุกเฮือกเมื่อแก่นกายปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมาจนเต็มหน้าท้อง แถมบางส่วนยังเปรอะมือของหรงหยางเซิงอีกด้วย ร่างสูงครางเสียงต่ำในลำคอ จังหวะเคลื่อนไหวถูกเจ้าตัวเร่งให้เร็วขึ้นตามอารมณ์ที่โหมกระพือ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของหรงหยางเซิงก็กระตุกเกร็งและปลดปล่อยหยาดอารมณ์อุ่นร้อนจนเต็มช่องทางเบื้องล่างของไป๋เฟิงอี๋
   
“อาเฟิง... นายเป็นของฉัน... ของฉันคนเดียว”



หลังจากส่งไป๋เฟิงอี๋ที่คฤหาสน์ตระกูลหรงเรียบร้อยแล้ว คืนนี้จ้าวถิงเกอยังมีอีกหนึ่งนัดสำคัญ รถคันหรูของชายหนุ่มเพิ่งมาจอดสนิทอยู่ที่ริมแม่น้ำสายสำคัญของเมือง S ได้ไม่นาน คนที่จ้าวถิงเกอกำลังรอคอยก็เปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นมานั่งคู่กันด้านหน้า

“วันนี้คุณแพ้ให้เด็กนั่นจนได้” จ้าวถิงเกอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คนฟังคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

“ทุกอย่างเกือบจะสำเร็จแล้ว ถ้าฮั่วเซียงหลิงไม่โผล่มาที่บริษัทเสียก่อน” หรงหยางลี่ยังไม่หายหงุดหงิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมตอนสายของวันนี้ คะแนนโหวตของฮั่วเซียงหลิงทำให้เกมพลิก แถมอีกฝ่ายยังตบหน้าเขาซ้ำด้วยการบอกว่าไป๋เฟิงอี๋เองก็สนับสนุนหรงหยางเซิงเช่นกัน

“พอหมดเจ้าสัวหรงหยางเค่อ กลับมีหลานชายคุณเพิ่มขึ้นมาอีกคน แล้วอย่างนี้คุณจะยังควบคุมได้อีกเหรอ”

“หึ ขนาดหรงหยางเค่อผมยังจัดการมาแล้ว นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์อย่างอาหยาง”

“คุณนี่เหี้ยมกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ถึงหรงหยางเค่อจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่คุณก็ไม่ปรานีกับเขาเลย ถ้าหากตำรวจตามดมกลิ่นเรื่องนี้และแกะรอยสืบหามือปืนที่คุณว่าจ้างเจอล่ะก็ คุณคงตกที่นั่งลำบากแน่” หรงหยางลี่แค่นเสียงเฮอะ

“ทำไมผมจะต้องปรานีกับคนอย่างมันด้วยล่ะ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเป็นฝ่ายอดทนกับการถูกมันกดหัวมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ผมเรียนเก่งกว่า มีความสามารถมากกว่า แต่สุดท้ายพ่อก็ยกกิจการทั้งหมดของตระกูลหรงให้มันเพียงเพราะคำว่าลูกชายคนโต” แววตาหรงหยางลี่ฉายแววเคียดแค้นยามเมื่อนึกถึงพี่ชายที่ล่วงลับ “ส่วนเรื่องมือปืน คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมมีวิธีจัดการของผมก็แล้วกัน”

“เรื่องความขัดแย้งระหว่างคุณกับพี่ชาย ผมก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่สิ่งที่ผมจะไม่ยุ่งไม่ได้ก็คือเรื่องหุ้นบริษัทของคุณ อย่าลืมล่ะว่าตอนที่คุณลำบากหาทางระดมเงินทุนเพื่อมาซื้อหุ้นรอบก่อน ใครคือคนช่วยเหลือ แถมยังช่วยคิดแผนซื้อหุ้นผ่านนอมินีแล้วค่อยโอนเปลี่ยนมือทีหลังเพื่อตบตาหลานชายคุณด้วย”

“ผมไม่ลืมหรอก ถ้าหากผมขึ้นนั่งตำแหน่งประธานเมื่อไหร่ บริษัทนี้ก็จะกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจเครือตระกูลจ้าวตามที่ตกลงกันไว้”

“แล้วคุณคิดจะจัดการยังไงกับประธานคนปัจจุบัน” แม้หรงหยางเซิงจะเหมือนเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์ในสายตาของหรงหยางลี่ แต่ก็ไม่คล้ายว่าจะถูกผู้เป็นอาจัดการโค่นลงจากตำแหน่งได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ขั้วอำนาจในบริษัทตระกูลหรงเปลี่ยนฝั่งเพราะฮั่วเซียงหลิงหันมาสนับสนุนลูกเลี้ยงแทน

“อีกไม่นานหรอก...”

