UP ❁Thank you, Next ❁ #มาทีหลังรบกวนต่อคิว - ให้มันจบลงตรงนี้ [06/02/20]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: UP ❁Thank you, Next ❁ #มาทีหลังรบกวนต่อคิว - ให้มันจบลงตรงนี้ [06/02/20]  (อ่าน 13833 ครั้ง)

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
Five


ห้องฉุกเฉินจอแจเหมือนทุกวัน หมอและพยาบาลเดินขวักไขว่ทำงานไม่ต่างจากมดขยัน พาทิศยืนเกาะกระจกมองเข้าไปในห้องที่แออัดและเต็มไปด้วยภาพที่ไม่น่ามอง ด้วยสายตาที่จ้องไปที่เตียงเล็กติดห้อง ICU ข้าวปั้นนอนหลับสนิทมากว่าสี่ชั่วโมงแล้วหลังจากที่เขาอุ้มคนตัวเล็กออกมาจากห้องเล็กเชอร์ และวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อมาที่ตึกโรงพยาบาลของคณะแพทย์ในมหาวิทยาลัย ภาพตอนข้าวปั้นหอบหายใจอย่างหนักก่อนจะทรุดตัวลงกับโต๊ะเล็กเชอร์ทำเอาเขาหัวใจสลาย


“ข้าวปั้น!!”

“ตื่นสิ ข้าวปั้น!”

เสียงพาทิศตะโกนลั่นห้องสโลป จนทุกคนในคลาสแตกตื่นยืนดูสถานการณ์

“นิสิตเป็นอะไรคะ” เสียงอาจารย์ที่บรรยายหน้าชั้นเรียนพูดผ่านไมค์

“อาจารย์คะปาณัสม์เป็นลมค่ะ” เป็นสายไหมที่ตอบกลับอาจารย์ และหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววิคนที่เป็นลมถูกผู้ชายที่เข้าไปหาคนแรกอุ้มออกจากห้องสโลปไปอย่างรวดเร็ว และเป็นสายไหมที่รีบเก็บของวิ่งตามออกไปอย่างไม่ได้กล่าวลาใครกระทั่งอาจารย์ และเป็นเธอกำลังโทรไปหาอาจารย์แพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินให้รีบช่วยรับเคสต์นิสิตของเธอ
   
“พี่ครับ พี่ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ”
   
“น้องวางเพื่อนลงที่เตียงเลย อาจารย์สุวิทย์กำลังรออยู่”
   
“ช่วยเพื่อนผมด้วยนะพี่ มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย”
   
“ครับ ๆ”
   
“พา พา! วิ่งไม่รอเลย แฮ่ก ๆ”
   
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีผู้ชายร่างสมส่วนนอนหลับอย่างไม่ได้สติ หน้าตาซีดเซียว คล้ายกับเลือดที่เคยไหลเวียนหยุดทำหน้าที่ไปแล้ว ตัวของข้าวปั้นเย็นจนพาทิศกลัวว่าคนสำคัญของเขาคนนี้จะเป็นอะไร มันทำให้ร่างกายสูบฉีดอะดรีนาลีนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต หัวใจเต้นราวกับถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้าหลายร้อยโวลต์ และเขาลืมความเหนื่อยที่เกิดขึ้นไปเสียขนัดเพียงเพราะเขาอยากจะมาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุด
   
“อาจารย์! อาจารย์ช่วยเพื่อนผมด้วยนะครับ ช่วยด้วยนะ ผมขอร้องล่ะ”
   
“ใจเย็น ๆ ก่อนนิสิต เพื่อนคุณอาจจะแค่เป็นลมก็ได้ เดี๋ยวผมขอตรวจก่อน คุณรอข้างนอกนี่แหละนะ”
   
เตียงของข้าวปั้นถูกเข็นเข้าไปในพื้นที่ที่พาทิศไม่สามารถตามเข้าไปได้ เขายืนมองภายในห้องที่วุ่นวายจากมุมที่ไกลที่สุด และมันถูกตัดการมองเห็นด้วยการปิดประตูจากพยาบาลตามหน้าที่ของเธอ
   
หนึ่งชั่วโมงแห่งการรอคอยไม่เคยนานขนาดนี้ในชีวิต สายไหมนั่งข้าง ๆ พาทิศแต่เธอก็กลับไม่ได้พูดอะไร ไม่ใช่ไม่อยากพูดแค่เธอพูดไม่ออก เพราะช็อคกับสิ่งที่เห็นพอ ๆ กับผู้ชายที่นั่งเอามือกุมขมับตัวเองอยู่ตอนนี้
   
“เพราะเราเองว่ะไหม เพราะเราแน่ ๆ”
   
“เห้ย จะมาโทษตัวเองได้ไง ใจเย็น ๆ ก่อนดิ”
   
“ข้าวปั้นต้องรู้อะไรแล้วแน่ ๆ แม่งเอ้ย”
   
“พาใจเย็น”
   
ระหว่างที่พาทิศกำลังโทษตัวเองและสับสนกับความคิดหลายอย่าง เสียงที่เขารอคอยก็ดังขึ้น “ญาติคุณปาณัสม์ค่ะ”
   
“ครับ! ทางนี้ครับ”
   
“คุณหมอเชิญที่ห้องนะคะ”
   
   
“คุณสองคนมีเบอร์ญาติจริงของปาณัสม์มั้ย หมายถึงพ่อแม่น่ะ”
   
“เอ่อ หนูมีค่ะอาจารย์”
   
“งั้นอย่าลืมแจ้งครอบครัวเขานะ”
   
“ทำไมหรอครับอาจารย์ เพื่อนผมอาการหนักมากเลยหรอครับ”
   
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะนิสิต คือตอนนี้ผลการวินิจฉัยเบื้องต้นอาจจะเกิดความเครียดที่มากเกินไป และร่างกายขาดน้ำ รวมถึงคนไข้มีไข้และความดันต่ำมาก”
   
“...”
   
“ผมเลยอยากให้คุณติดต่อครอบครัว เพราะอาจจะต้องนอนโรงพยาบาล พรุ่งนี้ผมจะตรวจให้ละเอียดอีกที”
   
พาทิศพยักหน้ารับ แม้ผลการวินิจฉัยเบื้องต้นจะดูว่าข้าวปั้นไม่เป็นอะไรมาก แต่วันนี้คนสำคัญของเขายังคงต้องนอนโรงพยาบาลอีกคืน ยังไงก็อดห่วงไม่ได้
   
“คุณไม่ต้องเป็นห่วงที่นี่มีคนดูแลเพื่อนคุณตลอด กลับไปเรียนเถอะ”
   
“ขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะอาจารย์”
   
สายไหมเดินนำพาทิศออกมาจากห้อง สีหน้าของเพื่อนตัวโตยังคนหม่นหมองเหมือนเดิม เธอถอนหายใจเพราะรู้ดีว่าพาทิศรู้สึกอย่างไรกับข้าวปั้น ซึ่งคงมีบางเรื่องที่เธอไม่รู้และมันซับซ้อนจนทำให้เกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้น “พาจะอยู่เฝ้าปั้นที่นี่ใช่มั้ย”
   
“อืม”
   
“เดี๋ยวเราจะโทรหาแม่ปั้นที่ภูเก็ตนะ ท่านจะได้รีบหาไฟล์ทบิน”
   
“เราเป็นเพื่อนมันมาได้ไงตั้งสามปีวะ ขนาดเบอร์พ่อแม่มันเรายังไม่มี”
   
“เห้ย พา แกอย่าโทษตัวเองขนาดนั้นดิวะ นี่เรายังไม่เห็นว่ามันจะเป็นความผิดแกตรงไหนเลย”
   
“...”
   
“เรารู้ว่าแกห่วงข้าวปั้น แต่อาจารย์หมอก็บอกแล้วไงว่าข้าวปั้นไม่เป็นไรมาก เราไม่รู้ว่าแกมีปัญหาอะไรกับปั้น แต่ถ้าอยากอยู่เฝ้าปั้นมัน แกก็ต้องเข้มแข็งกว่านี้”
   
“...” พาทิศทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างหมดแรง ขนาดสายไหมไม่ได้มารับรู้ปัญหาระหว่างเขากับข้าวปั้น หรือเรื่องที่มันกำลังผูกปมจนจะกลายเป็นเงื่อนตาย แต่เธอก็ยังมีสติกว่าผมแม้ว่าจะเพิ่งเห็นเพื่อนสนิทตัวเองโดนห้ามเข้าห้องฉุกเฉินไป
   
“เราไปเรียนก่อน แล้วจะแวะมาตอนเย็น เรื่องแม่ข้าวปั้นจะโทรบอกอีกที แกก็อย่าลืมกินข้าวล่ะ”
   
“อืม ขอบคุณนะ”


ข้าวปั้นต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เพราะเขาเอง เพราะเขาเองที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ และเพราะเขาเองที่ไม่กล้าบอกไปตรง ๆ เขาคิดเรื่องที่แย่ที่สุดหากเขาพูดเรื่องนี้ออกไปคือข้าวปั้นเกลียดเขา และเราหยุดความเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะแย่ขึ้นขนาดนี้

ความเป็นความตายของคนที่เขารักอยู่ใกล้แค่นี้เอง

“ญาติคุณปาณัสม์ใช่มั้ยคะ

“ครับ”

“คุณหมออนุญาตให้คนไข้ย้ายไปห้องพักฟื้นได้แล้วนะคะ รบกวนทางนี้เลยค่ะ”

“อ่อ หรอครับ ครับ ๆ” พาทิศลนลานเพราะไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยต้องมาเฝ้าไข้ใครที่โรงพยาบาล ครั้งสุดท้ายที่มาสถานที่แบบนี้ก็ตอนที่อาม่าเสีย และมันเป็นความฝังใจของการมาโรงพยาบาลมาโดยตลอด เพราะที่นี่พรากคนที่รักและเข้าใจเขาที่สุดไป

และมันทำให้เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับคนที่เขารักทุกคน

ตกเย็นมีเพื่อนในภาคมาเยี่ยมข้าวปั้นกันหลายคน แต่ก็ไม่มีใครได้พูดคุยกับข้าวปั้นเพราะคุณหมอให้ยาเพื่อให้ข้าวปั้นพักผ่อนได้เต็มที่ นี่ก็หนึ่งทุ่มพอดีสายไหมลงไปรับคุณแม่ของข้าวปั้นที่บินมาถึงเมื่อประมาณหกโมง และเธอกำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล

“ก๊อก ๆ”

“ข้าวปั้นลูก” ผู้หญิงตัวเล็กเดินปรี่เข้าไปหาข้าวปั้นทันทีที่เปิดเข้ามา ผมสีดำสลวยยาวรวบเก็บอย่างเรียบร้อย เธอสวมเสื้อยืดและกางเกงขายาว เหมือนเร่งรีบออกจากบ้านมาโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงการแต่งตัว ทั้งที่ปกติคงแต่งตัวดีกว่านี้ ดูจากกระเป๋า รองเท้า และเครื่องประดับเล็ก ๆ ที่ใส่ แค่นี้ก็พอจะทราบว่าเธอค่อนข้างดูแลตัวเอง

“สวัสดีครับ”

“พาทิศใช่มั้ยจ๊ะ ขอบคุณนะลูกที่พาข้าวมาส่ง หมอบอกว่ายังบ้างคะ”

“หมอบอกข้าวปั้นเครียด และความดันต่ำครับ พรุ่งนี้จะตรวจละเอียดอีกที ตอนนี้หมอให้ยาข้าวปั้นเลยหลับยาว” ขณะที่ฟังพาทิศพูดเธอมองหน้าลูกชายด้วยสายตาที่มองของรักที่สุดในชีวิตของเธอ สายตาที่มีแต่ความรักและความห่วงใยมันทำให้คนเล่าเรื่องเหมือนโดนบีบหัวใจอย่างรุนแรง

“หรอคะ ขอให้ลูกของแม่ไม่เป็นอะไรนะคะ เรามีกันแค่สองคนถ้าไม่มีข้าวปั้นแม่คงอยู่ไม่ได้”

“...”

“...”

ความเงียบงันแผ่กระจายเต็มห้องหลังจากเพื่อนทั้งสองคนได้ยินคำพูดนี้ของคนเป็นแม่ พวกเขาต่างไม่รู้เลยว่าข้าวปั้นอยู่กับแม่แค่สองคน เพราะข้าวปั้นไม่เคยเล่าให้ฟัง รู้แค่เพียงข้าวปั้นบ้านอยู่ภูเก็ต และแม่เป็นเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น

“ข้าวดูภายนอกเขาปกติดีใช่มั้ยคะ แต่ลูกของแม่เปราะบางยิ่งกว่าแก้วเคลือบซะอีก นี่แม่พูดอะไรไม่รู้ เด็ก ๆ กินอะไรกันหรือยัง ไปกินข้าวเถอะเดี๋ยวแม่ดูแลข้าวเองค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะที่ดูแลข้าวอย่างดี” เธอละสายตาจากลูกชายที่รักแล้วหันมาพูดกับอีกสองคนในห้องด้วยสายตาอ่อนโยน พวกเขาสองคนไม่แปลกใจว่าทำไมข้าวปั้นถึงจิตใจดี เพราะผู้หญิงตรงหน้าแผ่ความรักมามากมายจนคนที่ไม่ค่อยได้รับมันอย่างพาทิศรู้สึกได้

“คุณน้าพักที่ไหนครับ มีที่พักหรือยังครับ”

“ยังหรอกจ้ะ แต่เดี๋ยวน้านอนกับข้าวที่นี่ได้ค่ะ พาทิศไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

“ครับ ถ้ามีอะไรโทรหาผมได้ตลอดเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ผมเขียนเบอร์ติดที่หัวเตียงไว้ครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ” เธอยิ้มรับและเห็นความหมายบางอย่างผ่านสายตาของเด็กตัวโตคนนี้มองลูกชายที่หลับสนิทของเธอ ความห่วยใยที่ล้นทะลักและความกังวลที่ปิดไม่มิดของ ‘เพื่อนสนิท’ เธอคิดในใจ



พาทิศกลับมาที่คอนโดด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ เขาไม่รู้ว่าต้นเหตุจริง ๆ ที่ทำให้ข้าวปั้นเป็นอย่างนี้เพราะอะไร แต่เขาคิดว่ามันต้องมีเรื่องของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน มันทำให้เข้ายิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง

ซองบุหรี่ยับยู่ยี่ที่เคยซุกไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เขาไม่ค่อยพึ่งมันเท่าไหร่เพราะไม่ได้ชอบนัก แต่วันนี้นึกอะไรไม่ออกและมันไม่อยากทำอะไร ถือบุหรี่มวนที่ดึงออกมาพร้อมไฟแช็กออกไปนอกระเบียง เปลวเพลิงเพียงเล็กน้อยจากไฟแช็กเผาไหม้ยาเส้นอยากรวดเร็ว พาทิศหายใจเข้าเพื่อรับกลิ่นและควันพิษเข้าสู่ร่างกายอย่างเต็มใจ ก่อนจะพ่นมันออกมาสุดลมหายใจ คล้ายจะโล่งแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยแม้แต่นิด เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกิดที่หัวใจไม่ใช่ลมหายใจ แม้จะหายใจโล่งแต่ใจยังก็อัดอั้นภายในหัวใจอยู่ดี

“เฮ้อ”

ครืด ครืด

“ใครวะ” เบอร์แปลกโทรเข้าทีแรกพาทิศจะไม่รับเพราะไม่อยากคุยกับใคร แต่คิดว่าอาจจะเป็นแม่ของข้าวปั้นเขาก็รับอย่างไม่รีรอ

(มึงอยู่กับข้าวหรือเปล่า)

“ไอ้ไม้!” คนรับสายแทบอยากจะกดวางทันที ถ้าไม่ใช่เพราะมันพูดประโยคนี้ขึ้นมา

(เอาเมียกูไปกกกี่ไหน ทำไมมันยังไม่กลับบ้าน)

“ไอ้เหี้ย!! มึงเรียกเขาว่าเมียแต่มึงไม่รู้ว่าเขานอนอยู่โรงพยาบาล และมึงอย่ามาสลวนกับกูไอ้สัตว์ เพราะเขาไม่เคยนอนกับมึง!”

(มึงว่าไงนะ ข้าวอยู่โรงพยาบาล เป็นอะไร) พาทิศแทบอยากจะทะลุเข้าไปในมือถือแล้วกระชากคอมันมากระทืบให้จมดิน น้ำเสียงของมันไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น

“คนเหี้ย ๆ อย่างมึงไม่ควรรู้ด้วยซ้ำ!!”

คนตัวโตขยี้ก้นบุหรี่ลงที่เขี่ยอย่างคนโมโหสุดขีด มันพูดออกมาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สากับเพื่อนที่มันเพิ่งเรียกว่าเมีย ทั้งที่เขานอนอยู่โรงพยาบาล พาทิศใช้มือที่กำหมัดแน่นทุบระเบียงอย่างเหลืออดและระบายอารมณ์โกรธแค้นต้นไม้อีกร้อยเท่า เขารู้ว่ามันเป็นคนเลวแต่ก็ไม่คิดว่าจะเลวเข้าขั้นสามานย์และไม่ใยดีเพื่อนที่อยู่บ้านเดียวกันตลอดสามปีได้ขนาดนี้

“มึงอย่าหวังจะได้เข้าใกล้ปั้น สวะ!”

@โรงพยาบาล
   
เจ็ดโมงเช้าของโรงพยาบาลรัฐชื่อดังเต็มไปด้วยผู้คนทั้งคนไข้และญาติคนไข้เดินสวนขวักไขว่ไม่ต่างจากทุกวัน ผู้ชายวัยรุ่นลงจากบีเอ็มคันงามพร้อมตะกร้าของฝากคนป่วย กับถุงพะรุงพะรัง ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ สายตาของผู้คนต่างจับจ้องราวกับเขาคือคนมีชื่อเสียง ความดูดีที่ไม่ต้องพยายามมักจะทำให้เขาเหมือนมีสปอร์ตไลท์ลงที่ตัวไม่ว่าจะไปที่ไหน
   
“อาจาร์หมอสุวิทย์มาหรือยังครับ ผมภาณินครับ”
   
“อาจารย์มาแล้วค่ะ เชิญที่ห้องพักอาจารย์ได้เลยนะคะ”
   
“ขอบคุณครับ” เข้ายิ้มให้พยาบาลอย่างสุภาพ เหมือนที่มักจะทำให้ผู้อื่นเสมอ
   
ภาณิน หรือ ชื่อจริงของต้นไม้ เขามาที่นี่บ่อยครั้งสมัยยังเรียนมัธยมปลาย เนื่องจากมารอให้คุณอาที่เป็นหมอแวะไปส่งบ้าน เพราะไม่อยากนั่งรถกลับบ้านกับคนขับรถ เขาไม่ชอบชีวิตที่ไร้อิสระและเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ค่อยกลับบ้านสักเท่าไหร่ ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลจากมหาลัยเหมือนที่บอกทุกคน เพียงเพราะบ้านไม่ใช่ที่ที่เขารู้สึกปลอดภัยตั้งแต่เสียแม่ไป แม้คนรักใหม่ของพ่อจะดีกับเขาแค่ไหนก็ไม่สามารถทนเห็นเธอมาแทนที่ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก และเธอไม่ควรจากไปเร็วขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อหมดรักเธอแล้ว
   
“อ้าวไม้มาแล้วหรอ อากำลังจะราววอร์ดพอดี”
   
“อาวิทย์ครับ ช่วยพาผมไปหาปาณัสม์ทีสิ”
   
“นี่สินะเหตุผลที่มาหาอาแต่เช้า เพื่อนเราหรือไง”
   
“ครับ และผมก็รู้ว่าอาเป็นเจ้าของไข้”
   
“เฮ้อ อาควรจะทำยังไงกับพยาบาลที่เอาข้อมูลคนไข้ไปบอกคนนอก” คนเป็นอาเท้าสะเอวแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม เขาชินเสียแล้วที่หลานสุดหล่อของเขาซื้อใจพยาบาลที่นี่ได้หมด
   
“ผมไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ไปกันเลยมั้ยครับ”
   
“เอ้า ไปก็ไป”


ก๊อก ๆ
   
“สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้าง” คุณหมอสุวิทย์ทักทายคนไข้ที่นอนบนเตียง
   
“อ้าว สวัสดีค่ะคุณหมอ” และคนเป็นแม่ที่ง่วนกับการปอกผลไม้เอ่ยทักทาย
   
ต้นไม้ยกยิ้มให้กับคนป่วยอย่างอ่อนโยนเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้ “ของเยี่ยมครับ”
   
“ขอบใจจ้ะ”
   
คุณภัสสรรับกระเช้าผลไม้เมืองหนาวราคาแพงจากเด็กผู้ชายที่เธอเดาว่าเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่ลูกชายเธอมักจ้อให้ฟัง
   
“เดี๋ยวสัก 8 โมงพยาบาลจะเข้ามาวัดความดันและวัดไข้อีกรอบนะ แล้วลงไปห้องตรวจกัน”
   
ข้าวปั้นพยักหน้ารับคุณหมอ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็เช้าที่โรงพยาบาลพร้อมกับเห็นผู้หญิงที่คิดถึงที่สุดในโลกนอกคุ้ดคู้ที่โซฟาข้างผนังห้อง
   
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือต้นไม้มายืนอยู่ตรงนี้ แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่เขาก็จำสาเหตุได้ดีว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ผู้ชายคนที่เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่กำลังพัฒนาไปในทางที่ดี และเขาเองกำลังจะสมหวังกับรักครั้งแรกที่รอคอยมาโดยตลอด แต่แล้วก็เหมือนโดนไม้หน้าสามตีเข้าหน้าอย่างจัง เพราะทุกเรื่องคือเรื่องโกหก
   
การโกหกที่ร่วมมือจากเพื่อนร่วมบ้านที่อยู่ด้วยกันนานถึงสามปี
   
เป็นสามปีแห่งการปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง หน้าไหว้หลังหลอกอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
   
“ข้าวเป็นไงบ้าง เราเป็นห่วงแทบแย่ เมื่อวานโทรหาข้าวไม่ติดทำเราจะบ้า”
   
“...” ข้าวปั้นไม่ได้ตอบรับเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ให้เท่านั้น ใช่ เขายิ้มอย่างเสแสร้งให้กับคนเสแสร้งที่กำลังมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงเป็นใย แต่ไร้ซึ่งความจริงใจที่สุด
   
ตอแหล คือคำเดียวที่เขาคิดออกสำหรับผู้ชายคนนี้
   
“งั้นแปดโมงครึ่งเจอกันนะปาณัสม์”
   
“ครับอาจารย์” ข้าวปั้นตอบพร้อมยกมือไหว้คุณหมอ
   
“คุณน้าไปพักเถอะครับเดี๋ยวผมดูข้าวเอง” ต้นไม้ยิ้มให้กับผู้หญิงวัยกลางคนที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นบุพการีของผู้ชายที่นอนบนเตียงพยาบาล “ไปเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ต้นไม้พูดย้ำเพราะเหมือนเธอจะไม่แน่ใจ จากการสบตากับลูกชาย
   
“จ้ะ งั้นน้าจะรีบกลับมานะ” คนเป็นแม่ดูออกว่าสายตาของข้าวปั้นไม่มีความยินดีที่จะอยู่กับเพื่อนคนนี้ตามลำพัง เธอไม่มั่นใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้าข้าวปั้นมักจะชมต้นไม้ให้ฟังเสมอจนเธอพอจะรู้ว่าลูกชายรู้สึกกับเพื่อนคนนี้อย่างไร แต่ทำไมวันนี้ดูไม่เป็นเช่นนั้น สายตาที่ดูไม่ไว้ใจและโกรธเป็นนัยเปล่งออกมา หรือเธออาจจะคิดมากไป จึงได้แค่เดินออกจากห้องมาด้วยใจที่ยังเป็นห่วง เธอตั้งใจจะรีบไปอาบน้ำในห้องอาบน้ำญาติซึ่งจะสะดวกสบายกว่าห้องอาบน้ำในห้องพักฟื้นเพราะมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนด้วย
   
“ข้าวจะกินข้าวเช้าเลยมั้ย”
   
“ยังดีกว่า เรารบกวนหยิบมือถือให้ทีสิ” ข้าวปั้นพยายามจะสื่อสารกับต้นไม้เท่าที่จำเป็น เพราะเขาแทบไม่อยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้แม้แต่นิด
   
“จะเล่นมือถือได้ไง เรามาหาต้องคุยกับเราสิ”
   
“เราจะไลน์ไปหาเพื่อนฝากลาอาจารย์ เรามีควิซวันนี้”
   
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คนเขารู้ทั้งคณะว่าข้าวอยู่โรงพยาบาล”
   
“งั้นเดี๋ยวเราหยิบเอง”
   
“ดื้อ!” ต้นไม้ใช้น้ำเสียงดุแล้วส่งยิ้มมาให้ แต่มันไม่ต่างจากดอกไม้พลาสติกที่สวยแต่ปลอมสิ้นดี
   
ข้าวปั้นกดโทรหาเพื่อนคนเดียวที่เขาคิดออก และจะมาหาเสมอเมื่อเขาร้องขอ แม้จะต้องโดนบ่นแน่ ๆ แต่ก็ดีกว่าอยู่กับผู้ชายคนนี้เพียงลำพัง แค่อีกวินาทีเดียวก็ทนขยะแขยงไม่ได้จริง ๆ
   
เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึก ‘เกลียด’ เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันต้องรู้สึกแบบไหน เพราะจำความได้เขาไม่เคยเกลียดหรือรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ใครขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มันแจ่มชัด มันไม่เหมือนที่เขากลัวสัตว์เลื้อยคลาน หรือขยะแขยงลายบนตัวตุ๊กแก แต่มันคือความรู้สึกต่อต้านภายในใจและอยู่ใกล้แล้วอึดอัด มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นต้นไม้จะในรูปแบบไหนผู้ชายคนนี้ก็ดีสำหรับเขาไปหมด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป

และมันจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2019 19:31:26 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตู๊ดดด...ตู๊ดดด
   
“พา...ไปเรียนยังหรอ อื้อ กำลังมาหรอ เรารอกินข้าวด้วยนะ”
   
“...”
   
“ไม่เป็นไร รีบมานะ”
   
คนเพิ่งวางสายรู้แน่ว่าผู้ชายที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าต้องไม่พอใจ เขาไม่แน่ใจนักกว่าทำไมต้นไม้และพาทิศถึงไม่ชอบขี้หน้ากันขนาดนี้ แต่ที่ไหนมีต้นไม้ต้องไม่มีพาทิศ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาเรียกเพื่อนตัวโตเพื่อขอความช่วยเหลือ
   
“ข้าวเป็นอะไร? ปกติข้าวไม่เคยเป็นงี้”
   
“ไม้ไม่มีเรียนหรอ ไปเรียนเถอะเราอยู่ได้”
   
“ข้าวเป็นอะไร บอกเราได้มั้ยครับ หื้ม” คนตัวสูงเดินมาประชิดเตียง ก่อนจะใช้มือใหญ่ลูบหัวนอนนิ่งอย่างแผ่วเบา วิธีนี้มักจะทำให้ข้าวปั้นอ่อนระทวยไม่ต่างจากเทียนโดนลนไฟ แต่คราวนี้ข้าวปั้นสะดุ้งและขยับตัวหนีราวกับตกใจ “โอเค ถ้าไม่พูดก็มาเป็นไร แต่เรายอมทำทุกอย่างให้ข้าวหายโกรธนะ”
   
สายตาคมที่ส่งมานั้นมันชวนสับสน ข้าวปั้นไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือมันคือการแสดงที่แนบเนียน แต่ใจที่แข็งขืนเมื่อครู่กระตุกเอาง่าย ๆ เพียงเพราะดวงตาสีนิลมองลึกเข้ามาถึงนัยน์ตาของเขา เสมือนมันทะลุไปถึงหัวใจอย่างง่าย ๆ

ก็เพราะความรักที่เขามีต่อผู้ชายคนนี้มันไม่ได้หายไปกับอารมณ์โกรธแค้นที่ถาโถมมาในตอนนี้
ก็เพราะรักและไว้ใจมาโดยตลอด แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยเหลียวแล
ก็เพราะมันเป็นความรักที่ไม่เคยคิดว่าจะสมหวัง แต่วันหนึ่งมันดีมากจนคล้ายจะสมหวัง
แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากนกปีกหักตกจากฟ้าดิ่งสู่พื้นดินด้วยแรงที่เฮือกสุดท้ายที่มันมี
ความตายเท่านั้นที่จำยอม
ใช่ ความตายของต้นไม้จากใจเขาเท่านั้นที่เหมาะสม


“โทรเรียกไอ้พา?”

“เรียกเพื่อนเราดี ๆ ด้วย”

“อย่าเล่นตลกน่าข้าว เราก็อยู่ตรงนี้แล้วไงไม่พอใจอะไรอีก ชอบเรามากไม่ใช่หรอ” น้ำเสียงของต้นไม้ที่ข้าวปั้นไม่เคยได้ยิน ความหงุดหงิด ไม่พอใจ และโกรธในที รวมอยู่ในประโยคเมื่อครู่ทั้งหมด ไหนจะอากัปกิริยาต่างไปจากต้นไม้ผู้ที่สุขุมอยู่เสมอ

“...” ข้าวปั้นไม่ได้ตอบอะไร เพราะกำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินและเห็นกับตา

“คะ คือเราหมายความว่าข้าวปั้นไม่เคยเป็นแบบนี้” ต้นไม้อึกอักที่หลุดมาดออกไป

“ใช่ เราชอบไม้ เราชอบมาตลอดนั่นแหละ!”

“...” เป็นต้นไม้ที่อึ้งไปกับคำตอบที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าข้าวปั้นจะพูดคำนี้ออกมา เพราะเพื่อนคนนี้เก็บงำคำพูดนี้มาได้ตลอดหลายปี พอได้ฟังมันจริง ๆ แล้วใจก็กระตุกอย่างไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ภาพหลาย ๆ อย่างในวันวานมันฉายวนเข้ามาในหัว สิ่งที่ข้าวปั้นทำให้เขาตลอดหลายปีอย่างไม่เคยเรียกร้องอะไร มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกดีที่ได้รับมัน รู้สึกสิ เพียงเขาไม่เคยให้ความสำคัญเพราะอย่างไรก็คิดว่าข้าวปั้นจะไม่มีวันไปไหน
   
แต่การเดินเกมเพียงเพื่อเอาชนะพาทิศเพียงเพราะผู้ชายคนนั้นได้รับความรักจากผู้ชายที่เขารู้สึกดีด้วยอย่างปูน มันทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและข้าวปั้นเลยเถิดด้วยการเล่นเกม และมันค่อย ๆ ร้าวลึกลงไปเรื่อย ๆ แม้ฉากหน้าจะดีแค่ไหน แต่ภายในกลับค่อย ๆ แตกสลายทีละน้อย
   
จนในที่สุดวันนี้แตกหักจากการหมดความอดทนและไร้ความหวังของคนตรงหน้า

มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอวะไม้ มึงจะมารู้สึกแบบนี้ทำไม   
เดินเกมต่อสิวะ


“แต่ตอนนี้เราพอแล้วล่ะ ที่เกิดขึ้นคืนนั้นน่ะ ช่างมันแล้วกัน”
   
“หึ คืนนั้น? คืนไหนหรอ ใช่คืนที่เรามีอะไรกันหรือเปล่า”
   
“...”
   
“แน่ใจหรอว่าข้าวนอนกับเรา”
   
“ไม้!! ทำไมพูดแบบนี้ เราไม่ได้อยากให้มารับผิดชอบอะไรเรานะ แต่ทำไมต้องพูดเหมือนเรานอนกับคนอื่นด้วยวะ!!”
   
“ก็ข้าวนอนกับคนอื่นจริง ๆ”
   
ข้าวปั้นไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เขาไม่ได้เสียสติถึงขั้นจำไม่ได้ว่าตัวเองนอนกับใคร เพราะคืนนั้นผู้ชายที่เขาอยู่ด้วยคนเดียวคือต้นไม้ แต่ทำไมคน ๆ นี้ถึงใจร้ายขนาดที่ยัดเยียดให้เขานอนกับคนอื่นทั้งที่เราก็ตื่นมาพร้อมกัน น้ำตาที่หยุดไหลไปเมื่อวานกลับปริ่มที่หัวตาอีกครั้ง หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเพราะความเสียใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ได้อยากได้การรับผิดชอบ แต่นี่มันถึงขั้นเหยียบย้ำศักดิ์ศรีกัน
   
“ฮึก ออกไป!
   
“คิดไม่ออกจริง ๆ หรอว่าใคร”

ก๊อก ๆ ๆ

ผู้ชายในชุดนิสิตเรียบร้อยกว่าทุกวัน เสื้อเชิ้ตสีขาวชายเสื้อไม่หลุดรุ่ยแล้ว เขาถือกระเป๋าเก็บความร้อนคาดว่าเป็นอาหารสำหรับคนป่วย แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็พบกับผู้ชายที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอในเวลานี้
   
“มาพอดี” เสียงต้นไม้กล่าวต้อนรับคนมาใหม่
   
“...” พาทิศมองมายังเตียงผู้ป่วย เห็นข้าวปั้นกำลังสะอึกสะอื้น และเห็นเพื่อนร่วมบ้านยืนข้างเตียงล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางกวนประสาทเขาในที
   
“มึงทำอะไรปั้น!”
   
“นี่ไงข้าว ถามสิว่าเพื่อนคนดีของข้าวรู้เรื่องคืนนั้นมั้ย”
   
“นี่มันเรื่องอะไรพา เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฮึก ทะ ทำไม เรา ฮึก” ข้าวปั้นยิ่งร้องไห้หนักเขาไปอีก แรงหอบหายใจของเขาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ พาทิศรีบวางของที่หอบหิ้วมาเพื่อเข้ามาหาคนที่นั่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว
   
“ข้าวใจเย็น ๆ ก่อนนะ ค่อย ๆ หายใจ”
   
“แฮ่ก บอกเรามาว่าเกิดอะไรขึ้น! ฮะ พา ไม่ใช่ใช่มั้ย?”
   
“มึงบอกข้าวไปสิว่าคืนนั้นคือมึงไม่ใช่กู” ต้นไม้พูดด้วยน้ำเสียงปกติ เขาไม่ได้สนใจว่าข้าวปั้นจะอาการกำเริบขนาดไหน
   
“ขะ ข้าว ฟังกูก่อนนะ คือ กูขอโทษ กูขอโทษนะข้าว” พาทิศลุกลี้ลุกลน เขาไม่คิดว่าจะต้องสารภาพเรื่องทั้งหมดในสถานการณ์นี้ อย่างน้อยก็อยากแน่ใจว่าข้าวปั้นสบายดีกว่านี้ แล้วเขาจะเป็นคนบอกเรื่องทุกอย่างให้ข้าวปั้นรู้ และยอมรับหากข้าวปั้นจะโกรธจะเกลียดเขา
   
“ทำไม ฮึก ทำไม ทำกับเรา ฮึก อย่างนี้” ข้าวปั้นแทบพูดไม่ออกเมื่อได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาไม่แน่ใจว่าทำไมเรื่องมันยิ่งแย่ไปกว่าเดิม คนที่เขารักมาตลอดหักหลังกันยังแย่ไม่พอหรือไง นี่เขาต้องมารับรู้ว่าคนที่เขาไว้ใจและหวังดีต่อกันมาตลอดทำเหมือนที่ผ่านมาเราไม่ใช่เพื่อนกัน
   
เขาไปทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจมากเลยหรือ ทำไมทุกคนถึงกับกับเขาเหมือนไม่ใช่ ‘เพื่อน’ หรือถ้าเวทนากันหน่อยก็คิดเสียว่ารู้จักกันไม่ได้หรือ ทำไมถึงทำกันขนาดนี้
   
“ข้าวฟังกูก่อนนะ กูไม่ได้ตั้งใจ”
   
“ไม่ได้ตั้งใจหรอ”

เพี๊ยะ!

ฝ่ามือเล็กฟาดลงที่หน้าพาทิศเต็มแรงที่มี สายตาโกรธ ผิดหวัง สิ้นหวัง ส่งมาถึงคนโดนตบอย่างจัง “ที่พาทำมันเรียกว่าการขื่นใจ เราต่างหากที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น”
   
 “...” คนโดนตบเพิ่งคิดได้ว่าเขาไม่ควรพูดคำนี้ ไม่ได้ตั้งใจอะไรกันทั้งที่เขาตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แม้จะยั้งตัวเองได้แต่ก็เลือกที่จะทำ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้เพิ่มคือต้นเหตุที่ข้าวปั้นต้องเข้าโรงพยาบาลเขาไม่ใช่ต้นเหตุ นี่อาจจะดีแล้วก็ได้ที่ข้าวได้รู้เสียทีอย่างน้อย ๆ มันก็ไม่ต้องยืดเยื้อไปมากกว่านี้ จุดยืนที่เคยได้อยู่ข้าง ๆ อาจจะไกลเรื่อย ๆ จนมองไม่เห็นกันและกันอีก
   
ข้าวปั้นจะโกรธจะเกลียดเขาแค่ไหนก็ได้แต่ขออย่าให้ข้าวปั้นเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย
ยอมทุกอย่าง

   
“ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ ไม้มึงทำอะไรอยู่วะ เรียกพยาบาลสิ ไม่เห็นหรอว่าปั้นมันจะหายใจไม่ได้อยู่แล้ว”

“...” ต้นไม้ถอนหายใจก่อนจะเดินไปกดเรียกพยาบาลที่ปุ่มฉุกเฉิน


ก๊อก ๆ ๆ

ผู้ชายอีกคนที่ปรากฏตัวที่ประตูหน้าห้องคือเพื่อนร่วมบ้านอีกคนของข้าวปั้น ปูนมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าตกใจ พาทิศประคองข้าวปั้นที่กำลังหายใจราวกับจะขาดใจ ส่วนต้นไม้ก็ยืนมองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
   
คนเพิ่งมาใหม่รีบปรี่เขาไปที่เตียงผู้ป่วย “พา ข้าวปั้นเป็นอะไร เรียกหมอมั้ย” ปูนด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขาไม่เคยเห็นข้าวปั้นผู้ร่าเริงสดใสจะดูซูบโทรมขนาดนี้มาก่อน
   
“ไม่ต้อง!!”
   
“...” ปูนอ้ำอึ้ง สายตาที่ข้าวปั้นมองมาที่เขามันไม่ใช่ข้าวปั้นคนเดิมที่ร้องเพลงรดน้ำต้นไม้ที่บ้านของเราอีกต่อไป สายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจและโกรธแค้นมันส่งมาถึงเขาอย่างจัง
   
“ข้าว ใจเย็น ๆ สิ” พาทิศไม่อยากให้ข้าวปั้นมีเรื่องกระทบจิตใจอะไรอีก เขาไม่แน่ใจว่าข้าวปั้นไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับปูนอีกถึงได้แสดงออกอย่างต่อต้านเช่นนี้
   
“ปูนทำแบบนี้กับเราได้ยังไง เราไม่ใช่เพื่อนกันหรอ” ข้าวปั้นพูดด้วยน้ำตาอาบหน้า หัวใจของปูนบีบรัดราวกับมีเอาค้อนมาทุบ
   
“ปะ ปั้นเราทำอะไร”
   
“มีความสุขมากมั้ยที่ใช้บ้านเราเป็นที่เอากัน!” ข้าวปั้นแทบจะตะโกนประโยคนี้ออกมา ทุกคนในห้องแทบจะไม่เชื่อสายตาว่าข้าวปั้นจะใช้คำพูดประเภทนี้ และยืนยันได้แล้วว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้ข้าวปั้นใจสลายนั้นมาจากเรื่องอะไร น้ำตาที่ไหลเป็นสายธารมองเพื่อนร่วมบ้านที่ข้าวปั้นรักและไว้ใจทั้งสองคนอย่างไม่เหลือเยื่อใยของคนที่เคยมีความรู้สึกนั้นให้มาก่อน
   
“เห็นเราเป็นควายมานานเลยสิ ฮึก”
   
“ข้าวหมายถึงเรากับปูน หรือหมายถึงเพื่อนของข้าวกับปูนหรอ” เสียงของผู้ชายที่ยืนดูสถาการณ์พูดขึ้น ต้นไม้ขณะนี้ไม่ต่างจากคนที่ไร้หัวใจ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้าที่เห็น ความเฉยชาที่แสดงออกมานั้นไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะใจร้ายไม่ใยดีเพื่อนที่ดีกับเขามาตลอดหลายปี แม้แต่ปูนยังไม่เคยเห็นด้านนี้ของต้นไม้ จิตใจของเขามืดมิดมากกว่าที่ปูนรู้จักเหลือเกิน
   
“นี่ ทำไมพวก...ฮะ แฮ่ก ฮะ ฮึก” ข้าวปั้นโก่งตัวมากขึ้นเพราะหายใจแทบจะไม่ออก อากาศที่สูดเขาไปน้อยนิดเหลือเกิน เหมือนโดนมือใหญ่บีบคอไว้ และภาพสุดท้ายที่ข้าวปั้นเห็นคือพาทิศกำลังกอดเขาไว้ทั้งที่ตัวเองก็ตัวสั่นมือสั่นราวกับคนป่วยอีกคน
   
“คนไข้เป็นอะไรคะ ว้าย!” จังหวะนั้นพยาบาลวิ่งเข้ามาพอดี ไม่ต่างจากละครที่เคยดู ซึ่งพาทิศภาวนาให้ทุกอย่างทันเวลา
   
พยาบาลรีบเข้ามาดูอาการข้าวปั้น พาทิศเหมือนคนเสียสติเขากอดข้าวปั้นไว้อย่างนั้นจนกระทั่งพยาบาลพยายามให้เขาคลายอ้อมกอดจากข้าวปั้น “คุณคะ ปล่อยคนไข้ก่อนค่ะ”

“ปั้น!! ปั้น! พยาบาลครับ ช่วยด้วยครับ” ปูนเดินมาประคองพาทิศ อดีตเดือนคณะไม่เหลือเค้าคนที่เคยต่อกรกับรุ่นพี่เรื่องไม่อยากประกวดอย่างไม่กลัวเกรง ตอนนี้เหลือเพียงผู้ชายไร้สติ แทบจะยืนด้วยขาตัวเองไม่ได้ มือสั่นไม่ต่างจากคนสุราเป็นพิษ และปูนเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพาทิศรักข้าวปั้นขนาดไหน

“พวกคุณออกไปก่อนนะคะ พยาบาลตามหมอด้วยค่ะ พวกคุณออกไปข้างนอกก่อนนะคะ เชิญค่ะ!”
ผู้ชายวัยรุ่นสามคนถูกกันออกมาจากห้องพักฟื้น หมอและพยาบาลกรูวิ่งเข้าไปในห้องพร้อมกับอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มไปหมด ห้องพักฟื้นถูกเซตเป็นห้องช่วยชีวิตชั่วคราว เพราะความดันของข้าวปั้นอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนถึงขั้นช็อกได้ อีกทั้งหัวใจก็เต้นจังหวะแผ่วเบาแทบวัดชีพจรไม่เจอ

กระจกช่องเล็ก ๆ ที่ประตูหน้าห้องถูกจับจองด้วยผู้ชายตัวโตที่มือยังสั่น สายตาที่มองไปในห้องเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่า ในใจเพียรภาวนาให้ข้าวปั้นไม่เป็นอะไร และถ้าหากข้าวปั้นหายดีเขาจะออกไปจากชีวิตของข้าวปั้นให้ไกลที่สุด ไกลเท่าที่ข้าวปั้นเจ็บปวดกับสิ่งที่เขาทำ

“อย่าเป็นอะไรเลยนะ” เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากผู้ชายที่ใกล้จะหมดแรง หัวใจของเขาบีดรัดจนรู้สึกเจ็บ น้ำตาแห่งความกลัวรินไกลอาบแก้มคนที่เข้มแข็งที่สุด
   
ปูนยืนมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่เจ็บปวดไม่แตกต่างกัน เขาคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เพื่อนที่ดีสุดต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่เสี่ยงที่สุดในชีวิต เขาไม่เคยคิดว่าการกระทำจากความสนุกของเขาคนเดียวจะส่งผลต่อคน ๆ หนึ่งได้ขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ลงไปเล่นเกมสกปรกของใครบางคน บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เลวร้ายกว่านี้ พูดคำขอโทษในใจเป็นพัน ๆ ครั้งก็คงไม่เทียบเท่ากับความเสียใจที่ข้าวปั้นต้องเผชิญ
   
ต้นไม้เดินออกมาจากเหตุการณ์นั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้สึกอะไร เขาเกาะริมระเบียงอีกฟากของห้องพักฟื้นมองไปยังฟ้าที่สว่างจากแสงอาทิตย์ด้วยสายตาที่ไม่ได้โฟกัสอะไร ต้นไม้กลืนน้ำลายให้กับลำคอที่แห้งผากมานาน ภาพของข้าวปั้นเริ่มหายใจติดขัดซ้อนทับภาพวันที่แม่ของเขาจากไป และคนเป็นพ่อของเขาบังคับให้เขายืนดูภาพตรงหน้าโดยไม่คิดจะช่ผู้หญิงที่กำลังขาดใจ มือที่ล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างสั่นเหมือนคนกินยาเกินขนาด เหงื่อกาฬซึมตามไรผมด้วยความกลัว เขาไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเองถึงพูดอะไรแบบนั้นออกไป รู้แค่จิตใต้สำนึกมันไม่เหลือความเห็นใจราวกับโดนสิงร่างด้วยสัตว์เดรัจฉาน ที่แค่อยากเห็นคนอื่นเจ็บเหมือนที่แม่เจ็บ เขามารู้ตัวอีกทีตอนที่พยาบาลวิ่งเข้ามาในห้อง นั่นแหละ สติเขาถึงกลับมา

ถ้าข้าวปั้นเป็นอะไรไป เขาเองที่เป็นคนฆ่า
แม่ ต้นจะทำยังไงดี


ผู้หญิงวัยกลางคนในชุดให้ยืมจากโรงพยาบาลนั่งกุมมือที่หน้าห้อง ICU มาร่วม 40 นาที หลังจากเธอกลับจากการทำธุระส่วนตัวแล้วก็มาพบเจอกับเด็กผู้ชายสองคนยืนหน้าเครียดอยู่ที่หน้าห้องพักฟื้นของลูกชาย เธอถามว่าพาทิศว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ แต่คำตอบที่ได้รับคือพาทิศทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมก้มกราบเธอด้วยน้ำตานองหน้า และพร่ำเพ้อแต่คำว่าขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ เด็กผู้ชายอีกคนก็ร้องไห้ไม่ต่างกัน เธองุนงงและตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทัน หัวอกของคนเป็นแม่ยิ่งกว่าถูกควักออกไปจากร่าง เธอไม่รู้เลยว่าลูกชายเธอกำลังประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายแบบไหน เธออยากแบ่งเบา หรือให้เธอเป็นคนเจ็บปวดเองเสียยังดีกว่า

เตียงคนไข้ที่มีลูกชายเธอก็ถูกเข็นออกมาจากห้องพักฟื้นเพื่อมาทำการรักษาต่อที่ห้องไอซียูแห่งนี้ โดยที่คุณหมอเจ้าของไข้บอกเธอสั้น ๆ ว่า

‘ต้องผ่าตัดหัวใจด่วนนะครับ เดี๋ยวพยาบาลจะเอาเอกสารมาให้เซ็นต์’

เธอรู้มาตลอดว่าลูกชายของเธอเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็ก แต่คุณหมอที่เคยรักษายืนยันกับเธอว่าเขาหายดีและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป แต่โรคนี้ไม่มีวันหายขาด การกลับมาเป็นโรคนี้อีกเธอจึงไม่แปลกใจและพร้อมจะสู้กับลูกชายเสมอ เพียงแต่เธอไม่คิดว่าจะกลับมาเป็นอย่างเฉียบพลันถึงขั้นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเช่นนี้
เธอปล่อยให้ลูกชายเผชิญกับเรื่องร้ายเพียงลำพังได้อย่างไร

“แม่ไม่น่าให้ลูกมาทีนี่เลย” เธอพึมพำกับตัวเอง

ก่อนที่ลูกชายของเธอตัดสินใจมาเรียนที่กรุงเทพฯ เธอได้พยายามคัดค้านหลายวิธีเพียงเพราะเป็นห่วงและไม่อยากให้ลูกต้องไปใช้ชีวิตเพียงลำพัง แต่สุดท้ายเธอก็เข้าใจความแน่วแน่ในการตั้งใจเรียนจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจนได้ การที่จะฉุดรั้งมันก็ไม่ต่างจากเธอกำลังทำลายอนาคตของลูกชายสุดที่รัก จนสุดท้ายเธอก็ให้เขาออกเดินทางจากอ้อมอกเธอมาไกลคนเดียวหลายร้อยกิโล

เพื่อให้เขามาเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้หรือ

เธอไม่อยากรู้ต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเจอเรื่องนี้ และไม่อยากโทษใครทั้งนั้น เป็นเธอเองที่ไม่เคยให้ลูกต้องประสบกับเรื่องยาก ๆ ในชีวิต เพราะกลัวเขาจะตั้งรับไม่ไหวแล้วจะอ่อนแอเหมือนตอนเด็ก กระทั่งเขาโตขึ้นก็ยังรับมือกับเรื่องยาก ๆ ไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือที่เรียกว่า ‘ภูมิคุ้มกัน’ หรือประสบการณ์ให้ได้เรียนรู้ เขาไม่เคยต้องแก้ปัญหาหรือเจอสภาวะที่ยากต่อการตั้งรับมาก่อนในชีวิต เพราะมีแม่เป็นเกราะกำบังทุกอย่าง

เป็นเพราะเธอเองที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้


ทุกคนกำลังทบทวนความผิดพลาดร่วมกันทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับคน ๆ หนึ่ง ในขณะเดียวกันแพทย์และพยาบาลต่างก็กำลังยื้อชีวิตของผู้ป่วยวัยรุ่นที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ลิ้นหัวใจของปาณัสม์รั่วเกิดจากหัวใจที่ไม่แข็งแรงตั้งแรกเด็ก แม้จะเคยรักษามาแล้วก็สามารถกลับมาทำงานผิดปกติอีกได้ด้วยปัจจัยหลายอย่าง และที่สำคัญที่สุดคือเกิดจากความเครียดและเรื่องราวที่กระทบจิตใจอย่างที่คนไข้ตั้งรับไม่ทัน

การผ่าตัดเป็นไปอย่างเคร่งเครียดและระมัดระวัง ด้วยสภาะวะความดันโลหิตต่ำต้องระวังอาการช็อค การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอย่างเร่งด่วนต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก อีกทั้งคนไข้ก็อ่อนแอกว่าที่ทีมแพทย์ประเมินไว้ จึงต้องระมัดระวังในระดับมากเป็นพิเศษ

ทุกคนในห้องนี้หวังว่านิสิตสัตวแพทย์คนนี้จะต้องไปกลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง






-----------------------5---------------------------


ไม่มีทอล์คนะคะตอนนี้
เจอกันตอนหน้าค่ะ :)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-05-2019 19:31:45 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
น่าสงสารปั้นอยู่น

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โห ไม่คิดว่าปั้นมีโรคด้วย แงง สงสารรร สงสารปูนด้วย รู้สึกผิดเลยฮือ  :ling3:

ออฟไลน์ fxxg0430

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สงสารปั้นนะ แต่ปั้นจะโทษปูนก็ไม่ถูก เพราะตัวเองแอบชอบไม้แต่ก็ไม่เคยพูด ส่วนต้นไม้เราว่านางเป็นคนที่บอบช้ำมาเหมือนกันยิ่งเห็นปูนแคร์พามากก็ยิ่งรู้สึกแพ้ ทั้งๆที่ไม่เคยแพ้ใครมาก่อน

ส่วนพาคือคนดีที่เหมือนโดนลากเข้ามายุ่งเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว สรุปเจ็บๆแบบนี้ชอบค่ะ แล้วก็เห็นแววว่าต่อไปคนที่จะน่าสงสารอาจเป็นปูนเอง เพราเหมือนปั้นมีแววนังร้ายในร่างนางฟ้าเหมือนกันนะ  :mew4:

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปั้นน่าสงสารอ่ะ แต่เรื่องที่โกรธควรด่าไม้กับพาไม่น่ามาด่าปูน เพราะมันไม่ใช่การจับได้ว่าแฟนนอกใจอ่ะ มาเช่าบ้านร่วมกันแบบเพื่อนส่วนไม้กับปูนเขาไปตกลงกันเรื่องนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องต้องมาบอกปั้นนะถูกมั้ย

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
Six


พระอาทิตย์อัสดงลับขอบฟ้าอีกฝากของท้องน้ำทะเลอันไพศาลสุดลูกตา แสงสีทองระบายบนผืนน้ำหากเป็นจริงดังตาเห็นนี่อาจจะเป็นสิ่งที่มีมูลค่าคนานับที่ธรรมชาติให้แก่เหล่ามวลมนุษย์ ทว่ามนุษย์ผู้โง่เขลากลับมองเห็นเป็นเพียงกลไกหนึ่งของธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง จึงเป็นเหตุผลให้ไม่รู้จักหวงแหนเพราะมิเคยเห็นคุณค่า

มนุษย์ผู้ผาดผยองกับทุกสิ่ง เพราะยังไม่เคยสัมผัสว่าธรรมชาติพรากชีวิตอย่างได้ไม่ปราศรัยเช่นไร

สองเท้าของมนุษย์ผู้ที่ผ่านความรู้สึกนั้นจดจ้องกับรอยเท้าของตนบนผืนทราย ค่อย ๆ เหยียบย้ำ ซึมซับทรายทุกเม็ดที่สัมผัสฝ่าเท้า ก่อนที่สายน้ำเย็นจะซัดเซาะจนสุดท้ายก็ราบเรียบเหมือนไม่เคยมีใครเคยสัมผัสกับผืนทรายตรงนั้น หากคนเราลบเลือนให้อดีตที่ไม่น่าจดจำเหมือนทะเลทำให้หาดทรายราบเรียบได้ก็คงดี

เพราะเขาคนนี้อยากจะลืมมันเต็มทน

“นายฮั้วครับ ๆ นายหญิงให่มาตามหลบบ้าน”

“เราบอกแล้วว่าไม่ให้เรียกเราแบบนี้ มันดูแก่นะ” เขาตอบกลับคนงานในรีสอร์ทด้วยท่าทีสบาย ๆ แม่คงเป็นห่วงตามเคย

“โถ่ นายฮั้วจะให้เบิ้มแหล่งว่าง๊ายย ก็นายฮั้วเป็นนายฮั้วหนิ”

“ฮ่า ๆ เอาเถอะ ๆ เรียกไงก็เรียก แม่ให้มาตามแล้วหรอ”

“ครับ เห็นว่าจะให้ไปแลอะไร๊นี่แหละครับ เบิ้มก็ม่ายรู้”

“งั้นก็ไปสิ เราขับเองนะ”

“เดี๋ยวครับ ๆ เอาหลาว ๆ ซวยเม็ดหลาวหนิ”

คนงานตัวโตผิวดำแดงแทนเสมอกันจากการออกแดดทำงานแล้วแต่คุณนายเจ้าของรีสอร์ทจะใช้ ตอนนี้รับหน้าที่ดูแลนายหัวคนใหม่อย่างประกบชิด เบิ้มเบื่อที่วัน ๆ นายหัวเอาแต่อ่านหนังสือ แถมยังยังคะยั้นคะยอให้เบิ้มเรียนด้วย ตัวเบิ้มเป็นแค่ลูกคนงานเก่าแก่ในรีสอร์ทเท่านั้นความรู้ก็จบที่มอหกแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่มีเงินและปัญญาไปเรียนที่มหา’ลัยกับเขา พอนายหัวถามอะไรที่คนจบมอหกควรรู้ไอ้เบิ้มก็เอาแต่นั่งใบ้ ก็เลยคิดเอาเองว่าดีแล้วที่ไม่เรียนต่อไม่งั้นก็ไม่ต่างจากส่งลิงไปเรียนว่ายน้ำ

“นายหัวจะขับเองพันหนิ”

“ขึ้นมาเถอะ ฉันจะพาเบิ้มซิ่ง เร็วสิ”

รถมอเตอร์ไซค์มือสี่ไม่ต้องอธิบายว่าสภาพมันจะเป็นแบบไหน ดีแค่สนิมไม่ขึ้นตรงแฮนด์จับเท่านั้น พอให้ขับได้ไม่ต้องกลัวบาดทะยัก รถเครื่องทะยานตัวออกด้วยแรงซิ่งเหมือนที่คนขับเคลมไว้ไม่มีผิด คนงานตัวมอมแมมกอดเอวนายหัวอย่างกลัวตาย มันสวดสวดมนต์กับพระศรีมหาธาตุทุกครั้งไปสิหลาว

บรื้น บรื้น
   
คนขับเบิ้ลเครื่องสองทีพอเป็นสัญญาณว่าเขากลับถึงบ้านด้วยรถสับปะรังเคคันนี้เหมือนทุกวัน
   
“เฮ้อออ นายฮั้วไม่เอาแล้วหลาว เบิ้มยังไม่อยากหลบไปหาปู่หนิ”
   
“ถึงบ้านไวกว่าเบิ้มขับตั้งเยอะเหอะว่ะ”
   
“คุณนายยย คุณนาย นายฮั้วหลบแล้วเฮอะ”
   
“จ้า” เสียงคุณนายเจ้าของรีสอร์ทหนึ่งเดียวตอบกลับเบิ้ม คนงานที่เธอเอ็นดูหนักหนาเพราะความซื่อตรง และไว้ใจให้คอยดูแล ‘ลูกชาย’ ของเธอ โดยหวังให้ความร่าเริงของเบิ้มจะช่วยให้เขาปรับตัวได้เร็ววัน
   
บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ข้างรีสอร์ทติดทะเล จุดชมวิวที่สวยที่สุดของชายหาดชื่อดังของเกาะภูเก็ต แม้จะบอกใคร ๆ ว่าเป็นเพียงรีสอร์ทเล็ก ๆ ทว่าความจริงแล้วไม่ได้เล็กอย่างถ่อมตน คนงานกว่าร้อยชีวิตที่นี่เทียวทำงานทั้งกะเช้ากะดึกเพื่อดูแลแขกที่ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่เพียงเท่านี้ยังมีคนงานอีกบางส่วนที่ไม่ได้ทำงานที่รีสอร์ทแต่แวะเวียนมา

ที่นี่เพราะเอาไข่มุกจากฟาร์มมาส่ง เพื่อทำเป็นเครื่องประดับก่อนจะส่งไปขายที่โชว์รูมในตัวเมือง ใช่ คุณภัสสรเป็นเจ้าของฟาร์มมุกขนาดกลางและมีโรงงานเล็ก ๆ ทำเครื่องประดับขายเองอีกด้วย

แต่กว่าจะสร้างทุกอย่างด้วยสองมือ ในขณะที่เธอต้องสูญเสียสามีและเพิ่งจะมีลูกเล็กนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่นี่รู้ดีว่าเป็นผู้หญิงที่ภายนอกอ่อนหวาน แต่ภายในเข้มแข็งดั่งหินผา จึงไม่แปลกที่เธอจะกลัวการสูญเสียคนที่รักมากที่สุดในชีวิตไป
   
เหตุการณ์เมื่อห้าเดือนก่อนนั้นทำเอาเธอแทบตายทั้งเป็น



“มาคุยกับเขาอีกแล้วหรอน้องคริสต์” ภัสสรเดินออกมาจากในครัว หลังจากเจ้าเบิ้มตะโกนมาจากหน้าบ้านว่าพานายหัวของมันกลับมาแล้ว และเธอมักเห็นลูกชายมาคุยกับรูปถ่ายขาวดำของพี่ชายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
   
“พี่ข้าวจะเป็นยังไงบ้างครับแม่ จะสบายดีมั้ย”
   
“แม่ว่าพี่เขาสบายดีกว่าเรานะ ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเรียน”
   
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นสินะ ขี้โกงชะมัดหนีไปก่อนได้ไง”
   
ภัสสรมองดูลูกชายของเธอที่มีรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติในรอบหลายเดือน เธอพลอยสบายใจ แต่ก็อดหนักใจไม่ได้ที่ต้องให้เขากลับไปเจอโลกใบเดิมอีก

“คริสต์”
   
“ครับ”
   
“แม่ไม่อยากให้ลูกกลับไปรู้ใช่มั้ย” คริสต์พยักหน้าให้กับคนเป็นแม่และยิ้มให้เธอบาง ๆ เขารู้ดีว่าแม่รักและเป็นห่วงเขาที่สุดในโลก แต่ก็ทำให้แม่เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แบบประเมินสุขภาพจิต และการได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งช่วยเขาไว้ได้มาก “แม่รู้ว่าคริสต์จะรับมือได้ แต่แม่ก็อดห่วงไม่ได้ คริสต์ย้ายมาเรียนมหาลัยใกล้บ้านเราดีมั้ย”
   
สายตาของคนเป็นแม่ฉายแววห่วงใยทุกครั้งที่พูดคุยกันเรื่องนี้ แต่กฤษตฤณก็จะพูดทุกครั้งว่าเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยที่แม่ไม่ต้องกังวลอะไร “คริสต์จะไม่เป็นอะไรครับแม่ เพราะพี่ข้าวอยู่กับคริสต์นะ พี่ข้าวจะเตือนคริสต์ไม่ให้กลับไปเจอเรื่องแบบั้นอีก”
   
“...”
   
“คริสต์เชื่อพี่ข้าวนะ แล้วแม่เชื่อเหมือนคริสต์มั้ย”
   
เพียงเอ่ยชื่อข้าวปั้นก็ทำเอาภัสสรน้ำตาคลอ เหตุการณ์ที่ผ่านไปมันทำให้เธอตระหนักมาโดยตลอดว่าไม่มีอะไรเป็นไปได้ดั่งใจ แม้จะวิงวอนต่อพระเจ้าเป็นหมื่นครั้งก็มิอาจฉุดรั้งโชคชะตาอันเลวร้ายไปได้
   
“ค่ะ พี่ข้าวจะปกป้องน้องคริสต์นะ”
   
รูปถ่ายหน้าตรงเมื่อสอบเข้าคณะสัตวแพทย์สมัยปีหนึ่งของนายปาณัสม์ อนันตราชัย มีตัวอักษรเขียนกำกับวันชาตะ-มรณะอย่างชัดเจน เลี่ยมด้วยกรอบหลุยส์อย่างดีตั้งบนตั่งภายในบ้านให้เห็นได้ชัด เป็นความตั้งใจของกฤษตฤณผู้เป็นน้อง เพียงเพราะอยากให้พี่ชายเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้เขาว่าที่มีวันนี้เพราะพี่เสียสละให้เขามากแค่ไหน
   
และเขาจะเป็นคนใช้ชีวิตและทำความฝันของพี่ชายให้เป็นจริงเอง


“เบิ้มบอกแม่มีอะไรให้คริสต์ดู อะไรหรอ”
   
“อ้อ แม่ลืมเลย” คนเป็นแม่เช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ แล้วควานหาของจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะมอบให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

“นี่จ้ะ” พวงกุญแจรถยี่ห้อดังถูกส่งมาให้ผู้เป็นลูกชาย “อย่างน้อย ๆ ลูกจะได้ไม่ต้องกลับไปโหนรถเมล์อีกไง”

“โถ่แม่ คริสต์นั่งรถเมล์สะดวกกว่าน่า กรุงเทพรถติดจะตาย”

“เผื่อกลับดึกไง ลูกจะได้กลับบ้านอย่างที่แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

“โอเค ก็ได้ ๆ แค่คิดว่าจะต้องขับรถจากภูเก็ตไปกรุงเทพก็เหนื่อยแล้วเนี่ย” ลูกชายทำทีงอแงให้คนเป็นแม่ เธอยิ้มเพราะคิดไว้แล้วว่าคริสต์จะต้องบ่นเรื่องนี้ และเธอก็เตรียมแก้ปัญหาให้ไว้แล้วเรียบร้อยแล้วด้วย

“ก็ให้คนขับไปให้สิจ้ะ”

“ใครครับ?”

คุณภัสสรพยักเพยิดไปที่หน้าบ้านที่มีเด็กผู้ชายโตเต็มวัยกำลังผิวปากล้างรถเครื่องโกโรโกโสของมันอย่างอารมณ์ดี คริสต์ถึงกับงงที่แม่จะให้เบิ้มไปกรุงเทพฯ กับเขาด้วย “เดี๋ยวนะครับแม่ คือยังไงเนี่ย”

“แม่กลัวลูกเหงาเคยอยู่บ้านมีหลายคน เลยว่าจะให้เบิ้มไปอยู่ด้วยน่ะ”

“เดี๋ยวก่อนเลย คริสต์อยู่คอนโดได้นะครับ”

“แต่แม่ยื่นใบสมัครเรียนโควต้าพิเศษที่มหาลัยลูกให้เบิ้มแล้ว และมหาลัยก็ตอบรับจ้ะ” คริสต์ถึงกับกุมขมับ เขารู้ดีว่าแม่จัดการเรื่องพวกนี้ได้ง่ายแค่ดีดนิ้วสั่ง อำนาจเงินมันไม่ใช่แค่ใครมีมากกว่ากัน แต่อยู่ที่ใครเป็นคนให้ต่างหาก แม่ของเขาเป็นผู้บริจาคให้มหาลัยอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ก่อนเขาเข้ามหาวิทยาลัยตั้งสิบปี เพราะเธออยากตอบแทนที่มหาลัยให้ทุนเรียนฟรีขณะที่เธอสอบเข้าได้แต่ไม่มีเงินเรียน เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่ง และที่นั่นก็ทำให้เธอได้พบกับคนรักที่ดีที่สุดจนก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมาได้ถึงขนาดนี้ เธอจึงอยากส่งมอบสิ่งนี้ให้กับเด็กรุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อจะได้มีโอกาสที่ดีเหมือนเธอ และทำไมมหาวิทยาลัยจะไม่เห็นแก่อำนาจเงินของผู้หญิงคนนี้

“เฮ้อ ครับ ๆ แม่ว่าไงคริสต์ก็ว่างั้นแหละ”

“ติวภาษากลางให้มันหน่อยแล้วกัน”

“ฮ่า ๆ ยากกว่าสอนลิงว่ายน้ำอีกนะ”

ภัสสรมองลูกชายที่หัวเราะได้เต็มเสียงก่อนจะมองไปยังลูกคนงานที่เธอไว้ใจมานานนม และมอบความไว้ใจต่อให้ลูกชายเพื่อให้ดูแลลูกชายเธอด้วย เธอหวังว่าอย่างน้อย ๆ หากเกิดอะไรขึ้น คริสต์ของเธอจะไม่ได้สู้กับมันเพียงลำพัง เหมือนอย่างที่พี่ชายของเขาเจอ


“ตู๊ดด ตู๊ดดด”

[K]

คริสต์ยิ้มเมื่อเห็นชื่อคนเฟซไทม์มาหา ตรงเวลาเหมือนทุกวัน

“Hey K”

(What’s up dude How’s today)

“You know? You ask me with this question everyday”

(Yessss right! I’m so so soooo worry about you)

“Okay okay I heard that more thousand times”
   
(When you come back? Your Mom text to me you want to study really soon? That’s right)
   
“Yep I miss college life”

(Bullshit!!)
   
“Hahaha language man!”
   
ทุกวันคริสต์จะคุยกับเพื่อนคนนี้ เขาอยากขอบคุณ อยากให้ทำอะไรตอบแทนให้หลายอย่าง ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจโทรไปตามนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของพี่ข้าว เขาก็คงเคว้งคว้างจนไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไร และเพราะเคนี่แหละที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป และหากเขาจะกลับไปเรียนก็ไม่ต้องกลัวอะไรถ้ามีคน ๆ นี้อยู่ด้วย
   
“จริง ๆ ใช่มั้ยที่จะกลับมาเรียนแล้ว”
   
“เคว่าเราพร้อมหรือยังล่ะ”
   
(พร้อมสิ เราติวให้ขนาดนี้แล้ว)
   
“เสียดายเนอะที่โปรเจ็กต์ของเคจบไปแล้ว เราอดเป็น case study เลยอะ” ผู้ชายปลายสายยิ้มให้เหมือนอย่างเคย หลายเดือนที่ผ่านมา เคเป็นทั้งเพื่อนคุย เพื่อนที่ปรึกษา โดยเฉพาะการปรับทัศนคติและบุคลิกภาพหลายอย่าง จนคริสต์มีความมั่นใจในตัวเองมาขึ้นอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำได้
   
(เอาไว้ปีหน้ามาช่วยเราทำธีสีสสิ เราว่าจะทำคล้าย ๆ กันนี่แหละ แค่ใหญ่ขึ้น คนเยอะขึ้น)
   
“เอาดิ เรายินดีช่วยเคทุกอย่างเลย”
   
(นี่ยูอย่ามาทำหน้าแบบสำนึกบุญคุณกันได้ป่ะ ขนลุกว่ะ เราไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย) เคขมวดคิ้วเพราะไม่ชอบสายตาของคริสต์ที่มองเหมือนเป็นหนี้บุญคุณที่เขาช่วยเหลืออะไรหนักหนา เพราะมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงในความเป็นเพื่อนมนุษย์กันสักนิด
   
“อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เราไกลจากพี่ข้าวปั้นแล้วกัน”
   
(และไม่ใช่แค่ห่างไกลจากภายนอกใช่มั้ย เราอยากให้ยูห่างไกลจากในหัวใจด้วยนะ)
   
“เอาตรง ๆ นะเค เราทำใจให้ห่างจากพี่ข้าวปั้นไม่ได้ว่ะ เราอยากให้เขาอยู่กับเรา เขาจะได้เหมือนใช้ชีวิตด้วยไง”
   
(เราเข้าใจ แค่เราเป็นห่วงเรื่องนั้น เข้าใจใช่มั้ย)
   
“เข้าใจสิ เราก็คิด แต่เราแค่ไม่ได้อยากให้ข้าวตายจากเราทุกคนไป อย่างน้อย ๆ ก็คนพวกนั้น”
   
(เราได้ยินว่าพาทิศจะกลับมาเรียนเทอมหน้า) พาทิศดร็อปเรียนไปหนึ่งเทอมเต็ม ๆ และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางได้ขึ้นปีสามเพราะเก็บหน่วยกิตปี 2 ไม่ครบ จึงทำให้ต้องลงเรียนใหม่พร้อมกับคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่คริสต์อยากให้มันเกิดขึ้น
   
“หรอ ก็ดีแล้วไง เราไม่ได้อยากให้ใครไปไหน เราอยากเจอพวกเขาพร้อมหน้าพร้อมตา” ไม่มีใครรู้ว่าพาทิศดร็อปเรียนไปไหน เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น เขาโผล่หน้ามาที่บ้านเพียงครั้งเดียว โดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ตามคำบอกเล่าของแม่ และไม่มาที่นี่อีกเลย จนมารู้ข่าวอีกทีว่าพาทิศดร็อปเรียนไปแล้ว
   
(คริสต์ ยูจะทำอะไร สัญญาได้มั้ยว่าจะบอกกัน)
   
“ไม่มีความลับระหว่างเรา”
   
“นายฮั้ว ๆ เบิ้มแลกางเกงในนายฮั้วไม่เห็นนิ ป้าแจ่มเอาไปไว้ไหน ฮาโรย” เบิ้มโผงผางเข้ามาให้ห้องของเขา โดยที่เจ้าของห้องไม่ได้แปลกใจอะไรนัก
   
“แป๊บนะเค” คนปลายสายพยักหน้าอมยิ้ม เคเคยคุยกับหนุ่มใต้คมเข้มคนนี้ทีสองที แต่ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะเล่นไม่พูดกลางเลย มารู้จากคริสต์ทีหลังว่าพูดไม่ได้ เขาก็เลยยิ่งเอ็นดูไปกันใหญ่
   
“อยู่ในลิ้นชักล่ะมั้ง นี่เบิ้มเราบอกแล้วว่าไม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าให้เรา เราจัดการเอง”
   
“หม่ายด่าย ๆ คุณนายให้เบิ้มแลนายฮั้วหนิ เบิ้มไม่แล คุณนายก็ด่าน่ะสิ” ไอ้เด็กหนุ่มยังไม่เลิกวอแวกับลิ้นชักภายในห้องของเขา “นี่งายยย สีแดงเลยคืนนี้ กับชุดนอนลายคิตตี้นิ ใส่เป็นเพื่อนกันเนอะนายฮั้ว”
   
“เออ ๆ ๆ เสร็จยังอะ ไปได้แล้ว”
   
“เอาหลาวนิ ไล่เบิ้ม ทูกที อ้าว สวัสดีครับคุณ” เบิ้มยกมือสวัสดีเพื่อนของนายทั้งที่ยังถือกางเกงในสีแดงในมือ เบิ้มชอบคุยกับคุณเค เพราะคุณเคพูดน่าฟัง แถมยังสอนภาษากลางเท่ ๆ ให้อีก “เบิ้มจะได้เจอคุณตัวจริงหลาวนิ จะได้ไปกรุงเทพนิ พาเบิ้มแลเมืองกรุงด้วยนะคุณ”
   
(จริงหรอยู เบิ้มจะมากับยูด้วยหรอ) เคดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าไอ้เด็กใต้ที่จะได้ไปอีก
   
“ก็ใช่น่ะสิ แม่เราทำเรื่องเรียบร้อย นี่ก็เลยต้องสอนภาษากลางกันยกใหญ่”
   
(เราสอนให้มั้ย)
   
“เอานิ ๆ ๆ คุณสอนดี นายฮั้วชอบตีเบิ้ม” เด็กใต้ตัวเขื่องได้ทีฟ้องเพื่อนของเจ้านาย
   
“เอาใหญ่เลยนะเบิ้ม น้ำอุ่นเตรียมเสร็จแล้วหรอ”
   
“อุ้ย ยัง แหะ ๆ เบิ้มไปก่อนนิคุณ เดี๋ยวไว้เจอกันตอนเรียนนะ” เด็กผู้ชายตัวสูงร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเพราะทำงานหนักช่วยงานพ่อมาโดยตลอด ผิวสีคล้ำจากแดดทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก นัยสีตานิลดำสนิทและจมูกโด่ง ถ้าเทรนด์อีกนิดหน่อย นายแบบหน้าใหม่คงไม่พ้นมือ แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครเห็นขุมทรัพย์แห่งท้องทะเลเท่าไหร่นัก เคคิดในใจ
   
“ยิ้มอะไรอะ นี่เด็กเพิ่ง 18 นะยู”
   
(ก็ป๊าววว เด็กมันน่าเอ็นดูนี่)
   
“เอ็นดูหรืออยากจะดู...”
   
(นี่เราสอนเรื่องพวกนี้ให้ก็ไม่ใช่จะพูดกันตรง ๆ แบบนี้หรือเปล่า)

“ฮ่า ๆ ๆ อย่ามาเขินเหอะ เรารู้น่า ค่อย ๆ แล้วกันเด็กมันจะตื่น”
   
(นี่! พอแล้วไปอ่านหนังสือสอบดีกว่าว่ะ)
   
“OK see ya dude”
   
(Nope! BYE!!) คนปลายสายก่อนจะวางมีแลบลิ้นผ่านหน้าจอเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ คริสต์รู้ดีว่าเคมีรสนิยมทางเพศแบบใด ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่ แค่การแสดงออกของเราทั้งคู่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
   
เคเป็นคนเปิดเผยและชัดเจน รวมถึงมีความจริงใจที่แสดงออกได้ดีผ่านสายตา ตรงข้ามกับเขาที่ชอบดูชั้นเชิง เพียงเพราะกลัวอีกฝ่ายคิดไม่ตรงกัน แม้เคจะพยายามบอกวิธีให้เลือกแสดงออกตรง ๆ บ้าง แต่เขาก็คิดว่าการยั้งใจมันจะช่วยรักษาใจตัวเองได้ดีกว่าการทุ่มเทไปหมด
   
รักใครก็ไม่เท่ารักตัวเอง




มีต่อ



ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Phatid’s Talk

ภาพเตียงพยาบาลที่เข็นร่างข้าวปั้นออกจากห้องไอซียูอย่างไร้สติและไร้ลมหายใจมันยังตราตึงในความทรงจำของผมอย่างไม่เคยหายไปสักคืน แม้ค่ำคืนอีกซีกโลกที่หนีมามันจะมีบรรยากาศให้น่าเชยชมแค่ไหน แต่ร้อยล้านภาพวิวก็ไม่อาจลบภาพนั้นออกจากหัวใจที่แตกสลายของผมได้แม้แต่นิด
   
ข้าวปั้นจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
   
จากไปพร้อมกับความเจ็บปวดด้วยน้ำมือของผม
จากไปทั้งที่ยังไม่ได้พูดความในใจเลยแม้แต่คำเดียว
จากไปทั้งที่ยังไม่ได้ฟังคำขอโทษสักคำ

‘สบายดีมั้ยบนนั้น หวังว่ามึงจะสบายดี กูจะทุกข์ให้สมกับที่มึงต้องแลกด้วยชีวิต’

ตัดสินใจดร็อปเรียนและบินมาอยู่บ้านญาติสนิทที่เมืองเล็ก ๆ ในอิตาลี เหตุผลเดียวคืออยากหนีจากตรงนั้น ไม่อยากรับรู้อีกต่อไปว่าโลกใบนี้ไม่มีผู้ชายชื่อปาณัสม์อีกแล้ว ที่บ้านตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่มีใครเอ่ยปากรั้งเขาแม้แต่คำเดียว โดยเฉพาะพ่อ ผมตกใจเหมือนกันที่เห็นสายตาห่วงใยจากป๊าที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปีส่งมาให้วันที่กลับบ้าน

‘ดูแลตัวเอง พร้อมก็กลับมา’ นี่คือคำพูดประโยคแรกจากผู้ชายปากหนักที่ไม่เคยบอกลูกว่าเป็นห่วง แต่นี่คือการแสดงความเป็นห่วงที่ชัดที่สุดในชีวิตของผมที่จำได้

น้ำอุ่นพอดีในแก้วมัคสีดำ ไอน้ำลอยพวยพุ่งให้เห็นชัดเพราะอากาศเย็นจัดในฤดูหนาวของที่นี่ โดยเฉพาะกลางคืนมันหนาวจนน่ากลัวว่าถ้าไม่มีฮีตเตอร์ไม่มีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ก็คงแข็งตายไปแล้ว เหมือนหัวใจของเขาที่ตายไปพร้อมกับการมองรูปถ่ายในบ้านหลังงามที่ภูเก็ต

ภาพผู้ชายคุ้นตาอมยิ้มเล็กหน่อยในชุดนิสิตเรียบร้อยในการเข้าศึกษาที่คณะสัตวแพทย์วันแรก เขายังจำภาพวันนั้นได้ดีไม่ลืมเลือน การยิ้มให้ใคร ๆ อย่างเป็นมิตรแม้จะไม่ใช่คนช่างพูดแต่ก็มีเพื่อนในคณะทักทายถามไถ่อยู่เนือง ๆ รวมถึงเขาด้วย แม้การเอ่ยทักจะห่ามไปเสียหน่อยด้วยเพราะปากพล่อย แต่ก็ทำให้ข้าวปั้นหัวเราะจนตาหยีได้ในไม่กี่นาทีที่คุยกัน เพียงเท่านี้คนยิ้มยากอย่างผมกลับยิ้มจนแก้มจะแตกเต็มหัวใจ

และผมจะไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีกแล้วในชีวิตนี้

แม่ของข้าวปั้นยืนมองรูปลูกชายในชุดสีดำเรียบหรู ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่มีน้ำตาสักหยด คงเพราะเธอไม่มีน้ำตาให้ร้องไห้อีกแล้ว ถ้าออกมาอีกคงเป็นเลือดที่กลั่นแทนน้ำตา ผมไปไม่ทันพิธีฝังร่างของข้าวปั้นตามศาสนาคริสต์ เพราะไม่รู้ว่าบ้านของข้าวปั้นอยู่ที่ไหน เสียเวลานั่งรถจากในเมืองอ้อมไกล มาทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเชิญ เพราะแม่ข้าวปั้นเห็นว่าไกลและไม่อยากให้เสียเวลาเล่าเรียน แต่ผมจะไปเรียนได้อย่างไร ในเมื่อจุดมุ่งหายหนึ่งในการไปเรียนคือได้เห็นข้าวปั้นนั่งเรียนข้าง ๆ กัน

มาถึงบ้านน่าอยู่ก็เห็นบาทหลวงกล่าวคำปลอบโยนแบบวิถีศาสนากับแม่ของข้าวปั้นอยู่แล้ว มีเพียงคนงานในบ้าน และคนจากโบสถ์ที่มาสวดมนต์อีกไม่กี่คนเท่านั้น เป็นงานศพที่เรียบง่ายและถ่อมตนสมกับเป็นข้าวปั้น ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อแม่ข้าวปั้นมองมาและไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับการที่ผมมาถึง เธอยังคงยืนนิ่งนั่งฟังบทสวดด้วยความสงบ นั่นก็เป็นแสดงออกแล้วว่าไม่ได้ต้อนรับที่ผมมาถึงที่นี่ ซึ่งเธอก็ทำถูกแล้ว คนที่ทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอต้องมาตายเพราะความผิดพลาดโง่ ๆ ของผมคนเดียว ดีแค่ไหนที่เธอไม่ไล่ให้ออกไป

หลังจากวันนั้นไม่นานผมก็ตัดสินใจมาที่นี่ หนีคือหนทางเดียวที่ผมคิดออก และกว่าห้าเดือนก็ค้นพบแล้วว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรอย่างที่อยากให้มันบรรเทา ความเจ็บปวดกลับยิ่งชัดเจน ความทรมานจากภาพวันนั้นยิ่งฉายชัด ภาวนาให้ข้าวปั้นมาเข้าฝัน แต่ก็เห็นแค่ภาพเตียงพยาบาลที่มีร่างไร้ลมหายใจอยู่บนนั้นทุกราตรี

นี่แหละคือความทุกข์ที่ผมจะเผชิญ จะชดเชยให้ข้าวปั้นไปจนกว่าจะถึงเวลาที่ควรตาย

“พี่พา ทำไรพี่ไม่หนาวหรอ ทำไมมานั่งข้างนอก” ลูคัสลูกพี่ลูกน้องของผมเอง แม่ของเจ้าเด็กหน้าหล่อลูกครึ่งไทยอเมริกันคนนี้เป็นน้าสาวแท้ ๆ ของผม เธอพบรักกับหนุ่มอเมริกันเจ้าของร้านอาหารไทยที่อิตาลี เพราะไปวิจารณ์ว่าทำผัดไทรสชาติไม่ใช่ผัดไท พ่อของลูคัสเลยประทับใจยกใหญ่ตามตื้อไปถึงไทยจนน้าพิมในอ่อนยอมมาอยู่ที่นี่จนมีไอ้เด็กคนนี้โตมา

“หนาว แต่ท้องฟ้าคืนนี้สวยดี”

“ไม่ยักรู้ว่าพี่มีอารมณ์มานั่งมองดาวด้วยว่ะ เห็นมาที่นี่แทบไม่ออกไปไหนเลย”

ผมยักไหล่กับคำถามของลูกพี่ลูกน้อง ใช่ ผมอยู่ที่นี่มาห้าเดือน ที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มียอดเขาที่สวยที่สุดในประเทศ แต่ผมกลับไม่ได้ไปไหน นอกจากช่วยงานที่ร้านอาหารและร้านกาแฟในเมืองเท่านั้น ทำไมผมต้องไปเห็นในสิ่งที่สวยงามและชื่นชมในเมื่อมีคน ๆ หนึ่งต้องสูญเสียโอกาสนี้ไปตลอดกาล

“คิดไงจะไปเรียนที่ไทย” ผมตั้งใจจะเบี่ยงเบนประเด็น เพราะไม่มีคำตอบจะให้ ลูคัสไม่ใช่เด็กช่างถามรวมทั้งพ่อแม่เขาก็ด้วย ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาน้าพิมไม่เคยถามเหตุผลว่าทำไมถึงมา เรื่องเรียนทำอย่างไร หรือกระทั่งมีอะไรไม่สบายใจ เธอเพียงสวมกอดและบอกให้ใช้ชีวิตที่นี่อย่างสบายใจเท่านั้น

“ที่นี่หนาวไปว่ะ พี่ไม่คิดงั้นหรอ”

“อืม หนาวสิ โคตรหนาวเลย”

“แล้วพี่จะกลับไทยเมื่อไหร่ เปิดเทอมนี้?”

“ก็คงงั้น กลับไปเรียนก่อนจะลืม กลับไปใช้ชีวิตสักที”

“...” ลูคัสมองหน้าพี่ชายผู้พี่ของเขาด้วยสีหน้าห่วงใยในที แต่เขากลับไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากถามว่าเกิดเรื่องอะไรที่ไทย ทำไมถึงเดินทางไกลข้ามซีกโลกมาที่นี่ เพื่อมาอยู่เฉย ๆ เกือบครึ่งปี

“สงสัยหรอว่าทำไมพี่มาที่นี่”

“เอ่อ ก็ไม่หรอก แค่คิดว่าพี่คงมีเรื่องไม่สบายใจ ถ้าการอยู่ที่นี่แล้วสบายใจ การไม่ถามอะไรคงจะดีกับพี่พามากกว่า คิดว่าแม่ก็คิดเหมือนกัน”

ผมยกยิ้มกับความจริงที่ได้ยิน เพราะไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้มากนัก น้าพิมเหมือนแม่ผมไม่มีผิด “หนีว่ะ หนีจากเรื่องที่รับมือไม่ได้มา”

“แล้วโอเคขึ้นมั้ยพี่”

ผมส่ายหน้าทันควัน เพราะอย่างที่บอกแม่งแย่กว่าเดิมไม่รู้เท่าไหร่ “บอกตามตรงแม่งแย่กว่าเดิม ยิ่งอยู่ไกล ยิ่งชัดเจน”

“คมนะพี่”

“กูไม่ได้พูดเอาคมมั้ย กูหมายถึงอย่างนั้นจริง ๆ” ลูคัสหุบยิ้มหลังจากได้ยินที่คนพูดมีน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยอย่างเด่นชัดว่าเขารู้สึกแบบที่พูดจริง ๆ

“บางเรื่องกูก็ว่าแม่งยากว่ะ ยากจนที่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะทนได้แค่ไหน จะทำยังไงให้มันผ่านพ้นไปได้”

“...”

“แต่บางทีแม่งก็เหมาะสมแล้วที่กูต้องเจอเรื่องแบบนี้”

“ไม่มีอะไรตัดสินว่าเราเหมาะที่จะเจอกับเหตุการณ์แบบไหนเท่ากันตัวเราเองนะพี่พา” เสียงผู้หญิงหนึ่งเดียวในบ้านเอ่ยขึ้นข้างหลังผม น้าพิมออกมาพร้อมแก้วมัคสองใบ เพื่อยื่นให้ผมหนึ่งใบเพราะน้ำอุ่นเมื่อครู่เย็นหมดแล้วก่อนจะยื่นอีกใบให้ลูกชายของเธอ

“น้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร แต่คงหนักหนาพอที่ทำให้พี่พาของน้าถึงกับต้องมาถึงนี่” ผู้หญิงที่อ่อนโยนกับผมเสมอตั้งแต่เราอยู่บ้านเดียวกันตอนผมยังเด็ก ตอนนี้ก็ยังเป็นน้าพิมที่พร้อมจะปลอบโยนเวลาโดนพ่อดุ

“...”

“คนเรามักให้โอกาสของคนอื่นเสมอ แต่ชอบหลงลืมการให้โอกาสตัวเอง ลองให้โอกาสตัวเองดูมั้ยจ้ะ ลองให้ได้แก้ไข ลองดูว่ามันจะดีขึ้นไหม อย่าเพิ่งตัดสินตัวเอง”

อย่าเพิ่งตัดสินตัวเอง จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อคำพิพากษามันออกมาตั้งแต่วันที่ข้าวปั้นจากไปแล้ว ว่าผมไม่มีสิทธิ์มีความสุขอีกต่อไปแล้ว

มือเล็กที่มีไออุ่นจากแก้วน้ำร้อนเมื่อครู่ ลูบที่หัวของผมเบา ๆ อย่างที่น้าชอบทำเวลาผมร้องไห้สมัยเด็ก ทำได้แค่ยิ้มรับกับความห่วงใยอย่างจริงใจนี้ แม้ใจจะอยากบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไป แต่ละอายใจเหลือเกินที่ต้องพูดถึงข้าวปั้นในเรื่องเลวร้ายนี้อีก เขาเจ็บปวดมามากพอแล้ว และควรสิ้นสุดสักที

“ยังไงน้าฝากน้องด้วยนะจ๊ะ ให้ไปรับลมร้อนสักสี่ปีคงจะรู้สึก”

“ก็ยังดีกว่าหนาวเข้ากระดูกแหละน่าแม่ ใช่มั้ยพี่พา”

“หึ ให้เด็กมันลองหน่อย”

แค่ลูคัสจะมีความสุขมากกว่าผมก็น่าจะเป็นความทรงจำที่ดีของเขาแล้ว

@Suvarnabhumi Airport
   
สนามบินนานาชาติระดับประเทศยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วมุมโลก ต่างมุ่งหมายเดินทางมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวประเทศที่ถูกขนานนามต้องมาให้ได้สักครั้ง ตรงกันข้ามกับประชาชนที่อยู่ในประเทศนี้สิ้นดี แต่อย่างไรที่นี่ก็คือบ้าน
 
บ้านที่หมายถึงครอบครัว ญาติ และความผูกผันมากมายที่เกิดขึ้นที่นี่

และบ้านที่มีจิตวิญญาณของคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมยังสถิตอยู่
กูกลับมาแล้วนะข้าวปั้น
กลับมาหามึงแล้ว
กูพร้อมแล้วที่จะชดใช้สำหรับทุกอย่าง


“โอเคนะพี่”

“ห้ะ อืม โอเค”
   
“เหมือนพี่คิดอะไรตลอดเวลา” เด็กฝรั่งทำโยกหัวทำท่าคิดเลียนแบบผม ไม่รู้จะตอบมันยังไงว่าใจวูบไหวไม่ต่างจากเครื่องบินตกหลุมอากาศ แค่เหยียบผืนแผ่นดินที่กลบกายเขาหัวยังหนักอึ้งขนาดนี้ ไม่อยากจินตนาการถ้าได้กลับไปเจอบรรยากาศเก่า ๆ มันจะมืดบอดแค่ไหน
   
นี่แหละนรกที่ผมต้องเจอไปตลอดกาล

ผมละจากความคิดที่วกวนแล้วเดินไปที่ประตูทางออก รับหน้าที่เข็นสัมภาระของตัวเองและน้องชายลูกครึ่งก่อนจะสะดุดตาเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินลากกระเป๋าออกมาจากเกทผู้โดยสารในประเทศ ผมสีน้ำตาลอ่อนถูกเซตอย่างดูดี รับกับใบหน้ารูปไข่ แว่นตาดำมียี่ห้อปกปิดใบหน้าบางส่วนแต่อย่างไรผมก็รู้สึกคุ้นตาอยู่ดี เสื้อผ้าแบรนด์เนมดูดีและเข้ากับบุคลิกของคน ๆ นี้ ทุกอย่างมันดูดีจนเริ่มรู้สึกลังเล ทั้งที่ใจรู้อยู่แล้วว่าคนที่อยู่ในความคิดไม่มีทางจะมีชีวิตอย่างที่อยากให้เป็น
หยุดหลอกตัวเองเถอะไอ้พา

“นายหัวครับ”
“เบิ้ม บอกแล้วไงว่าไม่ให้เรียกแบบนี้”
“อ่าขอโทษครับคุณคริสต์”


บทสนทนาของผู้ชายคุ้นตากับผู้ชายผิวสีอีกคนที่เขาได้ยินจากมุมรอรถแท็กซี่ทำให้ยิ่งแน่ใจ เห็นมั้ยพามันไม่ใช่อย่างที่มึงอยากให้มันเป็นหรอก เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว

“พี่พาถึงคิวเราแล้วไปกันพี่”

“อืม”

สายตาของผมยังคงมองไปที่ผู้ชายคนนั้นอย่างไม่อยากละสายตา จนรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองออกจากที่รอผู้โดยสารออกตัวไป

เหมือน เหมือนมากจริง ๆ
แค่อยากมองให้นานกว่านี้ แค่เป็นเพียงคนหน้าเหมือนก็ยังดี
แค่นี้ก็รู้สึกว่าข้าวปั้นไม่ได้ไปไหนแล้ว


End Phatid’s Talk



บ้านสองชั้นหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ในซอยชื่อดังย่านฝั่งธน ถูกติดประกาศหาผู้เช่ารายต่อไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ใจ ภายในบ้านปิดไฟมืดสนิทราวกับไม่เคยมีคนอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน ภายในบ้านเงียบสงัดจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมมาจากกลุ่มต้นไม้ที่หนาแน่นภายในบ้าน ไม้เลื้อยและหญ้าขึ้นรกชัฏเหมือนไม่มีคนย้ำกลายมาดูดำดูดีที่นี่อีก
   
“ลงที่นี่เลยหรือเปล่า” สารถีเจ้าของรถโดยสารถามขึ้น เพราะจู่ ๆ คนนั่งหลังเพียงคนเดียวก็ให้เปลี่ยนเส้นทางมาที่นี่แทนที่จะไปจุดมุ่งหมายที่ตกลงกันไว้แต่แรก
ทีแรกเรามีแผนจะให้เบิ้มขับรถจากภูเก็ตมาให้ ไป ๆ มา ๆ เบิ้มไม่กล้าขับรถราคาแพงทางไกล สุดท้ายภัสสรก็เลยจ้างให้คนขับรถมาส่ง นายหัวของไอ้เบิ้มและไอ้เบิ้มก็นั่งเครื่องมาด้วยความสบายใจทั้งสองฝ่าย
   
“ไม่ครับ ไปที่เดิมที่คุยกันไว้ ยังไงผมจะให้ค่าเสียเวลาแล้วกัน” เพราะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ดี ว่าเงินคืออำนาจที่ใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด และฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าคนขับไม่ได้พอใจเท่าไหร่ที่เขาเปลี่ยนเส้นทางจากสุขุมวิทมาถึงอีกฝากของกรุงเทพมหานครเมืองที่รถติดอันดับต้น ๆ ของโลก
   
“ที่นี่ที่ไหนหรือครับคุณคริสต์” น้ำเสียงทองแดงของเบิ้ม ที่ฟังอย่างไรก็เดาได้ว่าบ้านอยู่ไหน
   
“บ้านของข้าวปั้นน่ะ”
   
“ทำไมเหมือนไม่มีคนอยู่แล้วล่ะครับ เพื่อน ๆ ของคุณเขาไปไหนหมด”
   
“ไม่รู้สิ แต่เดี๋ยวเราก็รู้”
   
คริสต์มองออกนอกหน้าต่าง หูฟังที่เสียบเอียร์พ็อดไว้คล้ายกับฟังเพลง แต่เปล่าเลยเขาแค่ไม่อยากสนทนากับใครเท่าไหร่แม้แต่เบิ้ม ฟ้าสีขาวโล้นเริ่มแต้มสีเทาและมืดดำ กลุ่มก้อนเมฆควบแน่นกำลังจะกลายเป็นเม็ดฝนในไม่ช้า ความขุ่นมัวของอากาศถูกโอบล้อมเต็มพื้นที่อย่างรวดเร็ว ราวกับธรรมชาติรับรู้ความรู้สึกของเขา ในหัวมีหลายเรื่องประเดประดังเข้ามา เริ่มปะติดปะต่อกันไม่ต่างจากจิ๊กซอว์ที่ชิ้นส่วนหายไปแล้วได้รับการต่อคืน
   
บ้านหลังนั้นทำให้เขาสัมผัสข้าวปั้นได้อย่างชัดเจน
ความเจ็บปวดรวดร้าวจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเริ่มต้นที่นี่
อีกไม่นานเกินรอนะข้าวปั้น
พี่จะไม่เจ็บคนเดียว




-------------------------6---------------------------




เอ๊ะนี่มันเรื่องแรงเงามุนินมุตาหรือเปล่า 555555555
แต่รับรองว่าไม่ใช่เด้ออออ
ปรบมือต้อนรับนุ้งคริสต์ของเรากันหน่อยจ้าพวกเธออออ
รักน้องกันด้วย!!
 
แซ่บตามที่เคลมมั้ยนะ แซ่บซิไอ้เบิ้มไงแซ่บบบ /ปาดน้ำลาย :z1:




ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เครียดเลย ไม่คิดว่าข้าวปั้นจะตายด้วยซ้ำ จะร้องไห้ กลับมาแก้แค้น คนแรกที่โดนคือต้นไม้แน่เลย เรือเราล่มแน่นอน ไม่อยากหวังแล้ว แต่คือน้องคริสต์ควรรู้ว่าคนที่ไม่ควรโดนอะไรที่สุดคือปูนนะคะ พี่ปูนไม่ผิดนะลูก อย่าทำเขา แงงงง ใจจะสลาย แม่จะปกป้องลูกเอง  :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Banarot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Omg ปูนกับไม้เป็นไงบ้าง

ออฟไลน์ fxxg0430

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ้ยยยยยย อย่าทำอะไรปูนนะ  คือพาคริสเหรอ แงงงงงง เรือพาปูนของชั้ล

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไม่คิดว่าปั้นจะตายอ่ะ แถมมีน้องชายมาแก้แค้นอีก

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
Seven


เฟื่องฟ้าหลากสีบานสะพรั่งแย่งกันชูช่อทักทายแสงแดดยามเช้า ดอกบานมานานก็ร่วงโรยลงดิน ปลิวละล่องลงพื้นคอนกรีตให้เจ้าหน้าที่คอยกวาดเก็บลงดินสู่จุดเริ่มต้น เฉกเช่นชีวิตนิสิตถึงครากลับมาแต่งแต้มสีสันให้รั้วมหาวิทยาลัยในปีการศึกษาที่เวียนมาอีกครั้ง สายลมเอื่อยพัดผ่านโต๊ะคณะจนกลีบดอกเฟื่องฟ้าที่ใกล้โรยราร่วงหล่นลงที่โต๊ะหลายดอก คนที่นั่งรอข้าวเช้าจึงได้เชยชมดอกไม้สีสวย พร้อมรับลมเย็น ๆ ให้คลายความตื่นสถานที่

คริสต์ชวนเบิ้มออกเดินทางจากคอนโดแต่เช้า เพราะกลัวรถติด เขาคิดถึงการกินข้าวเช้าที่มหาวิทยาลัยเต็มทน เปิดเทอมวันแรกเลยฉลองด้วยข้าวจากโรงอาหารกลาง แต่ก็ยังไม่อยากไปกินเองเพราะยังไม่พร้อมไปพบเจอใคร จึงวานให้เบิ้มไปซื้อ พร้อมบอกสถานที่ และชื่อร้าน เพราะไอ้เด็กใต้ตัวเขื่องดูจะตื่นตากับที่นี่มากพอ ๆ กับเขาที่ไม่ได้กลับมานาน
   
สถานที่แห่งความทรงจำ
สถานที่แห่งจุดเริ่มต้น
สถานที่แห่งจุดจบ


“คุณคริสต์ครับ ๆ แฮ่ก คะ คือ ได้แล้วครับ” คริสต์หลุดจากภวังค์เพราะเสียงเรียกของผู้ช่วยอย่างแตกตื่น

“วิ่งทำไมเนี่ย”

“ผมรีบมานิ กลัวมาไม่ทันเสียงกริ่งเข้าเรียน”
   
“ฮ่า ๆ ๆ ที่นี่ไม่มีเสียงกริ่งหรอก” คนตัวเล็กกว่าได้แต่ขำอย่างเอ็นดูกับความซื่อของเด็กใต้ คงคิดว่าที่นี่จะเหมือนโรงเรียนมัธยมที่เคยเรียน
   
“อ้าว แล้วเขาจะรู้เวลาเรียนได้ไงนิ” เด็กโข่งยังติดสำเนียงถิ่นอย่างห้ามไม่ได้ และคนเป็นนายก็หวังว่าจะไม่โดนเพื่อนล้อในคลาส
   
“ก็ดูเวลาสิ เข้ามหาลัยแปลว่าโตแล้วนะ ต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะเวลา”
   
“แล้ว เอ่อ ผมไม่มีนาฬิกานี่ครับจะดูเวลาจากไหน”
   
“มือถือไง! ซื้อมือถือแถมนาฬิการู้ยัง!!” คริสต์ถึงกับพูดเสียงดัง เพราะไม่คิดว่าไอ้เด็กนี่จะซื่อขนาดนี้ เขานึกขันในใจ ตอนที่อยู่เกาะทำได้ทุกอย่าง ขับเรือ ดำน้ำ กระทั่งปืนต้นมะพร้าวแทนลิง เก่งไปหมดไม่มีใครไม่รู้จักไอ้เบิ้มลูกตาแสง พอมาอยู่ที่นี่กลายเป็นผู้ชายที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ยกเว้นงานบ้านที่อาสาทำให้จนห้องสะอาดไม่มีฝุ่นให้สูดเข้าจมูกเลยด้วยซ้ำ
   
“อ่าจริงด้วยนิ มา ๆ ครับกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวคุณจะไปเรียน” เบิ้มกระตือรือล้นจัดแจงเปิดข้าวที่บรรจุใส่กล่องทัปเปอร์แวร์ที่มันเตรียมไปใส่
   
“จำได้หรือเปล่าว่าเรียนตึกไหนห้องไหน เบิ้มไปเรียนกับเราไม่ได้นะ” โจ๊กหมูใส่ไข่และหมูจากเจ้าดังเพราะมีเจ้าเดียวในมหาลัย ถ้ามาสายกว่านี้อดกิน ส่วนเจ้าเบิ้มกินคั่วกลิ้งกับไข่ต้มสองฟอง ตามสไตล์เด็กใต้กินเผ็ด
   
“อื้อ เบิ้มรู้ คุณอยู่ปีสองแล้วนี่ เบิ้มเพิ่งขึ้นปีหนึ่งจะไปเรียนกับคุณได้ยังไง แต่ตอนกลางวันเบิ้มจะรีบไปซื้อข้าวให้คุณนะ”
   
“เฮ้ย ไม่ต้อง เดี๋ยวไปกินด้วยกันก่อนก็ได้ แต่ถ้าเบิ้มมีเพื่อนแล้วก็ไปกับเพื่อนนะ”
   
“ม่ายด่าย ๆ” เบิ้มถึงกับแหล่งใต้ “เบิ้มมาอยู่นี่เพราะมาดูแลคุณ เบิ้มทำงั้นไม่ได้หรอก คุณนายรู้เบิ้มก็ถูกไล่ออกน่ะสิ”
   
“เราจะไม่บอกแม่ โอเคป่ะ”
   
“จริงหรอคุณ!”
   
“แหนะ!”
   
“เฮ้ย! ไม่ ๆ ๆ คุณอย่ามาหลอกเบิ้มเลย”
   
“เราพูดจริง เบิ้มไม่ต้องมาดูแลเราตลอดเวลาหรอก ใช้ชีวิตที่นี่ให้เหมือนคนอื่น ๆ เถอะ เบิ้มไม่ได้มากรุงเทพฯ บ่อย ๆ นี่จริงมั้ย”
   
“ก็จริง...แต่พ่อบอกให้เบิ้มตั้งใจเรียน เบิ้มว่าเบิ้มควรตั้งใจเรียนให้มาก ๆ จริงมั้ยคุณ” ไอ้เบิ้มพูดไปตัดคั่วกลิ้งเข้าปากไป
   
“ก็ตั้งใจเรียนไปด้วย เล่นไปด้วยก็ได้ กะจะเรียนเอาเกียรตินิยมหรือไง”
   
ไอ้เบิ้มส่ายหัวอย่างเร็ว แม้มันจะไม่เข้าใจนักว่าต้องเรียนได้เกรดเท่าไหร่ถึงจะได้รางวัลที่ว่า แต่ยังไงก็คิดว่าตัวเองไม่มีทางเรียนเก่งได้ขนาดนั้นแน่นอน ไม่งั้นก็คงคิดจะไปสอบมหาวิทยาลัยตั้งนานแล้ว
   
“อืม งั้นก็เอาเท่าที่ไหว พอเอาไปยื่นทำงานน่ะ”
   
“เบิ้มว่าเบิ้มไหวครับ! เรื่องกีฬาน่าจะใช้สมองน้อยสุดแล้ว!!” คุณภัสสรสมัครเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาให้เบิ้ม โดยที่เธอก็คงไม่ได้ดูหลักสูตรอะไรมาก คงคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเน้นปฏิบัติ แต่หารู้ไม่ว่าสาขานี้เรียนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะชีววิทยาเยอะมาก ๆ ไอ้เบิ้มจะรอดมั้ยนะ
   

   
เบิ้มและเขาแยกกันตอนประมาณแปดโมงนิด ๆ จึงแวะไปซื้อกาแฟร้านประจำใต้ตึกคณะบริหารฯ กลิ่นคั่วกาแฟที่คุ้นเคยทำเขายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินไปที่เคาเตอร์และสั่งเมนูเดิมที่คิดถึง
   
“สะ สวัสดีครับคุณลูกค้า ระ รับอะไรดีครับ”
   
“ลาเต้เฮเซลนัทครับ” คริสต์สั่งเครื่องดื่มโดยไม่ได้เงยหน้า เพราะกำลังไล่เรียงมองเบเกอรี่กลิ่นหอม เขากะจะซื้อติดกระเป๋าไว้เผื่ออาจารย์เลิกคลาสช้า “เอา...” พนักงานที่รับเครื่องดื่มหน้าตาคุ้นเคย อาจจะผอมมลงกว่าที่เคยเห็นมากทีเดียว “ครัวซองช็อกโกแล็ตหนึ่งด้วยครับ”
   
ปูน แทบจะไม่มีเค้าเดิมในความทรงจำ ร่างกายที่ซูบผอมและโทรมเหมือนคนลดน้ำหนักด้วยยา โดยเฉพาะใต้ตาที่ดำคล้ำทำให้ใบหน้าของคนที่เคยสดใสดูหม่นหมองอย่างชัดเจน

คริสต์ยืนรอออร์เดอร์ของตัวเองอีกฝั่งหลังจากจ่ายเงินแล้วโดยไม่ได้มีท่าทีจดจ้องเหมือนที่ปูนกำลังทำกับเขา ปูนมีอาการลุกลี้ลุกลนจนหยิบจับอะไรก็ผิดไปหมด น้องในร้านอีกคนเลยอาสามาทำออร์เดอร์นี้แทน มือผ่ายผอมเห็นเส้นเลือดสั่นอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อเม็ดเล็กเกาะหน้าผากราวกับในนี้ร้อนถูกเพิ่มอุณหภูมิกะทันหัน หัวใจของเขาสูบฉีดอย่างรวดเร็ว ปูนตกใจไม่ต่างจากเจอผีเพราะคนที่เข้าใจว่าตายไปแล้วมายืนตรงหน้า และไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการเห็นเขาเลยสักนิด

หรือแค่คนหน้าคล้าย เพราะข้าวปั้นไม่ได้แต่งตัวสไตล์ หรือกระทั่งใส่หมวกแบรนด์เนมแบบนี้
เขาคงคิดไปเอง


“ลาเต้เฮเซลนัท กับครัวซองช็อกโกแล็ตได้แล้วครับ” เป็นปูนที่กลับมาทำหน้าที่หลังต้องรวบรวมสติตัวเองอยู่พอสมควร คนยืนรอออร์เดอร์เดินมารับพร้อมยิ้มบาง ๆ ให้ สายตาที่ลูกค้ามองพนักงานไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เหมือนเป็นแค่คนที่เดินสวนกันในวันหนึ่งเพียงเท่านั้น

“เดี๋ยวครับคุณลูกค้า” ปูนวิ่งออกจากเคาเตอร์ตามคนคุ้นหน้ามาอย่างไม่รีรอ อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้ได้สบตาพูดคุย เขาอยากแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ข้าวปั้นจริง ๆ

“ครับ?” คริสต์หันกลับมาตามเสียงเรียก และแน่นอนเขาคิดไว้อยู่แล้ว เพราะหลังจากที่รับออร์เดอร์สายตาของปูนมีแต่ความเคลือบแคลงและสงสัยเต็มที “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาท แต่คุณชื่ออะไรหรอ ผมคุ้นหน้าเหมือนคนรู้จัก...”

ใช่สิ จะไม่รู้จักได้ยังไง ก็อยู่บ้านเดียวกันมาตั้งหลายปี “คริสต์ครับ กฤษตฤณ”

“อ่อ ต้องขอโทษด้วยครับ ผมจำคนผิดจริง ๆ”

คริสต์มองเห็นอาการโล่งใจของคนตรงหน้า เขาควรจะเริ่มเกมตอนนี้เลยหรือรอให้ถึงเวลาเหมาะสมกว่านี้ดี?

“ผมหน้าเหมือนคนรู้จักคุณหรอครับ ใช่ข้าวปั้นหรือเปล่า?” และเขาก็เลือกที่จะเดินเกมทันที เพราะไม่อยากรอเวลาอีก 5 เดือนที่เขารอมาโดยตลอด

“คะ คุณรู้จักข้าวปั้นด้วยหรอครับ หรือว่าคุณ”

“ครับ ผมกับข้าวเป็นพี่น้องกัน คุณเป็นเพื่อนข้าวหรอ ดีจัง ผมเพิ่งย้ายมาที่นี่ยังไม่มีเพื่อน ยินดีที่ได้รู้จัก”

อีกครั้งนะปูน



Christ’s Talk

ผมกล่าวทักทายเพื่อนเก่าให้ราวกับเราไม่ได้เจอกันวันแรก ซึ่งจริง ๆ เราไม่ได้รู้จักกันวันแรกอย่างที่ปูนเข้าใจ ผมพูดแค่นั้นและขอตัวมาเรียน ปูนไม่ได้ตอบรับอะไร ราวกลับตกเข้าไปในภวังค์แห่งความเวิ้งว้าง ไม่จากที่ข้าวปั้นรับรู้ความสัมพันธ์ของเขาและต้นไม้นักหรอก นี่ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่ข้าวปั้นรู้สึกเลยสักนิด
   
ห้องเรียนคุ้นเคย เก้าอี้คุ้นตา โปรเจ็คเตอร์ที่จำได้ดี และบรรยากาศนี้ที่ผมคิดถึง ตอนกลางวันต้องแวะไปหาพี่ ๆ ในโรงเรือนสักหน่อย ไม่รู้มีใครยังอยู่บ้าง อาจจะแจกจ่ายให้คนที่มาอุปการะไปเยอะแล้วแน่ ๆ
   
จู่ ๆ ในห้องเรียนรวมที่คนพูดคุยกันจอแจเมื่อครู่ก็เงียบลง ผมไม่แน่ใจว่าอาจารย์เดินตามผมเข้ามา เลยหันไปมองที่ประตู แต่ก็ไม่พบใคร กลายเป็นทุกคนในห้องมองผมราวกับมีแสงสปอร์ตไลท์ส่อง นิสิตในคลาสที่ผมเข้าเรียนวันนี้เป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง ที่เลื่อนชั้นเป็นปีสอง ข้าวปั้นก็ไม่ได้โนเนมถึงขนาดไม่มีจำได้สินะ
   
“พะ พี่ข้าวปั้น?”
   
“...” มีน้องผู้ชายที่ผมคุ้นหน้าเดินเข้ามาทักผม ด้วยสีหน้ากล้า ๆ กลัว ๆ สงสัยการตายของข้าวปั้นไม่ใช่เรื่องเงียบอย่างที่คิด
   
“เอ่อ ขอโทษที่ผมต้องถาม แต่คุณเหมือนพี่ข้าวปั้นจริง ๆ ครับ”
   
น้องคนนี้คงเห็นผมไม่ได้ตอบรับอะไร เลยเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ คงคิดว่าผมเป็นผีแน่ ๆ “เปล่าครับ ผมไม่ใช่ข้าวปั้น ผมคริสต์ครับ”
   
“เฮ้อออออ โล่งอกไปที ว่าแต่ทำไมหน้าเหมือนพี่ข้าวปั้นจัง” เขาดูโล่งใจมาก ๆ ที่ผมไม่ใช่ผีอย่างที่เขาคิด จริง ๆ น่าจะแกล้งเป็นผีเนอะว่ามั้ย คลาสวันนี้น่าจะสนุกทีเดียว
   
“ข้าวปั้นเป็นพี่ชายผมน่ะ เราหน้าเหมือนกันมากไปหน่อย”
   
“ถึงว่า พี่ข้าวปั้นไม่น่าจะแต่งตัวแบบนี้”
   
“ปกติข้าวแต่งตัวยังไงหรอ”
   
“เอ่อ ก็เรียบร้อยมาก ๆ น่ะครับ” สงสัยผมคงทำเสียงเข้มไปหน่อย เพราะไม่ค่อยชอบที่มีคนมาวิจารณ์การเป็นข้าวปั้นเท่าไหร่ ไม่ว่าจะในแง่ไหน
   
“ขอโทษทีผมไม่ได้จะว่าอะไร ว่าแต่คุณชื่ออะไรหรอ”
   
“ไม่ต้องมาคุณเคินอะไรหรอก เราชื่อเซนนะ จริง ๆ ถนัดมึงกูมากกว่า ถ้ายังไม่มีที่นั่งมานั่งด้วยกันดิ” เซนที่สถาปนาตัวเองเป็นเพื่อนผมอย่างรวดเร็วชวนผมไปนั่งที่โต๊ะเลคเชอร์ด้านบน และสายตาก็พลันไปเห็นโต๊ะเลคเชอร์แถวบนสุดด้านซ้าย เป็นเก้าอี้สามตัวที่คุ้นตา ภาพในความทรงจำก็ไล่เรียงมาเป็นฉาก ๆ ราวกับถูกกดเล่นกดพอสซ้ำไปซ้ำมา
   
ใช้เวลาทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ของเซนไม่นาน ผู้ชายที่คุ้นตาก็เดินเปิดประตูเข้าห้องมา เขายังคงสูงสง่า และปล่อยชายเสื้อเหมือนเดิม หนวดเคราหล่อมแหลม การสวมแว่นตาทำให้เขาดูโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางที่สงบและมั่นคงแตกต่างจากคนที่เขาเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
   
แต่ไม่ว่าจะเป็นพาทิศในแบบไหน เขาก็คือพาทิศคนเดิมที่ทำให้ข้าวปั้นเจ็บจนตาย
   
พาทิศเดินไปนั่งที่ที่เดิมที่เคยนั่ง เขามองที่นั่งที่เหลืออย่างหม่นหมอง ไม่ต่างจากผมเมื่อห้าเดือนก่อนที่เฝ้ามองรูปข้าวปั้นทุกวี่วัน
   
เจ็บเหมือนกันหรอ
ยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่ข้าวปั้นเจ็บเลย


“นิสิตคะ ยินดีต้องรับสู่ภาคเรียนใหม่นะ เป็นพี่ปีสองแล้วไม่ใช่น้องปีหนึ่งอีกต่อไป เอาล่ะคลาสแรก ครูมีเรื่องจะแจ้งนิดนึงว่ามีรุ่นพี่ของเรามาร่วมเรียนในปีการศึกษานี้ด้วย ยังไงก็ต้อนรับพี่พาทิศ และพี่กฤษตฤณหน่อยนะคะ”
   
เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นในห้อง ทั้งที่การเรียนซ้ำของนิสิตสัตวแพทย์ไม่ใช่เรื่องใหม่สักเท่าไหร่นัก แต่นี่อาจจะเป็นการซ้ำในชั้นปีแรก ๆ ล่ะมั้งเลย ทุกคนเลยแปลกใจ
   
“เอาล่ะค่ะ ไม่ต้องเสียงดัง พี่ ๆ เขามีเหตุวิสัยที่พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้ ยังไงพวกเราต่างหากที่ต้องพึ่งพี่เขานะคะ ทั้งสองคนได้ท็อปหลายวิชาทีเดียว”
   
สายตาผมและพาทิศประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เขามองลงมาจากชั้นสูงกว่า และผมมองขึ้นไปยังที่นั่งเยื้องกัน คล้ายกับมีแรงดึงดูดที่ทรงพลังกำลังตรึงเราทั้งคู่ให้ละสายตาออกจากห้วงภวังค์นี้ไม่ได้ เขามีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วนผมก็รู้สึกมวนท้องพอสมควร ต่างจากที่เจอปูนเมื่อเช้า เพราะประเมินแล้วว่ายังไงก็รับมือกับคน ๆ นี้ได้ไม่ยาก แต่กับพาทิศมันกลับไม่ใช่แบบนั้น เขาดูแข็งแกร่ง สุขุม และน่าเกรงขามไม่เหมือนพาทิศที่เคยรู้จัก ผมไม่รู้จะตั้งรับอย่างไร เขาไม่เคยมองผมด้วยสายตาแบบนี้เท่าที่จำได้
   
พาทิศลุกขึ้นและเดินมาที่ผมอย่างช้า ๆ อาจารย์ถึงกับถามออกไมค์ว่าพาทิศมีอะไรหรือไม่ แต่เขากลับมาดึงข้อมือของผมให้ลุกตามออกมานอกคลาส โดยที่ไม่ได้สนใจคำทัดทานของอาจารย์เลยสักนิด มือใหญ่บีบแขนผมอย่างแรงและเขาเดินเร็วจนแทบก้าวตามไม่ทัน
   
“เดี๋ยวสิ นี่!”
   
พยายามขืนตัวเองแล้วแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงคนดึงที่มีมากกว่า เขาไม่พูดไม่จา ไม่มองหน้า เอาแต่ดึงข้อมือผมและเดินดุ่ม ๆ จนมาถึงต้นจามจุรีใหญ่หลังคณะ
   
“....”
   
“....”
   
ความเงียบปกคลุมเราทั้งสองคน พาทิศคลายแรงจับที่ข้อมือเล็กน้อย ไม่เจ็บแล้ว หลงเหลือแค่เพียงความอุ่นวาบที่ข้อมือเท่านั้น ผมยังคงทำได้แค่มองแผ่นหลังของเขา ราวกับเราโดนสตั๊ฟท์ด้วยท่าทีเช่นนี้ สายลมเอื่อยพัดผ่านพอให้รู้สึกเย็นท่ามกลางแดดจ้าของฤดูร้อน
   
“ทำไมทำแบบนี้” เสียงทุ้มเยือกเย็นถามขึ้นเบา ๆ
   
“ผมทำอะไร มีแต่คุณที่บ้าลากผมออกมา”
   
“ข้าวปั้น...ขอร้องล่ะ” เสียงเขาอ่อนลงอย่างชัดเจน แผ่นหลังกว้างถูกแทนที่ใบหน้าหม่นหมองของผู้ชายตรงหน้า แววตาของเขาไม่เหลือความขี้เล่น ไม่หลงเหลือความสนุก และแทบไม่หลงเหลือความหวัง มันชัดเสียจนทำใจผมกระตุก ยิ่งได้ยินชื่อข้าวปั้นออกจากปากเขายิ่งร้อนรน ใจที่สงบกลับพลุ่งพล่าน จนควบคุมสติได้ยาก
   
“หึ ข้าวปั้นหรอ ข้าวน่ะตายไปตั้งนานแล้ว หลงลืมหรือไง” ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เห็นงานศพข้าวแท้ ๆ ยังจะมาพร่ำเพ้อถึงข้าวปั้นอีก สมองเขาเสื่อมไปแล้วแน่ ๆ
   
“กูไม่เคยลืม กูจำได้ทุกวินาทีที่มึงไม่อยู่บนโลกใบนี้”
   
“....”
   
“ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน”
   
“...”
   
“หายไปไหนมา” เสียงคนพูดเริ่มสั่นเครือ มือหนาเลื่อนมาจับมือผมอย่างแผ่วเบา เขาไม่ได้เงยหน้ามองกันเอาแต่ก้มหน้าคงเพราะไม่อยากให้เห็นน้ำตาที่มันกำลังหยดลงข้อมือของผม “กูโกหกตัวเองทุกวันว่ามึงยังไม่ตาย ฮึก แล้วมึงก็กลับมาจริง ๆ”
   
“เราไม่ใช่ข้าว เข้าใจใหม่ด้วย!” ผมสะบัดมือออก ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร อาจจะได้เห็นน้ำตาของผู้ชายที่อยู่ในห้วงความทรงจำอันเจ็บปวดตลอดที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน หรือเพราะไม่ชอบใจที่ตัวเองกลับรู้สึกวูบโหวงกับน้ำตาแค่ไม่กี่หยด จนลืมความเจ็บปวดที่เขาเป็นคนก่อกันแน่ “ข้าวตายไปแล้ว! และไม่มีฟื้นขึ้นมา และเราไม่ใช่ข้าว ไม่มีวันเป็น!”
   
อาจจะเป็นความโกรธกลบเกลือนที่สร้างขึ้น เพื่อให้หลุดพ้นจากช่วงเวลาที่อึดอัดนี่เสียที ทำตัวไม่ต่างจากนางเอกละครไทยเดินหนีมา เพราะต่อสู้สายที่แสนจะทรมานดวงนั้นไม่ได้ นัยน์ตาสีเข้มเศร้าสร้อยราวกับโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้า ความโศกาทะลุเลนส์ผ่านแว่นจนผมทนมองไม่ได้ จึงได้หนีความจริงที่ตัวเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
   
“มึงโกหกทุกคนได้ ยกเว้นกู!”
   
พาทิศตะโกนเต็มเสียง แน่ใจว่าน่าจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลคอกม้าต้องได้ยิน
ก็การโกหกมันเป็นสิ่งที่ฝังลึกในสัญชาตญาณไม่ใช่หรือไง
ไม่อย่างนั้นเรื่องแย่ ๆ พวกนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น
และการโกหกกำลังจะฆ่าพวกคุณเหมือนกัน







มีต่อ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
การกลับมานั่งเรียนหลังจากที่ออกไปจากคลาสแบบนั้นก็ทำใจยากอยู่เหมือนกัน เพราะอาจารย์ก็มองมาด้วยความไม่ชอบใจนัก แถมยังมีสายตาสงสัยของเพื่อนร่วมคลาสอย่างปิดไม่มิด โดยเฉพาะเซนที่พยายามจะถามอยู่หลายครั้ง แต่ยังหาจังหวะเลี่ยงอาจารย์ไม่ได้ เพราะวิชานี้อาจารย์ไม่ชอบในคุยในห้องสักเท่าไหร่ ผมจำได้ตอนเรียนปีที่แล้ว
   
“ไม่มีอะไรหรอกเซน พาทิศแค่เข้าใจผิด”
   
“อ่า รู้หรอว่ากูอยากรู้อะไร แหะ ๆ”
   
“อืม อาการไม่ค่อยชัดเลย”
   
“แล้วพี่เขาไม่เข้ามาเรียนแล้วหรอ”
   
“ไม่รู้สิ”
   
พาทิศไม่ได้เดินตามเข้าคลาสมา ผมก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหนเหมือนกัน หรือไปทำเรื่องดร็อปอีกเทอม หึ เอาแต่หนีปัญหา นี่แหละพาทิศที่ไม่เคยเปลี่ยน
   
“เอาละค่ะนิสิต ยังไงเจอกันคาบหน้า ครูมีควิซนิดหน่อย ไปอ่านเซคชั่นต่อไปด้วยนะคะ”
   
เสียงฮือฮาปนถอนหายใจของนิสิตปีสองที่เปิดเทอมวันแรกและกำลังจะมีควิซดังก้องไปทั่วห้องเรียนขนาดใหญ่ หลายคนต่อรองขอเลื่อนเพราะยังทำใจให้ชินหลังจากหยุดนานไปไม่ได้ แต่อาจาร์กลับเพิกเฉยราวกับไม่ได้ยิน ผมทำได้แค่ยิ้มเพราะมันเหมือนได้เห็นตัวเองตอนกำลังขึ้นปีสองเมื่อไม่นานมานี้
   
“คริสต์ไปกินข้าวไหน” เซนถามขึ้น เพราะนี่ก็เที่ยงพอดี
   
“เดี๋ยวเราว่าจะไปดูน้องที่วิทย์กีหน่อยอะ พอดีมันเพิ่งมาจากต่างจังหวัดน่ะ”
   
“อ๋อ แล้วทำไม คือว่าน้องยังเด็กหรอวะ ไปกินข้าวเองไม่ได้งี้?”
   
“ยิ่งกว่าเด็กอีก” เพราะมันคือเด็กที่ถ้าจัดแร็งก์ต้องเป็นเด็กโข่งและเด๋อด๋าที่สุดในมหาลัยตอนนี้เลยได้มั้ง “ไปก่อนนะ”
   
“เจอกันที่แล็บนะ” เซนตะโกนไล่หลัง
   
ผมกวาดตามองไปรอบห้องเล็กเชอร์อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องมาเมื่อได้คำตอบแล้วว่าเขาไม่ได้กลับเข้ามาเรียนจริง ๆ พยายามสังเกตว่ามีคนจะมาลากไปที่ไหนอีกหรือเปล่า เขาหายไปไม่ต่างจากเงาตอนเที่ยงวัน ไร้วี่แวว ไร้ตัวตน
   
แดดจ้าตอนเที่ยงเลียผิวจนแสบร้อน เหงื่อออกตามไรผมอย่างห้ามไม่ได้ น่าจะชินกับอากาศประมาณได้แล้วเพราะอยู่ทะเลเสียนนาน แต่ยังไงก็ไม่ชินสักที ดอกเฟื่องฟ้ายังคงร่วงโรยตามลมที่พัดเอาแต่อากาศร้อนมา กลีบดอกที่โรยราและอ่อนแรงได้แต่เพียงปลิวลงพื้นคอนกรีตอย่างมิอาจต้านทาน ผมก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาเพราะอยากให้มันรู้สึกว่าอย่างน้อยมันก็หลงเหลือความสวยจนผมละสายตาจากมันไม่ได้แม้จะเหี่ยวเฉาแล้วก็ตาม
   
รองเท้าสีดำมันขลับปรากฏในองศาที่มองเงยหน้าจากกองดอกไม้หลากสีอย่างพอดิบพอดี กางเกงสแล็คเนียบกริบ เข็มขัดแบรนด์เนมยี่ห้อแพงเงาวับ คอเสื้อปราศจากเนกไทด์ และเข าคนที่ไม่เคยออกไปจากความคิด
   
ต้นไม้
   
“...” ผมมองเขาอย่างพิจารณา เขายังคงดูดีไม่เปลี่ยนแปลง เป็นต้นไม้ที่เพอร์เฟ็คต์ไม่ต่างจากวันแรกที่รู้จัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองผมอย่างคนแปลกหน้า เหมือนไม่เคยเจอกัน เหมือนไม่รู้จัก แต่กลับยิ้มมุมปากราวกับรอผมทักทายเขาก่อน
   
“ครับ?”

“ปีหนึ่งหรอ”
   
“เปล่าครับ ปีสอง จริง ๆ ปีสาม”
   
“คุณหน้าเหมือนคนที่ผมรู้จัก แต่ไม่ใช่หรอก ไม่เหมือน ไม่สักนิด”
   
“ข้าวปั้นหรือเปล่า”
   
“รู้จักหรอ”
   
“พี่ชายผมเอง”
   
“อ่าฮะ ไม่แปลกใจ แล้วไปไหนต่อ กินข้าวมั้ย?”
   
เป็นประโยคสนทนาที่รวดเร็ว ใจความสำคัญคือเราทำความรู้จักกันเท่านั้น ผมแปลกใจกับปฏิกิริยาของต้นไม้พอสมควร ผิดกับอีกสองคนที่ผมเจอมาแล้ว ไม่ได้ตั้งรับว่าจะมาเจอจะมีความปกติขนาดนี้ ต้นไม้ดูสงบไปอย่างแปลกประหลาด เขาเยือกเย็นราวกลับไม่ใช้ต้นไม้คนนั้น
   
คนที่ทำให้ข้าวปั้นเจ็บหัวใจอย่างที่สุด
   
สายตาแห่งความว่างเปล่านั้นกำลังบ่งบอกอะไร เขาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด หรือทรมานกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ หรือเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ราวกับกดปุ่มสตาร์ทใหม่?

ทำได้ยังไง

ผมมีคำถามในใจนับพันคำถาม มากกว่าคำพูดสิ้นคิดที่ออกจากปากผู้ชายคนนี้ เลือกที่จะไม่ได้ตอบรับอะไร เขาเพียงกล่าวลาสั้น ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันเท่านี้ จึงรีบโทรหาคนที่ควรโทรหาในเวลานี้ก่อนที่ผมจะเป็นบ้าเพราะเจอเรื่องราวมากมายเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ก้าวเข้ามาที่นี่เท่านั้น
   
“ฮัลโหลยู มากินข้าวด้วยกันหน่อยสิ”
   
(อ่าฮะที่ไหนอะ ไม่อยากไปร้านคนเยอะ ๆ)
   
“ร้านกาแฟใต้คณะยูก็ได้ ไม่น่ามีคนป่ะ”
   
(ดูร้อนรนอะ มีอะไรหรือเปล่า)
   
“มีเยอะเลยแหละ เราว่าความดันเราขึ้นแน่ ๆ”
   
(Hey! Keep calm I’m on my way)
   
“อื้อ รีบลงมานะ”
   
พอดีกับเบิ้มไลน์มาบอกสั้น ๆ ว่ามีเพื่อนกินข้าวแล้ว เที่ยงนี้ให้ผมกินข้าวกับเพื่อนได้เลย
ก็ยังมีคนหนึ่งที่สนุกกับวันแรกของการเปิดเทอมล่ะนะ

   
@ร้านกาแฟ

“เอาจริงคือเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวจนเราคิดว่านี่คือ short series ว่ะคริสต์”
   
“เออนี่ก็ช็อคเหมือนกัน”
   
ไล่เรียงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เคฟัง เขาได้แต่อ้าปากค้างพร้อมทำตาปริบ ๆ ลืมอาหารตรงหน้าไปขนัด เพราะเรื่องที่ผมพูดมีแต่อะไรที่พีคแล้วพีคอีก เรียกได้ว่าพีคไม่หยุด จะไม่ให้พีคได้ยังไงก็ในเมื่อวางแผนจะเป็นผีหลอกคนนั้นคนนี้ให้ประสาทหลอนตาม ๆ กันไป แต่ตัวเองดันเล่นบทหายตัวไปมาไม่เก่งก็เลยจบลงที่เปิดเผยตัวตนไปเสีย
   
ผิดแผนไปหน่อยแต่ก็ดีที่ ‘หมาก’ ในเกมจะได้รู้ตัวว่าต้องเล่นเกมเสียที
   
เกมที่คนคุมเกมตายจากกระดานไปแล้ว
เกมที่ไม่มีวันที่พวกเขาจะชนะอีกต่อไป
และเกมที่ทุกคนจะตายเพราะความทรงจำ


“แต่เราว่าต้นไม้แปลกว่ะ จากที่เล่า ทำไมเขาดูไม่ทุกข์ร้อนเหมือนสองคนนั้น” เคจิ้มสลัดแซลมอนกินคำแรกหลังจากที่มันมองเราสองคนมาพักใหญ่
   
“ก็มันเลวเกินกว่าจะรู้สึกผิดน่ะสิ คนอย่างต้นไม้เห็นคนกำลังจะตายต่อหน้ายังไม่คิดจะขยับตัวทำอะไร” ภาพวันนั้นมันฉายชัดในความทรงจำของข้าวปั้นเสมอ เขาไม่มีวันลืมมือสั่นเทาที่กำลังจะเอื้อมไปขอความช่วยเหลือถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แม้แต่ความเป็นเพื่อนมนุษย์คน ๆ นี้ก็เพิกเฉยได้อย่างไร้ความปราณี “มันกำลังจะได้ลิ้มรสความทรมานนั้นเหมือนกัน”
   
“เอาจริงบางทียูก็เหมือนข้าวปั้นมาก แต่บางทียูก็เหมือนคนละคน”
   
“อย่าสงสัยเราเลย เรามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นมาก”
   
“คริสต์ ถ้ายูตัดข้าวปั้นไม่ได้ สุดท้ายคนที่...”
   
“เรารู้ดีกว่าใครเค” ผมจับมือคนตรงข้ามด้วยความมั่นใจทั้งหมดที่ตัวเองจะแสดงออกมาได้ เพราะไม่อยากให้สิ่งที่ตั้งใจต้องมีอะไรมาสั่นคลอน กระทั่งตัวผมเอง
   
เพราะแค่การได้มาอยู่ในสถานที่คุ้นเคย ผู้คนคุ้นตา มันก็ทำให้ภาพความทรงจำที่ดีหลั่งไหลราวกับเขื่อนแตก ย้ำ ว่ามีแต่ความทรงจำที่ดี มันก็น่าแปลกที่เราประสบกับเรื่องเลวร้ายเจียนตายแต่เรากลับจำแต่เรื่องที่ดีจนมันแทบจะกลบทับความไม่ดีเหล่านั้นได้เสียหมด หรือจริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย เป็นเพราะคนที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องเองทั้งนั้น
   
นั่นสินะ
คนสามคนนั้น
แค่สามคนนั้นเท่านั้น


“แล้วจะเอายังไงต่อ เพราะดูทรงแล้วคนพวกนี้เหมือนสติไม่ปกติเท่าไหร่เลย เราคงต้องคิดให้รอบคอบหน่อยนะ”
   
“แผนเดิม ทำให้รู้ว่าคนที่ตายไปแล้วฟื้นคืนชีพ”
   
“แค่ฟังชื่อก็ขนลุกแล้วว่ะ”
   
“คนที่คุณก็รู้ว่าตายไปแล้ว ไม่เคยตาย แฮร่”
   
“อย่ามาตลกน่า” เคขมวดคิ้ว เพราะมันไม่ได้ตลกอย่างที่เคบอกจริง ๆ สิ่งที่ผมจะทำ มันจะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล เปลี่ยน
ไปในระดับที่กลับมาในจุดนี้ไม่ได้อีกต่อไป

ข้าวช่วยกันนะ

คลาสเย็นจบไปด้วยความเหนื่อยล้า อาจารย์ด้นสดสอนแบบไม่ได้ตั้งตัวหลายเรื่องจนมึนไปหมด แสงอาทิตย์อัสดงละเอียดกำแพงตึกและกำลังลับขอบฟ้าสีส้มแสดอีกไม่กี่นาที วิชานี้คนที่มีปากเสียงกันเมื่อตอนเช้าก็ไม่เข้าอีกคลาสอีก ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่ไม่ได้จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนั้น
   
ยังไงเขาก็จะวิ่งตามผมเป็นหมาหอบอยู่ดี

เขากระชับกระเป๋าเป้ยี่ห้อดังและกำลังจะหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเจ้าบึ้ม แต่ดันเหลือบไปเห็นโปสเตอร์รับสมัครนายแบบสำหรับทำวิทยานิพนธ์ของคณะศิลปกรรมปีนี้เข้า จึงเลื่อนมือถือไปโหมดกล้องและสแนปไว้
   
เกมนี้สงสัยจะจบไวกว่าที่คิด




---------------------Seven--------------------



หู้ววววว ขอโทษก่อนเลยนะคะที่หายไปนาน
พบเจออุปสรรคต่อสู้กับตัวเอง ให้กลับมาเขียนนิยายต่อให้ได้
ต่อสู้แล้วชนะนะคะเลยได้อ่านตอนนี้5555555555

ใครที่กำลังสงสัยอะไรหลายอย่าง ตอนนี้อาจจะคลายปมให้บ้างนิดหน่อย
ประเด็นคือใครจะมาต่อคิวกันนะ อิอิ ตอนนี้รู้เลย

ขอบคุณที่ยังเข้ามาอ่านนะคะ
อย่าลืมเมนต์ให้กำลังใจเร้ก ๆ ของนักเขียนตัวใหญ่คนนี้โด้ยย เยิ้บ



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
Eight
[/size]


“โอเค เงยหน้าขึ้นนิดนึงครับ นั่นแหละ อ่าฮะ ยิ้มมุมปากหน่อย ดี ดีมาก” ห้องสตูดิโอสำหรับเรียนถูกเซตให้เป็นสตูดิโอถ่ายภาพขนาดย่อม จัดแสง และมีอุปกรณ์สำหรับถ่ายแฟชั่นครบครัน รวมถึงทีมงานอีกหลายคน ทำให้ห้องนี้แน่นขนัดแต่ก็ไม่ได้อึดอัดเท่าสายตาของช่างภาพกิตติมศักดิ์ที่มองผมเท่าไหร่

‘พี่ธาม’ ช่างภาพฝีมือดีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ปี 5 ให้เกียรติมาถ่ายงานให้เพราะเห็นว่าเป็นวิทยานิพนธ์ของน้องสาวเอกแฟชั่นที่กำลังจะจบปีนี้ เขาเป็นหนุ่มสุดฮอตที่ไม่ใช่แค่หน้าตาดีจัดเท่านั้น ยังเป็นคนมีความสามารถหาตัวจับยาก เป็นว่าที่สถาปนิกดีดรีเกียรตินิยมเหรียญทอง เป็นช่างภาพมือสมัครเล่นที่มีผลงานผ่านการประกวดหลายเวที และเป็นนักดนตรีที่มีผลงานลงชาแนลตัวเอง ไม่ต้องถามถึงยอด subscribers พอ ๆ กับยอด followers ในอินสตาแกรมแสนต้น ๆ แค่นั้นเอง

“พี่ว่าเซตนี้โอเคแล้ว ไทน์อยากเพิ่มตรงไหนหรือเปล่า”

“ไทน์ขอเช็กก่อนแล้วกันนะคะ คริสต์พักก่อนได้เลยค่ะ”

“ครับ”

พอดีไซเนอร์พูดแบบนั้นผมเลยถอนหายใจออกมาเบา ๆ  เพราะจะได้หลบหลีกสายตาคมที่จ้องมองผมผ่านเสื้อตัวบางนี้ได้สักพักก็ยังดี ทำเอาหายใจหายคอไม่ออกจริง ๆ สิน่า

เดินออกมาจากหน้าเซตที่สาดไฟแรงมาตรงโซฟาที่ใช้เป็นพร็อพถ่ายแบบ เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางและกางเกงขาสั้นยีนส์สีขาวขาดวิ้น เป็นอีกหนึ่งคอนเส็ปต์ของงานธีม Day Dream ของว่าที่ดีไซน์เนอร์สาวลุคสุดชิค ผมไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดงานเท่าไหร่นัก เพราะวันที่มาสมัครทีมงานก็จัดการฟิตติ้งเลย และผมก็ดันเป็นหนึ่งในนายแบบของคอนเส็ปต์นี้ ที่บอกว่าเป็นหนึ่งเพราะยังมีนายแบบอีกหลายคน ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ ก็งง ๆ ว่าตัวเองทำไมถึงถูกเลือก แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะวันฟิตติ้งเควิลมายืนวอแวกับทีมงานผู้ชายหลายคนในนี้

ให้มันได้อย่างนี้สิ แรดจริง ๆ

แชะ!

“ทำไมทำหน้ามุ่ยแบบนั้นล่ะ” เสียงทุ้มที่ผมได้ยินทั้งวันเอ่ยขึ้นตรงหน้าหลังจากเสียงชัตเตอร์หนึ่งแชะ ซึ่งผมคิดแล้วว่าคงถ่ายรูปผมแน่ ๆ เพราะเจตจำนงทางสายตาของพี่เขาชัดเจนขนาดนั้น “เหนื่อยหรอครับ”

“ก็นิดหน่อยครับ อาจจะตื่นเช้า”

“อีกนิดก็น่าจะเสร็จแล้วล่ะ พี่ว่าไทน์ไม่น่าจะติดอะไร เพราะคริสต์ก็ทำได้ดี...เหมือนนายแบบจริง ๆ” พี่ธามยกยิ้มให้อย่างมีเลสนัย เขาเว้นวรรคจังหวะการพูดอย่างเนิบนาบแต่มีชั้นเชิง ผมไม่ได้อึดอัดกับการเข้าหาของเขาเลยด้วยซ้ำ ใช่อยู่ที่เขาจับจ้องและมองผมอยู่บ่อย ๆ แต่มันไม่ได้โลมเลียหรือหยาบคาย มันกลับมีเสน่ห์อย่างประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้ผมไม่ได้ตะขิดตะขวงใจที่จะคุยกับเขาเท่าไหร่นัก

ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงไม่สามารถมองตาใครแบบนี้ได้
เควิลทำผมเปลี่ยนไปจริง ๆ กล้าที่จะเรียนรู้ และหยั่งเชิงดูบ้าง
จะได้ไม่เป็นคนโง่ให้ใครสนตะพายอีก

“ขอบคุณครับ พี่ธามก็เก่ง รูปสวยมากเลย”

“ชอบหรือเปล่า”

“หมายถึงชอบรูป?”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ครับ รูป”

สายตาของเราสอดประสานกันอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายจะสื่อถึงเรื่องอะไร ไม่รู้สิมันชัดเจนเสียจนเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากพี่ธามเข้าหาผมเพราะหวังอะไรบางอย่าง และสิ่งที่เขาหวังผมก็รู้อยู่เต็มอกว่ามีให้ อยู่ที่เลือกว่าควรให้หรือควรเพิกเฉยต่อความต้องการนั้น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงปฏิเสธและเลี่ยงการพบเจอสถานการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว แต่คริสต์ไม่ตัดสินใจแบบข้าวปั้นแน่

“เสร็จงานแล้วไปไหนหรือเปล่าครับ”

“คงกลับคอนโดเลย”

“ให้พี่ได้ส่งได้หรือเปล่า”

นี่ไงเจตจำนงของคนตัวสูงใหญ่ตรงหน้า เขาพูดทั้งที่ไม่ได้มองตากัน กลับเซตกล้องหมุนเลนส์อย่างสบาย ๆ ไม่ได้รีรอคำตอบหรือคาดหวังอะไร นี่แหละชั้นเชิงที่ผู้ชายตรงหน้ามีอย่างเต็มเปี่ยมจนน่ากลัว คล้ายกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนพร้อมเผาไหม้เพียงแค่คุณก้าวเข้าไป แต่คุณกลับเป็นน้ำมันชั้นดีที่พร้อมจะถูกแผดเผาให้ลุกโชนโชติช่วงซะด้วย

“เดี๋ยวโทรไปบอกคนขับรถก่อนแล้วกัน” โทษทีนะเบิ้มวันนี้คงต้องได้กลายเป็นคนขับรถไปซะแล้ว และคืนนี้เบิ้มคงต้องนอนคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้


“ขอบคุณมากนะคริสต์ ถ้าไม่ได้คริสต์เราไม่รู้เลยว่างานมันจะออกมาดีแบบนี้” ดีไซเนอร์สาวเจ้าของผลงานเอ่ยชมไม้แขวนเสื้ออย่างผมเกินพอดีด้วยใบหน้าที่รู้สึกซาบซึ้งอย่างจริงใจ เธอโค้งให้พร้อมจับมือผมจนทำตัวไม่ถูก

“ไม่เป็นไรเลย ๆ สนุกดี เราก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย พอจะใช้ได้ใช่มั้ย” ผมยิ้มให้เธออย่างเขิน ๆ ไทน์เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เปรี้ยวจัด หรือหวานเรียบร้อย กลับเป็นผู้หญิงที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง และมีเสน่ห์อย่างพอดิบพอดีไม่ต่างจากพี่ชาย น่ามองไม่ว่าจะมุมไหน ผมแอบเห็นแฟนของเธอมานั่งให้กำลังใจ น่าจะเรียนหมอเพราะเห็นนั่งอ่านเท็กส์ในไอแพดนานแล้ว ยังคิดว่าดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย แต่ใครจะรู้ความพอดีเท่ากับคนสองคนที่ต่างราวกับทางขนาน แต่ตรงกลางที่พวกเขามีมันคือความบาลานซ์ที่ใครก็ไม่มีวันเข้าใจ

“โหยย ได้ยิ่งกว่าได้ จริง ๆ ไม่ต้องถึงมือพี่ธามเราว่ารูปก็แทบไม่ต้องรีทัชเลยเหอะ”

“หึ นี่มาถ่ายให้ฟรีก็ดีแค่ไหนแล้ววะ” คนเป็นพี่ยกกระเป๋ากล้อง และอุปกรณ์หลายอย่างพะรุงพะรังเตรียมตัวกลับเช่นกัน

“ก็จริง คริสต์โคตรพอดีอะ อีกอย่างผิวก็ดี คนอะไรไม่มีขนเลย เราเป็นชะนียังอิจฉา”

“นี่ไปมองขนเขาได้ไงวะ เป็นผู้หญิงยังไงวะเนี่ย”

“เหอะ ทีพี่ธามยังมองไม่วางตา”

“ก็ต้องมองสิ พี่เป็นช่างภาพนะ”
   
“หรอจ๊ะ”

สองพี่น้องทะเลาะกันโดยมีผมที่เป็นต้นเรื่องยืนอยู่ด้วย ประดักประเดิดพอควร เลยยิ้มอย่างเดียว ไทน์ก็ไม่ใช่เด็กแล้วคงมองอะไร ๆ ออก เธอเลยโอบกอดผมก่อนจะเอ่ยลา และบอกวันเผยแพร่รูปให้ทราบ ทั้งยังจะส่งรูปให้พิจารณาก่อนจะใช้อีกด้วย เพราะผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับค่าตัว เธอเลยให้สิทธิ์ผมที่เป็นคนในรูปเป็นคนเลือกอย่างให้เกียรติกัน ผมกำลังจะปฏิเสธแต่แล้วเธอก็กระซิบที่หูผมเบา ๆ ว่า ‘เพราะถ้าให้เราเลือก รูปมันจะค่อนข้างอิโรติก’ ผมก็เลยรับปากว่าจะเลือกเองคงจะดีกว่า

คนในกองแยกย้ายกันกลับเนื่องจากนี่ก็สองทุ่มกว่าแล้ว เราเริ่มงานตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงตอนนี้ หลายคนหมดสภาพ หมดแรง เลือกขนส่งสาธารณะอย่างแท็กซี่เป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้ตัวเอง ส่วนผมมีสารถีที่อาสาจะไปส่งที่ไหนยังไม่ทราบ เขาเดินนำทางมาที่รถ ก่อนจะปลดล็อก Land Rover สีดำเงาแม้จะมืดแล้วก็ตาม ก็เข้ากับลุคของเขาดี ผู้ชายลุย ๆ ทะมัดทะแมง และแข็งแรง ที่สำคัญมีเงิน

“หิว พาไปกินข้าวหน่อย”

“อันนี้อ้อน?”

“งั้นก็ได้ หิวจริง ๆ ข้าวตอนกลางวันย่อยจนน้ำย่อยแล้วย่อยอีกอะ”

จะว่าอ้อน จริง ๆ อ่อยมากกว่า แต่เรื่องหิวนี่ก็จริงจังประมาณหนึ่งเลยแหละ จิตใจจะพุ่งกลับห้องเลยหรือยังไงล่ะ กองทัพก็
ต้องเดินด้วยท้องสิ “อยากกินกระเพาะปลา บะหมี่ปู ราดหน้าทะเล แล้วก็ข้าวผัดสับปะรด”

“เรื่องจริง?”

“อื้อ คิดว่าคนหิวจะมาหลอกหรือไงเล่า พาไปได้มั้ย ไม่งั้นเดี๋ยวไปกินแล้วเจอกันก็ได้”

“เฮ้ย ๆ เดี๋ยวดิ ไปได้ ๆ ใจร้อนกว่าที่คิดนะเรา” พี่ธามคว้ามือผมแทบไม่ทัน จริง ๆ ก็ทันสิเพราะไม่ได้จะรีบเดินไปจริง ๆ เสียหน่อย จะบ้าหรอใครจะนั่งรถไปเยาวราชตอนนี้ด้วยตัวเอง มีคนขับรถให้ดีกว่าอยู่แล้ว

“งั้นขึ้นรถเลยนะ รีบเก็บของล่ะ หิว ๆ” การตีสนิทอย่างแนบเนียนด้วยการทำให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมันเป็นเรื่องที่จะทำให้คามสัมพันธ์พัฒนาไปได้เร็วไม่ใช่หรือไง ไม่อึดอัด ไม่ตะขิดตะขวงใจ ปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น กระบวนท่าที่เคย้ำมาเสมอ มันคงได้ผลกับผู้ชายคนนี้ไม่น้อย

“นี่สั่งแกร๊บไม่ดีกว่าหรอ”

“มันไม่ร้อนไม่อร่อยเท่าไปกินกับควันรถ ไม่เข้าใจสตรีทฟู้ดหรอครับ”

“นี่เหมือนพี่โดนเหวี่ยงตลอดเวลาเลยนะ ทำไมเหอมเกริมเร็วขนาดนี้”

“ไฟเขียวแล้วรีบไปสิ และพี่จะจบวัฏจักรนี้ เชื่อสิ”

“หึ คนโมโหหิวนี่น่ากลัวจริง ๆ” ผมยกมือไปปิดปากเขา ส่วนเขาก็ยกมือขึ้นมาปัดป้องเป็นปฏิกิริยาของร่างกาย แต่สุดท้ายเขาก็จับมือของผมไว้หลวม ๆ แล้วสอดประสานมือไม่ต่างจากคู่รักทีเริ่มคบกัน ผมไม่ได้ปฏิเสธเพราะตั้งใจให้มันเกิด
โมเมนต์นี้แต่แรกอยู่แล้ว จะบอกว่าวางแผนก็ไม่เชิง เพราะถ้าเขาไม่ใช่ผู้ชายมือไวและจัดเจนกับเรื่องพวกนี้ เขาก็คงไม่ทำ จริงไหม?

“ได้ทีเหอะ” ผมหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาน่ะร้ายกาจเป็นเสือตัวหนึ่งที่จับยาก แต่ก็ไม่ใช่จับไม่ได้น

“มือไวใจเร็วด่วนได้”

“ช้า ๆ ไอ้หนู” เขายกยิ้มและเลี้ยวเข้าที่จอดรถที่มีน้อยนิดของย่านนี้ ใช้มือข้างเดียวควงพวงมาลัยและหักหลบรถขนาบข้างจอดเข้าซองอย่างพอดิบพอดี เอาจริงเท่ไม่หยอก “ถ้าเด็กมันไม่อ่อยใครจะกล้าทำ”
มือใหญ่จับหัวผมโยกไปมาก่อนจะปลดล็อกแล้วลงจากรถไปก่อน ไม่รอช้าเดี๋ยวไม่ต่อเนื่อง จึงรีบลงจากรถไปทันที ผู้ชายตัวใหญ่กอดคอราวกับเรารู้จักกันมาแรมปี ซึ่งผู้ชายด้วยกันและเพศนิยมเหมือนกันเราเข้าใจดีว่าเรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นง่ายยิ่งกว่ารูดบัตรเครดิต แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่ามันดูเป็นธรรมชาติมากเสียจนกลัวจะผูกมัด

“ไปสิอยากกินอะไรเลือกเลย”

“เงินมาดิ ไม่ได้เอากระเป๋าตังค์ลงมา” ผมแบมือขอเงินเหมือนเด็ก ๆ นี่เป็นการทำให้รู้ว่าผมอยู่ใต้อำนาจของเขากลาย ๆ

“หึ พาก็พามา ยังจะไถตังค์อีก นี่เลี้ยงต้อยหรือไง”

“แล้วจะเลี้ยงมั้ย”
   

สุดท้ายผู้ชายที่ยืนกอดคอผมก็ล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงยีนส์สีดำขาดเข่าออกมาให้หนึ่งพันบาท ก็สมกับเขาอีกนั่นแหละ ไม่พกกระเป๋าตังค์ แต่รู้ว่ามีเงิน และมีเยอะด้วย “มีงบเท่านี้นะ กินให้ตัวแตก”
   
“เหลือ ๆ เหอะ” เขาใช้มือบีบจมูกผมเบา ๆ ถ้าคนภายนอกมองมาก็คงคิดว่าคู่รักมาเดทกันตามประสาวัยรุ่น แต่หารู้ไม่ว่าเรารู้จักกันยังไม่ถึง 24 ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ


“อิ่มมมม”

“ก็ควร นี่ตัวแค่นี้ทำไมกินเยอะจัง ใครจะเลี้ยงไหว”
   
“ไม่เป็นไรมีเงิน”
   
ผู้ชายตรงหน้าแบมือและกระดิกนิ้วทั้งสี่ก่อนจะพูดว่า “งั้นเอาเงินมาค่าข้าวที่กินไป”
   
ผมเลยตีมือไปแปะหนึ่งก่อนจะเกทัพ “งั้นคืนเงินแล้วแยกย้าย เค ดีล”
   
“เฮ้ย ๆ ๆ ไม่ดีลดิ โห่ไร อย่าทำตัวเหนือกว่ามากได้ป่ะ ก็รู้ว่ายอม” คนตัวโตระส่ำระส่ายรีบเอ่ยปากห้าม ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่ยอมแลกกับเรื่องพวกนี้ได้ขนาดนี้ บอกตามตรงบุคลิกของพี่ธามคงมีแต่คนวิ่งตามแจ ไม่ใช่มาวอแวกับผู้ชายอย่างผมสักเท่าไหร่
   
“ที่ยอมเพราะพี่รู้ว่าต้องแลกกับอะไรไง ไม่ใช่ยอมเพราะยอม ทำมาเป็น”
   
“ก็ที่แลกมันคุ้ม ก็ต้องยอมดิ”
   
“หึ ไม่ผิดจากที่คิดเท่าไหร่” ผมทำได้แค่ยกยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก เขาก็เป็นเพียงผู้ชายที่หวังแค่เรื่องอย่างนั้นถึงยอมเสียเวลา อดทน และทำอะไรอย่างที่ไม่จำเป็นต้องทำ เพียงเพื่อสิ่งที่ตัวเองปรารถนา

ผู้ชายน้ำตื้นที่มองนิดเดียวก็เห็นไปถึงก้นแอ่ง

เขาขับรถตามความเร็วที่ถนนในกรุงเทพฯ สามารถทำได้ ริมทางของถนนในเมืองหลวงยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ออกมาใช้ชีวิตยามค่ำคืน เด็กผู้ชายหาบพวงมาลัยขายตรงสี่แยกในเวลาเกือบห้าทุ่มก็ยังทำงานอย่างขะมักเขม้นแม้จะไม่ใช่เวลาที่เด็กควรจะอยู่ตรงนั้น แต่บางทีชีวิตคนเราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น แค่การมีชีวิตอยู่ก็ดีเท่าไหร่แล้วสำหรับบางคน
   
“คิดอะไรอยู่หรอ” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ปรัชญาชีวิตที่คิดในหัวไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกับคนที่พบเจอแค่ไม่กี่ชั่วโมง การที่เรารู้จักกันให้น้อยที่สุดน่าจะเป็นทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้ดีกว่า “คิดยังไงถึงยอมมาด้วย”
   
สารถีก็ยังไม่หมดเรื่องสงสัย “ถ้าบอกว่าไม่ได้คิดจะดูใจง่ายหรือเปล่าล่ะ”
   
“ทำไมมีคำตอบที่คาดไม่ถึงอยู่เรื่อย จริง ๆ เป็นคนยังไง เด็กเก็บกดหรอ มีปมในใจไรมั้ยเนี่ย”
   
“ไม่ต้องรู้จักกันเยอะก็ได้มั้ง” ผมตอบด้วยประโยคแบบกลั้วขำ คือเขาก็รู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ของเราถ้ามันผ่านคืนนี้ไปมันยังเป็นยังไง ซึ่งเขาเหมือนจะลืมว่าจริง ๆ เราไม่ควรรู้จักกันมากไปกว่านอนด้วยกันแล้วจบหรือเปล่า
   
พี่ธามยักไหล่แล้วไม่ได้ตอบอะไร เขาหันไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างที่ควรจะทำตั้งแต่แรก ซึ่งผมก็ว่ามันดีเหมือนกัน เราจะได้ไม่ต้องอึดอัดถ้ามันจะจบแบบที่ผมบอก สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นคนที่รู้จักกันและทักทายกันได้เมื่อเวลาผ่านไป
   
ทำไมผมถึงกล้าพาตัวเองมาถึงจุดนี้น่ะหรอ?
คนที่ผ่านความตายมาแล้ว จะกลัวทำไมเรื่องแค่นี้





มีต่อ



ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Condo X

ที่พักอาศัยของผู้ชายโฉดแทบไม่มีของตกแต่งอย่างที่คิดไว้ มีเพียงสิ่งอำนายความสะดวกที่จำเป็นเท่านั้น เห็นจะมีแค่รูปถ่ายขนาดใหญ่ของใครบางคนบนผนังห้องที่สะดุดตา เป็นภาพขาวดำที่ถ่ายในป่าและมีหมอกจาง ๆ กับแสงแดดแรกของวัน ผู้ชายในรูปน่าจะไม่เกินมอปลายจากที่ประเมิน รอยยิ้มของเขาสดใสจนทะลุภาพสีทะมึนนี้
   
“มองอะไร”
   
ผมชี้ไปรูปที่ว่า แต่ก็ไม่ได้จะสนใจฟังคำอธิบายเท่าไหร่ เลยเดินไปนั่งที่โซฟาใหญ่ติดกำแพง
   
“น้องชายน่ะ” ผมพยักหน้ารับเบา ๆ คิดอยู่แล้วว่าคงเป็นคนสำคัญพอที่ผู้ชายอย่างเขาเลือกติดรูปนี้ไว้รูปเดียวในที่ส่วนตัว “ไปสวรรค์นานแล้ว”
   
แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องเศร้าขนาดนี้เหมือนกัน ผมเข้าใจความสูญเสียดี มันไม่ได้ง่ายที่จะไม่โหยหาสิ่งที่เคยมี ในเมื่อมันไม่มีอีกต่อไป เขานั่งลงข้าง ๆ แล้วมองรูปนั้นด้วยสายตาที่คิดถึงคนในรูปอย่างสุดหัวใจ “พี่ถ่ายให้ตอนไปปางอุ๋งด้วยกัน ตอนที่รู้ว่าเขาสอบติดเตรียมฯ เป็นของขวัญที่สัญญาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย”
   
พี่ธามเว้นวรรคการพูดไปหลายลมหายใจ ภาพในวันนั้นคงฉายซ้ำเป็นม้วนฟิล์มที่ไม่เคยออกจากความทรงของผู้ชายคนนี้ คนตัวโตกลายเป็นผู้ชายตัวเล็กลงจากความรู้สึกที่ถูกบีบอัดด้วยความเจ็บปวดเดียวที่ฝังลึก ผมไม่ถามต่อเลือกที่จะจับมือเขาเบา ๆ และยิ้มให้เท่านั้น
   
“อาบน้ำก่อนมั้ย” พี่ธามถามขึ้นหลังจากที่ความเงียบกลืนกินการสนทนาของเราไปนาน ผมจึงพยักหน้าและมองนัยน์ตาเขา “อาบเถอะพี่ไม่กวนหรอก”

มันมองกันออกจริง ๆ เรื่องแบบนี้ ซึ่งก็ดี การแก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้าผู้ชายที่เจอครั้งแรกไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไหร่ อีกอย่างแม้ใจจะกล้ากระทั่งถอดเสื้อผ้าตรงนี้ แต่พอเอาเข้าใจจริง ๆ เราก็ไม่ได้มาขายหรือเปล่านะ ทำไมต้องทำขนาดนั้น ได้แต่ตลกตัวเองกับความบ้าบิ่นที่ได้จากไหนไม่รู้

ผมเดินออกจากห้องน้ำด้วยชุดคลุมอาบน้ำ เพราะคิดเอาไว้ว่าคงไม่ต้องใช้ชุดนอน แต่กลับเจอชุดนอนที่มีโน้ตเขียนว่าให้ใส่ชุดนี้หลังอาบน้ำเสร็จ ส่วนคนเขียนไม่ได้อยู่ในห้องแฮะ อะใส่ก็ใส่ สงสัยชอบถอด
   
“พี่ธาม เสร็จแล้วนะ”
   
“เสร็จอะไรยังไม่ได้เริ่ม” เขาเงยหน้าจากแม็คบุ๊กมาตอบ “คิดว่าจะใส่ไม่ได้แล้ว พี่มีเสื้อตัวเล็กแค่นั้นแหละ มาดูรูปวันนี้มั้ย”
   
ในใจก็คิดว่าทำไมเขาใจเย็นขนาดนี้กันนะ ไหนว่าเรามี benefit ต่อกันแค่เรื่องคืนนี้ แต่ทำไมมันดันมีเรื่องราวมากมายเกินขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงกัน แต่ช่างเถอะ ยังไงผ่านคืนนี้ไปมันก็จบอยู่ดี

“ชอบรูปนี้” ผมตั้งใจนั่งเบียดเขาชัดเจน ทั้งที่โซฟาก็ไม่ได้ตัวเล็ก

“พี่ก็ชอบ”

“ชอบรูป?”

“...” เขาไม่ได้ตอบแต่กลับมองผม มองในที่นี้คือใช้สายตาในแบบที่อ่านออกว่าจะสื่อหความหมายอะไร จมูกของเขาเลื่อนเข้ามาใกล้กันมากขึ้น จนสังเกตเห็นขนตายาว ลมหายใจรินรดข้างแก้มจนร้อนฉ่า และอย่างใจนึก ริมฝีปากหนาค่อย ๆ ประกบลงมาที่ปากของผม เขานิ่งเหมือนรอว่าผมจะโอเคหรือไม่ ก่อนจะค่อย ๆ ละเลียดริมฝีปากและบดเบียดมันลงมามากขึ้น แนบชิดมากขึ้น วาบหวามมากขึ้น และเต็มไปด้วยแรงอารมณ์มากขึ้น

มือใหญ่จัดการย้ายคอมที่วางบนตักไปบางที่โต๊ะเล็กข้างหน้า และใช้มือประกบใบหน้าผมราวกับล็อกความรู้สึกนี้ให้ตราตรึง ให้มันแนบชิดจนไม่อยากให้อะไรผ่านไปได้ เรียวลิ้นเริ่มแทรมซึมแตะต้องที่ปากจนรู้สึกชื้นแฉะ ก่อนที่ผมจะเปิดปากรับให้เขาเข้ามา ความจัดเจนของเขาทำเอาผมรู้สึกมวนท้องจนหายใจไม่ออก จึงอาศัยจังหวะที่เขาเปลี่ยนท่าทางโกยอากาศหายใจเข้าปอดเร็ว ๆ

มือใหญ่ลูบไล้ไปตามผ้าเนื้อดีที่เขาเอามาให้ใส่ กอดจะสอดมือเขามาสัมผัสผิวกายของผิวด้วยความใจเย็น เลยเลือกที่จะปีนขึ้นไปนั่งบนตักเขาให้รู้แล้วรู้รอด รับรู้ว่าเขาอยากจะเร่งเร้าและรุนแรงมากกว่านี้ แต่เหมือนรู้สึกว่าเขารออะไรบางอย่างจนขัดใจ

“ฮื้อ” เขากัดที่ริมฝีปากผมเบา ๆ แล้วผละออก ก่อนใช้สายตามองผมคล้ายจะดุ

“อย่าให้มันมากไป” เขาว่าอย่างนั้นแล้วยกตัวผมลงจากตัก เพื่อใช้มือลูบแก้มเบา ๆ สายตาที่เขามองมันหลากหลายความหมาย แต่ฉายชัดคือความสับสนที่เปล่งประกายชัดเจนจากดวงตาสีนิลคู่สวย และก้มมาจุมพิตที่แก้มอย่างแผ่วเบา ลืมดีพคิสเมื่อครู่ไปเลยเลย มันเหลือแต่ความโยนไม่ต่างจากกัดมาชเมลโล่ “พี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

ไม่ค่อยเข้าใจอากัปกิริยาที่ว่านี่เท่าไหร่ จากที่มองเขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะลังเลถ้ามีเนื้อชิ้นดีอยู่ตรงหน้า ดูก็รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วินาทีจุดไฟราคะให้ลุกโชนราวกับสัตว์ป่าได้แค่ไหน แต่กลับหยุดชะงักราวกับโดนต้องมนต์ที่เป็นคำสาปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่นักล่าเนื้ออย่างเขาพร้อมจะสู้เพื่ออาหารอันโอชะแท้ ๆ แต่เหมือนแรงขับภายในของเขากำลังต่อต้านอะไรบางอย่าง
ก็ให้มันรู้ไปว่าจะต้านทานได้แค่ไหน

“นานจัง” ร่างเกือบเปลือยของผมที่ลงทุนถอดกางเกงขาสั้นออก เพื่อให้เสื้อตัวโคร่งปิดแค่ขาอ่อน พี่ธามชะงักไปเล็กน้อยที่เห็นผมยืนรอเขาหน้าประตูห้องน้ำ ผมลู่ลงเพราะเปียกน้ำทำเอาเขาเซ็กซี่ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ผิดคาดนิดหน่อยที่ไม่ใช่ผ้าขนหนูพันสะโพก กลับเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นพร้อมนอนซะงั้น

“ใส่กางเกงเถอะ”

“...” ผมไม่ได้ตอบรับ จึงยืนนิ่ง ๆ รอเขาอธิบายว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่แล้วก็ไม่ได้รับการตอบรับ คนตัวโตเดินหนีไปนั่งหน้ากระจกแต่งตัว และนั่งลงก่อนจะมองผมผ่านกระจกใส

“ถ้าผ่านคืนนี้ไป จะได้เจอกันอีกมั้ย” สายตาอันแน่วแน่มองมาตรงมายังนัยน์ตาของผม ทั้งที่มันผ่านกระจกแต่ทำไมผมรู้สึกว่ามันจริงจังขนาดนั้น และค่อนข้างกลัวกับคำพูดที่เขาพยายามจะพูดต่อ

“...”

“ถ้าไม่...ก็จะทำ”

“...”

“แต่ถ้าอยากเจอเหมือนกัน ก็ไม่อยากให้จบแค่คืนนี้นะ”
คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะรู้สึกแบบนี้ทั้งที่เราเจอกันไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ ในใจก็ค้านกับตัวเองว่ามันไม่มีทางที่คน ๆ นี้จะมาคาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์แค่ข้ามคืน แต่สายตาของเขามันไม่ได้โกหกเลย และยิ่งย้ำชัดในสิ่งที่ตัวเองพูดจนผมใจระส่ำ ไม่ได้คาดคิดว่าจะต้องมารับมือกับอะไรแบบนี้

“คริสต์” พี่ธามหันกลับมามองกันตรง ๆ ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาบอกกลาย ๆ ว่าให้ผมเดินเข้าไปหา ซึ่งก็คิดอะไรไม่ออก เหมือนโดนกดรีโมตให้ทำตามอัตโนมัติ “มันอาจจะฟังเพ้อเจ้อ แต่พี่สบายใจที่ได้อยู่ด้วยนะ”

“...”
   
“ลองคุยกันมั้ย พี่อาจจะไม่ใช่คนดีอะไร”
   
“นั่นสิ คนดีที่ไหนจะนัดคนที่เจอวันแรกขึ้นคอนโด”
   
“แต่ก็ยอมมา”
   
“ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอพี่สารภาพรักอะไรแบบนี้นี่ งงไปหมดแล้วเนี่ย”

กลับตาลปัตรไปหมดทุกอย่าง จะบอกว่าแผนพังก็ไม่เชิง คือยังไงดี ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วอย่างที่เควิลบอกจริง ๆ การดึงใครคนหนึ่งเข้ามาในเกมนี้เป็นส่วนสำคัญในการให้หมากทุกตัวเคลื่อนไหว แต่สิ่งที่ไม่ได้คิดไว้คือใครคนที่ว่าดันมาสารภาพรักใส่กันเฉยเลย จริง ๆ มันควรจะเป็นผมหรือเปล่าที่ต้องทำแบบนี้ในวันหนึ่งเพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า แต่พอพี่ธามทำให้มันเป็นแบบนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย

คุมให้อยู่ก็น่าจะพอ

“ก็ไม่ได้คิดว่าคริสต์จะน่ารักแบบนี้”

ผมรีบเอามือปิดปากเขาทันที เพราะไม่ชอบคำแสลงหูแบบนี้เท่าไหร่ “ไม่เอาไม่พูดคำนี้เหอะ ขอร้องล่ะ ขนลุก”

“เอ้าก็จริงนี่ รู้มั้ยว่าพี่รู้สึกสบายใจในรอบหลายปีเลย”

“เว่อร์ที่สุดดดดด แล้วคนก่อน ๆ ที่พามานอนไม่ได้ทำให้สบายใจว่างั้น”

“สบายแค่กายมากกว่า ไปใส่กางเกงเหอะ เดี๋ยวพี่จะได้สบายกายในคืนนี้ด้วยนะ”

“เหอะ” ผมกรอกตาและเดินไปหยิบกางเกงที่ถอดทิ้งไว้บนเตียงมาใส่ลวก ๆ ก่อนจะปืนเตียงขึ้นไปนอนไม่ต่างจากเจ้าของ อย่างน้อย ๆ ก็เป็นไปตามแผนหนึ่งอย่างคือไม่เสียตัวให้เขาคืนนี้ล่ะนะ แต่พิสูจน์แล้วว่าตัวเองก็มีเซ็กส์แอพเพียลใช้ได้เหมือนกัน ไม่งั้นพี่ธามคงไม่เอาของแข็งมาดันกางเกงตอนขึ้นไปนั่งตักเขาหรอก
คนตัวสูงจัดการเป่าผมและบำรุงผิวตามปกติก่อนจะปิดไฟห้องแล้วขึ้นมานอนบนเตียง ผมไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะไลน์คุยกับเคถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทางนั้นคะยั้นคะยอจะโทรหาให้ได้ก็ได้แต่บอกปัดว่าเอาไว้ก่อน ค่อยไปเล่าดีเทลกันทีหลัง

“คุยกับใคร” เสียงทุ้มเจ้าของห้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เป็นคำถามที่ผมต้องหาคำตอบให้อีกฝ่ายพอใจ

“เพื่อนสนิทน่ะ” เลือกตอบตามความจริงถ้าเขาจะซักไซ้ก็ต้องพูดกันว่าจริง ๆ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาถามอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ วางมือถือแล้วมุดตัวเข้าผ้าห่ม เป็นคนขี้หนาวไม่ชอบอากาศเย็น เพราะมันทำให้ตัวแห้งและสาก ไม่สบายเอาเสียเลย และวันนี้ก็ดันเจอคนขี้ร้อนนอนให้ห้องแช่แข็งอีกต่างหาก ให้เบิ้มมารับทันมั้ยนะ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ทำไมต้องหนีไปนอนก่อน”

“ง่วงแล้ว” ผมก็ตอบตามความจริงอีก ความโรแมนติกที่เขาหวังจะให้มันเกิดขึ้นหลังจากที่เราไม่ได้มีสัมพันธ์สวาทกันคืออะไร นอนกอดกัน หรือว่าพูดคุยเพื่อความรู้จักกันงั้นหรอ อย่าลืมสิว่าเราเพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงวัน และผมก็ยังไม่ได้อยากรู้จักเขามากขึ้นไปกว่าเดิมเลย “นอนก่อนค่อยว่ากันได้มั้ย”

“พี่กอดนะ”

ผมไม่ได้ตอบแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน การนอนหันหลังให้เขาเป็นความตั้งใจให้คนตัวโตที่กำลังกอดผมอยู่นี้ไม่ได้เห็นว่าสายตาที่ปิดสนิทไม่ได้หลับอย่างที่บอกไว้ ในหัวยังมีภาพหลายอย่างฉายซ้ำไปซ้ำมาเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่ามาที่ทำไม ทำแบบนี้เพื่ออะไร และสุดท้ายเกมนี้มันจะจบแบบไหน นึกสงสารหรือให้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแม้เขาจะบริสุทธิ์แค่ไหน และผมสบายใจได้อย่างหนึ่งว่าพี่ธามเข้ามาให้เกมนี้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะแผนลวงของผมอย่างที่คิดไว้

ขอให้เขาเป็นผู้ชายน้ำตื้น และไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้แล้วกัน

@University

   
“มึง ๆ เห็นกันยังพี่ธามลงรูปพี่คริสต์ด้วยว่ะ เออหรือคริสต์วะ คือกูต้องเรียกเขาว่าไง”
   
“เออ ๆ เอาไว้ก่อนเรื่องนั้น แต่เรื่องนี้แซ่บอยู่ พี่ธามลงรูปเมื่อคืนใช่ป่ะ ละไอ้เมษอะเจอเขาลงคอนโดมาพร้อมกันเมื่อเช้า”

“ฉิ่นจ๊ะ!”
   
“แพมมึงเลิกอุทานเป็นเกาหลีซะที อินี่ หมดมู้ดหมด เออนั่นแหละเมษมันลั่นส่งรูปเข้ากรุ๊ปรุ่น กูเห็นก่อนมัน unsend”
   
“ประเด็นที่เผ็ดกว่านั้นจ้ะแม่ คือมีผู้ชายอีกคนขับเบ๊นซ์มารับจ้า สวยจุกกก”
   
พาทิศไม่ได้ตั้งใจได้ยินบทสนทนาดังกล่าว เขาเพียงนั่งรอเข้าคลาสเช้าที่ใต้ตึกคณะคนเดียว แต่ไม่นานก็เริ่มมีนิสิตมาจับจองโต๊ะเพื่อพูดคุยหรือรับประทานอาหารเช้า แต่สามสาวข้างหน้าคงไม่ได้สังเกตว่าเขานั่งตรงนี้ เพราะท็อปปิคที่พูดคุยมันออกรสชาติเสียเหลือเกิน
   
และแน่นอนมันสะท้อนในหัวใจของคนตัวโตที่กัดแซนวิสเข้าปากอยากจัง คริสต์ที่เขาเชื่อแน่ ๆ ว่าคือข้าวปั้น เพราะมันชัดเสียเหลือเกิน แต่พอมาได้ยินเรื่องเหล่านี้ก็เรื่องลังเล เพราะข้าวปั้นไม่มีทางทำแบบนี้
   
หรือคนเรามันเปลี่ยนกันได้จริง ๆ นะ
แต่ทำไมเขายังจมปลักอยู่ที่เดิม
แค่คิดว่าข้าวปั้นไม่ได้ตายจริง ๆ หัวใจก็ลิงโลดเหมือนปลาใกล้ตายได้น้ำ
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ข้าวปั้นอาจจะเลือกตายไปจากความเจ็บปวดเองก็ได้

แม้ในหัวจะคิดหลายเรื่องแต่สายตาก็ว่องไวจนเห็นคนคุ้นตาวิ่งหอบกระเป๋าเหมือนรีบไปไหนสักที่ จะบอกว่าเข้าเรียนก็น่าจะยังไม่ถึงเวลา “ปูน!!”
   
เขาตะโกนเรียกออกไปเต็มเสียง เพราะกลัวจะไม่ทันความเร็วของคนตัวผอมบาง

“จะรีบไปไหน คลาสยังไม่เริ่มไม่ใช่หรอ” พาทิศรีบก้าวเท้าเดินไปให้ถึงตัวคนที่หอบหายใจ หลังจากหยุดเพราะเสียงเรียก
   
“พา...”
   
“เป็นไงบ้าง”
   
ปูนดูซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มที่แลดูสุขภาพดี และสดใส ไม่เหลือเค้าอีกเลย คนตรงหน้าราวกับคนละคน ใต้ตาดำคล้ำเหมือนไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอทำให้ปูนยิ่งดูโทรมมากทีเดียว
“สบายดีหรือเปล่า” เขาถามทั้งที่เห็นสภาพดี แต่มันไม่มีคำทักทายที่ดูปกติได้เท่านี้อีกแล้วไม่ใช่หรือไง หลังจากวันนั้นพาทิศไม่ได้ติดต่อใครกระทั่งปูน เขาบินไปอิตาลีหลังจากเกิดเรื่องได้ไม่นาน และละทิ้งทุกเรื่อง ทุกอย่าง และทุกคนไว้เบื้องหลังโดยไม่ได้สนใจอะไรอีก มันคือการหนีปัญหาของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สามารถรับอะไรไหวอีกต่อไป แต่เมื่อเห็นปูนวันนี้มันไม่ใช่แค่ตัวเขาคนเดียวที่อยากหนี และรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ไหว ปูนเองก็คงไม่ต่างกัน

“อะ อื้อ สบายดี แต่ค่อยคุยได้มั้ย เราต้องรีบไปทำงานน่ะสายแล้ว”

“อ่อ ทำงานที่ไหนหรอ”

“ร้านกาแฟใต้ตึกบริหาร เราไปก่อนนะ”

พาทิศเพิ่งสังเกตว่าปูนไม่ได้ใส่ชุดนิสิตเหมือนเขา กลับสวมชุดพนักงานร้านกาแฟที่มีเฟรชไชส์ทั่วโลก น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับปูนไม่ต่างกัน

ผู้ชายที่ไม่เคยต้องกระเสือกกระสนทำงานถ้าไม่อยากทำกลับต้องรีบวิ่งตัวเป็นเกลียวเพื่อไปเข้างานให้ทัน แทนที่จะได้เข้าเรียนเหมือนคนอื่น ในใจพาทิศเริ่มเป็นห่วง แม้จะเคยเผชิญเหตุการณ์ย้ำแย่แค่ไหน แต่อย่างไรเขาก็คือเพื่อนคนหนึ่ง

เพื่อนที่ผ่านสถานการณ์ความเป็นความตายอยู่ตรงหน้ามาเหมือนกัน




-------------------------8-------------------------



หายไปนานอีกแล้ววววว แต่กลับมาแล้วนะ กลับมามีไฟกว่าเดิมนิดนึง5555555
ใครที่รอให้คริสต์มุนินทร์มาแร้วนะคะ ไม่ผิดหวัง บด ๆ ยั่ว ๆ จ้าแม่
ตัวละครลับเปิดแล้วด้วย เกียวทิชชู่ให้พี่ธามไว้เรย นังคริสต์มันร้ายนะคะหัวหน้า

เจอกันตอนที่ 9 ไม่ช้าไม่เร็วอืด ๆ แต่มาแน่เหมือนกัน

ร้ากกก

รออ่านคอมเมนต์นะคะ

บี

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
สายไหม


พาทิศมาขอทำงานที่ร้านเหล้าเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาอยากจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติให้เร็วที่สุด เพื่ออย่างน้อยให้คนที่บ้านรู้สึกสบายใจที่เขาสบายดี ซึ่งเฮียเจ้าของร้านก็ยังใจดีไม่เปลี่ยนให้กลับมาทำงานไม่พอยังบอกว่าพร้อมก็มาได้เลยมีอะไรคุยกันได้ตลอด เฮียเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทาลัยนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่ารุ่นไหน คณะอะไร เพราะไม่มีคนเคยถาม แม้แกจะดูใจดี แต่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ต้องคุมร้านเหล้าทำให้ต้องขึงขัง และเคร่งขรึม เพื่อให้อย่างน้อย ๆ ใครจะมากร่างหรือทะเลาะกันที่นี่ก็จะได้เกรงใจเฮียแกบ้าง

อาทิตย์อัสดงตามเวลาของมัน แสงสว่างริบหรี่ลงเรื่อย ๆ แต่ชีวิตผู้คนในย่านเศรษฐกิจกลับคึกคักสวนทาง หลายคนเพิ่งเริ่มการใช้ชีวิตช่วงเวลานี้เอง หรือหลายชีวิตยังคงต้องทำงานต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก พาทิศมองภาพผู้คนเดินขวักไขว่หน้าร้านเหล้าเพื่อรอเวลาเริ่มงานมาได้สักพัก เพราะเขาคิดไม่ออกว่าจะไปไหน กระทั่งไปกับใคร เพราะยังไม่อย่าโดนคำถามมากมายรุมเร้า แม้แต่ไอ้พอร์ชหรือไอ้เหนือโทรมาหลายสายยังไม่มีกะจิตกะใจจะรับ
   
“พา...” ปูนอยู่ในชุดทำงานเมื่อเช้าเดินเท้าลงจากรถไฟฟ้ามาร้านเหล้าเพื่อมาทำงานเหมือนทุกวัน เขาตกใจไม่น้อยที่เจอผู้ชายคนที่เจอเมื่อเช้า ทั้งที่พยายามเลี่ยงตอนกลางวันไปแล้ว
   
“อ้าวปูน ยังทำงานที่นี่หรอ” พาทิศแปลกใจที่เห็นปูนที่นี่ ทั้งที่เมื่อเช้าปูนก็ไปทำงานมาแล้ว นี่ยังจะมาทำงานช่วงเย็นอีก ถึกไปหรือเปล่า
   
“ก็ อื้ม ทำอยู่ตลอดแหละ แล้วนี่พากลับมาทำงาน?”
   
พาทิศเพิ่งได้มีโอกาสมองหน้าคนตรงข้ามอย่างชัด ๆ ปูนผิวคล้ำลงและกร้านขึ้นเล็กน้อย ใต้ตาก็คล้ำแถมยังมีริ้วรอยเล็ก ๆ เต็มไปหมด มันชัดเจนว่ามีสิ่งที่เปลี่ยนผู้ชายสำอางคนนี้ไปอย่างหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย
   
“ใช่ เราขอเฮียกลับมาทำงานน่ะ”

“...”

“นี่นั่งคุยกันหน่อยมั้ย อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะเข้างาน”
   
ปูนมีสีหน้าลำบากใจเพราะเขาตั้งใจจะไปหาที่งีบหลับสักหน่อยก่อนเริ่มงาน แต่พอเห็นผู้ชายตรงหน้าที่สภาพไม่ได้ต่างกัน ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่าก็ไม่ได้สบายใจขึ้นอย่างที่ควร ช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมามันหนักมากจริง ๆ สำหรับเขา มีคนมาถามไถ่ก็ยังดี
   
“พาเป็นไงสบายดีมั้ย ช่วงที่ผ่านมาไปอยู่ที่ไหนหรอ” น้ำเสียงของปูนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดเจนคนถูกถามคิดว่าน่าจะเป็นเขามากกว่าที่ถามคำถามนี้
   
พาทิศไม่ได้ตอบทันที แต่มองหน้าปูนอยู่นาน ก่อนจะยิ้มให้บาง ๆ “เหนื่อยหรือเปล่า ทำงานทั้งวันเลย”
   
ปูนไม่ได้คาดคิดว่าพาทิศจะถามเขาคืนด้วยคำถามที่อยากให้มีคนถามมาก ๆ มันเหมือนได้กุญแจปลดล็อคจากเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น พยายามจะไม่มีช่วงเวลาแบบนี้เพราะต้องเข้มแข็งให้มากที่สุดเพื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป แต่สุดท้ายความอ่อนแอจากความเหนื่อยล้า และท้อถอยที่ต้องพบเจอมาโดยตลอดก็พังทลาย ปูนร้องไห้ออกมาอย่างไม่เคอะเขิน เขาเหมือนรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน บ้านหลังสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะได้พึ่งพิง แต่แล้วบ้านหลังนั้นก็หายไปในช่วงเวลาที่เขาย้ำแย่ที่สุด แต่ไม่เคยถามหาเหตุผล ไม่เคยตามหาเพราะคิดว่าบ้านหลังนี้ก็ต้องซ่อมตัวเองเหมือนกัน แต่พอได้เจอบ้านหลังเดิมอีกครั้ง เขาก็อุ่นใจเหมือนได้กลับบ้านอันอบอุ่นหลังเดิม

มือที่เริ่มหยาบกร้านยกขึ้นปิดหน้าอย่างฟูมฟาย คนข้าง ๆ ดึงผู้ชายตัวเล็กกว่าเขาไปกอด โดยที่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเพื่อนคนนี้ต้องร้องไห้ขนาดนี้ แต่เขาก็พร้อมจะรับฟัง คิดในใจว่าทำไมเขาถึงให้คน ๆ นี้ต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายแค่ไหนนะในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ปูนผละตัวออกจากอ้อมแขนพาทิศ เดี๋ยวจะไม่ได้สาระสำคัญอะไรถ้ามัวแต่ร้องไห้ “ฮึก เราขอบคุณนะที่ถาม แล้วก็ขอโทษที่ทำอะไรน่าอายแบบนี้ ดูสิขี้มูกเลอะเสื้อไปหมดเลย”

“ช่างมันเถอะ บอกเราได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น” พาทิศใช้สายตาแสนอ่อนโยนที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าเผลอทำแบบนั้นออกไป ก่อนจะใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้คนที่ร้องไห้อย่างแผ่วเบา เขาแค่รู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ เลยทำอะไรแบบนี้โดยไม่รู้ตัว

“อื้อ ตอนเกิดเรื่องนั้นช่วงแรกเราก็เสียศูนย์ไปเหมือนกันคนอื่น ๆ นั่นแหละ แต่มันเป็นแบบนั้นอยู่ได้ไม่นาน...”ปูนหายใจลึกก่อนจะพูดประโยคที่น่าสะเทือนใจออกมา “เพราะพ่อของเราประสบอุบัติเหตุ รถชนตอหม้อบนทางด่วน เพราะหักหลบคนเมาแล้วขับ ตอนนั้นพ่อเราหมดสติอยู่สองอาทิตย์ ก่อนจะฟื้นแล้วเป็นอัมพาต”

“ปูน...”

“ฮึก คือเราก็ไม่รู้จะบอกใครได้ ตอนนี้ธุรกิจที่พ่อลงทุนไปก็ไม่มีใครบริหาร เพราะเรากับแม่ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย แม่พยายามกลับไปทำงานแต่ก็ยากเพราะแม่ไม่ได้ทำงานมาเป็นสิบ ๆ ปี มันเลยยุ่งเหยิงไปหมด เงินที่ใช้ในการรักษาพ่อก็เพิ่มพูนจนประกันไม่ครอบคลุมหลายอย่าง”

“...”

“ลูกค้าที่พ่อเคยมีก็เริ่มไปใช้บริการเจ้าอื่น รายได้ลดลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น เราไม่รู้จะช่วยแม่ยังไง บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวย แค่เราไม่ได้ลำบาก แต่พอมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเราเลยต้องหางานทำเพิ่ม อย่างน้อย ๆ แม่จะได้ไม่ต้องมาดูแลเรามาก”

“ทำไมปูนไม่บอกใครเลย ทำไมไม่...” พาทิศจะพูดต่อว่าทำไมถึงไม่บอกใคร แต่เขาฉุกคิดได้ว่าก็ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ไทย และปูนไม่ได้มีเพื่อนมากมาย นอกจากต้นไม้และข้าวปั้น ปูนก็แถมไม่สนิทกับใคร ซึ่งเขาควรจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายแต่แล้วก็ไม่อยู่...

“มันอาจจะเป็นเวรกรรมที่เราทำกับข้าวปั้นก็ได้ นี่คือสิ่งที่เรากำลังได้รับ”

“...”

“ข้าวปั้นเราได้รับมันแล้วนะ เราขอโทษ ฮึก ฮือ” พาทิศมองคนที่กำลังร้องไห้ด้วยสายตาที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บปวด บาดลึกไปถึงแผลเก่าที่เมื่อโดนสะกิดก็เลือดไหลเพราะมันไม่เคยหายเลย เขาคิดวกวนในหัวว่าทำไมปูนถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทำไมเขาถึงไม่อยู่ขณะที่ปูนลำบาก

เวรกรรมของปูนอาจจะไม่ใช้ข้าวปั้นแต่เป็นเขาเอง

คนปากหนักเมื่อก่อนเป็นอย่างไรวันนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน พาทิศมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยออกไปเพื่อให้คนที่กำลังร้องไห้ทุเลาลง แต่แล้วคนไร้อารยะอย่างเขาก็ทำได้แค่วางมือที่ผมของปูนก็จะลูบมันเบา ๆ อย่างน้อยให้เขาได้นั่งตรงนี้ ได้อยู่ในช่วงเวลาที่เพื่อนคนนี้ไร้ที่พักพิงก็ยังดี

“ระ เราไม่รู้จะทำยังไง ฮึก เราสงสารแม่ เราสงสารพ่อ”

“ปูนใจเย็น ๆ ก่อนนะ ระ เราพอจะช่วยอะไรได้มั้ย” มันยากเหลือเกินที่จะพูดจาดี ๆ ใช้คำพูดดี ๆ ปลอบใคร จริง ๆ พาทิศอยากพูดว่าเราจะช่วยปูน แต่แล้วคำพูดที่ออกไปก็ได้แค่นี้ งงเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรกับคนร้องไห้ “คือ แบบว่าเรายินดีที่ เอ่อ จะรับฟังนะ” นี่ก็อีก พาทิศหงุดหงิดตัวเองเหมือนกันที่เขาโง่จริง ๆ กับการเลือกใช้คำดี ๆ

“เราขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไร เรายังไหว วันนี้อาจจะเป็นวันที่ไม่ดีของเราเองแหละ” ปูนเช็ดน้ำตาลวก ๆ เขารู้สึกขึ้นเป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา แม้คำพูดของพาทิศจะเป็นการให้กำลังใจแบบผ่าน ๆ ไป แต่มันก็ดีมากแล้วสำหรับคนที่เคยได้รับจากใครเลย
 
เราสองคนนั่งเงียบราวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวหยุดลง ทั้งที่ความจริงผู้คนยังเดินสวนกันไปมา ความจอแจบนถนนที่ติดขัดสร้างมลพิษทางเสียงจนน่ารำคาญ แต่ผู้ชายสองคนกลับนิ่งสงบไม่ต่างจากนั่งอยู่ในป่าลึกไร้สิ่งมีชีวิต การเกิดเรื่องราวหลายอย่างมันทำให้ความคิดตกผลึกเป็นตะกอนที่ขุ่นคลักในใจ 

“ปูน...ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาหรอก” นานเสียทีเดียวที่กว่าพาทิศจะพูดคำนี้ออกมา แต่เขาเองที่รู้ดีว่าการพยายามทำตัวเข้มแข็งยิ่งทำให้อ่อนแอ...พาทิศรู้ดีกว่าใคร จนทุกวันนี้ความเข้มแข็งที่เคยมีมันริบหรี่เสียจนเขาไม่มั่นใจว่าจะกลับไปเป็นพาทิศคนเดิมได้อีกไหม

คนที่ได้ฟังประโยคนี้ไม่ต่างจากถูกลูกกุญแจไขเข้ามาที่ห้วงความรู้สึกที่ปิดล็อกอย่างแน่นหนา และเป็นปูนเองที่ล็อกมันเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาอ่อนแอแค่ไหน โดยเฉพาะแม่ ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักมากที่สุดแม้จะไม่เคยบอกออก
ไป “อะ อื้อ เราไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ”

“เข้าใจ แต่ถ้าไม่ไหวต่อไปก็บอกแล้วกัน” ยิ่งปูนได้ฟังสิ่งที่พาทิศพูด เขายิ่งเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายทาง ทั้งที่มันเคยมืดมนจนไม่เห็นทางว่าจะไปต่ออย่างไร แต่วันนี้มันมีลำแสงเล็กอยู่ไกล ๆ เป็นความหวังเดียวในนาทีที่อยากทำให้เขาต่อสู้กับสิ่งที่เผชิญให้จนสุดทาง

“ขอบใจนะ” ปูนไม่อายที่จะเอื้อมมือไปจับผู้ชายที่มองหน้าเขาด้วยสายตาใจดี พาทิศเปลี่ยนไปมากในความรู้สึกของปูน ภายนอกยังดูเหมือนพาทิศคนเดิม แต่แววตาที่เคยแข็งกร้าว มั่นใจ มุทะลุ มันจางหายไปเสียหมด หลงเหลือแต่ความหม่นหมอง เศร้า และรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา และปูนรู้ดีว่าเหตุผลเดียวที่พาทิศเป็นเช่นนี้เพราะคน ๆ เดียว

เพราะพาทิศรู้สึกกับคน ๆ เดียวมาตลอด
ข้าวปั้นไม่เคยตายไปจากใจของพาทิศเลยสักวินาที





ยิ่งดึกบรรยากาศยิ่งคึกคัก ราตรีที่ไม่เคยหลับใหลของเหล่านักเที่ยวที่มาเสพบรรยากาศแห่งความมอมเมา และลุ่มหลงไปกับแสงไฟ เสียงดนตรี การสนทนาที่แตกต่างไปจากกลางวัน มันชวนให้หลงใหล เต็มไปด้วยกิเลส ราคะ ที่พร้อมจะปลดเปลื้องอารมณ์ดิบให้กระเจิดกระเจิง

ผู้ชายสองคนเดินเข้ามาในที่นี้ไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้าหาแสงไฟ เป็นครั้งแรกที่เจอกันหลังจากค่ำคืนที่เกือบจะพลั้งเผลอสร้างความสัมพันธ์ทางกายกัน ผู้ชายตัวโตกว่าโอบไหล่อีกคนที่สูงไม่ถึงหูบนของเขา สอดสายตาหาโต๊ะว่างก่อนจะเดินไปจับจองที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์สองที่พอดี “ป่ะ ตรงนั้นว่าง”

“ทำไมชอบมือไว”

“แต่ก็ไม่ห้ามนิ จะได้รู้ว่ามีคนมาด้วยไง”

“เดินติดกันขนาดนี้อีกนิดจะสิงอยู่แล้ว เขาไม่รู้มั้ง” คริสต์ตอบกลับแต่ก็ไม่ได้ปัดป่ายแขนแกร่งออกอย่างที่ปากว่า เขาเล่าเรื่องคืนนั้นให้เคฟัง อีกฝ่ายได้แต่อุทาน เพราะไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ โดนบ่นเสียจนหูชา แต่สุดท้ายเคก็ทำได้แค่เตือนว่าอีกฝ่ายน่ะยิ่งกว่าไฟ เล่นกับไฟถ้าดับไม่ทันก็คงโดนไฟเผา
ผ่านความตายมาได้แค่โดนไฟเผาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก

“รับอะไรดี...ครับ”

บาร์เทนเดอร์เสียงตกร่องเพราะสบตากับลูกค้าหน้าตาคุ้นเคย พาทิศรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยบาร์เทนเดอร์วันนี้ เขาขอเฮียเจ้าของร้านทวนสูตรต่าง ๆ อีกสักพักก่อนจะกลับไปชงเหล้าเหมือนเดิม แจ็กพ็อตวันแรกก็ไม่เบาเลย เขาคิดในใจ

“ยูอยากดื่มหรือเปล่า” ผู้ชายหน้าตาอีกจัดข้าง ๆ ตามซ้ำ

“อืม ก็ได้ วอดก้าแล้วกัน” คริสต์สบตาพาทิศคล้ายเป็นคำสั่ง และไม่มีอะไรนอกจากสื่อเพียงเท่านี้ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้ และหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ แทน

“หื้ม เพียวเลยหรอ”

“อ่าฮะ”

“ขอวอดก้า กับม็อคเทลซิกเนเจอร์แล้วกัน”

พาทิศใจกระตุกกับรอยยิ้มของคริสต์ ภาพวันแรกของผู้ชายสดใสที่มหาวิทยาลัยยังคงฉายชัดในหัวของคนโง่อย่างเขา และรอยยิ้มเมื่อครู่มันเหมือนเหลือเกิน เหมือนข้าวปั้นนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขายังเชื่อมั่นว่าคริสต์คือข้าวปั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ข้าวปั้นไม่ดื่มของมึนเมา หรือถ้าดื่มก็ไม่สั่งอะไรที่แรงขนาดนี้ หลายสิ่งหลายอย่างมันค้านกับความเชื่อในใจ และรอยยิ้มนั้นไม่ได้ให้แค่ตัวเขา กลับแจกจ่ายไปให้ผู้ชายอีกคนข้าง ๆ เขาด้วยเช่นกัน

ทั้งที่ยิ้มแบบนี้เขาเคยได้เพียงคนเดียว


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
พาทิศสะบัดไล่ความคิดเพ้อฝันออกจากหัว ก่อนจะเดินไปจัดการเครื่องดื่มให้ลูกค้าทั้งสองคน เพื่อที่เขาจะได้ละสายตาจากภาพที่ไม่น่าพิสมัยต่อหัว มูฟออนของเขาก็คงไม่ต่างจากคนเมา เดินข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังอีกสาม...

“บาร์เทนเดอร์มองยูเหมือนรู้จัก” ธามฉวยโอกาสตีสนิทกับอีกฝ่ายด้วยการใช้สรพพนามกลาง ๆ ไว้ใช้เรียกแทนกัน ดีกว่าคำว่าพี่น้อง ซึ่งเด็กที่ดูอินเตอร์อย่างคริสต์ก็แทบไม่ติด กลายเป็นยูแอนด์ไอไปโดยธรรมชาติ

“อ่าฮะ เพื่อนพี่ชายไอเองแหละ ชื่อพาทิศ หล่อเนอะ” คริสต์พูดอย่างสบาย ๆ ถ้าเคมาเห็นคงให้คะแนนสิบดาว การแสดงถ้าฝืนมันจะดูออก แต่ถ้ามันก้าวข้ามคำว่าแสดงแต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร จิตวิทยาง่าย ๆ ที่เคถ่ายทอดมาให้ ซึ่งการปรับมายด์เซ็ทและความรู้สึกมันสำคัญมาก แต่มันขับเคลื่อนด้วยความแค้นเต็มอก เรื่องยาก เรื่องที่ไม่เคยทำ เรื่องที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ก็เกิดขึ้นในบัดดลยิ่งกว่าเสกมนต์

“หล่อเกินกว่าจะมาเป็นบาร์เทนเดอร์ ทำไมยูไม่ทักเขาหน่อย” คริสต์ค่อนข้างชอบที่ธามไม่ได้เป็นคนบ้าบอหรือไร้สติมาหึงหวง เขาเป็นผู้ชายที่เปิดกว้าง เพราะความสัมพันธ์ของเรายังไม่มีอะไรผูกมัด แฟร์ดี

“ก็ไม่ได้สนิท”

“แต่เขาดูตกใจที่เจอยูยังไงไม่รู้” สายตาของพาทิศเมื่อครู่ไม่ต่างจากเจอผีนัก เพราะถ้าข้าวปั้นนั่งอยู่ตรงนี้ก็ผีหลอกดี ๆ นี่เอง เขาไม่แปลกใจว่าใบหน้าของเขาคงหลอกหลอนคนที่รู้จักข้าวปั้นได้ไม่น้อยเลยล่ะ แต่ท่าทีตกใจและกังวลก็ไม่สมกับเป็นพาทิศเท่าไหร่ คนกล้าท้าชนอย่างเขาจะมากลัวอะไรแค่คนหน้าเหมือน ผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมาขนาดนั้น

“เพราะไอหน้าเหมือนพี่ชายมากน่ะ แต่เขาตายไปแล้ว”
เพียงคำพูดเบา ๆ ว่าข้าวปั้นตายไปแล้ว ก็ลอยไปกระทบโสตประสาทการได้ยินของพาทิศได้อย่างจัง เขาเริ่มไม่มั่นใจจริง ๆ แล้วว่าคนนี้คือข้าวปั้น ใครจะมาเล่าเรื่องพี่ชายตัวเองตายให้คนอื่นฟังได้อย่างปกติขนาดนี้กันนะ?

“ไอเสียใจด้วยนะ ไอเข้าใจความรู้สึกนี้ดี”

“อื้อ ไอก็เลยเข้าใจเรื่องน้องชายของยู แต่เขาไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่ในความคิดถึงนี่แหละ” คริสต์อมยิ้มเมื่อพูดถึงพี่ชายที่อยู่ในทุกอณูความรู้สึกและเลือดเนื้อของเขา ธามใช้มือใหญ่ลูบเส้นผมของคนข้าง ๆ อย่างแผ่วเบา เขาชักจะหลงใหลรอยยิ้มนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ยิ่งได้ยินเรื่องราวที่คล้ากันเช่นนี้มันยิ่งทำให้เขาผูกพักกับคนตรงหน้ามากขึ้น

“เครื่องดื่มได้แล้วครับ” พาทิศไม่ได้จะขัดจังหวะอะไร เขาเพียงเสิร์ฟเครื่องดื่มตามหน้าที่ ก่อนจะหันหลังเพราะไปทำเมนูอื่นต่อ ภาพที่ลอบมองสองคนคุยกัน มองตากัน ยิ้มให้กัน มันทำให้เขาแน่ใจว่าความสัมพันธ์ของคนสองคนคงไม่ใช่แค่เพื่อนที่มานั่งดื่มแก้เหงา ภาพในไอจีของคนที่ชื่อธามลง เขาเห็นผ่าน ๆ จากหน้าฟีดเฟซบุ๊ก พร้อมแคปชั่นสั้น ๆ ‘chance’ ก็คงไม่ต้องเดาอะไรแล้ไม่ใช่หรือไง

“พา พา พา!”

“ห้ะ อ้อ ปูนเอาอะไรหรอ”

“ขอซิกเนเจอร์สองที่ เป็นอะไรหรือเปล่าเราเรียกตั้งนานแล้ว”

“ไม่มีอะไร แป๊บนะเดี๋ยวทำให้”

ปูนมองตาสายตาที่พาทิศมองไปก่อนที่ลงมือทำเมนูที่เขาสั่ง และเขาก็ได้พบคำตอบของอาการเหม่อลอยที่ว่า ผู้ชายหน้าเหมือนข้าวปั้นคนนั้นคงทำให้พาทิศเขวไม่น้อย เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าคนสองคนจะเหมือนคนขนาดนี้ แต่ตอนได้มองใกล้ ๆ ปูนก็สัมผัสได้ว่าคน ๆ ต่างจากข้าวปั้นอย่างบอกไม่ถูก หรือเขาไม่เคยสังเกตเพื่อนคนนี้อย่างถ้วนถี่กันแน่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงทำดีกับข้าวปั้นมากกว่านี้

“อะนี่ได้แล้ว รีบไปเสิร์ฟเถอะเดี๋ยวลูกค้ารอ”

“พา ไม่เป็นไรนะ” ปูนพูดพร้อมมองไปยังคนที่นั่งอีกฝากเคาน์เตอร์

พาทิศไม่ได้ตอบอะไรได้แต่หลบสายตาและทำเป็นทำนู้นทำนี่ตามนิสัยคนที่ไม่ชอบเปิดเผยความรู้สึก แม้ว่าตัวเองจะอ่อนแอเจียนจะตายแค่ไหนก็ตาม

ค่อนคืนผ่านไปแล้ว คนในร้านก็ยิ่งคึกคัก ดนตรีกลายเป็นบีทหนัก ๆ ให้สายแดนซ์ได้โชว์สเตป แต่ลูกค้าที่มาดื่มคนเดียวหรือสั่งเครื่องดื่มที่ต้องทำใหม่น้อยลง พาทิศจึงปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ และวางแผนจะดูดบุหรี่สักมวน เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสองคนที่กวนใจเขามากนัก นอกจากเผลอสายตาไปมองบ้าง มีจังหวะที่ลูกค้าเยอะหันมาอีกทีก็ไม่เห็นกระทั่งเงาของทั้งคู่ สงสัยจะย้ายไปนั่งที่อื่นหรือไม่ก็คงกลับแล้ว ตอนนั้นเขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา บอกตามตรงว่ามันยากเหมือนกันที่จะทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเลยกับภาพเหล่านั้น

ในเมื่อภาพข้าวข้าวปั้นซ้อนทับภาพของคริสต์ในสายตาของพาทิศตลอด

มันเหมือนเป็นสิ่งติดค้างในใจว่าทำไมตอนที่เขามีโอกาสถึงไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกเลย ทำไมถึงปล่อยให้คนที่รักเต็มหัวใจมาตลอดรักคนอื่นต่อหน้าต่อตา หรือทำไมเขาไม่กล้าแม้จะพูดออกไปว่าเป็นเขาเองในคืนนั้นไม่ใช่ใครอื่น อย่างน้อย ๆ ให้เขารับรู้ถึงความจริงใจ ไม่ใช่การหลอกลวง และสุดท้ายก็จากไปด้วยความรู้สึกแบบนั้น

ทำไมวะ


ควันบุหรี่ลอยคลุ้งในอากาศยามค่ำคืน เหล่านับสูบรมควันกันเองในจุดสูบบุหรี่ที่ร้านจัดไว้ให้ สูดหายใจรับความร้อนและกลุ่มควันเข้าปอดอย่างเต็มใจ เขาไม่ได้สูบบุหรี่บ่อยเท่าเมื่อก่อน ตั้งแต่ไปอยู่อิตาลีก็แทบไม่สูบอีกเลยเพราะมันทำลายอากาศดี ๆ ของที่นั่น และทำให้เขารู้ว่าจริง ๆ หายใจปกติมันเต็มปอดกว่าดูดบุหรี่เยอะ แต่วันนี้เขาอึดอัด รู้ว่าบุหรี่มันช่วยอะไรไม่ได้หรอก แค่อยากจดจ่อกับอะไรสักอย่างไม่ให้ฟุ้งซ่าน และคิดอย่างอ่างเดียวคือควันบุหรี่

“พอจะเหลือสักมวนมั้ย?”

เสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นหลังเขา และไม่ต้องเดาว่าใคร ต้นเหตุที่เขามาดูดบุหรี่ตรงนี้ พาทิศไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยื่นซองบุหรี่ในมือให้ “ไม่มีไฟแช็กนะ”

“งั้นขอต่อหน่อย” ไม่ทันได้ตอบรับคนตัวเล็กกว่าก็ยื่นหน้าพร้อมคาบบุหรี่ที่ปากมาต่อไฟปลายบุหรี่สั้นใกล้หมดมวนอย่างหน้าตาเฉย ความใกล้ชิดไม่เกินห้าเซนติเมตรทำให้ร่างสูงมองเห็นรายละเอียดของคนตรงหน้าได้ระดับฟูลเอชดี สันจมูกมน แก้มเนียนละเอียด แพขนตายาวพอจะทำให้ดวงตามีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ ปากสีพีชกำลังคาบบุหรี่ยิ่งชวนหลงใหลพาลให้ใจเต้นระส่ำ เวลาไม่กี่วินาทีพาทิศก็ยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น แม้เขาจะรู้ดีว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คิดไปว่าคริสต์คือข้าวปั้นตลอดเวลา ดวงหน้าที่เขาหลงรักมาตลอดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว จะผิดไหมถ้าเขาจะรู้สึกกับคน ๆ นี้เพราะช่างเหมือนข้าวปั้นเหลือเกิน

เขาพยายามปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจตั้งแต่พบคริสต์วันแรกที่เปิดเทอม จนวันนี้เขายิ่งใจเต้นกับคริสต์ราวกับมีข้าวปั้นยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าสองคนนี้เป็นคน ๆ เดียวกันหรือไม่ หรือเพราะใจเขาเองที่ยัดเยียดให้คริสต์คือข้าวปั้นเพราะยังรับไม่ได้กับการสูญเสีย

ถ้ามันจะเยียวยาทุกอย่างได้จะผิดไหมถ้าเขาจะรักคริสต์อีกคน...


“คริสต์” เสียงทุ้มจากที่มุมร้านเดินมาเรียกผู้ชายที่มากับเขา คริสต์ผละตัวออกจากระยะอันตรายจากการต่อบุหรี่ ซึ่งแท่งนิโคตินก็ดันติดไฟพอดี เขาหันไปยกมือให้คนเรียกและพ่นควันสีเทาออกจากปากอย่างชำนาญ

ธามเห็นภาพของความใกล้ชิดระหว่างคริสต์และเพื่อนของพี่ชายที่มันค่อนข้างเกินควรในความรู้สึกเขา เพียงแต่เขาทำอะไรไม่ได้มากกว่าการทำให้คนที่มากับเขารู้ตัว และเลิกทำอะไรที่เหมือนเขาไม่มีตัวตนในคืนนี้เสียที ธามสังเกตเห็นอยู่เรื่อย ๆ ว่าคริสต์เฝ้าลอบมองและสอดสายตามองไปยังบาร์เทนเดอร์คนนั้นอยู่บ่อย ๆ เขาไม่รู้ที่บอกว่าไม่ได้สนิทกันมันจะเชื่อได้แค่ไหน เพราะฉากเมื่อต่อบุหรี่เมื่อครู่มันเป็นการอ่อยอีกฝ่ายอย่างเต็มประดา เขาจัดเจนเรื่องพวกนี้ดีทำไมจะไม่รู้

"ไอมาตามยูออกมานาน”

“นานอะไรยังไม่ถึงห้านาทีเลย เว่อร์จริง”

“นานสำหรับไอไง”

ธามใช้โอกาสนี้โอบเอวคริสต์ต่อหน้าอีกคนที่เร่งสูบบุหรี่ให้หมดมวน เพราะไม่ได้อยากเห็นภาพอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่

“ดีครับ ธามนะครับ” พาทิศหันไปมองหน้าคนทักทาย เขาไม่ได้อยากสร้างศัตรูหรือมีเรื่องกับใคร แต่สายตาของผู้ชายด้วยกันมันดูออก ว่าเขาไม่ได้อยากทำความรู้จักอย่างมีจิตไมตรี คงจะเห็นฉากต่อบุหรี่ที่โคตรจะชวนให้เข้าใจผิด

“ครับ พาทิศครับ”

“เรียนคณะไหนหรอ”

“ปี 2 หมอสัตว์”

“อ้อ เรียนคณะเดียวกับยูด้วยหรอ”

ธามหันไปถามคนที่กำลังกลืนควันอีกรอบด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่คริสต์รู้ว่าธามกำลังแสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน ซึ่งเขาค่อนข้างไม่ชอบใจ แต่พอเห็นสายตาของพาทิศแล้วเขาดันพอใจ ถ้าเป็นในละครเขาก็คงเป็นนางร้ายสุดสวยที่มีผู้ชายมาแย่ง

“อ่าฮะ ไม่ได้บอก ไม่รู้ว่าต้องบอกอะ สำคัญด้วยหรอ”

“ก็ไม่...”

“หมดมวนละ กลับเถอะ ขอบใจนะพา ไปละ” คริสต์ไม่ได้รอให้ธามตอบอะไร เพราะเขารู้สึกว่าควรตัดบทเพื่อให้ความสงสัยต่าง ๆ ยังคงอยู่ตรงนี้ ไม่เช่นนั้นความลับจะถูกรับรู้จากคนมากขึ้นจนเขาคอนโทรลอะไรไม่ได้ และธามก็แค่หมากตัวหนึ่งซึ่งไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากไปกว่านั้น

ถ้าให้เทียบกันธามกับพาทิศเขาเลือกพาทิศ
ไม่ใช่เพราะพิศวาสแต่เพราะสิ่งที่พาทิศทำไว้กับข้าวปั้นต่างหาก



สองคนนั้นเดินออกจากร้านเหล้าและขับรถออกไป พาทิศมองจนลับสายตา เขารู้สึกหลากหลายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนยืนยันด้วยตัวเองได้แล้วว่าคริสต์และข้าวปั้นคนละคนจริง ๆ เขาสองคนแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว คริสต์ห่างไกลจากข้าวปั้นที่เขารู้จักมาสองปีราวนกที่ปราดเปลี่ยวและปลาดาวแสนเยือกเย็น

นกที่พร้อมจะโบยบินเสมออย่างคริสต์ไม่เหมาะที่จะจับใส่กรงไว้ครอบครอง ยิ่งอยากเป็นเจ้าของยิ่งหลบหนี ทว่าปลาดาวอย่างข้าวปั้นก็เยือกเย็นเกินกว่าจะเข้าถึงความคิดและจิตใจ แต่พร้อมจะมอบทั้งชีวิตให้กับความรักที่พบเจอได้อย่างง่ายดาย

ครืด ครืด

[Cottoncandy : ข้าวปั้นกลับมาเรียนหรอ?]

พาทิศพึมพำกับตัวเองว่าเขาลืมคนสำคัญที่รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดอีกคนไปได้อย่างไร สายไหมคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาและข้าวปั้น เธอรับรู้ทุกความรู้สึกของเขาและข้าวปั้นเป็นอย่างดี และคงตกใจไม่น้อยว่าทำไมวันนี้ข้าวปั้นที่เธอเห็นกับตาว่าจากพวกเราไปแล้วกลับมาเรียน

[Cottoncandy : เป็นชื่อจริงด้วยอะ?]

สายไหมคงเข้าใจผิดไม่ต่างจากวันแรกที่พาทิศเจอคริสต์ กฤษตฤณสักเท่าไหร่ หากจะเริ่มพูดเรื่องนี้กับใครคงต้องเป็นสายไหมนี่แหละ




สายไหมถูกเรียกมาจัดเอกสารที่โต๊ะอาจารย์ป้าของเธอตามปกติ แต่ดันเห็นเอกสารของนิสิตสองคนวางอยู่ที่โต๊ะของป้าเธอที่เป็นรองคณะบดี ความเป็นคนช่างรู้จึงเปิดแฟ้มเอกสารนั้น และทำให้เธอตกใจสุดขีดกับภาพชายในชุดนิสิตที่เธอจำได้ไม่มีวันลืมไปจากความคิด ข้าวปั้นกลับมา! ทั้งที่เธอเห็นวิกฤติครั้งนั้นเองกับตาว่าข้าวปั้นจากทุกคนบนโลกไปแล้ว

เอกสารเปลี่ยนชื่อนี้คืออะไร?
สรุปแล้วการตายของข้าวปั้นคืออะไรกันแน่?
และการกลับมาของข้าวปั้นในชื่อใหม่คืออะไร?



--------------------------------9-----------------------------



เป็นนิยายสืบสวนเข้าไปทุกที ย้ำว่ายังเป็นนิยายรักใส ๆ อยู่น้าาาาา
สรุปข้าวปั้นจะตายหรือไม่ตาย งงแล้วจ้าแม่
พาทิศเหมือนไบโพลาร์เข้าทุกวัน555555555
เอ็นดูปูนเนอะะะ
เป็นกำลังใจให้นุ้งด้วยยย

อย่าลืมเมนต์ให้กำลังใจกานน

ปล.มีความแก้ชื่อตอนต่าง ๆ เพื่ออรรถรสสส

ขอบคุณที่ติดตามค่า

บี @mifengbeexx




ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ wanida023

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ซับซ้อนไปอี๊กกก
เป็นกำลังใจให้นักเขียนน้าา

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
ที่พึ่งพิง
[/b][/size]


สายลมเอื่อยพัดจากริมฝั่งแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงผู้คนแถบนี้ ความเย็นสบายส่งถึงทุกสิ่งมีชีวิตที่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำ รวมถึงชายหนุ่มวัยรุ่นที่มักจะปลีกตัวเองจากความจอแจของเมืองหลวงเพื่อมาที่นี่บ่อย ๆ เขานั่งมองความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งที่เวียนวนไปด้วยจุดหมายที่ต่างกัน ท่าทางสงบนิ่ง มีสมาธิ และขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยสติ เป็นสิ่งที่ต้นไม้ได้มาจากการบวชเรียนที่นี่

ในช่วงเวลานั้น เขาก็มีความยากลำบากที่ต้องจัดการ เพราะไม่มีใครให้พึ่งพิงได้แม้กระทั่งตัวเอง ภาพในวันนั้นมันยิ่งตอกย้ำว่าแผลในหัวใจของเขามันใหญ่โตและไม่เคยหาย จนไม่สามารถรักษาตัวเองได้อีกต่อไป ที่พึ่งพิงสำหรับคนที่ไร้กระทั่งแสงนำทางชีวิตอย่างเขาก็เหลือแค่พระพุทธศาสนา ทั้งที่ในหัวใจต่อต้านและไม่มีความเชื่อทางนี้สักนิด แต่เคยได้ยินไหม การที่เราไม่เคยเชื่ออะไรแต่เมื่อมันหมดหวังในชีวิตใครชี้นำอะไรก็เชื่อไปหมดทุกอย่าง

ขณะที่บวชเรียนที่นี่ช่วงแรก ทุกอย่างที่ถาโถม ไม่มีท่าทีจะทุเลาลงอย่างที่คิด ภาพจำลองที่คิดขึ้นเองในหัวมันรุนแรงขึ้น จินตนาการว่าข้าวปั้นมาหา ภาพที่โรงพยาบาลตามหลอกหลอนไม่จบสิ้น เคยกระทั่งได้นอนกอดแม่ทั้งที่มันไม่มีจริง พระอาจารย์พยายามใช้พุทธวิถีช่วย การทำสมาธิ การเดินจงกรม วิธีละกิเลสหลาย ๆ วิธี แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ จึงตัดสินใจไปโรงพยายาลจิตเวชทั้งที่ห่มจีวรอยู่

ต้นไม้เผชิญกับภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง จนสามารถจินตนาการภาพขึ้นด้วยตัวเอง และเขายอมรับกับจิตแพทย์ตามตรงว่าเคยพยายามฆ่าตัวเองหลายครั้ง แต่ยังดีที่อยู่ในวัด การคิดทำอะไรเช่นนั้นจึงยากพอควร และคุณหมอก็โล่งใจที่มันเป็นแบบนั้น มิเช่นนั้นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าคงถูกโรคร้ายนี้คร่าชีวิตไปอีกหนึ่งคน

การจากไปของข้าวปั้นมันหนักหนาสำหรับต้นไม้ เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีปัญหาทางจิตเลย ทั้งที่มันเกิดมานานตั้งแต่สูญเสียแม่ไป ค่อย ๆ สะสม และเก็บเป็นสิ่งที่กดทับในหัวใจมาเนิ่นนาน จนมาปรากฏชัดในวันที่ต้องสูญเสียอีกครั้ง ต้นไม้รู้สึกดีเสมอเมื่อมีคนมามอบความรักให้เขา และการบริหารเสน่ห์ให้ใคร ๆ หลงใหลก็เป็นอีกกลไกที่เขาใช้ป้องกันตัวเองจากการขาดความรักที่ไม่เคยได้รับจากครอบครัว การได้รับความเยินยอ ชื่นชม คลั่งไคล้ เป็นสิ่งยืนยันเพียงอย่างเดียวว่าเขาก็สำคัญกับใครบ้างสักคนก็ยังดี

ต้นไม้รับรู้มาโดยตลอดว่าข้าวปั้นรักเขามาหลายปี และเขาก็รู้สึกดีเสมอที่มีความรักจากคน ๆ นี้ส่งมาถึง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารักตอบได้ เพราะเขาพร้อมจะมอบความรักให้กับคนที่เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ มากกว่า และเมื่อรู้ว่าจริง ๆ ปูนก็ไม่ได้คิดอย่างเดียวกับเขามันยิ่งแตกสลาย ความมั่นใจทั้งที่จริง ๆ ก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้น ทำให้ทำอะไรโง่ ๆ เพียงเพื่อประชดความรู้สึกของปูน มันยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง และสุดท้ายแล้วความรักเดียวที่เขาเคยมีก็มลายหายไปต่อหน้าต่อตา ไม่ต่างจากโดมิโน่ที่ถูกเรียงรายในระยะที่พอล้มแล้วมันก็พังครื้นพร้อมกัน หัวใจที่แตกสลายของเขามันย้ำชัดว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่เหมาะกับความรักจากใครจริง ๆ
 
การตั้งมั่นอยู่กับความจริงและอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้จากคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่มีใครหลีกหนีความจริงพ้น การยอมรับจะทำให้เราเป็นทุกข์อย่างสั้นที่สุด และหาทางออกจากความทุกข์ได้เร็วที่สุดเช่นกัน กว่าห้าเดือนที่ผ่านไปมันคือความทรหดต่อความรู้สึกตัวเองที่สุดในชีวิต แต่วันนี้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไปหาหมออย่างสม่ำเสมอ และทำตามที่หมอบอกเคร่งครัด บางครั้งก็กลับมาที่วัดบ้าง การได้คุยกับพระอาจารย์ทำให้เขาสบายใจ และหวังว่าเขาจะหายดีในเร็ววัน

คนอื่นเจ็บปวดจากการกระทำของเขา ส่วนเขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กันกับการกระทำของตัวเอง ไม่กล้าเอ่ยปากขอโทษใครด้วยซ้ำเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ใครจะให้อภัยได้

ผลการกระทำของเรา เราได้รับมันแล้วนะข้าวปั้น แต่มันคงไม่พอใช่มั้ย แต่เรายินดีจะชดใช้ให้นะ ทั้งชีวิต



“ต้นไม้ มาอีกแล้วหรอ”
   
“นมัสการครับพระอาจารย์” ต้นไม้หลุดจากภวังค์ เขารีบลงไปนั่งคุกเข่าแล้วกราบพระอาจารย์แม้เสื้อผ้าจะเปื้อนฝุ่นที่พื้นดินคอนกรีตก็ตาม
   
“เจริญพร ลุงสมแกเห็นทิดมาที่นี่สักพักแล้ว แต่ไม่เห็นเข้ามาหาอาตมา เลยเดินมาดูสักหน่อย มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
   
ต้นไม้พนมมือแนบอกก่อนตอบพระอาจารย์ “ครับมาได้สักพักแล้ว ตรงนี้ลมเย็น เลยนั่งคิดอะไรไปเรื่อยครับ ขอโทษด้วยครับทีทำให้พระอาจารย์เป็นห่วง”
   
“ไม่เป็นไรหรอก ๆ” พระภิกษุแก่พรรษาโบกมือ “แล้วมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า มานั่งคุยกันที่ศาลานี่มา”
   
ต้นไม้เดินตามพระภิกษุที่ตนเคารพไปที่ศาลาริมน้ำ พระอาจารย์ไม่เคยแสดงว่าล่วงรู้หรือมีฌานมองเห็นอะไรจากอนาคต ท่านศึกษาพระธรรมตามครรลองพระพุทธศาสนา และแนะแนวทางแก่การพ้นทุกข์ตามอนัตตาที่มนุษย์ควรจะเป็น ถึงกระนั้นต้นไม้ก็ยังรับรู้ว่าพระอาจารย์เหมือนมองทะลุไปถึงหัวใจที่ห่อเหี่ยวของเขา
   
“พระอาจารย์ครับ จะเป็นไปได้มั้ยครับที่คนตายจะฟื้น”
   
“หืม ฮ่า ๆ ๆ มีสิ ในละครนั่นไง”
   
“...”
   
“ทำไมถึงถามอะไรที่รู้อยู่แล้วว่าใครก็ฝืนกฎธรรมชาติไม่ได้”
   
“ผมเจอคนที่รู้ว่าตายไปแล้ว กลับมาครับ ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นคนหน้าเหมือนกันมาก แต่ความรู้สึกที่ได้เห็นเขาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน”
   
“ทิดการจดจำอดีตมันง่ายกว่าการมองเห็นความจริงเสมอ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะการจดจำเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องพยายามเรียนรู้ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร รับมืออย่างไร แต่สิ่งที่เพิ่งพบเจอมันต้องมีกระบวนการเหล่านั้นใหม่ ฉะนั้นที่ต้นไม้เห็นว่านั่นคือคนที่ต้นไม้รู้จักมันง่ายกว่าที่จะคิดว่าเขาคือคนละคนกัน”
   
“...”
   
“ยิ่งถ้าเขามีอิทธิพลกับเรามันยิ่งยากใช่มั้ย”
   
“ครับ”
   
“ต้นไม้ไม่ใช่ภิกษุแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องพยายามดับกิเลสขนาดนั้นก็ได้ ถ้าใจยังอาทรยังคิดถึงก็ไม่แปลกที่มนุษย์จะรู้สึกจริงไหม?”
   
ต้นไม้พยักหน้ารับ ยอมรับว่าการได้เจอกับคนหน้าคล้ายข้าวปั้นทำให้เขาทำใจยอมรับยากจริง ๆ ว่านั่นคือคนอื่น ท่าทางที่คล้ายเคียง ใบหน้าที่เหมือนเดิม แม้จะมีความแตกต่างในบางจุด แต่เขายังจดจำภาพสายตาที่ฉายชัดถึงความรู้สึกรักได้อย่างแม่นยำ เขาคล้ายตกหลุมลึกแห่งห้วงความรู้สึกวันที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แม้จะผ่านมาหลายวันที่เจอคน ๆ นั้น เขาก็ยังยอมรับความจริงนี้ไม่ได้ อีกใจเขาก็ขอให้เป็นข้าวปั้นจริง ๆ แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ และยิ่งย้ำชัดว่าข้าวปั้นจากไปแล้ว
   
“กรรมที่ต้นไม้กำลังเผชิญมันไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ลดลง หรือหายไป มันคือความจริงที่เกิดขึ้น มีเพียงเวลาเท่านั้นนะที่จะช่วยให้มันผ่านไป เข้มแข็งและก้าวผ่านให้ได้”
   
พระอาจารย์รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น และท่านก็เป็นเพียงคนเดียวที่เป็นที่พึ่งให้เขาในยามที่ไร้เรี่ยวแรงและหมดหวังในการใช้ชีวิต พระธรรมที่พระอาจารย์สั่งสอนยังไม่สำคัญเท่าการที่มีพระอาจารย์อยู่ด้วยในช่วงเวลานั้น ขนาดพ่อของเขายังไม่มาใยดีเลย



ต้นไม้ขับรถออกมาจากวัดหลังอยู่ทำวัตรเย็นกับพระอาจารย์และพระลูกวัดท่านอื่น บรรยากาศมืดมิดบนถนนทางหลวงค่อย ๆ สว่างสไวจากไฟริมถนนที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าถึงเขตเมืองหลวง จู่ ๆ เขาก็หมุนพวงมาลัยกลับรถเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง และมันเป็นเส้นทางอันคุ้นเคย เขามาที่นี่บ่อยพอ ๆ กับขับรถไปวัดนั่นแหละ
   
ซอยเล็ก ๆ ที่มีบ้านไม่กี่หลังยังคงสะอาดสะอ้านเพราะเป็นถนนส่วนบุคคล ต้นไม้เรียงรายตามสองข้างทางยังคงถูกตัดแต่งกิ่งอย่างสวยงาม ไม่ต่างจากพุ่มดอกเข็มหน้าบ้านหลังเดิมที่เขาเคยอยู่ ดอกไม้สีแดงชูช่อเล็ก ๆ ของมันแม้ในยามอาทิตย์หลับใหล ต้นไม้ดับเครื่องยนต์หลังจากจอดรถเทียบฟุตบาธหน้าบ้าน และเปิดประตูรถลงไป บ้านที่เขากล้าพูดเต็มปากว่าบ้านยังคงเหมือนเดิม ไฟริมรั้วสว่างจากระบบอัตโนมัติ เขาสังเกตว่าป้ายติดให้เช่าได้หายไปแล้ว คงมีคนมาขอเช่าแล้วสินะ ต่อไปเขาก็คงไม่ได้มาที่นี่บ่อย ๆ แล้ว
   
การได้อยู่ที่นี่นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่มีความหมายกับต้นไม้มาก เป็นช่วงที่รู้สึกเป็นตัวเอง ปลดปล่อยจากบ่วงที่คล้องคอ แม้มันจะเป็นบ่อเหตุของความสัมพันธ์ที่พังพินาศ และเขาก็รู้สึกปลอดภัยเสมอเมื่อได้มาที่นี่ อย่างน้อย ๆ ก็รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่ไม่เคยหายไปของข้าวปั้น จากต้นไม้ทุกต้นที่ข้าวปั้นปลูกด้วยมือตัวเอง
   
ครืดดด ครืดดด
   
ประตูอัตโนมัติหน้าบ้านได้เปิดออก พร้อมกับผู้ชายในบ้านที่เดินออกมา เขามีร่างกายกำยำ รูปร่างสัดทัน สมกับผิวสีเข้มของเขา
   
“มาหาใครหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงติดทองแดงทำให้ต้นไม้รู้ว่าเขาน่าจะเป็นคนใต้
   
เบิ้มได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านก่อนจะดับเครื่อง เขาถามเจ้านายที่อยู่ชายคาเดียวกันว่ารู้จักหรือเปล่า คำตอบคือการส่ายหน้า ก่อนเขาจะคว้ารีโมทประตูหน้าบ้านแล้วลงมาสอบถาม เผื่อจะเป็นคนที่มาหาเจ้าของบ้านเดิม
   
“เอ่อ เปล่าครับ อยู่ที่นี่หรอครับ”
   
“ใช่ แล้วไม่ได้มาหาใคร ทำไมมาจอดรถหน้าบ้านคนอื่นแบบนี้” ความเป็นคนโผงผางและไม่ยอมคน เบิ้มจึงถามออกไปเพราะกลัวจะเป็นพวกโรคจิตถ้ำมอง
   
“ขอโทษด้วยครับ พอดีเคยอยู่ที่นี่ไม่คิดว่าที่นี่มีคนมาอยู่แล้ว”
   
“อ๋อ” ยังไม่ทันที่เบิ้มจะถามต่อเสียงเจ้านายก็แทรกเข้ามา “ใครน่ะเบิ้ม”
   
“อ้าวคุณ เขาเคยอยู่ที่นี่น่ะ” เบิ้มหันไปคุยกับเจ้านาย เขาก็แปลกใจที่คุณคริสต์เดินลงมา ทั้งที่เห็นวุ่น ๆ กับการบ้าน
   
ต้นไม้ตัวชาดิกเมื่อเห็นคนเดินออกมาหน้าบ้านด้วยชุดนอนที่คุ้นตา กับแว่นสายตาที่เขาเคยเห็นจนชิน ยังไม่นับผมหน้าม้าที่ถูกมัดจุกลวก ๆ นั่นอีก เขาไม่อยากเชื่อสายตาว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่ข่าวปั้น ทั้งที่นี่แหละข้าวปั้น
   
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขารับรู้ด้วยตัวเองว่าข้าวปั้นตายไปแล้ว
   
“อะ อ้าว ที่เจอกันวันนั้น?”
   
“อื้ม สวัสดี อยู่ที่นี่หรอ” ต้นไม้มองคนตรงหน้าไม่วางตา เขาพยายามหาจุดแตกต่างระหว่างข้าวปั้นและคนตรงหน้า พยายามบอกตัวเองว่าไม่เหมือนหรอก ไม่ใช่สักนิด แต่แล้วมันก็ทำใจยากจริง ๆ ที่จะคิดแบบนั้น
   
คริสต์ยอมรับว่าตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ตอนนี้ เขาไม่ได้คาดคิดว่าต้นไม้จะมาที่นี่ ถึงแม้จะรู้หรือไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่าที่นี่ก็ตาม แต่นั่นมันหมายความว่าเขามาที่นี่บ่อยจนไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนเช่าคนใหม่แล้ว แล้วมาทำไม รู้สึกอะไรกับการตายไปของข้าวปั้นด้วยหรอ ทั้งที่ข้าวปั้นจะตายต่อหน้าเขายังยืนมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย
   
“พี่ข้าวปั้นเคยอยู่ที่นี่ เลยอยากมาดูว่าเขาเคยอยู่ยังไง”
   
“...”
   
“เข้ามาข้างในก่อนมั้ย ยังไม่ได้จัดอะไร ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม”
   
ต้นไม้ใจกระตุกที่ได้รับคำเชื้อเชิญดังกล่าว ที่บอกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม เหมือนคน ๆ นี้รู้ว่าที่นี่เคยเป็นยังไง และเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาไม่รู้ว่าเขาจะตั้งรับมันยังไงถ้าทุกอย่างมันประเดประดังเข้ามา กลัวว่าอาการจะกำเริบจนควบคุมตัวเองไม่ได้
   
“ไม่ดีกว่า” เขาปฏิเสธ “พอดีแค่อยากแวะมา เดี๋ยวต้องไปที่อื่นต่อ”
   
คริสต์คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างต้นไม้คงไม่ได้มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเรื่องนี้ขนาดนั้น มันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกฝังใจ รู้สึกผิดบาป หรือแค่คิดถึงปูนก็เท่านั้น

“งั้นหรอ ไว้ถ้าอยากมาก็มาได้เลยนะ” เขายิ้มให้ผู้ชายตรงหน้า และมันเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากข้าวปั้น เขามั่นใจ
   
“อ้อ ลืมแนะนำตัวเลย เราชื่อคริสต์นะ นี่เบิ้ม ต้นไม้ใช่ป่าว เพื่อนข้าวที่เคยอยู่ที่นี่ ข้าวเคยเล่าให้ฟัง”
   
“ครับ”
   
“งั้นมาได้ตลอดเลยนะ เราเช่าบ้านนี้เพราะก็คิดถึงข้าวเหมือนกัน อยากรู้ว่าตอนนั้นข้าวอยู่ยังไง” คริสต์พูดจบพร้อมยิ้มให้กับต้นไม้ เป็นรอยยิ้มแสนจริงใจและไม่มีอะไรเคลือบแครง แต่คนฟังกลับใจกระตุก เพราะการอยู่ที่นี่ของข้าวปั้นเต็มไปด้วยการหักหลัง จากความสัมพันธ์ของเฮาส์เมทอีกสองคนที่ทำลับหลัง จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้น
   
ต้นไม้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แทบจะหาเสียงของตัวเองไม่เจอว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไร “เอ่อ ครับ ขอบคุณ งั้นขอตัวก่อน ขอโทษด้วยที่มาโดยพลการ”
   
ต้นไม้โค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินไปที่รถด้วยอาการเหม่อลอย ภาพหลายอย่างฉายซ้ำอยู่ภายในหัว สิ่งที่เขาทำกับข้าวปั้นตลอดหลายปี ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจอย่างบาดลึกอีกครั้ง อาการที่ดีขึ้นอาจจะเป็นสิ่งที่คิดไปเองมันอาจจะแค่ทุเลา และเมื่อมีอะไรกระตุ้นมันก็กลับมาอีกครั้ง ต้นไม้พยายามหายใจอย่างยากลำบากแต่แล้วเขาก็ไม่สามารถพยุงตัวเองไปถึงรถได้และทรุดลงกับพื้นตรงนั้นเอง
   
“เฮ้ย คุณ ๆ เป็นไรหนิ” เบิ้มตกใจกับภาพที่เห็น รีบปรี่เข้ามาช่วยพยุงผู้ชายที่ขาอ่อนต่อหน้า จนเผลอพูดสำเนียงบ้านเกิดของตัวเอง
   
“ผะ ผมไม่เป็นอะไร แค่หายใจ ฮะ ไม่ออก”
   
เจ้าของบ้านได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง เขารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่คาดไม่คิด เพราะต้นไม่ดูปกติดีเสียใจดูไม่ออกว่ามีความผิดปกติของร่างกาย จริง ๆ เขาดูปกติมากไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับพาทิศและปูน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คริสต์รู้สึกเห็นใจหรืออยากจะช่วยเหลือ เพราะภาพที่โรงพยาบาลวันนั้นยังฝังหัวไม่รู้ลืม
   
“คุณ ๆ พาเขาเข้าบ้านมั้ย”
   
“อื้ม ไปสิ”
   
“มะ ไม่เป็นไร ช่วยหยิบยาที่คอนโซลให้ก็พอ”





(มีต่อ)






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
เบิ้มมองหน้าเจ้าของบ้านว่าควรตัดสินใจอย่างไรดี เขาไม่เคยเห็นสายตาเมินเฉยของเจ้านายมาก่อน สายตาที่ว่างเปล่าราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน มองผู้ชายที่เขาพยุงอย่างราบเรียบ ความใจดี และมีเมตตาเสมอเหมือนจะหายไปโดยสิ้นเชิง แปลก แปลกจริง ๆ เบิ้มคิด
   
เบิ้มพยุงตัวแขกในยามวิกาลไปที่เบาะหน้าคนขับ ก่อนจะค้นยาตามที่เขาบอก เจอยาพ่นและกระปุกยาอีกหลายขนาน “อันไหนหนิคุณ ทำไมเยอะงี้”
   
“ขอยาพ่นก่อน” ต้นไม้กดกระบอกยาก่อนจะสูดเข้าปอดสุดลมหายใจ อาการซึมเศร้าของเขาส่งผลต่อหลาย ๆ อย่าง ต้นไม้มักมีอาการหอบ เกร็ง และใจเต้นแรง เมื่อต้องเจอภาวะที่มีผลกระทบต่อความรู้สึก เหมือนเป็นความทรงจำที่ทำส่งผลต่ออาการ หากมีสิ่งเร้าเขาก็จะมีอาการเหล่านี้ ซึ่งช่วงหลังมันหายไปนานแล้วแต่กลับมากำเริบวันนี้เอง
   
“ป่วยหรอ เป็นอะไรอะ” เสียงคุ้นดังขึ้นข้างหลังหนุ่มใต้ เจ้าเด็กโข่งเลยลุกขึ้นถอยหลังไปยืนข้างรถ เพราะคนป่วยดูท่าจะดีขึ้นหลังได้ยา เขาสังเกตเจ้านายว่ากลับมาเป็นคนเดิมแล้ว ไอ้เบิ้มได้แต่เกาหัว “ขับรถกลับไหวมั้ย ให้เบิ้มขับไปส่งป่าว”
   
นัยน์ตาสีดำขลับ ดวงหน้าเนียนใส ปากเล็กสีพีช ก้มตัวลงมาเพื่อจ้องต้นไม้ในระยะใกล้ เขาใช้สายตาสำรวจคนตรงหน้าอย่างพินิจ ถ้าจะบอกความต่างระหว่างข้าวปั้นและคริสต์ก็คงเป็นความกล้าบางอย่างที่คริสต์มีแต่ข้าวปั้นไม่มี นั่นคือการมองตาเขาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเสหลบตาอย่างที่ข้าวปั้นชอบทำ จนทำให้ใจของชายหนุ่มเต้นแรงอีกครั้งจากสายตาที่ซื่อใสตรงหน้า
   
ครั้งนี้ใจเต้นแบบไม่เจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ต้นไม้ไม่เคยรู้สึกกับใคร กระทั่งคนที่ต้นไม้คิดว่าชอบมาโดยตลอดอย่างปูน
   
ทำไมถึงรู้สึกอยากจูบคนตรงหน้าขึ้นมาดื้อ ๆ บ้าฉิบ!
   
“อะ อืม ไม่ได้เป็นไรมากหรอก ไม่ต้องให้เบิ้มไปส่ง น่าจะกลับเองได้”
   
“งั้นหรอ อ่าฮะ กลับดี ๆ แล้วกัน ขอไปทำการบ้านก่อน เดี๋ยวให้เบิ้มรอส่ง” คนตัวเล็กพูดจบก็ยืดตัวขึ้น ก่อนจะหยิบมือถือมาดูเพราะเหมือนจะมีแจ้งเตือนเข้ามา
   
“อื้ม”
   
“บายไว้เจอกันนะ” คริสต์ไม่ได้สนใจคนในรถเท่าไหร่เพราะกำลังอ่านข้อความจากไลน์ของเพื่อนที่แท็กมาในกรุ๊ป
   
“เอ่อ ฝันดี” ต้นไม้พูดเบา ๆ เสมือนคุยกับตัวเองมากกว่าจะบอกใคร
   
“ฮะ อะไรนะ”
   
“ไม่มีอะไร...” คนตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะเดินดูมือถือแล้วคุยกับเบิ้มเล็กน้อย และเข้าบ้านไป ต้นไม้มองคริสต์จนลับสายตา จากที่เขามั่นใจว่าข้าวปั้นกับคริสต์คือคน ๆ เดียวกัน จนตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจ เพราะจู่ ๆ เขาก็ใจเต้นกับคริสต์อย่างที่ไม่เคยเกิดกับข้าวปั้น ทั้งที่ทั้งคู่เหมือนกันไม่ต่างจากแกะในฝูง
   
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน



นี่เขาควรจะจัดการอะไรก่อน เรื่องต้นไม้ที่จู่ ๆ เขาก็มีอาการแบบนั้น ทั้งที่เมื่อก่อนจำได้ว่าแข็งแรงอย่างกับอะไร ทำไมใจเสาะป่วยขึ้นมาได้หลังจากที่พี่ข้าวปั้นตายไม่กี่เดือน แต่ก็นะ มันคงเป็นผลกรรมที่คนเลวร้ายอย่างเขาควรจะได้รับ แต่ยังหรอก ยังไม่พอแค่นี้ เจ็บปวดแค่ร่างกายน่ะมันยังน้อยไป
   
ข้าวปั้นยังเจ็บใจจนตายมาแล้วเลย แค่นี้อย่าเพิ่งตายก่อนสิ

เรื่องต้นไม้ที่ดูน่าตกใจแล้วแต่เรื่องที่คริสต์กำลังอ่านจากบทสนทนาของเพื่อนในคณะมันน่าปวดหัวมากกว่า เพราะดันมีรูปของเขาและพี่ธามถูกแอบถ่ายจากร้านชาบูที่เราไปนั่งกินกันเมื่อวานลงในเพจคิวท์บอยของมหาวิทยาลัย คือมันน่าหงุดหงิดตรงที่มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไม่ใช่หรือไง คริสต์ไม่ได้สนใจกับการที่จะแคปรูปของเขาที่ถ่ายจากไอจีพี่ธามไปลงเพจแล้วคอมเมนต์กันอย่างคนไม่คิด แต่มาแอบถ่ายรูปเขาไปลงแล้วใช้คำพูดแย่ ๆ คอมเมนต์กันแบบนี้เขาไม่โอเคมาก ๆ

จู่ ๆ เขาก็คิดอะไรออก ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พี่ธามคงอยากได้แต้มจากเขาอยู่แล้วนี่นา

“ยู ลงรูปที่ถ่ายวันนั้นอีกหน่อยสิ แล้วแท็กไอจีนี้มา เดี๋ยวส่งชื่อแอคเคานท์ให้ในไลน์”

[อะไรเนี่ย จะเปิดตัวหรอ]

“หรือไม่” คริสต์คิดไว้แล้วว่าคนยียวนอย่างพี่ธามจะต้องมาอาการนี้

[หึ ถ้าจะเปิดตัวแบบนี้ก็แปลว่าไอใกล้แล้วใช่มั้ย]

“ใกล้อะไร อย่ารวนได้ป่ะ นี่ยิ่งหงุดหงิดอยู่”

[ใจเย็นน่า ขอต่อรองอะไรหน่อยไม่ได้หรออออ] เขาพ่ายแพ้ต่อลูกอ้อนของพี่ธามจริง ๆ คิดออกป่ะ ผู้ชายตัวใหญ่อย่างกับหมี แต่
ใช้เสียงสองเสียงสามคุยด้วยอะ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน บ้าจริง

“อะไรล่ะ”

[หอมแก้มพี่หนึ่งที]

“...” คริสต์ถึงกับกรอกตา เขาคิดอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องต่อรองอะไรแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาขอให้มารับที่คอนโดแล้วแล้วไปส่งที่มหาลัยก็ขอจับมือไปหนึ่งที คริสต์แค่อยากให้ทุกคนเห็นเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากโปสเตอร์ธีสีสของไทน์ถูกโพสต์ลงเฟซบุ๊กของคณะ เขาก็เห็นคนตามหาวาร์ปไอจีเยอะเหมือนกัน นี่อาจจะเป็นการประกาศให้ทุกคนรู้ว่า

คนตายน่ะฟื้นคืนชีพ

[ไม่ได้หรอ งั้น...]

“จิ๊ เออ ก็ได้ ยูนี่นะได้คืบเอาศอกเอาวาตลอด”

[เดี๋ยวจะได้เอา...ยู]

“แม่ง!”

คริสต์วางสายจากคนลามก เป็นผู้ชายก็จริง แต่การมาโดนแทะโลมด้วยคำพูดสองแง่สองง่ามจากผุ้ชายด้วยกัน เอาตามตรงก็ไม่ชิน เขินเหมือนกัน โคตรบ้า



Cotton Candy’S Part

   
สายไหมขยี้ตาตัวเองหลังจากเห็นโพสต์ของพี่ธาม รุ่นพี่สุดป๊อปที่ฟอลไอจีเขาเอาไว้ดูรูปสวย ๆ แต่นี่ทำเอาใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม เพราะรูปของผู้ชายที่เธอรู้จักดียิ้มร่าผ่านแผ่นรูปโพลาลอยด์ในโพสต์ของพี่ธาม คนกดไลก์ไปแล้วกว่าห้าพัน ความพีคคือพี่ธามดันแท็กไอจีของข้าวปั้น ที่ไม่ได้เล่นมานานแล้ว!
   
“เชี่ยไรวะเนี่ย”
   
ตอนนี้ฉันมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด ทำไมข้าวปั้นถึงได้มีเอกสารเปลี่ยนชื่อ แล้วคน ๆ นี้ก็มาเรียนแทน พยายามถ้าอาจารย์ป้าก็ไม่ได้คำตอบอะไร นอกจาก ‘แอบดูเอกสารป้าหรอ’
   
แค่ได้ยินคำนี้ก็ไม่กล้าถามต่อแล้ว แต่ป้าก็ดูชะงักไปเหมือนกันนะ ตอนนี้รู้แล้วแหละว่าคนที่ชื่อคริสต์น่ะคือข้าวปั้นแน่นอน แต่จะทำยังไงให้ทุกคนเชื่อ เพราะถ้าข้าวปั้นกลับมาโดยการเปลี่ยนชื่อหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็เป็นสิทธิ์ของข้าวปั้น เพราะมันไม่มีใครเดือดร้อน
   
แต่ทำไมข้าวปั้นต้องทำแบบนี้
ทำไมต้องทำให้ทุกคนเข้าใจว่าตัวเองตาย
ทำไมต้องกลับมาในชื่อใหม่ เปลี่ยนบุคลิกตัวเองใหม่
เพื่ออะไร?

   
จู่ ๆ สมองก็คือถึงละครหลังข่าวที่ตัวเองกลับมาแก้แค้น...แต่ถ้าแค้นแล้วทำไมยังใช้ชีวิตปกติอยู่เลย ไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่เราก็ลืมไปแฮะ ว่าออกมาไกลจากวงโคจรตรงนั้นพอสมควรแล้วเหมือนกัน การแก้แค้นมันอาจจะเริ่มแล้วก็ได้ เพียงแต่เธอไม่รู้
   
“ทำไงดีวะเนี่ย ถ้าโทรไปบอกพามันจะเชื่อมั้ยนะ เอาวะลองดู”
   
ตู๊ดดด ตู๊ดดด
   
[หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้]
   
“ตัดสายอีกแล้ว เฮ้อ นี่มันจะไม่คุยกับใครไปอีกนานแค่ไหน พรุ่งนี้เจอแน่ จะหลบหน้าไปอีกนานแค่ไหนวะพา”

@มหาวิทาลัย
   
ตึกเรียนคณะสัตว์แพทยศาสตร์เช้าตรู่ยังคงเงียบเหงาไร้นิสิตเดินเตร่ สายไหมมาแต่เช้าเพื่อมาดักรอเพื่อนที่พยายามติดต่อมาหลายวันแต่ก็ไร้วี่แวว ช่วงเปิดเทอมก็ยุ่ง ๆ เพราะต้องช่วยอาจารย์ป้าเตรียมการสอนหลายอย่าง ไหนจะดูแลพี่ ๆ ในกรง เพราะน้อง ๆ ปีสองต้องทำกิจกรรมรับน้อง เลยเป็นหน้าที่ของเธอและเพื่อน ๆ ที่เปลี่ยนเวรมาช่วยกัน วันนี้ต้องรีบไปให้อาหารพี่ ๆ ก่อนจะมานั่งเฝ้าทางขึ้นตึกเพื่อรอเพื่อนตัวดี
   
“เจ็บหรือเปล่า ขอโทษนะที่ไปช่วยไม่ทัน” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากกรงพยาบาลสัตว์เล็กที่ป่วย ฉันเดินเข้าไปใกล้เพื่อที่จะดูว่าคน ๆ นั้นใช่คนที่คิดหรือเปล่า
   
ผู้ชายตัวเล็กในชุดนิสิตเรียบร้อยนั่งหันหลังให้ พร้อมก้มมองกรงพยาบาลแมว จู่ ๆ มือฉันก็สั่นไหว เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วการรับรู้ว่าคนหน้าคล้ายข้าวปั้นกลับมา กับการได้เจอตัวเป็น ๆ มันช่างรู้สึกต่างกันลิบลับ ทั้งที่ฉันก็รู้อยู่แล้วว่านี่คือข้าวปั้นแน่แท้ แต่ใจมันก็อดเต้นเป็นกลองไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าเพื่อนที่ตายไปต่อหน้าจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
   
“ปะ ปั้น...”
   
“...” คนถูกเรียกชะงัก มือที่เกาะกรงค่อย ๆ ลดระดับลง ก่อนจะหันหลังกลับมามองคนเรียก
   
“แกไม่ได้...”
   
“ผมชื่อคริสต์ครับ ไม่ใช่ข้าวปั้น”
   
ฉันมองผู้ชายตรงหน้าอย่างพิจารณา คน ๆ นี้จะไม่ใช่ข้าวปั้นเพื่อนที่น่ารักของฉันไปได้ยังไง ในเมื่อเหมือนกันขนาดนี้ “ไม่จริง แกเปลี่ยนชื่อ เอกสารเปลี่ยนชื่อของแกฉันเห็นมากับตา!”
   
“ข้าวปั้นตายไปแล้ว จำไม่ได้หรอ”
   
สายตาที่มองมาที่ฉันมีแต่ความโกรธเกรี้ยว ความแข็งกร้าวที่กำลังเปล่งประกาย ส่งตรงมาหาฉันอย่างจัง รังสีแห่งความอาฆาตมาดร้ายอยู่รายรอบตัวของข้าวปั้นเต็มไปหมด เพื่อนของฉันเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ยังไง
   
“ทำไมแกต้องทำแบบนี้” ฉันรู้สึกเสียใจที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ข้าวปั้นเป็นแบบนี้ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหลั่งน้ำตาออกมา “ฮึก ถ้าแกรู้สึกแย่กับเรื่องนั้น เราขอโทษที่ไม่เคยบอกแกเลย”
   
“ร้องไห้ทำไม เราไม่รู้...จักกัน”
   
“พามันชอบแกนะ ชอบมานานแล้ว ที่มันทำไปทุกอย่างเพราะมันรักแกนะ”
   
“...”
   
“ขอโทษที่เคยยุแกให้บอกรักต้นไม้ ฮึก ขอโทษที่เป็นที่ปรึกษาแย่ ๆ ไม่ได้อยู่ตอนที่แกเจอเรื่องแบบนั้น”
   
“พูดเรื่องอะไร ปะ...เป็นบ้าหรอ!”
   
ข้าวปั้นวิ่งออกไปจากห้องพยาบาล ฉันพยายามวิ่งตามออกมาแต่ก็ไม่ทัน เขาหายไปราวกับเมื่อครู่เป็นเรื่องตาฝาด แม้คน ๆ นี้จะมีความแตกต่างจากข้าวปั้น แต่ฉันเชื่อจริง ๆ ว่าเขาคือข้าวปั้น

ไม่ว่าจะฟื้นขึ้นมาจากศพ หรือถูกปลุกด้วยวิธีไสยศาสตร์
ฉันก็จะพิสูจน์จนได้ว่าข้าวปั้นไม่เคยตายอย่างที่ทุกคนคิดกัน
ขอโทษนะถ้าต้องขัดขว้างแก ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ เรื่องทุกอย่างก็คงไม่จบ



End Cotton Candy’S Part



--------------------------10-------------------------


หูยยยยยยยยยยยยย
สายไหมเธอจะมาเป็นนักสืบไม่ได้นะ
ย้ำว่ายังเป็นนิยายรักไม่ใช่นิยายสืบสวน555555


ไว้เจอกันตอนหน้าค่าาาา
อย่าลืมเมนต์ให้กำลังใจกานนน

จุ้บบบ

@mifengbeexx


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2019 22:38:04 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
เรื่องจริง
[/size]



ใบหูกระจงสีน้ำตาลเข้มลอยละลิ่วจากกิ่งก้านลอยละลิ่วตามแรงลมและร่วงหล่นลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วง โต๊ะตัวเดิมที่พาทิศมักจะมานั่งฟังเสียงเจื้อยแจ้วเจรจาของข้าวปั้นและสายไหมพูดคุยกัน ตอนนี้มันเต็มไปด้วยใบหูกระจง ราวกับที่นี่ไม่มีใครมาใช้บริการมันนานแล้ว ภาพวันวานแห่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกังวานอยู่ในโสตประสาท จะมีทางไหนที่เขาจะทำให้มันกลับมาอีก เพราะข้าวปั้นเป็นชีวิตและสร้างชีวาให้เขาอย่างที่ไม่เคยคาดคิดวันหนึ่งจะหายไป ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริง

พาทิศได้ยินเสียงคนเหยียบใบไม้แห้ง จึงหันหลังกลับไปดู เขาคิดว่านี่คือความฝัน คนที่อยากเจอมาอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าเขา
“ขะ...คริสต์”


“หวัดดี”

“มาทำอะไรหรอ” พาทิศจงใจถามดัก เพราะหวังในใจลึก ๆ ว่าคริสต์คือข้าวปั้น แต่เอาจริง ๆ แล้วเขาไม่สนใจอีกแล้วล่ะว่าจะเป็นคริสต์หรือข้าวปั้น เพราะหัวใจเต้นระส่ำมันบอกเขาหมดแล้วว่าคนนี้มีอิทธิพลต่อเขามากจริง ๆ

“แค่เดินผ่านมาน่ะ และมาทำอะไรที่นี่หรอ”
แม้จะไม่ได้คำตอบตามที่หวังแต่แค่ได้เจอก็ดีแค่ไหนแล้ว “แค่คิดถึงข้าวปั้นน่ะ เมื่อก่อนชอบมานั่งตรงนี้บ่อย ๆ ดูดิ โต๊ะรกเหมือนไม่เคยมีคนนั่งเลย”

ข้าวปั้นตกใจเหมือนกันที่เจอพาทิศที่นี่ เขาไม่ได้เตรียมใจมาก่อน แค่วิ่งหนีสายไหมมาแล้วไม่รู้จะไปไหน สัญชาตญาณมันนำเขามาที่นี่ ความทรงจำดีดีของมิตรภาพระหว่างเขา พาทิศ และสายไหม และโต๊ะเล็ก ๆ ตรงหน้ามันช่างชวนยิ้ม แตกต่างกับเวลานี้ราวกับทิวาและราตรี

คิดถึงอย่างนั้นหรอ แววตาอ่อนโยนตอนพูดคำนี้ มันช่างอบอุ่น ราวกับคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จัก ถ้าข้าวปั้นมาได้ยินคำนี้คงขนลุกไม่น้อย แต่พอเป็นเขาได้ยินมันตรงกันข้าม เพราะมันทะลุเข้ามาที่หัวใจอย่างจัง ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำพูดไม่กี่คำเขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนลืมตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่

“อ่อ อื้ม”

“...”

“เชื่อไหมว่าเราไม่ใช่ข้าวปั้น”

“...”

“ไม่เชื่อสินะ จะทำให้ดู”

พาทิศงงงวยเพราะจู่ ๆ คนตรงหน้าพูดจบก็เดิมดุ่มเข้ามาหาเขา จากสิบเซ็น เหลือห้า และไม่มั่นใจว่าห่างกันถึงสามมิลมั้ย ดวงตากลมโตตรงหน้าจ้องเข้ามานัยน์ตาเขา ลมหายใจรินรดปลายจมูก พาทิศตัวชาดิกราวกับต้องมนต์ เขามั่นใจว่าข้าวปั้นไม่เคยทำเช่นนี้ไม่ว่าจะกับเขาคือใคร จากที่เคยเป็นผู้ล่าตอนนี้เขาไม่กำลังโดนล่าจากกวางตัวน้อยกลายร่างเป็นเสือดาวเสน่ห์แพรวพราว

ริมฝีปากบางแตะเบา ๆ ที่ปากอีกคน ค่อย ๆ ลงน้ำหนักและบดเบียดอย่างใจเย็น คนโดนจูบไม่ต่างจากโดนสตัฟท์ ตาคู่สวยที่จ้องเขาเมื่อคู่ ค่อย ๆ หลับตาลง พาขนตาหนาเรียงตัวสวยเป็นภาพที่เขาไม่เคยจินตนาการในหัวว่าคนตรงหน้าจะเต็มใจทำอะไรเช่นนี้ ริมฝีปากบางกำลังละเลียดราวกับเลียลูกกวาดเม็ดโต แต่ก็กลัวว่ามันจะละลายไปเร็ว และลูกกวาดเม็ดนี้ก็อดใจไม่ไหวได้โอกาสจูบกลับบ้าง มือใหญ่ลูบไล้ที่เอวเบา ๆ ก่อนที่มืออีกข้างจะจับกลุ่มผมนุ่มเพื่อให้เขาได้จุมพิตได้อย่างถนัดขึ้น จังหวะที่คนโดนจูบกลับกอบโกยอากาศหายใจ พาทิศไม่รีรอที่จะป้อนเรียวลิ้นเพื่อไม่ให้มันเป็นแค่จูบเท่านั้น แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าความต้องการของเขามันมากกว่านั้น และเขาไม่ได้แคร์สักนิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นใครกันแน่ เพราะเขาต้องการคน ๆ นี้เท่านั้น

“ฮะ ฮื้อ” คริสต์เริ่มหายใจติดขัด เขาเพียรฝึกปรือเรื่องพวกนี้ แต่ก็ยังอ่อนหัด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพาทิศจะมีวิทยายุทธมากมายขนาดนี้เขาก็ศิโรราบ จังหวะที่พาทิศสอดลิ้นเข้ามาเขาเกือบจะล้มลงไปเพราะเข่าอ่อน แต่พยายามพยุงตัวเองไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ แต่แล้วก็ตั้งรับได้ไม่ได้เขากลับเร่งจังหวะขึ้นอีก และไม่ให้ใช่แค่ลิ้นแต่อีกฝ่ายดูดลิ้นเขาราวกับมันเป็นเจลลี่อ่อนปวกเปียก ขาอ่อนที่อ่อนแรงอยู่แล้วแทบจะล้มพับดีที่วงแขนแกร่งประคองไว้

“พะ พอแล้ว”

“...”

คริสต์ผละริมฝีปากตัวเองออกมาจนได้ เขารีบหายใจเข้าปอด ลมหายใจของคนตัวสูงยังรินรดที่ข้างแก้มของเขา และแน่นอนไม่กล้าสบตาคนตรงหน้าอย่างที่เคยปากดีพูดเอาไว้ แถมถ้าขยับตัวหน่อยอวัยวะบางส่วนของเราก็คงสัมผัสกันอีก

“เชื่อแล้วนะ” เป็นพาทิศที่เอ่ยออกมาก่อน ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับแก้มเนียนอย่างตั้งใจ “ข้าวปั้นไม่ทำแบบนี้หรอก จริงมั้ย”

“มะ ไม่รู้ ปล่อยได้ยัง”

“ยัง จริง ๆ ก็มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์”

พาทิศคว้ามือคริสต์และพาเดินไปตามทาง มือใหญ่กำเบา ๆ ที่ข้อมือเล็กกว่า คริสต์ขัดขืนจะไม่ไปก็คงได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพาทิศจะพาเขาไปพิสูจน์อะไรอีก และเขาก็ยินดีถ้าจะทำให้พาทิศเลิกเคลือบแคลงในตัวเขา เพราะถ้าสายไหมมาบอกเรื่องนั้นคนตัวโตก็คงสับสันและสงสัยในตัวเขามากขึ้นไปอีก ต้องยอมเพื่อให้สิ่งที่วางแผนไว้เป็นไปตามที่คิด

“ขอมือถือหน่อย” มือใหญ่แบมือตรงหน้าคริสต์ หลังจากจับเขายัดลงในรถบีเอ็ม ใช่ พาทิศเปลี่ยนรถแล้ว ด้วยเหตุผลอะไรเขาไม่รู้ แต่มันเป็นรุ่นเดียวกับที่ต้นไม้เคยใช้

“เอาไปทำอะไรอะ”

พาทิศไม่ได้ตอบแต่มองคริสต์ด้วยแววตาแกมขอร้อง และคริสต์ก็ไม่ได้อยากเล่นตัวมากเลยส่งให้โดยดี แล้วยัดลงในกล่องข้างคนขับไป ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่อมยิ้มบาง ๆ แล้วสารถีก็ออกรถไปตามทางที่เขาต้องการ

เป็นสัญญาณว่าหลังจากนี้จะมีแค่เราสองคน บนเส้นทางที่สารถีเท่านั้นที่ล่วงรู้
สัมผัสเมื่อไม่กี่นาทียังตราตรึงในความรู้สึกของพาทิศ
ไม่ต่างจากคริสต์ที่ยังออกจากห้วงนั้นไม่ได้
ถ้ามันจะผิดแผกจากแผนก็ขออย่าให้มันไถลไปไกลกว่านี้เลย คริสต์ภาวนา




Phatid’s Part

   ผมขับรถออกนอกเมืองมาทั้งที่ไม่มีจุดหมายว่าจะไปไหน แค่อยากออกมาจากความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อยากหลีกหนีแล้วพาตัวเองมารู้จักคนข้าง ๆ ในมุมที่เป็นเขา บอกแล้วไงว่าผมไม่สนแล้วว่าเขาจะเป็นใคร เป็นคน เป็นผี เพราะผมรู้สึกไปแล้ว และพอมันได้รู้สึกก็ยากที่จะปฏิเสธอีก ถามว่ารู้สึกผิดกับข้าวปั้นมั้ยที่รู้สึกกับคนอื่นเร็วขนาดนี้ ความรู้สึกของผมมันทับถมในใจเกินความที่ใครจะคาดคิดเสียอีก การเริ่มต้นครั้งนี้มันเป็นการมูฟออนที่ยากที่สุดในชีวิต เป็นการมูฟออนจากคนเดิม เพื่อมาเจอคนที่เหมือนกัน ประหลาดดีมั้ย แต่ช่างแม่งนะ ผมไม่แคร์อะไรแล้ว เจ็บเกือบตายมาแล้ว ถ้าจะเสี่ยงอีกก็แค่ตายนั่นแหละ

“จะพาไปไหนเนี่ย แล้วโดดเรียนหรอ กลับไปไม่ทันแน่ ๆ”

“ก็ไม่ได้คิดจะพากลับไปเรียนอยู่แล้ว”

“...” คริสต์หน้ามุ้ย ไม่รู้สิ ผมยิ้มได้ง่าย ๆ กับอะไรแบบนี้ ภายนอกเขาเหมือนข้าวปั้นมาก แต่ผมที่รู้จักข้าวปั้นมาหลายปี เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนี้ ท่าทีน่าเอ็นดูเขาไม่เคยทำกับผม ดวงตาเปล่งประกาย และมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
   
“ทำไมถึงมาเรียนที่นี่ หมายถึงเมื่อก่อนเรียนที่ไหน”
   
“ก็เรียนมหาลัยใกล้บ้าน ที่สงขลาน่ะ ก็แค่คิดถึงพี่ อยากมาอยู่ในที่ที่พี่อยู่”
   
“แล้วเรียนคณะเดียวกันเลยหรอ”
   
“อ่าฮะ ก็ชอบสัตว์เหมือนกัน อยากมีโรงพยาบาลสัตว์ แล้วจะให้มีหมอคนเดียวก็ไม่ได้ป่ะ” คริสต์ตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่มียั้งคิดเตรียมคำตอบหรืออึกอักเลยสักนิด ผมก็ได้แต่ยกยิ้มขำในความคิดของสองพี่น้อง ที่สำคัญข้าวปั้นเป็นคนโกหกไม่เนียนเอาเสียเลย และผมจับได้ทุกครั้ง ส่วนคริสต์ไม่รู้ว่านี่กำลังโกหกมั้ย แต่ถ้ากำลังโกหกผมก็ไม่รู้หรอก

ผมขับรถออกนอกเมืองมาเรื่อย ๆ รถติดบางประปรายแต่ก็ไม่ได้ทำให้หงุดหงิดเหมือนทุกที เพราะมีคนข้าง ๆ นั่งมาด้วยล่ะมั้ง คริสต์หลับตั้งแต่ยังไม่ขึ้นทางด่วนออกนอกเมือง สงสัยนอนดึก เพราะปั่นรีพอร์ตที่ต้องส่งอาทิตย์หน้า ถ้าถามว่าเรื่องไหนที่ข้าวปั้นและคริสต์เหมือนกัน ก็คงเป็นเรื่องเรียนนี่แหละ เขาตั้งใจเรียนเสมอแม้ว่าอาจารย์จะสอนน่าเบื่อแค่ไหน
   
“เข้าห้องน้ำมั้ย” ผมสะกิดเรียกคนข้าง ๆ ที่หลับปุ๋ยคอพับคออ่อน ไม่ยอมตื่นมานั่งรถเป็นเพื่อนกันเลย
   
“ฮื้อออ ถึงแล้วหรอ” คริสต์สะลืมสะลือลืมตาขึ้นมามอง มือขาวขยี้ตาปรับแสงใหญ่
   
“ยัง แวะเติมน้ำมัน”
   
“นี่อยู่ที่ไหน”
   
“ถ้าโดนหลอกไปขายก็คงโดนส่งออกชายแดนไปละ” ผมกอดอกมองคนที่บิดขี้เกียจไม่เลิก ทำไมถึงกล้านอนหลับกับคนที่เพิ่งเจอไม่กี่ครั้งขนาดนี้ ถ้าไปกับคนคิดไม่ดีก็คงไม่รอดละ

ครืดดด ครืดดด

โทรศัพท์ที่ผมยึดไว้ก่อนออกมาสั่นเพราะมีคนโทรเข้า หน้าจอแสดงผลว่า ‘ธาม’ โทรเข้ามา
   
“ใครโทรมาอะ ขอดูหน่อย”
   
“ธาม ใคร?” ผมทำเสียงเย็นใส่คนข้าง ๆ ก็รู้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน หรือเพราะก็พอรู้ว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นอะไรกับคริสต์ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาดื้อ ๆ
   
“พี่ที่รู้จักน่า นี่ ๆ อย่ามาทำเสียงแบบนี้ เอามา” ผมจำใจยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่าย และเขาก็กดรับก่อนจะเปิดประตูรถลงไป ซึ่งมันยิ่งทำให้ผมหัวเสียมากกว่าเดิมอีก
   
“แม่งนี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะ เป็นขนาดนี้เลยไอ้พา”
   
ผมเลยเดินตรงเข้าห้องน้ำหวังจะทำธุระให้เสร็จและเดินไปหาซื้อกาแฟสักหน่อย
   
‘มากับเพื่อน มันลากมา...ไม่รู้ว่าอยู่ไหนอะ...อ่า...ยูอย่าเพิ่งรวนน่า ไม่ได้มาทำไรไม่ดีป่ะ ยูกำลังทำให้ไอรู้สึกว่ายูเหมือนกันอื่นนะ ไว้กลับแล้วจะบอกแล้วกัน แค่นี้นะ’
   
ไม่ได้ตั้งใจจะได้ยินหรอก แต่บังเอิญต่างหาก จริง ๆ นะ...พอได้ยินว่าเขาเลือกเรานี่มันอดยิ้มไม่ได้จริง ๆ แม้เขาจะไม่ได้เต็มใจมาเพราะผมไม่ได้ถาม แต่ไอ้อาการไม่ได้ขัดขืนนี่ก็ถือว่าสมยอมแล้วกันนะ ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้กลายเป็นคนคิดเองเป็นตุเป็นตะ ไม่เอาแล้วล่ะการเป็นคนที่ต้องเงียบงัน เก็บสิ่งที่คิดไว้ในใจ เพราะสุดท้ายแล้วการไม่ได้บอกออกไปมันทำร้ายตัวเองแค่ไหน
   
“อะซื้อมาเผื่อ”
   
“เราไม่กินกาแฟเฟรนไชน์”
   
“น้อย ๆ หน่อย ก็มันมีแค่นี้”
   
“ก็ได้ ดีนะที่เป็นอเมริกาโน่ ที่กรุงเทพฯ นี่แปลกดี กินเอสเพรสโซ่ใส่นม”
   
“แล้วคนใต้กินกาแฟยังไงครับ”
   
“ไม่รู้ ต้มกาแฟเอง”
   
“ไม่เห็นเหมือนพี่เลย รายนั้นกินกาแฟอะไรก็ได้ กาแฟเซเว่นนี่ชอบนัก”
   
“...”
   
ผมพูดถึงพี่ชายของเขาอย่าเผลอตัว เพราะมักจะซื้อกาแฟธรรมดา ๆ ติดไม้ติดมือเวลาสอบไปให้เขาเสมอ แต่พอเห็นคนข้าง ๆ เงียบ ก็เพิ่งมาคิดได้ว่าจริง ๆ เรามาถึงขนาดนี้ก็ไม่ควรพูดถึงคนอื่น ทั้งที่คนที่พูดถึงเป็นพี่ชายเขาก็ตาม ซึ่งเขาน่าจะรู้ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ชายพอสมควร
   
“ก็แค่นึกถึงน่ะ” ผมพูดออกไป
   
“ไม่ได้ว่าอะไร แค่คิดว่าพี่ข้าวนี่อยู่ง่ายดี บางทีก็รู้สึกว่าอยากให้เขาเป็นคนที่ซับซ้อนมากกว่านี้ก็คงดี” สายตาของคริสต์มองตรงไปข้างหน้ารถ เหมือนเขากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่พ้นพี่ชายที่จากเขาไปแล้ว ผมเอื้อมมือไปจับมือคู่ที่ผสานกันที่หน้าตัก ก่อนจะลูบเบา ๆ โดยไม่ได้พูดคุยอะไร ถ้าจะบอกว่าผมเจ็บปวดเจียนตายแล้ว คริสต์ก็คงไม่ต่างจากคนที่จิตวิญญาณตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
   
ผมขับรถตรงไปยังสถานที่ที่คิดไว้ว่าจะพาเขาไป ระยะทางไม่กี่สิบกิโลเมตรนี่มันช่างสั้นเสียจริง อยากให้คนข้าง ๆ พิงไหล่ผมนานกว่านี้อีกหน่อย อยากจะจับมือนุ่มนั่นไม่อยากปล่อยเลย กลิ่นน้ำหอมที่ทำเอาผมสติกระเจิงยังลอยวนเตะจมูก
   
เป็นเอามากในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
กับข้าวปั้นมันแค่แอบชอบ แต่คราวนี้ไม่แอบอีกแล้วล่ะ








มีต่อ



ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“สวนสัตว์?”
   
“อ่าฮะ”
   
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ นี่เดทเด็กมอต้นหรือไง”
   
“อันนี้เรียกว่าเดทได้ใช่ป่ะ”
   
คริสต์ยักไหล่แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างตื่นเต้น หึ เด็กมอต้น ทั้งที่ตัวเองน่ะตื่นเต้นกว่าใคร จริง ๆ นิสิตสัตวแพทย์อย่างเรา พื้นฐานมันก็มาจากการรักสัตว์นั่นแหละ ไม่งั้นก็คงไม่เลือกเรียนศาสตร์นี้หรอก แม้ว่าลึก ๆ จะรู้สึกว่าสัตว์พวกนี้ควรได้อยู่ในที่ของมัน แต่สวนสัตว์ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งอนุบาล อนุรักษ์ สืบพันธุ์ให้สัตว์บางจำพวกดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ ย้อนแย้งสิ้นดี
   
เราเลือกนั่งรถรางชมรอบ ๆ ก่อนแล้วค่อยมาร์กตำแหน่งว่าอยากจะดูอะไรเป็นพิเศษ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการใกล้ชิดกับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย พวกสัตว์เล็กและสัตว์ไม่มีพิษจะได้อยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีกรง บางชนิดสามารถให้อาหารได้ด้วย
   
“เฮ้ยนั่นคาปิบาร่า”
   
“หมีขอ โอ้ยย น่ารักมากกก”
   
“ยีราฟฟฟฟ~”
   
รถรางที่เรานั่งมีแค่เราสองคน เพราะตอนนี้ยังเช้าเกินไปที่นักท่องเที่ยวจะมา แถมไม่ใช่วันหยุด คนที่บอกว่าไม่ตื่นเต้นแต่กลับชี้นู้นชี้นั่นตลอดทางที่รถรางขับผ่าน รอยยิ้มสะท้อนแสงแดดอุ่นยามเช้า ดวงตาพราวประกายราวกับมีดาวเป็นล้านดวงในนั้น เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนลอยระริ้วปลิวตามแรงลม ความธรรมชาติที่ไม่ได้ปรุงแต่งเปร่งประกายออกมาจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม 
   
“ยิ้มอะไร” จังหวะที่เขาหันมาสบตาผม และแน่นอนสายตามันปิดไม่มิดหรอกว่าคิดอะไรอยู่ คำตอบคือได้แต่ยักไหล่เพราะตอบยังไงเขาก็หาว่าผมโกหกอยู่ดี “โคตรจะเด็กน้อยที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่สไตล์สุด”
   
“แต่ก็เอ็นจอยสุด ๆ”
   
“ให้สิบแต้มกริฟฟินดอร์”
   
“ขอโทษที่อยู่สลิธีริน”
   
“แหวะ พวกคลั่งเลือดบริสุทธิ์”
   
เราหัวเราะกันอย่างสุดเสียง ทั้งที่มันไม่ใช่สถานที่สุดโรแมนติกหรือหรูหรา แต่มันดันเป็นความสุขง่าย ๆ ที่รู้สึกพองเต็มหัวใจ ผมไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหน บอกตามตรงว่าจำไม่ได้แล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่ข้าวปั้นจากไปไกลแสนไกล เหมือนหัวใจของผมโบยบินตามไปจนคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีความรู้สึกนั้นให้กับใครอีกแล้ว จนวันนี้มีคนตรงหน้ามาอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ หัวใจที่แห้งเหี่ยวกับชุ่มชื้นอย่างไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีก ไม่เหลืออีกแล้วล่ะความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ จะเหลือแค่ความคิดถึงที่ยังจะตราตรึงเป็นความทรงจำที่ดี ขอให้กูได้เติบโตในแบบที่ไม่ต้องเจ็บปวดอีกแล้วเถอะนะ
   
“มีความสุขมั้ย”
   
“อื้ม”
   
หวังว่ามึงจะยินดีกับความสุขครั้งนี้ของกูนะปั้น



“ไม่แกะกุ้งให้นะ ทำไม่เป็น”
   
“ก็ให้เขาแกะมาให้ก็สิ้นเรื่อง มีเงินซะอย่าง”
   
เรากำลังนั่งอยู่ที่ร้านอาหารริมทะเลบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง ผมให้เขาสั่งอาหารและเห็นเขาสั่งแต่เมนูกุ้งเต็มไปหมดเลยรีบท้วง เพราะผมแกะกุ้งไม่เป็น ปกติถ้าอยากกินก็จะให้เพื่อนแกะมาให้ หรือไม่ก็ไม่สั่ง และผมมารู้อีกอย่างว่าคริสต์กินกุ้งซึ่งต่างจากข้าวปั้นที่ไม่กิน รายนั้นบอกว่าไม่ชอบกลิ่น ทั้งที่บ้านติดทะเลแท้ ๆ
   
“ข้าวไม่กินกุ้งรู้ใช่มั้ย” ผมพยักหน้า เหมือนเขารู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
   
“ตอนเด็ก ๆ เราเล่นตกกุ้งจากบ่อเลี้ยง แล้วพี่ข้าวโดนสายเบ็ดที่มีกุ้งเกี่ยวที่ต้นแขน เป็นแผลยาวเลย ข้าวก็ไม่เลยไม่กินกุ้งมาตลอด”
   
“อ่าฮะ”
   
“ข้าวก็เลยอดกินของอร่อยมาทั้งชีวิต ข้าวยังไม่ได้ทำไรอีกหลายอย่างเลยเนอะ”
   
คริสต์พูดทั้งที่สายตาไล่อ่านเมนูอาหารเล่มใหญ่ในมือ ประโยคที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่มันกลับสะท้อนในใจของผมจนเจ็บอก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าวปั้นไม่ได้ทำ ยังมีอีกหลายที่ที่ข้าวปั้นยังไม่ได้ไป ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าวปั้นยังไม่เคยรู้
   
“เอากุ้งผัดผงกะหรี่อีกทีครับ เมนูกุ้งรบกวนแกะให้เลยนะ คิดเงินเพิ่มก็ได้”
   
“ได้ค่ะ ทางร้านบริการฟรีค่ะ รออาหารประมาณ 15 นาทีนะคะ” บริกรสาวโค้งตัวก่อนจะยกยิ้มให้คนสั่งอาหาร และกลับไปทำหน้าที่เธอ
   
“ทำไมถึงพามาที่นี่ ไม่สิสวนสัตว์เมื่อเช้า”
   
“คิดไม่ออก แค่อยากมาไกล ๆ”
   
“ชลบุรีเนี่ยนะไกล”
   
“หรือจะไปเชียงใหม่ ไปป่ะ”
   
“ค่อย ๆ จ้า พูดเล่นไม่ได้เลยเนอะ พรุ่งนี้ควิซไงลืมหรอ หนังสือยังไม่ได้อ่านเลย”
   
“อย่างเธอไม่ต้องอ่านแล้วมั้ง ท็อปตลอด” ผมไม่รู้จะเรียนแทนเขาว่าอะไร ‘เธอ’ น่าจะเป็นอะไรกลางสุดแล้ว ไปมึงก็จะดูกระด้างไป เจอไม่กี่วัน หรือเรียกชื่อก็ดูยังไงไม่รู้แปลก ๆ
   
เขาเลิกคิ้วเหมือนได้ยินสิ่งประหลาด “เรียกข้าวยังไงเรียกเราอย่างงั้นเหอะ”
   
“มึงอะนะ”
   
“มึงก็ได้ คิดว่าเราเป็นคนสุภาพมากหรือไง แค่ไม่พูดมึงกูเนี่ย”
   
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ เอาดี ๆ แม่งโคตรจะอึดอัด เหมือนคุยกับข้าวปั้นแรก ๆ มันแทนตัวเองเรา ๆ พา ๆ ก็เลยพูดสุภาพกับมันอยู่สามวัน อกจะแตก สุดท้ายก็กลายเป็นมึงกู ส่วนมันก็เราต่อไป “เอาจริงก็อึดอัดว่ะ ที่บ้านสอนมาดีเนอะ”
   
“ไม่เกี่ยวป่ะ ก็แค่ไม่พูดเพราะไม่ชินปากเฉย ๆ แต่ถ้าจะให้พูดก็ได้ Fine นะ”
   
“ไม่ต้อง ๆ ไม่เข้ากับมึงว่ะ พูดแบบที่ถนัดเถอะ”
   
เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องสัตว์ที่โรงพยาบาลที่มหาลัยรับมาดูแลจนคิดว่าเกินกำลัง เรื่องการเมือง เรื่องอากาศ กระทั่งเรื่องเซ็กส์ ระหว่างกินข้าวนี่แหละ เป็นอีกมิติของการทำความรู้จักกันเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าเราจะมีทัศนคติหลาย ๆ อย่างที่เหมือนกัน เชื่อไหมว่าผมกับข้าวปั้นรู้จักกันมาหลายปียังไม่เคยคุยเรื่องอะไรพวกนี้เลย เพราะมันเอาแต่เรียนกับอ่านหนังสือ ไม่ก็ปลูกต้นไม้ ผมรู้จักข้าวปั้นน้อยมาก แต่ดันรักเขามากเป็นบ้าเป็นหลัง
   
“แล้วเซ็กส์ครั้งล่าสุดนี่เมื่อไหร่” เขาถามผมหลังดูดน้ำอัดลมรวดเดียวหมดแก้ว
   
“เมื่อวาน”
   
“แค่ก ๆ”
   
“ถึงกับสำลักเลยว่ะ ก็เมียห้านิ้วเนี่ย”
   
“มันไม่นับเป็นเซ็กส์ป่ะ แค่ก ๆ แม่งโค้กขึ้นสมองแล้วมั้ง” ผมหัวเราะแล้วรีบเทน้ำเปล่าใส่แก้วให้เขา

เอาจริง ๆ มันเป็นโมเมนต์ธรรมดาแต่ทำไมมันสบายใจขนาดนี้ นั่งมองเขาพูดไปกินข้าวไป ไม่มีความเคอะเขินในดวงตา หรือประหม่าใดใดทั้งสิ้น เขาแสดงออกได้อ่างเป็นธรรมชาติ ราวกับเรารู้จักและสนิทกันมาเป็นสิบ ๆ ปี ผมไม่รู้ว่าเขาสร้างบรรยากาศแบบนี้ได้ยังไง จนรู้สึกอยากยิ้มตลอดเวลา แต่ก็พยายามไม่แสดงออกขนาดนั้น เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าผมกำลังคลั่งเขาขนาดไหน
 
“ไม่มีไง ไม่ได้นอนกับใคร”

“จริงอะ อยู่ได้ไง”

“พูดเหมือนมึงต้องนอนกับคนอื่นตลอด”

“ก็ไม่ แค่คิดว่าอย่างพาน่าจะ...ไม่ขาดเรื่องพวกนี้”

ผมยักไหล่ เพราะเซ็กส์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นฉนวนสำคัญที่ทำให้พี่เขาต้องตาย แม้มันจะเป็นเรื่องที่ผมตั้งใจและรู้สึกดีมากไปกับมัน แต่คนที่ถูกกระทำเขาไม่ได้มารับรู้ และเต็มใจด้วย มันก็ไม่ต่างจากผมข่มขื่นเขาไม่ใช่หรือไง สุดท้ายเขาก็จากไปด้วยการรับรู้ว่าผมขืนใจเขา นั่นแหละคือความรู้สึกผิดเดียวที่ผมอยากแก้ไขมันที่สุด

 “แค่ไม่ได้มีคนอยากนอนด้วย ถ้าอยากนอนด้วยจะบอกนะ” ต้นกระถินที่เอาไว้แกล้มหอยนางรมถูกโยนมาจากคนตรงข้าม

“ทะลึ่งไปละ ไปไหนต่อ คาเฟ่ป่ะ ไหน ๆ ก็มาพัทยาแล้ว”

“ไปสิ”



เราไปนั่งที่ร้านกาแฟบรรยากาศดี จนเขาผลอยหลับไป นอนเก่งจริง ๆ ให้ตายสิ ผมเลยไม่รู้จะทำอะไรนอกจากนั่งมองคนหลับเอนตัวพิงโซฟาความท่าที่ไม่สบายนัก แต่ก็ไม่คิดจะย้ายเขามาหนุนไหล่อะไรทำนองนี้นะ มันดูละครไปหน่อย แสงแดดตอนบ่ายแก่ ๆ กระทบกับใบหน้าใส ขนตายาวตกเป็นเงาสะท้อนลงแก้ม เลยเอามือถือมาถ่ายรูปเขาไว้ และแล้วก็ชะงัก เพราะมุมนี้ของเขาเหมือนกับข้าวปั้นไม่มีผิดเพี้ยน รูปที่เคยเป็นวอลเปเปอร์ของผม

ไม่ไอ้พา เขาเป็นคนละคน แค่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่คนเดียวกันมึงท่องไว้

“พาตื่น ห้องสมุดจะปิดแล้ว”

“...”

เขาพูดคล้ายละเมอ หัวใจของผมกระตุกเหมือนโดนเบ็ดมาเกี่ยวฉุดให้ลงไปในห้วงทะเลลึกอีกครั้ง คริสต์ไม่มีทางรู้ว่าผมมักจะหลับในห้องสมุดเสมอ และคนที่ปลุกก็เป็นข้าวปั้นเสมอเหมือนกัน

ไม่หรอก ไม่จริง แค่บังเอิญ บังเอิญแน่ ๆ...

เรื่องนี้มันกำลังทำผมเสียสติ เลยตัดสินใจเดินออกมาจากร้าน แล้วแจ้งพนักงานไว้ถ้าเขาตื่นให้บอกว่าผมออกมาเดินที่ริมหาด ผมพยายามบอกตัวเองตลอดว่าเขาสองคนไม่มีทางเป็นคนเดียวกันได้ เพราะตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่กับคน ๆ นี้ จะพยายามให้มากพอเพื่อขอโอกาส แต่พอได้ยินแค่ประโยคเดียวทำเอาผมมือสั่น ขาอ่อน ไม่มีใครปลุกผมที่ห้องสมุดนอกจากข้าวปั้น ถ้าคริสต์ไม่ใช่ข้าวปั้นทำไมคริสต์ถึงละเมอประโยคนี้ออกมา

“แม่งเอ้ย”
“ข้าวปั้นกูขอร้องล่ะ”
“กูอยากมีความสุขบ้าง”


ผมไม่สนว่าร้องเท้ากุชชี่ที่ใส่อยู่จะแพงแค่ไหน เตะทรายริมหาดให้ความหงุดหงิดใจลดทอนลง ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะทรายในใจมันกำลังถูกน้ำทะเลพัดมาเกยตื้นจนกำลังถูกถมอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ยังไง ไม่รู้ว่าจะต้องชดใช้ให้แค่ไหนถึงจะพอ หรือต้องตายตามไปจริง ๆ

End Phatid’s Part



คนที่เพิ่งตื่นยืนดูคนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเตะทรายจนฟุ้งเต็มหาด เขาไม่แน่ใจว่าอีกคนเป็นอะไร เพราะตื่นมาก็ไม่เจอพาทิศที่ควรจะนั่งตรงข้าม จนพนักงานเดินมาบอกว่าเขาออกมาที่ชายหาด ก็เลยเดินตามมาและพบภาพที่ชวนฉงนใจ
   
“พา!”
   
คริสต์เรียกผู้ชายที่ยืนเท้าสะเอวและยังมีท่าทีหงุดหงิด อีกฝ่ายหันมาและรีบเดินเข้ามาหา ไม่รีรอเขาคว้าต้นคอของคนเรียกและประทับจูบลงมา
   
ไม่ใช่จูบอย่างอ้อยอิ่งเหมือนเมื่อเช้า แต่เป็นจูบที่เต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่น คริสต์ตกใจแต่รู้ว่ายิ่งเขาขัดขืนอีกคนน่าจะยิ่งรุนแรง จึงโอนอ่อนตามไปให้เขาเป็นผู้นำเผื่อใจจะสงบลงบ้าง และจากความเร่งเร้ารุนแรงก็ค่อย ๆ ผ่อนปรนและอ่อนโยน ริมฝีปากที่บดขยี้กลายเป็นบดเบียดเข้าหากันและกัน และมันกำลังจะลึกซึ้งกว่านั้น แต่คริสต์ผลักอกคนที่กำลังมอมเมาเขาออกเบา ๆ เพราะนี่ชายหาดสาธารณะ เขาสองคนคงโดนจับต้องไม่น้อย
   
“พอก่อน”
   
พาทิศประคองใบหน้าคนที่เขาเพิ่งจูบไปเมื่อครู่ ริมฝีปากแดงแจ่อจากความรุนแรงที่เขาใช้ปรากฏต่อสายตาเขา “ขอโทษ ไม่ได้จะทำแบบนี้”
   
“ไปโกรธอะไรมา”
   
“ตัวเอง”
   
สายตาของคนตรงหน้าทำเอาพาทิศอยากจะทึ้งหัวตัวเอง เพราะดูยังไงก็ไม่ใช่ข้าวปั้น และไม่มีทางเป็น สายตาแห่งความห่วงใย และไม่มีทีท่าว่าจะหัวเสีย มีแต่ความกังวลฉายตามนัยน์ตา ยังจะสงสัยอะไรอีก พาทิศคิดกับตัวเอง เขารวบคริสต์เข้ามากอดด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ
   
มือใหญ่ลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างอ่อนโยน ราวกับว่ากลัวมันจะหายไปต่อหน้า พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบทะเล ท้องฟ้าสีจัดกำลังทอแสงสุดท้ายของมัน เป็นภาพวาดที่ธรรมชาติรังสรรค์และไม่ควรเป็นช่วงเวลาที่มาหมองมัว ต้องรีบตักตวงก่อนที่มันจะสลายหาไป พาทิศกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก เขาจะไม่มีทางให้มันหายไปอีก จะไม่ใช่แสงสุดท้ายของเราแน่นอน
   
อยู่ด้วยกันแบบนี้ก่อนนะ
อย่างเพิ่งหายไปนะ
แล้วจะให้ทั้งชีวิตเลย





------------------------------------------------11-------------------------------------------------



ขอโทษอีกครั้งที่หายไปนานมากกกกกกก

ช่วงปลายปีงานก็จะเยอะแบบเหมือนแกล้งกัน

แต่บอกแล้วว่า สัญญาว่าจะไม่หยุดดดดดดด

เรื่องจะเริ่มซับซ้อนขึ้น

คิดว่าหลายคนคงพอเดากันได้แล้วเนอะ

ตอนหน้าเตรียม NC ร้อน ๆ ที่ทุกคนรอคอยไว้เสิร์ฟ

ฮี่ๆๆๆๆ แต่จะใช่คู่ที่ตัวเองเชียร์มั้ยก็ต้องมาลองดู๊



ขอบคุณที่ติดตามและไปทอดทิ้งกันนนน



รักกก



บี @mifengbeexx






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
Thank you, Next มาทีหลังรบกวนต่อคิว
เปลี่ยนไปตลอดกาล
[/size]



ผู้ชายสองคนเดินข้างกันเงียบ ๆ ริมทะเล พระอาทิตย์อัสดงลับขอบฟ้าไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เขาทั้งคู่ตะกองกอดกันในช่วงเวลาโกลเดนท์ไทม์ด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน ความสับสันปะทะเข้าอย่างจังกับพาทิศ และความไม่แน่ใจรุนแรงของคริสต์กับสิ่งที่กำลังทำ

ยากเหลือเกิน

มือใหญ่บีบกระชับมือที่เล็กกว่า ดึงเบา ๆ ให้อีกคนหยุดเดิน

“จะเป็นไรไหมถ้าเราจะไม่ลืมข้าวปั้น”

“เรา? หมายถึงเราสองคน คือแค่พา”

“เราทั้งคู่”

“เราจะลืมพี่ชายเราได้ยังไง” คริสต์ไม่เข้าใจที่พาทิศจะสื่อ และเขาค่อนข้างไม่ชอบใจที่จู่ ๆ คนตรงหน้าก็พูดแบบนี้

ราวกับว่าความทรงจำระหว่างพาทิศและข้าวปั้นมันไม่ได้น่าจดจำสำหรับอีกคน

คนตัวเล็กกว่าช้อนสายตามองคนตัวโต ขมวดคิ้วด้วยความสับสัน มีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด คิดว่าการลืมมันจะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วทุเลาลงหรือไง ทั้งที่ข้าวปั้นตายไปแล้ว

จากที่ไม่แน่ใจว่าจะทำต่อหรือไม่ คริสต์ก็มั่นใจแล้วว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด

คนพวกนี้ต้องได้รับกรรมในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม

“กูไม่ได้หมายความแบบนั้น”

“...”

“หมายถึงจะเป็นไรไหม ถ้ากูจะขอโอกาสจากมึง ทั้งที่ยังไม่ลืมข้าวปั้นเลย”

“...”

“...”

คริสต์แทบจะอ้วกกับสิ่งที่คนตรงหน้าพ่นมันออกมา กล้าดียังไงถึงกล้าพูดกับเขาแบบนี้ แม้ข้าวปั้นจะเป็นพี่ชายแต่นี่เขา เขาคือคริสต์ พระเจ้าที่จะมากำหนดชีวิตทุกคน

จะไม่ใช่แค่เจ็บเจียนตาย

แต่เจ็บแค่ไหนก็จะไม่ให้ตาย


“เรายังไม่พร้อม” คริสต์ไม่แสดงอารมณ์ใดใด เขารีบสวมหน้ากากปกปิดความไม่พอใจสุดขีดที่กำลังประทุในหัวใจดวงเดิมที่บอกช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยคนกลุ่มเดิม ๆ ที่เหยียบย้ำมัน

“อื้ม เข้าใจได้”

“มันไม่เร็วไปหรอที่จะมาขอโอกาสจากน้องชายของผู้ชายที่พารักเขามาตลอด”

“รู้?”  พาทิศตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่เคยสารภาพคำ ๆ นี้ออกไปให้ข้าวปั้นรู้ แม้จะเป็นวันสุดท้ายที่อีกคนได้เห็นโลกใบนี้ แต่น้องชายฝาแฝดที่เหมือนข้าวปั้นทุกกระเบียดนิ้วกำลังพูดความจริงนั้นกับเขา ในวันที่เขาขอโอกาสจากคนตรงหน้า

“มองไม่ออกก็แย่แล้ว”

“...”

“รักข้าวปั้นมากเลยหรอ...แล้วทำไมถึงอยากเริ่มใหม่แล้ว”

“อยากถูกปลดปล่อยมั้ง มันยาก ยากมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมา จนมึงเข้ามาก็อยากจะเริ่มต้นมันอีกครั้ง”

“ไม่ใช่เพราะเราเหมือนข้าวปั้นหรอกหรอ”

“...”

คำพูดแทงใจดำของคนตรงหน้า ทำเอาพาทิศตัวชาดิก มันเป็นความจริงที่แม้แต่ตัวพาทิศเองยังไม่อยากยอมรับ เขาพร่ำโกหกตัวเองอยู่เสมอว่าที่รู้สึกดีกับคริสต์เป็นเพราะคนนี้เป็นตัวของตัวเอง ทั้งที่ครั้งแรกที่เห็นก็คิดถึงคนที่อยู่ในความทรงจำมาตลอด หลีกหนีเท่าไหร่ความจริงก็วิ่งตามมาทันเสมอ

“รอหน่อยแล้วกัน เราก็ไม่ได้อยากเป็นตัวแทนใคร”

“คริสต์ ไม่ใช่แบบนั้น”

“เข้าใจ ไม่เป็นไรนี่ เราก็ยังอยากให้ข้าวปั้นอยู่กับเราทุกลมหายใจแหละ เราไม่ต้องลืมข้าวปั้นหรอก เนอะ”

หน้ากากยิ้มถูกหยิบมาสวมทันที ทั้งที่ความโกธาระอุกรุ่นในอกจนแทบจะระเบิด พระเจ้าอย่างเขาต้องเป็นผู้ชี้ชะตาคนอื่น ไม่ใช่ให้มนุษย์หน้าโง่ที่ไหนก็ไม่รู้มาสั่งนั่นสั่งนี่ แต่สุดท้าย มนุษย์ก็เป็นเพียงมนุษย์ เกมนี้ยังไงเขาก็คุม มันไม่จบด้วยความสวยหวานตั้งแต่เริ่ม






คริสต์ยังไม่อยากกลับ เพราะอยากอยู่ต่ออีกสักคืน จริง ๆ เขาคิดถึงทะเล คิดถึงบ้าน และคิดถึงแม่ ความกว้างใหญ่ของทะเลอ่าวไทยไม่สู้ทะเลอันดามันบ้านเกิด แต่พอมองก็ได้ผ่อนคลาย เขาโทรบอกเบิ้มว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน ให้หาข้าวกินได้เลยไม่ต้องรอ เบิ้มดูจะตกใจจนเสียงทองแดงเปล่งออกมา ถามใหญ่ว่าเขาจะไปนอนที่ไหนกับใคร ทำไมกลับไม่ได้ ก็คงมีแค่เบิ้มนี่แหละที่ไร้เดียงสา และซื่อสัตย์ต่อเขา

บังกะโลริมหาดหลังสุดท้ายถูกจับจ้องด้วยชื่อคุณพาทิศ ตอนนี้หายไปซื้อของมานั่งทำอาหารง่าย ๆ สำหรับมื้อเย็น เพราะคริสต์บอกว่าเขาเหนื่อยจนไม่อยากออกไปไหน ทั้งที่จริง ๆ อยากโทรหาใครบางคน

“เควิล เกมมันสั้นอย่างที่ยูบอก”

(เฮ้ เกิดอะไรขึ้น)
   
“ไม่มีใครสำนึกกับสิ่งที่ทำเลยสักคน”

(ไหนว่าตอนแรกจะหยุดแล้ว)

“มีคนมาบอกว่าเราไม่ใช่คริสต์ นังบ้า”

(คริสต์ใจเย็น ๆ ยูโอเคนะ)

“มันน่าโมโหหนิ ทีแรกก็ว่าจะจบแล้ว แต่ทำไมต้องขุดคุ้ย อยู่กันดี ๆ ไม่ได้หรือไง”
   
(แล้วยังไงต่อ นี่อยู่ไหนทำไมเหมือนได้ยินเสียงคลื่น)

"ทะเลกับพาทิศ”

(Really?!)

“Yes going to climax dude”

(รู้ใช่มั้ยว่าถ้าเดินต่อมันจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม)

“ยิ่งกว่ารู้ ไม่งั้นไม่เริ่มแต่แรก”




   

ค่ำคืนที่มืดสนิทและเงียบสงัด เสียงทะเลซัดกระเซาะทรายริมหาด ความเวิ้งว้างสีนิลปกคลุมทั่วอาณาบริเวณที่มองออกไปนอกริมหน้าต่าง เสียงไฟสลัวริบหรี่จากตะเตียงเจ้าพายุที่แขวนประดับข้างหน้าต่าง ไม่ได้ช่วยให้ราตรีนี้สว่างสไวขึ้นแม้แต่น้อย
 
คริสต์มองผู้ชายบนเตียงที่หลับสนิททั้งที่มือจับเขาไว้ กว่าค่อนคืนที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบ ๆ กลางเก่ากลาลงใหม่ พาทิศเล่าเรื่องราวหลายอย่างให้ฟัง โดยเฉพาะตอนลี้ภัยหัวใจไปอยู่เกสโซเน่ที่อิตาลี แม้รายละเอียดจะไม่ได้มากมาย แต่น้ำเสียงและสายตาที่หลุบมองต่ำเสมอเมื่อคิดถึงความทรงจำตอนนั้น ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันเป็นช่วงที่ลำบาก

แล้วยังไง

คิดว่าตัวเขาผ่านมันมาได้ด้วยความง่ายดายอย่างนั้นหรือ

เจ็บปวดใช่มั้ย

เศร้าโศกใช่มั้ย

แต่ยังไม่ตายนี่



คริสต์ก้มลงไปจุมพิตผู้ชายที่หลับใหลไม่รู้เรื่องราว จมูกเล็กโด่งไล้ไปตามสันจมูกและแก้ม เขาหายใจแรงรินรดเพื่อให้อีกคนรู้สึกตัว แต่คนหลับลึกยังคงหายใจสม่ำเสมอ คริสต์ตัดสินใจใช้ขาเล็กคล่อมอีกคนที่ยังไม่ยอมปล่อยมือกัน เขาถอดเสื้อยืดที่พาทิศซื้อมาให้จากตลาด แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างกระทบกับคนตัวขาวขับแสง

คริสต์ต้องการให้พาทิศตื่นมาเห็นภาพนี้ เขาโน้มตัวลงไปโลมเลียริมฝีปาก หนวดไรที่กำลังขึ้นทำเอาคริสต์รู้สึกขัดใจ และก็พยายามใช้ทุกกลเม็ดที่ศึกษามาทำให้อีกคนตื่นจาภวังค์ให้จงได้ ลมหายใจของคนข้างใต้เริ่มหอบรุนแรง สะโพกเล็กบดเบียดส่วนล่างจนคนหลับยังรู้สึก

พาทิศลืมตาใต้ความมืดที่กำลังปรับโฟกัสเพื่อให้มองเห็นสิ่งมีชีวิตกำลังทำอะไรบางอย่างกับร่างกายเขา ความหนักบนตัวและลมหายใจที่กำลังรินรดต้นคอของเขาทำเอามึนงงไปหมด

“คะ คริสต์ทำอะไร”

คนด้านบนไม่รอให้อีกฝ่ายได้เปิดปากถามอะไร เขาประกบปากลงไปอย่างแนบแน่นกว่าตอนแรก ลิ้นเล็กพยายามแทรกแซงเขาไปข้างใน แต่อีกคนไม่ได้เปิดปากยินยอม เพียงแต่จูบตอบกลับมาเท่านั้น มือใหญ่จับเอวของคริสต์เบา ๆ เพราะอีกฝ่ายบดเบียดลงมามากเกินไป จนเขาเริ่มรู้สึก ทั้งที่ยังงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมคริสต์ถึงทำแบบนี้

“เดี๋ยวสิ ทำไม”

“ไม่มีเหตุผล”

“ถ้ามันเป็นแค่เซ็กส์กูไม่อยากได้”

“แต่อยากให้”

“ไม่คริสต์ กูไม่อยากทำกับมึงแบบนี้”

คริสต์ไม่ได้อยากฟังคำพูดพร่ำเพ้อจากคนด้านล่าง เขาผละตัวออกจากตัวคนด้านล่าง เพื่อจัดการกับท่อนล่าง เปลือยอาภรณ์ของตัวเองออกจนไม่เหลืออะไร และนั่นทำให้พาทิศรู้ว่าคริสต์ไม่ได้ใส่กางเกงในนอน กางเกงขาสั้นยางยืดที่เขาซื้อมาให้จากตลาดถูกโยนลงข้างเตียงเบา ๆ คริสต์นั่งชันเข่า ร่างกายส่วนกลางของคริสต์แข็งขืนชี้หน้าเขาเต็มตา

“จะไม่ทำจริง ๆ หรอ”

มือเล็กเอื้อมไปลูบส่วนนั้นของพาทิศ และมันดันตอบสนองด้วยการผงกตัวผ่านกางเกงผ้าเนื้อบางด้วยสัญชาตญาณดิบ คนนอนนิ่งแทบกระอักเพราะสายตายั่วเย้าที่มองมามันช่างทำลายความยับยั้งช่างใจของเขาจนแตกสลาย พาทิศลุกขึ้นและผลักคริสต์ลงกับเตียงด้วยแรงอารมณ์ที่ประทุหนัก

“จำไว้ด้วยว่าวันนี้ไม่ใช่แค่เซ็กส์”

คริสต์ยกยิ้มมุมปาก เขายกแขนกอดคอคนด้านบนก่อนจะเอียงองศาคอเพื่อจูบคนตรงหน้าที่กำลังหายใจถี่ มือใหญ่ของพาทิศลูบไล้ไปตามเนื้อตัวขาวเปลือย ผิวลื่นละเอียดทำเอาเขาแทบคลั่ง เพราะไม่อาจจะยั้งใจไม่ให้ทำรุนแรงกับอีกคนได้ เขาขาดเรื่องพวกนี้มานาน คริสต์กำลังปลุกปีศาจที่หลับใหลให้ตื่นโดยที่ตัวเองกำลังเป็นเหยื่อที่จะต้องเจ็บตัว

พอเป็นผู้ชายกับผู้ชายมันก็จุดติดกันไม่ยาก ไม่ใช่แค่เซ็กส์หรอก แต่มันจะคือเครื่องเตือนความจำ จำให้ดีว่าวันนี้และวันนั้นเหมือนกันจนแยกไม่ออก

พาทิศจัดการกับกางเกงช่วงล่าง ความเป็นชายแข็งขืนไม่ต่างคนที่นอนหอบหายใจรุนแรงข้างใต้ เขาผละออกจากริมฝีปากนุ่มเพื่อถอดเสื้อตัวเกะกะออก ร่างกายเปลือยเปล่าแตะสัมผัสกันแต่ละครั้งราวกับมีกระแสไฟฟ้าสักสองร้อยโวลต์จุดติดตรงนั้น จมูกโด่งเป็นสันแตะทุกสัดส่วนของคนด้านล่างที่ช่างเย้ายวน คางมน ลำคอระหง หน้าอก และวนรอบสะดือ

คริสต์สะดุ้งทุกครั้งที่ลมหายใจร้อนสัมผัสไปทุกสัดส่วนของร่างกายเขา

มันไม่ใช่ครั้งสำหรับเขา และไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับคน ๆ นี้

ภาพจำในครั้งก่อนที่เลือนรางและถูกพรากไปจากลมหายใจ ฉายชัดเจนในวันนี้ราวกับฟิล์มทับซ้อนที่กำลังถูกล้างในห้องแดง คริสต์รู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ อีกคนสัมผัสตรงไหน รู้สึกอย่างไร และแน่นอนมันปราศจากความรักโดยสิ้นเชิง

“ฮะ พา ขะ เข้ามาเถอะ”

“ไม่มีถุง”

“เข้ามา!”

พาทิศจำใจเพราะตัวเองก็เจียนจะขาดใจกับภาพตรงนี้ นิ้วยาวพยายามสอดแทรกเข้าไปในช่องทางรัดแน่นด้วยสิ่งลื่นเดียวที่มีจากปากของเขาเอง ก่อนหน้านี้ใช้ปากกับส่วนนั้นให้คริสต์ แต่อีกคนกลั้นเสียงครางและพยายามไม่ให้มันจบลงที่ปากเขา ทั้งที่มันสุดปริ่มแล้วแท้ ๆ

“อะ”

พาทิศเห็นคริสต์ยกสะโพกตัวเองทุกครั้งที่นิ้วของเขาสัมผัสกับจุดกระสัน น้ำใส ๆ หยาดเยิ้มออกมาจากส่วนที่คนใต้ร่างบอกว่าห้ามแตะต้องมันอีก เดาว่าไม่อยากเสร็จก่อนจะเริ่ม

“เจ็บหรือเปล่า ไม่มีเจลเลย”

“มะ ไม่ เข้ามาเถอะ นะ”

สายตาอ้อนวอนและขอร้อง มันช่างมีพลังทำลายล้างสูงต่อความรู้นึกผิดชอบเสียจริง ร่างสูงถอนนิ้วทั้งสามที่คิดว่าช่วยเบิกทางได้ระดับหนึ่งแล้วออก ช่องทางของคริสต์ขยายขึ้นและเริ่มบวมช้ำ แต่อย่างไรพาทิศก็ต้องไปต่อ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องขาดใจ

“ถ้าเจ็บก็บอกเลยนะ”

“ฮื้ออออ อะ”

แก่นกายใหญ่โตจากการข่มใจมาหลายนาที มันยิ่งขยายเพิ่มขึ้นเพราะไม่ได้ใช้กับกิจกรรมที่มีคนร่วมด้วยมานาน มือใหญ่ประคองส่วนนั้นก่อนจะกดมันลงเบา ๆ ที่ช่องทางอ่อนนุ่ม ความแน่นคับบีบแน่นคือสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ เขาพยายามดุนดันแต่แล้วก็พ่ายแพ้เพราะคนด้านล่างทำหน้าคล้ายกับเจ็บปวด

“เจ็บทำไมไม่บอก ทนทำไม”

“มะ ไม่เป็นไร เข้ามาเถอะ”

คริสต์ไม่อยากให้มันเนิ่นนานนัก เขาอยากให้มันจบไว ๆ ทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกมาก มันไม่ควร

พาทิศไม่ทำตามที่คนด้านล่างบอก เขาถอนตัวเองออกจนหมด แล้วจัดการปิดปากคนที่พูดมาก ราวกับว่าอยากให้มันจบ ๆ ไป ก็เขาบอกแล้วไงว่ามันจะไม่ใช่แค่เซ็กส์ที่น้ำแตกแล้วแยกทาง

พาทิศโลมเล้าคนด้านล่างใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ผ่อนคลาย เขาจะไม่มีทางทำให้คริสต์ต้องเจ็บตัวมากไปกว่าที่ต้องเจ็บอยู่แล้ว เขาอยากถนุถนอมและอ่อนโยน แม้อีกคนจะอยากให้มันเป็นแค่เซ็กส์ แต่สำหรับเขามันคือเมกเลิฟ และมันจะต้องดีจนอีกฝ่ายจดจำไม่มีวันลืมคืนนี้เลย

คนใต้ร่างอ่อนปวกเปียกเป็นมาชเมโล่โดนเผาไฟ แขนเล็กถูกจับให้เกี่ยวกันบนต้นคอของร่างแกร่ง เหงื่อกาฬซึมเต็มหน้าผากจนคนด้านบนต้องจูบซับมันเบา ๆ ก่อนจะกระซิบให้เขาแยกขาออกจากกันอีกหน่อย มือใหญ่คว้าผ้าห่มที่ถูกพับปลายเตียงมารองสะโพกของคนตัวขาว จัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มใหม่อีกครั้ง

ส่วนที่ยังไม่สงบกำลังจดจ่อเพื่อเข้าช่องทางอ่อนนุ่มอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่รีรอ ใช้แรงกดจนสุดลำ คนด้านล่างถึงกับครางออกมาเสียงดัง เพราะไม่ทันตั้งรับ

“ฮะ ขยับสักที”

คริสต์เหมือนเด็กเอาแต่ใจ และพาทิศก็เป็นผู้ปกครองที่คอยตามใจ เขาเริ่มขยับส่วนที่เชื่อมติดกัน ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นตามอารมณ์ราคะ ใบหน้าของสองคนห่างกันไม่กี่มิลลิเมตรเคลื่อนเข้าหากันอัตโนมัติ องศาจูบลงล็อกขึ้นพร้อมกับจังหวะของเนื้อที่แนบเนื้อเป็นไปตามครรลองที่เขาทั้งสองร่วมบรรเลง

พาทิศจับสะโพกอีกฝ่ายแน่นเมื่อถอนจูบแล้ว เขาอยากให้มันลึกกว่านี้ จึงจัดแจงให้อีกคนลุกขึ้นแล้วหันหน้าไปทางหัวเตียง พอไม่มีเครื่องป้องกันสัมผัสมันยิ่งจาบจ้วง หยาบโลน และน่าอาย เสียงของเนื้อสัมผัสกันดังก้องในบังกะโลหลังน้อย คริสต์กัดปากตัวเองจนห้อเลือด เพราะจังหวะถอนกายออกแล้วแทงเข้ามาใหม่จนสุดทำเอาเขาจะเสร็จรอมร่อ

มือหนาตีก้นเนียนด้วยแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานสุดขีด แต่ยังอดกลั้นไม่อยากให้จะให้มันรวดเร็วดังใจคนที่โก้งโค้งในท่าด็อกกี้ พาทิศโน้มตัวลงไปจุมพิตที่ต้นคอเนียน ความชื้นของเหงื่อจากการออกแรงรักร่วมกันทำเอาเซ็กซี่จนอยากขย้ำให้แรงกว่านี้

คนคุมเกมถอนกายออกเพื่อจะพลิกคนใต้ร่างในนอนในท่ามาตรฐาน เพราะเขาเองก็เริ่มจะอดกลั้นไม่ไหว แต่ยังไม่ทันตั้งตัวก็โดนแรงของคนตัวขาวพลักจนหงายหลังทิ้งตัวลงปลายเตียง ก่อนที่เขาจะกระโดดคล่อมพร้อมยกสะโพกเพื่อกดส่วนนั้นของตัวเองลงมาที่แกนกายของคนด้านล่าง การกระทำที่ไม่เห็นความเขินอายสักนิดทำให้ผมคิดว่าเขาก็คงเจนจัดกับเรื่องนี้พอสมควร

นี่คือคริสต์ในเวอร์ชั่นที่ไกลจากข้าวปั้นเหลือเกิน ไม่เหลือความทับซ้อนอีกต่อไปแล้ว

แสงจันทร์เที่ยงคืนพาดผ่านคนตัวขาว เขาราวเรืองแสงได้ ช่างงดงาม จังหวะการขยับโยกบนตัวเขาไม่เร่งเร้า แต่เต็มไปด้วยสิเน่หา เขาแทบคลั่นตอนที่คนด้านบนยกตัวขึ้นเกือบจะหลุดจากกันแต่แล้วก็กดตัวเองลงมาอย่างรวดเร็ว ปากบางไม่เก็บเสียงอีกแล้ว ส่วนพาทิศเองก็แทบจะเสร็จเพราะทนไม่ไหว

ไม่รีรอให้คริสต์กุมเกมอยู่นาน พาทิศใช้แรงที่มากกว่าผลักอีกคนลงไปยังตำแหน่งตัวเอง ก่อนจะสอดใส่ตัวตนเข้าไปและใช้ความเร็วถี่กระชั้น เสียงเนื้อกระทบกันดังมากกว่าเดิม แรงอารมณ์พุ่งทะยานสุดควบคุม เขาตั้งใจจะเอาออกมาปล่อยข้างนอก แต่คนตัวบางดันขมิบเม้นตอดรัดเจียนจะบ้า

“ฮะ คริสต์ อย่ารัด”

“ฮื้อ จะเสร็จ เร็วกว่านี้หน่อย”

“ข้างในนะ”

คนด้านล่างไม่ปฏิเสธอะไรเขารีบเร่งให้ทันใจ มือขาวจิกแขนเขาจนขึ้นสี ขายาวที่พาดบ่าเขาสั่นจนรู้สึกได้ คนด้านล่างปลดปล่อยออกมาเต็มหน้าท้อง เปรอะเลอะไปหมด ทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องส่วนนั้นด้วยซ้ำ เห็นคริสต์ถึงฝั่งฝัน พาทิศก็เร่งจังหวะขึ้นอีก มันเร็วราวกับขึ้นรถไฟเหาะ ก่อนจะพุ่งทะยานลงมาเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว

“ฮ่า อะ”

ความรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งช่องทาง และแรงกระตุกหลายทีทำเอาคริสต์แทบจะเสร็จอีกรอบ คนตัวโตหอบหายใจหนักและพ่นลมหายใจออกทางปากเสียงดัง และยังไม่มีท่าทีจะเอาส่วนกายของตัวเองออกมาจากตัวเขาเลย มือใหญ่ลูบใบหน้าของคนที่อ่อนแรงก่อนจะกดจุมพิตลงที่หน้าผาก เขาค่อย ๆ ถอนแก่นกายออกไป น้ำรักไหลลงผ้าห่มที่รองอยู่ สีจางของเลือดทำเอาคนตัวโตรู้สึกผิดไม่น้อย แต่กระนั้นถ้าย้อนกลับไปก็คงจะทำอยู่ดี

พาทิศล้มตัวลงไปกอด เอาหัวซุกที่เอวของคนตัวขาว ความเปียกชื้นจากเหงื่อของทั้งสองคนเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเมื่อครู่ไม่ใช่แค่ฝันไป แต่มันเกิดขึ้นจริง ๆ 








มีต่อ


ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“พอแล้ว”

คริสต์ออกปากห้าม เมื่อคนที่กำลังกอดเขาขยุกขยิกที่สะโพกไม่เลิก คนบ้าอะไรแรงเยอะขนาดนี้ ตอนนั้นทำไมไม่ยักจะรู้ตัวหน่อ ว่าคนที่กำลังมีอะไรด้วยไม่ใช่คนที่ตื่นมาเจอ

บ้าฉิบ

บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนี้ก็ได้

แน่นอนความผิดอยู่กับคนที่ตั้งใจจะปิดบังกันต่างหาก สูญเสียทุกอย่างตลอดกาล








ย้ำอรุณพาทิศรู้สึกตัวเพราะร้อน ผ้าห่มผืนใหญ่สีขาวคลุมเขาทั้งตัวจะไม่ให้ร้อนได้ไง ลืมตาท่ามกลางความมืดแม้จะใกล้สว่าง แขนที่เคยหนักเมื่อคืนเพราะโอบกอดอีกคนว่างเปล่า เขากระเด้งตัวลุกจากเตียงมองหาคน ๆ นั้น สอดส่ายสายตาไปทั่วห้องแคบ ๆ แต่ก็ไร้วี่แวว ระเบียงเล็กหน้าบังกะโลโล่งโจ้งไม่มีกระทั่งเงา

จากเขาไปแล้ว

จากไปอีกครั้ง

ความรัก


โน้ตสักแผ่นก็ไม่มี โทรไปก็ไม่รับ ไม่รู้เลยว่าไปไหน ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร ทั้งที่เมื่อคืนมันดีมากแท้ ๆ

หรือเขารู้สึกไปคนเดียว

นั่นสินะ

เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ

สุดท้ายมันก็แค่เซ็กส์สำหรับเขา

พระเจ้าคนนั้น






Christ’s talk


ผมไม่หันกลับไปมองผู้ชายที่นอนสงบนิ่งบนเตียง กว่าค่อนคืนที่เขากอดผมแน่นราวกับกลัวจะมลายหายไป เป็นกอดอุ่นที่เคยใฝ่ฝันถึง แต่ไม่เคยได้รับมันจากใครเลย จนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเขาได้รับมันอย่างเต็มสูบ ทั้งที่ใจต่อต้านและมิอาจหลงใหลกับมันได้

แต่อบอุ่นจริง ๆ

พี่ธามโทรหาผมสายแทบไหม้ แต่ผมปิดเครื่องอีกอย่างก็โดนยึดมือถือเขา ร้อยกว่าสายที่เพียรโทรหาตลอดคืนเอาใจผมสะท้อนใจ นี่เป็นอีกหมากที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ตั้งใจดึงเขาเข้ามาแล้ว เพียงชั่วโมงเดียวรถคุ้นตาก็จอดเทียบถนนหน้าบังกะโลที่ผมพัก เขาไม่ได้ถามอะไรแค่เปิดประตูให้ผมขึ้นไปนั่งที่ประจำก็เท่านั้น

ทำไมคนดี ๆ แบบนี้ไม่ไปเจอคนที่ดีเหมือนกัน

มาจมปรักกับคนที่ไม่มูฟออนแบบผมทำไม

“แวะกินอะไรก่อนมั้ย ยังทัน”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวไอเข้าคลาสสาย เมื่อวานก็โดด”

“...”

อีกฝ่ายเงียบเหมือนโดนตัดสาย เขาพยายามระงับอารมณ์และคำพูดของตัวเอง ทั้งที่ใจร้อน และคงหงุดหงิดพอสมควร แต่ก็เลือกที่จะไม่แสดงอาการเหล่านั้นออกมา ทั้งที่การกระทำของผมควรโดนตะคอกใส่ที่สุด

“ไอจะเล่าให้ฟัง แค่ยังไม่ถึงเวลา”

“ไอรอได้นะ รอได้ตลอดแหละ ไอแค่เป็นห่วง”

“...”

“ไอแคร์ยูมากนะ”

“อื้มรู้แล้ว”

ผมเอื้อมมือไปลูบใบหน้าเหนื่อยล้าของคนที่ต้องขับรถมาถึงชลบุรีตอนตีสาม ผมรู้ว่านี่คือการให้ความหวังที่ไร้ซึ่งความหวัง พี่ธามดีเกินไปที่จะยอมมาเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อผม ให้เขากลับไปเป็นคนเดิมที่ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็นคงดีกว่า

ขอโทษจริง ๆ

ผมลงจากรถคันหรูที่จอดเทียบฟุตบาธคณะ เขาแวะไปส่งผมที่บ้านและก็ออกมาส่งที่มหาวิทยาลัยอีกรอบ หาวเป็นสิบ ๆ รอบจนผมอาสาจะขับรถแทน แต่ไม่มีทางที่เขาจะยินยอม คนตัวสูงเดินอ้อมมาเอาโทรศัพท์มือถือของผมที่น่าจะหล่นลงเบาะมาให้

“เอาไปเลยมือถือ แล้วก็ห้ามปิดด้วย ไม่งั้นคราวนี้ไอจะโกรธ ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ก็เถอะ”

“โถ่ ไอแค่ลืมไม่ได้ตั้งใจลืมซะหน่อย ยังไงก็ขอบคุณนะ กลับไปนอนไป”

“ขอรางวัลหน่อยสิ กำลังใจในการรอ”

“รางวัลอะไรอีกอะ ตั้งแง่เก่งมาก”

“กอดทีนึงก็ได้”

“เฮ้อ หน้าคณะเนี่ยนะ”

คนตรงหน้าเริ่มเบะปาก ทั้งที่มันไม่เข้ากับคนที่โคตรจะโหดอย่างเขาเลยด้วยซ้ำ

“ก็ได้ อะมาเร็ว ๆ เดี๋ยวมีคนเห็น”

พี่ธามรีบอ้าแขนแล้วรวบตัวผมที่ถือของพะรุงพะรังเข้าอ้อมอกของเข้า คนตัวโตใช้แรงมหาศาลบีบรัดผมราวกับหมันเขี้ยวเด็กตัวเล็ก ๆ ผมแน่นิ่งในอ้อมกอดเขา

ไม่อุ่น

ไม่อุ่นเลยสักนิด




จุ้บ

“พี่ธาม! นี่มันเกินที่ตกลงแล้วนะเว้ย”

“น่านิดเดียวไม่มีใครเห็นหรอก จุ้บผมเอง ไอไปละนะ ตั้งใจเรียนด้วยคุณหมอ”

ผมชี้หน้าคาดโทษคนที่ลิงโลดได้ใจ เขาปรี่ขับรถคันโปรดออกไปอย่างรวดเร็ว ยืนมองจนลับสายตาแล้วได้แต่ถอนหายใจกับตัวเอง เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ เขาไม่รู้จะแบกรับความรู้สึกเหล่านี้ได้อีกนานแค่ไหน อะดรีนาลีนที่เคยหลั่งไหลตอนที่วางแผนค่อย ๆ สูญสลายเมื่อพบเจอกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริง

ถ้าเป็นข้าวปั้นคงไม่ทำเรื่องแบบนี้ใช่มั้ย

แล้วข้าวจะทำยังไง

พระเจ้าต้องทำถูกแล้ว

พระเจ้าทำได้

ทำแทนข้าวสิ



กระจกประตูห้องคณะบดีสะท้อนเงาของผู้ชายคนเดียวที่ความคิดกำลังสับสนและงุนงง เขาคุยกับตัวเองไม่รู้เรื่อง ทั้งที่มันเคยหนักแน่นเวลาถามแล้วคำตอบเป็นเป้าหมายเดียว

แต่ตอนนี้มันเริ่มเลือนราง

คริสต์ยังอยู่กับเราใช่มั้ย



“คริสต์”

“คริสต์!!”

“คริสสสสสสสสส!!!”

“หะ ห้ะ”

“จะเดินไปไหน นั่นทางไปห้องเก็บฟาง ไม่ขึ้นเรียนหรอ”

เป็นเสียงของเซนที่เอ่ยทัก ผมเพิ่งเห็นว่าทางเบื้องหน้าคือโรงเก็บฟางและอีกนิดผมจะเดินเหยียบกองฟางอยู่แล้ว

นี่ผมเดินมาตรงนี้ได้ยังไง

“อะ อ่อ เราว่าจะมาเอาฟางไปให้พี่ ๆ น่ะ”

“ไม่ต้องแล้ว คลาสจะเริ่มแล้ว อาจารย์ป้าไม่ให้สาย มาเร็ว วิ่ง!”

ผมเดินงุนงงกลับไปยังอาคารเรียน ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ๆ ทำไมถึงเดินมาทั้งที่ไม่รู้ตัวขนาดนี้ แต่ช่างเถอะอาจจะเพราะยังไม่ได้นอนล่ะมั้ง ถึงเบลอได้ขนาดนี้

คลาสเริ่มไปประมาณครึ่งชั่วโมงผู้ชายคุ้นตาก็เปิดประตูเข้าห้องมาแบบเงียบ แว่นตากรอบสีดำและชุดนิสิตไม่เรียบร้อยยังคงเอกลักษณ์ เขาคงขับรถกลับมาเมื่อตอนเช้า เดินเลี่ยงผ่านผมไปนั่งหลังห้อง สายตาคมมองมาทางผมจนรู้สึกได้

ความเพิกเฉยที่เขาควรได้รับก็สาสมแล้วไม่ใช่หรือไง

คิดเสียว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริง


เหมือนฝันไม่ต่างจากครั้งนั้น







-----------------------------------12---------------------------------


ขยันตั้งแต่ต้นปีเลยเห็นมั้ยยยย
ใครที่รออยู่เราเร่งสปีดแล้ววว
เรื่องนี้ไม่เกิน20ตอนแน่นอนค่าาาา


เอาล่ะอิรุงตุงหนังพันกันเป็นสายหูฟังไอโฟนเรย ฮี่ๆๆๆ
พาร์ทหลังนี้จะเป็นจุดพลิกผันแล้วค่ะ
มันจะชัดเจนเรื่อย ๆ คิดว่าทุกคนคงเดาออก

เจอกันตอนหน้าเร็ว ๆ นี้นะคะ


เยิ้บบบบบบ
 :mew1:


@mifengbeexx




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด