✻ { เรื่องสั้นตอนเดียวจบ } อิงแอบแนบชิด ✻
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✻ { เรื่องสั้นตอนเดียวจบ } อิงแอบแนบชิด ✻  (อ่าน 3261 ครั้ง)

ออฟไลน์ ฝนมกรา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


***************

✻ { เรื่องสั้นตอนเดียวจบ } อิงแอบแนบชิด ✻

ใครบางคนหลงรักคุณ
ติดตามคุณ
เฝ้ามองคุณ
และทำทุกทางเพื่อให้ได้อยู่กับคุณ...ตลอดไป

**************

{ Warning content }
เรื่องสั้นเรื่องนี้ประกอบด้วยเนื้อหาที่มีความรุนแรง เลือด ความตาย การทำร้ายร่างกายผู้อื่นและตัวเอง
ขอให้ทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ

***************

Twitter :: @rainy_jan91
Hashtag :: #เรื่องสั้นอิงแอบแนบชิด

Thank u.

(●˙꒳˙●)

✻ ผลงานอื่นๆ ✻
 ✻ { เรื่องสั้นตอนเดียวจบ } Metamorphose ✻
✻ { Fantasy } V I C I O U S #มังกรเลี้ยงต้อย ✻


Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ ฝนมกรา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
อิงแอบแนบชิด



“เล็ก...พ่อเรียกไม่ได้ยินเหรอ”

ผมร้องถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

เจ้าเล็กยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยที่มีซากกาฝากเกาะครึ้ม อาจเพราะจวนจะมืดแล้ว แสงยามพลบค่ำถึงได้สลัวรางลวงหลอกตา เงาของเด็กน้อยที่ทอดอยู่บนพื้นยืดยาวออก มองดูคล้ายเงาของผู้ใหญ่ร่างผอมกงโก้

เมื่อสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกหน่อย ลมร้อนที่พัดอยู่รอบตัวผมพลันเย็นเฉียบเหมือนพรูพ่นออกมาจากช่องแช่แข็ง กระแสอากาศกรีดผ่านใบมะม่วงจนทั้งสวนป่วนปั่น เกิดเสียงเสียดสีน่าขนลุกดังระงมไปทั่วทุกทิศทาง

เล็กหันมามองผมแวบเดียว ก่อนก้มลงดูปลายเท้าตัวเอง

ที่ตรงนั้นมีก้อนขนเปียกๆ สีดำกำลังสั่นระริก เพ่งดูให้ดีจึงพบว่าเป็นอีกาตัวหนึ่ง หัวบุบเละโซมเลือด ปีกหักงอผิดรูปผิดมุม ขนสกปรกยุ่งเหยิง ขาที่เหยียดเกร็งกระตุกถี่ ฟ้องว่ามันยังไม่ตายแต่ก็คงใกล้ถึงฆาตเต็มที

ผมเลื่อนสายตาขึ้นมาทีละน้อย เห็นของเหลวหยดติ๋งจากปลายพลั่วในมือเล็ก เห็นคราบสีแดงเข้มอาบท่วมซอกนิ้วขาวซีด มันเปรอะเปื้อนขยายวงอยู่บนเสื้อยืดสีเทา และส่งกลิ่นคาวจางๆ ยามที่ลมพัดผ่าน

“เล็ก...” ผมควานหาคำพูดต่อไปของตัวเองไม่เจอ หัวใจหนาวเยือกเมื่อลูกชายเงยหน้ามายิ้มแป้นน่าเอ็นดูให้ แต่ในดวงตาดำขลับเหมือนเม็ดลำไยของแกกลับไม่มีความไร้เดียงสาใดๆ แบบที่เด็กวัยสามขวบพึงมี...แม้แต่นิดเดียว!




ผมกับเมียไม่เคยคิดเลยว่าจะมีลูกเอาตอนแก่

เราสองคนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบมีงานทำฐานะมั่นคง ความรักที่บ่มเพาะมานานหลายปีก็สุกงอมพอดี ผมกับภาตัดสินใจแต่งงานกันท่ามกลางความชื่นมื่นยินดีของครอบครัวทั้งสองฝ่าย

ใครๆ ก็ว่าเราเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ผมเองก็เคยคิดแบบนั้น

เมื่อก่อนเวลามองหน้าเมีย ผมมักคิดเสมอว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ภาของผมเป็นสาวน้อยบอบบาง หน้าตาสวยหวาน นิสัยอ่อนน้อมช่างเอาใจ ซ้ำยังใจเย็นเป็นน้ำและแสนดีราวกับนางฟ้า ผมหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น เช้าเย็นละเมอหา อยากอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเสพติดความรักขนาดหนักก็ว่าได้

น่าเสียดายที่ความรักเราอายุสั้นยิ่งกว่าขนมปังแถวในร้านมินิมาร์ท

มรสุมใหญ่ของชีวิตคู่แง้มหน้ามาทักทายเราช่วงกลางปีที่สี่ของการแต่งงาน ผมกับภาถูกกดดันเรื่องลูกอย่างหนักจากคนใกล้ตัว พ่อแม่เรารออุ้มหลานมาหลายปีแล้ว พอขอผัดผ่อนไปอีกสักปีก็โดนงอนตะบึงตะบอนไม่พูดด้วยอยู่พักใหญ่ พวกญาติพี่น้องกับเพื่อนๆ เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า เจอกันเมื่อไหร่เป็นต้องทักว่ามีข่าวดีบ้างหรือยังกันทุกที

“ภาอายุเยอะขึ้นทุกทีแล้วนะโต ผู้หญิงมีลูกช้าไม่ดีหรอกนะ” แม่ผมเตือนอย่างนั้นตอนที่ภาอายุขึ้นเลขสาม

เมียผมเองก็กังวล ได้ยินว่าการตั้งท้องตอนอายุมากมีโอกาสเสี่ยงสูงที่ลูกจะเป็นโรคดาวน์ ไหนจะสุขภาพของเธอเองที่นับวันก็เริ่มเสื่อมถอยลงทุกปีอีก ภากลัวว่าจะไม่มีแรงเลี้ยงลูก กลัวว่าจะอยู่ไม่ทันเห็นลูกชายหรือลูกสาวแต่งงานมีหลานให้อุ้ม ผมกับภาจึงเริ่มคิดจริงจังที่จะมีลูกสักคนมาเติมเต็มครอบครัว แต่ใครจะรู้ว่าการมีลูกสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

เราสองผัวเมียพยายามมีลูกด้วยกันอยู่หลายปี พอไม่มาตามธรรมชาติก็ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย อะไรใหม่ อะไรดี พวกเราลองกันจนครบ หมดเงินไปเป็นล้านก็ยังไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหันไปพึ่งวิถีทางความเชื่อดูบ้าง ทั้งบนบานศาลกล่าว ทั้งไหว้พระตามวัดดังศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ไกลแค่ไหนก็ดั้นด้นไป แต่ผ่านไปกี่ปีๆ ห้องนอนเด็กที่เตรียมไว้ก็ยังว่างเปล่า

เมื่อผิดหวังบ่อยเข้าอะไรๆ ก็เริ่มตึงเครียด ภามึนตึงใส่ผม ผมหมางเมินเธอ ลึกๆ แล้วเราต่างกล่าวโทษกันและกันอยู่ในใจ คิดว่าอีกฝ่ายไร้น้ำยาและไม่เอาไหน นานวันไปความคิดแง่ลบนั้นก็ลุกลามมากัดกินความสัมพันธ์หวานชื่น จากการแต่งงานที่ไปได้สวยในตอนแรก รู้ตัวอีกทีกิ่งทองใบหยกก็กลายพันธุ์เป็นกิ่งตำแยกับหมามุ่ยไปเสียฉิบ

ปีที่สิบของการแต่งงาน ผมกับภายอมแพ้เรื่องลูกและเลิกล้มความพยายามที่จะประคับประคองชีวิตคู่ไปพร้อมๆ กัน บางทีเราอาจจะหย่าขาดกันไปแล้ว ถ้าจู่ๆ พ่อผมไม่ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด และด่วนจากไปในปีนั้นเสียก่อน

พอพ่อไม่อยู่ แม่ผมก็เสียศูนย์เหมือนนกปีกหัก ไม่สิ ต้องบอกว่าเหมือนศาลาไม้เสาขาดที่พังถล่มลงมาเละไม่เป็นท่ามากกว่า ท่านตรอมใจจนผมกลัวว่าแม่จะรีบร้อนจากไปอีกคน ภาที่เหม็นเบื่อผมเต็มทนแต่ไม่ยอมหย่าเพราะกลัวพ่อแม่ตัวเองเสียหน้า เลยถือโอกาสขอย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ผมที่บ้านสวนแทน

ผมยอมให้เธอไปเพราะคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เราจะได้อยู่ห่างๆ กันเสียบ้าง ดังนั้นภาจึงไปอยู่แปดริ้ว ส่วนผมก็อยู่บ้านเดิมที่นนทบุรีตามลำพัง โดยจะตีรถไปบ้านแม่ทุกๆ เย็นวันศุกร์ แทนที่จะกลับไปนานๆ ทีเหมือนอย่างเคย

บ้านของแม่ผมตั้งอยู่ในสวนกว้างยี่สิบไร่ มีนาปล่อยเช่ากับทิวต้นมะพร้าวขนาบสองข้างทางเข้า มีสวนมะม่วงโอบล้อมรอบบ้านไม้สองชั้นที่ปลูกอยู่ริมคลอง ที่นั่นอากาศดีและเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่น่าอยู่อาศัย

ทว่าหลังย้ายไปบ้านสวนได้สามเดือน สุขภาพของเมียผมกลับเลวร้ายลงเรื่อยๆ ภาป่วยออดแอด สีหน้าหมองคล้ำทรุดโทรมเหมือนคนโดนของ จากที่เคยตั้งใจว่าจะไปดูแลแม่ให้ผม กลับกลายเป็นว่าแม่ผมต้องคอยดูแลเธอแทน

ซ้ำร้าย...ยิ่งร่างกายอ่อนแอลงเท่าไหร่ จิตใจภาก็ยิ่งย่ำแย่ตาม นิสัยที่เคยเย็นเป็นน้ำชักเริ่มร้อนเป็นไฟ ไม่รู้ภาไปสอยความงี่เง่าเอาแต่ใจจากมะม่วงต้นไหนมากิน แต่ที่แน่ๆ มันทำให้ผมหมดความอดทนกับเธอมากขึ้นทุกที

บอกตามตรง ผมไม่อยากคิดกับเมียในแง่ไม่ดีเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าความงี่เง่าของภา...คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดทั้งปวงในชีวิตของผม




“พี่โต ภาอยากกินมะม่วง” เสียงกระซิบดังขึ้นในความมืดพร้อมแรงสะกิดที่หัวไหล่ เมื่อลืมตาขึ้นมางัวเงีย ผมเห็นว่าห้องนอนยังคงมืดสลัว ไม่มีแสงแดดอ่อนๆ ปรากฏหลังช่องกระจกฝ้าเหนือกรอบหน้าต่าง

“นี่ยังไม่เช้าเลย จะกินตอนนี้เหรอ” ผมงึมงำถาม

“ตอนนี้สิคะ ก็ภาหิวตอนนี้” เธอจีบปากจีบคอตอบ

ผมผุดลุกขึ้นนั่ง หยีตามองตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกา ให้ตายเถอะ นี่มันตีสามไม่ใช่หรอกหรือ

“กินพรุ่งนี้ได้ไหม เดี๋ยวพี่เข้าสวนไปสอยให้แต่เช้าเลย”

“ไม่เอา ภาจะกินตอนนี้...เดี๋ยวนี้!” เอาละไง เสียงหวานจัดของนางฟ้ากลายเป็นเสียงดุดันของนางยักษ์ขมูขีแล้ว

“งั้นไปสอยเอง” ว่าแล้วผมก็ล้มตัวนอนต่อ แอบค่อนขอดเมียในใจว่าท่าจะบ้า คนอะไรนึกอยากกินมะม่วงตอนตีสาม

“พี่โต! ลุกไปสอยมะม่วงให้ภาเดี๋ยวนี้ ลุก!” ภาเขย่าไหล่ผมจนหัวสั่นหัวคลอน พร้อมยื่นหน้ามาตะโกนว่า “จะกินๆๆ” อยู่ข้างหูผมไม่หยุด ประหนึ่งว่าถ้าเธอไม่ได้กินมะม่วง คืนนี้ผมก็อย่าหวังเลยว่าจะได้นอนต่ออย่างสงบสุข

งี่เง่าฉิบหาย...

