Observe
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Observe  (อ่าน 1160 ครั้ง)

ออฟไลน์ เด็กแฝดรักการอ่าน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Observe
« เมื่อ01-01-2019 21:49:00 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ เด็กแฝดรักการอ่าน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Observe
«ตอบ #1 เมื่อ01-01-2019 21:50:08 »

มันเป็นเรื่องน่าสงสัยและยังน่ากำกวมว่าเป็นข้าพเจ้าหรือเขากันแน่ที่กำลังถูกสังเกต
ประโยคที่เป็นกรรมวาจก หรือประโยคที่เอาประธานเป็นผู้ถูกกระทำลักษณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าชอบนัก ถึงมันจะเป็นการยกผู้ถูกกระทำขึ้นเป็นองค์ประธาน ราวกับให้ความสนใจ แต่ก็เหมือนกับประธานคนนั้นกำลังถูกเพ่งเล็ง ถูกวางกรอบ หลายครั้งเรามักจะละประธานตัวจริงของประโยคเอาไว้ เหมือนกับมีกลุ่มก้อนบุคคล หรือสิ่งของกำลังรุมกันใส่ผู้ถูกกระทำนั้นอย่างน่าสงสาร
ตัวข้าพเจ้าเองก็เชื่อว่าตนกำลังเป็นประธานที่น่าสงสารนั้น...เป็นผู้ถูกสังเกตโดยกลุ่มคนเสื้อคลุมสีขาวเหล่านั้น
พวกเขาหลายคนใส่แว่น เดินผ่านไปผ่านมา ดูรีบร้อน พวกเขาขังข้าพเจ้าไว้อยู่หลังกระจกบานใหญ่อันเป็นที่กั้นห้องระหว่างข้าพเจ้ากับพวกเขา พวกเขาทำราวกับข้าพเจ้ามองไม่เห็นเขา พวกนั้นคิดว่ากระจกของตนเองทำให้พวกเขามองเห็นข้าพเจ้าได้อยู่ฝ่ายเดียว แต่ความจริงแล้วไม่เลย ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่อยากให้ข้าพเจ้ารู้ หัวเราะเมื่อมองมายังข้าพเจ้า หันกลับไปพูดกันด้วยใบหน้าเครียด ราวกับครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง แต่ไร้สาระสำหรับข้าพเจ้า หลายครั้งเขามองมาด้วยสายตาน่ารังเกียจ สายตาที่เหยียดหยามและเย้ยหยัน ดูถูกที่ข้าพเจ้าไม่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้
ระหว่างวันที่เขากำลังมองต้นไม้ใบหญ้าเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาในห้องจำลองนี้ ข้าพเจ้าได้แต่ปั้นหน้านิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดแสดงออกซึ่งความรู้สึกที่อยู่ภายในของเขาได้ ความเปล่าเปลี่ยว ความเหงา ความอ้างว้าง มันถูกรวมผสมกันเป็นหนึ่งเดียว มันอยู่ภายในอก แต่สัมผัสได้จากอากาศรอบตัวเช่นกัน มันปกคลุมราวกับผ้าคลุมศพ ยามที่ข้าพเจ้านอนแน่นิ่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ในห้องจำลองแห่งนี้
คนในชุดขาวเหล่านั้นเริ่มบางตาลงด้วยเหตุผลบางอย่างที่ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างแน่ชัด จนกระทั่งเหลือเพียงคนคนเดียวที่กำลังมองตรงมายังข้าพเจ้า เขาใส่แว่นเหมือนคนอื่น ๆ เขามีผมสีดำ และผิวสีเหลือง ตัวสูง ข้าพเจ้าไม่รู้ต้องใช้สายตาใดมองเขา เขาคงเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง เหมือนอย่างที่มนุษย์ใส่ชุดคลุมคนอื่น ๆ เป็น พวกเขาเป็นสัตว์ที่อยากรู้อยากเห็นและจับสัตว์อื่นมาทดลองอย่างเลือดเย็น
ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น แต่พวกมนุษย์เหล่านั้นจะไม่ยอมให้เขาพูด แม้แต่ซักคำเดียว ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้หลุดออกมาจากปากเขา
เขานั่ง มองตรงมายังข้างหน้า สิ่งที่กั้นระหว่างเรามีเพียงกระจกหนาบานหนึ่ง ข้าพเจ้ารับรู้ว่าตรงนั้นมีเครื่องเขียน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ไว้ขีดเขียน จดบันทึก และเอาไว้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุตรงหน้า ซึ่งในที่นี้คือตัวข้าพเจ้า ในขณะที่บนโต๊ะนั้นยังมีอุปกรณ์อีกหนึ่ง หากจะเรียกอย่างมนุษย์คงเป็นสมุด เขาใช้เครื่องเขียนสีดำที่มีปลายเป็นถ่านลากซ้ำไปซ้ำมา และใช้แท่งสีน้ำเงินและสีแดงขีดเขียน นับตั้งแต่วันแรกที่เขามานั่ง เขายังทำเช่นนี้อย่างไม่หยุดหย่อน เขาจะเดินหายไปซักพัก และกลับมานั่งที่เดิม ตำแหน่งเดิม เพื่อทำกิจวัตรเดิม ๆ อย่างที่ทำ เขากำลังศึกษาข้าพเจ้าอยู่
ข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าเขารู้อะไรเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าบ้าง

จำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงของมนุษย์พูดกัน คือวันที่เขาถูกยิงโดยกระบอกประหลาดที่มีเข็มอยู่ที่ปลาย ในนั้นบรรจุของเหลวซึ่งเมื่อแทรกซึมยังร่างกายแล้วทำให้ข้าพเจ้าง่วงและหลับในเวลาต่อมา พวกเขาเรียกมันว่ายาสลบ
คำว่าสลบดูแปลกกว่าคำว่านอนอย่างปกติ ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่ามนุษย์ประดิษฐ์คำเกี่ยวกับการหลับใหลอยู่หลายคำ หลับใหลเป็นหนึ่งในนั้น นิทรา สลบ บรรทม และคำที่ง่ายที่สุดคือนอน พวกเขาแบ่งชนชั้นทางภาษา และความหมายเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ อย่างเช่นลูกศรที่เขาใช้ยิงใส่ข้าพเจ้าในวันนั้นก็ถูกเรียกว่า ยาสลบ ไม่ใช่ ยานอน ยาบรรทม หรือแม้แต่ยาหลับใหล นิทราโอสถก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเรียก อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าถูกทำให้สลบลงจากลูกศรนั้น วันนั้นเป็นวันที่สามหลังจากที่ข้าพเจ้าตื่นจากความตายอีกครั้ง พวกเราเรียกมันว่าอย่างนั้น
การตื่นขึ้นมาจากความตาย คือการที่เราออกจากดักแด้ที่พวกเราสร้างขึ้นมาเอง จากไขมันและเส้นใย หลังจากที่พวกเราอิ่มจากใบไม้นานับใบ พวกเราต้องผ่านกระบวนการนี้ด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อนของข้าพเจ้ากล่าวว่ามันเป็นการทดสอบความเชื่อ พวกเราต้องตายหลังจากอิ่มแล้ว หลังจากมีความสุขอย่างเต็มที่กับการกิน พวกเราอดอาหาร ไม่มีอะไรให้พวกเรากินอยู่หลายเดือน มันเป็นการทดสอบความเชื่อ อย่างที่เพื่อนของข้าพเจ้าว่า เพราะไม่ใช่แค่ผู้ที่อยู่ในนั้นเท่านั้นที่หลับใหลอยู่นานแสนนานจนกระทั่งฟ้าเรียกเขาให้เขาตื่นขึ้น แต่คือเพื่อนที่อยู่ร่วมกันทั้งหมดที่จะคอยประชุมกันทุกครั้งเมื่อหนึ่งในพวกเราตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น ราวกับพวกเราได้ตายแล้วจริง ๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นภายในนั้น แม้ว่าผู้ที่เคยตกอยู่ในสภาวะนี้ก็ไม่อาจล่วงรู้ มันเป็นนิทราที่ยาวนานและนุ่มลึก ครั้งที่หลับตาลงในนั้นก็ไม่มีใครคิดว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่เช่นกัน ข้าพเจ้าจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่นักกับการเรียกปรากฏการณ์ที่พวกเราออกมาจากดักแด้ที่กกพวกเรานานหลายเดือนนั้นว่า “การฟื้นจากความตาย”
เมื่อพวกเราตื่นขึ้นจากความตาย กลายเป็นวันใหม่กับร่างกายใหม่ของพวกเรา พวกเรากล่าวบรรยายร่างกายของกันและกันว่า คล้ายกับมนุษย์ พวกเราเหมือนมนุษย์ในหลาย ๆ อย่าง พวกเรามีรยางค์ มีแขนขา มีสรรพางค์ มีร่างกายราวกับมนุษย์ หากแต่พวกเรามีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนมนุษย์ คือพวกเรามีปีก
ปีกของพวกเราถูกกล่าว – คราวนี้เป็นปีกบ้างที่ถูกสังเกต – ว่าเป็นดั่งของขวัญของพระเจ้า หากเปรียบว่าพวกเราแต่ละคนเป็นลูกหลานของพระเจ้า คงจะกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงตั้งใจและถักทอความงามให้แก่ปีกของเราแต่ละคนอย่างประณีต ไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่มีใครในหมู่ของพวกเราที่มีปีกอันอัปลักษณ์ พวกเรายกย่องปีกของกันและกันอย่างไม่อาย พวกมันกระพือไปมาเมื่อพวกเราแสดงความรู้สึก มันแสดงสิ่งที่อยู่ภายในเราได้ดีกว่าสีหน้าและสายตาที่เหมือนของมนุษย์เหล่านั้นเสียอีก
แต่เป็นอันรู้กัน เป็นความรู้แต่บรรพชนว่านี่ยังไม่ใช่การพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดของพวกเราแต่ละคน
แต่น่าเศร้าที่ปีกของข้าพเจ้าได้กระพือพัดอย่างสวยงามในป่าใหญ่ได้ไม่นาน ลูกดอกแห่งนิทรานั้นก็ปักลงมาที่คอของข้าพเจ้า รอยแผลเป็นแห่งความอัปยศนั้นยังคงฝังรากลึก ไม่ใช่แค่ที่คอ แต่เป็นภายในใจของข้าพเจ้า ที่ถูกพวกนั้นหยามเกียรติและพาตัวข้าพเจ้าออกมาจากบ้านด้วยวิธีเช่นนั้น
แต่ดูเหมือนลูกดอกอาบยานิทรานั้นจะไม่สามารถทำอะไรข้าพเจ้า หรือแม้แต่เพื่อนข้าพเจ้าคนอื่น ๆ ได้ การที่พวกเราผ่านความตายมาอย่างยาวนาน ทำให้ระยะนิทราของเราสั้นไปกว่ามนุษย์มาก เขาไม่รู้ว่าพิษของมันออกฤทธิ์นานแค่ไหน แต่สำหรับเขาเพียงชั่วเดียวเขาก็กลับมารู้สึกตัว ชั่ววินาทีแรก เขาคิดจะบินหนี เขาเชื่อมันในปีกของตนเอง และคิดว่าคราวนี้จะไม่ถูกยิงซ้ำเป็นครั้งที่สอง หากแต่โชคร้ายที่พวกเขาจับข้าพเจ้ามัดเอาไว้บนอุปกรณ์บางอย่าง สายรัดนั้นจำกัดปีกของข้าพเจ้าเอาไว้ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเจ็บอย่างมาก เมื่อรู้ว่าหากขัดขืนก็คงไม่มีประโยชน์ ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะนอนแน่นิ่ง สัตว์เหล่านี้คงคิดเสียว่าตนเองฉลาดนักที่สามารถใช้สิ่งที่ตนเองประดิษฐ์มากักกัน และมีอำนาจเหนือร่างกายสัตว์อื่นได้ แต่อย่างน้อย ยาสลบที่พวกเขาสร้างขึ้นมาก็ไร้ประโยชน์แก่ข้าพเจ้าและวงศ์ญาติทั้งหมดของเรา

เขาจ้องมองมาที่ข้าพเจ้า และไม่ได้ขยับไปไหนมาเป็นระยะเวลากว่าชั่วโมงแล้ว หากข้าพเจ้าคำนวณระยะการเคลื่อนที่ของเข็มบนหน้าปัดกลมซึ่งอยู่อีกฝั่งของห้องตรงข้ามกระจกไม่ผิดพลาด สิ่งที่เขาทำมีเพียงขีดเขียน ทั้งวาดมันด้วยแท่งถ่านดำ และแท่งเขียนสีแดงและน้ำเงิน สลับกันไป
เขากระตือรือร้น และเคร่งขรึม ไม่มีใครในกลุ่มสัตว์เสื้อขาวเหล่านั้นที่ทำใบหน้านี้ได้นาน แต่พวกเขาเป็นสัตว์สังคม จึงไม่แปลกที่อารมณ์หลายอย่างของพวกเขาจะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ พวกเขายิ้มเมื่ออยู่กันเป็นกลุ่ม รุมกันหัวเราะสิ่งที่แปลกประหลาดไปจากกลุ่มของตนเอง แต่หากพวกเขาอยู่ด้วยตนเอง พวกเขาจะอ่อนแอ และเปื่อยยุ่ยได้ง่าย ราวกับเยื่อไม้อ่อน ๆ ที่ง่ายต่อการฉีกขาด
หากจำไม่ผิด กิริยาที่พวกเขาทำอยู่ ดูจะเป็นการวาดรูป สลับกับการวาดเขียนข้อมูลลงบนสมุด เพื่อนของข้าพเจ้าเล่าให้ข้าพเจ้าก่อนจะมาที่นี่ว่า ณ ป่าแห่งที่เราอาศัยอยู่ หลายครั้งก็มีสัตว์มนุษย์เข้ามาลุกล้ำ แต่พวกนั้นจะได้รับการยอมรับจากพวกเรา เพราะพวกนั้นมาโดยปราศจากปืน มาโดยปราศจากอาวุธใด อาวุธและอุปกรณ์สองอย่างของพวกนั้นคือผืนผ้าใบ กับรงค์สีจำนวนมาก พวกนั้นวาดเขียนและเติมแต่งผ้าใบขาวหม่นให้กลายเป็นสีสัน ลอกเลียนสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พวกนั้นนำพวกเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในงานเลียนแบบนั้น พวกเขาบอกเราว่ามันเรียกว่าภาพวาด ข้าพเจ้ามองมันอย่างพินิจ และไม่กล่าวอะไรในครั้งนั้น อาจจะเพราะความเยาว์วัยที่เพิ่งออกจากดักแด้ได้ไม่นาน จึงคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิพูดอะไร เนื่องจากยังไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับโลกทั้งนั้น
ข้าพเจ้าสงสัยว่านั่นเป็นสิ่งที่คนตรงหน้าข้าพเจ้ากระทำเช่นเดียวกันหรือไม่ มันน่าแปลก เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้สี ใช้เพียงถ่านปลายแท่งแหลมในการขีดเขียน เช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่ได้ลอกเลียนสีของธรรมชาติ เหมือนอย่างที่ผู้สร้างภาพวาดในป่าของพวกเราได้ทำ แม้เขาต้องการจะวาดต้นไม้สด พวกเขาก็จะทำได้แค่วาดเปลือกไม้สีเข้ม พวกเขาไม่มีทางรับรู้ความสวยงามและสดใสของดอกไม้ พวกเขาทำได้เพียงทำให้รู้ว่ามีดอกไม้อยู่ตรงนั้น – หรือนั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ?
ปฏิเสธความคิดไม่ได้ว่าข้าพเจ้าเองอาจเป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่อยู่ในสวนจอมปลอมนี้ของพวกเขา หรือพวกเขาจะเป็นอย่างนักวาดเขียนคนนั้น หากแต่พวกเขาเลือกที่จะไม่เดินเข้าหาป่า แต่พยายามยก และสร้างป่ากำมะลอนี้ขึ้นมา นอกจากความสวยงามจะไม่ปรากฏแล้ว เขายังลดความสวยงามออกจากภาพของตนเองอีก ข้าพเจ้าจึงคิดใหม่ว่าเขาไม่มีทางลอกเลียนความสวยงามอย่างที่นักวาดเขียนคนนั้นได้ทำ
สายตาที่เขาใช้มองข้าพเจ้าก็น่ารังเกียจ ไม่ใช่สายตาที่ชื่นชมความงาม หรือสายตาที่มุ่งหวังเก็บรายละเอียดความงามบนร่างกายและท่ามกลางสิ่งรอบข้าง แต่เป็นสายตาที่เอาไว้ศึกษา สายตาที่ทำราวกับว่าข้าพเจ้าเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง ไม่ต่างจากก้อนหิน และดินทรายที่วางเกลื่อนอยู่ตรงหน้า เขามองข้าพเจ้าด้วยสายตานี้ และข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าตัวเขาจะเห็นสายตาที่ข้าพเจ้ามอบให้แก่เขาหรือไม่
เพราะมันคงเต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชัง อย่างที่ข้าพเจ้าเองคงไม่อยากได้รับจากใครเช่นกัน

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในสวนจอมปลอมแห่งนี้ แต่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเริ่มต้น
ข้าพเจ้านั่งอยู่บนโขดหิน พวกนั้นวางโขดหินเกลี้ยงเกลาใกล้กับต้นไม้ ข้าพเจ้านำเข่าทั้งสองของข้าพเจ้าขึ้นมากอดเพื่อประทังความทรมานจากความหนาวเหน็บของข้าพเจ้า ความหนาวเหน็บเหล่านี้ไม่ได้มาจากอุณหภูมิรอบข้าง มันไม่ได้หนาวหรือร้อนเกินกว่าข้าพเจ้าจะยอมรับได้ หรือถึงมันจะหนาวราวกับข้าพเจ้าอาศัยในน้ำแข็ง ข้าพเจ้าก็เชื่อมันว่าข้าพเจ้าจะทนอยู่ได้ แม้จะไม่มีขนดั่งช้างใหญ่ หรือจะมีขนาดตัวเหมือนหมีขาว
หากแต่ความหนาวเหน็บที่ข้าพเจ้ากำลังเผชิญมาจากความว้าเหว่ ข้าพเจ้าปราศจากเพื่อน ไม่มีใครอยู่ข้างข้าพเจ้า ณ ขณะนี้ ทุกอย่างรอบตัวคือความว่างเปล่า เป็นครั้งแรกของข้าพเจ้าที่เห็นว่าความเปล่าเปลี่ยวนั้นลุ่มลึก ราวกับเหวที่ไม่อาจมองเห็นถึงพื้น ราวกับบ่อน้ำที่ไม่อาจเห็นถึงน้ำบาดาลที่อยู่ด้านล่าง เมื่อตะโกนเสียงลงไปกลับจะได้ยินเพียงเสียงของตัวเองกลับมา ข้าพเจ้าจึงเป็นเพียงเพื่อนของตัวข้าพเจ้าเองในบ่อน้ำและเหวน้ำตาลึกนี้
“คุณดูเหงานะ” ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน หรือที่ใดเป็นที่ไว้สำหรับให้เขาเข้ามายังภายในแห่งนี้ ข้าพเจ้าตกใจในภายแรก แต่ก็รู้ว่าหากแสดงท่าทีใดออกไป นั่นจะไม่เป็นประโยชน์ เขาอาจใช้ความกลัว ความระแวง และความตกใจของข้าพเจ้าในการทำร้ายข้าพเจ้าในเวลาต่อมา “คุณชื่ออะไร”
เสียงของเขาต่างออกไปจากเสียงของมนุษย์คนอื่นที่ข้าพเจ้าได้ยินเมื่อครั้งพวกเขานำข้าพเจ้ามาไว้อยู่ที่นี่ ด้วยร่างกายที่เหมือนมนุษย์ในตอนนี้ของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ได้ยินในสิ่งที่มนุษย์ได้ยิน แม้ข้าพเจ้าจะไม่ใช่มนุษย์ สัตว์ที่เรียกตัวว่าประเสริฐอื่นใดเคยเรียกข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หัวเราะใส่ข้าพเจ้าและบอกแก่ข้าพเจ้าว่าตัวข้าพเจ้านั้นโง่ และอ่อนแอ ที่ทำให้ถูกจับได้โดยง่าย ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังแล้วถามว่าใครกันแน่ที่อ่อนแอกว่า
“การไม่รู้ไม่ทำให้ท่านตาย”
“ผมดีใจที่คุณพูดกับผม” เขาพูดพลางก้มลงไปจดบันทึกอะไรบางอย่างในแผ่นสีขาวหนาที่เขานำเข้ามาด้วย ข้าพเจ้าเพิ่งสังเกตว่าเขานั่งลงบนที่นั่งที่เขานำเข้ามาเอง – ผมไม่แน่ใจนักว่าควรเรียกมันว่าอะไร – ข้าพเจ้าคิดว่ามันพับและพกพาได้ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานำมันเข้ามายังสวนแห่งนี้ได้ “ผมชื่อมีน มีนที่แปลว่าปลา”
“...”
“คุณล่ะ?”
“...” ข้าพเจ้ามองหน้าเขานิ่ง และเลือกจะไม่ตอบ
หากเสียงของข้าพเจ้า แม้พยางค์เดียวเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ข้าพเจ้าจะไม่ให้
“จะว่าไป คุณทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมานะ” ข้าพเจ้าได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาเบา ๆ เขาดูเหนื่อยอ่อนและดูต้องใช้ความพยายามในการคุยกับข้าพเจ้า มันเรียกเสียงหัวเราะในใจของข้าพเจ้าได้ไม่น้อย “ชื่อเรื่องพระสุธนกับมโนราห์”
และมนุษย์ที่ชื่อว่ามีนก็เริ่มเล่า
(...ข้าพเจ้าเพิ่งสังเกตว่าข้าพเจ้าเรียกชื่อของเขา)
“มันเป็นเทพนิยายที่คนในภูมิภาคนี้รู้จักกันดี มโนราห์เป็นลูกหลานของเผ่ากินรี เธอเป็นน้องเล็กที่สุดของเจ้าเมืองกินรีในป่าหิมพานต์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นป่าเชิงเขาไกรลาส วันหนึ่งพรานบุญไปจับนาง เธอไม่เชื่อในการทำนายดวงที่ได้ฟังในวันนั้น เธอจึงขัดคำสั่งของบิดามารดา เลือกจะไปเล่นน้ำกับพี่น้องอีกหกคน...”
หากนางไม่ถูกจับไปน่าจะประหลาดกว่า เพราะนั่นแปลว่าคำทำนายของผู้ทำนายคนนั้นไม่จริง ข้าพเจ้าคิด แต่ไม่ได้พูด
“สุดท้ายเธอก็ถูกจับไป พรานบุญ หรือพรานป่าคนนั้นก็นำมโนราห์ไปให้แก่ลูกของกษัตริย์ ที่ชื่อพระสุธน กลายเป็นว่ามโนราห์เกิดหลงรักพระสุธน และบุตรของกษัตริย์เองก็คิดเช่นกัน เลยตกลงจะวิวาห์ แต่ปุโรหิตขี้อิจฉา ที่บุตรของตนเองไม่ได้รับตำแหน่งเป็นปุโรหิตคนต่อไป ก็เกิดอาฆาต และต้องการจะล้างแค้นของตน เมื่อเกิดศึกขึ้น และพระสุธนต้องออกไปสู้รบภายนอกเมือง จึงสั่งให้นำมโนราห์และสัตว์อีกหลายชนิดไปเผาตาย บูชายัญแก่ทวยเทพ สุดท้ายมโนราห์ก็บินหนีกลับไป ก่อนที่เธอจะบินหลับไป เธอขอปีกกับหางที่เธอถอดไว้มาใส่ร่ายรำ สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็จบลงที่ว่าพระสุธนไปตามมโนราห์กลับมา และครองรักกันเช่นเดิม”
ข้าพเจ้ามองเห็นอะไรบางอย่าง บางอย่างที่มนุษย์หลายคนต้องการจะสื่อมาตั้งแต่บรรพกาล ความรู้เช่นนี้ตกทอดกันมาผ่านเรื่องเล่า และข้าพเจ้าเข้าใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยิน
มโนราห์ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่มั่นใจนักว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจินตนาการไปได้ถึงเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า หากแต่ปีกที่มโนราห์มีก็มิอาจเทียบกับปีกเช่นเดียวกับเราได้ เพราะปีกของพวกเราดูจะไปละม้ายคล้ายปีกของสัตว์เล็กที่มีนามว่าผีเสื้อเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม มนุษย์ที่มีชนชั้นต่ำกว่ากษัตริย์ – ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา – อย่างพรานบุญ ข้าพเจ้าคิดว่าเขาเองก็คงเป็นเหมือนอย่างพวกมนุษย์เสื้อขาวพวกนี้ ที่ล่อจับสัตว์อื่นมาอยู่ในสวนจอมปลอมของตน พวกนั้นทำราวกับพวกเราไม่มีชีวิตเหมือนอย่างเช่นที่มนุษย์มี พวกมนุษย์ถือว่าตัวว่ายิ่งใหญ่กว่าสัตว์อื่นทั้งหมด ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเรา สิ่งนี้แสดงชัดเจนเมื่อสัตว์ทั้งหลาย แม้จะคล้ายหรือไม่คล้ายมนุษย์ อย่างมโนราห์ ก็ถูกกษัตริย์จับไปเผาทั้งนั้น ข้าพเจ้าไม่มองว่ากษัตริย์ถูกครอบงำโดยปุโรหิต หากแต่ก็เป็นตัวกษัตริย์เช่นกันที่ไม่ได้ให้ความเคารพแก่สัตว์ชนิดอื่น จับไปเผาราวกับฟางกรวดที่ไม่มีชีวิต
แต่สุดท้าย ข้าพเจ้ามีความหวังเมื่อรู้ว่ามโนราห์หนีไป ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะให้กับเหล่ามนุษย์หน้าโง่พวกนั้นที่หลงผิดและคิดไปเองว่าตนเองสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ – หากเป็นข้าพเจ้าเอง ตอนจบของเรื่องอาจจะไม่ได้จบที่กลับมาอาศัยร่วมกันด้วยซ้ำ
“ผมอยากสนิทกับคุณ” เสียงนั้นที่ใช้เล่าเทพนิยายเมื่อครู่ กลายเป็นเสียงนุ่มลึกอีกเช่นเคย “ผมอยากรู้จักคุณมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะสัตว์ทดลอง แต่ผมเชื่อว่าเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้”
“เพื่อน?”
“ใช่ มิตร สหาย เพื่อน อะไรก็ตามที่คุณสบายใจที่จะเรียก อะไรก็ตามที่คุณสะดวกใจที่จะมี ผมจะเป็นสิ่งนั้นให้”
ข้าพเจ้าควรเชื่อเขาหรือไม่
ราวกับข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง ข้าพเจ้าควรจะเดินไปทางไหน ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าที่ข้าพเจ้าเลือกจะไปเป็นอย่างไร มันมืดมิดและดูจะไร้คำตอบทั้งสองทาง เมื่อข้าพเจ้ามองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของผู้พูด ข้าพเจ้ากลับยิ่งสับสนใจมากกว่าเก่า ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้ว่าสายตาของเขาหมายความว่าอย่างไร
มันเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะถึงแม้จะมีดวงตาที่สามารถสอดส่องผ่านฉากม่านที่เหล่ามนุษย์พยายามจะปิดบังไว้ จะมีสายตาที่ไว้สอดส่องพงไพรกว้างใหญ่ ไว้มองหาเกสรดอกไม้ที่ไม่เป็นพิษ แต่จิตมนุษย์นั้นยากเกินกว่าที่สายตาของข้าพเจ้าจะลอดมองผ่านไปได้ถึงส่วนลึก นัยน์ตาดำขลับกลับซ่อนความหมายไว้ลึกซึ้งกว่าที่ข้าพเจ้าอาจจะตีความ
ข้าพเจ้าควรดีใจหรือไม่ที่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่ดวงตาที่เกลียดชัง หรือเย้ยหยันข้าพเจ้าอย่างครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้รับจากมนุษย์ทั้งหลาย
“ผมไม่อยากเรียกร้องหรือเร่งรัดคุณในตอนนี้ ผมอยากให้คุณไว้ใจ ว่าผมจะไม่ทำอะไรคุณ จะไม่ทำร้าย ไม่ล่วงเกิน ไม่ทำให้คุณเสียใจ ผมแค่อยากรู้จักคุณและเพื่อนของคุณเท่านั้น”
“...”
“เอาเป็นว่า ไว้ผมจะมาอีก ถ้าคุณหิว คุณไปเคาะกระจกได้นะ ผมจะหาอะไรมาให้คุณกิน”
ทำตัวอวดดีอีกแล้ว ราวกับรู้ว่าข้าพเจ้ารับประทานอะไร
“ถ้าอย่างนั้น ผมไปก่อนนะ” เขาลุกขึ้น หยิบเอาอาสนะที่นั่งของเขาออกไปกับเขาด้วย ข้าพเจ้ามองเขาด้วยสายตาที่เรียบเฉย ข้าพเจ้าไม่อยากเอาอารมณ์ไปผูกพัน มโนราห์คือคำตอบของข้าพเจ้าของคนที่ให้อารมณ์ไปกับมนุษย์ สุดท้าย พระสุธนก็ไม่ใช่คำตอบของนาง เพราะนางสามารถอยู่กับวงศ์วานและครอบครัวของนางโดยไม่จำเป็นต้องมีมนุษย์อยู่ในชีวิต
ข้าพเจ้าจึงได้ยืนยันคำตอบของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าควรจะเงียบที่สุดเท่าที่ควรจะเงียบ เก็บคำพูดราวกับเก็บสมบัติของตน ข้าพเจ้าไม่ควรลงทุนฝากทรัพย์ใดเมื่อรู้ว่า ณ การลงทุนนั้นมีแต่ความเสี่ยง เสี่ยงที่ข้าพเจ้าจะไม่ได้ทั้งทุนหรือดอกเบี้ย ข้าพเจ้าควรเก็บมันไว้กับตัวเอง ข้าพเจ้าไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าคำพูดของข้าพเจ้าทุกคำที่ออกจะไป จะไม่ถูกบิดเบือน และจะไม่กลับมาทำร้ายข้าพเจ้าเอง ดวงตาสีดำของเขายังตราตรึง และสร้างความสับสนให้แก่ข้าพเจ้าแม้ว่าเขาจะออกไปได้เป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และความผลิบานของอะไรบางอย่าง
ราวกับมีปลามาแหวกว่ายในก้นบ่อน้ำแห่งความอ้างว้างของข้าพเจ้าแล้ว...

 “จะว่าไป ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” ข้าพเจ้าไม่ได้มองหน้าเขาระหว่างที่เขามอบคำถามนี้ให้ข้าพเจ้า เป็นอีกวันที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่โขดหินข้างต้นไม้ใหญ่หนึ่งเดียวของสวน “พูดถึงชื่อ ผมนึกได้ถึงเรื่องเล่าอีกเรื่อง คราวนี้เป็นเรื่องที่ผมเคยเรียนมาบ้าง น่าจะหลายปีแล้ว แต่ผมคิดว่าทุกคนน่าจะรู้จักเรื่องนี้ดี”
และเขาก็เริ่มเล่า
“ผมไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินเรื่องนี้รึเปล่า แต่มนุษย์เรามีตำนานการเกิดโลกหลายแบบมาก แบบหนึ่งที่ดังและถูกเล่าเยอะคงจะเป็นเรื่องสวนเอเดน ผมเห็นว่าที่นี่ก็เป็นสวนเหมือนกัน เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเหมาะ”
“...”
“ณ วันหนึ่งของจักรวาล พระเจ้าสร้างโลกจากความสูญเปล่า แยกความมืดออกจากความสว่าง แยกน้ำออกจากดิน แยกทุกอย่างออกให้เป็นสอง สิ่งมีชีวิตทุกอย่างเกิดขึ้นจากดิน พระเจ้าสร้างสัตว์ขึ้นก่อน แล้วจึงสร้างมนุษย์ชายและมนุษย์หญิง ผู้ชายชื่ออาดัม และอาดัมเรียกผู้หญิงว่าเอวา พระเจ้าวางพวกเขาลงในสวนเอเดน และบอกให้ปกครองสัตว์ทั้งหลาย พร้อมให้ตั้งชื่อแก่สัตว์เหล่านั้น สุดท้าย พระเจ้ากำชับว่า ผลไม้จากต้นไม้ทุกต้นสามารถกินได้ ยกเว้นผลไม้กลางต้นคือผลแห่งความรู้ผิดชอบชั่วดี สุดท้ายมนุษย์ทั้งคู่ก็ฝ่าฝืน และพระเจ้าก็ไล่เขาออกจากสวนเอเดน”
“ท่านคิดว่าเรื่องนี้กำลังบอกอะไร”
“นั่นสิ คุณคิดว่าเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร”
สอนให้รู้ถึงความโอหังของมนุษย์ที่คิดจะปกครองสัตว์อื่นทั้งมวล โดยอ้างสิทธิความชอบธรรมจากพระเจ้า
“อย่าหิวจนตาลายแล้วรับประทานผลไม้ต้องห้าม?”
“หึ คุณนี่ตลกดีนะ” เขาหัวเราะ “ผมไม่คิดว่าคุณจะพูดอะไรแบบนี้”
เขายิ้มราวกับลูกนกที่ดีใจเมื่อแม่ของตนนำอาหารมาให้
“แล้วคุณคิดว่ามนุษย์สมควรตั้งชื่อให้กับสัตว์อื่นรึเปล่า”
ไม่ ไม่เลยซักนิด ข้าพเจ้ามองเห็นแต่ความถือดีของมนุษย์ที่อวดอ้างว่าตนอยู่เหนือสัตว์ทั้งมวลแล้วสร้างชื่อให้กับสัตว์แต่ละตัว การตั้งชื่อคือการแสดงความเป็นเจ้าของ หากท่านถูกใครตั้งชื่อ นั่นแปลว่าเขาต้องการแสดงความเป็นเจ้าของเหนือท่าน เหมือนอย่างสัตว์เลี้ยงของพวกมนุษย์ เหมือนอย่างที่พระเจ้าตั้งชื่อให้กับมนุษย์ แม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง ก็ยังมีมนุษย์คนหนึ่งอยากถือตัวเป็นใหญ่ ตั้งชื่อให้กับมนุษย์อีกคน มันแปลว่าเขาต้องการมีอำนาจเหนืออีกฝ่าย เป็นเรื่องตลกสิ้นดี
มนุษย์ต้องการทำตัวเป็นพระเจ้าของสัตว์ทั้งมวล พวกเขาปกครองสัตว์ทั้งหลายราวกับทรราช พวกเขาฆ่าล้าง ผลาญเผาราวกับพวกเราไม่มีชีวิต ข้าพเจ้าเบื่อที่จะต้องกล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว แม้แต่สวนที่เขาสร้างขึ้นมาให้ข้าพเจ้าอยู่ ก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องเล่าที่มีนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อครู่ พวกนั้นสร้างสถานที่สวยงามให้แก่ข้าพเจ้า ก่อนจะสอดส่องข้าพเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่ใต้ปกครองของพวกเขา ทั้งหมดนี้เพราะมนุษย์ใฝ่ฝันและทะเยอทะยานจะเป็นพระเจ้าที่จะได้ควบคุมผู้อื่น และอยู่เหนือทุกสิ่ง
แต่ไม่มีอะไรในความคิดของข้าพเจ้าที่ถูกกล่าวออกไป
“แล้วยังไงล่ะ หากข้าพเจ้ากล่าวว่าใช่ ท่านจะตั้งชื่อให้ข้าพเจ้ารึเปล่า”
“ไม่หรอก ผมอยากให้คุณบอกชื่อของคุณกับผม ผมอยากรู้จักคุณ ผมไม่อยากสร้างคุณขึ้นมาตามที่ผมอยาก”
“ท่านคงจะเป็นคนเดียวที่กล่าวอย่างนั้น”
“ผมเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
เขายิ้มให้ข้าพเจ้าราวกับเข้าใจ และข้าพเจ้าก็ยิ้มให้เขาตอบ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ามองหน้าและยิ้มให้กับเขา ราวกับเขาเข้าใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด และข้าพเจ้าก็เข้าใจไม่ต่างกัน
ข้าพเจ้ากำลังตามหา ตามหาผลไม้กลางสวนที่เป็นผลไม้ต้องห้าม ข้าพเจ้าอยากรับประทานผลนั้น แม้จนหมดสวน เพื่อที่พระเจ้าเหล่านี้จะได้ไล่ข้าพเจ้าออกไป ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการความดูแล เหมือนอย่างมนุษย์ในวัยเด็กที่ต้องได้รับการประคบประงมจากบิดามารดา เหมือนพระเจ้าที่มองมนุษย์ทั้งสองเป็นเด็กน้อย จนกระทั่งเขาได้รับประทานผลไม้กลางสวนและมีความรู้ทัดเทียมกับพระเจ้า – ความจริงแล้วข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนที่เขาจะเล่าแล้ว
เป็นเรื่องตลกที่ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปมองยังต้นไม้ใหญ่กลางสวนอันเป็นกรงขังข้าพเจ้านี้ และพบว่ามันเป็นต้นไม้ไร้ผล
ข้าพเจ้าเสียใจอย่างประหลาด และยิ้มให้กับความเขลาของตัวเองที่ทำเช่นนั้น

ออฟไลน์ เด็กแฝดรักการอ่าน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Observe
«ตอบ #2 เมื่อ01-01-2019 21:51:24 »

“คราวนี้ท่านจะมาเล่าเรื่องอะไรให้ข้าพเจ้าฟังอีกล่ะ”
นี่เป็นวันที่สามที่มีนในชุดสีขาวเดินเข้ามาในสวนแห่งนี้ และเป็นเวลากว่าเดือนแล้วที่ข้าพเจ้าถูกนำตัวจับมาใส่ ณ ที่แห่งนี้ การนับวันเป็นสิ่งสำคัญในหมู่พวกเรา พวกเราต้องรู้วันที่ไข่จะตก รู้วันที่ดอกไม้จะผลิบาน เพราะดอกไม้ที่กล่าวว่าเป็นสมบัติล้ำค่ามักจะบานในโอกาสพิเศษเท่านั้น รู้วันเวลาที่ฤดูหนาวจะเข้ามา เพราะเวลานั้นเราจะหาดอกไม้ได้ยาก นั่นคือความสำคัญของการนับเวลา
“ผมเตรียมเรื่องมาเล่าให้คุณฟังแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่เทพนิยาย แต่เป็นตัวละครหนึ่งในเทพนิยายแทน ผมเห็นคุณแล้วนึกถึงสิ่งนี้” เขายกแผ่นกระดาษของเขาขึ้นมา แต่เป็นกระดาษใบหน้าสุดที่แสดงให้เห็นถึงภาพที่เขาต้องการจะสื่อ มีผู้หญิงหลายคนติดอยู่กับต้นไม้ ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับมัน เขาชี้ไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งก่อนจะกล่าว “มักลีผล”
“พวกเธอคือต้นไม้เหล่านี้หรือ?”
“มักลีผลเป็นผลไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าต้นอะไร เอาเป็นว่า มันเป็นผลไม้ของต้นไม้ชนิดนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือต้นไม้ชนิดนี้ออกผลเป็นผู้หญิง ซึ่งพวกนักบวช – หมายถึงพวกที่เข้าอยู่ในป่าเพื่อฝึกตัวเองน่ะ – มักจะมาหาพวกมักลีผลอย่างนี้ เพื่อมาดูว่าตัวเองฝึกจิตได้ดีพอรึยัง ถ้ายังควบคุมตนเองไม่ได้หลงละเริงไปกับความงามของพวกนางแล้วก็ต้องกลับไปฝึกฝนใหม่ เขาเรียกว่า ตบะแตก”
เป็นเรื่องน่าตลกที่ต้นไม้ชนิดหนึ่งจะออกดอกออกผลมาเป็นผู้หญิง เป็นเรื่องน่าตลกกว่าคือพวกนักบวชเลือกใช้ต้นไม้เหล่านี้ในการวัดความอดทนของตัวเอง ทำไมไม่มีต้นไม้ที่ดอกผลเป็นชายให้แก่นักบวชหญิงบ้าง...หรือจริง ๆ ไม่ควรมีต้นไม้ที่ออกผลเป็นมนุษย์อยู่ตั้งแต่แรก ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามันจะต่างจากการที่หยิบเอามนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาเป็นวัตถุเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเองเสียที่ไหน เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มองว่าหญิงพวกนี้ต่างจากตุ๊กตา หรือท่อนไม้ที่จะทำอะไรกับเธอก็ได้
มันคงเป็นเพียงฝันกลางวันของพวกชายแก่ที่คิดจะหาหญิงบำบัดใคร่ของตนโดยไม่มีความผิดเท่านั้น
“แล้วไงอย่างไร? จะบอกว่าข้าพเจ้าและเพื่อนไม่ต่างไปจากผลไม้แห่งความใคร่พวกนี้หรือ?”
“หึ คุณก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป” เขาพลิกหน้ากระดาษไปอีกหนึ่งแผ่น แสดงให้เห็นถึงรูปถัดมาที่เขาต้องการให้ข้าพเจ้ามอง “นี่ต่างหากที่ผมอยากให้คุณดู”
หืม?
ข้าพเจ้าเห็นโครงร่างคล้ายตัวอ่อนของมนุษย์ถูกวาดอยู่บนหน้ากระดาษนั้น หากแต่โครงร่างนั้นเรียวเล็ก ผอมบาง และดูซีดผอมกว่าตัวอ่อนมนุษย์อื่น ๆ หัวโต แต่แขนขารยางค์ลีบติดกระดูก ข้าพเจ้าสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร
“มันคือมักลีผลที่ตายแล้ว” ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นมองผู้พูด “มักลีผลเป็นสัญลักษณ์แทนความไม่จีรัง ความสวยงามของพวกเธอไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับเธอตลอดไป สุดท้ายเธอจะกลับกลายเป็นเหมือนเด็กทารกคนหนึ่งที่มีสภาพแห้งกรอบ ผมเองก็ไม่เคยเห็นของจริงว่าเป็นยังไง บางคนก็บอกมันเป็นแค่เรื่องเล่า แต่ถ้ามันมีอยู่จริง แค่หักเบา ๆ มันอาจจะแตกเป็นสองท่อนเลยก็ได้”
ความงามไม่จีรัง...จะว่าไปมนุษย์เองก็ช่างคิดดีเหมือนกัน
“ว่าแต่คุณกับเพื่อนเถอะ ผมเคยได้ยินว่าร่างกายที่เหมือนมนุษย์ของคุณไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอยู่ตลอดไป จริงรึเปล่า?”
“ท่านถามสิ่งที่ท่านอยู่แล้วทำไม”
“ผมถามเพื่อความมั่นใจ ผมอยากรู้ทุกอย่างของพวกคุณจะตัวคุณ ผมไม่อยากโมเม ถือว่าสิ่งที่ผมพูดเมื่อกี้คือสิ่งที่ผมไม่รู้ก็แล้วกัน” เขายิ้ม ข้าพเจ้าหัวเราะในลำคอก่อนจึงตอบ
“ใช่ นี่ไม่ใช่ร่างกายที่จะอยู่กับเราไปตลอดกาล – เช่นเดียวกับมักลีผลพวกนั้น”
“คุณ...จะเน่าไปเหมือนกันหรอ?”
“ท่านไม่ควรใช้คำว่าเน่ากับการเจริญเติบโตของพวกเรา” ข้าพเจ้าชี้ไปยังคราบของงูตัวหนึ่งที่ลอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน – แต่ก็ถูกจับไปในเวลาไม่นาน ข้าพเจ้าเองก็สงสัยว่างูตัวนั้นเข้ามาได้อย่างไร – “ท่านเห็นคราบที่จงอางตัวนั้นลอกทิ้งไว้ไหม สิ่งที่พวกเราเป็นก็ไม่ต่างกัน”
“...”
“พวกเราเหมือนผีเสื้อ พวกท่านมองอย่างนั้น ที่เติบโตจากการเป็นหนอนยักษ์ พวกเราฟื้นจากความตายเมื่อคราวพวกเราต้องอาศัยอยู่ในดักแด้อย่างไม่รู้วันรู้คืน พวกเราจะวางไข่ก่อนหรือหลังจากนี้ แต่สุดท้ายร่างกายนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่กับพวกข้าพเจ้าไปตลอดกาล มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งครั้ง แม้ใครที่ยังไม่เคยผ่านการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ย่อมรู้ได้จากความรู้แห่งบรรพกาล”
“แล้วพวกคุณจะเปลี่ยนไปเป็นอะไร ได้ยังไง”
“วันเวลาที่พวกเราจะออกจากดักแด้ หรือฟักจากไข่เป็นสิ่งที่แน่นอนและคลาดเคลื่อนไม่กี่วันจากกัน หากแต่วันที่พวกเราจะเติบโตไปอีกขั้นเป็นสิ่งที่กำกวม และไม่มีใครบอกได้ หากพวกเราไม่ตายก่อนที่จะถึงวันนั้น เช่น หากท่านไม่ฆ่าข้าพเจ้าก่อน” ข้าพเจ้าพูดติดตลก “ท่านก็อาจจะได้เห็นข้าพเจ้ากลายสภาพไปเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่จนถึงวันเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าข้าพเจ้าจะลอกคราบเช่นงูตัวนั้นเมื่อใด”
ข้าพเจ้าเห็นเขาจดอะไรบางอย่างลงไปในแผ่นกระดาษสมุด ข้าพเจ้ามองภาพนั้นแล้วยิ้ม – ข้าพเจ้าไม่ได้พูดความจริงทุกอย่างให้เขาฟัง
ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อไหร่ข้าพเจ้าจะได้เติบโตอีกครั้ง มันจะเกิดขึ้นหากข้าพเจ้าสามารถละทิ้ง หรือก้าวผ่านความเป็นเด็กของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้ความลับแห่งจักรวาลบางอย่างที่บรรพชนสืบทอดกันมา หากแต่ต้องสัมผัสด้วยตนเองด้วย นั่นคือการโอบรับตัวตนของข้าพเจ้าอีกตัวตนหนึ่งที่อยู่ภายใน
มันคือพิษร้ายที่ซ่อนอยู่ภายในพวกเราแต่ละคน ทุกคนกล่าวอย่างนั้น ข้าพเจ้าได้ยินเพื่อนของข้าพเจ้าพูดมาเช่นนั้น หากแต่ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าถูกจับมาที่แห่งนี้ก่อน เพราะอย่างนั้น ถึงข้าพเจ้าจะกล่าวว่าข้าพเจ้าพูดโกหกไปบ้าง แต่ก็เป็นความจริงที่ข้าพเจ้าจะไม่รู้ว่าวันที่ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนไปจะเป็นวันไหน ข้าพเจ้าไม่รู้สัญญาณของการมานั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงข้าพเจ้าจะรู้ว่ามันเป็นพิษร้าย ข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องรับมัน หรือปล่อยให้พิษนั้นแทรกซึมไปทั่วร่างกายข้าพเจ้า ราวกับเป็นการทดสอบความเป็นและความตายของข้าพเจ้าอีกครั้ง เพราะร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนแอ ข้าพเจ้าไม่หวัง และไม่ต้องการที่จะอยู่ในร่างนี้ตลอดไป มันปวกเปียก และมันไม่พลัง ข้าพเจ้าเองก็เคยได้ยินว่ามนุษย์ก็คิดเช่นนั้น แม้แต่ตัวมนุษย์ก็ไม่หวังว่าจะอยู่ในร่างกายนี้ตลอด เพราะมันเหี่ยวเฉาได้ มันเปราะบาง มันแก่ชราและไม่ยั่งยืน มันสูญสลายได้ง่ายและตลอดเวลา มนุษย์เองก็ตามหาร่างกายที่ดีกว่า บางคนเชื่อว่าสุดท้ายตัวเองจะกลายเป็นเหมือนเพียงฟองอากาศ และไม่มีตัวตน บางคนเชื่อว่าสุดท้ายตนเองจะอยู่ในอาณาจักรที่กาลเวลาทำอะไรไม่ได้ ทุกคนต่างใฝ่หาร่างกายที่ดีกว่า และแข็งแกร่งกว่าร่างกายอันอ่อนแอนี้
ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน
“ว่าแต่ท่านวาดรูปด้วยหรือ ข้าพเจ้าเห็นท่านเอาแท่นถ่านขีดบนกระดาษ” เขาเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะยิ้มให้ข้าพเจ้าอย่างเคย
“นี่หรอ?” เขาชูแท่นถ่านขึ้นมา “อันนี้เรียกดินสอ ส่วนที่ถามว่าผมชอบวาดรูปรึเปล่า – ใช่ ผมชอบวาดรูป นี่คือรูปที่ผมเคยวาดมาแล้ว”
เขาชูหนังสือเล่มเดิม แต่เปิดกลับไปยังรูปใบแผ่นกระดาษก่อน ๆ ที่อยู่ด้านหลัง เขาพับทบมันกลับขึ้นมาให้เห็นว่ามีรูปภาพก่อน ๆ อยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาวาดรูปต้นไม้ วาดรูปสถานที่ วาดที่นั่นที่นี่ที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะสถานที่ที่ข้าพเจ้าเคยไปหรือเคยอยู่ นอกจากที่นี่แล้ว ก็มีแค่ป่าอันเป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าเกิดเท่านั้นที่ข้าพเจ้าเคยอยู่
“ไม่ใช่ว่าการวาดรูปจำเป็นต้องมีรงค์อยู่บนภาพเหล่านั้นด้วยหรือ?”
“รงค์? คุณหมายถึงสีสินะ ไม่จำเป็นว่ารูปทุกรูปต้องมีสี ต้นไม้ทุกต้นไม่ได้ออกผลได้ ปีกของพวกคุณทุกคนก็ไม่ได้มีสีเดียวกัน – แต่คุณคงรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม – ไม่มีใครกำหนดได้ว่ารูปภาพต้องมีสีอยู่ในนั้น หากมันเป็นการวาดแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในนี้” เขาชี้ไปที่กระหม่อม “มันก็เรียกว่าการวาดภาพ หรือวาดรูปทั้งนั้น”
สิ่งที่เขาพูดมาดูจะเป็นความจริง ไม่มีใครกล่าวได้จริง ๆ ว่าอะไรกันแน่ที่เป็นการวาดรูป เพราะข้าพเจ้ารู้จักการวาดที่ต้องลงสี อย่างนักวาดภาพในป่าวันนั้นเท่านั้น ข้าพเจ้าตัดสินจากความทรงจำและประสบการณ์ที่ข้าพเจ้ามีในวันนั้นเพียงอย่างเดียว มันอาจจะเป็นความผิดพลาดในการตัดสินอย่างอื่นของข้าพเจ้าด้วย
“พวกเขาให้ท่านวาดรูปเยอะหรือไม่”
“พวกเขา?” เขาหันไปอีกฝั่งหนึ่งของกระจกที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยสายตาของมนุษย์อย่างเขา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าเขากำลังมองไปสู่ผู้ใส่ชุดสีขาวเช่นเดียวกับเขา “นักวิจัยคนอื่นนะหรอ พวกเขาก็ไม่ชอบให้ผมวาดรูปนักหรอก พวกเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้เรามีกล้องที่สามารถจับภาพได้ดีกว่าการวาดรูปเป็นไหน ๆ แต่ผมไม่สนใจ ผมก็ดื้อแพ่งที่จะไม่ใช่กล้องที่พวกนั้นให้ผม เวลาผมส่งงาน ผมก็ส่งเป็นรูปภาพให้พวกเขา เวลาว่างผมก็ออกไปป่า ออกไปตามที่ต่าง ๆ แล้วก็วาดรูป ผมชอบที่จะได้นั่งอยู่เฉย ๆ ใช้สายตามองไปรอบ ๆ แล้วใช้มือวาดภาพให้ออกมา บางทีผมก็ใส่ความคิดของตัวเองลงไปในภาพ ผมเคยไปป่าของคุณด้วยนะ”
ระหว่างที่เขาพูดทุกคำ เขาก็ขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นเดิม ข้าพเจ้าคิดว่าเขากำลังวาดรูปอีกเช่นเคย
แม้ข้าพเจ้าจะไม่เข้าใจในทุกคำที่เขาพูด แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าตัวเขาเองก็มีปัญหา มีความทุกข์ในแบบของเขาต่อชายหญิงในชุดสีขาวนั้นเช่นกัน
“ผมวาดรูปคุณด้วยนะ อยากดูไหม” ข้าพเจ้าพยักหน้า ข้าพเจ้ายกตัวขึ้นจากโขดหินที่ข้าพเจ้านั่ง ก่อนจะขยับปีกบินขึ้น พาตัวข้าพเจ้าไปอยู่เหนือรูปที่เขาแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยความตื่นเต้น
ข้าพเจ้าบินอยู่เหนือตัวเขา แต่ใบหน้าของข้าพเจ้าและเขาอยู่ใกล้กัน ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตในตอนนั้น เพราะข้าพเจ้ากำลังมองภาพวาดที่เขายกขึ้นมาระดับอก แต่เมื่อข้าพเจ้าจะมองใบหน้าของเขาสลับขึ้นมา ก็กลับเห็นว่าเขามองข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว
เราไม่ได้พูดสิ่งใดให้แก่กันและกัน ข้าพเจ้าเงียบ และเขาก็เช่นกัน มีเพียงเสียงขยับปีกไปมาของข้าพเจ้าที่ช่วยให้ตัวของข้าพเจ้ายังคงลอยอยู่เหนือพื้นดิน
ข้าพเจ้าได้มองยังใบหน้าของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าพเจ้ามองเห็นดวงตาของเขาที่ลึกกว่าเดิม มันคล้ายจะดูดกลืนข้าพเจ้าเข้าไป คล้ายหลุมลึกที่ข้าพเจ้าไม่อาจวัดระดับ คล้ายเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อาจคาดเดา คล้ายป่ารกชัฏที่เห็นเพียงห้วงต้นไม้อยู่ภายหน้า ความมืด ความนุ่มลึก แต่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่าภายในมีคำตอบอะไรบางอย่าง มีความมั่นคง มีความรู้สึกที่ข้าพเจ้าเองก็กล่าวไม่ได้
ข้าพเจ้าเห็นใบหน้าของข้าพเจ้าในดวงตานั้น
เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นตนเอง ข้าพเจ้าไม่เคยมันมาก่อน ไม่แม้แต่จะบนแม่น้ำ หรือกระจกใด ข้าพเจ้าเห็นทุกอย่างด้วยนัยน์ตาของข้าพเจ้า แต่เป็นเรื่องยากที่ข้าพเจ้าจะเห็นตนเอง อาจจะเพราะตาของข้าพเจ้าที่มุ่งหาทุกอย่างที่อยู่ภายนอก แต่กลับไม่สามารถมองตาเองได้ – ปีกที่ผู้อื่นชมว่าสวยงาม ก็ยังไม่เคยได้เห็นด้วยตาของข้าพเจ้าเองว่าสวยงามอย่างไร
ภายในของข้าพเจ้ากำลังสั่นไหว และข้าพเจ้ารู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นภายในข้าพเจ้า

“ถึงเวลาของท่านอีกแล้วหรือ?” ข้าพเจ้าถาม “ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ ต้องมานั่งเล่าเรื่อง มาถามอะไรข้าพเจ้า”
“ถ้าผมเบื่อ ผมคงไม่มาหรอก” เขาหัวเราะ ก่อนจะเปิดกระดาษและหยิบดินสอของเขาออกมา “แต่วันนี้ผมไม่มีเรื่องเล่าหรอกนะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามท่านก่อน” เขาเงยหน้าขึ้นมองข้าพเจ้า
“อืม ถามสิ”
“คนที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นกำลังทำอะไร” ข้าพเจ้าเห็นพวกชุดสีขาว กำลังประชุมอะไรบางอย่างกันอยู่ภายนอกกระจกนั้น พวกเขาพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้น และคุกคามพวกเขา ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะ แต่อดสงสัยไม่ได้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์เหล่านั้น
เผื่ออย่างน้อย มันจะเป็นประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าบ้างที่จะหนีออกไปจากที่นี่
“คุณ...มองเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกด้วยหรอ?” เขาถามด้วยใบหน้าสงสัย ข้าพเจ้าเกือบลืมไปแล้วว่านี่เป็นกระจกที่พวกมนุษย์ข้างนอกจะสามารถมองมาได้ข้างในอยู่ฝ่ายเดียว แต่มนุษย์ธรรมดาภายในนี้จะมองไม่เห็นว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น
“ข้าพเจ้าลืมบอกท่านสินะ ว่าข้าพเจ้าเห็นทุกอย่างที่อยู่ภายนอกนั้นทั้งหมด เห็นว่าพวกเขาหัวเราะข้าพเจ้าอย่างไร เห็นว่าพวกเขามองข้าพเจ้าด้วยสายตาอะไร เห็นว่าเขาคิดอย่างไรกับข้าพเจ้า” ข้าพเจ้ามองหน้าเขา “แต่ข้าพเจ้าดีใจที่ข้าพเจ้าเมื่อเห็นสีหน้า สายตาเหล่านั้นจากท่านเลย ข้าพเจ้าขอบคุณที่ท่านมอบความเป็นมิตรให้แก่ข้าพเจ้าเสมอมา ไม่ว่าท่านจะหลอกข้าพเจ้า หรือมันจะเป็นความจริงก็ตาม”
“คุณก็รู้อยู่แล้วว่าที่ผ่านมาผมไม่ได้หลอกคุณ”
“ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้น” พวกเรายิ้มให้กัน แล้วข้าพเจ้าจึงถามต่อ “เช่นนั้นท่านจะบอกข้าพเจ้าได้หรือไม่ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“มีเรื่องเกิดขึ้นน่ะ” เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ความจริงศูนย์วิจัย – หมายถึงสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด – เป็นของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเพื่อจับสัตว์แปลกมาทดลอง พวกเขาจับคุณและสัตว์ชนิดอื่น ๆ ทั้งใกล้และยังไม่ใกล้สูญพันธุ์ จับเป็นบ้างจับตายบ้าง รัฐบาลตั้งที่นี่ขึ้นมาลับ ๆ แต่พอมีคนตรวจเจอ ก็แอบอ้างว่าทำที่นี่เพื่อการศึกษา แต่ความจริง...คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าคุณอาจจะดูจับปีกไปขาย หรือแย่กว่านั้น คุณอาจจะกลายเป็นตัวโชว์ของคนรวยคนไหนซักคนในเมือง”
ข้าพเจ้ารู้ว่าพวกเขาทำกับข้าพเจ้าราวกับสิ่งของ ทำราวกับข้าพเจ้าไม่มีชีวิต และหัวเราะให้กับข้าพเจ้าในความอ่อนแอนี้ ข้าพเจ้าโกรธ...แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ากลับทำอะไรเพื่อตัวข้าพเจ้า และเพื่อเพื่อนคนอื่นของข้าพเจ้าไม่ได้เลย
“พวกเขาอยากให้ผมมาคอยคุยกับคุณ สร้างความสนิทระหว่างคุณกับมนุษย์ ผมรับที่จะทำงานนี้ เพราะผมรู้ว่าผมจะไม่หลอกคุณ ไม่แน่นอน สุดท้ายผมจะหาทางให้คุณกลับบ้านของคุณแน่นอน แต่ก่อนผมทำงานอยู่แต่ในห้องทดลอง เพราะผมชอบวาดรูป และพวกเขาหัวเสียทุกครั้งที่พอเห็นผมอยู่ใกล้กรงของสัตว์ตัวไหน ผมมักจะเข้าไปเล่นกับมันและวาดรูปมันอยู่เป็นเวลานาน ผมโชคดีที่ผมได้มาเจอคุณ เพราะตอนแรกอาจจะไม่ใช่ผมแล้วก็ได้ที่จะมาคุยกับคุณตรงนี้”
“แล้วทำไมท่านจึงมาทำงานกับพวกมนุษย์ชุดขาวพวกนี้ได้ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพวกนั้น?”
“ที่ผมมาทำงานกับพวกเขา เพราะผมเองก็ไม่ค่อยมีเงิน โลกที่มนุษย์อยู่กันเป็นโลกที่หมุนเวียนด้วยเงินและอำนาจ ความปรานีไม่เกิดขึ้นหากมันไม่ได้รับความเห็นชอบจากสังคมร่วมกัน ผมเองก็เป็นแค่พวกชายขอบที่จำเป็นต้องขายวิญญาณให้กับรัฐบาลในการทำผิดครั้งนี้ เพราะพวกเขาสั่งให้ผมทำอะไรผมก็ต้องทำ ครอบครัวของผมเป็นตัวประกันความตายนี้อยู่ เรื่องมันซับซ้อนกว่านี้มาก และผมยังไม่อยากเล่าให้คุณฟังตอนนี้”
ข้าพเจ้าเห็นสายตาที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ของเขา มันสะท้อนใจมาหาข้าพเจ้าถึงความอ่อนแอของมนุษย์ในจิตใจ พวกเราเปราะบางเมื่อรู้ว่าเพื่อนของเรากำลังจะตาย ถึงข้าพเจ้าจะไม่มีครอบครัว มีเพียงเพื่อน แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่าหากใครมาทำร้ายพวกพ้องของข้าพเจ้า มันก็คงเจ็บไม่น้อย ยิ่งเมื่อเรารู้ว่าเราทำอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าคงจะเจ็บมากกว่าเดิม มันอาจไม่ใช่เหตุการณ์เดียวกัน สำหรับมีน มันอาจเจ็บปวดมากกว่านั้น ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจเขาได้ทั้งหมด แต่ข้าพเจ้าพอจะรู้ว่ามันทุกข์สำหรับเขา
“แล้วเหตุใดพวกมนุษย์ชุดขาวเหล่านั้นจึงมาประชุมกันอยู่หน้าสวนแห่งนี้”
“จริงสิ ตรงนี้แหละที่ผมจะบอก พอมีการตรวจสอบไปมา ประชาชน – หมายถึงมนุษย์คนอื่นที่ไม่ได้เป็นพวกชนชั้นปกครอง – ก็รู้ขึ้นมาว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เอาไว้ศึกษาพันธุ์สัตว์อย่างที่ได้กล่าวอ้างไว้ พวกประชาชนบางส่วนจึงรวมตัวประท้วงให้มีการปล่อยสัตว์กลับสู่บ้านของตนเอง หากการประท้วงนี้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ผมที่จะเป็นอิสระ แต่คือคุณด้วย คุณจะได้กลับบ้านแล้วนะ”
ข้าพเจ้าไม่พอใจนักที่ต้องเป็นมนุษย์ที่จะมาปล่อยข้าพเจ้าออกไป ความจริงข้าพเจ้าควรมีศักดิ์และสิทธิมากพอที่จะปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ ได้มีโอกาสเรียกร้องอะไรที่เป็นของตนให้กลับมาเป็นของตนอย่างที่มนุษย์ทำเพื่อตนเอง
แต่ข้าพเจ้ากลับยิ้ม ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ คงเพราะข้าพเจ้าเห็นว่าคนตรงหน้าข้าพเจ้ายิ้ม ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาดีใจที่ตัวเองจะได้รับอิสรภาพแล้ว เหมือนข้าพเจ้า อิสรภาพนั้นเหมือนยาขม มันอาจจะเจ็บปวดและสับสนในคราวแรก แต่เมื่อดื่มกินจนชินแล้ว มันจะหอมหวานเสียจนเสพติด และทุกข์ทรมานเมื่อมีคนเอาอิสรภาพของเราไป
“มีน! ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องมาที่นี่อีก” หญิงสาวในชุดขาวคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในสวน เธอเดินตรงเข้ามายังมีน คนตรงหน้าข้าพเจ้า ก่อนจะจับเขาให้ลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อนสิพี่ งานของผมยังไม่เสร็จ พี่เขามาอย่างนี้ผมจะฟ้องหัวหน้าว่าพี่รบกวนการทำงานของผมนะ”
“แกมันตอแหล พวกฉันบอกให้แกมาตะล่อมหาที่อยู่กับจุดอ่อนของพวกมัน แต่แกกลับมาตีสนิทกับมัน มีน แกรู้ไหมว่าแกมันไร้ประโยชน์ขนาดไหน!” เธอหยิบสมุดของมีนขึ้นมาก่อนจะเปิดไปตามที่เธอพูด
“เดี๋ยวสิพี่ ตอนแรกพี่เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอว่าโครงการนี้เป็นโครงการป้องกันการสูญพันธุ์ของผีเสื้อสายพันธุ์ใหม่” มีนกำลังโกหก โกหกว่าตัวเองไม่รู้เลยว่าเพื่อนมนุษย์ของตนเองมีเป้าประสงค์อะไรกับข้าพเจ้าและเพื่อนของข้าพเจ้ากันแน่
“แกมันโง่ ฉันบอกให้แกหาวิธีจับมันง่าย ๆ แกยังคิดอีกหรอว่าฉันจะอนุรักษ์พวกมันอีกหรอ ห้ะ!” ข้าพเจ้ากำมือแน่น คนพวกนี้มองข้าพเจ้าเป็นตัวอะไร มองเป็นตัวประหลาด? มองเป็นของเล่น? มองเป็นหุ่นฟางที่อยู่ตามทุ่งนาของชาวนา? ข้าพเจ้าไม่ใช่ของใครจะมาดูถูก หรือพูดราวกับข้าพเจ้าไม่มีชีวิตเช่นนี้ได้ มันเจ็บปวด เพราะข้าพเจ้าเข้าใจทุกอย่างที่พวกเขาอยากทำ เข้าใจทุกอย่างว่าพวกเขาต้องการอะไรจากข้าพเจ้าและเพื่อนของข้าพเจ้า “รักมันมากใช่ไหม รูปพวกนี้”
“หยุดนะพี่!” ไม่ทันที่มีนจะได้พูดอะไรต่อ ข้าพเจ้าเห็นว่ากระดาษจำนวนมากของเขา ถูกมือของผู้หญิงคนนั้นฉีกขาดออกจากกันจนหมด ข้าพเจ้ายังเห็นมีนพยายามจะห้ามไม่ให้รูปต่อ ๆ ไปของเขาเสียหาย แต่กลับถูกทำลายไปอีกจนไม่เหลือชิ้นดี รูปแล้วรูปเล่า ข้าพเจ้ายังเห็นชายและหญิงในชุดขาวคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากผู้หญิงฉีกรูปคนนั้น แต่ไม่มีใครเลือกจะเข้ามาช่วยมีน ไม่มีใครเลือกจะหยุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
ข้าพเจ้าโกรธ – ข้าพเจ้าโกรธกว่าเดิมที่มนุษย์พวกนี้ไม่สนใจอารมณ์ ไม่สนใจความรู้สึกของมนุษย์ตรงหน้าเลย พวกเขาไม่สนใจว่ามีนเองก็เป็นมนุษย์ไม่ต่างจากพวกเขา พวกเขาพากันย่ำยีในศักดิ์ศรีและหยามเกียรติความเป็นมนุษย์ด้วยกัน ข้าพเจ้าเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของมีน ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยให้หญิงคนนั้นฉีกรูปของตนต่อไปเรื่อย ๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ – อ้อก!” เหตุการณ์ประหลาดเกิดแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าหมายมั่นจะไปหยุดการกระทำอันต่ำช้าของหญิงในชุดขาวผู้นั้น น้ำบางอย่างในตัวข้าพเจ้ากลับพวกพุ่งออกมาจากปากของข้าพเจ้าที่ใช้รับประทานอาหาร เป็นปากเดียวกันที่ข้าพเจ้าใช้พูดคุย
“อ...ว้าย!!” เมื่อน้ำนั้นสัมผัสร่างกายของหญิงผู้นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามันกัดกร่อนตัวเธอ เธอกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ข้อมือของเธอที่พ้นจากชายเสื้อขาวนั้น ถูกน้ำพิษในตัวข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าขย้อนออกมากัดกร่อน จากชั้นผิวหนัง ลึกลงไปจนกระทั่งถึงกระดูก ข้าพเจ้าเห็นควันสีขาวลอยออกมา เป็นสัญญาณกล่าวว่ากระดูกของเธอละลายไปเสียแล้ว
ถึงจะรู้ว่าไม่สมควร แต่ข้าพเจ้ากลับห้ามตัวเองไม่ให้สะใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ เธอตายแล้ว ตายเพราะความตกใจและทนพิษกัดกร่อนที่ออกมาจากตัวข้าพเจ้าไม่ได้ มือที่หลุดออกจากข้อยังคงกำแน่นไปด้วยเศษกระดาษของมีน เธอฆ่าชีวิตในรูปนั้น ฆ่าชีวิตของผู้วาด และเธอกำลังจะฆ่าข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้ามองเธอด้วยสายตาไม่แยแส
“อ้อก!” แต่ข้าพเจ้าหยุดตัวข้าพเจ้าเองไม่ได้ ร่างกายของข้าพเจ้ายังคงบ้วนน้ำพิษนี้ออกมาอย่างซ้ำ ๆ มีนตกใจกับภาพตรงหน้า และพยายามจะมาจับตัวข้าพเจ้าเพื่อถามว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร แต่พวกมนุษย์ชุดขาวที่ไม่ยอมช่วยเขาก่อนหน้านี้กลับมาจับตัวเขา พยายามพาเขาออกไปจากห้อง
“คุณ! คุณ! พี่ปล่อยผมนะเว้ย! ผมจะไปหาเพื่อนของผม!!” เขาพยายามดิ้นให้หลุดออกจากวงแขนของชายอีกสามสี่คนที่พยายามลากเขาออกไป พวกเขากล่าวบอกให้มีนออกห่างจากผม บอกให้เขาเลิกบ้า แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าเขาจะบ้าอย่างไร สุดท้าย พวกเขาทิ้งคนตายอย่างหญิงผู้นี้เอาไว้ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาเก็บเธอเมื่อไหร่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าน้ำที่ข้าพเจ้าบ้วนออกมาเริ่มกัดกินร่างกายส่วนอื่น ๆ ของเธอคนใกล้จะหมดแล้ว
ตัวข้าพเจ้าเองก็มีร่างกายเหมือนมนุษย์ จึงไม่แปลกประหลาดที่ข้าพเจ้าจะถูกกัดกินจากสิ่งที่ข้าพเจ้าคายออกมาด้วยเช่นกัน ข้าพเจ้าใช้มือรองน้ำนั้น และมันกัดมือของข้าพเจ้า เมื่อมันโดนตัวข้าพเจ้า มันก็สำแดงฤทธิ์ ข้าพเจ้าปวดแสบปวดร้อน ไม่ต่างจากหญิงคนนั้นที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่เมื่อสักครู่
ข้าพเจ้ายังคงขย้อนน้ำกรดออกมาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีทีท่าว่าข้าพเจ้าจะสามารถหยุดมันได้ มันนองอยู่เต็มพื้น ใบไม้ที่ตกลงมาจากต้นไม้ด้านบน ก็ไม่อาจทนทานพิษของข้าพเจ้าได้ โขดหินใหญ่ก็ถูกกัดกร่อน ข้าพเจ้าล้มลงด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ปากและร่างกายข้างในข้าพเจ้าก็ยังคงผลิตกรดพิษนี้ออกมาให้ข้าพเจ้าอยู่เรื่อย ๆ ร่างกายภายในของข้าพเจ้าไม่เป็นอันตรายจากกรดนี้ หากแต่มันทำร้ายของข้าพเจ้าจากภายนอก
“อ้อก!” ข้าพเจ้ายังบ้วนมันออกมา หากข้าพเจ้าเก็บมันไว้ภายในปากมันก็กัดกินข้าพเจ้า ข้าพเจ้าล้มลงและหัวของข้าพเจ้าฟาดกับโขดหิน
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแหงนหน้ามองสู่ด้านบน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเพดานห้องสินะ เพราะที่นี่ไม่ใช่ป่าที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ ที่นั่นแม้จะมีต้นไม้ใหญ่คอยบังไว้ แต่ข้าพเจ้าก็จะยังเห็นท้องฟ้าที่กว้างไกล กว้างถึงขนาดที่ข้าพเจ้าไม่อาจเอื้อมถึง สูงถึงขนาดที่ตัวข้าพเจ้าบินขึ้นไปไม่ได้ แต่เพดานนี้กลับเตี้ยและสั้นพอจะที่ข้าพเจ้าจะไขว่คว้า ชวนให้ข้าพเจ้านึกถึงขีดจำกัดที่พวกมนุษย์สร้างขึ้นได้ พวกเขาก็ทำได้แค่นี้ ขังข้าพเจ้าไว้ในกรงเล็ก ๆ แห่งนี้ ปลอมมันให้กลายเป็นสวน พวกเขาก็ทำได้แค่นี้ เป็นความโชคร้ายของข้าพเจ้าเองที่ต้องมาอยู่ใต้ขีดจำกัดเหล่านี้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภายใต้ร่างกายนี้ ข้าพเจ้าก็อยู่ใต้ขีดจำกัดเดียวกันกับมีน กับมนุษย์คนอื่นเช่นกัน

ออฟไลน์ เด็กแฝดรักการอ่าน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Observe
«ตอบ #3 เมื่อ01-01-2019 21:51:52 »

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาในคืนหนึ่งที่เงียบสงัด
ไม่มีใครอยู่นอกกระจกนั้น เพราะเวลานี้ค่ำมืดเสียจนไม่มีใครต้านทานนิทราที่มาเยือนแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ใด ตาของข้าพเจ้าเห็นห้องที่ว่างเปล่า ข้าพเจ้ายังรับรู้ว่ามันเป็นห้องเดิมและเป็นห้องเดียวกับที่ข้าพเจ้าอยู่มาตลอดวันที่ผ่านมานี้ หากแต่ทุกอย่างรอบตัวกลับเปลี่ยนไป – ไม่มีต้นไม้ ไม่มีโขดหิน ไม้มีใบไม้ และไม่มีหญิงสาวในชุดขาวที่เคยนอนอยู่ตรงนั้น – ทุกอย่างสูญสลายและหายไป เหลือแต่ตัวข้าพเจ้าและห้องที่ว่างเปล่าแห่งนี้ ราวกับทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกข้าพเจ้า เพื่อหลอกผู้ที่ไม่รู้ ว่ามันเป็นสวนสวย เป็นเหมือนสวนเอเดนที่ถูกเสกสร้างขึ้นมาให้มนุษย์คู่แรกอยู่อย่างมีความสุข เป็นสถานที่ที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่ามันมีอยู่จริง อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของข้าพเจ้า แต่ตอนนี้มันได้หายไปหมดแล้ว ทุกอย่าง
ข้าพเจ้าตื่นมาเพื่อรับความเจ็บปวดของร่างกายต่อ เป็นความเจ็บปวดที่ร่างกายข้าพเจ้าก่อและข้าพเจ้าจำเป็นต้องรับมันไว้ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่านี่คืออาการป่วย หรือจะเป็นความตายของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ารู้เพียงว่าข้าพเจ้าต้องผ่านมันไปให้ได้ ข้าพเจ้าไม่อยากให้มีนต้องมารับความเจ็บปวดกับข้าพเจ้า เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีแล้วที่พวกเขากีดกันไม่ให้มีนเข้ามาที่นี่ เป็นเรื่องเดียวที่ข้าพเจ้าขอบคุณพวกเขา ถึงแม้มันจะน่าเศร้าที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นเขาร้องไห้ เห็นเขากรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เห็นเขาดิ้นอยู่ในวงแขนของชายอีกสามสี่คน แต่ข้าพเจ้าก็ต้องยอม ยอมเจ็บปวดด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง ดีกว่าให้เขาต้องมาเจ็บกับข้าพเจ้าด้วย
มีเพียงลมเบา ๆ ที่พัดผ่านเข้ามา เป็นลมเอื่อย ๆ ที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้ ราวกับท้องฟ้ากำลังปลอมประโลมข้าพเจ้าอยู่
...ลม?
เดี๋ยวก่อน ข้าพเจ้าระลึกได้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ปิด ไม่มีสิ่งใดเข้าออก หรือเล็ดรอดได้จากห้องนี้ หากไม่ใช่ประตูกระจกที่มีนหรือมนุษย์เสื้อขาวคนอื่นใช้เดินเข้ามาภายใน ข้าพเจ้าสงสัยตั้งแต่คราวที่ข้าพเจ้าเห็นงูตัวหนึ่งเข้ามาในสวนแห่งนี้ มันน่าแปลก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สงสัยมากในตอนนั้น
แต่ ณ ตอนนี้ มันอาจจะเป็นทางรอดเดียวของข้าพเจ้าก็ได้
ข้าพเจ้านอนอยู่บริเวณกลางห้อง น้ำที่ข้าพเจ้าบ้วนออกมามีจำนวนมากถึงขนาดนี้ตัวของข้าพเจ้าเรียกได้ว่านอนจมอยู่ในน้ำนั้น แต่โชคดีที่มันไม่สูงมากไปกว่านี้ และข้าพเจ้าก็เริ่มชินชากับฤทธิ์กัดกร่อนของมันแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจคือทิศทางการไหลของของเหลวนี้ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่ามีทิศทางหนึ่งที่มันไหลไปด้วยกัน ข้าพเจ้านอนอยู่ในมัน ข้าพเจ้าจึงสัมผัสมันได้
ข้าพเจ้าค่อย ๆ ยันตัวของข้าพเจ้าเอง ให้ศีรษะของข้าพเจ้ายกสูงขึ้น เพราะข้าพเจ้ามองเห็นในความมืด ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าสายน้ำที่ข้าพเจ้าบ้วนออกมานั้นไหลไปในทางเดียวกัน และไหลไปรวมยังจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่ง ข้าพเจ้าใช้รยางค์ทั้งสี่ของข้าพเจ้าที่ยังทำงานได้ ค่อย ๆ ตะเกียตะกายตัวไปให้ใกล้กับรูนั้นมากที่สุด
ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนเสียสติที่คิดว่ารูแค่นั้นจะทำให้ข้าพเจ้าออกไปได้ และข้าพเจ้ายอมรับมัน ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีทางออกใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับข้าพเจ้าในตอนนี้ หากข้าพเจ้าต้องการจะหนี รูเท่ารูเข็มข้าพเจ้าก็ยังหวังว่ามันจะพาข้าพเจ้าออกไปได้ แต่นี่เป็นรูที่อสรพิษเลื้อยผ่านเข้ามา เช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงมีหวังกว่ารูเข็มที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้เมื่อสักครู่
“อึก” ข้าพเจ้ามาจนสุดทาง ถึงรูเล็ก ๆ ที่ริมสุดของห้องแล้ว สถานที่แห่งนี้ นอกจากกระจกที่กั้นระหว่างสวนภายในกับภายนอกแล้ว ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดให้ข้าพเจ้าติดต่อได้กับโลกภายนอกเลย พวกเขาไม่ติดกระจกให้ภาพที่อยู่ภายนอกฉายเข้ามาภายใน ราวกับจะปิดให้ข้าพเจ้าคิดว่าโลกทั้งใบมีอยู่เท่านี้ และข้าพเจ้าก็เคยเกือบเชื่อเช่นนั้น
แต่คราวนี้ข้าพเจ้าได้เห็นโลกที่กว้างใหญ่ จากรูขนาดเล็กที่พวกเขาปล่อยไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้ตาของข้าพเจ้าที่มองเห็นได้กว้างไกล และที่สามารถมองเห็นได้ในความมืด มองทุกอย่างที่ข้าพเจ้าอยากมอง น้ำใส ๆ ในตาของข้าพเจ้าเริ่มก่อตัวขึ้น เป็นครั้งแรกในหลายวันเวลาที่ข้าพเจ้าได้เห็นว่าโลกไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงกล่องเล็ก ๆ ใบนี้ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในสถานที่อันคับแคบของมนุษย์เพียงเท่านี้ มันกว้างใหญ่ มันไพศาล ข้าพเจ้ามองเห็นดวงดาวและดวงจันทร์ที่แข่งกันส่องแสงแรงกล้า ข้าพเจ้าเห็นแสงระยิบระยับภายในป่า และต้นไม้มากมายที่พลิ้วไหลตามสายลม
แต่แล้วแสงเหล่านั้นก็กะพริบมากกว่าเดิม ข้าพเจ้าปาดน้ำตาที่มีอยู่ก่อนจะมองอย่างชัดเจนอีกครั้ง มีอะไรบางอย่างกำลังสะท้อนแสงกับจันทร์นวลที่ส่องแสงลงมา
และข้าพเจ้าเห็นแล้ว
ข้าพเจ้าส่งนิ้วนิ้วหนึ่งของข้าพเจ้าออกไปผ่านรูนั้น ก่อนที่ข้าพเจ้าจะรับสัมผัสได้ว่ามีการตอบรับ มีการโอบกอดจากเพียงนิ้วของข้าพเจ้า เขากำนิ้วของข้าพเจ้าอย่างอบอุ่น นี่คือความหวังของข้าพเจ้า เป็นความหวังที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่านี่จะไม่ใช่ความตายของข้าพเจ้า และรู้ว่าข้าพเจ้าจะเกิดใหม่ ข้าพเจ้าร้องไห้ เพราะรู้ว่าความทุกข์ทั้งหมดนี้กำลังจะหายไป นิ้วที่สั่งระริกของข้าพเจ้าถูกจับอย่างแน่นขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระซิบอันแผ่วเบานอกผนังที่ไม่อาจกั้นพวกเราได้
“เพื่อนเอ๋ย โปรดจงอดทนไว้ เวลาของเจ้าใกล้จะมาแล้ว”
ข้าจะรอ...

“แอ๊ด!” เสียงประตูกระจกที่ลากบนพื้น และเสียงฝีเท้าที่ย่ำมาในน้ำทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตัว ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นอีกครั้งในห้องอันว่างเปล่าแห่งนี้ แต่คราวนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่านี่เป็นเวลาเช้า และกำลังมีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา
ไม่ใช่มีน หรืออาจจะไม่ใช่มีนคนเดียว เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่กำลังเดินเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า
“รีบจับมันออกไปเถอะ แล้วต้องรีบระบายน้ำเน่าพวกนี้ด้วย เดี๋ยวพวกคนข้างนอกเขาจะเข้ามาตรวจกันแล้ว”
รีบ? ตรวจ? นี่มันเรื่องอะไรกัน
“เออ เดี๋ยวต้องรีบทำก่อนที่ไอ้มีนจะเข้ามา มันเป็นตัวซวย ตัวยุ่งซะทุกเรื่อง”
“อืม รีบ ๆ เอามันออกไปเถอะ” มันในที่นี้คือข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าเกลียดการถูกเรียกราวกับก้อนอิฐก้อนดินเช่นนี้
หึ พวกมนุษย์อวดดี แม้คราวที่ข้าพเจ้าสลบไม่รู้สึกตัว พวกท่านก็คิดว่าข้าพเจ้าจะตายเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ตายง่าย ๆ เช่นนั้นหรอก
“เห้ย! หยุดนะเว้ย!” ข้าพเจ้าได้ยินเสียงมีน เสียงของคนที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยและเป็นเพื่อนของข้าพเจ้าดังอยู่ที่หน้าประตู เขาตะโกนเสียงดัง ก่อนที่จะมีคนมาหยุดเขาอีกเหมือนเดิม “ปล่อยผมนะเว้ย! พวกพี่ห้ามทำอะไรเพื่อนผมนะ”
แม้เขาจะมีร่างกายสูงใหญ่ แต่ก็ไม่อาจทนทานชายที่มีขนาดพอ ๆ กันสองสามคนได้
ชายสองคนที่เดินเข้ามาเมื่อซักครู่ทำเสียงจิจ้ะไม่พอใจ พวกเขาหันหลังเดินกลับไป ข้าพเจ้าเห็นไม้ในมือของพวกเขาที่ตั้งใจจะมาใช้พาตัวข้าพเจ้าออกไป กำลังจะกลายเป็นอาวุธที่จะฟาดไปยังมีน ข้าพเจ้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าต้องทำอะไรซักอย่าง
ทำอะไรซักอย่างให้กับเพื่อนของข้าพเจ้า
“เห้ย!” ข้าพเจ้ายันตัวลุกขึ้นนั่ง เสียงการเคลื่อนไหวของข้าพเจ้าทำให้ชายสองคนที่กำลังเดินกลับไปหามีนตกใจทั้งคู่ พวกเขา ไม่สิ ทุกคนคิดว่าข้าพเจ้าตายแล้ว แต่หาไม่ ข้าพเจ้าแค่สลบไปเท่านั้น แต่หากพวกเขายังยืนที่จะเรียกข้าพเจ้าว่าตาย หรือเน่าสลายเหมือนอย่างมักลีผล ข้าพเจ้าก็ยินดีให้พวกเขาใช้คำนั้น แต่โปรดเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในครั้งนี้ว่า ข้าพเจ้าได้ฟื้นจากความตายแล้ว
ข้าพเจ้าเห็นสายตาทุกสายตาที่มองมายังข้าพเจ้า มันเป็นสายตาแห่งความกลัวและขยักแขยง เนื้อหนังเมื่อครั้งข้าพเจ้ายังใช้ร่างกายของมนุษย์ยังติดอยู่ตามตัวข้าพเจ้าอยู่บ้าง แต่เกินกว่าครึ่งของร่างกายข้าพเจ้าเปลี่ยนไป – ไม่สิ ต้องเรียกว่ามันสำแดงตัวอย่างแท้จริง อย่างที่มันควรจะเป็นต่างหาก เพราะร่างกายนี้ของข้าพเจ้า เป็นร่างกายที่แท้จริงและเป็นธรรมชาติ เป็นร่างกายที่บรรพบุรุษของเราส่งทอดกันมา เป็นร่างกายที่จะแสดงออกเมื่อเจ้าของร่างนั้นพร้อมเท่านั้น
ข้าพเจ้าหยิบแผ่นหนังที่เปื่อยยุ่ยของข้าพเจ้าออก มันตายแล้ว และข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก ข้าพเจ้าดึงหนังศีรษะซึ่งเป็นหนังมนุษย์ชิ้นสุดท้ายบนตัวข้าพเจ้าออก ผมจากร่างกายใหม่ของข้าพเจ้าจึงสำแดงออกมา และข้าพเจ้าก็กลายเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าควรจะเป็น
ผิวของข้าพเจ้ากลายมีสีเขียว ข้าพเจ้ามีดวงตาสองข้าง หากแต่ไม่แบ่งตาขาวตาดำ มันเป็นสีขาวราวกับไข่มุก ข้าพเจ้ามีหูแหลม รยางค์ของข้าพเจ้ายังมีสองคู่เช่นเดิม แต่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ตรงที่มันมีสีเขียวอ่อน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าสูงกว่าเดิม ปีกของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไป มันใหญ่ขึ้นกว่าเก่า และข้าพเจ้ารู้ว่ามันมีลวดลายใหม่ ราวกับได้ฝีมือของมีนมาวาดเขียนและแต่งเติมสีให้ข้าพเจ้า
“หึ” ข้าพเจ้าดูดกลืนพิษที่อยู่บนพื้นทั้งหมดให้กลับมาอยู่ในตัวของข้าพเจ้า มันทำให้พวกเขาล้มลงเพราะกระแสน้ำที่พัดเข้ามายังปากของข้าพเจ้า ด้วยสิ่งที่ครอบใบหน้าของเขา ทำให้เขาไม่ได้น้ำพิษที่ออกมาจากตัวของข้าพเจ้าในรูปของไอ และด้วยรองเท้าของเขา เขาจึงไม่บาดเจ็บจากการเหยียบย่ำพิษของข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเขานอนลงกลัว ร้องขอชีวิตแก่ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงบินสูงขึ้นอยู่เหนือพวกเขา ก่อนจะพ่นพิษเดิมที่ข้าพเจ้าดูดกลืนมาให้แก่เขา
ข้าพเจ้าจะไม่พูดว่ามันสมควรแก่เขาที่จะถูกกระทำเช่นนี้ เพราะพวกเขาไม่เหมือนกับหญิงคนนั้นที่เข้ามาฉีกรูปของมีน หากแต่พวกเขาทั้งสองกำลังจะจับข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าไม่ชอบให้ตัวของข้าพเจ้าถูกลดศักดิ์ศรีเช่นนี้ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงทรมาน ข้าพเจ้าไม่ทำพวกเขาตาย เพราะข้าพเจ้าไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะพิษของข้าพเจ้าอีก
ข้าพเจ้าใช้ปีกของข้าพเจ้า พาตัวของตนเองไปยังมี ชายรอบตัวเขาปล่อยตัวมีนออกมาด้วยความตกใจ ข้าพเจ้าจึงจับมือของเขา แล้วพาบินออกมา ข้าพเจ้ายกตัวของเขาขึ้นมาไม่ได้ จึงได้แต่จับให้เขาวิ่งตามข้าพเจ้ามา
“ปัง!” กระสุนนัดหนึ่งถูกยิ่ง มันปักมายังลำคอของข้าพเจ้า คงมาจากหนึ่งในคนที่จับมีนเอาไว้เมื่อสักครู่ที่ทำกับข้าพเจ้าเช่นนี้ เป็นกระบอกบรรจุน้ำเช่นเดิม...ยาสลบ?
ข้าพเจ้าหัวเราะ ก่อนจะดึงมันออกจากลำคอข้าพเจ้า และพ่นพิษเดียวกันที่เขามอบให้แก่ข้าพเจ้านี้กลับสู่พวกเขาทั้งหมด ข้าพเจ้าเห็นพวกเขาวิ่งมาอยู่ซักพักก่อนที่จะล้มตัวลงเพราะทนพิษนิทรานี้ไม่ไหว ข้าพเจ้าจึงบินต่อไป
มีนบอกทางออกแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าตามเขาไปอย่างว่าง่าย
“ตอนนี้นักวิจัยคนอื่นกำลังไปรับมือกับผู้ชุมนุมที่อยู่หน้าศูนย์วิจัย เพราะฉะนั้นตอนนี้แหละที่เราออกไปจากที่นี่กันได้”
ยิ่งใกล้ประตูทางออกเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายิ่งได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น เสียงของโลกมนุษย์ เสียงตะโกน เสียงเรียกร้อง เสียงของมนุษย์ทั้งชายหญิงที่ผลัดกันส่งขึ้นมา ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าทุกอย่างกำลังวุ่นวายอยู่ภายนอก
แต่อีกเสียงหนึ่งกำลังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เสียงของปีกจำนวนหลายคู่ที่กำลังกระพือต้านลมธรรมชาติ เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น เสียงของมนุษย์ เสียงความวุ่นวายอย่างมนุษย์ กลับเงียบลง ข้าพเจ้ารู้ว่าเวลาของข้าพเจ้ามาถึงแล้ว
มีนเปิดประตูออก ข้าพเจ้าเห็นมนุษย์ที่ยืนอยู่กำลังนิ่งตระงันให้กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ข้าพเจ้าใช้ปีกของข้าพเจ้าพาให้ตัวของข้าพเจ้าขึ้นไปรวมเป็นหนึ่งกับฝูงวงศ์ของข้าพเจ้า ท่ามกลางผู้คนในชุดขาว และในชุดหลากสีที่กำลังมองขึ้นมาบนฟ้า หาพระอาทิตย์ของพวกเขาไม่พบ เพราะถูกแทนที่ด้วยปีกที่ขยับไปมาของพวกเราแทน
“ข้าพเจ้าขอประณามผู้ที่จับกุมตัวพี่น้องของข้าพเจ้ามาไว้อยู่ ณ สถานแห่งนี้ มันเป็นการหยามเกียรติพวกเราอย่างหาที่สุดไม่ได้” หนึ่งในพวกเรากล่าว “แต่ข้าพเจ้าจะถือว่านี่เป็นสงคราม ข้าพเจ้าจะถือว่าเป็นความไม่รู้ ถือเป็นความไร้เดียงสาของมนุษย์ พวกเราจะไม่ถือโทษพวกท่านในครั้งนี้ แต่อย่าทำเช่นนี้กับสัตว์ใดสัตว์อื่นอีกเลย ถือว่านี่เป็นบทเรียนสำคัญที่ข้าพเจ้าอยากจะให้ไว้กับพวกท่าน”
“ข้าพเจ้าอยากอยู่กับพวกท่านอย่างสันติ” ข้าพเจ้ากล่าว เพราะเห็นมีนทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้แล้ว “ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นสัตว์ใด ถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อน ก็ขอให้อย่าทำร้ายกันอีกเลย”
พวกเราอยู่ตรงนั้นไม่นาน ก่อนที่พวกเราจะเคลื่อนย้ายตนเองกลับไปยังสถานที่ที่พวกเราจากมา ราวกับเพื่อนของข้าพเจ้าทั้งหมดมาเพื่อรับข้าพเจ้า และก็เป็นเช่นนั้น พวกเขากอดข้าพเจ้าราวกับได้สิ่งสำคัญในชีวิตกลับมา ข้าพเจ้าก็กอดพวกเขาเช่นกัน เพื่อนของข้าพเจ้าก็ไม่ได้มีร่างมนุษย์อย่างที่ข้าพเจ้าเห็นก่อนที่จะจากมา พวกเขาเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ ไม่ใช่แค่สีเขียวอย่างข้าพเจ้า แต่คนที่มาจับนิ้วข้าพเจ้า – เพื่อนที่ข้าพเจ้ารัก – ก็มีผิวสีน้ำตาลเข้ม ผู้คนจึงมองไม่เห็นเขาในยามราตรี ยังมีเพื่อนของข้าพเจ้าที่มีผิวสีอื่น ๆ อีกสวยงามมากมาย
ปีกของพวกเราเองก็แตกต่างกัน ใครว่าปีกยามที่เราเป็นมนุษย์จะสวยงามที่สุดนั้นหาไม่ มันสวยงามและใหญ่กว่ายามที่พวกเราเติบโตอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าและพวกเราทั้งหมดขยับปีกกันอย่างไม่เขินอาย สายลมวิ่งไปมาภายในป่าใหญ่เมื่อพวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ข้าพเจ้ากำลังนึกภาพว่าตัวเองเป็นมโนราห์ ครั้งที่สวมปีกสวมหางอย่างเก่าแล้วก็บินกลับป่าหิมพานต์ อันเป็นสถานที่อยู่แท้จริงของนาง ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน ข้าพเจ้ากำลังบินกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดเดิมของข้าพเจ้า
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปยังสถานที่ข้าพเจ้าจากมาอีกต่อไป ข้าพเจ้ารู้ในทันทีว่าโลกมนุษย์ ไม่ใช่ที่สำหรับข้าพเจ้า

“ข้าพเจ้าเสียใจที่ไปอยู่กับท่านไม่ได้” ข้าพเจ้าพูดกับมีน ที่วันนี้แต่งตัวมาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขากล่าวว่าเขาออกจากกลุ่มที่เขาเคยอยู่แล้ว และกลุ่มเสื้อขาวนั้นกำลังจะปิดตัวลงในเวลาไม่ช้า
“ผมเข้าใจ การเอาคุณกลับไปในเมือง ก็เหมือนเอาปลาขึ้นมาบนบก คุณควรอยู่ในที่ที่คุณควรอยู่ คุณอยู่ที่นี่นะถูกแล้ว”
“ข้าพเจ้าดีใจที่ท่านเข้าใจ”
“แต่อย่างน้อยที่ผมมาวันนี้ ผมขอวาดรูปคุณกับเพื่อนของคุณได้ไหม”
“ได้สิ ข้าพเจ้ายินดีที่ท่านจะบันทึกภาพของพวกข้าพเจ้าไว้ในสมุดของท่าน”
“ไม่ใช่แค่ในสมุด แต่ในความทรงจำของผมด้วย”
ข้าพเจ้ายิ้ม และไม่ได้ตอบอะไรแก่เขา
ข้าพเจ้านำเขาเข้าไปลึกในป่า ข้าพเจ้าเพิ่งรู้ในไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า ป่าแห่งนี้มีน้ำตกอันสวยงาม ราวกับน้ำตาแห่งความปลื้มปีติยินดีอันยิ่งใหญ่ พวกเรามักจะอาศัยกันอยู่ตรงนี้ เล่นน้ำ และรับประทานอาหารไม่ห่างจากที่นี่นัก
“พวกเราทุกคน! เพื่อนของข้าพเจ้าตั้งใจจะบันทึกภาพของพวกเราไว้”
พวกเราต่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อนของข้าพเจ้ารีบจัดแจงตนเองจนเรียบร้อย ไม่นานนักพวกเราแต่ละคนก็มีที่นั่งที่ยืนที่นอนตามโขดหินต่าง ๆ รอบ ๆ บริเวณน้ำตกใหญ่นี้ คราวนี้มีนไม่ได้มากับแผ่นกระดาษและดินสอ แต่เขามากับผืนผ้าใบ และรงค์จำนวนมาก พร้อมกับพู่กัน – เขาสอนให้ข้าพเจ้าเรียกอย่างนั้น – ที่จะมาใช้วาดเขียนพวกข้าพเจ้าให้สวยงามอีกครั้ง
ข้าพเจ้ายิ้ม และเขายิ้ม พวกเราทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข
สุดท้าย ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการให้มนุษย์หันมารักข้าพเจ้า ไม่ได้ต้องการให้มนุษย์มาดูแลข้าพเจ้า จับข้าพเจ้าไว้ในสวนของเขา หรือให้อาหารข้าพเจ้า แต่คือการที่เราทุกคนต่างฝ่ายต่างให้พื้นที่กันและกันได้เติบโต ได้มีชีวิตเป็นของตนเองอย่างไม่เบียดเบียนกัน
และถ้าหากเป็นไปได้ ข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะได้เป็นมิตรต่อกัน

“สรุปแล้วคุณชื่ออะไร”
“หืม? ข้าพเจ้านึกว่าท่านตั้งชื่อให้ข้าพเจ้าไปแล้วเสียอีก”
“ไม่หรอก ผมบอกแล้วไงว่าผมอยากรู้จักคุณจริง ๆ ผมก็ต้องอยากรู้สิว่าคุณเรียกตัวเองว่าอะไร ถ้าผมตั้งชื่อให้คุณ ก็แปลว่าผมโมเมทำเป็นรู้จักคุณ แต่ก็เหมือนผมรู้จักคุณอยู่ฝ่ายเดียว”
“เข้าใจแล้ว ๆ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้มีชื่อหรอก ปกติพวกเราไม่ค่อยเรียกชื่อกันและกันน่ะ”
“จริงหรอ? ความรู้ใหม่ของผมเลยนะ”
“แต่สำหรับท่าน ข้าพเจ้ายินดีให้ท่านเรียกข้าพเจ้าว่าเพื่อน”
“เพื่อน?”
“ใช่ ก็พวกเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่หรือ?”
เขายิ้ม และข้าพเจ้าขยับปีก
“อืม ครับ ได้รู้จักคุณซักทีนะครับ...เพื่อน”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด