ความรักในช่วงมัธยมจะสมหวังสักกี่คู่กันเชียว ต่อให้คบกันได้นานแค่ไหนก็ไม่แคล้วเลิกกันช่วงมหา’ลัยเหมือนเดิม สถานที่เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ใจคนก็เปลี่ยนอยู่ดี
แต่ทำไม.. ความรักของเขามันถึงจบลงได้รวดเร็วกว่าที่คิด ทั้งที่ตอนเป็นเพื่อนกันก็มองว่าอีกฝ่ายเข้ากับเขาได้ดีกว่าใคร แค่สบตาก็รู้ว่าเราใจตรงกันมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับจบลงด้วยเวลาไม่ถึงเดือน
เขายังจำสีหน้าของเพื่อนร่วมห้องตอนที่รู้ข่าวเลิกราครั้งนั้นได้อยู่เลย ทุกคนต่างคิดว่าเรากุเรื่องมาหลอก แต่เปล่าเลย… สิ่งที่เอ่ยออกไปคือความจริงทุกประการ
เรื่องนี้เงียบหายไปภายในเวลาแค่สามวัน ทุกคนเลิกสงสัย เลิกหาสาเหตุการเลิกกันของเราในครั้งนั้น เพราะอย่างนี้แหละมั้งถึงทำให้เขาลืมว่าตัวเองซ่อนอีกคนไว้ในใจมาตลอด
พยายามไม่พูดถึง ไม่มองหา ไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องราวของอีกฝ่ายเหมือนกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่พอเอาเข้าจริง… ตอนที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในสถานที่ที่เปลี่ยนไป สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกในใจก็ยังคงเหมือนเดิม
ภาพต่างๆ ไหลเข้ามาในหัวไม่เว้นช่วง ตั้งแต่คุยกันแบบเพื่อนถึงขั้นที่พัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นแฟน สิ่งที่เคยคิดว่าลืมไปแล้ว แท้จริงมันยังอยู่ และอยู่มาจนถึงวันนี้ที่เราได้มีโอกาสกลับมาเจอกันอีกครั้ง แม้ว่าคราวที่แยกจากกันในมัธยมจะยังไม่ทันได้เอ่ยคำลาต่อกันก็ตาม
“ไง..” กระอักกระอ่วนอยู่พอควร แต่นั่นแหละ ในเมื่อเคยอยู่ห้องเดียวกัน เขาก็ทำเมินอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี “พี่นัดแต่เช้าเลยเนอะ”
ทำใจไว้ว่าอาจจะโดนฝ่ายนั้นเมินกลับมา แต่พอได้เห็นการพยักหน้าตอบรับก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย นึกว่าเขาจะได้นั่งเงียบคนเดียวตลอดการปฐมนิเทศซะอีก
ลำดับการปฐมนิเทศก็ไม่มีอะไรมากนอกจากคนใหญ่คนโตขึ้นมากล่าวต้อนรับนิสิตใหม่ จากนั้นก็เป็นอาจารย์ขึ้นมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าใช้งานห้องต่างๆ ปิดท้ายด้วยรุ่นพี่ที่ชี้แจงกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
จวบจนกิจกรรมของวันนี้สิ้นสุดลงเขาก็ไม่เห็นว่าการนั่งข้างเพื่อนร่วมห้องคนนี้จะต่างการนั่งข้างเพื่อนคนอื่นสักเท่าไหร่ ไร้เสียงพูดคุยระหว่างเรา และนั่นแหละ.. เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับอีกคนเหมือนกัน ในเมื่อเจ้าตัวให้ความสนใจกับสมาร์ทโฟนซะขนาดนั้น
กลัวว่าหากพูดไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่สนใจกันน่ะนะ คิ้วก็ขมวดซะ ไม่รู้ว่าไอ้หน้าจอนั่นมีอะไรให้เครียดนักหนา เห็นนั่งมองมาตั้งแต่อาจารย์เริ่มพูดแล้ว เดี๋ยวคงมีบ่นว่าปวดตาแน่ๆ
“ไปกันไหม เขาลุกกันจะหมดแล้ว” ห้องประชุมที่บรรจุคนได้หลายร้อย ตอนนี้เหลือแทบนับจำนวนได้ เขาสะกิดคนข้างกายพร้อมเอ่ยถาม เผื่อคนที่ไม่ได้สนใจโลกภายนอกจะรู้ตัวแล้วลุกตามกันมา
แต่นั่นแหละ พอเดินมาถึงหน้าประตูทางออกก็ต้องเจอกับคนมากมายที่เบียดเสียดกัน เขาหันไปมองคนที่เดินตามหลัง เผื่อว่าอีกฝ่ายอยากจะขึ้นลิฟต์จะได้รอเป็นเพื่อน เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะไปทางไหนคนก็เยอะอยู่ดี
“เอาไง ลิฟต์หรือบันไดดี?” ก็มาลุ้นกันว่าจะได้ยินเสียงตอบกลับมาหรือเปล่า หรือจะมีแค่ภาษากายที่เห็นด้วยก็พยักหน้า ถ้ารอบนี้ไม่ยอมพูดด้วยก็ต้องชี้นิ้วบอกแล้วนะพยักหน้าตอบไม่ได้แล้ว
“บันไดเถอะ” เขาเดินไปที่บันไดเหมือนที่ฝ่ายนั้นเลือก พยายามหยุดให้อยู่ในขั้นเดียวกัน แต่เหมือนอีกคนจะหยุดตามเขาทุกครั้งไป ทำเป็นหยุดจิ้มหน้าจอบ้าง หยุดหาของในกระเป๋าเป้บ้าง สุดท้ายเลยได้ล้มเลิกความคิดไป
“กลับยังไง ให้ไปส่งไหม” รู้ว่าอีกคนยังขับรถไม่เป็นแน่ จะเป็นรถอะไรก็ขับไม่เป็นทั้งนั้นแหละ
“เรา… มีคนมารับน่ะ” เขาพยักหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่รู้ว่าอีกคนต้องการเพื่อนอย่างเขาไหม บางทีการยืนอยู่คนเดียวอาจจะดีกว่ามีเขายืนเป็นเพื่อนก็ได้
ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากรู้ว่าใครจะเป็นคนมารับเจ้าตัวกัน เขาจะรู้จักหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
“ไม่รีบกลับหรอ” คนข้างกายเอ่ยถาม
“เดี๋ยวรอเป็นเพื่อน” เขายิ้มให้ปิดท้าย อีกคนจะได้เลิกเกร็งเวลาคุยกันสักที ทำไมจะดูไม่ออกในเมื่อตอนที่เราสนิทกันเจ้าตัวพูดเก่งกว่านี้เยอะ ไม่ถามคำตอบเขาอย่างนี้หรอก
จบประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรเหมือนเดิม เป็นการยืนรอเป็นเพื่อนแค่อย่างเดียวจริงๆ
“มาแล้ว!” คนข้างกายเขาเอ่ยขึ้น พอหันไปมองอีกฝ่ายก็เห็นดวงตาที่เป็นประกาย “เอ่อ… เรา ไปนะ” เจ้าตัวหันมาบอกเขา โบกมือลาพร้อมกับก้าวเท้าออกไป
เขามองตามร่างของคนที่เพิ่งเดินจากกันไป อีกฝ่ายตัวยังเล็กเหมือนเดิม ร่างกายไม่เปลี่ยนไปสักนิดตั้งแต่รู้จักกัน สิ่งที่เห็นว่าเปลี่ยน ก็คงมีแค่จิตใจที่คงไม่เหมือนเดิม
ไม่เหมือนกันอีกต่อไป
เขาได้แต่มองภาพของผู้ชายสองคนที่นั่งรถมอ’ไซด์คันเดียวกัน คนนั่งซ้อนโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อพูดคุยกับคนขับ ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความสุขดี
มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอที่ให้ฝ่ายนั้นมีความสุข อย่างน้อยเจ้าตัวก็คงไปได้ดีกับรักครั้งใหม่
---
ก็ยินดีนะที่เห็นเธอมีความสุขกับคนที่เธอคิดว่าใช่ ฉันดีใจ
---
เสียงของกลองสันทะนาการดังไปทั่วลานกว้าง เฟรชชี่อย่างเขาถูกนัดมาทำกิจกรรมคณะร่วมกันในวันนี้ ใบหน้าแต่ละดูไม่จืดสักเท่าไหร่หลังผ่านมาในแต่ละกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้น อีกไม่นานรุ่นพี่คงปล่อยให้พักล้างหน้าล้างตากัน
“ยินดีต้อนรับน้องๆ ทุกคนเข้าสู่คณะของเราอย่างเป็นทางการนะคะ” เสียงร้อง ‘เย้!’ ของพี่ๆ ที่ยืนล้อมรอบดังขึ้น
“พี่ก็หวังว่าน้องทุกคนที่เข้ามาในคณะแห่งนี้จะตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้ที่อาจารย์สอนอย่างเต็มความสามารถ อะไรที่น้องไม่เข้าใจก็มาถามพี่ๆ ได้ เราพร้อมให้คำปรึกษาน้องเสมอ ใช่ไหมคะเพื่อนๆ”
“ช่ายยย~~”
“หลังจากนี้พี่จะปล่อยให้น้องๆ ไปล้างหน้ากันให้เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วโมงจะเป็นการพบปะกับสายรหัสก่อนกิจกรรมวันนี้จะจบลง น้องๆ ทุกคนรับทราบ”
“ทราบค่ะ!/ทราบครับ!”
“โอเค งั้นก็แยกย้ายกันได้เลยค่ะ”
เขาลุกขึ้นหลังจากที่รุ่นพี่ได้อนุญาต ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำชายเพื่อทำการล้างหน้าตัวเอง ไม่รู้ว่าจะออกไหม จะขอโฟมล้างหน้ากับเพื่อนสาวก็คงไม่ทันเพราะตัวเขาเข้ามาถึงห้องน้ำชายแล้วด้วย
เขาเปิดก๊อกน้ำก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า รับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามาห้องน้ำชายเมื่อกี้แต่ก็ไม่ได้หันไปมองว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ล้างแบบนั้นไม่ออกง่ายๆ หรอก เอาโฟมของเราไปใช้สิ” ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาก็รู้ว่าคนมาใหม่คือใคร ในเมื่อน้ำเสียงคุ้นหูขนาดนี้
นี่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันนะที่ผู้ชายในคณะของเขามีน้อยเลยทำให้ไม่มีใครเข้ามาใช้ห้องน้ำฝั่งนี้อีกนอกจากเราสองคน
“ขอบใจ” พออีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรเขาเลยหยิบโฟมขึ้นมาใช้ อ่านชื่อแบรนถึงรู้ว่าฝ่ายนั้นยังใช้โฟมเหมือนเดิม เหมือนเดิมทุกอย่างแม้กระทั่งของใช้ส่วนตัว ต่างกับเขาที่เปลี่ยนไปทุกอย่างยกเว้นหัวใจ
จัดการหน้าตัวเองเสร็จเรียบร้อยเลยหันไปมองคนข้างกายบ้าง เจ้าตัวยังคงขัดหน้าตัวเองเบาๆ หัวเสียไม่น้อยล่ะมั้งที่สีไม่ยอมออกสักที
“ไปก่อนก็ได้นะ”
“เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน” เขาบอกอีกฝ่าย ไม่อยากรีบกลับออกไปนั่งคนเดียวสักเท่าไหร่ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีเพื่อน
“เลิกจ้องหน้าเราด้วย ทำตัวไม่ถูก”
“อ้อ.. ได้ๆ โทษที” เขารับคำ พลางเบือนหน้าไปทางอื่น ในใจมีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกมาให้มันจบๆ แต่ไม่รู้ว่าหากถามออกไปตอนนี้อีกฝ่ายจะยอมตอบกันไหม
ตั้งแต่จบความสัมพันธ์เราก็เป็นได้แค่เพื่อนร่วมห้องกันเท่านั้น จะบอกว่ายังไงล่ะ เราทำงานร่วมกันได้หากนั่นมาจากการจับกลุ่มของอาจารย์ แต่ใช่ว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้ มันยากสำหรับเขาที่จะทำเหมือนว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนทั่วไป เพราะความรู้สึกที่มีมันยังค้างคาใจ
ถ้ารักคือการมีความสุขเวลาที่เห็นฝ่ายนั้นมีความสุข เขาก็คงสัมผัสความรักมาแล้วหนึ่งครั้ง เสียดายที่รักษามันไว้ไม่ได้
ความรักเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวอย่างรวดเร็ว อะไรที่เคยทำร่วมกันแล้วมีความสุขกลับกลายเป็นรู้สึกนิ่งเฉย เหมือนเราดูหนังนั่นแหละ รอบแรกเรารู้สึกสนุก รอบที่สองพอจะเดาเนื้อเรื่องได้แล้ว รอบที่สามเราเริ่มจ้องหน้าจอบ้าง จ้องสมาร์ทโฟนบ้าง แค่ได้ยินเสียงตัวละครก็รู้ว่าถึงฉากไหน
แต่พอดูหนังเรื่องนั้นในรอบที่สี่ความสนุกของมันก็ลดลง กลายเป็นความน่าเบื่อ สุดท้ายก็กดปิดก่อนที่หนังจะจบ ความรักก็แบบนี้ล่ะครับ บางครั้งที่เราทำอะไรบ่อยๆ มันก็ความรู้สึกเบื่อเป็นธรรมดา
อยู่ที่ว่าจะอดทนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แค่ไหน บางคนตัดสินใจแอบคุยกับคนอื่นสุดท้ายก็เลิกกันเพราะมือที่สาม แต่ความรักของเขาที่เกิดขึ้น เราไม่ได้มีมือที่สาม ไม่ได้แอบไปคุยกับใคร เขาตัดสินใจบอกอีกฝ่ายถึงความรู้สึกที่มีในตอนนั้น
สิ่งได้รับกลับมาคือการจากลาแบบไม่ทันตั้งตัว
ฝ่ายนั้นไม่มีน้ำตาสักหยดหลังบอกเลิกกัน เจ้าตัวก้าวออกไปอย่างรวดเร็วไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรด้วยซ้ำ วันนั้นเขาไม่ได้โทรไปหาอีกฝ่ายในตอนกลางคืนเหมือนที่ทำทุกวัน นั่งอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย พอเช้าก็อาบน้ำแล้วไปโรงเรียนต่อ
ในสมองยังมึนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาถามตัวเองหลายครั้งว่ามันจบแล้วจริงเหรอ แต่พอเห็นท่าทีอีกฝ่ายที่พยายามหลบหน้าทั้งที่อยู่ห้องเดียวกันก็เป็นอันเข้าใจ
เขาไม่รู้ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับความรู้สึกเบื่อที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ใจเขาคิดไม่เคยมีคำว่าเลิกกันอยู่เลย พอเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง มันก็หาว่าสมควรแล้วที่เขาจะถูกบอกเลิก
จู่ๆ จะเดินเข้าไปบอกอีกฝ่ายว่าเบื่อความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นใครก็คิดว่าเขาเบื่ออีกคนไปด้วย มานึกดูก็รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง จะขอโอกาสอีกครั้งฝ่ายนั้นก็เอาแต่หลบหน้า
พอยอมคุยด้วยอีกทีก็กลายเป็นว่ามันหมดเวลาสำหรับคนอย่างเขาแล้ว ฟังดูงี่เง่าที่เรื่องของความรักมีเวลาเข้ามาเกี่ยว แต่นั่นแหละ ทุกสิ่งบนโลกนี้มีเวลาของมันทั้งนั้น ความรักก็คงเหมือนกัน
หลังจากล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อยเขาก็เดินมาร่วมกันกับเพื่อนที่บานกว้างเหมือนเคย สังเกตได้ว่ามีรุ่นพี่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว คงจะมาดูน้องในสายรหัสกันสินะ
“ต่อไปนี้จะเป็นการประกาศสายรหัส ขอให้น้องที่มีรหัสตรงกับที่พี่เรียกก้าวออกมาข้างหน้าด้วยนะคะ” เขาสังเกตได้ว่าเพื่อนสาวข้างกายตื่นเต้นไม่น้อย ส่วนความรู้สึกตัวเองนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรรู้สึกแบบไหน ตื่นเต้นหรอ? ก็ไม่ขนาดนั้น
“รหัส 001 น้องแพม ออกมาหาพี่ข้างหน้าเลยค่ะ” ทันทีที่รหัสพร้อมกับชื่อเล่นถูกประกาศออกไปก็มีพี่ๆ อีกสามคนที่เขาไม่คุ้นหน้าก็เดินมาหยุดข้างเพื่อนของเขาที่ชื่อ ‘แพม’ สงสัยจะเป็นสายรหัสของเจ้าตัว
“รหัส 002 น้อง…”
เสียงประกาศจากพี่คนสวยยังคงดังอย่างต่อเนื่อง กระทั่งถึงรหัสของเขา ‘013’ เลยได้โอกาสลุกขึ้นไปกับเพื่อนบ้าง
เป็นไปตามคาด รุ่นพี่ที่มาใหม่เป็นพี่ในสายรหัสอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เขาเลยยกมือไหว้เป็นการเคารพ แนะนำตัวกันนิดหน่อยพอให้รู้ชื่อ
“หน้าตาดีอย่างนี้มีใครทาบทามไปประกวดเดือนคณะบ้างไหมเนี่ย” เขาส่ายหน้า แค่เข้ามาเรียนในมหา’ลัยก็ยากแล้ว อย่าเพิ่งชวนเขาทำกิจกรรมอะไรตอนนี้เลย ขอเวลาปรับตัวอีกสักนิดเถอะ
“อะนี่.. ” เขารับตะกร้าที่เต็มไปด้วยขนมมาถือไว้อย่างงงๆ “อันนี้ของพี่ ต้อนรับน้องรหัสสุดหล่อเข้าสายนะคะ”
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มรับ พลางคิดในใจว่าจะจัดการกับเจ้าขนมหวานพวกนี้ยังไงให้หมด ไม่เหมือนอีกคนด้วยสิที่จะชอบกินอะไรหวานๆ แบบนี้
พอคิดถึงอีกคนขึ้นมาเขาก็ชะเง้อหน้าเพื่อมองหา เห็นฝ่ายนั้นอยู่ไกลๆ ในมือมีตะกร้าไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ เลยทำให้เขาสงสัยว่ามหา’ลัยเขานิยมซื้อของรับน้องกันแบบนี้เหรอ
ก็ไม่ได้จะว่ามันไม่ดี แต่ถ้าซื้อมาแล้วไม่ถูกใจน้องจะทำยังไง นี่แค่คิดจะเลือกกินบางอันเขายังอดรู้สึกผิดต่อรุ่นพี่ไม่ได้เลย
หลังจากแยกย้ายกับพี่รหัสเขาก็ตรงดิ่งไปที่มอ’ไซด์ของตัวเองทันที วางตะกร้าขนมไว้ที่พื้น ยัดหนังสือที่ได้มาไว้ใต้เบาะรถ ก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม
วันนี้มีเรื่องดีเกิดขึ้นหลายอย่าง ตั้งแต่ในห้องน้ำที่ฝ่ายนั้นยอมคุยด้วย เขาไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายคุยกันอย่างสนิทเหมือนเดิม แต่ถ้าเริ่มแรกมันดี อย่างน้อยก็มีหวังว่าอนาคตเราจะกลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้
ทว่าภาพตรงหน้าก็ชี้ชัดว่าเขาก็ทำได้แค่หวัง ถึงยังไงตำแหน่งคนสำคัญของอีกฝ่ายก็ยังไม่ใช่เขาอยู่ดี กลับมาสนิทกันได้มากแค่ไหน เขาก็เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นแหละ
---
หมดหัวใจ ฉันยังให้เธอ ถึงแม้ว่าเธอจะไปให้
---
เข้าสู่การเรียนอย่างจริงจังมาเดือนนึงแล้ว เป็นเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้นั่นแหละ อีกคนกับเขาสนิทกันมากขึ้น เรากลายมาเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกัน ไปไหนไปกันไม่ต่างจากมัธยมสักเท่าไหร่
แก๊งของเขามีอยู่ด้วยกัน 5 คน ชายสอง หญิงสาม เราเป็นเพื่อนที่เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
“แกกลับยังไงวะ พี่เขามารับอีกปะ” ชะเอม หนึ่งในเพื่อนสาวของเขาเอ่ยขึ้น
เขาเงยหน้าจากสมุดรายงาน ทำทีเป็นหยิบผลไม้จากถุงมากิน ใจจริงก็อยากฟังคำตอบของอีกคนนั่นแหละ
เพื่อนสาวทั้งสามคนรู้เพียงแค่ว่าเราจบมัธยมมาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่ยังไม่มีใครได้รู้ว่าเขากับคนตรงหน้าเราเคยมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนกันมาก่อน เพราะงั้น เวลาที่อีกฝ่ายมีแฟนมารับ หรือลงรูปคู่ก็มักจะเป็นประเด็นให้เพื่อนในกลุ่มพูดกันอยู่เสมอ
ฝ่ายนั้นไม่ผิดหรอก เพื่อนของเขาก็ไม่ได้ผิดด้วย ที่ผิดคือคนที่ลืมช้าแถมยังลืมไม่ได้อย่างเขาต่างหาก
“อื้ม! มารับทุกวันนั่นแหละ”
“กรี๊ดดดด ทำไงฉันจะได้แฟนแบบพี่เขาบ้างเนี่ย”
“ทำบุญเถอะย่ะ”
“ฉันว่าแกไปเกิดใหม่จะง่ายกว่านะ”
และทุกครั้งที่พูดถึงบุคคลที่สามก็มักจบลงอย่างนี้เช่นเคย ตอนแรกเขาเคยคิดว่าตัวเองจะมีความหวังหากอีกคนเลิกกับแฟน แค่อยู่ข้างๆ เจ้าตัวต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้ แต่เห็นทีคงไม่ ในเมื่อแฟนคนนี้ดีกว่าเขาในตอนนั้นทุกอย่าง
ผ่านไปนานแต่ความรู้สึกที่มีให้กันก็เคยลดลง เขาไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้หรือทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ กลับกันมีแต่เซอร์ไพรส์ที่ทำให้ประทับใจตลอด
“แล้วแกล่ะ เห็นเพื่อนมีแฟนไม่คิดจะมีบ้างหรอ” คิดสิ… เขาตอบในใจ คนที่อยากให้อยู่ในตำแหน่งนั้นก็คือคนตรงหน้ากันนี่ไง
“ไม่ล่ะ” เขาตอบ ทำท่าทีเหมือนไม่สนใจ
“ทำไมล่ะ”
“ก็… ยังไม่อยากมี” ยังลืมความรู้สึกที่มีกับคนตรงหน้าไม่ได้ต่างหาก
“จริงหรอ ฉันว่าอย่างแกน่าจะมีแฟนซุกไว้ที่ห้องแล้วมากกว่า” แล้วนี่เพื่อนของเขาเป็นอะไรกัน ทำไมวันนี้ดูอยากจะรู้เรื่องของเขานักล่ะ
“ไม่มีจริงๆ ไม่อยากเจ็บอีกรอบมั้งเลยยังไม่พร้อมมีใคร” เขาบอกปัด พูดอะไรก็ได้ที่ทำให้เพื่อสาวทั้งสามเลิกยุ่งเรื่องความรักของเขาสักที
“หมายความว่าไงที่ไม่อยากเจ็บอีกรอบ”
“รักครั้งแรกหัวใจก็แตกสลาย~”
“แกเคยคบกับใครมาก่อน เล่นมาให้พวกฉันฟังสิ แล้วแกล่ะ… รู้ปะว่ามันเคยคบกับใคร”
เรื่องของเขาไม่จบลงง่ายๆ เหมือนอย่างที่คิด แถมยังลากอีกคนเข้ามาในเรื่องด้วยอีก ตายแน่ๆ เขาคิดว่าหากถูกถามไม่เลิกเขาคงหลุดพิรุธเรื่องในอดีตออกมาแน่เลย
เขาสบตากับคนตรงหน้า ยิ่งเห็นสายตาเลิ่กลั่กของกันและกัน
“พวกแกบอกฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“เล่ามาให้หมด”
“ทำไมสมบัติคณะอย่างแกถึงมีเรื่องเจ็บปวดกับความรักเหมือนชาวบ้านเขา ฉันนึกภาพแกร้องไห้ไม่ออกเลย นึกว่าหล่อๆ อย่างแกจะหักอกใครเขาซะอีก”
สิ่งที่เขาทำก็ไม่ต่างจากหักอกหรอก
เขารู้ว่าคนตรงหน้าของเขาเสียใจจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่อีกฝ่ายไม่ได้ผิดและไม่มีส่วนรู้เห็นกับความเสียใจของเขาที่มันเกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลานั้น
ความเสียใจจากการรู้ตัวช้าเกินไป ถ้าวันนั้นเขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายกลับบ้านคนเดียว ถ้าเขารีบตามไปแล้วง้อเจ้าตัวไว้ หรือไม่ ถ้าเขาไม่พูดเรื่องความรู้สึกของตัวเองตั้งแต่ต้นเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เราคงไม่ได้แยกกัน คงได้กลายเป็นคู่รักในคณะที่ใครต่างก็อิจฉา
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่คนรู้ตัวช้าคนนึงเท่านั้นเอง อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นฉันเป็นคนผิดเองแหละ ตอนนี้คงแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับผลของมัน”
---
หาข้อมูลรายงานเสร็จเรียบร้อยเขาก็แยกตัวออกมา จังหวะที่กำลังจะบิดคันเร่งกลับมีผู้ชายตัวเล็กหนึ่งคนวิ่งเข้ามาหา ใบหน้าเจ้าตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ว่าไง” เขาถามออกไปก่อน ที่วิ่งคงมีเรื่องอะไรอยากจะบอกล่ะมั้ง ในเจ้าตัวควรจะวิ่งไปขึ้นรถมอ’ไซด์คันที่จอดเยื้องเขาไปต่างหาก
“มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกให้เรารู้ไหม” เขายิ้ม คิดถึงน้ำเสี่ยงห่วงใยแบบนี้มานานแล้ว
“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ” รู้ทั้งรู้แต่เขาก็ยังเลือกที่จะถามกลับ
“เรื่องของเรา”
“รู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี เราไม่อยากทำให้อึดอัด” ถ้ารู้ว่าเขายังชอบเจ้าตัวเหมือนเดิมอยู่ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ อีกอย่างความเป็นเพื่อนของเรามันก็ดีขึ้นมาก เขาไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราพังลงอีกครั้งเพราะการบอกความรู้สึกของเขาในครั้งนี้
“บอกเราได้ไหม… เราไม่อยากรู้สึกผิดที่ในอดีตเราทำได้แค่วิ่งหนี เราไม่ยอมรับฟัง”
“บ้า… คนที่รู้สึกผิดต้องเป็นเรามากกว่า กลับหอเถอะ เราไม่อยากรื้อฟื้นมันอีก”
“งั้น ช่วยตอบคำถามเราหน่อยได้ไหม ข้อนี้ข้อเดียวแล้วเราจะกลับไป”
“ได้สิ”
“ยังชอบเราอยู่ใช่ไหม”
“เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนนั้นเลย”
---
อยากให้รู้ว่ามีคนหนึ่งที่ยังคิดถึงเธอ
---
*******
ถือว่าเป็นนิยายเรื่องแรกในเล้าของเราเลย ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