“รอดูสถานการณ์ไปก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้จ้าวถิงเกอรู้ว่าจะทำการใหญ่ต้องรู้จักรอคอย เรื่องนี้ก็เช่นกัน 

หรงหยางลี่ระบายลมหายใจหนัก ใจจริงเขาอยากจะรีบจัดการปัญหาเรื่องหลานชายตัวดีให้เรียบร้อย เพราะขืนปล่อยไว้นานวันเข้าเกรงว่าสักวันหนึ่งหากหรงหยางเซิงมีฐานอำนาจมั่นคงในบริษัท อาจจะเป็นตัวเขาที่ถูกเด็กรุ่นหลานจัดการเล่นงานเสียเอง

“อย่างนั้นก็ได้ ว่าแต่ช่วงนี้คนของผมรายงานว่าคุณมักแวะไปหาหลานชายบุญธรรมของผมที่สตูดิโออยู่เรื่อยๆ”
จ้าวถิงเกอยิ้มตรงมุมปากนึกรู้ว่าหรงหยางลี่หมายถึงไป๋เฟิงอี๋ “ถูกใจอะไรนักหนา”

“ก็ไม่มีตรงไหนที่จะไม่ถูกใจ”

“เอาเถอะ เรื่องส่วนตัวของคุณผมไม่ยุ่งหรอก ถ้าอยากให้ผมช่วยเรื่องอาเฟิงก็บอกแล้วกัน ถือเสียว่าเป็นของกำนัลที่ผมแถมให้เป็นพิเศษ”

จ้าวถิงเกอกดยิ้มตรงมุมปากอีกครั้ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ภายหลังจากที่หรงหยางลี่ลงจากรถไปเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเกียร์เพื่อจะนำรถออกไปจากตรงนั้น แต่ดวงตาคมกริบก็พลันเหลือบไปเห็นเห็นแสกระพริบถี่ๆ จากวัตถุขนาดเล็กบางอย่างที่ตกอยู่บนพื้นตรงที่นั่งเบาะคู่คนขับ เมื่อลองหยิบขึ้นมาพิจารณาก็พบว่ามันคือเครื่องดักฟังขนาดจิ๋ว จ้าวถิงเกอลองกดปุ่มเล็กๆ สองสามครั้ง แสงกระพริบเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นดับสนิทพร้อมกับหน้าจอที่ขึ้นว่าถ่านหมด ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดว่าเครื่องดักฟังมาอยู่บนรถส่วนตัวของตนได้อย่างไร นอกจากไป๋เฟิงอี๋กับหรงหยางลี่ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ขึ้นมานั่งเคียงคู่กับเขาในรถคันนี้ เมื่อลองคิดดูดีๆ จ้าวถิงเกอคิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของหรงหยางลี่เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขากับฝ่ายนั้นก็ถือเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน แม้ว่าหากอีกฝ่ายต้องการจะแบล็กเมล์เขาก็คงไม่เลือกใช้วิธีการเด็กๆ แบบนี้ ดังนั้น ความเป็นไปได้จึงน่าจะเป็นฝีมือของใครอีกคนเสียมากกว่า

ไป๋เฟิงอี๋ นายนี่น่าสนใจจริงๆ

จ้าวถิงเกอเผยรอยยิ้มกว้าง ทว่าแววตาคมกริบกลับเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบอย่างน่ากลัว



แม้เข็มนาฬิกาเคลื่อนเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว แต่ไป๋เฟิงอี๋ก็ยังคงนอนลืมตาโพลงในความมืด แววตาที่ปกติมักเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา บัดนี้เสมือนมีหมอกบางๆ ปกคลุมเอาไว้ ความปวดระบมเริ่มลามไปทั่วร่างหลังพายุอารมณ์ได้พัดผ่านไป เรือนกายเปลือยเปล่ามีร่องรอยขบเม้มประทับอยู่หลายจุด ไป๋เฟิงอี๋ยกมือขึ้นโอบกอดตัวเอง น่าแปลกที่ผิวเนื้อของเขายังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนๆ นั้น

หรงหยางเซิงกลับห้องของตัวเองไปได้สักพักแล้วเพราะเขาเป็นฝ่ายออกปากไล่ ไป๋เฟิงอี๋ไม่รู้ว่ายามนี้ตนควรจะรู้สึกอย่างไรดี การได้อยู่ในอ้อมกอดของหรงหยางเซิงเป็นสิ่งที่ตนปรารถนามาเนิ่นนาน ทว่าในความเป็นจริง อ้อมกอดนั้นไม่ได้อบอุ่นอย่างที่คิด เพราะมันไม่ใช่ความรัก ทว่าเป็นเพียงความโมโหผสมความใคร่ที่ถูกแสดงออกมาตามแรงขับทางเพศของมนุษย์ก็เท่านั้น

ก่อนหรงหยางเซิงเปิดประตูออกไปจากห้อง เขาได้ยินอีกฝ่ายกระซิบเบาๆ ว่าขอโทษ...

ขอโทษงั้นเหรอ...

