Chapter 19: Our feeling is so deepหรงหยางเซิงทอดสายตามองมหานครเมือง S ยามบ่ายจากชั้นดาดฟ้าของอาคารบริษัท เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับไปมอง
“ยินดีด้วยกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคนใหม่” ฮั่วเซียงหลิงเอ่ยขึ้น ทว่าไม่มีเค้าความยินดีเจืออยู่ในน้ำเสียงของเธอเลยสักนิด
“คิดจะทำอะไรของคุณ”
“สนับสนุนเธอไง” หรงหยางเซิงแค่นเสียง
“ถ้าพูดว่าอยากจะเยียบผมให้จมดิน ยังน่าเชื่อถือเสียกว่า”
“อันที่จริงก็ถูกอย่างที่เธอพูด ตอนแรกฉันตั้งใจจะทำแบบนั้นแหล่ะ แต่ว่าอาเฟิง... เขามาขอไว้” ชื่อของบุคคลที่สามทำให้หรงหยางเซิงชะงักไป
“เกี่ยวอะไรกับไป๋เฟิงอี๋”
“ตอนแรกฉันตั้งใจจะสนับสนุนหรงหยางลี่เพราะอยากสั่งสอนและให้บทเรียนกับความยโสของเธอ แต่ว่าเมื่อคืน อาเฟิงไปหาฉันที่ห้องและคุกเข่าขอร้องให้ฉันเปลี่ยนใจมาสนับสนุนเธอแทน เขาพูดว่า...” ฮั่วเซียงหลิงสบตาหรงหยางเซิงแล้วเค้นเสียง “ถ้าแม่รักผม ก็ขอให้แม่เอ็นดูและสนับสนุนอาหยางที่เป็นสายเลือดแท้ๆ ของพ่อบุญธรรมด้วย”
พอหรงหยางเซิงได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไป ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าไป๋เฟิงอี๋จะมีน้ำใจลึกล้ำต่อเขาถึงเพียงนี้ ที่เขาเคยขอร้องให้ไป๋เฟิงอี๋ช่วยลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทเพราะว่าตอนนั้นเขากำลังมีปัญหาทางการเงินและขาดสภาพคล่อง จึงออกปากขอร้องให้ไป๋เฟิงอี๋ที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้างช่วยซื้อหุ้นจำนวนนั้นเก็บไว้ก่อนเพราะรู้ดีว่าคงพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากมารดาเลี้ยงไม่ได้แน่ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนั้นก็คือการหาวิธีรวบรวมหุ้นให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจในบริษัท หรงหยางเซิงตั้งใจว่าถ้าหากสถานะการเงินของเขากลับมาดีขึ้นแล้วก็จะมาขอซื้อหุ้นคืนจากฝ่ายนั้น แต่สุดท้ายนอกจากจะช่วยซื้อหุ้นแล้ว ไป๋เฟิงอี๋ยังช่วยเกลี้ยกล่อมฮั่วเซียงหลิงให้ยอมออกหน้าช่วยเขาในงานประชุมวันนี้อีกด้วย
“เอาเถอะ ที่ฉันช่วยก็เพราะเห็นแก่อาเฟิงที่ยอมทนคุกเข่าอ้อนวอนเป็นชั่วโมง ความจริงเธอก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของสามีฉัน สนับสนุนเธอก็คงเหมาะสมกว่าการไปสนับสนุนคนอื่น” ฮั่วเซียงหลิงถอนหายใจแรง ถ้าหากเมื่อคืนไป๋เฟิงอี๋ไม่ไปขอร้องเธอล่ะก็ เธอไม่มีวันยอมออกหน้าช่วยเหลือหรงหยางเซิงแน่ เพราะการก้าวเข้ารับตำแหน่งสูงสุดของหรงหยางเซิงอาจทำให้สถานะของเธอกับลูกในตระกูลหรงภายภาคหน้าต้องพบกับความลำบาก ฮั่วเซียงหลิงรู้ดีว่าคนตรงหน้ายังคงฝังใจเรื่องที่เธอเป็นต้นเหตุการตรอมใจจนเสียชีวิตของมาดามหรงคนก่อน
“ไป๋เฟิงอี๋... เขาอยู่ไหน” หรงหยางเซิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติมาก
“วันนี้อาเฟิงมีงานเลยมาไม่ได้” ฮั่วเซียงหลิงสบตากับลูกเลี้ยงแล้วตัดสินใจเอ่ยตรงๆ “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเธอจะเกลียดฉันแค่ไหนเรื่องแม่ของเธอ แต่เรื่องนี้อาเฟิงไม่เกี่ยวอะไรด้วย ตั้งแต่มัธยมจนถึงตอนนี้ เขาชื่นชมพี่ชายนอกสายเลือดอย่างเธอมาก ดังนั้น ได้โปรดอย่าเกลียดอาเฟิงเพียงเพราะเขาเป็นลูกชายของฉัน”
หรงหยางเซิงหลับตาลง เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ในอก ประโยคสุดท้ายของฮั่วเซียงหลิงยังคงก้องอยู่ในห้วงความคิดแม้ว่าเจ้าตัวจะเดินจากไปไกลแล้ว
“สิ่งเดียวที่ฉันอยากได้ตอบแทนสำหรับเรื่องวันนี้ นั่นก็คือขอเพียงเธอเปิดใจยอมรับอาเฟิงบ้าง... แค่สักนิดก็ยังดี”
หรงหยางเซิงให้เกาเสิ่นโทรเช็กตารางงานวันนี้ของไป๋เฟิงอี๋จากเหลายี่ ได้ความว่าไป๋เฟิงอี๋มีคิวถ่ายรายการวาไรตี้ที่สตูดิโอของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง และกำหนดเลิกงานคือช่วงเย็น ดังนั้น หรงหยางเซิงจึงวานให้เกาเสิ่นช่วยจองร้านอาหารให้ เขามีหลายเรื่องอยากคุยกับไป๋เฟิงอี๋ โดยเฉพาะเรื่องที่อีกฝ่ายยื่นมือช่วยเขาเรื่องหุ้นบริษัท
เมื่อมาถึงสถานีโทรทัศน์ หรงหยางเซิงพบเพียงเหลายี่ ส่วนคนที่เขาตั้งใจขับรถมาหากลับไม่อยู่เสียแล้ว เหลายี่บอกว่าไป๋เฟิงอี๋เพิ่งออกจากสตูดิโอไปได้ไม่นานนัก คลาดกับชายหนุ่มเพียงไม่กี่นาที
“ไป๋เฟิงอี๋ออกไปไหน และไปกับใคร” หรงหยางเซิงฝากเหลายี่บอกไป๋เฟิงอี๋ล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะมารับที่สตูดิโอหลังเลิกงาน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมรอเขา
“เอ่อ...” ที่จริงไป๋เฟิงอี๋สั่งไม่ให้เหลายี่บอก แต่เมื่อเห็นแววตาคาดคั้นของร่างสูง เหลายี่เลยต้องจำใจตอบ “อาเฟิงออกไปกับคุณจ้าวครับ”
“คุณจ้าว... จ้าวถิงเกออย่างนั้นเหรอ” เหลายี่พยักหน้า พอรู้ว่าไป๋เฟิงอี๋ออกไปกับใคร หรงหยางเซิงก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มเดินลิ่วออกไปจากสตูดิโอทันที ไม่สนใจเสียงเหลายี่ที่ร้องเรียกตามหลัง
จ้าวถิงเกอเหลือบมองไป๋เฟิงอี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ สลับกับมองท้องถนนเบื้องหน้า ไป๋เฟิงอี๋รูปงามหมดจด ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว คาง ปาก จมูก ทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นคนตรงหน้าช่างดูงดงามราวกับภาพวาดของจิตกรเอก คำพูดจารวมถึงการวางตัวก็ล้วนมีเสน่ห์ชวนให้หลงรักได้โดยง่าย จ้าวถิงเกอจึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนักแสดงดาวรุ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเวลาอันรวดเร็ว
“คุณแอบมองผมแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากร้านอาหารแล้ว” ไป๋เฟิงอี๋คลี่ยิ้มชวนมอง ส่วนจ้าวถิงเกอยักไหล่
“ก็คุณชายไป๋น่ามองเสียขนาดนี้” ผมจะอดใจไหวได้ยังไง ประโยคที่สอง จ้าวถิงเกอเพียงแค่คิด แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา
“ถ้าขืนยังมองผมอีก รถอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้นะครับ” ไป๋เฟิงอี๋ใช้น้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง ชายหนุ่มรู้ดีว่าจ้าวถิงเกอต้องการอะไร แต่สัญชาตญาณลึกๆ เตือนไป๋เฟิงอี๋ว่าผู้ชายคนนี้อันตรายไม่ต่างจากไฟ ดังนั้น อย่าเข้าใกล้มากจนเกินไปจะดีกว่า
“ผมดีใจมากเลยนะครับที่คุณชายไป๋ยอมให้เกียรติออกมาดินเนอร์กับผม”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณจ้าว ดินเนอร์มื้อนี้อร่อยมากครับ” ถ้าไม่เพราะข่าวที่เพิ่งได้ยินมาทำให้เขานึกสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวถิงเกอกับหรงหยางลี่จนอยากสืบเรื่องนี้ให้ชัดแล้วล่ะก็ เขาคงไม่มีทางยอมไปไหนมาไหนกับอีกฝ่ายสองต่อสองแน่
เมื่อเช้าที่สตูดิโอ ผู้กำกับรายการของสถานีโทรทัศน์มาบรีฟงานกับเขา และยังทักขึ้นว่าเมื่อวันก่อนตนเห็นจ้าวถิงเกอ กับรองประธานหรงหยางลี่นัดพบกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดูท่าเรื่องที่สองตระกูลไม่ถูกกันน่าจะเป็นเพียงแค่ข่าวถือเท่านั้น
ไป๋เฟิงอี๋เพียงรับฟังโดยไม่ได้แสดงความเห็น ทว่าในใจกลับรู้สึกประหลาด หรงหยางเซิงเคยบอกเขาว่าตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกันมานาน ดังนั้น การที่ญาติห่างๆ ของเขาซึ่งเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนัดพบกับจ้าวถิงเกอเป็นการส่วนตัวจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่เป็นแน่
“อาหยางเคยบอกผมว่าตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ไป๋เฟิงอี๋ตัดสินใจลองเลียบเคียงถามเรื่องนี้กับจ้าวถิงเกอดู
“อันที่จริงก็เป็นความขัดแย้งมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแล้วล่ะครับ ตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งคู่ ดังนั้น เรื่องการชิงดีชิงเด่นในโลกธุรกิจก็คงหลีกเลี่ยงได้ยาก ตอนแรกผมคิดว่าถ้าหมดยุคของเจ้าสัวหรงหยางเค่อไปแล้ว สองตระกูลอาจจะพอญาติดีกันได้ แต่ดูท่าทางผมคงหวังมากเกินไป” จ้าวถิงเกอถอนหายใจบาง ไป๋เฟิงอี๋เองก็พอจะนึกออก ท่าทางแข็งกร้าวที่หรงหยางเซิงมีต่อจ้าวถิงเกอเขาเองก็เคยเห็นมากับตา
“อาหยางเป็นคนที่ไม่ค่อยมีทักษะด้านการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ คุณจ้าวอย่าคิดมากเลย”
“ได้ข่าวว่าวันนี้คุณชายหรงเพิ่งได้รับการโหวตให้ขึ้นเป็นประธานกรรมการบริหาร” จ้าวถิงเกอเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าไปมองคนข้างๆ “ชนะคะแนนเพราะได้เสียงสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นคนสุดท้าย” ไป๋เฟิงอี๋รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหมายถึงเขา
“อาหยางเป็นคนมีความสามารถ ผมเชื่อว่าเขาต้องนำพาตระกูลหรงให้รุ่งโรจน์ได้แน่” น้ำเสียงของไป๋เฟิงอี๋เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ อย่างน้อยการสนับสนุนหรงหยางเซิงก็ดีกว่าการสนับสนุนหรงหยางลี่ที่เขายังเคลือบแคลงว่าฝ่ายนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของบิดาบุญธรรม “ว่าแต่คุณจ้าวล่ะครับ อยากให้ใครขึ้นเป็นประธานบริษัทตระกูลหรง” ไป๋เฟิงอี๋ใช้น้ำเสียงทีเล่นทีจริงถามคู่สนทนา จ้าวถิงเกอหัวเราะเสียงดัง
“สำคัญด้วยเหรอครับ ในเมื่อไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธาน ยังไงตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวก็เป็นคู่แข่งกันอยู่ดี”
“ก็สมมติว่าถ้าหากประธานไม่ใช่อาหยาง สองตระกูลก็อาจจะพอมีทางญาติดีกันได้” คราวนี้ไป๋เฟิงอี๋สบตากับจ้าวถิงเกอตรงๆ พยายามค้นหาความจริงจากดวงตาคู่นั้น แต่อีกฝ่ายกลับตอบไม่ตรงคำถามแล้วเลี่ยงมองท้องถนนเบื้องหน้าแทน
“แค่ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่เลวร้ายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันก็ดีมากแล้วล่ะครับ”
รถของจ้าวถิงเกอมาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ตระกูลหรง ไป๋เฟิงอี๋เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายที่อุตส่าห์ขับรถมาส่ง ทว่าตอนที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ แขนของไป๋เฟิงอี๋กลับถูกอีกฝ่ายรั้งไว้เสียก่อน
“ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหรงกับตระกูลจ้าวเป็นเรื่องธุรกิจ แต่ระหว่างผมกับคุณชายไป๋ไม่มีเรื่องธุรกิจพวกนี้มาเกี่ยวข้อง ดังนั้น คุณชายไป๋จะให้โอกาสผมได้หรือเปล่าครับ” ไป๋เฟิงอี๋ฉลาดพอที่จะรู้นัยของคำพูดประโยคสุดท้าย แต่เพราะไม่อยากเปิดทางให้กับจ้าวถิงเกอมากเกินไป จึงแกล้งสวมบทนักแสดงย้อนหน้าซื่อ
“สำหรับเพื่อน ผมให้โอกาสได้เสมอ” จ้าวถิงเกอยิ้มมุมปาก ไป๋เฟิงอี๋คนนี้น่าสนใจกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอมาเสียอีก “ปล่อยเถอะครับ ผมต้องลงแล้ว” จ้าวถิงเกอจึงไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้อีก เมื่อไป๋เฟิงอี๋ลงจากรถไปแล้ว ชายหนุ่มยื่นหน้ามาร่ำลาคนขับพร้อมรอยยิ้มละไม “มืดแล้ว ขับรถกลับดีๆ นะครับคุณจ้าว”
ไป๋เฟิงอี๋ยืนมองรถของจ้าวถิงเกอจนลับสายตา รอยยิ้มละไมบนใบหน้าเมื่อสักครู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตน ‘แกล้งลืม’ เอาไว้ในรถของฝ่ายนั้น
เมื่อเข้ามาในห้องโถงรับรอง ไป๋เฟิงอี๋ก็พบว่าหรงหยางเซิงกำลังนั่งกอดอกด้วยสีหน้าเรียบสนิท ความเย็นชาของร่างสูงทำให้ไป๋เฟิงอี๋ต้องลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนขณะทักทายอีกฝ่าย
“ยินดีด้วยนะอาหยางสำหรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร” หรงหยางเซิงแค่นเสียงหึ ตอนแรกเขาตั้งใจจะคุยเรื่องนี้กับไป๋เฟิงอี๋ แต่ดูท่าคงมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่าต้องคุยเสียแล้ว
“ทำไมถึงออกไปกับจ้าวถิงเกอสองต่อสอง จำที่ฉันเคยเตือนนายไม่ได้เหรอไป๋เฟิงอี๋”
“ฉัน...” ยังไม่ทันที่ไป๋เฟิงอี๋จะได้อธิบายอะไร หรงหยางเซิงก็ลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ประโยคถัดมาของฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้ากลับไปเป็นหรงหยางเซิงเมื่อตอนสมัยมัธยมไม่มีผิด
“อ้อ ลืมไปว่านายชอบบริหารเสน่ห์”
“หรงหยางเซิง!” ที่เขายอมไปดินเนอร์สองต่อสองกับจ้าวถิงเกอก็เพราะอยากช่วยคนตรงหน้าสืบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหรงหยางลี่และจ้าวถิงเกอ แต่ในเมื่อหรงหยางเซิงไม่คิดจะถามให้กระจ่างก็พานหาเรื่องกันเสียแล้ว เขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเช่นกัน
“แล้วนี่ไปถึงไหนกันมาล่ะถึงได้กลับดึกดื่นป่านนี้” ไป๋เฟิงอี๋ไม่ตอบคำถามนั้น ชายหนุ่มเลี่ยงเดินขึ้นไปยังห้องนอนส่วนตัวที่ชั้นสอง แต่หรงหยางเซิงไม่คิดปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ ตราบใดที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง “ฉันถามนายอยู่นะไป๋เฟิงอี๋”
“ปกตินายไม่ได้สนใจฉันอยู่แล้วนี่ แล้วเรื่องนี้จะมายุ่งด้วยทำไม” หรงหยางเซิงอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเดินตามติดไป๋เฟิงอี๋ ชายหนุ่มหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำของตัวเองว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับจ้าวถิงเกอที่เป็นศัตรูของตระกูลหรง ดังนั้น เขาจึงต้องถามให้กระจ่าง
“นายเป็นคนของตระกูลหรง การที่นายไปสนิทสนมกับ...”
“ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่” ไป๋เฟิงอี๋เอื้อมมือจับลูกบิดประตูแล้วกระชากเปิดออกก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องนอนของตน จังหวะที่กำลังจะดันประตูปิดลง หรงหยางเซิงกลับใช้มือยันเอาไว้
“งั้นก็บอกมาว่านายกำลังทำอะไรกันแน่”
“อาหยาง ไว้นายอารมณ์เย็นแล้วเราค่อยมาคุยกัน” แววตาคมกริบของหรงหยางเซิงทำให้คนถูกมองรู้สึกร้อนวูบวาบพิกล จังหวะที่ไป๋เฟิงอี๋เผลอ หรงหยางเซิงก็ดันประตูและก้าวเข้ามาอยู่ในห้องนอนของไป๋เฟิงอี๋ บานประตูหนาหนักถูกปิดลง กั้นทั้งคู่ออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
“กลับมาที่คำถามเดิมว่านายไปไหนและไปทำอะไรกับมัน” หรงหยางเซิงเน้นเสียงที่คำว่า ‘ทำ’ เป็นพิเศษ ท่าทางและน้ำเสียงของอีกฝ่ายทำให้ไป๋เฟิงอี๋นึกโมโหขึ้นมาจริงๆ
“ฉันจะไปไหนหรือทำอะไรกับใคร จำไม่ได้ว่าต้องรายงานให้นายทราบด้วย”
“ไป๋เฟิงอี๋!”
“ฉันไม่ใช่ลูกน้องภายใต้บังคับชาของนาย ดังนั้น นายไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน” ท่าทางเชิดหน้าอวดดีของคู่สนทนาทำให้หรงหยางเซิงหงุดหงิดเป็นที่สุด ในเมื่อเขาถามดีๆ แต่อีกฝ่ายกลับยียวนกวนประสาท เขาก็คงต้องเปลี่ยนเป็นวิธีการถามใหม่
“นายจะตอบคำถามฉันดีๆ หรือว่าต้องให้ฉัน...”
“ฉันไม่ตอบ นายจะทำไม...” ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค ริมฝีปากของคนพูดก็ถูกหรงหยางเซิงผนึกไว้ ไป๋เฟิงอี๋เบิกตากว้าง ตั้งสติไม่ถูกว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นไรดี “อะ... อื้อ...”
จูบร้อนแรงของหรงหยางเซิงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขึ้นทีละน้อย เรียวลิ้นร้อนของร่างที่สูงกว่ารุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของไป๋เฟิงอี๋แล้วเกี่ยวกระหวัดไปมาราวกับต้องการแกล้งให้สาสมกับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย ลมหายใจของไป๋เฟิงอี๋คล้ายถูกช่วงชิงไปจนหมดสิ้น ตลอดทั้งร่างเริ่มโงนเงนโดยมีอ้อมกอดแน่นหนาของหรงหยางเซิงประคองเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงไปกองกับพื้น เนิ่นนานทีเดียวกว่าหรงหยางเซิงจะเป็นฝ่ายถอนจูบออกก่อน
“อาหยาง...” ไป๋เฟิงอี๋เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว แต่เหมือนหรงหยางเซิงจะไม่ได้ยิน เพราะร่างสูงโน้มใบหน้าลงมาจูบ
ไป๋เฟิงอี๋อีกครั้ง คราวนี้เริ่มต้นจากริมฝีปากแล้วค่อยๆ เรื่อยลงไปตามซอกคอเพรียว ขณะเดียวกันก็ดันให้ร่างของไป๋เฟิงอี๋ล้มลงไปนอนอยู่บนเตียงหลังกว้างกลางห้อง
“หยุดเถอะ...” ไป๋เฟิงอี๋ไม่รู้ว่าหรงหยางเซิงจะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เขาไม่ไหวแล้ว ความรู้สึกบางอย่างในใจกำลังถูกหรงหยางเซิงปลุกปั่นจนบ้าคลั่ง
หรงหยางเซิงไม่สนใจคำห้ามปรามของไป๋เฟิงอี๋ ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของไป๋เฟิงอี๋ออกจนหมด เผยเรือนกายขาวผ่องให้ปรากฏสู่สายตา สัมผัสตั้งแต่บริเวณท้องน้อยขึ้นไปถึงยอดอกสีระเรื่อนำความรู้สึกเรียบลื่นมาสู่ปลายนิ้วของหรงหยางเซิง ไป๋เฟิงอี๋หอบหายใจแรง ภาพหรงหยางเซิงขณะที่กำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองเริ่มเปลี่ยนเป็นพร่ามัวจนยากที่จะแยกออกว่านี่ความฝันหรือความจริงกันแน่
Aislin ขอตัดค้างเอาไว้ที่ตรงนี้ ตอนหน้าจะมาต่อความหืดหาดให้จบ กร้ากกกๆๆ ยังไงใครชอบนิยายเรื่องนี้ฝากอุดหนุนรูปเล่มกันหน่อยนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติม
คลิ๊ก รับรองว่าคุ้มค่าทุกตัวอักษรอย่างแน่นอน จะได้อ่านอาหยางกับอาเฟิงกันแบบจุใจเลย หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ในแฟนเพจ
www.facebook.com/aislin.napoon ถ้าหากใครเล่น Twitter สามารถตามไป follow ได้ที่
@aislin_novel หรือรีวิวเม้ามอยที่
#รักอีกครั้งก็ยังเป็นนาย / อิซลินรอทุกคนอยู่นะคะ ^^