CHAPTER 08 :: RETURN
(เพนเพนจังงงง ใกล้ถึงรึยางงง? น้องหิวจะแย่แล้วน้า)
คงเป็นเวรเป็นกรรมของผมเอง อุตส่าห์ตั้งท่าจะเล่นเกมซะดิบดี ทนอ่านคำอธิบายเกมงกๆ เป็นสิบนาที แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มสนามจริง ก็โดนไอ้น้องสาวตัวแสบโทรตามซะได้ จริงๆ ผมก็นัดกับน้องมันไว้ก่อนแล้วแหละ แต่ไอ้ผมดันลืมไปซะสนิท พอโดนเร่งยิกๆ เลยต้องกดออกอย่างจำยอม แล้วรีบถ่อสังขารมาหาพวกมันที่บ้าน
“รอแป็บนึง จะถึงแล้ว ถ้าทนไม่ไหวก็กินหูไอ้พีรองท้องไปก่อน”
(ยี๊ไม่อาวหรอก พีมันตัวแข็งอย่างกับหิน ยิ่งช่วงนี้มันซ้อมบอลหนัก ทั้งถึกทั้งดำ กัดเข้าไปฟันแพรร่วงหมดปากพอดี ถ้าตัวขาวๆ นุ่มๆ แบบเพนจังก็ว่าไปอย่าง แพรจะเคี้ยวงุบๆ ให้หมดตัวเยย)
(เดี๋ยวแพร เมื่อกี้มึงว่าไงนะ? นี่มึงหาว่ากูทั้งถึกทั้งดำเหรอ!) เสียงห้าวของเด็กผู้ชายที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มดังแทรกขึ้น
(ก็ใช่น่ะสิ ฉันก็พูดอยู่เต็มปาก หูหนวกรึไงทำมาเป็นถามซ้ำ)
(อิ… อีแพร!)
“เฮ้ย เดี๋ยวใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน” ผมรีบร้องห้ามเมื่อดูท่าสถานการณ์จากฝั่งปลายสายจะไม่ค่อยดี แต่ไอ้พวกน้องเวรนี่ก็หาได้ฟังผมไม่
(เรียกชื่อเพื่อ? ทำไม แกคิดว่าแกจะทำอะไรฉันได้รึไง?)
(หนอยแน่ ยัยบ้า!....)
“นี่! พี่บอกให้หยุดทะเลาะกันเดี๋ยวนี้ ข้าวอ่ะจะกินไหม!?” ผมใช้เรื่องข้าวเข้ามาอ้าง ปลายเสียงนั้นเงียบไปพักนึง ตอนแรกก็ดีใจนึกว่าน้องมันยอมฟังแล้ว แต่ที่ไหนได้ น้ำเสียงโหยหวนที่ลอดผ่านสายเข้ามาทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
(แอร๊กก แกจะทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะโว้ย นังปีศาจ!)
เวรกรรม…
บ้านนี้ผู้หญิงคุมของแท้…
(เพนจัง รีบๆ มานะจ้ะ แพรกับพีรออยู่)
“เอ่อ… จ้ะ”
ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะมา จ้ะ เจ้อะ อะไรหรอกนะ แต่น้ำเสียงสยองขวัญของมันทำให้ผมต้องตอบออกไปแบบนั้น บรื๋ออ แค่ได้ยินก็ขนลุกสัส
(งั้นแพรขอไปจัดการเรื่องส่วนตัวก่อนนะจ้ะพี่จ๋า จุ๊บ)
พูดแค่นั้นปลายสายก็ตัดไป ทิ้งไว้แค่ผมที่รู้สึกอาลัยอาวรไอ้พีเป็นอย่างมาก หวังว่ามันจะรักษาชีวิตรอดมาแดกข้าวกับผมได้นะไอ้น้องรัก
ผ่านไประราวยี่สิบนาที ผมก็มาถึงที่หมาย บ้านของผมอยู่ในเขตชานเมือง พื้นที่แถวนี้ค่อนข้างเงียบสงบ ผิดกับบริเวณคอนโดที่ผมพักอาศัยเป็นอย่างมาก ปกติแล้วผมจะพยายามกลับบ้านอย่างน้อยเดือนละครั้ง แต่พักหลังๆ ค่อนข้างเหนื่อยสะสมจากการทำงาน พอวันหยุดก็อยากนอนเฉยๆ หรือไม่ก็ทำความสะอาดห้องมากกว่า เลยกลายเป็นว่ากว่าผมจะกลับบ้านสักทีก็เว้นไปสองสามเดือน
จะว่าไปก็คิดถึงอยู่เหมือนกัน
ผมจอดรถลงที่หน้าบ้าน ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรั้วเหล็กเก่าๆ ที่สนิมเกาะกินจนเขรอะกรัง ทันทีที่มันถูกเปิดออก เสียงเอี๊ยดแอ๊ดแสบแก้วหูก็ทำให้ผมเผลอเบ้หน้าไม่ชอบใจนัก ผมปิดมันลงช้าๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังตัวบ้านไม้หลังเก่า สภาพทรุดโทรมและผุพังของสิ่งปลูกสร้างอายุเกือบร้อยปี ทำให้มันดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
“พี่มาแล้ว” ผมเอ่ยเรียกน้องทั้งคู่พลางมองเข้าไปในตัวบ้าน ขวดเหล้าเบียร์เรียงยาวตั้งแต่หน้าประตูไปยันด้านใน บ้างก็วางระเกะระกะอยู่บนพื้นบ้าน กลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นหึ่งไปทั้วบริเวณ ผมพยายามกวาดสายตาตามหาต้นตอของกลิ่น ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นใครแต่ก็อยากรู้ว่าอาการตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
หมับ
ผมเผลอสะดุ้งโหยงจากสัมผัสปริศนา ทันทีที่หันขวับไป ก็พบเจ้าเด็กแก่นแก้วหน้าตาน่ารักกำลังกอดตัวผมเอาไว้แน่น ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มแฉ่งจนเป็นผมเสียเองที่เลื่อนมือไปดีดหน้าผากมนเบาๆ
“มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด”
“แพรก็ตั้งใจให้พี่เพนตกใจอยู่แล้วนี่นา”
เสียงหวานเอ่ย พลางหัวเราะคิกคัก แล้วซุกหน้าลงกับไหล่ผมเหมือนเด็กตัวเล็กๆ กลับมาครั้งนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าแพรตัวโตขึ้นเยอะมาก อีกนิดก็จะสูงเท่าผมอยู่แล้ว
“พี่เพนกลับมาแล้วเหรอครับ” เสียงแหบห้าวดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่เด็กชายตัวโตจะโผเข้ามากอดเอวผมเอาไว้เช่นกัน คราวนี้เป็นพีระ น้องชายที่อายุห่างจากผมถึงเก้าปีแต่กลับตัวโตกว่าผมไปเยอะแล้ว
นี่ชักสงสัยว่าแม่ให้กินอะไร ทำไมไอ้เด็กพวกนี้มันโตกันเร็วจริง
“พี มึงโตเป็นควายแล้วยังจะมากอดพี่เพนแบบนั้นอยู่อีก รู้จักอายบ้างมั๊ย?” ยัยแพรแหวเสียงแหลม พลางฟาดมือลงบนท่อนแขนใหญ่ดังป้าบจนผมแอบเหวอ
“กูก็อายุเท่ามึงนั่นแหละ ถ้ากูเป็นควายมึงก็เป็นควายไม่ต่างกับกูหรอกอีแพร” คราวนี้พีออกปากสู้บ้าง
“มึงว่ากูเหรอไอ้พี! ก่อนจะพูดอะไรมึงช่วยเอากระจกส่องหน้าตัวเองหน่อยดีมั๊ยว่าสารรูปมึงอ่ะ ถึกทึนแค่ไหนเสือกกระแดะจะมาเล่นบทเดียวกับกู” ยัยแพรแหกปากสิบแปดหลอดจนหูผมแทบหนวก ไม่วายยังดึงร่างผมเข้าไปกอดไว้แน่นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
“ดะ… เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ อย่าทะเลาะกัน”
ผมพยายามพูดห้าม แต่ก็ไม่เป็นผล พีกัดฟัน แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย ใบหน้าเด็กน้อยเมื่อครู่กับกลายเป็นบึ้งถมึงทึงเหมือนพวกหมาพิทบลู
“หนอย แล้วมึงคิดว่ามึงน่ารักตายล่ะอีเวร แหวะ กระแดะ พี่เพนเป็นของกูโว้ย” พูดเสร็จ ไอ้พีก็กระชากตัวผมไปทางมัน แขนใหญ่ๆ รัดร่างผมซะกระดูกเคลื่อนผิดรูป มันส่งเสียงดังกร๊อบ จนน้ำตาผมแทบไหล
ไอ้น้องเวร เล่นเหี้ยไรไม่ดูสังขารพี่มึงมั่งเลย ไอ้จั๊ดง่าว! นี่ถ้าผมอายุมากกว่านี้อีกนิด รับรองว่างานนี้ต้องนอนแอดมิทให้หมอเอาเฝือกมาปรับรูปกระดูกแน่ๆ
“ของกู!”
“ของกูเฟ้ยย!”
“หยุดดดดดด!” ผมร้องเสียงดัง แล้วรีบสะบัดตัวเหมือนปลาสวายที่ติดเบ็ดแล้วเค้นแรงเฮือกสุดท้ายดีดกายเพื่อเอาชีวิตรอด พอหลุดไปได้ก็กระเด้งตัวเว้นระยะห่างสามสี่ก้าวไปหยุดหอบหายใจถี่ จิกตามองไอ้เด็กเวร บ้าพลัง ด้วยแววตาเข่นเขี้ยว
“พี่เพนไม่ชอบไอ้พีใช่มั๊ย? ด่ามันให้รู้สึกตัวสักทีน้องรำคาญ” แพรไหมหันมาพูดหน้าตาย ไม่รับรู้ถึงความผิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ผมมองตามหน้าเหยเก ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นกุมขมับ
โอ๊ย เกิดเป็นไอ้เพนนี่ปวดหัวจริงโว้ย ลูกค้าก็เป็นบ้าทนฟังมันหน่อยยังได้ตังค์ แต่น้องเป็นบ้านี่สิ กูทนไปเพื่ออัลไล
“พอๆ เลิกทะเลาะกันสักที จะกินไหมข้าวอ่ะ?”
“กินนนน” พอได้ยินดังนั้นเจ้าเด็กทั้งสองก็ตอบประสานเสียงอยู่ๆ ก็ฮึกเหิม สามัคคีกันขึ้นมาทันตา ผมที่ห้ามศึกอยู่ครู่ใหญ่ถึงกับอึ้งกิมกี่ ยัยแพรรีบเดินไปอุ้มกล่องใบโตที่อุตส่าห์เก็บรักษาแทนผมมาพักใหญ่ไว้แนบอก ส่วนไอ้พีก็ลูบหลังผมเป็นเชิงเร่งให้เดินไปที่รถ
“เดี๋ยวสิ แล้วแม่ล่ะ?” ผมหันไปถาม
“ยังนอนอยู่เลย” พีระตอบหน้าตาย
เดี๋ยว… นอนยังไงวะ นี่มันจะบ่ายสามแล้วนะ
“แล้วเขาจะตื่นมากินข้าวกินปลาเมื่อไหร่? เดี๋ยวตื่นมาไม่เจอใครจะตกใจรึเปล่า?”
“โหยพี่ ช่างแม่เถอะ ไม่เป็นไรหรอก เขาก็ตื่นเย็นเป็นปกติอยู่แล้ว พอตื่นมาก็ไม่เคยได้คุยกันหรอก แต่งหน้าแต่งตัวแป็บเดียวเดี๋ยวแม่ก็ออกไปข้างนอกแล่ว” ยัยแพรตอบหน้านิ่ง จนผมเดาไม่ออกว่ามันมีความรู้สึกประมาณไหนแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้นมั่ง
“เหรอ…”
“อื้อ ไปกันเถอ แพรหิวแล้ว” พูดเสร็จเธอก็เอื้อมมือไปลูบท้องตัวเองป้อยๆ จนผมเผลอเอามือไปลูบหัวเจ้าเด็กทั้งสองเบาๆ
“งั้นเราก็ไปกันเถอะ” ผมพาน้องทั้งสองขึ้นมานั่งในรถ แพรเดินไปวางกล่องใบใหญ่ลงที่เบาะหลังเป็นอันดับแรก ส่งผลให้ที่นั่งข้างคนขับถูกแย่งไปโดยเจ้าพีเป็นที่เรียบร้อย พีส่งยิ้มสะใจไปให้ฝาแฝด ทั้งสองจ้องกันอย่างเข่นเขี้ยวจนผมไม่รู้จะห้ามทัพมันยังไง เลยปล่อยมันกัดกันไปตามประสา แล้วขับรถมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
ทันทีที่ขับมาถึงไอ้เด็กสองตัวก็พากันเกาะแขนผมซ้ายคน ขวาคนเหมือนลูกลิง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งคู่เถียงกันเรื่องเมนูอาหารที่ตนอย่างกิน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน จนผมล่ะโคตรปวดหัว อยากจะขอยาดมยาหม่อง
“แพรอยากกินชาบู”
“แต่ผมอยากกินปิ้งย่าง”
“ชาบู!”
“ปิ้งย่าง!”
ผมยกสองมือขึ้นกุมขมับ มันจะมีวิธีอะไรบ้าง ที่ผมสามารถใช้จัดการกับไอ้ตัววุ่นวายสองตัวนี้ได้มั่งวะเนี่ย
“ลองซูชิมั๊ย? มันมีร้านใหม่เพิ่งมาเปิด พี่ดูรีวิวมาเขาว่าดีอยู่นะ”
“พี่เพนอยากกินเหรอ เอาๆๆ”
“ผมก็อยากกินซูชิ”
อยู่ดีๆ ไอ้ลูกลิงสองตัวก็พยักหน้าระรัวอย่างเห็นด้วย ผมเผลอถอนหายใจเบาๆ ทั้งหน่ายใจทั้งเอ็นดู เมื่อได้ข้อตกลงแล้วผมก็พาเจ้าดื้อทั้งสองไปยังร้านอาหารที่ว่า
เจ้าสองหน่อผู้หิวโหยสั่งอาหารกันแหลกลาน โชคดีที่เป็นร้านบุฟเฟ่ต์ไม่อย่างนั้นมีหวังผมได้กระเป๋าตังค์ฉีกก่อนถึงสิ้นเดือนแน่ๆ อาหารจำนวนมากถูกนำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ ผมกินนู่นกินนี่อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะเหลือ เพราะสองคนนี้น่ะเด็กกำลังโต กินกันเหมือนติดเทอร์โบเลยทีเดียว
เจ้าเด็กสองตัวส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ผลัดกันเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังยกใหญ่ เป็นเพราะผมไม่ค่อยว่างมาเจอน้องมาเป็นเดือน เรื่องที่คั่งค้างไว้เลยมีเยอะเป็นพิเศษ ผมฟังอย่างเอ็นดู การได้รับรู้การเติบโตของเจ้าดื้อทั้งสองเป็นเรื่องที่ผมฟังเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
ผมอดที่จะชื่นชมไม่ได้ เด็กสองคนนี้เป็นเด็กน่ารัก และมีพลังมากกว่าผมในวัยเดียวกันแบบเทียบกันไม่ได้เลย ผมในตอนนั้นวันๆ เอาแต่สนใจเรื่องเกม เงียบๆ หงอยๆ ไม่มีเพื่อน ไม่กล้าเข้าสังคม หรือทำกิจกรรมอะไรมากนัก วันๆ สักแต่ไปโรงเรียนเพื่อนั่งโง่ๆ ให้หมดวันแล้วรีบกลับบ้าน
แต่แพรน่ะเหรอ ไม่ใช่แค่เรียนดีนะ แต่เธอยังเป็นถึงนักร้องสาวตัวท็อปของฝั่ง ม. ต้นด้วย ส่วนพีเองก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน ทั้งคู่ถือว่าเป็นที่ชื่นชมของคนทั้งสถาบันเลยก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่ผมกับแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลาได้ดูแลน้องอย่างใกล้ชิด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าเด็กพวกนี้ฉลาดคิด และใฝ่ดี จนผมเองก็อดจะภาคภูมิใจไม่ได้
“อาจารย์บอกว่าปีนี้ไม่แน่เขาอาจจะส่งผมเป็นตัวแทนโรงเรียน ไปแข่งเทควอนโด้จังหวัดด้วยล่ะ ตอนนี้เขากำลังเลือกๆ อยู่” พีพูดไปยิ้มไป พลางคีบแซลม่อนชิ้นโตขึ้นมาเคี้ยว
“เก่งจังเลยนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่เพน เขาอาจจะไม่ได้เลือกผมก็ได้”
“แต่พี่เชื่อว่าพีต้องทำได้แน่ๆ สู้ๆ นะครับคนเก่งของพี่”
ผมเอื้อมมือไปลูบหัวน้องชายตัวแสบ ส่วนพีก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาเอาหัวถูมือผมไปมาเหมือนลูกหมาขี้อ้อน แม้ภายนอกเจ้าสองคนจะยืนกรานว่าอยู่กันเองแบบนี้ชิลๆ อิสระดี สบายมาก แต่ลึกๆ พวกเขาก็ต้องการความอบอุ่นอยู่ไม่น้อย
ผมนั่งคุยกับน้องจนเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า พอทุกคนอยู่ในภาวะอิ่ม บทสนทนาก็เริ่มเว้นช่วง อยู่ดีๆ มือถือของผมก็สั่นขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูก็เห็นแอพลิเคชั่นเกมออนไลน์ที่ผมเพิ่งโหลดมาเมื่อเช้าแจ้งเตือนอะไรสักอย่าง ผมกดตกลงรัวๆ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่าน เกือบจะเก็บมันลงกระเป๋าไปแล้วแต่ข้อความบางอย่างก็เด้งขึ้นมา ผมตัวชะงักกึก เบิกตาค้างราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง
You and Plawhale ORCA are friends now, Let’s talk to each other.
หลังจากที่ผมกดรับเพื่อนไปแบบมั่วๆ ซั่วๆ จุดสามจุดที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ข้อความอะไรบ้างอย่างก็เด้งขึ้นมาทันที ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังกำมือถือรอเวลานี้อยู่แล้ว ผมเผลอกลืนน้ำลายดังอึก อกข้างซ้ายบีบระรัว เลือดลมสูบฉีดรุนแรง เนื้อตัวสั่นเทิ้มเหมือนจะช็อกตายได้
Plawhale ORCA :: โตขนาดนี้แล้ว ยังติดเกมอยู่อีกเหรอครับ? : )
++++++++++++++++++++++++++++
จะบอกว่าเราเพิ่งได้ทุนมาเรียนต่อที่ปักกิ่ง ต่อจากนี้คงเรียนหนัก ไม่ได้มาอัพบ่อยๆแล้วนะคะ TwT
แต่ก็จะพยายามมาเรื่อยๆ ช่วยติดตาม ช่วยเม้นให้หน่อยนะคะ