ไป๋เฟิงอี๋นึกขำแต่ก็ขำไม่ออก คำขอโทษเป็นการบอกนัยๆ ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วแววตาลึกซึ้งที่มองเขายามร่วมรัก คำพูดชวนหวั่นไหวที่บอกว่าเขาเป็นของหรงหยางเซิงคนเดียว คำพูดพวกนั้น หรงหยางเซิงก็คงไม่ได้ตั้งใจเช่นกันกระมัง ไป๋เฟิงอี๋กัดริมฝีปากตัวเอง แววตาไหววูบเหมือนเปลวเทียนที่โดนลมพัดจนริบหรี่ ชายหนุ่มกดหน้าลงกับหมอนแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ
   

วันนี้ไป๋เฟิงอี๋ต้องไปร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของแบรนด์เครื่องสำอางยี่ห้อดัง แม้ความรู้สึกจากเหตุการณ์เมื่อคืนยังไม่ตกตะกอนดีนัก แต่ในเมื่อมันเป็นงาน เขาก็จำต้องฝืนใจปรับอารมณ์ให้ร่าเริง เตรียมรอยยิ้มให้พร้อมสู้กับกล้องและแสงแฟลช

เมื่อได้ส่องกระจกชัดๆ ในตอนเช้า ไป๋เฟิงอี๋ก็พบว่าร่องรอยบนตัวเขาที่เกิดจากฝีมือของใครคนนั้นมีเยอะกว่าที่คิด หากช่างแต่งหน้าหรือสไตลิสต์ที่กองสังเกตเห็นเข้าคงไม่เป็นการดีนัก ชายหนุ่มระบายลมหายใจบางก่อนใช้รองพื้นกับแป้งมาปกปิดรอยขบเม้มตรงซอกคอ แล้วเลือกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวปกสูงค่อนข้างมิดชิดกับกางเกงแสล็กขายาวเข้ารูป นึกภาวนาขอให้ไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยความผิดปกติพวกนี้ เพราะเขาเองก็ขี้เกียจหาเรื่องโกหกเพื่อเบี่ยงประเด็นเช่นกัน

การเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไป๋เฟิงอี๋พยายามโฟกัสอยู่ที่งานตรงหน้า ทว่ามีหลายครั้งที่เผลอคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ท่าทางแปลกๆ ของไป๋เฟิงอี๋ทำให้เหลายี่นึกเป็นห่วง ผู้จัดการส่วนตัวถามเขาตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไป๋เฟิงอี๋กลับบอกเพียงว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่เพราะเขาไม่ไว้ใจเหลายี่ แต่เป็นเพราะเขาเองต่างหากที่ยังจัดการกับความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้ไม่ได้...

แน่นอนว่าเขาไม่พอใจหรงหยางเซิงที่ทำเหมือนเขาเป็นเพียงที่ระบายความใคร่ แต่ในใจกลับไม่ได้นึกโกรธขึ้งอย่างที่ควรจะเป็น สัมผัสวาบหวามจากคนๆ นั้นทำให้ไป๋เฟิงอี๋สูญเสียความเป็นตัวเองได้อย่างง่ายดาย

“เสร็จจากงานนี้แล้ว วันนี้ยังมีตารางนัดใครอีกไหม” ไป๋เฟิงอี๋ถามเหลายี่ วันนี้เขารู้สึกค่อนข้างเพลียเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน เลยอยากจะรีบกลับบ้านไปพักเพราะพรุ่งนี้มีนัดจะต้องเข้าไปคุยรายละเอียดกับทีมผู้จัดเกี่ยวกับการเปิดกล้องซีรีส์เรื่องใหม่เร็วๆ นี้

“วันนี้ไม่มีงานต่อแล้ว ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะให้รถไปส่งนายที่บ้านนะ” ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้า ระหว่างที่กำลังรอเหลายี่เก็บของเพื่อออกจากสตูดิโอ ทีมงานคนหนึ่งก็หอบดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ แล้วบอกว่าใครบางคนใช้บริการแมสเซนเจอร์ส่งมันมาให้เขา

ไป๋เฟิงอี๋รับดอกไม้ช่อนั้นมาถือเอาไว้แล้วหยิบการ์ดเล็กๆ ที่แนบมาด้วยคลี่ออกอ่าน ในนั้นมีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ถูกเขียนด้วยลายมือที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไป๋เฟิงอี๋ฉีกการ์ดนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วปล่อยมันร่วงลงพื้นอย่างไม่ไยดี

การส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีกับนักแสดงในโอกาสสำคัญถือเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ตลอด วันนี้ที่ไป๋เฟิงอี๋ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็ได้รับช่อดอกไม้ร่วมสิบกว่าช่อ ทั้งจากทีมงานและแฟนคลับของเจ้าตัว แต่ไม่มีช่อไหนที่ใหญ่และหรูหราเทียบเท่าช่อที่ชายหนุ่มกำลังถืออยู่ตอนนี้

ดอกไม้ช่อพิเศษนี้ถูกจัดให้คุมโทนสีแดง ส้มและน้ำตาล สะท้อนอารมณ์ปลายฤดูใบไม้ร่วง เหลายี่อดคิดไม่ได้ว่าคนที่ส่งดอกไม้ช่อนี้มาให้ไป๋เฟิงอี๋นอกจากจะมีฐานะแล้วยังมีรสนิยมดีไม่เบา ดอกไม้แต่ละสายพันธุ์ที่ถูกเลือกมาประดับช่อเป็นดอกไม้เมืองร้อนหายากแถมราคาสูงลิ่ว ความหมายของดอกไม้พวกนี้ก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน แต่ที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่งก็คือปฏิกิริยาของคนรับ

“เกิดอะไรขึ้นอาเฟิง ใครส่งมาให้น่ะ”