ผมทั้งรำคาญทั้งละเหี่ยใจ นึกโทษตัวเองที่ตามใจเมียมากเกินไปจนเธอเสียนิสัย ตอนนี้เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับกรรม สะบัดผ้าห่มลุกออกจากเตียง เดินปึงปังลงไปชั้นล่างด้วยความหงุดหงิด ถือทั้งไฟฉายทั้งตะเกียงเจ้าพายุ แบกไม้ตะกร้อสอยมะม่วงเข้าไปในสวนหลังบ้าน

ข้างนอกนี่ไม่มีไฟสักดวง เหนือสวนมะม่วงคือท้องฟ้าสีช้ำเลือดช้ำหนอง ลมพัดเอื่อยมาพร้อมกลิ่นดอกแก้วที่ปลูกอยู่ริมคลอง กิ่งมะม่วงไหวเอนไปมาช้าๆ คล้ายฝ่ามือผอมแห้งนับสิบนับร้อยคู่กำลังกวักมือเรียกผมให้เดินเข้าไปในความมืด

ผมเริ่มตื่นเต็มตาเพราะบรรยากาศแปลกๆ น่าขนลุก แต่ภากลับเดินจ้ำอ้าวแบบไม่กลัวเกรงอะไรทั้งสิ้น เธอเดินนำผมลัดเลาะไปตามท้องร่องราวกับรู้เส้นทางในเรือกสวนแห่งนี้เป็นอย่างดี

“ภาจะกินเขียวเสวยต้นนี้” เมียผมหยุดเดินเมื่อไปถึงมะม่วงต้นหนึ่ง มันสูงชะลูดเกินหลังคาบ้าน ใบดกหนาเป็นพุ่ม กิ่งก้านแผ่ขยายแข็งแรง แม้ว่าบางกิ่งจะมีซากกาฝากแห้งตายเกาะเกี่ยวอยู่ก็ตาม

ผมรู้จักมะม่วงต้นนี้ดี...

ตอนอายุห้าขวบผมซนยิ่งกว่าลิง ชอบคิดว่าตัวเองเป็นทาร์ซานจ้าวป่า ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องปีนต้นไม้เล่น แม่ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง พ่อตีกี่รอบก็ไม่เคยจำ จนมาได้เขียวเสวยต้นนี้นี่แหละที่ช่วยปราบลิงให้กลายเป็นคน

วันที่เกิดเรื่องผมปีนขึ้นไปสูงลิบจนถึงกิ่งที่มีกาฝากเกาะ จำได้ว่าตอนนั้นกาฝากยังคงเขียวสดไม่ได้แห้งตายเหมือนในปัจจุบัน แต่ผมจำไม่ได้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงได้พลัดตกจากระดับความสูงเท่าหลังคาบ้านชั้นสอง...ลงมาสู่กองกระเบื้องมุงหลังคาที่เหลือทิ้งจากการซ่อมแซมบ้านในช่วงหน้าร้อน

ผลที่ได้คือผมหัวแตกยับเยิน ใต้ไหปลาร้ามีแผลเหวอะหวะพาดยาวลงไปถึงใต้ชายโครง หน้าอกซ้ายเนื้อแหว่งหายไปก้อนใหญ่เย็บเกือบร้อยเข็ม ทุกวันนี้มันกลายเป็นแอ่งยุบสีแดงน่าเกลียด ซึ่งไม่เคยจางลงเลยแม้จะผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้วก็ตาม

“พี่เล่าให้ภาฟังหรือยัง ว่าเคยตกจากมะม่วงต้นนี้จนเกือบตายน่ะ เอาต้นอื่นได้ไหม” ผมหันไปถามเมีย อดระแวงไม่ได้ว่าภาลวงผมมาตายแบบนิ่มๆ แล้วโบ้ยให้เป็นความผิดของต้นไม้หรือเปล่า

“ภาไม่อยากกินต้นอื่น พี่โตรีบสอยเถอะ แถวนี้ยุงชุม ภาโดนกัดจนแขนลายหมดแล้วนะ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ตบยุงแปะๆ ไม่ได้สนใจคำพูดผัวสักนิด

ได้ยินแบบนั้นผมเลยขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เร่งสาดไฟฉายกราดไปมาตามพุ่มใบในความมืด กระทั่งพบมะม่วงลูกยาวเท่าฝ่ามือสองสามลูกห้อยติดอยู่ที่ปลายยอดไกลลิบๆ ซึ่งดูยังไงไม้ตะกร้อก็ยาวไม่พอจะไปถึง

“สงสัยพี่ต้องปีนขึ้นไปสอยให้ภาแล้วละ” ภาเจ้ากี้เจ้าการสั่ง

ผัวไร้ปากเสียงอย่างผมทำอะไรไม่ได้นอกจากปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี ผมเอาตะเกียงเจ้าพายุแขวนห้อยไว้กับปลายไม้สอย ตั้งไม้พาดไว้กับโคนต้นมะม่วง แล้วถอดรองเท้าปีนป่ายตามแสงสว่างขึ้นไปอย่างระมัดระวัง

ผมเล็งกิ่งไม้ใหญ่ที่สูงพอสมควรเอาไว้แล้ว พอปีนไปถึงก็วาดขานั่งคร่อมลงบนเถากาฝากที่ทิ้งซากตายแห้งเหี่ยวติดอยู่ในเนื้อไม้มะม่วง ก่อนจะค่อยๆ ดึงไม้ตะกร้อกับตะเกียงขึ้นมาจากพื้น

ขณะนั้นเองที่ลมเย็นเจือกลิ่นดอกแก้วไหลวูบผ่าน ขนอ่อนบนต้นคอผมลุกตั้งชูชัน คล้ายผิวหนังสัมผัสได้ถึงสิ่งละเอียดอ่อนที่ดวงตามองไม่เห็น

เปลวไฟในตะเกียงพลันโรยแรงแสง ความมืดสลัวคืบคลานเข้ามาโอบรัดรอบตัวผม เกิดแรงกดทับหนักหน่วงคล้ายมีใครนั่งพิงแอบอิงศีรษะอยู่ตรงอก ทำให้ร่างกายซีกซ้ายของผมปวดชา แขนซ้ายขยับไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว

“ทำอะไรอยู่พี่ ทำไมไม่สอยสักที!” ภาแว้ดถาม

“เดี๋ยวสิ พี่เจ็บแขนอยู่!” ผมก้มลงไปเถียง แทนที่จะเห็นเมียยืนเท้าเอวทำหน้าถมึงทึง กลับได้เห็นส่วนเกินในเงาของตัวเองที่ทอดเด่นอยู่บนพื้น

ผม...หรือพูดให้ถูกเงาของผม มันนั่งคร่อมอยู่บนกิ่งมะม่วงใหญ่ มือหนึ่งถือไม้ตะกร้อ อีกมือถือตะเกียง ขาเกี่ยวไขว้กันเหนียวแน่น เมื่อนับดูให้ดี ผมมีสองแขน สองขา หนึ่งหัว ...และก็มีอีกหนึ่งหัวที่ไม่ใช่ของผมยื่นเกินออกมาด้วย

ศีรษะนั้นมีขนาดเล็กรูปร่างยาวรีบูดเบี้ยว มันงอกออกมาจากบริเวณหน้าอกผม และกำลังซุกซบอยู่บนตัวผมอย่างสนิทชิดเชื้อทีเดียว

“อะไรวะ!” ผมตกใจร้องลั่น มือไม้สะบัดปัดไล่สิ่งที่มองไม่เห็นออกจากร่าง ไม้ตะกร้อกระเด็นหวือปลิวหาย ตะเกียงเจ้าพายุหล่นลงไปตกแตก ตามมาด้วยเสียงภาแหวด่าลั่นสวน กระทั่งท้องฟ้ากับกิ่งมะม่วงตีลังกากลับหัวกลับหาง ผมถึงได้รู้ตัวว่ากำลังหงายหลังร่วงลงมาสู่พื้นล่าง...




หลังตกต้นไม้ เมียผมก็โวยวายยกใหญ่

หากคิดว่าภาเป็นห่วงเป็นใยผมล่ะก็...ผิดถนัด เธอกำลังหงุดหงิดที่ไม่ได้กินมะม่วง เลยหาเรื่องมาบ่นใส่ผมไม่หยุด บ่นๆๆ จนแก้วหูผมจะทะลุด้วยประโยคเดิมๆ ซ้ำซาก

‘ทำไมพี่โตถึงไม่สอยมะม่วงลงมาให้ภา’ ไม่ก็ ‘ทำไมพี่โตถึงไม่รู้จักระวังบ้าง ดูสิ ภาอดกินมะม่วงเลย’ บลาๆๆ

ทั้งที่จุดเริ่มต้นมันเกิดจากความเอาแต่ใจของเธอแท้ๆ ผมถึงต้องออกไปสอยมะม่วงตอนตีสาม พอตกต้นไม้แขนถลอกปอกเปิก สุดท้ายผมกลับเป็นฝ่ายผิดไปซะงั้น ผิดที่ตกลงมาก่อนจะสอยมะม่วงเสร็จน่ะนะ

“ไม่ได้เรื่อง พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แค่สอยมะม่วงก็ทำไม่ได้”

“จะโวยวายทำไมก็บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปสอยให้ใหม่”

“แต่ภาอยากกินเดี๋ยวนี้ เข้าใจไหมว่าเดี๋ยวนี้!” ภาตวาดเสียงแหลม

“โว้ย! หุบปากสักทีได้ไหม จะบ่นไปถึงไหน ทำไมถึงงี่เง่าขนาดนี้วะ!” ผมหลุดปากตะคอกกลับอย่างเหลืออด

ภาถึงกับสะดุ้งโหยงน้ำตาคลอเบ้า เราแต่งงานกันมาสิบปี ผมไม่เคยขึ้นเสียงกับเธอเลย ซ้ำยังยอมลงให้ตลอดไม่ว่าผิดหรือถูก จนเพื่อนๆ ของผมชอบเอาไปล้อว่าผมกลัวเมีย ใช่ ผมมันกลัวเมียจริงๆ นั่นแหละ กับคนที่รักผมยอมได้ทุกอย่าง แต่ถ้าหมดรักแล้ว...ก็คงลงเอยแบบนี้

“ทะเลาะอะไรกันลูก เสียงดังไปถึงข้างบน” แม่ผมส่งเสียงถาม ขณะเกาะราวบันไดเดินลงมาอย่างระวัง

เนื่องจากพวกเราไม่ได้อยู่กันตามลำพังแค่ผัวเมีย เสียงพูดคุยที่ดังเกินพอดีในห้องนั่งเล่นจึงดังสะท้อนไปทั่วบ้านไม้ ปลุกแม่ผมที่นอนอยู่บนชั้นสองกับคนงานในบ้านที่นอนอยู่ในเรือนหลังเล็กจนตื่น

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผมโกหกหน้าตาเฉย ภาเลยค้อนผมตาเขียว

“ไม่มีอะไรได้ยังไง” แม่ผมกระชับเสื้อคลุมบนไหล่ขณะเดินเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นผมเลือดตกยางออกก็พลันขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมแขนถลอกปอกเปิกแบบนี้ น้อย...ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้พี่โตทีซิลูก”

น้อยเป็นคนงานในบ้านที่อยู่กับแม่ผมมานาน อายุแค่สิบเจ็ดปีแต่ทำงานบ้านงานสวนได้คล่องแคล่วเกินวัย พอเห็นว่าผมบาดเจ็บ เจ้าเด็กหน้าตางัวเงียก็รีบกระวีกระวาดไปหากล่องปฐมพยาบาลมาตามคำสั่งในทันที

“แม่ไม่อยากยุ่งกับเรื่องผัวเมียหรอกนะ แต่ทะเลาะกันเสียงดังตอนดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้มันก็เกินไป”

“ผมเหลืออดแล้วจริงๆ ครับแม่...” ผมไม่ใช่คนผิด เรื่องอะไรจะยอมถูกดุ ดังนั้นระหว่างที่น้อยกำลังทำแผลให้ ผมก็เล่าให้แม่ฟังไปด้วยว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นตอนตีสาม ในขณะที่ภาเอาแต่ร้องไห้กระซิกๆ น่ารำคาญ

แม่ผมนั่งรับฟังอย่างสงบและตั้งใจ บางทีท่านอาจจะสังเกตเห็นมาสักพักแล้วว่าภาเปลี่ยนไป ทั้งอารมณ์แปรปรวน ทั้งการอยากกินมะม่วงไม่ดูเวล่ำเวลา อาการทั้งหมดนี้ไม่รอดพ้นสายตาผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน

“ภา...หนูท้องหรือเปล่าลูก”




ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมียผมท้องจริงๆ อย่างที่แม่ทัก

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย รู้แต่ว่าเด็กคนนี้มาผิดเวลาไปหลายปี หากแกมาไวกว่านี้ บางทีผมกับภาอาจจะยังรักและเข้าใจกันดีก็เป็นได้

แม่ผมไม่ทราบว่าเรามีปัญหาระหองระแหงกันอยู่ ท่านเลยเห่อหลานไปตามวิสัยคนแก่ ภาอยากกินอะไรก็สั่งให้ผมไปหามาบำรุงบำเรอตามใจ แรกๆ ภาแพ้ท้องหนักกินอะไรไม่ค่อยได้ อยากกินแต่มะม่วงมันกับมะม่วงเปรี้ยว แต่พอผ่านไปหลายสัปดาห์ อาการนั้นก็หายไป กลับกลายมากินจุเป็นพายุแทน

ภาที่เคยผอมอ้อนแอ้นชักเริ่มบวมอืดเป็นฮิปโป เวลาไม่ได้กินอะไรที่อยากกิน เธอจะหงุดหงิดเหมือนช้างตกมัน บางครั้งบางคราวเวลาไม่มีอะไรทำ ภาก็กลายเป็นแม่เสือที่ขู่ผัวฟ่อๆ เพื่อระบายอารมณ์เล่น...

เชื่อไหม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมโดนแม่เสือตะปบเข้าอย่างจัง

คืนนั้นผมเลิกงานดึก เพราะมีหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยในโรงงานไม้แปรรูปที่ผมเป็นเจ้าของ จำได้ว่าฝนตกหนักราวกับฟ้ารั่ว สี่แยกแครายรถติดเป็นกิโล ปลายแถวยาวไปถึงหน้ากระทรวงสาธารณสุข แค่ถ่อไปให้ถึงบ้านผมก็เหนื่อยแสนสาหัส เลยโทรไปบอกเมียว่าจะลงไปเช้าวันเสาร์แทน

ปรากฏว่าผมโดนเมียท้องแหวผ่านคลื่นโทรศัพท์มาทันที

“ไม่ได้ คืนนี้ภาจะกินเค้กมะพร้าวอ่อน พี่โตต้องไปซื้อมาให้ภา!”

ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหัวรับคำสั่งเมียมาปฏิบัติโดยดุษฎี ยอมลากสังขารฝ่าการจราจรเลวระยำบนถนนเกษตร-นวมินทร์ จอดแวะตลาดมีนบุรี ตระเวนหาซื้อของไปเซ่นปอบ เอ๊ย! เมียทั้งที่เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด

ครั้นพอถึงบ้านสวน ผมส่งเค้กมะพร้าวอ่อนเจ้ากรรมให้เมียเจ้าปัญหา ภารับไปกินเปรมปรีดิ์ทางหนึ่ง ส่วนผมก็คว้าซองบุหรี่เดินเข้าไปสูบในสวนอีกทาง เราสองคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่คุยอะไรกันสักคำ...ไม่แม้แต่คำเดียว




เช้าวันถัดมา ผมตื่นเพราะเสียงหมาเห่าขรมอยู่ใต้หน้าต่าง

เมื่ออาบน้ำอาบท่าเดินลงมาชั้นล่าง เข้าครัวไปหาน้ำกินก็เห็นเมียกำลังยุ่งอยู่กับก้อนเนื้อสีแดงซีด มือขาวผ่องขยับว่องไว จกควักเครื่องในชุ่มเลือดออกมาวางบนเขียงไม้

“นั่นอะไรน่ะ” ผมถาม เพราะระบุไม่ได้จริงๆ ว่ามันคืออะไร

“หนูค่ะ” ภาหยิบหนูนาตัวเขื่องที่แล่อยู่ขึ้นมา มันถูกถลกหนัง ตัดหัวตัดขาเรียบร้อย หน้าอกโดนผ่าแหวกออกเป็นโพรงลงมาถึงท้อง เลือดสีแดงหยดติ๋งลงมาเป็นแอ่งบนเขียง

ผมได้กลิ่นคาวแปลกๆ เลยพะอืดพะอม ทำท่าเหมือนจะอ้วก

“อุ๊ย สงสัยจะแพ้ท้องแทนเมีย อยากกินไหมคะ” ภาหัวเราะระรื่น

ผมไม่ขำด้วยเลยรีบเทน้ำกรอกปากแล้วเดินเลี่ยงไปที่ประตูครัวหลังบ้าน ไอ้ด่างหมาไทยหลังไม่อานที่เลี้ยงไว้ยังคงเห่ากระโชกอยู่ ผมได้ยินเสียงแม่คุยกับใครบางคน ใช้เวลาสักพักกว่าทั้งคู่จะเดินตัดลานบ้านมาถึงครัว

“ตื่นแล้วเหรอเจ้าโต เมื่อคืนเอารถไปทำอะไรมา ทำไมกันชนบุบแบบนั้น” แม่ทักถามทันทีที่เห็นหน้าผม ท่านคงเห็นแล้วว่ารถกระบะสีดำคู่ใจผมที่จอดอยู่ในเพิงมีรอยบุบน่าสงสัย ทั้งที่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังสภาพดีอยู่เลย

“ผมขับรถชนหมาน่ะครับ” ผมยักไหล่ มองใครบางคนที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่หลังแม่ “นั่นใครเหรอครับ เพื่อนแม่เหรอ”

“นี่ป้าตวง แกจะมาทำงานที่บ้านเราแทนน้อย เพราะเจ้าน้อยมันสอบติดพยาบาลที่กรุงเทพ เพิ่งขนข้าวของออกไปเมื่อเย็นวานนี้เอง แม่เลยรีบหาคนมาแทนให้” แม่ผมอธิบาย ป้าตวงเป็นหญิงร่างท้วม อายุมากกว่าแม่ผมเล็กน้อย แกมีผิวคล้ำแดดแบบชาวสวน หน้าตาดูเป็นมิตร “พี่ตวง นี่โตลูกชายฉัน ส่วนนั่นภาลูกสะใภ้นะ”

“สวัสดีจ้ะคุณโต คุณภา” ป้าตวงชิงไหว้เราด้วยท่าทางซื่อๆ ทำให้ผมรีบยกมือไหว้คืนแทบไม่ทัน

“สวัสดีครับคุณป้า” ผมทักทาย

“ภาเสียดายจังเลยค่ะคุณแม่ น้องน้อยทำอาหารอร่อยมาก พักหลังๆ ภาชักติดรสมือน้องน้อยแล้วด้วย” ภาเง้างอดอ้อนแม่ผมด้วยความเห็นแก่กิน

“คุณภาอยากกินอะไรล่ะจ้ะ ป้าทำได้หมดแหละ”

“จริงเหรอคะคุณป้า” ภาทำตาเป็นประกาย

ผมขยับตัวอึดอัด เริ่มรู้สึกเป็นส่วนเกินเมื่อผู้หญิงจับกลุ่มคุยกันออกรส เลยคิดจะปลีกตัวออกไปทำอย่างอื่นในสวนตามลำพัง ภาเห็นอย่างนั้นเลยถือโอกาสยื่นหน้ามาสั่งงานฉอดๆ

“กิ่งมะม่วงข้างบ้านมันล้ำมาบนหลังคาแล้วนะ พี่โตขึ้นไปตัดหน่อยสิ เดี๋ยวลมแรงๆ มันจะหักลงมาทับหลังคาบ้าน”

“จ้ะ” ผมเห็นด้วย ปกติการเล็มกิ่งต้นไม้ให้พ้นไปจากตัวบ้านเป็นหน้าที่ของพ่อผม แต่ตอนนี้ท่านไม่อยู่แล้วนี่นะ

ตลอดเช้าและบ่ายวันนั้นผมจึงง่วนอยู่กับต้นมะม่วงประหนึ่งเป็นรุกขเทวดา ปีนขึ้นปีนลงต้นนั้นต้นนี้ เลื่อยกิ่งที่ยื่นมาล้ำหลังคาบ้านจนตกเย็น ก่อนจะขนกิ่งไม้ทั้งหมดไปสุมไว้ในร่องดินท้ายสวนที่เป็นหลุมเผาขยะ

ตามต่างจังหวัดในพื้นที่ห่างไกลจากถนนใหญ่ ไม่มีรถขยะของเทศบาลมาตามเก็บขยะให้เหมือนในกรุงเทพ ชาวบ้านต้องกำจัดขยะกันเอาเอง ไม่ฝังดินก็เผาทิ้ง บ้านผมเลือกใช้วิธีหลัง

กิ่งไม้กองใหญ่ถูกโยนลงไปทับขยะที่นอนอยู่ก้นหลุม กลิ่นคาวเลือดคลุ้งออกมาจากขยะที่ปะปนอยู่กับใบมะม่วง มันทำให้ผมคลื่นไส้อยากอาเจียน เลยรีบโยนกากมะพร้าวชุบน้ำมันก๊าดที่ห่อหุ้มด้วยเปลวไฟลงไป ตั้งใจจะเผากลิ่นให้สิ้นซาก

ผมยืนมองเพลิงร้อนลามเลียแผดเผา ทำลายทุกอย่างจนไหม้ดำหงิกงอ


มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ ฝนมกรา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
หลายเดือนหลังจากนั้น อะไรๆ ก็เริ่มดีขึ้นผิดหูผิดตา

เมื่ออารมณ์แปรปรวนแบบคนแพ้ท้องของภาหายวับไป เธอก็กลับมาเป็นเมียที่แสนหวาน ใจเย็นเป็นน้ำ และช่างเอาใจคนเดิม ชีวิตคู่ของผมที่เหมือนจะตายสนิท ค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมาพร้อมๆ กับลูกในท้องของภาที่โตขึ้นทุกวัน

ผมเริ่มมองเห็นสัญญาณที่ดีในครอบครัว จึงนึกรักลูกที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นกอง แต่ยิ่งภาใกล้คลอด ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ บางครั้งที่ภาเดินผ่าน บางครั้งที่ภาพลิกตัวอยู่บนเตียง ผมมักได้กลิ่นเหม็นโชยมา

กลิ่นคาวเลือด กลิ่นเน่าหมักหมม...และกลิ่นไหม้

ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะกลิ่นเหม็นฉุนที่อวลอยู่ใต้จมูก ห้องนอนมืดสลัวสว่างวาบเป็นครั้งคราวเพราะแสงฟ้าแลบฟ้าผ่า ได้ยินเสียงลมตีกระทบบานหน้าต่างกราวๆ ดูเหมือนว่าฝนหลงฤดูช่วงปลายเดือนพฤศจิกาจะหนักกว่าที่กรมอุตุฯคาดไว้

ความร้อนอบอ้าวทำให้ผมเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง ชุดนอนเหนียวเหนอะติดผิวหนังจนต้องพลิกตัวเปลี่ยนท่านอน ผมหันไปเจอเมียอ้าปากกรนคร่อกๆ ผ้าห่มหลุดหายไปอยู่ปลายเตียง เสื้อยืดนิ่มย้วยถลกขึ้นมาถึงใต้ราวนม ท้องกลมป่องที่มีเด็กทารกซุกซ่อนอยู่ข้างในจึงอยู่ในสภาพท้าลมท้าอากาศไร้สิ่งปกปิด

ตอนที่แสงฟ้าแลบลอดผ่านช่องกระจกฝ้า ห้องสว่างขึ้นชั่วอึดใจ ผมทันได้เห็นฝ่าเท้าน้อยๆ ถีบดันอยู่ในท้องป่องโต เลยแอบวางมือบนหน้าท้องภา รอรับสัมผัสจากเท้าลูกผ่านผนังกั้นนิ่มหยุ่นที่ขังแกเอาไว้

อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะครบกำหนดคลอดแล้ว เจ้าตัวเล็กของผมดิ้นเก่ง แข็งแรงดีเหลือเกิน ผมยิ้มอย่างมีความสุข ชั่วขณะนั้นเองที่ไอ้ด่างเริ่มโก่งคอหอนโหยหวนหนัก กลิ่นเน่าโชยแรงแทรกกลิ่นดินชื้นฝนเข้ามาในห้องร้อนอบ

เท้าของลูกใต้มือผมขยับขยายใหญ่ขึ้น จากเท้ากลายเป็นใบหน้า ท้องขาวซีดที่มีรอยแตกเป็นริ้วๆ ของภายืดยานออกเป็นรูปหัวคน มันอ้าปากกรีดร้อง ประหนึ่งผีสางตัวที่โดนขังอยู่ในมดลูกเมียผมกำลังจะหลุดออกมา

ผมผวารีบชักมือออกห่าง เห็นเลือดซึมแผ่ออกมาจากใต้ตัวภาจนท่วมเตียง ได้ยินเสียงโพล๊ะดังขึ้นเหมือนลูกโป่งใส่น้ำถูกเจาะแตก ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะไหลพลั่กออกมาจากท้องเมียผม

ลูก...ผมครางในใจเมื่อเห็นร่างหงิกงอตรงหว่างขาชุ่มเลือด

สิ่งที่ภาคลอดออกมามีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าเด็กทารก เนื้อตัวมันชุ่มเลือดกับเมือกขาวขุ่น ผิวบางจุดพุพองแตกหนอง บางจุดไหม้เกรียมเป็นสีดำสนิท แม้มีแขนขาครบสมบูรณ์แต่ใบหน้ากลับยุบหายไปกว่าครึ่งอย่างน่าสยดสยอง

“พ่อจ๋า!” มันร้องเรียกแล้วโถมเข้ากอดคอผม

“อ๊ากกก!” ผมกรีดร้องลั่นแล้วสะดุ้งตื่นในทันที

“เป็นอะไรไปคะ!” ภาตกใจเสียงผมจนต้องตื่นขึ้นมาดู

“พี่ฝันร้าย” ผมตัวสั่นขณะสูดเอากลิ่นหอมดอกแก้วเข้าปอด ไม่ได้สงสัยเลยว่าต้นแก้วริมคลองมีดอกตั้งแต่เมื่อไหร่

“โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะคะ ขวัญเอยขวัญมา” ภาดึงผมเข้าไปกอดปลอบในอ้อมอกแบบที่ไม่เคยทำมาหลายปี ผมรีบซุกใบหน้าเข้าหาความอบอุ่นของเธออย่างโหยหา กระทั่งผิวหนังภาเริ่มหลุดล่อนเหมือนเปลือกไม้

แขนขาวนุ่มนิ่มชักแห้งแข็งแตกระแหง นิ้วมือทั้งสิบดำหงิกงอเหมือนถูกไฟเผา กลิ่นดอกแก้วจางหายเหลือแต่กลิ่นลมหายใจเหม็นเน่าร้อนผ่าวราวกับไฟ กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็กอดผมไม่ยอมปล่อยเสียแล้ว

“ภา พี่หายใจไม่ออก!” เมื่อผมพยายามดึงตัวออก ดวงตาสีดำสุกใสของเธอจึงกลายเป็นสีขาวขุ่นของคนตาย ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มฉ่ำหวานไหม้หงิก หดหายไปเหลือแต่เหงือกกับฟัน

“พี่โต...” เสียงกระซิบเรียกนั้นเยือกเย็นราวกับมาจากขุมนรก

“ปล่อย!” ผมคำรามแล้วสะดุ้งตื่น หอบจนตัวโยน หนนี้มั่นใจว่าตื่นแล้วจริงๆ แม้จะยังมีกลิ่นไหม้ติดจมูกอยู่ก็ตาม

“โอ๊ะ...โอ๊ย!”

ข้างหูผมมีเสียงร้องคราง ภาขยับตัวตื่นแล้วดิ้นไปมา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด มีเสียงโพล๊ะดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่เตียงนอนเราจะแฉะเป็นวงกว้างเพราะน้ำคร่ำ

ใช่ ภาคงกำลังเจ็บท้องใกล้คลอด แต่ก่อนจะขับรถพาเมียไปโรงพยาบาล สิ่งที่ผมทำเป็นอย่างแรกคือรีบยกมือไหว้พระ เว้าวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้เมียคลอดอย่างปลอดภัย ขอให้ลูกออกมาครบสามสิบสอง

และถ้าจะให้ดี ขอให้ลูกผมไม่ใช่ผีนรกตัวที่เห็นในความฝันด้วย!




แม่ตั้งชื่อเล่นให้ลูกชายผมว่า ‘เล็ก’

เล็กน่ารักน่าเอ็นดูตั้งแต่แรกเกิด ตัวหอมนุ่มนิ่ม ตากลมแก้มยุ้ย ผิวขาวจั๊วะเหมือนภา แม่ผมบอกว่าแกหน้าตาเหมือนผมราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน เหมือนเล็กเป็นฝาแฝดไซส์เล็กจิ๋วของผมไม่มีผิด ผมรักเจ้าเล็กประหนึ่งแก้วตาดวงใจ ทุกครั้งที่กอดอุ้มแกไว้แนบอก ผมรู้สึกเหมือนตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ขาดหายไปจนเจอ

ที่สำคัญ...ตั้งแต่เล็กเกิด ชีวิตผมที่ดีอยู่แล้วก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก ความสัมพันธ์ของผมกับเมียฟื้นตื่นจากความตายได้ราวกับมีปาฏิหาริย์ หน้าที่การงานราบรื่นไร้อุปสรรค เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาด เรียกได้ว่าชีวิตรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด

แต่ผมไม่เคยเอะใจเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่ได้ไม่นาน...




“...แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์...ทูยู”

ผมกับทุกคนในครอบครัวร้องเพลงวันเกิดให้เล็กในห้องที่มีแสงสลัว เปลวเทียนเหนือเค้กก้อนใหญ่วูบไหวตามแรงตบมือ พอเพลงจบแสงเทียนก็ดับวูบลง เหลือแต่ควันจางๆ เมื่อภาที่อุ้มลูกอยู่ก้มลงไปเป่าแรงๆ หนึ่งที

วันนั้นเป็นวันเกิดครบรอบหนึ่งปีของเล็ก ช่วงสายผมพาลูกเมียไปทำบุญไหว้พระที่วัดหลวงพ่อโสธร เดินเที่ยวตลาดน้ำบางคล้า ก่อนจะกลับมาฉลองวันเกิดกันง่ายๆ ที่บ้านสวน

หลังจากสนุกสนานกันมาทั้งวัน ตกค่ำผมก็ส่งลูกเข้านอนที่ห้องของแกตามปกติ ภาหัดให้เล็กนอนคนเดียวตั้งแต่อายุได้ห้าเดือน โดยใช้เบบี้มอนิเตอร์คอยติดตามฟังเสียงลูกตอนกลางคืนตลอดเวลา

น่าแปลกที่คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย ได้แต่พลิกตัวไปมาฟังเสียงเมียกรน เผลอเมื่อไหร่สายตาเป็นอันต้องเลื่อนมองไปที่เบบี้มอนิเตอร์บนโต๊ะข้างเตียง คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

พอตีสามเป๊ะ จุดไฟสีแดงบนเบบี้มอนิเตอร์ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวกะพริบวอบแวบอยู่ในความมืด ตามมาด้วยเสียงสำลักขลุกขลักดังลอดผ่านลำโพงเล็กจิ๋วออกมาแว่วๆ

“เล็ก?” ผมร้อนใจรีบตลบผ้าห่มพุ่งออกจากเตียงไปหาลูกทันที

เสียงสำลักรุนแรงขึ้นอย่างน่ากลัวเมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง ทว่าพอชะโงกหน้าลงไปมองในเปลเด็ก กลับพบว่าเจ้าเล็กลูกชายวัยขวบเดียวยังคงหลับสนิทดี ทั้งๆ ที่เสียงสำลักนั้นยังคงดังก้องอยู่ในห้อง

เสียงใคร? หรือผมจะหูฝาดไปเอง

ผมขยับตัวเงอะงะด้วยความงุนงง ไม่อาจหลอกตัวเองว่าหูฝาด เพราะเสียงสำลักนั่นเขยิบใกล้เข้ามาจนชิดติดต้นแขน ไอ้หมาบ้านตรงข้ามฝั่งคลองเริ่มหอนเสียงน่าขนลุก แล้วไอ้ด่างบ้านผมก็เสือกหอนตอบโหยหวนพอกัน

อ่อกๆ อ๊อก...แค่ก!

เสียงสำลักดังถี่ขึ้น...แรงขึ้น กระทั่งกลายเป็นการสำรอก ฝอยเลือดกระเซ็นกระสายส่งกลิ่นคาวจัดคละคลุ้ง

ผมเหลือบมองด้วยหางตา เห็นร่างขาวเผือดช้ำเลือดช้ำหนองยืนอยู่ตรงนั้น มันซุกศีรษะแตกยับจนเห็นเนื้อสมองลงที่บ่าผม มือข้างหนึ่งรัดเข้าที่เอว ส่วนอีกข้างเลื้อยขึ้นมาจกทะลุชอนไชเข้าไปในทรวงอก...บีบกำหัวใจผมไว้แน่น

“อึก!” ผมเจ็บหน้าอกแปลบ ร้าวไล่ขึ้นมาถึงไหล่ คอ และขากรรไกร ชีพจรเต้นหนักตุบๆ อยู่ข้างคอ เหงื่อเย็นไหลซึมแผ่นหลัง ความหนาวยะเยือกจู่โจมร่างกายท่อนบนตั้งแต่หน้าอกขึ้นไปจรดหน้าผาก

ผมล้มลง...หัวใจวายเฉียบพลัน




“เป็นยังไงบ้างคะพี่โต” ภาถาม ฝ่ามือนุ่มหอมกลิ่นแป้งเด็กทาบวางลงบนท่อนแขนผมด้วยความเป็นห่วง

“ดีขึ้นแล้วจ้ะ อ้าว ว่าไงเจ้าเล็ก คิดถึงพ่อไหมลูก” ผมยื่นมือไปลูบหัวลูกชายที่เมียกำลังอุ้ม หลังจากหัวใจวายกะทันหันจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมียกับแม่ผลัดกันมาเฝ้าไข้ผมแทบทุกวัน แต่ผมไม่ได้เจอหน้าเล็กเลย

“คิดถึงสิคะ แกร้องหาพี่ทุกวันเลย” ภาวางลูกลงในพื้นที่ว่างบนเตียงข้างตัวผม ปล่อยให้เจ้าเล็กคลานยงโย่ยงหยกมานอนซบอกพ่อด้วยความคิดถึง “จริงสิ เมื่อวานเจ้าเล็กเรียกภาว่าแม่ได้ชัดๆ แล้วนะ”

ความจริงแล้วเจ้าเล็กพูดว่า ‘แมะ’ หรือ ‘มะม้า’ ได้ตั้งแต่อายุสิบเดือน พอไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็เรียกแม่ผมว่า ‘ยะ’ ได้แล้ว แต่ทำยังไงเล็กก็ไม่ยอมเรียกผมว่า ‘พ่อ’ สักทีสิน่า

“น่าน้อยใจจัง ทำไมไม่เรียกพ่อบ้างล่ะเจ้าเล็ก”

“โธ่ ไม่ต้องงอนลูกนะคะ เดี๋ยวแกก็พูดได้” ภาขำคิกคัก

“ไหนเล็กลองพูดตามพ่อซิ...พ่อ” ผมพูดนำช้าๆ ชัดๆ

“ปี้” เจ้าเล็กออกเสียงตามระหว่างมองหน้าผม

“นี่พ่อจ้ะลูกไม่ใช่พี่ เอาใหม่นะคะ พ่อ...พ่อโต” เมียผมช่วยสอนอย่างใจเย็น

“ปี้โต” ลูกชายผมพูดอีก ก่อนยิ้มน่าเอ็นดูอวดฟันหน้าเล็กๆ สองซี่บนเหงือก ผมชะงัก ไม่แน่ใจว่าหูฝาดหรือเปล่า แต่ตอนที่ลูกเรียกผม มีเสียงกระซิบเยียบเย็นสอดแทรกมาด้วยเบาๆ มันดึงขึ้นข้างหูผมนี่เอง

“พี่โต...”




‘วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่’ ผมเคยได้ยินคำเปรียบเปรยนี้มานานแล้ว แต่ไม่ยักรู้มาก่อนว่ามันจะใช้กับคนเป็นพ่อได้ด้วย ดังนั้นผมจึงไม่เคยเอะใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันเกิดปีถัดมาของลูกชายสุดที่รัก

วันเกิดครบรอบสองขวบของเล็ก ผมขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวทะเลบางแสน เราไม่ได้ค้างคืนกันที่นั่นเพราะแม่ผมเป็นห่วงบ้านกับไอ้ด่าง ทำให้ผมต้องตีรถกลับแปดริ้วตอนดึกๆ ดื่นๆ

ขากลับแม่ผมหลับสัปหงกอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ ส่วนภานั่งอยู่เบาะหลังข้างเจ้าเล็ก หนูน้อยวัยสองขวบนั่งรัดเข็มขัดอยู่ในคาร์ซีท ตลอดทางแกเงียบสงบเรียบร้อย ไม่มีอาการงอแงใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่ง...

“พี่โต!” จู่ๆ แกร้องเรียกผมเสียงหลง

ผมขมวดคิ้วเหลือบมองผ่านกระจกหลัง สงสัยว่าลูกเป็นอะไร ทว่าคนที่นั่งอยู่ในคาร์ซีทกลับไม่ใช่เจ้าเล็กลูกผม ร่างไหม้เกรียมกอดเข่าคุดคู้อยู่ในเบาะใบจ้อย ศีรษะซีกขวายุบหาย ตาขวาหลุดถลนออกมานอกเบ้า ดวงตาซ้ายที่เหลืออยู่ส่องประกายหวานเชื่อม ริมฝีปากสีดำฉีกยิ้มบิดเบี้ยวส่งให้

“เหี้ย!” ผมหลุดปากสบถคำหยาบคาย ตกใจจนเผลอหักพวงมาลัยไปทางขวาอย่างแรง รถผมทะยานฉิวข้ามเกาะกลาง กวาดทำลายพุ่มไม้ที่ตัดแต่งไว้อย่างดีจนถอนรากถอนโคน ก่อนจะแล่นไถลลงไปบนเลนขวาสุดของถนนอีกฝั่ง

“ระวัง!” แม่กับภาประสานเสียงกรีดร้องลั่น

รถสิบล้อที่วิ่งมาในเลนนั้นกะพริบไฟสูงเตือนอย่างร้อนรน แสงสว่างวาบทิ่มแทงตาผมจนพร่าลาย มันมาพร้อมกับเสียงบีบแตรแสบแก้วหู ผมรู้ว่าต้องหยุดรถให้ได้ แต่มันเสียการควบคุมไปแล้ว แม้เหยียบเบรคจนจมมิดความเร็วก็ยังไม่ลด ผมได้แต่กัดฟันกรอดนึกถึงหน้าพ่อ ตัดสินใจสลับเท้าไปเหยียบคันเร่งสุดแรงเกิดแล้วหักพวงมาลัยไปทางขวาอีกที

รถกระบะสีดำหมุนติ้วเป็นลูกข่างหลุดออกจากเลนขวาสุด รอดพ้นจากการประสานงากับรถสิบล้อมาได้อย่างหวุดหวิด แต่วินาทีต่อมามันกลับอัดเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างทาง กระโปรงรถและโครงเหล็กฝั่งคนขับยับยู่ไม่เหลือสภาพ

...ใบหน้าซีกขวาของผมก็เช่นกัน




อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ผมบาดเจ็บสาหัส กะโหลกศีรษะแตก กระดูกใบหน้าซีกขวาหัก ต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นเดือนๆ ในขณะที่แม่ผม ภา และเล็กปลอดภัยดีไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน

ช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่นอนพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ผมต้องนอนอยู่เฉยๆ จึงมีเวลาว่างพอจะคิดทบทวนบางสิ่งบางอย่าง ใช้สมองนึกย้อนอดีตและเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เข้าหากันเหมือนเล่นต่อจิ๊กซอว์

ดูเหมือนเรื่องราวร้ายแรงที่เกิดกับผมจะเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ภาตั้งท้อง ผมตกต้นไม้ ฝันแปลกๆ น่ากลัว หัวใจวายในคืนวันเกิดครบรอบหนึ่งขวบของเล็ก และก็ประสบอุบัติเหตุใหญ่ในวันเดียวกันของปีถัดมา

มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือมีใครจงใจทำให้เกิด?

ไม่หรอกมั้ง ผมหัวเราะเยาะตัวเองในใจ รีบปัดความคิดไร้สาระทิ้ง แล้วพยายามข่มตาหลับให้พ้นๆ ไปอีกหนึ่งคืน

ขณะนั้นเองที่เสียงแอร์ในห้องพักฟื้นเงียบหาย กลายเป็นเสียงหัวเราะเย็นเยือกสะใจ เตียงคนไข้ไหวยวบยาบคล้ายมีใครปีนขึ้นมานอนด้วย ร่างกายซีกขวาของผมชาวาบ รู้สึกว่ามีร่างแข็งๆ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ล้มลงนอนกอดแอบอิง

ผมหลับตาแน่นด้วยความหวาดกลัว ใครคนนั้นจึงยื่นหน้ามาหัวเราะข้างหู ริมฝีปากแห้งสากขยับมาจ่อชิด พ่นเสียงหัวเราะและกลิ่นลมหายใจเหม็นไหม้เข้ามาในรูหูผมอย่างสนุกสนาน

“พี่โต...”

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นหน้าเมียเพราะเสียงเรียก

“ภาเหรอ” ผมถามเสียงแหบแห้งผ่านผ้าพันแผลหนาเตอะบนใบหน้า

“ค่ะภาเอง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอคะ” ภาถามพลางก้มลงอุ้มเจ้าเล็กขึ้นมาจากพื้น พอลูกชายผมเห็นหน้าพ่อมันโดนพันม้วนด้วยผ้าขาวจนกลายเป็นมัมมี่ นิ้วป้อมๆ ก็ชี้มาที่หน้าผมแล้วหัวเราะชอบใจ...เหมือนในฝันของผมเปี๊ยบ

“เล็กหัวเราะอะไรลูก คุณพ่อเจ็บอยู่นะครับ” ภารีบดุลูก

ผมขนลุก อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าเล็กสะใจที่เห็นผมเจ็บปางตาย!




หนึ่งปีถัดมา...เล็กอายุครบสามขวบ

ปีนี้ผมกับภาเห็นพ้องต้องกันว่าเราจะไม่ออกไปไหน เพราะกลัวผมจะเจอเรื่องคอขาดบาดตายในวันเกิดของลูกอีก แต่แม่ผมนึกอยากจะไปทำบุญไหว้พระเก้าวัดที่สุพรรณบุรีให้หลานชายสุดที่รัก ท่านเลยพาป้าตวงออกเดินทางไปกับรถทัวร์ตั้งแต่เช้ามืด ในบ้านสวนจึงเหลือแค่เราสามคนพ่อแม่ลูก

วันนั้นทั้งวันทุกอย่างราบรื่นดี ผมพยายามดูแลตัวเอง ไม่ประมาท คอยระวังไม่ให้ตัวเองหกล้มหกลุกหรือหาเรื่องตกน้ำตกต้นไม้ที่ไหน ผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าปีนี้ผมจะรอดพ้นจากอาถรรพ์ในวันเกิดลูกไปได้อย่างปลอดภัย

“มาเล่นวาดรูปกับแม่ไหมจ้ะ” ช่วงหัวค่ำผมได้ยินภาชวนลูกวาดรูปเล่นรางๆ ก่อนจะเผลอหลับไปหน้าทีวี ไม่รู้หลับไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ดึกมากแล้ว เจ้าเล็กเป็นคนเดินมาปลุกผม

“พี่โตตื่นเร็ว”

“คุณพ่อหลับอยู่ ไม่กวนคุณพ่อนะครับลูก” ภาปรามเสียงเข้ม

“ไม่เป็นไรภา ผมตื่นแล้ว” ผมลุกขึ้นนั่งคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดแนบอก

“เล็กให้พี่โตครับ” แกส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มและรับกระดาษใบนั้นมาคลี่ออกดู พบว่ามันคือภาพวาดสีเทียนที่มีสีส้ม สีแดง และสีเหลืองเป็นหลัก สีสันทั้งหมดผสมผสานกลมกลืนกัน มองดูคล้ายคลื่นน้ำหลากสีในทะเล “นี่ภาพอะไรเหรอครับ”

“ไฟครับ” เล็กชี้ไปที่กล่องสี่เหลี่ยมสีเทาตรงกลางกระดาษ

“อ๋อ ไฟนี่เอง เล็กเก่งจังเลย” ผมชมลูกทั้งที่ในใจร้อนรุ่มไม่ต่างจากไฟในภาพ ลึกๆ ผมรู้สึกไม่สบายใจแต่ก็ไม่อยากคิดมากเกินไป เพราะนี่มันก็แค่ภาพวาดของเด็กสามขวบ...หรือไม่ใช่?

ผมยังไม่ทันได้ตั้งข้อสังเกตใดๆ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังแว่วมาจากอีกห้อง ภาที่กำลังก้มเก็บสีเทียนบนพื้นรีบเดินไปรับโทรศัพท์อย่างรู้หน้าที่ เธอหายไปจากสายตาผมอึดใจเดียว สักพักก็วิ่งกลับมาสีหน้าแตกตื่น

“รีบไปรับโทรศัพท์เร็วพี่!”

“มีอะไร” ผมผุดลุกขึ้นนั่ง ใจนึกห่วงแม่เต็มกำลัง หวังว่าจะไม่ใช่ข่าวร้ายอะไรเกี่ยวกับการเดินทางของแม่ผมนะ

ปรากฏว่ามันแย่กว่าที่คิด ปลายสายโทรมาแจ้งกับผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน ว่าโรงงานไม้แปรรูปที่ครอบครัวผมสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตั้งแต่รุ่นอากงอาม่า เกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจร โกดังกำลังหมกไหม้อยู่ในกองเพลิง




ห้าเดือนหลังเหตุไฟไหม้โรงงาน ผมเสียอาชีพการงานที่ทำมาเกือบทั้งชีวิต ซ้ำยังมีหนี้สินก้อนโตพอกล้นท่วมตัว

ด้วยความที่ต้นเพลิงเกิดในโกดังเก็บวัสดุประเภทไม้ สี และทินเนอร์ ไฟจึงลุกโหมไปทั่วอย่างรวดเร็วยากแก่การควบคุม มันลามไปถึงบ้านพักคนงาน ย่างสดคนที่กำลังหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายและบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่าสามสิบคน

ผมต้องชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ที่ประกันไม่ครอบคลุม ภาระหนักอึ้งถั่งโถมเข้าใส่จนผมไม่มีปัญญาจะรับมือ สุดท้ายจึงต้องยอมเซ้งโรงงาน ขายรถ ขายที่ดิน ขายบ้านที่นนท์ทิ้ง และกลับมาอยู่แปดริ้วอย่างถาวร

ทุกๆ วันหลังรดน้ำและดูแลสวนเสร็จสิ้น ผมจะมานั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงเฉลียงหน้าบ้าน คิดน้อยใจในชะตาชีวิตบ้าง คิดถึงสิ่งที่สูญเสียไปอย่างคับแค้นใจบ้าง สลับๆ กันไปไม่เคยซ้ำ

วันนี้ก็เช่นกัน...

ใกล้เวลามื้อค่ำแล้ว ผมนั่งเครียดอยู่เงียบๆ จนค่ำ ได้กลิ่นไข่เจียวฝีมือเมียโชยหายไปในดงแมกไม้ที่พลิ้วเอนไปมา เห็นไอ้ด่างวิ่งไล่กัดนกอยู่แวบๆ ผ่านไปครู่เดียวมันก็วิ่งห้อกลับมาด้วยท่าทางหวาดกลัว หูหางตกลู่เข้าหลบใต้ถุนบ้าน

ลมร้อนพัดพากลิ่นใบมะม่วงไหม้มาแตะจมูก ผมขมวดคิ้วนึกหงุดหงิดในใจ บ้านไหนหนอเลือกเผาขยะไม่ดูเวล่ำเวลา กลิ่นควันคลุ้งแบบนี้ชาวบ้านชาวช่องที่ไหนจะนอนหลับลงกันล่ะ

“เล็ก! พี่โต! กินข้าวจ้า” ภาตะโกนเรียกเสียงดังมาจากก้นครัว

ผมเพิ่งรู้ว่าเจ้าเล็กไม่ได้อยู่กับเมียในบ้าน เลยลุกขึ้นยืนมองไปที่กองทรายข้างลานบ้านซึ่งเป็นที่เล่นประจำของแก พอไม่เห็นวี่แววของลูกชายวัยซนแม้แต่เงาก็รีบเดินเข้าไปดูในสวน เพราะปกติเจ้าเล็กจะชอบไปเล่นอยู่ตรงต้นเขียวเสวย

ไม่ใช่ต้นอื่นไกลที่ไหนก็ต้นที่ผมร่วงลงมาเกือบตายนั่นแหละ

“เล็ก!” ผมป้องปากตะโกน แต่เหมือนเสียงจะลับหายไปในใบมะม่วงก่อนถึงหูลูกเสียทุกครั้ง ครั้นเดินลึกเข้าไปจนถึงต้นเขียวเสวยสูงชะลูดที่มีซากกาฝากเกาะ ก็พบเล็กยืนอยู่ในเงามืดใต้ต้นมะม่วงจริงๆ

“เล็ก...พ่อเรียกไม่ได้ยินเหรอ”

เล็กหันมามองหน้าผม ก่อนก้มมองนกบาดเจ็บที่ปลายเท้า กลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ในอากาศร้อนอบอ้าวทำให้ผมรู้สึกพะอืดพะอม แต่ลูกชายผมกลับขวัญกล้าเกินเด็ก ไม่มีท่าทีกลัวเกรงใดๆ ทั้งสิ้น

“เล็ก” ผมกลั้นใจนั่งยองลงไปคุยกับลูก “ทำอะไรอยู่เหรอครับ”

เด็กน้อยวัยสามขวบยอบเข่าลงตักอีกาด้วยพลั่วขึ้นมาให้ผมดู เมื่ออีกาหัวเละสะบัดปีกพั่บๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย หยดเลือดก็กระเซ็นกระสายไปเปื้อนดวงหน้าของแกเป็นด่างดวง แต่ลูกผมก็ยังนิ่งสงบเกินไปอยู่ดีนั่นแหละ

“ด่างกัดคุณนกครับ เล็กเลยไปแย่งคุณนกมาจากด่าง” แกพูดพลางลูบขนเปื้อนเลือดของอีกาที่แน่นิ่งไปแล้ว

ผมเลิกคิ้ว ที่แท้อีกาก็หัวกุดเพราะโดนไอ้ด่างขบเอานี่เอง

“ตอนนี้คุณนกขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เล็กจะทำอะไรต่อครับ เอาพลั่วมาฝังคุณนกใช่ไหม พ่อจะได้ช่วยขุดหลุมให้”

เล็กส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาจ้องมองผมนิ่ง

“เปล่าครับ เล็กจะเผา”

ผมกลืนน้ำลาย ได้กลิ่นเผาไหม้ในอากาศรุนแรงขึ้น

เล็กจ้องมองไปที่ไหล่ขวาของผมด้วยแววตาแปลกๆ แกทิ้งพลั่วแล้วปรี่เข้ามากอดแขนซ้ายผมแน่น หัวเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมละเอียดสีดำมุดซุกเข้ามาแอบอิงผมอย่างออดอ้อน

“พี่โตรักเล็กไหม”

“รักสิครับ” ผมตอบรับในทันที

“งั้นพี่โตจะอยู่กับเล็กตลอดไปไหม...”

ผมนิ่งอึ้ง คลับคลายคลับคลาว่าเคยได้ยินคำถามนี้มาก่อน


มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ ฝนมกรา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
คนที่เคยพูดกับผมแบบนั้น ไม่ใช่ภา ใช่เล็ก...แต่เป็นน้อย

สิบกว่าปีก่อนแม่ของน้อยแบกท้องโย้หนีสามีขี้เหล้ามาของานทำในสวนพ่อแม่ผม เดิมทีเรามีคนงานรับจ้างชั่วคราวที่มาสอยมะม่วงให้อยู่แล้ว อีกทั้งทุ่งนาที่มีก็ปล่อยเช่าให้คนอื่นทำแทน แต่แม่ผมเป็นคนขี้สงสาร พอเห็นคนเดือดร้อนมาพึ่งใบบุญก็ตัดใจไล่ไม่ลง ยอมจ้างแม่ของน้อยมาทำงานในบ้าน

ตอนที่น้อยเกิด ผมเรียนอยู่ที่กรุงเทพ กลับบ้านอีกทีถึงได้รู้ว่าที่บ้านมีเด็กอ่อนเพิ่มมาอีกคนแล้ว ผมเคยอุ้มน้อย เคยสอนให้พูด เคยเล่นด้วยกันตอนที่น้อยยังเด็กนัก เราสนิทกันมาก จวบจนภาระเรื่องเรียนของผมเริ่มหนักขึ้น ทำให้ผมกลับไปแปดริ้วไม่ได้บ่อยๆ เหมือนเคย เราจึงค่อยๆ ห่างเหินกันไป

ผ่านไปหลายปี แม่ของน้อยก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่ผมจึงเลี้ยงดูน้อยต่อให้อย่างเต็มใจ ท่านรักใคร่เอ็นดูเลี้ยงน้อยเหมือนลูกคนหนึ่ง ส่งเสียจนเรียนจบมัธยมปลาย และยังผลักดันให้น้อยเรียนต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาด้วย

ตัวน้อยเองก็กตัญญูดี เรียนเก่ง ขยันขันแข็ง เหมาทั้งงานบ้านงานสวนไปทำคนเดียว และไหนจะเข้าเมืองไปหางานพิเศษทำที่ร้านอาหารในห้างอีก ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ ว่าน้อยเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่ง

น่าเสียดายที่คนดีๆ อย่างน้อยต้องมาเจอกับคนเลวๆ อย่างผม

ด้วยช่องว่างที่ห่างเหินกันไปหลายปี ผมกับน้อยที่โตแล้วจึงไม่สนิทกันเท่าไหร่ กระทั่งทราบข่าวว่าพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด ช่วงนั้นผมต้องเทียวไปเทียวกลับบ้านที่นนท์กับบ้านที่แปดริ้วเป็นว่าเล่น ทำให้มีโอกาสได้เจอหน้าน้อยบ่อยขึ้น ยิ่งพูดคุยทำความรู้จัก ยิ่งชอบพอสนิทสนม รู้ตัวอีกทีใจที่เอาออกห่างเมียมาหลายปีก็แล่นหนีไปอยู่ในมือน้อยเสียแล้ว

สถานที่นัดพบของเราก็คือใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวย...ต้นนั้นนั่นแหละ

“คุณโต...”

“เรียกพี่สิน้อย คนกันเอง”

“พี่โต” น้อยเรียกแล้วยิ้มกว้าง “พี่โตรักน้อยไหม”

“รักสิ” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด

“งั้นพี่โตจะอยู่กับน้อยตลอดไปไหม” น้อยถามอ้อนพลางกระเถิบมาอิงแอบแนบชิดอยู่บนต้นแขนผม

“แน่นอน พี่จะหย่ากับภาแล้วมาอยู่กับน้อย อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยดีไหม”

“สัญญานะ” น้อยยกนิ้วก้อยให้ผม

“สัญญา เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ผมเกี่ยวก้อยสัญญา โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไม่มีปัญญาทำให้มันเกิดขึ้นได้จริง

เพราะจากที่เคยคิดจะหย่ากับภาได้ง่ายๆ กลับกลายเป็นภาระยืดเยื้อ เมื่อพ่อผมเสีย แม่ตรอมใจหนัก ภานึกครึ้มอยากย้ายมาอยู่บ้านสวน รถไฟสองขบวนของผมถึงได้ชนกันโครมครามยากจะจัดการ

น้อยต้องอดทนอดกลั้นรออย่างสงบมาตลอด

กระทั่งภาตั้งท้อง น้อยก็ทนรอผมไม่ไหวอีกต่อไป...




ผมจำได้แม่นว่าน้อยเดินออกไปจากชีวิตผมยังไง

คืนนั้นภาอยากกินเค้กมะพร้าวอ่อน ผมต้องถ่อรถมาจากนนท์เพื่อหาซื้อให้ บังเอิญเหลือเกินที่ร้านเบเกอรี่เจ้าประจำในตลาดมีนฯ ดันอยู่แถวๆ คิวรถตู้ไปกรุงเทพพอดี ผมเห็นน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีส้ม ข้างเท้าคือถุงกระสอบลายรุ้งใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าและข้าวของมาจนเต็ม จึงรีบพาน้อยขึ้นมาคุยกันบนรถเพื่อหลบเลี่ยงสายตาคนอื่น

“ขนของจะไปไหน” ผมถามเสียงร้อนรน

“น้อยสอบติดพยาบาล กำลังจะไปสอบสัมภาษณ์อาทิตย์หน้า เลยคิดว่าควรย้ายออกมาอยู่หอตั้งแต่เนิ่นๆ น่ะ”

“แล้วไม่คิดจะบอกพี่สักคำเลยเหรอ อยู่ๆ ก็จะทิ้งกันไปใช่ไหม” ผมตัดพ้อพลางจับมือขาวที่เย็นเฉียบขึ้นมากุมแน่น

“พี่โตขับรถกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” น้อยดึงมือออกเป็นการตัดบทสนทนา ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วปิดปากเงียบไปตลอดทาง

“น้อยโกรธพี่เหรอ” ผมพยายามชวนคุยหลังขับรถไปสักพัก เพราะถนนสุวินทวงศ์ยามห้าทุ่มมืดเปลี่ยวเพียงพอแล้ว ผมไม่อยากให้ในรถสงัดวังเวงตามไปมากกว่านี้

“หรือไม่ควรโกรธ ไหนบอกว่าไม่รักคุณภาแล้ว ไหนว่าแยกห้องกันนอน ทำไมคุณภาถึงท้อง” น้อยย้อนถามเสียงเย็น

“พี่ไม่รู้”

“ไม่รู้?” น้อยทำเสียงประชดประชัน “ที่เคยสัญญาว่าจะหย่ากับคุณภามาอยู่กับน้อย พี่โกหกใช่ไหม”

“เปล่า พี่ไม่ได้โกหก” ผมหันไปมองหน้าน้อย ดวงตากลมโตเหมือนตากวางจ้องตอบ หัวใจผมปวดชาเมื่อเห็นร่องรอยน้ำตาบนผิวแก้มขาวละเอียด ขณะนั้นผมมัวแต่เพ่งความสนใจไปที่น้อยจนเผลอละเลยท้องถนน

“ระวังหมา!” น้อยร้องเตือนเมื่อเห็นหมาสีดำตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถ

ระยะประชิดขนาดนั้น ผมรู้ว่าไม่มีทางเบรคทันเลยจงใจเหยียบคันเร่งจนมิด รถพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ชนหัวหมาตัวนั้นอย่างแรงจนแหลกเละ ก่อนที่ร่างสีดำเงาวับจะลอยหวือไปตกลงบนถนนฝั่งตรงข้าม

น้อยมองผมอย่างตกตะลึง ไม่พูดอะไรอีกกระทั่งกลับถึงบ้านสวน




เรานัดกันตอนตีสาม เวลาประจำที่แอบมาพลอดรักกัน

น้อยยืนรอผมอยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยต้นเดิม ผิวขาวฉายรัศมีนวลผ่องยามต้องแสงจันทร์สลัว แววตาเศร้าสร้อยมองผมอย่างตรงไปตรงมา ราวกับรู้อยู่แล้วว่าการพบกันครั้งนี้คือจุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างเรา

“ตกลงจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพใช่ไหม”

“ไม่รู้สิ น้อยกำลังคิดอยู่ว่าจะเรียนต่อหรือจะฆ่าตัวตายดี ถ้าเรียนต่อก็คงไม่ได้เจอพี่โตอีก แต่ถ้าตาย บางทีน้อยอาจจะได้อยู่กับพี่โตตลอดไป” น้อยพูดจาแปลกๆ ใบหน้าขาวสะอางมีรอยยิ้มซุกซน

“ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ” ผมดุแก รู้ดีว่าน้อยเป็นคนเด็ดเดี่ยว จึงกลัวว่าแกจะตัดสินใจทำอะไรผลีผลามอย่างที่พูด

“ล้อเล่นน่ะ น้อยจะเอาชีวิตมาทิ้งกับคนแก่ๆ อย่างพี่โตทำไม จากนี้น้อยจะไปมีชีวิตใหม่ และคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก พอน้อยไม่อยู่แล้วพี่โตต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ” น้อยสวมกอดผม หยาดน้ำตาแวววาวไหลอาบแก้ม

“พี่รู้แล้ว น้อยก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองด้วย” ผมกอดตอบแนบแน่น พยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าการเลิกรากันคือสิ่งที่ถูกต้อง น้อยมีอนาคตที่สวยงามรออยู่ ผมต้องปล่อยแกไปมีชีวิตที่ดี “นี่ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปส่งที่ท่ารถ”

“ไม่ต้องหรอก เช้าเมื่อไหร่น้อยจะไปเอง พี่โตไปนอนเถอะ น้อยขออยู่ตรงนี้คนเดียวอีกหน่อยนะ”

ผมมองน้อยอย่างอาลัย เพราะนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน
 



ผมกะพริบตาดึงสติตัวเองกลับคืนสู่ปัจจุบัน รู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อย้อนนึกถึงอดีตชู้รักที่เลิกรากันใต้เขียวเสวยต้นนี้

หลายปีที่ผ่านมาน้อยไม่ได้ติดต่อกลับมาหาแม่ผมเลย ไม่มีใครรู้ว่าน้อยเป็นอย่างไร อาศัยอยู่ที่ไหน ผมกลัวเหลือเกินว่าน้อยจะไม่ได้กลับไปเรียน แต่ฆ่าตัวตายเพื่อมาอยู่กับผมอย่างที่พูดไว้ในคืนนั้น ยิ่งเล็กพูดจาเหมือนน้อย แถมยังเอาแต่เรียกผมว่าพี่โตไม่เคยเรียกพ่อ ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่กลัวบางทีอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ

“น้อย...น้อยของพี่” ผมพยายามกลั้นน้ำตาที่ใกล้จะหยดล้น ระหว่างกอบกุมพวงแก้มนุ่มนิ่มของลูกชายไว้ด้วยสองมือ

เจ้าเล็กเอียงคอทำหน้างุนงง ก่อนสั่นหัวดิก ชี้นิ้วไปที่อกตัวเอง

“พี่โต นี่เล็กครับ ไม่ใช่น้อย”

“สองพ่อลูกอยู่กันตรงนี้นี่เอง ปล่อยให้แม่เดินหาไปทั่วสวนแน่ะ” ภายืนอยู่ข้างหลังผม เสียงหวานจัดปานน้ำผึ้งเจือความไม่พอใจอยู่จางๆ “น้องเล็ก คุณแม่รอทานข้าวอยู่นะครับ รีบกลับเข้าบ้านไปล้างมือเร็ว”

เล็กเหลือบมองหน้าผมอย่างลังเลแต่ก็ยอมเชื่อฟังแม่ แกหมุนตัวเดินกลับบ้าน ปล่อยให้ผมอยู่กับภาตามลำพัง

“ผ่านมาสามปีแล้วก็ยังลืมมันไม่ได้ใช่ไหม” ภาตวัดเสียงอย่างขุ่นเคือง

“อะไรของคุณ” ผมแสร้งย้อนถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเมียพูดเรื่องอะไร

“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปหน่อยเลย นึกว่าภาไม่รู้หรือไงว่าพี่โตคิดยังไงกับน้อย ไม่งั้นภาจะย้ายมาทนทรมานอยู่ที่บ้านนอกเป็นก้างขวางคอพี่ไปทำไม”

“ว่าแล้วเชียว คนอย่างเธอไม่น่าจะยอมทำอะไรเพื่อคนอื่น ที่แท้ยอมย้ายมาเพราะมีจุดประสงค์อื่นจริงๆ ด้วย”

“รู้ก็ดี สำนึกไว้ด้วยว่าภาต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะกอบกู้ชีวิตคู่ของเราคืนมาได้ เลิกคิดถึงเด็กคนนั้นได้แล้ว”

“ถ้าเธอต้องลำบากลำบนจนพี่ต้องสำนึกในบุญคุณขนาดนั้น ทำไมยอมหย่าไปตั้งแต่แรก จะมาทนทู่ซี้อยู่ทำไม”

“แล้วทำไมภาต้องหย่า ทำไมภาต้องทุกข์อยู่คนเดียว ในขณะที่ผัวสารเลวระเริงรักวิปริตอยู่กับคนงานในบ้านแม่!”

“ภา!” ผมตวาด โกรธจนมือไม้สั่น

“อะไรกัน พูดเรื่องจริงแค่นี้ทำเป็นโกรธเหรอ” ภาตะโกนใส่อย่างเคืองแค้น ดวงตาขุ่นขวางดูคลุ้มคลั่งอย่างไรชอบกล

“พอได้แล้ว” ผมกลัวเล็กจะได้ยินเลยไม่อยากโต้ตอบ รีบข่มความโกรธไว้ใต้ท่าทางสงบนิ่งก่อนเดินหนีไปอีกทาง

“พี่โตอยากเจอมันไหมล่ะ ภารู้นะว่าตอนนี้น้อยอยู่ที่ไหน”

“น้อยอยู่ไหน” ผมหันขวับกลับไปมองหน้าเมียอย่างเคร่งเครียด 

“หลุมขยะตรงโน้นไง” ภาพยักพเยิดคางไปที่หลุมเผาขยะท้ายสวน

“หมายความว่าไง...”

เมียบังเกิดกล้าเห็นท่าทางสับสนของผมเข้าก็หัวเราะลั่นสะใจ

“จำคืนนั้นได้ไหม คืนที่ภาอยากกินเค้กมะพร้าวอ่อนน่ะ พี่โตต้องจำได้อยู่แล้ว เพราะภาอุตส่าห์ล่อให้พี่ไปเจอมันที่คิวรถตู้นี่นา พี่พามันกลับมาบ้าน นัดเจอมันตรงนี้ตอนตีสามใช่ไหมล่ะ” ภาแหงนหน้ามองต้นมะม่วงครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “พอพี่ไป ภาก็ทุบหัวมันจนเละแล้วลากไปทิ้งไว้ที่หลุมขยะ รอให้พี่โตเป็นคนเผามันทิ้งด้วยมือพี่เองไง”

“หา?” ผมตกตะลึงเผลอสาวเท้าถอยไปหลายก้าวจนสะดุดล้ม อุ้งมือกระแทกด้ามพลั่วที่เจ้าเล็กทิ้งไว้พอดี

ราวกับมีใครบางคนรอเวลานี้มานานแสนนาน กลิ่นควันเผาไม้มะม่วงพัดวูบเข้าหน้าผมอย่างรุนแรง ภาพภายืนยิ้มเหี้ยมอยู่ใต้ต้นมะม่วงค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา คล้ายหมอกควันหนาถูกลมพัดปัดเป่าไป

ท้องฟ้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว แสงสีส้มสลัวยามพลบค่ำพลันกลายเป็นสีดำมืดสนิทยามดึกสงัด เงาร่างของน้อยที่ผมคุ้นเคยยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นเขียวเสวย ก่อนที่ใครบางคนจะก้าวฉับๆ เข้ามาฟาดหัวทุยสวยด้วยพลั่วอย่างแรง

น้อยล้มทั้งยืนแต่ยังไม่หมดสติ เลือดไหลนองหน้า ดวงตาเหลือกถลนมองคนที่บุกมาทำร้ายตนอย่างหวาดผวา

“รักผัวกูมากใช่ไหมมึง ไปรอเจอมันใต้ต้นงิ้วในนรกแล้วกัน!”

ภาที่อารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่มีความปราณีอยู่ในหัว เธอเงื้อพลั่วเหล็กหวดกระหน่ำไม่ยั้งลงบนใบหน้าขาวผ่องจนแหลกเหลว ดั้งจมูกยุบหาย หน้าผากแตกโพล๊ะเหมือนกะลามะพร้าวโดนเจาะ ดวงตาขวาหลุดย้อยออกมานอกเบ้า ตาซ้ายชอกช้ำอาบเลือด น้อยไม่ได้ร้องสักแอะ เพราะกำลังสำลักเลือดที่ไหลย้อนลงไปในคอเสียงดังค่อกแค่ก

“ตายซะ! ตาย! ตายซะ!” ภาไม่ยอมหยุดตีแม้น้อยจะนอนนิ่งไปแล้ว แต่เธอหยุดเมื่อพลั่วหลุดกระเด็นออกจากมือ ภาผู้อ่อนหวานแสนดีเหมือนนางฟ้าถ่มถุยน้ำลายรดศพอย่างกักขฬะ ก่อนลากน้อยไปทิ้งที่หลุมเผาขยะ

เมียผมใช้พลั่วอันเดิมคุ้ยเขี่ยใบไม้แห้งกับขยะขึ้นมากลบศพน้อยจนมิด แล้วเช้าวันถัดมาเธอก็สั่งให้ผมไปตัดกิ่งมะม่วง เพราะรู้ว่าผมต้องกำจัดกิ่งไม้พวกนั้นด้วยการนำมาเผาที่หลุมขยะ...ที่ๆ เธอทิ้งศพชู้รักของผมเอาไว้

ภาวางแผนให้ผมเผาน้อยด้วยมือตัวเองจริงๆ

“นังสารเลว!” ผมลุกขึ้นคำรามลั่นอย่างคับแค้น ภาพอดีตเลือนหายไปทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนเหวี่ยงพลั่วในมือ

ร่างผอมบางของภาถลาล้มคว่ำไปที่โคนต้นมะม่วง ฟันหน้าสองซี่หลุดร่วงลงมาบนพื้นดิน เลือดนองกลบปาก พอเห็นผมเลิกกลัวหงอและโกรธแค้นจนแทบคลั่ง ภาก็รีบยกมือไหว้ผมท่วมหัว ขอความเมตตา ขอให้ไว้ชีวิต

“พี่โต...อย่าทำภาเลย ภาขอโทษ ภาผิดไปแล้ว...”

“มึงสารภาพความผิดออกมา เพราะคิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงใช่ไหม ขอบอกว่ามึงคิดผิด!” ผมตะคอกเสียงเหี้ยม ก่อนเสือกพลั่วยัดปากเมียแล้วดันสวบเข้าไปอย่างแรง

เลือดอุ่นๆ พุ่งกระฉูดออกมาจากขากรรไกรที่ฉีกขาด กรามล่างกับลิ้นห้อยต่องแต่งไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ภาสำลักอ่อกๆ พ่นเลือดออกปากออกจมูกอย่างทุกข์ทรมาน ตาเหลือกโพลง สองขาดิ้นถีบดินแห้งจนฝุ่นฟุ้งได้เพียงครู่เดียวก็แน่นิ่งไป

ผมหอบหายใจถี่รีบปล่อยมือจากพลั่ว แก้มเย็นวาบเมื่อน้ำหูน้ำตาบนหน้าต้องลมอ่อนที่โชยขึ้นมาจากคลอง ครั้นได้ยินเสียงหอบหายใจด้วยความตื่นกลัว ถึงได้รู้ว่าเจ้าเล็กยืนอยู่ข้างหลัง แกกำลังยืนมองภาที่มีพลั่วเสียบติดอยู่กับต้นมะม่วง

“น้อย” ผมจับมือลูกชายไว้แต่เรียกแกด้วยชื่ออื่น

“เล็กชื่อเล็ก ไม่ได้ชื่อน้อย” เด็กชายละล่ำละลักส่ายหน้าเถียง

ผมหัวเราะทั้งน้ำตา ขณะยกมือเปื้อนเลือดลูบหัวแกอย่างรักใคร่

“จะชื่ออะไรก็ช่าง ไปกับพี่โตนะ ...ไปอยู่ด้วยกันตลอดไป”




ท่ามกลางแสงอัศดงที่อาบไล้บ้านเรือนสองฟากฝั่งคลอง เสียงปืนสองนัด ดังกึกก้องไปทั่วสวนมะม่วงแห่งหนึ่งที่เงียบวังเวงราวกับสุสาน...




ผมควรจะตายตั้งแต่วันที่ฆ่าตัวตาย

ใครจะรู้ว่าการตายสักครั้ง มันยากพอกับการมีลูกสักคนนั่นละ

พัดลมเก่าคร่ำหมุนวนเวียนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเพดานสีขาว เท่าที่จำได้ผมนอนจ้องพัดลมตัวนั้นมาสิบสองชั่วโมงแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจ้องมันเพราะไม่มีอะไรทำหรอก แต่ผมจ้องมัน เพราะทำอะไรไม่ได้ต่างหาก

วินาทีที่กระสุนพุ่งทะลุขมับขวาออกขมับซ้าย มันไม่ได้คร่าชีวิตผมไปอย่างที่คาดหวัง แต่ดันพรากเอาอำนาจในการควบคุมร่างกายของผมไปแทน ผมใช้เวลายี่สิบวันไปกับการหลับใหลไม่ได้สติ ก่อนจะฟื้นตื่นขึ้นมาพบว่าตนกลายเป็นอัมพาต ขยับได้แค่ลูกกะตากับเปลือกตา บางวันเลวร้ายหน่อยแม้แต่ตาก็ลืมไม่ขึ้น

ถึงจะขยับร่างกายไม่ได้ แต่ผมยังมีสติรับรู้ดีเยี่ยม ทั้งสุข เศร้า เหงา เบื่อ เจ็บปวด ความรู้สึกพวกนั้นยังคงเข้มข้นแจ่มชัด ราวกับว่ากระสุนนัดนั้นจงใจเหลือพวกมันเอาไว้ทรมานผมอย่างนั้นแหละ

“โธ่ เจ้าโต...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้กันนะ”

ผมได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของแม่ดังอยู่ข้างเตียง มือเหี่ยวย่นจับพลิกใบหน้าผมบนหมอนให้ขยับอย่างระวัง ใบหน้าของแม่ซีดเซียวเปรอะเปื้อนน้ำตา ท่านใส่ชุดดำ แก้มตอบผ่ายผอม ดูแก่หงอมลงไปมากกว่าที่ผมจดจำได้ ข้างๆ แม่มีหญิงวัยกลางคนยืนอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นป้าตวง แกมองผมด้วยแววตาหวาดกลัว ทำท่าเหมือนไม่อยากเดินเข้ามาใกล้

“แกคงเครียดเรื่องงานน่ะค่ะคุณนาย เข้มแข็งไว้นะคะ”

“เข้มแข็ง? ฉันเสียลูกไปคนหนึ่งแล้ว นี่กำลังจะเสียไปอีกคน จะเอาที่ไหนมาเข้มแข็งอีก”

“อ้าว คุณโตมีพี่น้องด้วยเหรอคะ” ป้าตวงสอดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนแก่เหงาปาก

“จ้ะ” แม่ผมหยุดพูดเพื่อสั่งน้ำมูกลงบนผ้าเช็ดหน้าชุ่มน้ำตา ก่อนเอ่ยต่อ “ตอนท้องหมอบอกฉันว่ามีลูกแฝด แต่ตอนคลอดออกมากลับเหลือแค่เจ้าโตคนเดียวที่มีชีวิตน่ะนะ”

“อ๋อ อีกคนเสียตั้งแต่อยู่ในท้องสินะคะคุณนาย”

คำพูดของป้าตวง ทำให้แม่ผมกระตุกยิ้มเลื่อนลอย

“ไม่รู้สิ หมอบอกแค่ว่าตัวอ่อนในท้องฉันพัฒนาไม่สมบูรณ์” ท่านหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา ปลายนิ้วสั่นเทาล้วงเข้าไปในซอกหลืบที่ลึกที่สุด หยิบเอารูปถ่ายสีซีดใบหนึ่งออกมากส่งให้ป้าตวง

“ว้ายตาเถร!” ป้าตวงอุทานเสียงดัง แกตกใจปากคอสั่น เผลอมือไม้อ่อนทำรูปถ่ายใบนั้นปลิวมาตกตรงหน้าผมพอดี

ผมมองความลับอันดำมืดของแม่ เห็นว่ามันมีตัวมีตน เป็นเด็กชายคนหนึ่งยืนเปลือยท่อนบนอยู่ใต้ต้นมะม่วง

จะใครเสียอีก...ก็ผมนี่แหละ

ผมในรูปถ่ายอายุยังน้อย ไม่มีรอยแผลเป็นแหว่งโหว่น่าเกลียดติดตรึงบนหน้าอก แต่กลับมีศีรษะไร้ใบหูกับดวงตา ลำคอเล็กๆ และแขนพิกลพิการอีกหนึ่งข้างงอกเกินออกมาแทน

“หมอเรียกเคสนี้ว่าแฝดปรสิต แฝดคนที่พัฒนาไม่สมบูรณ์เกาะติดอยู่บนร่างของแฝดอีกคน กลายเป็นส่วนเกินที่คอยดูดกินเลือดเนื้อจากแฝดอีกคนที่กำลังมีชีวิต” แม่ผมเก็บรูปกลับเข้ากระเป๋าตังค์ หยดน้ำตากลิ้งผ่านร่องเหี่ยวย่นข้างริมฝีปาก จากนั้นก็หล่นหายไปที่ไหนสักแห่งที่ผมมองไม่เห็น

เมื่อป้าตวงไม่พูดอะไร แม่ผมจึงถือโอกาสเล่าต่อ

“ฉันกับสามีตั้งชื่อแกว่าเล็ก ตั้งใจว่าจะรออีกสักปีแล้วค่อยพาเจ้าโตไปผ่าเอาเจ้าเล็กออกเลยถ่ายภาพใบนี้เก็บไว้ แต่ตอนนั้นเจ้าโตดันซนไปหน่อย ไม่กี่วันหลังถ่ายภาพก็ปีนขึ้นไปบนต้นเขียวเสวย สะดุดเถากาฝากตกลงมาโดนกระเบื้องบาด เจ้าเล็กคอขาดรุ่งริ่ง จำเป็นต้องผ่าพวกแกออกจากกันตั้งแต่วันนั้น ส่วนผัวฉันก็โกรธมาก ฉีดยาฆ่ากาฝากจนตายเหี้ยน”

“คุณโตไม่ยักพูดถึงน้องชายเลยนะคะ”

“ตอนตกต้นไม้เจ้าโตเอาหัวโหม่งรากมะม่วง จำอะไรก่อนห้าขวบไม่ได้เลย” แม่ผมทำท่ากึ่งขำกึ่งฉุน ทว่าสีหน้ายังซีดเซียวอยู่เช่นเดิม “ฉันคิดถึงเจ้าเล็กมาก เลยเอาชื่อแกมาตั้งเป็นชื่อเล่นหลาน ไม่นึกว่าจะทำให้หลานพลอยอายุสั้นไปด้วย”

“แล้วแต่บุญแต่กรรมแหละค่ะคุณนาย ไม่เกี่ยวกับชื่อที่ตั้งหรอก”

“นั่นสินะ ฉันนี่มันเพ้อเจ้อจริงๆ” แม่ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยไม่ลืมพลิกใบหน้าผมกลับมาตั้งตรงบนหมอนอีกครั้ง ท่านลูบหน้าผากผมเบาๆ เป็นการบอกลา “แม่ไปก่อนนะโต เดี๋ยวมาใหม่”

ผมนอนกะพริบตาปริบๆ อย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใจนึกถึงสิ่งที่แม่พูด นำมาบวกรวมกับภาพความทรงจำทั้งหมดที่มี เริ่มแรกเป็นภาพเงาสยองที่ได้เห็นตอนขึ้นไปสอยมะม่วงให้ภา ภาพตอนเจ้าเล็กไม่ยอมเรียกผมว่า ‘พ่อ’ แต่เรียกผมว่า ‘พี่’ ตามมาด้วยภาพเจ้าเล็กส่ายหน้าปฏิเสธตอนผมเรียกแกว่า ‘น้อย’ ซึ่งกำลังแจ่มชัดที่สุดในเวลานี้

อย่าบอกนะว่าเจ้าเล็กของผมไม่ใช่น้อยกลับมาเกิด แต่เป็นแฝดปรสิตของผมเอง?

“ก็บอกแล้ว ว่าเล็กน่ะชื่อเล็ก ไม่ได้ชื่อน้อย”

แม้หันไปมองไม่ได้แต่ผมมั่นใจว่าเสียงเจื้อยแจ้วนั่นคือเสียงลูกของผมเอง แกปีนขึ้นมาบนเตียงทางด้านซ้ายมือ ชะโงกมามองหน้าผมด้วยแววตาผูกพันลึกซึ้งที่หยั่งรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ

“พี่โตจำเล็กไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องฆ่าเล็กด้วย” เล็กตัดพ้อ เลือดไหลออกจากรูกระสุนกลวงโบ๋กลางหน้าผาก

“พี่ขอโทษ” ผมนึกในใจ น้ำตาไหลพรากลงหมอน

“ไม่เป็นไร เล็กไม่โกรธ เล็กอุตส่าห์ชิงผีเกิดเพื่อไปอยู่กับพี่โต ต่อให้ตายไปอีกรอบเล็กก็จะอยู่ข้างๆ พี่โตต่อ”

ว่าแล้ว เล็กก็ล้มตัวลงนอนบนหน้าอกผมตรงจุดที่เราเคยเชื่อมติดกันในอดีต กระดูกและเลือดเนื้อของเราหลอมรวมเข้าหากันเป็นเนื้อเดียว กระทั่งเจ้าเล็กเหลือแต่ศีรษะบิดเบี้ยวกับแขนเล็กๆ ที่ยาวไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือโผล่พ้นออกมาจากรอยแผลเป็นของผม

ระหว่างกระบวนการที่ว่า ผมทำได้แค่กลอกตาไปมา กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งกระตุกด้วยความเจ็บปวด น้ำตาล้นทะลักประหนึ่งเขื่อนแตก ตอนนั้นเองที่มือไหม้เกรียมข้างหนึ่งยื่นมาลูบปลอบ ซับน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน

น้อย... ผมนึกในใจเมื่อได้กลิ่นเนื้อไหม้เกรียม

เจ้าของชื่อชะโงกข้ามเตียงมา ใบหน้าบุบเละสีดำเหมือนเถ้าถ่านก้มลงมาห่างจากผมไม่ถึงคืบ แต่ระยะห่างนั้นไม่ได้นับรวมดวงตาที่ถลนห้อยลงมาแตะจมูกผมหรอกนะ

“ขอน้อยอยู่ด้วยนะพี่โต”

“อย่ามายุ่งกับพี่กู!” ไอ้หัวที่สองบนตัวผมตะคอกไม่เป็นมิตร

“หุบปากไปเลยไอ้ปรสิต” น้อยตอบนิ่มๆ

“กูน่ะปรสิตแต่มึงน่ะผีนรก ทำลายชีวิตพี่กู”

“มึงสิผีนรก ตายห่าไปตั้งนานแล้วไม่รู้จักไปเกิด ต้องมาแย่งที่เกิดกู เพราะมึงแท้ๆ กูเลยอดอยู่กับพี่โต” น้อยเอามือผลักหัวเจ้าเล็กที่วางแนบอยู่บนหน้าอกผมจนหงายเงิบเป็นตุ๊กตาล้มลุก

ผมเหล่มองน้อย คิดขึ้นได้ว่าที่เกือบตายทุกปีในวันเกิดเล็ก น่าจะเป็นฝีมือน้อยที่มาทวงแค้นเอากับผมล่ะมั้งเนี่ย

“แหงสิ ในเมื่อไม่ได้ไปเกิดเป็นลูกพี่โต น้อยก็ต้องเอาพี่โตมาอยู่ด้วยแทน” น้อยพูดเหมือนอ่านใจผมออก ริมฝีปากสีดำผลิยิ้มกว้างจนเกล็ดขี้เถ้าร่วงหลุดจากพวงแก้มเป็นแผ่นๆ

ให้ตาย! ผมสบถในใจเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเข้าใจผิดไปไกลแค่ไหน

“ทำไมครับ โกรธเหรอ ไหนสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง” น้อยค่อยๆ ปีนขึ้นเตียงคนไข้จากทางขวามือ ร่างไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโกของเด็กหนุ่มผอมบางอ้อนแอ้นเอนตัวลงนอนกอดผมด้วยความรักใคร่หวงแหน

ในขณะที่ผมเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ ผีนรกสองตัวที่นอนอิงแอบแนบชิดขนาบอยู่ซ้ายขวาก็หัวเราะคิกคัก พวกมันกอดรัดผมแน่นจนหายใจแทบไม่ออก และพูดขึ้นมาพร้อมกัน

“เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...”



จบ


เรื่องสั้น ‘อิงแอบแนบชิด’ เคยเป็นเรื่องสั้นที่ผ่านเข้ารอบการประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ ‘ชิงผีเกิด’ มาก่อนค่ะ หลังรวมเล่มกับสนพ.โซฟาอยู่หลายปี สัญญาหมดลงแล้ว เราเลยเอาลงให้อ่านฟรีตามเว็บต่างๆ เชื่อว่าขณะอ่านหลายคนคงสงสัยแน่ว่าทำไมเราถึงเอาเรื่องนี้มาลงเล้า เพราะดูจะไม่มีความสัมพันธ์ชายรักชายโผล่มาให้เห็น แต่พาร์ทสุดท้ายก็ได้เฉลยแล้วเนอะว่าทำไม แหะๆ ใครอ่านจบแล้วอยากร่วมพูดคุย เชิญแสดงความคิดเห็นไว้ได้เลยนะคะ หรือจะติดแท็กในทวิตเตอร์ ใช้แท็ก #เรื่องสั้นอิงแอบแนบชิด น้า ไม่รู้จะมีใครอ่านมาถึงตรงนี้หรือเปล่า ถ้ามี...ขอบคุณมากๆ นะคะ : )

ด้วยรัก
ฝนมกรา.


ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
สยองมาก

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
 หลอนมาก...กกกกกกกก  :a5: :a5: :a5:

ออฟไลน์ lostinthelight

  • 엑소엘
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พีคมาก  :a5:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ชื่อเรื่องนึกว่าจะหวานๆ หลอกให้เข้ามาอ่าน หลอนกว่านี้มีอีกไหม 55555  บรรยายดี ภาษาดี พล้อตแปลก สนุกอ่ะ

ออฟไลน์ lostinthelight

  • 엑소엘
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด