ในยุคสมัยสงครามการพรากจากคนรักถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าการพรากจากชั่วคราวหรือตลอดกาล
ในยุคสงครามนี้ถ้าคุณไม่ร่ำรวย ไม่ได้เป็นขุนนาง คุณจะต้องเป็นทหารที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศ คุณต้องต่อสู้ไปเรื่อยๆ จนไม่รู้จักจบจักสิ้น
การตายในสนามรบหลายคนมักบอกว่ามันคือเกียรติของลูกผู้ชาย ตัวผมที่เกลียดสงครามจนเข้าไส้ จึงหาทุกวิถีทางที่จะไม่ต้องเป็นทหาร แต่ฐานะผมไม่ได้ดีเท่าไหร่ที่จะอยู่อย่างสุขสบายในยุคสมัยแบบนี้
ผม วิล เอดิสัน ผู้ที่เกลียดสงครามยิ่งกว่าสิ่งใด ผมในวัยเด็กต้องพรากจากกับพ่อเพียงเพราะสงคราม พ่อของผมออกจากบ้านไปและไม่ได้กลับมาอีกเลย
ประเทศที่ผมเกิดมามีสงครามตลอดนับครั้งไม่ถ้วน และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงในวันใด ตั้งแต่ผมจำความได้สงครามก็เริ่มขึ้นแล้ว เด็กผู้ชายทุกคนถูกปลูกฝั่งให้เป็นทหารและต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศนี้
ผมเห็นการพรากจากมาแล้วทุกรูปแบบ ผู้ชายที่ออกจากบ้านไปไม่มีใครได้กลับมา แม่ผมยังเฝ้ารอการกลับมาของพ่อแม้ว่าความหวังจะเป็นศูนย์ ผมยังคิดและสงสัยว่าสงครามนี้มันได้มอบอะไรให้กับเราบ้างนอกจากความสูญเสียไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำไมเราต้องทำสงครามด้วย
มีคนบอกกับผมว่าถ้าอยากรอดตายจากสงคราม ก็ให้เป็นหมอหรือไม่ก็เกิดเป็นผู้หญิง ผมจึงเลือกที่จะเป็นหมอเพราะอยากอยู่ดูแลแม่และพี่สาว ผมเกลียดสงคราม ผมเกลียดการฆ่าฟัน ผมอยากให้ประเทศนี้สงบสุขในเร็ววัน
สุดท้ายการเป็นหมอก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต การพรากจากก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง ตัวผมในตอนนั้นอายุเพียง 24 ปี ในทางตอนใต้ของประเทศเกิดสงครามขึ้นบ่อยทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากทั้งประชาชนและทหาร ทำให้หมอขาดแคลน พวกหมอทั้งหลายจึงถูกส่งไปในตอนใต้เพื่อช่วยรักษาผู้บาดเจ็บ และผมก็เป็นหนึ่งในหมอที่ถูกส่งไป
ผมฝันมาตลอดว่าผมอยากใช้ชีวิตสงบสุขไปจนตาย และไม่ต้องพรากจากกับครอบครัว สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสำหรับผมคือการพรากจากกับคนที่เรารัก แม่และพี่สาวผมพวกเขามาส่งผมขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังดินแดนที่ห่างไกล พวกท่านเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดเพราะกลัวการสูญเสียจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมอยากให้รถไฟนี้เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เพราะผมไม่อยากจากบ้านเกิดไป
ตั้งแต่ที่เสียพ่อไปแม่ก็กลายเป็นม่ายโดยสมบูรณ์ มีผู้หญิงหลายคนต้องกลายเป็นม่ายเพราะสงคราม แม้ว่าตอนเหนือจะสงบกว่าทางตอนใต้ แต่ก็ต้องส่งเด็กผู้ชายไปช่วยรบทุกปีเมืองที่ผมอยู่จึงมีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
เมื่อผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ผมจึงต้องจำใจเดินทางมาตอนใต้พร้อมกับคณะหมอจากหลายแหล่งมารวมกัน เมื่อมาถึงทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เพราะมันทำให้ผมได้พบกับชายคนหนึ่ง
สกาเล็ต สตีเวนส์ เขาเป็นเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมแต่น่าจะอ่อนกว่าสักสามถึงสี่ปีได้ เขามีเลือนผมสีแดง ดวงตาสีซีดบอกสีไม่ชัดเจนเดี๋ยวก็คล้ายกับสีเขียวแต่บางเวลาก็คล้ายกับสีฟ้า ผมมองว่ามันสวยมากๆ ผิวขาวหยาบกระด้างมีกระตามใบหน้า แต่นั่นก็ทำให้เขาดูดีไม่น้อย สกาเล็ต สตีเวนส์ เป็นพลทหารใหม่ที่ถูกส่งมาช่วยจากภาคกลาง
ภาคกลางเป็นภาคที่สงบสุขไม่ค่อยมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยเหมือนทางตอนใต้ที่เราอยู่ เขาเข้ามาคุยกับผมที่พึ่งมาถึง คงเพราะเขาเป็นคนอัธยาศัยดีเลยเข้ากับคนง่าย ผมที่ถูกเลี้ยงมาโดยผู้หญิงมาส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยคุยชินกับเด็กผู้ชายชักเท่าไหร่
เขาคือเพื่อนคนแรกในสนามรบนี้ สกาเล็ตมักจะได้รับบาดเจ็บจากการฝึกทุกวันเพราะเขาไม่มีทักษะในการรบเท่าไหร่ ในเวลาที่เราอยู่ในห้องพยาบาลด้วยกันเขามักจะเล่าเรื่องราวของตัวเขาก่อนเป็นทหารให้ผมฟัง ทั้งเรื่องครอบครัว และการใช้ชีวิต เราสองคนต่างแชร์ความรู้สึกต่างๆ มาให้กัน
รู้ตัวอีกทีผมได้หลงรักในรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเขาไปซะแล้ว เราทั้งคู่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือสิ่งต้องห้ามในสมัยนั้น ผมและสกาเล็ตจึงต้องเก็บซ่อนเอาไว้ ระยะเวลาห้าปีที่เราอยู่ด้วยกันในตอนใต้ มันทำให้ผมลืมความหวาดกลัวที่จะต้องมาอยู่ที่นี่ในตอนแรก ความโดดเดี่ยวที่ต้องจากกับครอบครัว ความเหงาที่ต้องห่างจากถิ่นที่อยู่
แต่สุดท้ายงานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา ผมต้องกลับไปในที่ที่ผมจากมา ผมถูกส่งตัวกลับไปทางตอนเหนือเหมือนเดิมเมื่อสถานการณ์ทางตอนใต้เริ่มสงบลง ส่วนสกาเล็ตที่รักของผมเขายังคงต้องประจำการอยู่ที่ทางตอนใต้จนกว่าจะปลดประจำการในอีกสองปีข้างหน้า
เขาให้สัญญาเอาไว้ว่าอีกสองปีข้างหน้าจะมาอยู่กับผมด้วยกันที่ทางตอนเหนือ ผมเชื่อในคำพูดของแม่ เราพรากจากกันครั้งนี้เพื่อที่จะได้พบกันอีกในครั้งหน้า จากคนที่เคยเจอหน้ากันทุกวันตลอดห้าปีต้องพูดคุยกันผ่านทางจดหมายเดือนละครั้ง
ผมได้ทราบถึงข่าวของสกาเล็ตผ่านทางจดหมายที่เขาส่งมา เวลาที่คนเรามีความสุขมักจะผ่านไปเร็ว ส่วนเวลาที่คนเรามีความทุกข์เวลามันจะเดินไปอย่างเชื่องช้า วันแล้ววันเล่าผมเฝ้ารอแต่จดหมายจากเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สกาเล็ตได้กลายเป็นลมหายใจของผมไปเสียแล้ว
ถึง คุณหมอเอดิสัน
นับตั้งแต่ที่คุณจากไปคราวนั้นก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว จะว่าไปมันก็ไวเหมือนโกหก สถานการณ์ในทางตอนใต้ที่ผมประจำการอยู่ยังคงสงบสุขเหมือนเดิม ผมที่อยู่ทางนี้ยังสบายดีไม่เจ็บป่วยอะไร ผมยังคงง่วนอยู่กับการฝึกหนักแม้สถานการณ์จะสงบสุขแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องขอบคุณการฝึกเหมือนกันที่ช่วยทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น ผมไม่ได้รับบาดเจ็บเหมือนตอนแรกๆ แล้ว ขอบคุณคุณหมอมากที่คอยดูแลผมมาตลอด แล้วคุณล่ะเป็นไงบ้าง ผมได้ข่าวมาว่าทางตอนเหนืออากาศเริ่มเย็นลง คุณมักจะห่วงแต่คนอื่นจนลืมเป็นห่วงตัวเอง ใส่เสื้อให้หนาๆ เวลาออกไปข้างนอก และตอนนอนอย่าลืมปิดหน้าต่างด้วย ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะครับ
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ถึง พลทหารสตีเวนส์
ผมยังคงสบายดีแม้ว่าอากาศที่ทางตอนเหนือจะเริ่มหนาวเย็นแล้วก็ตาม ผมดูแลตัวเองอย่างดีรอวันที่เราจะได้พบกันอีก ผมเชื่อว่าคุณทำได้และผมจะรอฟังข่าวดีของคุณ แม้จะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วผมก็ยังคงไม่ชินนึกว่าตัวเองอยู่ที่ค่ายทหารทางตอนใต้เหมือนเดิม คิดแล้วก็ตลกดี มีวันหนึ่งผมสดุ้งตื่นเพราะคิดว่าเป็นเสียงนกหวีด ที่ไหนได้เป็นเสียงเด็กร้อง แต่ผมก็รีบลุกและวิ่งลงไปข้างล่างแต่ก็พึ่งนึกได้ว่าตัวเองอยู่บ้านแล้ว ผมคิดว่าเวลาที่ผ่านมามันช้าเหลือเกิน แต่ผมก็จะรอนะครับ
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ดร.วิล เอดิสัน
ถึง คุณหมอเอดิสัน
ขอโทษที่เขียนจดหมายมาช้าในเดือนนี้ สถานการณ์ทางตอนใต้เริ่มแย่ลงมีการปะทะตรงแนวหน้าจากข้าศึก ผมที่ได้รับตำแหน่งในกองหน้าต้องเจอกับศึกหนักในทุกวันไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือตอนดึกจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ทางฝั่งเราก็สามารถต้านเอาไว้อยู่ ผมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยที่แขนขวาเพราะถูกยิงขณะช่วยเพื่อน แต่โชคร้ายของเพื่อนผมเขาไม่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ตอนที่เขียนจดหมายนี้ผมดีขึ้นแล้วคุณไม่ต้องห่วง คุณหมอเอดิสันก็ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ผมจะพยายามดูแลตัวเองให้ดีเพื่อที่จะได้พบคุณอีกในครั้งหน้า
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ถึง พลทหารสตีเวนส์
ผมได้ทราบข่าวของคุณแล้วใจหายมาก แต่ผมก็ดีใจที่คุณยังปลอดภัย ผมสวดภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าทุกวันขอให้คุณปลอดภัย ผมเฝ้ารอจดหมายทุกคืนวันจนแทบนอนไม่หลับ เป็นเวลาสามเดือนแล้วที่คุณเล่นหายไป ผมได้ข่าวต่างๆ จากชาวบ้านว่ามีข้าศึกบุกมาทุกวัน แต่ผมเชื่อในตัวคุณว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ เพราะสกาเล็ตที่ผมรู้จักคนนั้นทั้งเก่งและฉลาดเกินใคร อย่าเป็นอะไรนะครับ
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ดร. วิล เอดิสัน
ถึง คุณหมอเอดิสัน
วันนี้มีคนตายเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ผมควรจะบอกคุณว่าไงดี อ่า เพื่อนของที่มาจากภาคกลางด้วยกันเขาตายแล้ว พิษบาดแผลมันคงแรงเกินไปจนเขาทนไม่ไหว ผมและเพื่อนทำงานศพให้เขากันอย่างเงียบๆ แล้วส่งจดหมายไปบอกภรรยาของเขาที่บ้านเกิด ทหารบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ทางการได้ส่งคำขอเพิ่มแพทย์แล้ว แม้ผมจะแอบหวังลึกๆ ว่าอยากให้จะเป็นคุณ แต่ความจริงแล้วไม่เลย ผมยอมทนคิดถึงดีกว่าให้คุณมาเสี่ยงชีวิตกับผมที่นี่ มันรุนแรงเกินไป ขอโทษที่ผมไม่ได้ส่งจดหมายหาคุณทุกเดือนตามที่สัญญาเอาไว้ ผมได้อ่านจดหมายของคุณแล้ว ผมจะดูแลตัวเองให้ดีเช่นกัน
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ถึง พลทหารสตีเวนส์
ผมได้อ่านแล้วก็เสียใจแทนคุณด้วย คุณคงเสียใจมากที่เสียเพื่อนไป ในสงครามการพรากจากกันถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าเลือกได้ผมอยากกลับไปที่นั่น แม้ว่าผมจะลำบากแต่อย่างน้อยผมก็ได้ช่วยคุณ ผมรู้ว่าคุณเสียใจกับการจากไปของเพื่อน แต่การจากไปแต่ละครั้งจะทำให้คุณเติบโตขึ้น ผมที่รักษาคนไข้มาตลอดได้พบการจากลาหลายรูปแบบ ตอนนี้ผมได้เติบโตขึ้นเพราะการจากไปแต่ละครั้งได้สอนอะไรให้ผมมาก ผมอยากให้คุณเข้มแข็งและสู้ต่อไป อดทนเอาไว้ในอีกไม่ช้าเราก็จะได้เจอกันอีก ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ สกาเล็ต
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ดร. วิล เอดิสัน
ถึง คุณหมอเอดิสัน
คุณยังคงตอบจดหมายของผมอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม ขอโทษที่ผมมักจะตอบช้าเสมอ คุณคงรอผมอยู่สินะ คุณเข้มแข็งขึ้นมากผมก็ดีใจ ยังจำวันแรกที่เจอกันได้คุณหมอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเมื่อครั้งที่มาตอนใต้ครั้งแรก แววตาของคุณเต็มไปด้วยความโศกที่ต้องจากบ้านเกิด ตอนนี้คุณได้กลับไปในที่คุณจากมาแล้วคุณมีความสุขขึ้นรึยัง ผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ แค่รู้ว่าคุณสบายดีผมก็โล่งอกเช่นเดียวกัน คุณไม่ต้องเป็นห่วงเพราะผมแข็งแรงขึ้นมาก และตอนนี้ยศผมได้เลื่อนขึ้นไม่ใช่พลทหารเหมือนเดิมแล้ว ผมได้เลื่อนเป็นสิบตรี คงเป็นข่าวดีไม่น้อย
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ถึง สิบตรีสตีเวนส์
ถือว่าเป็นข่าวดีไม่น้อยหลังจากที่คุณหายไปนานผมเชื่อแล้วว่าคุณต้องทำได้ ขอให้คุณมีความสุขในทางที่เลือก ตอนนี้ข่าวดีที่สุดของผมคงไม่พ้นเรื่องที่คุณปลอดภัย ผมอยากให้เหตุการณ์ทางใต้สงบสุขขึ้นเร็ววัน ผมอาจเป็นคนเห็นแก่ตัวอยากให้คุณเป็นแค่พลทหารเหมือนเดิมจะได้ไม่ต้องได้รับอันตรายมากกว่าเก่า ดูแลตัวเองให้ดีนะครับ ตอนนี้ทางภาคใต้กำลังเข้าสู่หน้าร้อนแล้วสินะ ทำให้ผมนึกถึงวันที่เราดูพลุไฟด้วยกัน ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณพาผมไปดูพลุไฟด้วยกันอีกครั้ง ตอนที่พลุไฟกำลังแตกกระจายบนท้องฟ้ามันสะท้อนกับสีตาของคุณ มันสวยมากๆ สวยยิ่งกว่าอัญมณีราคาแพงซะอีก ต้องพาผมไปดูพลุไฟอีกให้ได้นะครับ
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ดร. วิล เอดิสัน
ถึงคุณหมอเอดิสัน
ครั้งนี้ผมหายไปนานกว่าทุกที นี่ก็หนึ่งปีแล้วนะครับที่เราไม่ได้เจอกัน ตอนนี้ภาคใต้อยู่ฤดูฝนแล้วขอโทษที่ตอบจดหมายช้า แต่ผมกลับคิดถึงตอนที่เล่นน้ำตอนฤดูร้อนกับคุณมากกว่า คุณแทบจะร้องไห้ตอนผมลากคุณลงน้ำ คุณน่ะแปลกกว่าเด็กผู้ชายคนอื่น ทั้งที่เด็กผู้ชายทั่วไปมักจะชอบเล่นน้ำกันทั้งนั้นแต่คุณกลับกลัวน้ำยังกับอะไรดี ช่วงเวลาที่มีความสุขผ่านไปเร็วเหลือเกิน อดทนเอาไว้นะครับอีกแค่หนึ่งปีเราก็จะได้เจอกันแล้ว
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ถึง สิบตรีสตีเวนส์
ผมเฝ้ามองปฏิทินทุกวันขอให้ถึงวันนั้นในเร็ววัน ทุกครั้งที่ผมเห็นบุรุษไปรษณีย์มาที่หน้าบ้านผมรีบวิ่งออกไปดูจนคนไข้ของผมต้องร้องเรียกตามหลัง คุณหายไปนานมาก นานซะจนผมใจหายตามไปด้วย เหมือนว่าคำอธิษฐานของผมจะส่งไปถึงพระเจ้าแล้วเมื่อคุณส่งจดหมายกลับมา ระวังโรคติดต่อที่มากับฝนด้วยแต่ผมเชื่อว่าคุณแข็งแรงโรคร้ายพวกนั้นคงทำอะไรไม่ได้ ผมดีใจจนไม่สามารถหยุดยิ้มได้เมื่อคิดว่าเราจะได้พบกันอีก
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ดร. วิล เอดิสัน
ถึงคุณหมอเอดิสัน
อีกไม่กี่เดือนแล้วเราจะได้พบกัน ผมอยากขอให้ภาคใต้สงบสุขแบบนี้ไปทุกวันถึงแม้จะมีการปะทะกันบ้างแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนแต่ก่อนแล้ว เหมือนฝ่ายตรงข้ามก็ถอนกำลังพลออกไปมาก ผมก็ไม่ทราบเพราะอะไรแต่เป็นแบบนี้ก็ดี ผมยังคงสบายดีไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรพอเห็นไข่มุกที่ขายตรงท่าเรือแล้วมันอดคิดถึงคุณไม่ได้ ไข่มุกสีขุ่นที่ผมเคยซื้อให้คุณคราวนั้นคุณยังใส่อยู่รึเปล่า มันอาจแปลกๆ ไปบ้างที่ผู้ชายใส่เครื่องประดับแต่ผมกลับคิดว่ามันเหมาะกับคุณมาก ถ้าผมกลับไปช่วยใส่ให้ผมดูด้วยนะครับ
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ถึง สิบตรีสตีเวนส์
อีกครึ่งปีสินะครับ สถานการณ์ตอนใต้สงบแล้วก็จริงแต่ผมก็อยากจะให้คุณระวังตัวไว้ตลอดเพราะชีวิตคือสิ่งที่ไม่แน่นอน จงใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทจะดีกว่า ผมอาจเป็นคนแก่ที่ระแวงนู่นนี่ไม่เข้าท่าแต่ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะครับเพราะตอนนี้ยังอยู่ในยุคสงคราม ไข่มุกที่คุณให้มาผมยังเก็บเอาไว้ข้างกายตลอด ที่จริงผมอยากเล่าเรื่องอะไรหลายๆ อย่างให้คุณฟัง แต่รอเจอหน้าคุณแล้วเล่าทีเดียวเลยจะดีกว่า
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
ดร. วิล เอดิสัน
ถึงคุณหมอเอดิสัน
เดือนหน้าผมคงไม่ได้ส่งจดหมายหาคุณแบบนี้แล้ว เพราะคงถึงเวลาปลดประจำการของผม คุณอ่านจดหมายฉบับนี้คงดีใจจนร้องไห้แน่ แต่ทนอีกนิดนะครับ ผมจะกลับไปพร้อมกับจดหมายฉบับสุดท้ายที่ผมเป็นคนส่งถึงคุณกับมือผมเอง ผมจะรอฟังเรื่องราวของคุณทุกเรื่อง วิล
จะรอวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
ผมหยิบจดหมายของสกาเล็ตมาอ่านอีกรอบของปีนี้ แม้ว่าน้ำหมึกในจดหมายจะจางลงไปมาก แต่เนื้อความทุกอย่างยังอยู่ครบ ใจความในจดหมายก็ไม่มีอะไรมาก เขาแค่บอกว่ากำลังกลับมา แต่ทำไมเขาถึงใช้เวลาเดินทางช้าไปแบบนี้นะ 10 ปีแล้ว ที่เขาบอกว่ากำลังจะมาหาผมพร้อมกับจดหมายฉบับสุดท้าย ผมเฝ้ารอที่จะอ่านจดหมายของเขาทุกวัน
ผมหยิบปากกาขึ้นมาก่อนจะเขียนจดหมายถึงสกาเล็ตอีกฉบับ จดหมายที่ไม่มีวันส่งถึง จดหมายที่ไม่มีผู้รับ
‘เกิดเหตุเครื่องบินทิ้งระเบิดทางตอนใต้ ตอนนี้ยังไม่พบผู้รอดชีวิต’
ผมพับข่าวดังกล่าวลงก่อนจะก้มหน้าลงไปเขียนจดหมายอีกรอบ
ถึง สกาเล็ต สตีเวนส์ ที่รักของผม
นานแล้วนะครับที่คุณไม่ยอมส่งจดหมายตอบกลับมาสักทีแต่ผมก็ไม่โกรธอะไรเพราะเข้าใจว่าคุณคงยุ่งมากในทางนั้น คุณสบายดีนะครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มป่วยเพราะอากาศหนาวของทางตอนเหนือทำพิษเข้าซะแล้ว ....
ผมขยำกระดาษทิ้งเพราะน้ำตาได้หยดลงไปบนหน้ากระดาษจนทำให้ตัวหนังสือเลือนไปหมด อ่อนแออีกแล้ว ผมหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาก่อนจะลงมือเขียนมันอีกรอบ อย่าอ่อนแอสิวิล สกาเล็ตกำลังรออ่านจดหมายถึงนายอยู่นะ
ถึง สกาเล็ต สตีเวนส์ ที่รักของผม
สวัสดีครับสกาเล็ต ตอนนี้ในทางตอนใต้เป็นไงบ้าง คุณยังคงสบายดีอยู่เหมือนเดิมรึเปล่า ผมได้อ่านข่าวหลายๆ สำนักแล้วใจหายไม่น้อย ขอให้คุณรักษาตัวเองให้ดีนะครับ ผมยังสบายดีอยู่แม้ว่าตอนนี้ทางตอนเหนือจะเข้าฤดูหนาวแล้ว ผมก็ยังทำตามที่คุณบอกทุกอย่างทั้งใส่เสื้อแขนยาวหนาๆ ปิดหน้าต่างเวลานอน ผมยังคงดูแลตัวเองอย่างดีเสมอ คุณที่อยู่ทางนั่นก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะครับ
ขอให้หลับอย่างสบาย
วิล เอดิสัน
ผมกอดจดหมายที่ตัวเองเขียนเอาไว้แนบอก มีจดหมายอีกหลายฉบับที่ผมเขียนเอาไว้แต่ไม่ได้ส่งไป ผมหลอกตัวเองทุกคืนวันขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน ผมรอว่าสักวันสกาเล็ตจะมาเคาะประตูบ้านพร้อมกับรอยยิ้มอันสดใสที่ผมเคยเห็นอยู่จนชินตา แต่วันแล้ววันเล่าเวลาผ่านไปก็ทำให้ผมยอมรับความจริงได้ สกาเล็ตไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
ตอนรู้ข่าวครั้งแรกผมเอาแต่เก็บตัวร้องไห้อยู่ในห้องไม่ยอมกินไม่ยอมนอน ทำไมสงครามต้องพรากคนที่ผมรักไปถึงสองคน ผมทั้งเศร้าและอ่อนล้าที่ใจเหลือเกิน ผมอยากตายไปพร้อมสกาเล็ต แต่แม่กับพี่สาวของผมรีบรั้งเอาไว้พวกเราทั้งสามคนกอดกันร้องไห้ แม่บอกให้ผมเข้มแข็ง ผมก็อยากเข้มแข็งเหมือนกับแม่เหมือนกัน ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้และกลับไปเป็นคนเดิม
สงครามได้พรากเขาไปจากผมตลอดกาล
ถึง สกาเล็ต สตีเวนส์ ที่รักของผม
คุณไม่จำเป็นต้องมาหาผมแล้วนะครับ เพราะผมกำลังจะไปหาคุณเอง
วิล เอดิสัน
ผมพับจดหมายฉบับสุดท้ายเก็บใส่ในกระเป๋าเดินทางก่อนจะขึ้นรถไฟ อีกครั้งแรกที่ผมต้องนั่งรถไฟไปในทางตอนใต้ ครั้งแรกที่นั่งผมอยากให้มันเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ แต่ครั้งนี้ผมกลับอยากให้มันเคลื่อนที่ไปอยากรวดเร็ว ตอนนั้นผมไปที่นั่นเพราะต้องรักษาคน ตอนนี้ผมไปเพราะต้องการไปหาใครบางคน
“จะไปไหนครับ? ”
“ช่วยส่งผมไปสถานที่นี้ด้วยนะครับ” เมื่อมาถึงทางตอนใต้ผมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับคนขี่รถม้าเขารับไปก่อนจะพยักหน้าเข้าใจ
“จุดนี้เคยเป็นค่ายทหารมาก่อน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสุสารทหารกล้าแล้ว”
“ครับผมทราบ”
“ผมนึกว่าคุณพึ่งเคยมาทางตอนใต้ครั้งแรกเพราะหน้าไม่เหมือนคนที่นี่เลย”
“ครั้งที่สองครับ เมื่อนานมาแล้ว”
“มาเยี่ยมญาติเหรอครับ”
“คนรักครับ”
“เสียใจด้วยนะครับ”
“ท่าเรือยังดูครึกครื้นเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“ตั้งแต่รัฐบาลทำสัญญาสงบศึกกับประเทศข้างเคียงท่าเรือก็เลยเป็นจุดศูนย์กลางของการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าน่ะครับ คุณสนใจลงเดินดูของไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลัวว่าเขาจะรอนาน”
คนขับรถม้าส่งผมมาถึงหน้าประตู สุสารทหารกล้า ผมกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ วันนี้มีการจัดงานรำลึกครบรอบสิบปีเหตุการณ์ความไม่สงบสุขเพราะสงคราม เหล่าญาติของทหารและผู้เกี่ยวข้องกับสงครามเลยมาเยี่ยมบุคคลที่เสียสละ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมเดินไปซื้อดอกไม้หนึ่งช่อก่อนจะเดินไปยังหลุมศพหลุมหนึ่ง
สกาเล็ต สตีเวนส์
“ไม่เจอกันนานเลยนะครับ...”
“เป็นไงบ้าง ยังสบายดีรึเปล่า ผมมาหาคุณแล้วนะ”
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบดอกไม้อะไร ผมเลยซื้อดอกกุหลาบสีแดงให้คุณ ไม่รู้ว่าคุณจะชอบรึเปล่า”
“สีของมันเหมือนกับสีผมของคุณ ผมเลยเลือกมันมา คุณคงไม่โกรธผมหรอกนะที่ไม่ได้นำดอกกุหลาบสีขาวมาให้เหมือนกับคนอื่น”
“นี่ถ้าได้ยินผมพูดก็ตอบกลับมาบ้างนะครับ”
“ผมยังใส่สร้อยไข่มุกของคุณอยู่ตลอด... ฮึก” ผมปิดปากตัวเองพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาแต่เหมือนว่าน้ำตาจะไม่เข้าใจ ร่างของผมทรุดนั่งลงอย่างหมดแรง ผมทำใจอยู่หลายปีกว่าจะยอมรับและมาที่นี่ได้ การเริ่มต้นใหม่คนเดียวคือสิ่งที่ทรมานมากที่สุดเพราะผมยังคงหลอกตัวเองว่าสกาเล็ตยังคงไม่ไปไหน ผมยกมือขึ้นลูบป้ายหลุมศพที่สลักคำว่า สกาเล็ต สตีเวนส์ เอาไว้อย่างชัดเจน สุดท้ายแล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ยินคำขอของผม
“ผมเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว คุณเห็นรึยัง...”
“…”
“กลับมาไม่ได้เหรอ ผมก้าวเดินไปคนเดียวไม่ไหวจริงๆ ”
“คุณอาฮะๆ ไหวรึเปล่า” เด็กชายตัวน้อยน่าจะอายุประมาณ 10 ขวบได้ยืนข้างผมพร้อมกับสะกิดที่ไหล่ พอผมหันไปมองเขามีเลือนผมสีแดงคล้ายกับสกาเล็ตจนน่าใจหายผมจ้องมองเด็กผมสีแดงนั้นตาค้าง คงเพราะใบหน้าผมเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ทำให้เด็กชายตัวน้อยยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวมาซับให้กับผม “ขอบคุณมากนะครับ”
“แม่ของผมบอกว่าอย่าให้คนที่จากไปเห็นน้ำตาของคนรัก ไม่อย่างนั้นเขาจะเศร้าเสียใจตาม คุณอาอย่าร้องไห้เลยนะครับ”
“นั่นสิ แล้วเราชื่ออะไรเหรอครับ” ผมปาดน้ำตาและยิ้มให้กับเด็กผมแดงที่ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้กับผม
“สกาเล็ตครับ สกาเล็ต พาร์สัน”
“… เป็นชื่อที่ดีนะสกาเล็ต” ผมเอื้อมมือไปลูบผมเด็กน้อยข้างๆ ไม่ได้เหมือนแค่สีผม แต่ยังชื่อเหมือนกันอีก พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับผมกัน
“ฮะ”
“เป็นเด็กที่เข้มแข็งดีจังเลยนะ”
“อย่าเสียใจไปเลยนะฮะ เพราะเขาไม่ได้จากคุณอาไปไหน เขายังคอยมองคุณอาจากบนฟ้า”
“สกาเล็ต สกาเล็ต อยู่ไหนลูก”
“อ้ะ คุณแม่ผมมาตามแล้วลาก่อนนะครับคุณอา ผ้าเช็ดหน้าผมให้เลยละกัน”
“เดี๋ยวก่อนสกาเล็ต”
“ฮะ? ”
“นี่อาให้นะ” ผมถอดสร้อยไข่มุกตัวเองให้กับสกาเล็ตน้อยข้างหน้า เขามองก่อนจะทำตาโต
“ของมีค่าแบบนี้ผมรับไม่ได้หรอก...”
“รับเอาไว้เถอะ ถือว่าตอบแทนเรื่องผ้าเช็ดหน้า”
“ขอบคุณมากนะครับ” สกาเล็ตน้อยยิ้มและรับสร้อยไข่มุกของผมไป ก่อนจะวิ่งไปหาคุณแม่จนแผ่นหลังน้อยๆ หายลับไปกลับตา
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และปาดคราบน้ำตาทิ้ง สกาเล็ต ถ้านายกำลังมองอยู่นายคงบอกให้ผมเข้มแข็งและก้าวเดินไปข้างหน้าสินะ ตัวผมที่จมปลักกับความเศร้าเป็นเวลาสิบปี ดันถูกเด็กอายุสิบขวบมาสอนซะได้
สกาเล็ตตอนนายเป็นเด็กนายจะเหมือนเด็กคนนี้รึเปล่า ถ้านายยังอยู่นายจะเป็นยังไงบ้าง สิบปีแล้วนะผมยังไม่ได้อ่านจดหมายของนายเลย แต่ผมไม่โกรธนายหรอก
จดหมายที่นายจะเขียนถึงผมฉบับนั้น ผมไม่รู้ว่านายเขียนอะไรลงไป แต่จดหมายฉบับต่อไปของผม ผมจะเขียนเล่าเรื่องอันมีความสุขของผมให้คุณได้อ่านเอง ผมอยากให้นายเห็นโลกที่ไม่มีสงครามนี้ด้วยกันว่ามันสงบสุขแค่ไหน
ขอให้หลับให้สบายนะครับ สกาเล็ตที่รักของผม
วิล เอดิสัน
--------------------------------------------------------------------------------
ถ้าสกาเล็ตไม่ตายเพราะสงครามคุณอยากให้เรื่องราวของวิลและสกาเล็ตจบแบบไหน เชิญมาพูดคุยแลกเปลี่ยนได้ที่แท็ก #สู้เขาสกาเล็ต ในทวิตเตอร์ เพราะเราคงไม่เข้าเล้าอีกแล้ว เป็นการที่อัพนิยายลงเว็บแล้ว งง มากๆ