ไม่มีคำตอบ | More than Words
“รู้สึกยังไงบ้างที่แฟนคลับเขาจิ้นเราหนักมาก ตอนนี้เขาบอกไม่ได้ขึ้นเรือแล้วนะ ขับเครื่องบิน”
ฮ่า ๆ ๆ ขับเครื่องบินเลยหรอครับ ก็รู้สึกดีครับที่เขาอินกับซีรีส์ขนาดนี้”
“ครับ ก็รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะเราก็ตั้งใจกับมันมาก ๆ พอมีฟีดแบ็คแบบนี้ก็รู้สึกหายเหนื่อยครับ”
“แล้วมีเขินกันบ้างมั้ย ที่มีคนมาจิ้นเราแบบนี้”
“ก็เขินนะ แต่เราสนิทกันมาก ๆ ก็เลยไม่เท่าไหร่ครับ ชินแล้ว”
“แล้วที่มีคนชงให้เราชอบกันจริง ๆ แบบเป็นแฟนกันจริง ๆ พอจะเป็นไรได้มั้ย”
“โหหห ไม่หรอกครับ คือ เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันนี่แหละ”
“ใช่ ๆ เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้วครับ ไม่มีเลิกนะ ฮ่า ๆ ๆ”
ผมนั่งฟังสัมภาษณ์ตัวเองในรถที่คนข้าง ๆ เปิด เขาฟังไปขำไป ผมก็ไม่ต่างกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เราทั้งสองคนได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์กับนักข่าว เอาว่าเป็นครั้งแรกที่มีนักข่าวมายื่นไมค์สัมภาษณ์ดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้จักและสนใจเราเท่าไหร่ พอตอนนี้ซีรีส์ที่เราร่วมแสดงด้วยกันออกอากาศและได้รับความนิยมก็เลยพอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง
“ทำไมมึงเลิกลั่กอะ ไม่เนียนเลย” รอยยิ้มแต้มใบหน้าคนพูด ตาหยีและลักยิ้มบุ๋มข้างเดียวมองกี่ทีก็ไม่เคยละสายตาได้
“อะไร ๆ” คนข้าง ๆ พูดขึ้น จริง ๆ เราอยู่บนถนนตั้งแต่ออกจากสถานที่จัดงานอีเวนท์ จนตอนนี้ร่วมชั่วโมงแล้วยังไม่ขยับไปไม่ไกลจากหน้าห้างเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่มีคนร่วมทางไปด้วยกัน
“เนี่ยก็ที่พี่เขาถามว่ามีหวังจะเป็นแฟนกันจริงมั้ย มึงเลิกลั่กอะ”
“กะ ก็ เอออออ ก็ไม่รู้จักตอบยังไงนี่หว่า มันกำลังคิด ๆ” ผมสารภาพตามจริง เพราะไม่เคยมีคนถามคำถามนี้กับเรา ที่สำคัญเราก็ไม่เคยพูดกันว่าที่เราเป็นอยู่คืออะไร ไม่เคยขอ ไม่เคยมีคำนิยามในความสัมพันธ์
แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมและเขาก็ชัดเจนจนแทบไม่ต้องให้ความหมายให้กับความสัมพันธ์นี้ เพราะคำตอบมันก็คือสิ่งที่เราแสดงออก คือสายตาเราเรามองกันและกัน คือรอยยิ้มที่ไม่ใช่ใครก็จะได้รับ
“กูว่ากูยิ้มแปลก ๆ ว่ะ เดี๋ยวต้องลองหัดยิ้มใหม่ เนี่ยยิ้มงี้แล้วหน้าดูไม่เท่ากันอะ” ผมก็งงเขาเหมือนกัน ชอบจิตตกเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา ทั้งที่เป็นคนหน้าตาจัดว่าได้รับพระราชทาน ดีจนไม่รู้จะหาที่ติตรงไหน แต่ก็ยังไม่เคยพอใจกับตัวเอง ผิดกับผมที่ไม่ได้หล่อมากมาย แค่มั่นใจว่าหล่อแหละ หล่อกว่าเขาเยอะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
“เฮ้อ กูขี้เกียจคุยเรื่องนี้ อยากพามึงไปรักษา ไอ้ห่ามันไม่เท่ากันยังไงคางมึงก็มีเท่านี้ หน้ามึงก็มีเท่านี้” ผมอดไม่ได้ที่จะใช้มือจับหน้าเขาหันไปหันมา บีบแก้มเบา ๆ หมันไส้ปนเอ็นดูชอบบอกว่าตัวเองดูไม่ดี
“อื้อออ อ่อยยย เอ็บบบ (ฮื้อปล่อยเจ็บ)” มือขาวพยายามปัดป่าย ถ้าคนข้างนอกมองเห็นก็คงคิดว่าคนทะเลาะกันแน่นอน
“ชอบนักบอกว่าตัวเองเป็นงี้ มึงอะหล่อมาก ๆ ๆ เคมั้ยสัส” เขาพยายามแกะมือผมออกจากหน้า แม่งทำไมหน้ามันนุ่มขนาดนี้วะ เนียนเหมือนคนไม่มีรูขุมขนเลย หรือเพราะครีมแพง ๆ ที่มันชอบชวนไปซื้อ อาจจะต้องขโมยแม่งใช้บ้างละ
“ก็กูมีแค่นี้นิ ไม่หล่อก็ไม่มีอะไรแล้วป่ะ”
“อะมาเรื่องนี้อีกละ ไม่เอาไม่พูดเลย” ผมยกมือปิดปากคนข้าง ๆ ดีที่รถยังติดไฟแดง อยากขอบคุณที่ไฟแดงนานก็วันนี้
“ก็จริงหนิ มึงแม่งทำได้ทุกอย่างเลย กูทำได้แค่นี้อะ”
“ไม่เอาไม่พูดเรื่องนี้ดิครับ ทำไมมันวกมาได้เนี่ย”
“ก็มึงอะ แม่ง เอาดี ๆ กูโคตรหงุดหงิดตอนที่มีแต่คนเรียกชื่อมึง”
วกมาเรื่องนี้อีกจนได้ เชื่อมั้ยว่าเราทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้กี่ครั้งแล้ว ร้อยหรือพันครั้งนับนิ้วไม่ได้แล้วรู้แค่นี้ ตั้งแต่วันที่เรารู้จักกัน เรียนแอ็คติ้งด้วยกัน ถ่ายซีรีส์ด้วยกัน หรือกระทั่งมาออกงานด้วยกันแบบนี้ ผมมักจะได้รับคำชมนั่นนี่เสมอ จากสิ่งที่ผมพอจะทำได้ เช่น ร้องเพลงเพราะ เป็นคนตลก เฟรนด์ลี่ จากความบ้า ๆ บอ ๆ คือเพราะผมเป็นคนแบบนี้ก็เลยเข้ากับคนง่ายไปหมด
ต่างจากเขาที่ค่อนข้างเป็นคนขี้อาย และพูดไม่เก่ง ไม่ใช่จะเข้ากับใครก็ได้ ถ้าไม่ยิ้มก็คือผู้ชายที่หน้าหยิ่งคนหนึ่ง ที่สำคัญเลยนะ ดันชอบคิดว่าตัวเองไม่มีดีอะไร ทั้งที่เขาโคตรจะทำให้ใครต่อใคร Stunning มานักต่อนัก ความมีเสน่ห์ล้นเหลือมัน Attract คนมาเท่าไหร่แล้วแม่งไม่เคยเอาตรงนี้มาหักลบเลย
“ก็คุยกันแล้วไงว่ามันคืองาน ไม่หงุดหงิดกันซี่~” ไฟเขียวพอดี ผมยื่นมือไปจับมือเขาเบา ๆ ก่อนจะยกขึ้นมาจูบ เป็นทางเดียวที่จะทำให้อีกคนสงบลงง่ายที่สุด แต่ก็ไม่ได้ใช้ได้ทุกครั้งก็ต้องดูมู้ดด้วยว่าหงุดหงิดหรือโกรธ และมันอยู่ในระดับไหน คือเรารู้จักกันมานาน จนเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากกันและกันได้พอสมควร เอาง่าย ๆ ว่ารู้ทางกันหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้เขากำลังน้อยใจตัวเองและน้อยใจผม
“เธอมีแฟนคลับมานานก็น่าจะรู้นิ เขามีความสุขที่เจอพวกเรา มันไม่ใช่พวกเขาเรียกแค่ชื่อเราป่ะ เขาก็เรียกชื่อเธอด้วย ต้องขอบคุณพวกเขาน้า ที่ทำให้เรามีงานด้วยแบบนี้ ไม่ดีหรอ หรือจะให้เราไปทำงานกับคนอื่น”
“เออ! จะไปก็ไปเลย!”
“เฮ้ย ๆ เดี๋ยวดิ ไม่ใช่แบบนั้น ๆ”
เขาสะบัดมือผมที่จับออก แถมยกมือตีนแขนซะแรง ดีที่ขับรถเร็วไม่ได้ ไม่งั้นรถส่ายไปเสยคันข้าง ๆ แน่ ไม่ใช่เพราะเขาตีแรงขนาดนั้น แต่ผมดันเป็นคนขี้ตกใจเก่ง ไม่ชินเวลาที่ต้องพูดจากันเสียงดังเท่าไหร่
“ใจเย็น ๆ ดิ ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น พูดหยอกเฉย ๆ ไม่ได้อยากไปเล่นกับคนอื่นเลย จริงจริ๊ง”
“จริ๊งพ่อง!”
“โหยไม่โมโหสิ”
“ตอนแรกก็ไม่โมโหหรอก จะโมโหเพราะมึงเนี่ยแหละ กวนประสาทไม่หยุดไม่หย่อนจริง ๆ ขับรถไปเลยไปแม่ง”
ผมยิ้มขำ คิดอยู่แล้วว่าสุดท้ายเขาก็จะลืมเรื่องที่น้อยใจและหันมาโกรธผมแทน ก็บอกแล้วว่ารู้ทางกัน “เอาน่า เราคุยเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้วเนอะ เลิกคิดแบบนี้ได้แล้ว กูจะเป็นยังไง ใครจะชมจะดีแค่ไหน สุดท้ายกูก็ยังอยู่กับมึงตรงนี้ไง”
“...” อีกฝ่ายชม้ายตามามอง ดูก็รู้ว่ายังโกรธอยู่ แต่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ “เปลี่ยนเรื่องเก่งฉิบหาย”
เขาบ่นงึมงำในลำคอแล้วชายตามองออกรถไป ความน่ารักของเขาคือเป็นคนแบบนี้แหละครับ โกรธง่ายหายเร็ว แต่โคตรจะเป็นคนคิดมากเลย ดูภายนอกเหมือนจะไม่แคร์ใคร แต่ก็แคร์คนอื่นจนกลายเป็นคนขี้กังวล ก็ยังดีที่รู้สึกอะไรก็พูดออกมา ดีกว่าให้ไปเดาว่าโกรธอะไร คิดอะไร เพราะบางทีผมก็เดาใจไม่ถูกหรอก
แสงไฟในเมืองใหญ่สุกสว่างจนกลบแสงจันทร์วันข้างขึ้น แต่น้อยคนที่จะสนใจความน่ามองของมัน ไม่ต่างจากผมที่คนข้าง ๆ น่าสนใจกว่าพระจันทร์ที่ไกลเกินเอื้อม และก็จะยังน่าสนใจสำหรับผมไม่เปลี่ยนแปลง
“ถึงบ้านแล้วก็ไม่ต้องบอก ไม่อยากรู้ รีบ ๆ กลับไปเลย” เขารีบเปิดประตูรถออกไปเมื่อมาถึงบ้าน ปรับเบาะเพื่อเอาของที่แฟนคลับให้หอบหิ้วพะรุงพะรัง โดยที่ผมไม่คิดจะช่วยอะไร เพราะอยากกวนประสาท
“กูว่ากูยังไม่กลับดีกว่า จะเข้าไปเล่นกับจอร์จี้ก่อน จะทำไม” ตอนแรกก็จะกลับบ้านเลย แต่เห็นอีกคนยังงอนอยู่จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะเราไม่เคยโกรธกันข้ามวัน
เขาเดินสะบัดก้นเข้าบ้านพร้อมกับของเกะกะเต็มอ้อมแขนไปหมด และผมก็ยังไม่คิดจะช่วย แกล้งให้งอมไปเลย เดี๋ยวง้อทีเดียว
“ฮัลโหลลล จอร์จี้ มาเร็ว ๆ ๆ” ผมมาที่นี่บ่อยจนหมาบ้านนี้รักผมยิ่งกว่าเจ้าของมันอีก ไม่ลืมหยิบของฝากที่ต้องมีติดรถทุกครั้งที่มา คือ ขนมสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กให้เหล่าบรรดาหมาของเขา แต่ตัวที่สนิทกันที่สุดคือจอร์จี้ ผิวสีเดียวกันน่ะครับ ฮ่า ๆ ๆ
“ม้า ทำไมหมายังไม่นอน เบื่อจริงวุ้ย”
“อะไรมาถึงก็โวยวายเลย อ้าวสวัสดีจ้ะลูก ลูกม้าน่าตีนะรถมีตั้งหลายคันไม่ขับไป ให้แต่เขามาส่งเนี่ย”
“ขี้เกียจไงม้าจะอะไร แต่ผมไม่ได้มาส่งเขาหรอก มาหาจอร์จี้ เนอะ ๆ” พูดไปก็ฟัดหมาปอมเมอเรเนียนสีดำไปด้วย
“เดี๋ยวพี่ช่วยขนนะคะ” เขาหน้าหงิกตั้งแต่เดินเข้าบ้าน ก็งงว่าทำไมไม่ยอมวางของที่ถือเต็มมือ สุดท้ายพี่แม่บ้านต้องมาช่วย อ่อ อาจจะเป็นวิธีการประชดหนึ่งอย่าง แต่ผมไม่สนหรอกบอกแล้วจะแกล้งให้งอมเลย
“ไปอาบน้ำละ เหนื่อย!”
ผมกับแม่ของอีกฝ่ายพยักหน้าให้แบบรู้กัน “ไปทำอะไรให้งอนอีกล่ะ”
“เรื่องเดิมครับ ช่วงนี้เป็นหนักกว่าเดิมเยอะเลย”
“งานก็เหนื่อย ยังต้องมาเอาใจเด็กขี้เอาแต่ใจแบบนี้อีก สู้หน่อยนะ”
“สู้มาหลายปีแล้วครับ” ผมยิ้มกับประโยคที่แม่ของคนที่เดินสะบัดก้นขึ้นห้องนอนไปแล้ว แม่มักพูดกับผมแบบนี้เสมอ ทั้งที่จริง ๆ แทบจะไม่ต้องมาห่วงเลยว่าผมจะถอดใจกับเรื่องนี้ เพราะให้ใจไปหมดแล้ว
เสียงน้ำกระทบพื้นห้องแสดงว่าเจ้าของห้องกำลังอาบน้ำอยู่ ผมเคยมาค้างที่นี่บ่อยเหมือนเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงที่อีกคนสอบ เพราะต้องมาเข็นกันอ่านหนังสือ แต่ปกติแล้วก็สลับกันไป ๆ มา ๆ แล้วแต่สะดวก กลายเป็นห้องเขามีเสื้อผ้าผมพอประมาณ ส่วนที่บ้านผมก็คือมีเสื้อผ้าเขาเยอะมาก มีครั้งหนึ่งขนเสื้อผ้ามาคืนเขาเป็นตะกร้าจนแม่เขาถามว่าจะย้ายไปอยู่บ้านผมหรือไง เขาก็ขำแห้งแล้วรีบไปกอดแม่ตัวเอง ขี้อ้อนเก่งที่หนึ่ง
เราพอจะมีรูปคู่ที่ถ่ายด้วยกันบ้าง ถ่ายกับเพื่อน ๆ บ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปโพลาลอยด์ เขาชอบแปะมันที่ตู้เสื้อผ้าและหัวเตียง ซึ่งตอนนี้เละเทะเพราะโน้ตเตือนความจำเต็มไปหมด
‘วันเกิดเพื่อนต้องซื้อของขวัญ’
‘วันครบรอบที่เจอกัน’
‘สอบ finance TT’
‘อีเวนท์ที่สยาม 14.00 ลาอาจารย์กนกกร’
‘นัดกับหมาไปทำบุญก่อนวันเกิด’
ผมดึงโพสต์อิทลายดัมโบ้สีฟ้าออกมาเพราะมันโดดเด่นกว่าใคร ที่สำคัญมันเป็นโน้ตที่คิดว่าน่าจะหมายถึงตัวเอง ที่เคยเปรยว่าอยากไปทำบุญก่อนวันเกิด เพราะวันนั้นน่าจะต้องไปทำบุญร่วมกับแฟนคลับ และอาจจะได้เจอกันทีเดียวตอนเย็น หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เจอ เขาก็ยังจำได้ว่าผมพูดไว้
ภายนอกที่เห็นว่าเขาเป็นคนที่เหมือนจะไม่สนใจอะไร ไม่แคร์ใคร แต่จริง ๆ แล้วเขาแคร์ความรู้สึกของทุกคนที่อยู่รอบตัว และเป็นคนใส่ใจอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดี ซึ่งดีกว่าผมเยอะ อย่างวันครบรอบที่เจอกันผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ วันที่เขาสอบไฟฟอลผมยังลืม ทั้งที่เขาพูดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ถ้าเทียบกันแล้วผมแทบจะไม่ได้เสี้ยวความใส่ใจที่เขาให้เลยด้วยซ้ำ
ครืดดด
เสียงประตูเลื่อนห้องน้ำเปิดออก ผู้ชายตัวขาวแทบจะกลืนกับผนังห้องสีขาวออกมาในสภาพพันผ้าขนหูผืนเดียว หยดน้ำเกาะประปรายตามตัวจากเส้นผมที่ถูกเช็ดหมาดด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กที่ถือในมือ แววตาเขาดูไม่แปลกใจที่ผมขึ้นมาบนห้องสักเท่าไหร่ คงได้ยินเสียงห้องถูกเปิดออก
“อะไร” เขาถามเสียงเย็น
“จำได้ด้วยหรอ”
“จำอะไร”
เขาพูดในขณะที่มือก็เช็ดผมไปด้วย แถมเดินวนไปวนมาหาชุดนอนที่ใส่เมื่อคืน แต่สายตาผมเห็นกองชุดนอนนั่นแล้ว เลยจะเดินไปกะว่าจะหยิบให้ แต่เขาดันไม่ได้คิดว่าจะมีคนมาขวางทาง ทำให้เขาชนตัวผมเต็ม ๆ และพาลทำเอาจะล้ม เลยรีบคว้าเอวเอาไว้ไม่งั้นล้มกันทั้งคู่
“มึงเข้ามาทำไมเนี่ย”
“ก็มึงหาชุดนอนไม่เจอสักที จะหยิบให้ไง”
เขามองผมด้วยท่าทีบึ้งตึง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องมานั่งเคลียร์เรื่องนี้ทุกที แต่นั่นแหละครับแม้มันจะเป็นเรื่องเดิม ๆ แต่มันจะมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งมันก็คือหน้าที่ที่เราสองคนต้องคุยและปรับความเข้าใจให้ตรงกันทุกครั้งไป เพราะไม่งั้นก็จะกลายเป็นตะกอนขุ่นคลั่กที่พร้อมจะถมหัวใจให้ตื้นเขินและจนเราหมดใจได้สักวัน
ผมเริ่มรู้สึกว่ามือตัวเองชื้นขึ้นเล็กน้อยจากการสัมผัสตัวคนที่เปียกน้ำ และเมื่อเนื้อกายเย็นสัมผัสกับมืออุณหภูมิสูงกว่าก็มารู้ตัวว่าเราอยู่ในสภาพไหน สายตาของเราผสานกันในความรู้สึกต่างจากเดิม ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยเพราะเป็นคนขาว อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ขึ้นสีแล้ว
“จำได้ด้วยหรอที่บอกอยากไปทำบุญ”
“อืม ก็มึงพูดหลายรอบ”
“หรอ จำได้ว่าครั้งเดียวตอนไปรับมึงที่มอ”
“เออ กูจำได้แล้วกัน ไม่เหมือนมึงหรอก”
“...” ผมพยายามมองตาเขาแต่เขาก็หลบตา เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาไม่พอใจอะไร
“ปล่อยได้แล้ว”
“ไม่จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง”
“แล้วกูพูดภาษาสเปนหรือไงถึงจะคุยไม่รู้เรื่อง”
จุ๊บ ผมก้มลงไปจูบจมูกเขาเบา ๆ
“อย่ามากวนตีนตอนนี้” ผมพูดแล้วยิ้มให้เขา เพราะเห็นเขายิ้มก่อนอยู่แล้ว คือเวลาที่เขายิ้มเขินแบบนี้ก็เข้าใจได้ในทีว่าสถานการณ์กลับมาปกติ
“เออ ๆ กูงี่เง่าเองแหละ มึงก็ไม่ต้องมาตามง้อกูแบบนี้ตลอดหรอก”
“หรอ กูไม่ทำได้ด้วย?”
“ก็ เออไม่ได้! แต่ครั้งนี้กูประสาทเอง ยกความผิดให้จำเลย”
“เดี๋ยว กูไปเป็นจำเลยตอนไหน กูอยู่ของกูเฉย ๆ เลยจ้ะ”
“ตอนที่ชอบทำเป็นเหมือนไม่สนใจไง”
“เดี๋ยวจะตี กูสนใจมึงมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันอีกครับ” ผมกระชับมือที่กอดเอวเขามากขึ้น “สนใจกว่านี้กูก็เป็นโรคคลั่งมึงแล้ว”
เขายู่ปากแบบที่ชอบทำ ก่อนจะโผเข้ากอดผม แล้วก็ทำเสื้อผมเปียกจากหยดน้ำตามตัวเขาไปด้วย “ก็อยากให้สนใจเยอะ ๆ แบบเยอะ ๆ เลย”
“...” ยกแขนกอดตอบเหมือนทุกที เรากอดกันบ่อยมาก ๆ เพราะมันเป็นสัมผัสที่ถ่ายทอดความรักและสร้างความรู้สึกอุ่นใจได้เสมอ
“ไม่รู้แค่ไหนจะพอ แต่อย่าเพิ่งเบื่อที่เป็นแบบนี้นะ”
“ก็ถ้าไม่ดื้อ”
“อื้อไม่ดื้อไง”
ผมผละเขาออกเบา ๆ ใบหน้าเนียนใสไร้เครื่องสำอาง แก้มระเรื่อสีชมพูอ่อน และริมฝีปากแดงสุกราวกับลูกเชอรี่ ความหวงแหนที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยรู้ว่ามันเหลือคณานับที่จะคาดเดาได้ มือสากของผมไล้ไปตามรูปหน้าที่ใครก็หลงใหล “ไม่เคยสัญญาอะไร แต่ไม่เคยไปไหนอยู่แล้ว”
“มา จะเช็ดผมให้ จะได้รีบไปนอนพรุ่งนี้เรียนเช้านิ”
“ไม่อยากไปเลยยยยยย”
“อย่ามาขี้เกียจ กูไม่อยากมาอ่านหนังสือให้มึงฟังตอนสอบ”
“ม่ายยยยยยยย”
ศึกแย่งผ้าเช็ดผมและจับผู้ชายตัวเท่าควายใส่ชุดนอนทำเอากินเวลาเกือบชั่วโมง กว่าผมจะแห้ง กว่าจะทาครีมประทินผิวเสร็จ กว่าจะมาส์กหน้า กว่าจะยอมให้ผมกลับ ลีลาท่ามาก สมกับเป็นคนของผมที่สุดแล้ว
——————————————————————————
ครืดดด ครืดดด
[ฮือ มึง กูทะเลาะกับพี่เขาว่ะ]
“อะเดี๋ยวก่อนจ้า คือยังไงนะ มึงอยู่ไหนเนี่ยทำไมเสียงดังจังวะ”
[มึงงง กูไม่อยากเลิกกับเขา ฮือออ]
“โอ้ยอินี่ กูถามว่าอยู่ไหน กับใครบ้าง”
[มีกู แล้วก็เพื่อนเราอีกสองคน ฮือ มึงงงง]
“กูจะบ้าตาย นี่กูต้องโกหกมันอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย เออ ๆ เดี๋ยวกูไปหา รอแป๊บ แล้วมึงก็ห้ามปากโป้งด้วย ไม่งั้นครั้งนี้คือ The last นะจ๊ะ Bitch!”
ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยสักนิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงทำแบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไร แต่เดี๋ยวนี้มีคนรู้จักมากขึ้น เลยยิ่งต้องระวังมากขึ้นไปด้วย ที่สำคัญไม่อยากทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะมันเป็นบาดแผลที่ทำให้ผมกลัวว่าเขาจะหมดความอดทนกับพฤติกรรมของผม
คราวนี้ก็เช่นกัน ที่ยอมออกไปหาเพื่อนก็เพราะเธอเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมาก เรารู้จักกันแต่เด็ก ซึ่งเขาก็รู้จักกับกลุ่มเพื่อนผมแทบทุกคนอยู่แล้ว คิดว่าเดี๋ยวไปอธิบายให้ฟังก็น่าจะเข้าใจมากขึ้น แถมมองนาฬิกาก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาคงหลับไปแล้วหลังจากบอกว่าถึงบ้านเมื่อตอนห้าทุ่ม
ปกติก็ไม่ใช่คนนอนเร็วเท่าไหร่ก็เลยลุกขึ้นใส่ชุดง่าย ๆ ที่หาเจอ เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ หวังใจจะไปรับเพื่อนกลับบ้านเท่านั้น เพราะที่ไปมีแต่ผู้หญิงล้วน ใช้เวลาบนถนนช่วงกลางดึกไม่นานก็มาถึงร้านเหล้าแห่งหนึ่งใจกลางกรุง เป็นร้านที่เมื่อก่อนเจอกันแน่ศุกร์เว้นศุกร์
แต่เดี๋ยวนี้เป็นเด็กดีขึ้นเยอะ ไม่เที่ยวหนักเท่าเมื่อก่อนแล้ว
“นี่มันกินไปเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย ทำไมตัวเหลวขนาดนี้” ผมตะโกนแข่งกับเสียงบีทเพลงในร้านสุดจะกระแทกกระทั้น
“ไม่รู้ กูก็ไม่ได้นับ” เพื่อนผู้หญิงเบอร์หนึ่งผมตะโกนบอก ท่าทางเมาใช้ได้
“เฮ้ยย~ ไอ้น้องหวานนน มาแล้วหรอวะะ วันนี้ทำไมหนีผัวมาได้ น้อออ ใส่หมวกด้วยเว้ยย~” เพื่อนตัวดีที่โทรลากผมออกมา เงยหน้ามาเห็นก็ได้ทีสรวนใส่เลย อยากหยิกจริง ๆ
“เอ้ามึงชนนนน”
“พอเลยอินี่ เมาแล้วเขาจะกลับมามั้ยวะ”
“อิเพื่อนเหี้ย ฮือออ กูเสียใจอยู่นะ”
ผมคว้าแก้วเหล้าจากมือเพื่อนเสียสติมาดื่มเอง เพราะมันกำลังกินเหล้าเพียว ๆ ครึ่งแก้ว แอลกอฮอล์ยี่ห้อดีที่ไม่ได้แตะมานาน กำลังทำหน้าที่ได้ดีไม่ได้จากจุดไฟเพราะมันช่างบาดลึกเหลือเกิน ผมถึงกับยู่หน้า
“เฮ้ยเบา มึงไม่ได้กินนานแล้วนะเว้ย” เพื่อนผู้หญิงเบอร์สองทักขึ้น มันดูปกติที่สุดในนี้
“แล้วมึงจะให้มันกินอีกทั้งที่สภาพมันเป็นแบบนี้หรอวะ”
“กูล่ะปวดหัว เมื่อไหร่ไอ้เหี้ยนั่นจะออกจากชีวิตมัน”
“เอาน่ามึงก็รู้ว่ามันไม่ง่าย ให้เวลามันหน่อย”
“แล้วนี่มึงออกมามันรู้ป่ะเนี่ย” ผมส่ายหัวให้
“บ้านแตกแน่อิสัส”
“ช่างก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน จะเอาไงกับแม่งดี พามันกลับมะ”
“มึงพามันกลับได้ก็เอาเลยจ้ะ กูพยายามมาชั่วโมงละ”
ที่มันดูเสียใจจะเป็นจะตายขนาดนี้ก็เพราะคบกับรุ่นพี่ที่โรงเรียนผมมานานเกือบ 7 ปี แต่อยู่ ๆ พี่เขาก็ขอเลิก เพียงเพราะไม่ได้รู้สึกรักเพื่อนผมเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็จับได้ว่าไปมีคนอื่น นั่นแหละครับอนิจจา ความรัก 7 ปี แพ้คนที่มาใหม่แค่ 7 วัน มันก็เลยเฮิร์ตจะเป็นจะตาย
ใช้ความพยายามอย่างมากห้ามมันไม่ให้กิน ด้วยการแย่งมากินแทนหลายช็อต จนตอนนี้ตัวเองเริ่มมึน และเวลาอันใกล้คงเลยคำว่ามึนได้ไม่ยาก เพราะไม่ได้แตะแอลกอฮอล์นาน ตั้งแต่ระเบิดลงครั้งใหญ่...
ภายนอกที่ดูเป็นคนใจดี ใจเย็น claim ได้กับทุกสถานการณ์ แต่เวลาโกรธขึ้นมาก็จะกลายเป็นอีกคนที่น่ากลัวมาก จากคนที่พูดเยอะจนลิงหลับ ก็กลายเป็นคนทำให้ห้องเงียบจนได้ยินเสียงแอร์ เป็นความกดดันเชิงอำนาจที่ผมไม่อาจต่อรองอะไรได้ แม้จะร้องไห้หรือเพียรขอโทศ ซึ่งถ้ามันเกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
ขอให้ครั้งนี้เข้าใจด้วยเถอะนะ
ไม่เอาอีกแล้วความเฉยชา
ทรมานเหลือเกิน