ไป๋เฟิงอี๋เหลือบตามองช่อดอกไม้ในอ้อมแขนแล้วแม้มปากแน่น ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลกำลังตื้ออยู่ในอก

“ฝากจัดการด้วยครับ” ไป๋เฟิงอี๋ยื่นช่อดอกไม้ให้เหลายี่รับไปถือ ปกติไป๋เฟิงอี๋จะไม่นำช่อดอกไม้ที่ได้รับจากงานต่างๆ กลับบ้าน แต่จะให้เหลายี่เอาไปแจกจ่ายให้กับทีมงานแทน เพราะถือว่าดอกไม้แสดงความยินดีกับความสำเร็จสมควรจะเป็นของทุกๆ คน แต่คราวนี้เหลายี่คิดไม่ถึงว่าไป๋เฟิงอี๋จะกล้าหักใจทิ้งดอกไม้ราคาแพงช่อนี้ได้ลงคอ

“ถ้าอย่างนั้นนายรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันไปเรียกทีมงานมาขนพวกช่อดอกไม้ที่เหลือ รวมถึง... ช่อนี้ด้วย ว่าแต่นายอยากถ่ายรูปเก็บไว้ไหม เห็นช่ออื่นๆ ก็ถ่ายรูปนี่”

ไป๋เฟิงอี๋มองดอกไม้ช่อนั้นอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็หักใจทิ้งไม่ลง ดอกไม้พวกนี้ไม่ผิดสักนิด คนที่ผิดก็คือคนที่ส่งมันมาให้เขาต่างหาก


Aislin: มาอัพนิยายให้แล้วค่ะ หลังจากที่ตัดฉึบไปเมื่อตอนที่แล้ว ไม่แน่ใจว่ายังมีคนรออ่านอยู่ไหม ใครที่ยังติดตามอ่านอยู่ อิซลินขอบคุณมากเลย เพราะนิยายเงียบเหงามาก ฮาๆ

   ตอนนี้อาหยางก็เริ่มแสดงความอ่อนโยนให้เห็นบ้างแล้ว ก็ได้แต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเปิดใจจริงๆ จังๆ เสียทีน้า อย่าลืมเอาใจช่วยไปพร้อมกันนะคะ

   สุดท้ายนี้ ยังคงขายของต่อเนื่อง ใครที่อยากมีรูปเล่มไว้ครอบครอง ตอนนี้เปิด pre-order อยู่นะคะ (ถึงวันที่ 20 เมษายน 63) รอบพรีฯ จะเป็นราคาพิเศษ 380 บาท และแถมโปสการ์ดลายหน้าปกนิยาย สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ใน คลิ๊ก หรือในแฟนเพจ (www.facebook.com/aislin.napoon) กับ Twitter (@aislin_novel) เรื่องนี้ใช้ #รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย นะคะ
       ปล. เจอกันตอนหน้าเร็วๆ นี้ค่ะ ^^

ออฟไลน์ Aislin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-1
Chapter 21: You keep me drowning in your love

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหรงในตอนเย็น ไป๋เฟิงอี๋ถามจากแม่บ้านก็ได้ความว่าฮั่วเซียงหลิงออกไปหาเพื่อนและคงกลับดึก ส่วนหรงหยางเซิงกำลังพักผ่อนอ่านหนังสืออยู่ในสวน ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋จะเดินเลี่ยงขึ้นห้องนอน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขามีบางอย่างต้องถามหรงหยางเซิงให้ชัดเจน

หรงหยางเซิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะสนามอัลลอยน์สีขาวในสวน แสงสุดท้ายของวันตกกระทบเสี้ยวหน้าหล่อเหลาชวนให้รู้สึกถึงบรรยากาศสูงส่งที่แผ่ออกมาจากร่างสูง เสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ทำให้หรงหยางเซิงวางหนังสือในมือลงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไป๋เฟิงอี๋กำลังเดินมาทางนี้พร้อมช่อดอกไม้ในอ้อมแขน

“ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”
   
“ชอบหรือเปล่า” ไป๋เฟิงอี๋แค่นเสียงเย็นชา เขารู้ว่าหรงหยางเซิงหมายถึงอะไร
   
“ยินดีด้วยและขอโทษ” การ์ดแผ่นเล็กนั้นเขียนเอาไว้เพียงเท่านี้ “เฮอะ... หรงหยางเซิง นายคิดว่าทุกอย่างมันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ”
   
“ขอโทษ” หรงหยางเซิงเอ่ยคำๆ นี้ออกมาอีกครั้ง ไป๋เฟิงอี๋เบือนหน้าไปอีกทาง เก็บซ่อนสายตาไม่ให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขากำลังหวั่นไหวแค่ไหนกับคำขอโทษอย่างจริงใจเช่นนี้
   
“ถ้านายไม่ได้คิดอะไร... วันหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก คำขอโทษใช่ว่าจะทดแทนความรู้สึกที่เสียไปได้หรอกนะ แล้วก็ดอกไม้นี่...”

“ให้เนื่องในโอกาสแสดงความยินดี หวังว่านายจะรับไว้” ไป๋เฟิงอี๋หลุบตาลงต่ำ สายตาจับจ้องอยู่ที่ดอกไม้สีแดงนำเข้าจากต่างประเทศราคาแพงหูฉี่ แล้วเอ่ยเสียงเบา

“ถ้าหากฉันไม่อยากรับไว้ล่ะ”

“คนให้ก็คงเสียใจ” คำตอบของหรงหยางเซิงทำให้กำแพงในใจที่ไป๋เฟิงอี๋เพียรสร้างขึ้นพังทลายลงอย่างง่ายดาย “ไม่ชอบจริงๆ น่ะเหรอ” ไป๋เฟิงอี๋ระบายลมหายใจบาง สุดท้ายเขาก็ใจแข็งใส่หรงหยางเซิงไม่ลง

“ถ้าไม่ชอบ ก็คงทิ้งไว้ที่สตูดิโอ ไม่หอบกลับมาที่บ้านหรอก”

“ถ้าอย่างนั้น อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

ไป๋เฟิงอี๋อยากถามเหลือเกินว่าการที่ตนอารมณ์ดีหรือไม่ดีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหรงหยางเซิงด้วย ที่ผ่านมาก็ต่างคนต่างอยู่มาโดยตลอด ควรล่ะที่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืน หรงหยางเซิงคิดอยากขอโทษ แต่การทำเหมือนอยากเอาอกเอาใจเขาเช่นนี้ดูผิดวิสัยเจ้าตัวไปสักหน่อย แม้ลึกๆ ไป๋เฟิงอี๋พยายามเตือนตัวเองว่าอีกฝ่ายมาทำดีด้วยเพราะอยากไถ่โทษหรือพยายามจะขอบคุณเรื่องที่ตนช่วยเรื่องหุ้นบริษัท แต่อีกใจก็อดรู้สึกหัวใจพองฟูไม่ได้ หากสุดท้ายเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน อย่างน้อยคนโง่งมในความรักอย่างเขาก็ยังเคยฝันดีสักครั้งในชีวิต

“บอกไว้ก่อนว่าเรื่องนั้นฉันไม่หายโกรธง่ายๆ หรอกนะ”

“แล้วต้องทำยังไงนายถึงจะหายโกรธ”

“ให้นายไปคิดเอาเอง”

ไป๋เฟิงอี๋หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ ทิ้งให้หรงหยางเซิงมองตามพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่เผยชัดเจนกว่าที่เคย



หลังจากรับแต่งานอีเว้นท์กับพรีเซ็นเตอร์มาได้สักพัก ไป๋เฟิงอี๋จึงตัดสินใจรับงานถ่ายซีรีส์เรื่องใหม่เพราะเห็นว่าบทน่าสนใจ ทั้งยังได้ประกบคู่กับนางเอกชื่อดัง โปรดักชั่นของซีรีส์เรื่องนี้ก็ลงทุนไม่น้อย ซึ่งการมีผลงานการแสดงออกมาเรื่อยๆ จะทำให้เขาอยู่ในกระแสของสื่อตลอดเวลา และยังเป็นฐานสำคัญสำหรับการต่อยอดไปสู่งานอื่นๆ แต่เนื่องจากการถ่ายซีรีส์เป็นงานค่อนข้างหนักและกินเวลานานถึงเกือบสามเดือน ดังนั้น ไป๋เฟิงอี๋จึงต้องอาศัยช่วงที่ยังไม่ได้เปิดกล้องเคลียร์งานอื่นๆ ที่คั่งค้างให้เรียบร้อย รวมถึงงานพรีเซ็นเตอร์ชิ้นล่าสุดที่เขาเพิ่งตัดสินใจรับมา คราวนี้สินค้าคือน้ำหอมยี่ห้อดังจากฝั่งอังกฤษ

การเทสต์กลิ่นน้ำหอมและถ่ายทำสปอตโฆษณาผ่านไปอย่างราบรื่น ไป๋เฟิงอี๋เพิ่งค้นพบว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นคนที่มีนิสัยทุ่มสุดตัวหากเป็นสิ่งที่รัก เขารักงานแสดงและในฐานะนักแสดง เขาทุ่มเททำงานโดยไม่เคยปริปากบ่น ความยากก็คือความท้าทาย เช่นเดียวกับเรื่องหัวใจ ลองเขาได้รักใคร เขาก็จะทุ่มเทหัวใจให้คนๆ นั้น แม้มีหลายครั้งที่สมองสั่งให้ตัดใจ ให้รู้จักหวาดกลัวกับความผิดหวัง ทว่าในท้ายที่สุด หัวใจกลับยังดึงดันจะรักแค่คนนั้นเพียงคนเดียวอยู่ร่ำไป

“เอาล่ะ วันนี้ขอบคุณทุกคนมาก เลิกกองได้” เสียงเฮของทีมงานดังลั่นเมื่อผู้กำกับสั่งเลิกกอง

ไป๋เฟิงอี๋เดินไปหาผู้กำกับเพื่อเช็กเทปที่เพิ่งถ่ายไปล่าสุดว่ามีจุดไหนต้องถ่ายซ่อมวันอื่นหรือเปล่าเพื่อเขาจะได้ให้เหลายี่ช่วยกันคิวงานไว้ให้ แต่ผู้กำกับบอกว่าเท่าที่เช็กคร่าวๆ ภาพรวมโอเคแล้ว ถ้าหากมีซ่อมตรงจุดไหนก็จะให้ทีมงานติดต่อไปอีกที

“ไม่บ่อยหรอกนะที่จะเห็นคนหนุ่มใส่ใจกับการทำงานอย่างคุณ ถ้ารักษามาตรฐานและวินัยอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมว่าอนาคตคุณจะต้องไปได้ไกลแน่” ผู้กำกับเผิงตบไหล่ชมไป๋เฟิงอี๋ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับอย่างถ่อมตน “เอ้อ แต่อย่าหาว่าผมพูดมากเลยนะ สิ่งหนึ่งที่พวกนักแสดงดาวรุ่งต้องจำไว้ให้แม่นคืออย่าเผลอปล่อยให้ตัวเองมีข่าวฉาวเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น เฮ้อ... ร่วงมาหลายต่อหลายคนแล้ว”

ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มละไม เรื่องนี้เขารู้ดี อยู่ในวงการนี้ ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด วันนี้ได้รับเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ วันหน้าก็ถูกปลดออกได้เช่นกัน

ไป๋เฟิงอี๋พูดคุยกับผู้กำกับเผิงอีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับ แต่ทีมงานมาแจ้งว่ามีแขกรอพบเขาอยู่นานแล้ว ไป๋เฟิงอี๋นึกรู้ทันทีว่าแขกคนนี้น่าจะไม่ธรรมดาเพราะปกติกองถ่ายจะไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งย่าม ซึ่งสิ่งที่ชายหนุ่มคิดไว้นั้นถูกต้อง เพราะแขกคนนั้นก็คือจ้าวถิงเกอนั่นเอง

“คุณชายไป๋ช่วงนี้มีงานพรีเซ็นเตอร์เข้าถี่เลยนะครับ เปิดโทรทัศน์หรือเข้าอินเทอร์เน็ตแต่ละครั้ง ยังไงก็ต้องเจอหน้าคุณตามสื่อโฆษณาหลัก” จ้าวถิงเกอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มสบายๆ ไป๋เฟิงอี๋ยิ้มรับ

“ช่วงกอบโกยนี่ครับ อนาคตถ้ากระแสหมด งานหดหาย ผมจะได้มีเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ต้องลำบาก”

“พูดเหมือนกับคุณไม่มีตระกูลหรงหนุนหลัง”

“ผมไม่ใช่ทายาทสืบสายเลือดของตระกูลหรงเสียหน่อย แค่ทุกวันนี้อาหยางไม่ไล่ผมออกจากบ้านก็ขอบคุณเขามากแล้ว” ไป๋เฟิงอี๋พูดติดตลก ในใจก็นึกเดาว่าหรงหยางเซิงตอนแรกก็คงอยากจะทำเช่นนั้น แต่ติดที่ว่าเขากับมารดาดันยื่นมือสนับสนุนให้หรงหยางเซิงนั่งตำแหน่งประธาน ดังนั้น ถ้าหากหรงหยางเซิงกล้าออกปากไล่เขากับมารดาออกจากคฤหาสน์ตระกูลหรงจริงๆ ก็ดูไร้น้ำใจเกินไปแล้ว

“ถ้าหากคุณชายหรงอยากจะไล่คุณชายไป๋ออกจากบ้านจริงๆ เขาคงไม่ส่งดอกไม้ช่อโตมาให้หรอกจริงไหมครับ” คำพูดของจ้าวถิงเกอทำให้ไป๋เฟิงอี๋หน้าผิดสีไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“ว่าแต่คุณจ้าวลำบากมาหาผมถึงที่นี่ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมเอาของบางอย่างมาคืนให้คุณชายไป๋” ไป๋เฟิงอี๋เลิกคิ้ว จากนั้นมุมปากที่ทำท่าจะคลี่ยิ้มก็พลันแข็งค้างเมื่อเห็นว่าจ้าวถิงเกอล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นมาตรงหน้าเขา

เครื่องดักฟังขนาดจิ๋ว...

“คุณน่าจะลืมเอาไว้บนรถผม” แววตาของจ้าวถิงเกอเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ แม้ริมฝีปากยังประดับยิ้มน้อยๆ “ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตาม”

“นี่อะไรเหรอครับ ไม่น่าใช่ของผมนะ คุณจ้าวคงเข้าใจผิดแล้ว” การเป็นนักแสดงทำให้ไป๋เฟิงอี๋สามารถปรับสีหน้าและเก็บซ่อนอารมณ์ให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ทว่าทุกอากัปกริยาของชายหนุ่มตกอยู่ภายใต้การจับจ้องของจ้าวถิงเกอโดยตลอด

“อย่างนั้นผมคงเข้าใจผิดไป ต้องขอโทษด้วย” จ้าวถิงเกอไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขายังมีอีกหลายอย่างเก็บไว้เล่นสนุกกับไป๋เฟิงอี๋

“ไม่เป็นไรครับ ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นกันได้เสมอนั่นแหล่ะ”

“นั่นน่ะสิครับ อย่างคุณชายไป๋คงไม่ทำอะไรแผลงๆ แบบนี้ การรู้มากเกินไปไม่ใช่สิ่งที่ดี โดยเฉพาะบางเรื่องที่ไม่สมควรรู้” จ้าวถิงเกอหัวเราะเย็นชาก่อนหย่อนเก็บเครื่องดักฟังเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม

“อย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ วันนี้ทำงานหนักมาทั้งวัน อยากกลับไปพักผ่อนที่บ้านจะแย่แล้ว” ไป๋เฟิงอี๋ไม่เปิดช่องให้จ้าวถิงเกอเข้าถึงตัวแบบเมื่อก่อน และคนอย่างจ้าวถิงเกอก็ไม่น่าไร้มารยาทเซ้าซี้หากเขาพูดชัดเจนว่าต้องการพักผ่อนเป็นการส่วนตัว

“กลับดีๆ นะครับ วันหลังพบกันใหม่” จ้าวถิงเกอมองตามไป๋เฟิงอี๋ที่เดินออกไปจากสตูดิโอพร้อมเหลายี่จนลับสายตา รอยยิ้มมุมปากค่อยๆ คลายลงจนใบหน้ามีแต่เค้าความเย็นชาและเหี้ยมเกรียม

นี่คือการเตือนครั้งแรก และจะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว...



หลังแยกจากจ้าวถิงเกอ ไป๋เฟิงอี๋ไม่ได้กลับคฤหาสน์ตระกูลหรงในทันทีอย่างที่ตั้งใจไว้เดิม ชายหนุ่มบอกให้เหลายี่ช่วยโทรนัดจุ้ยฮวาให้มาเจอเขา ส่วนสถานที่นัดพบที่พอจะเป็นส่วนตัวเท่าที่ไป๋เฟิงอี๋คิดออกในตอนนี้ก็คือที่พักของเหลายี่

หลังจากเกิดเรื่องกับจุ้ยฮวาที่ผับ ไป๋เฟิงอี๋ขอร้องให้ฮั่วเซียงหลิงช่วยให้จุ้ยฮวาได้ทำงานที่บริษัทตระกูลหรง ปัจจุบันหญิงสาวจึงทำงานอยู่ที่แผนกไอที เป็นผู้ช่วยวิศวกรดูแลระบบภายในของบริษัท ช่วงที่ผ่านมา ไป๋เฟิงอี๋มัวแต่ยุ่งอยู่กับหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการเสียชีวิตของบิดาบุญธรรมและเรื่องงานที่ค่อนข้างรัดตัว จึงไม่ค่อยได้เจอหน้าเพื่อนคนนี้มากนัก แต่บางวันหากมีเวลาก็ยังโทรศัพท์ติดต่อกันบ้าง ซึ่งล่าสุดเขาได้ไหว้วานให้จุ้ยฮวาช่วยเหลือบางอย่าง
   
“ได้เรื่องอะไรบ้างไหม” ไป๋เฟิงอี๋ถามโดยไม่เสียเวลาอ้อมค้อม สิ่งที่เขาขอให้จุ้ยฮวาช่วยก็คือการถอดเสียงจากเครื่องดักฟังที่ตนแอบเอาไปซ่อนไว้ในรถของจ้าวถิงเกอ ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
   
“เท่าที่แกะมาได้ จ้าวถิงเกอคุยกับผู้ชายคนนึง แต่ยังไม่ทันได้รู้เรื่อง ถ่านก็ดันหมดเสียก่อน” จุ้ยฮวาพูดพร้อมกับเปิดไฟล์เสียงที่เซฟเก็บไว้ในมือถือให้ไป๋เฟิงอี๋กับเหลายี่ลองฟังดู
   
"ผู้ชายที่อยู่กับจ้าวถิงเกอคือหรงหยางลี่” ไม่ผิดแน่... แม้เขาจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอน้องชายของบิดาบุญธรรมเท่าใดนัก แต่ก็ยังคุ้นเสียงของฝ่ายนั้นอยู่ดี
   
“เรื่องลอบฆ่าเจ้าสัวหรง คนที่น่าสงสัยเดิมมีหรงหยางลี่ที่เคยขัดแย้งเรื่องการบริหารงานในบริษัท แต่กลายเป็นว่า
หรงหยางลี่มีการติดต่อกับจ้าวถิงเกอ เรื่องนี้มันชักจะแปลกๆ อยู่นะ” เหลายี่ออกความเห็น “เป็นไปได้ไหมที่สองคนนี้ร่วมมือกันจัดการกับเจ้าสัวหรง เพราะถ้าหากเจ้าสัวหรงไม่อยู่แล้ว อำนาจบริหารก็จะตกเป็นของหรงหยางลี่ที่เป็นน้องชาย แต่กลับผิดแผนไปนิดหน่อยเรื่องที่นายกับแม่เปลี่ยนใจสนับสนุนหรงหยางเซิงในนาทีสุดท้าย”
   
“จากคลิปดักฟังที่อัดมายืนยันได้แค่ว่าสองคนนี้มีการติดต่อกันจริง แต่เรื่องที่ว่าทั้งคู่เกี่ยวข้องยังไงกับการเสียชีวิตของพ่อบุญธรรม ผมยังไม่กล้าสรุป”
   
“น่าเสียดายที่ถ่านหมด ไม่อย่างนั้นเราคงได้รู้เรื่องมากกว่านี้” จุ้ยฮวายักไหล่ “นายเองก็ซ่าเอาเรื่องนะอาเฟิง คิดยังไงถึงได้เอาเครื่องดักฟังไปซ่อนไว้ในรถของจ้าวถิงเกอ” ตอนแรกที่ไป๋เฟิงอี๋โทรมาขอร้องให้เธอช่วยดักฟังการสนทนา เธอถึงกับอึ้งไปเลย เพราะนอกจากเสี่ยงโดนจับแล้ว วิธีหาข่าวแบบนี้ยังผิดกฎหมายอีกด้วย
   
“แถมตอนนี้เจ้าตัวดันรู้ตัวแล้วอีกต่างหาก” เหลายี่เล่าเรื่องที่จ้าวถิงเกอมาหาไป๋เฟิงอี๋ที่สตูดิโอให้จุ้ยฮวาฟัง

แผนการแอบเอาเครื่องดักฟังไปไว้ในรถของจ้าวถิงเกอเกิดขึ้นจากการที่ไป๋เฟิงอี๋บังเอิญได้ยินทีมงานผู้หญิงในกองถ่ายพูดว่าตัวเองซื้อเครื่องดักฟังไว้ติดตามพฤติกรรมของสามี เมื่อลองศึกษาเรื่องประสิทธิภาพของเจ้าเครื่องดักฟังตัวจิ๋ว ไป๋เฟิงอี๋จึงคิดว่าไม่เลวหากจะขอยืมเจ้าเครื่องนี้มาทดสอบดูกับจ้าวถิงเกอ หากโชคเข้าข้าง เขาก็คงได้หลักฐานเด็ดๆ มาช่วยหรงหยางเซิงปิดคดีพ่อบุญธรรมและลากคนตัวคนเลวไปรับโทษ แต่สุดท้ายก็ดันคว้าน้ำเหลว
   
“หลังจากนี้พวกนั้นก็คงจะระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม โอกาสจะหาหลักฐานเพิ่มก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก” ไป๋เฟิงอี๋ขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาแฝงความเคร่งเครียดอยู่หลายส่วน จุ้ยฮวาเห็นดังนั้นจึงรีบปลอบ มีเหรอที่เธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
   
“เอาน่า ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ปัญหาไป ฉันรู้ว่านายอยากช่วยอาหยาง แต่อย่ากดดันตัวเองจนเกินไปเลยนะอาเฟิง ถ้าอาหยางรู้ เขาก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน”

คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงแค่ไป๋เฟิงอี๋ เหลายี่และจุ้ยฮวา ตอนแรกไป๋เฟิงอี๋คิดว่าหากหาหลักฐานที่แน่นหนาได้แล้วจึงค่อยบอกเรื่องนี้กับหรงหยางเซิง เขาอยากรอให้แน่ใจเสียก่อน ลำพังการรับผิดชอบงานที่บริษัทตระกูลหรงในฐานะประธานกรรมการบริหารก็หนักหนาอยู่แล้ว เขาไม่อยากให้หรงหยางเซิงต้องมาพะวักพะวงกับเรื่องที่ยังเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเช่นนี้

“จุ้ยฮวาพูดถูก ตอนนี้เราคงต้องพยายามหาทางเลี่ยงจ้าวถิงเกอไปสักระยะ แววตาคุณจ้าวคนนี้ดูไม่น่าไว้ใจเลย”

ไป๋เฟิงอี๋พยักหน้า ครั้งแรกที่เจอกัน จ้าวถิงเกอเข้าหาเขาด้วยความเป็นมิตร แม้คำพูดจะแฝงความเจ้าเล่ห์แบบนักธุรกิจบ้างก็ไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องเก็บมาใส่ใจ ทว่าวันนี้หลังจากที่อีกฝ่ายเตือนแกมขู่เขาอ้อมๆ เรื่องเครื่องดักฟัง เขาก็ชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าต่อจากนี้จ้าวถิงเกอจะเข้าหาเขาในรูปแบบใด...

มิตร...ศัตรู... หรือศัตรูในคราบมิตร


Aislin: สวัสดีค่ะ ดีใจที่ทุกคนยังเข้ามาติดตามเรื่องนี้กันนะคะ เนื้อหาเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว และจะเข้มข้นขึ้นในทุกๆ ตอน ยังไงฝากตามเชียร์อาหยางกับอาเฟิงต่อไปด้วยนะคะ ตอนหน้าแอบแง้มๆ ว่าจะเป็นอีกจุดพลิกผันหนึ่งของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ จะเป็นเรื่องอะไรนั้น รอติดตามเด้อ

ปล. ไหนๆ ก็ขอขายของอีกสักนิด เราจะขายจนกว่าคุณจะซื้อ ฮาๆๆ ตอนนี้นิยายเปิด pre-order อยู่นะคะ (ปิด 20 เม.ย.63) ใครชอบเรื่องนี้ ฝากตามไปอุดหนุนด้วยค่ะ กดเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/aislin.napoon หรือ follow Twitter @aislin_novel (#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย) ได้เลยค่ะ ราคาพิเศษเล่มละ 380 รวมส่งลงทะเบียน บอกเลยว่าสวยงามควรค่าแก่การเก็บสะสมมากๆ สนใจเชิญ คลิ๊ก!

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด