[เรื่องสั้น-ตอนเดียวจบ]เธอคือ...ความรัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น-ตอนเดียวจบ]เธอคือ...ความรัก  (อ่าน 1202 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2018 19:49:11 โดย Kaooi »

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เธอคือ...ความรัก

ทุกคนคงเคยผ่านประสบการณ์การมีเพื่อนมาบ้างแล้วสินะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีเพื่อน
แต่มีไม่กี่คนหรอก ที่โชคดีเหมือนกับผม...
ผมนายนรภัทร จิตติรัตนพงศ์ อายุ18ปี เรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังเเห่งหนึ่ง
ที่บอกว่าผมคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่โชคดีก็คงจะเป็นเพราะว่า...
ผมมีเพื่อนสนิทครับ
คงกำลังคิดในใจอยู่สินะครับ ว่าแค่การมีเพื่อนสนิทเนี่ย มันจะโชคดีอะไรไปได้ขนาดนั้นกัน ?
ผมบอกได้เลยครับว่า...จริงอยู่ ที่หลายๆคนนั้นก็มีเพื่อนสนิทเหมือนกันกับผม ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผมอยากถามพวกคุณกลับว่า ที่มีอยู่นั้น สนิทกันขนาดไหน ? และยอมรับในตัวคุณได้มากขนาดไหนกัน ?
สำหรับบางคน อาจจะไปเที่ยวเล่น พากันไปสนุกตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ บางคนไปหาของกิน บางคนช้อปปิ้งซื้อของ แต่สำหรับผมแล้วนั้นเพื่อนของผมนั้นสนิทกันมากกว่านั้นเย้อะะะ
ไม่ได้จะโอ้อวดอะไรหรอกนะ แต่เพื่อนของผมนั้นสนิทกับผมมากกก เราต่างก็รู้เรื่องของอีกฝ่าย กลับกันเราเป็นเหมือนครอบครัว คิดอะไรก็สามารถปรึกษากันได้ทันที คือเอาจริงๆนะ ผมไม่จำเป็นต้องบอกเองด้วยซ้ำอ่ะ ว่าผมกำลังมีปัญหาอะไรอยู่ อีกฝ่ายกลับมองปราดเดียวแล้วเข้าใจเลย หลายๆครั้งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจ อีกคนก็จะรู้ตัวเองทันทีว่าเขาควรจะอยู่ตรงจุดไหน เราอยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว จนคิดได้ว่าคงไม่มีใครที่โชคดีเท่ากับคนที่มีเพื่อนที่รู้ใจกันดีเช่นนี้อีกแล้ว  ผมไม่ได้จะบอกว่าตัวเองโชคดีอะไรขนาดนั้นหรอก  เพียงแค่อยากจะบอกแค่ว่า ถ้าพวกคุณเจอคนที่เป็นเพื่อน ที่สามารถยอมรับตัวตนของพวกคุณได้แล้วเนี่ย พวกคุณควรจะต้องรักษาเพื่อนสนิทที่มันเอาไว้ให้ดีๆล่ะ เพราะว่ายังมีอีกหลายคนเลยล่ะ ที่ไม่ได้โชคดีเหมือนกับคุณ...
มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยนะ ที่คนเราจะสามารถมารู้จักกัน เข้าใจกันและกัน และเป็นเพื่อนกันได้ อ้อ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่เเพ้กันเลยก็คือ...
ความจริงใจ
ซึ่งผมกลับคิดว่ามันหายากที่สุดเเล้วล่ะในโลกนี้ เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ภายใต้หน้ากากที่เขาสร้างและฉาบเอาไว้เหมือนอย่างที่เราเห็นอยู่เนี่ย ข้างใน เขากำลังคิดอะไรอยู่
เราไม่สามารถมองความคิดของเขาออกเลยจริงๆ มันดูเหมือนจะง่าย แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างใจคิด
ชีวิตของคนเรามักจะมีกรรมที่ติดตัวมาทั่วทุกคน เพราะที่เราเกิดมาเนี่ย ไม่ได้มาเกิดเพราะชดใช้บุญหรอกนะ เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมตังหากล่ะ
ผมเองก็เหมือนกัน ผมคิดว่าทุกคนคงจะเคยเจอกับจุดหักเหของชีวิตกันนะครับ แบบที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงแค่กระพริบตา สิ่งที่มีอยู่มันก็กลับจางหายไปทันที
บางทีคนเราคงต้องรู้จักสัจธรรมที่ว่า...
ไม่มีอะไรที่จีรังเสมอไป...
นั่นสินะ ผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง
วันที่ทุกอย่างมีจุดหักเหของผม เปลี่ยนจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆอย่างผมคนนี้...จากชีวิตที่ดีเกินใคร ก็เปลี่ยนสถานะเป็นคนธรรมดาๆทันทีที่...
พ่อกับแม่ของผมเสียไปด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน...
เครื่องบินลำนั้น ลำเเห่งโศกนาฏกรรม ที่พรากคนที่ผมรักของผมไปพร้อมกันถึง3คน ทั้งพ่อ แม่ และน้องชายสุดที่รักของผม
เมื่อเครื่องบินลำนั้นตกลงสู่พื้นดิน ไฟก็เกิดลุกไหม้โหมทั้งลำทันที กลุ่มควันขโมงกลุ่มใหญ่ลอยขึ้นมาในอากาศ เปลวไฟอันร้อนระอุส่งผลให้ผู้คนเจ็บปวด และทุกทรมาน มีเพียงคนที่บาดเจ็บและล้มตาย มันเป็นลำที่ผมเกลียดที่สุด
ไม่ใช่เเค่ลำนั้นหรอก ผมเกลียดเครื่องบิน เกลียดทุกสิ่งที่พรากทุกอย่างไปจากผม...
 ถ้าตอนนั้นผมตามไปเที่ยวด้วยก็คงไม่ต้องทนทรมานแบบนั้นมาตลอดหรอก โชคดี ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคดีได้รึปล่าว ? ตอนนั้นเป็นช่วงระยะเวลาปิดเทอม  พวกท่านมีประชุมที่ต่างประเทศกับบริษัทคู่ค้า เลยกะว่าจะพาครอบครัวไปเที่ยวด้วย  ตอนนั้นผมไม่อยากไปด้วย เลยเที่ยวเล่นอยู่แถวบ้านท่านก็เลยพาเพียงน้องชายตัวจ้อยอายุ7ขวบไปแทน
ไม่นานก็ได้รับข่าวที่ร้ายแรงมากสำหรับคนอย่างผม
มันโหดร้ายจริงๆ นะสำหรับเด็กแค่อายุ13ขวบเท่านั้น ให้ตายสิ
ตอนนั้นผมจำความรู้สึกนั้นได้ดีทีเดียวเลยล่ะ ชีวิตเหมือนพังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จนอยากตายตามครอบครัวของตัวเองไป เพราะไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่อยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมเสียใจ ร้องไห้อย่างหนัก ตื่นนอนก็ร้อง หลับตาฝันไปก็นอนไม่หลับ พอหลับก็มีแต่ฝันร้าย ทุกอย่างวนลูปไปเรื่อยๆ
ยังดีที่มีเงินจากมรดกของพ่อที่ทำไว้ให้ผมก่อนตาย เงินทุกบาททุกสตางค์มันได้กลายเป็นของผมเพียงผู้เดียว ผมควรจะดีใจสิ แต่ทำไมถึง...
เศร้าเพียงนี้

ต่อรีพลายล่างค่ะ

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ผมขายทุกอย่างที่พ่อของผมมี บริษัทต่างๆ ให้ทางทนายจัดการให้มันหายไป ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ผมตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเอาไว้ กองมันเอาไว้ตรงนั้น ไม่โหยหา ไม่ต้องการ ใช้เพียงเงินที่เหลืออยู่ให้เพียงพอมากที่สุด
ซึ่งมันก็มากพอให้ผมอยู่ได้ตลอดชีวิตอย่างไม่ยากลำบาก
หลังจากงานศพครั้งนั้น นิสัยส่วนตัวของผมก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป จากคนทะเล้น ขี้เล่น พูดมาก ขี้อ้อน เอาแต่ใจกับคนสนิท เป็นคนเงียบขรึม นิ่งๆ พูดน้อย ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ตอนนั้นผมไม่เหลือใคร คิดว่าคงอยู่ไม่ได้อีกแล้ว เรียกได้ว่าผมเครียดมากๆ เพราะผมไม่สนิทกับญาตที่ไหนเลย บ้านหลังใหญ่ที่ตอนนี้ไร้คนอยู่ก็กำลังตัดสินใจว่าจะขายทิ้งไป แล้วเอาเงินส่วนนั้นมาซื้อบ้านหลังใหม่ที่เล็กๆ อยู่คนเดียวลำพัง เปลี่ยนทุกอย่าง ไม่มีเพื่อน ย้ายบ้าน กะว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุข
ที่ซื้อบ้านหลังไม่ใหญ่มากนั้น ผมได้ให้เหตุผลกับมันว่ามันเล็กกะทัดรัด น่าอยู่ แต่จริงๆแล้วกลับคิดว่า...
อย่างน้อยๆ พื้นที่ไม่กว้างก็คงไม่เหงาซักเท่าไหร่
จนผมเลือกบ้านหลังหนึ่งสำเร็จ
บ้านที่มีสองชั้นสีครีม ไม่เว่อวังอะไร แต่ก็ไม่อึดอัด ผมย้ายมาอยู่ที่นี่คนเดียว โดยให้ทนายจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ขนข้าวของเรียบร้อย เสียงเหมือนคนกำลังสนุกสนานดังขึ้น ผมจึงออกไปดู
บ้านหลังข้างๆนั้นมีสมาชิกหลายคนกำลังปาร์ตี้อยู่ด้วยกัน
เห็นดังนั้น ความทรงจำเก่าๆ ก็ไหลย้อนมารวมกันทันที
"...เอาหมึกมานะพี่เยียร์"เสียงเด็กผู้ชายตัวจ้อยกำลังเถียงอย่างเอาเรื่องกับพี่ชาย
"อะไรกันเล่า พี่หยิบมันก่อนชิ้นนี้ก็เป็นของพี่สิ้"อีกฝ่ายเถียงกลับอย่างไม่ยอมเเพ้
"อย่าแย่งกันสิลูก อ่ะ ตัดแบ่งคนครึ่งนะจ้ะ กินด้วนกันสิ พี่น้องมีกันอยู่สองคนนะลูก ต้องรักกันให้มากๆ สิ รู้มั้ย ?"คนเป็นเเม่เดินเข้ามาตัดปลาหมึกย่างตัสนั้นให้เท่าเทียมกันแล้วตัดแบ่งให้ลูกทั้งคู่พร้อมทั้งสั่งสอนไปด้วยในตัว
"เข้าใจครับ"สอบพี่น้องพูดพร้อมกัน
"ดีมากจ้ะ งั้นเรามาถ่ายรูปรวมครอบครัวกันดีกว่าเนาะ พ่อมาถ่ายด้วยกันสิ"แม่พูดพร้อมชวนพ่อมาถ่ายด้วยกัน
“จ้ะแม่”
"ครับ!!!"สองพี่น้องยิ้มร่าตอบรับทันที
"เอ้า มองกล้องนะ"
1
2
3
"แชะ"
แหมะ
หยดน้ำตาหลั่งรินลงบนฝ่ามือที่ยืดกอดอกหน้าประตูบ้านพร้อมกับใจที่เจ็บปวด
คิดถึง...คิดถึงเหลือเกิน






เช้าวันจันทร์อันแสนสดใสของผม ที่ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ เพราะฝนตกตั้งแต่วันแรกแบบนี้มันเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในความเชื่อของผม และที่สำคัญกว่านั้น
ผมเกลียดฝน...
ทุกครั้งที่ผมเห็นฝน ผมมักจะคิดถึงเรื่องตอนนั้นเสมอ มันยังคงตามมาหลอกหลอนผมจนกระทั่งวันนี้
วันแรกในชีวิตมหาลัย
“มาเร็วเยียร์ !”เสียงตะโกนจากอีกฝั่งของตัวบ้านดังขึ้น เสียงที่คุ้นหู และสนิทใจทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่นานนัก คนตรงนั้นก็มายืนตรงหน้าผมยืนยิ้มแฉ่งพร้อมกับร่มที่กางบนหัวเค้าคันใหญ่
“...ไม่”ผมบอกคำเดียว ผมไม่มีทางฝ่าฝนไปเด็ดขาด ผม...กลัว
“หน่า ไปกับกูไม่ต้องกลัวหรอกนะ มานี่ !”อีกคนลากผมให้เข้าไปในร่มคันเดียวกันโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว
“เฮ้ย !”ผมตกใจสะดุ้งตัวโยนทันที เงยหน้าขึ้นไปมองมันอย่างเคืองๆ
คนข้างๆของผมนั้นชื่อว่า วินน์ เพื่อนคนเดียวที่ผมมีอยู่ตอนนี้ มันเป็นคนที่ดีมากคนนึง ถ้าตัดเรื่องคำพูดคำจาออกไปอ่ะนะ
“อุย อย่ามองแรงเส้ แค่อยากให้ไปด้วยกันไง เพราะกูรู้ว่ามึงไม่มีทางออกมาจากบ้านทั้งที่ฝนตกแบบนี้แน่ ใช่ม่ะ ?” อีกคนกระแทกไหล่เบาๆให้ผมตอบ
“...”ไม่ตอบแม่ง !
“ฮ่ะๆ เพราะกูรู้จักมึงดีไงล่ะ อย่าโกรธเลยนะๆ ”อีกคนเริ่มอ้อนทันที ก็รู้อยู่ว่าผมน่ะ แพ้คนขี้อ้อน แม่ง มันเดาทางผมไปซะหมดเลยอ่ะ ผมก็ไม่ชนะมันอ่ะดิ
“...เออ”ผมตอบกลับไปเบาๆ
ไม่นานนัก รถคันสวยที่ผมนั่งข้างคนขับ ก็มาถึงมหาวิทยาลัยด้วยความปลอดภัย แม้ว่าไอ้คนขับมันจะทำให้ผมเกือบประสาทเสีย กับความชวนพูดไม่หยุดของมันน่ะ
“ถึงแล้วๆ มาเร็วๆ ดิ้”อีกคนรีบจูงผมให้วิ่งตามมันไปทันที
เห้อออ เด็กน้อยจริงๆ นะ
ผมส่ายหน้าน้อยๆ กับเด็กไม่รู้จักโตอย่างมัน วิ่งมาตามที่มันพามา ถึงที่นั่งโต๊ะหนึ่ง ซึ่งคาดว่าตรงนี้น่าจะเป็นโรงอาหาร เพราะมีเหล่าบรรดานักศึกษาน้อยใหญ่ (หมายถึงอายุ) มานั่งกินข้าวกันอยู่ที่นี่ บ้างก็มานั่งคุยเล่นกันตามประสา
“...อ่ะ”คนเมื่อกี้ที่เพิ่งพาผมมานั่งตรงนี้ จู่ๆก็วิ่งหายไป กับการกลับมาพร้อมข้าวสองจานที่วางสองมือใหญ่นั่น
ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ผมยังไม่หิวเลยนะ ผมไม่กิ...
“กูรู้ว่ามึงไม่กินข้าวเช้า กูเลยซื้อมาให้ กินหน่อยน้า...”เห้อออ สุดท้ายก็คงต้องกินสินะ
หงึก หงึก
ผมพยักหน้าพร้อมหยิบจานข้าวมานั่งกิน
“นี่เป็นข้าวผัดกุ้งของโปรดมึงเลยนะ ชิมหน่อยเร็ว ว่าอร่อยมั้ย ?”มันถามพร้อมทำหน้าทำตาลุ้นไปด้วย

ต่อรีพลายล่างค่ะ

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
“...”ผมส่งสายตากลับไปว่า มึงไม่ได้ทำนะ แล้วมึงจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นวะ ?
“อ้าว ก็ถ้าอร่อย คราวหลังกูจะได้ซื้อมาให้มึงกินอีกไง”อีกฝ่ายยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น
ผมส่ายหน้าเบื่อๆ มัน แล้วตักข้าวคำแรกเข้าปาก
“เป็นไง พอกินได้ม่ะ ?”อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าลุ้นๆ
“...ก็อร่อยดี”พอผมตอบไป มันก็จดอะไรไม่รู้ลงในสมุดไดอารี่ของมันยุกยิกๆ ไม่นานนักก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วถามผม
“ไปเรียนกันเลยมั้ย ?”อีกฝ่ายถาม
“ไม่กินก่อนหรอ ?”ผมถามกลับบ้าง
“เออ ลืม แหะๆ งั้นเดี๋ยวกูมานะ”ผมพยักหน้าส่งๆ แล้วนั่งกินข้าวผัดกุ้งของตัวเองต่อไป ส่ายหน้ากับเด็กน้อย ที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็มักจะใส่ใจกับคนรอบข้างเสมอ
“...เอ่อ...สะ สวัสดีค่ะ”สาวน้อยผมเปียเดินมาหยุดตรงหน้าผม ผมเลยมองหน้าเลิกคิ้วถามว่า มีอะไร ?
“...คะ...คือว่า...”
“มีอะไร ?”สุดท้ายก็เลยต้องถามออกไป
“...หนูชอบพี่ค่ะ !”อีกฝ่ายตะโกนออกมาเต็มเสียง คนทั้งหมดเลยมองมาที่ผมเป็นจุดเดียวทันที เมื่อกี้เห็นนะว่ามีเพื่อนมาอีก 2 คนน่ะ
“...เรารู้จักกันหรอ ?”ผมถามขึ้น อะไรกันเด็กสมัยนี้ เห็นกระโปรงแบบนี้ ยังอยู่ม.ปลายอยู่เลยไม่ใช่หรอ ?
“...ปะ...ปล่าวค่ะ”อีกฝ่ายตอบกลับมาตะกุกตะกัก
“แล้วมาชอบพี่ได้ยังไง ?”
“เอ่อ...คือว่า...รักแรกพบน่ะค่ะ”อีกฝ่ายยิ้มเขินเกาหัวน้อยๆหน้าแดง
“งั้นหรอ ?”
“คะ...ค่ะ สรุปว่า...”
“ขอโทษนะ...พี่ไม่ได้ชอบเรา”ผมปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบอะไรกลับมา แรงนั่งเบียดข้างๆ กายผมก็เกิดขึ้นเสียก่อน
 “ที่ร้ากกก กินข้าวเสร็จยังครับ”อีกฝ่ายโอบเอว หยิกแก้ม พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เห้อออ อีกแล้วสินะ
 “...ยัง”ผมตอบกลับเสียงเบื่อหน่าย
 “ทำไมทำหน้างั้นอ่ะ ไม่เอาสิ ยิ้มหน่อยนะ นะ นะ”อีกฝ่ายคะยั้นคะยอผมให้ยิ้ม น่าเบื่อจริงๆ เลยให้ตาย และเสียงหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่อยู่แล้วก็กลับดังขึ้นใสโสตประสาทอีกครั้ง
“พวกพี่สองคน...”น้องเค้าถามพร้อมกับรอยยิ้มซีด ชี้ไปที่วินน์ทีผมที อย่างต้องการคำตอบ
“พวกพี่เป็นแฟนกันครับ”เสียงตอบกลับดังขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย แล้วมองหน้าน้องคนนั้นอย่างเคืองๆ
“กรี๊ดดด...ฮือออ...นิพพาน”จะกรี๊ดจะร้องเอาสักอย่างดีม่ะน้อง ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรกลับไป น้องเค้าก็วิ่งกลับไปหาเพื่อนที่คุมเชิงสถานการณ์อยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งบังน้องไม่มิดเลย และคุยอะไรกันนิดหน่อยจากนั้นก็หวีดลั่นโรงอาหาร แล้วก็หายไป
เป็นไรมากป่ะเนี่ย ?
“นี่ อีกแล้วนะมึงน่ะ”อีกคนที่นั่งโอบเอวของผมอยู่ก็รัดให้แน่นขึ้นไปอีก นี่กะจะฆ่ากันรึไง ?
“อะไร ?”ผมถามกลับทั้งที่รู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร
“ก็ หว่านสเน่ห์ไปทั่ว ทำให้ผัวอย่างกูเนี่ย ต้องชอกช้ำระกำใจ กับการมากันกิ๊กมึงคนนู้นที คนนี้ทีไง”มันพูดพร้อมเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กับผมอีก จนจมูกเราแทบจะชนกันแล้ว
แอบได้ยินเสียงกรี๊ดด้วยนะ สงสัยเค้าคงกรี๊ดกันเองมากกว่าล่ะมั้ง ไม่เกี่ยวกับผมหรอก
“ไร้สาระ”ผมตอบกลับไป
“ไม่ง้อกันหน่อยหรอ ?”อีกฝ่ายทำหน้าตาน่าสงสาร
ที่ผมว่ามันหน้าถีบมากกว่านะ ฮ่ะๆ
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ”ผมพูดพร้อมลุกขึ้นยืน อีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าเศร้า จากนั้นก็จำใจยืนกับผมด้วย
“...เห้อออ นำไปดิ”ผมง้อคนไม่เก่งหรอกนะ เลยได้แต่จับมือมันแล้วบอกให้นำทางไปที่ห้อง ไม่ได้ง้อหรอกนะ แค่...
ไม่รู้ทาง...ต้องเชื่อผมนะ !
อีกฝ่ายยิ้มร่าเดินนำผมทันที จะปล่อยมือออกก็ไม่ได้แล้วล่ะ เล่นจับซะแน่นขนาดนั้นเนี่ย
หลังจากมาถึงห้องเรียนแล้ว อาจารย์ก็ให้แนะนำตัว จากนั้นก็พูดคุยกันเล็กน้อย คาบแรกก็ไม่มีอะไร...ซะเมื่อไหร่ล่ะ ปารายงานมาให้แล้วครับผ้ม อยากจะร้อง
“มึงๆ ”แรงสะกิดข้างตัว ทำให้ผมหันไปมอง ตอนนี้ผมกำลังรอเรียนอีกคาบอยู่ครับ
ผมเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“มึงกับไอ้วินน์เป็นแฟนกันหรอ ?”อีกฝ่ายถามผม
“มึงนี่โง่หรือโง่วะ ไปถามโต้งๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน มันต้องค่อยๆ ตะล่อมๆ ก่อนเว้ย !”ถ้าจะป้องปากกระซิบ แต่ว่าเสียงดังขนาดนั้นน่ะนะ ทีหลังก็ไม่ต้องลำบากหรอก
“อ๋อ กูลืมวะ ขอโทษนะมึง เอ้ย มึงชื่ออะไรวะหน้าหวาน”อีกฝ่ายคุยกับเพื่อนเสร็จก็หันมาถามผมต่อ
เดี๋ยวนะ !
“กูไม่ได้หน้าหวานเว่ย !”ผมบอกมันไป ไม่ชอบคำนี้เลยจริงๆ สิให้ตาย ผมเป็นผู้ชายนะ หน้าหวานแบนั้นไม่ใช่คำชมหรอกนะ ไม่ได้แมนเลยสักนิด
“ฮ่ะๆ เออ ไม่หวานก็ไม่หวานนะครับคุณมึง สรุปแล้วมึงน่ะ ชื่ออะไร ?”
“นิวเยียร์”
“แหมมม ชื่อก็นั้ลล้ากเชียวนะ”
“แล้วแต่สะดวก”ผมตอบกลับไป พร้อมนั่งเล่นโทรศัพท์อีกครั้ง
“สรุปมึงกับไอ้วินน์เป็นอะไรกันอ่ะ ?”นี่ยังไม่จบอีกหรอ ?
“เพื่อน”ผมตอบ
“ไม่จริงอ่ะ แล้วที่ไปป่าวประกาศกลางโรงอาหารเมื่อเช้าล่ะ ?”เห้อออ เรื่องคนอื่นนี่ทำไมถึงเก่งกันนักนะ
“มันแค่เล่นเฉยๆ ไม่มีอะไร”
“อ๋อออ....”มันสองคนมองหน้ากัน แต่ถ้าจะพูดลากเสียงยาวขนาดนั้นน่ะนะ
นี่ผมดูเป็นคนไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลย ?


แงงงง โทรศัพท์เรามันลงได้เเค่ตอนละเท่านี้จริมๆ ทนอ่านหลายรีพลายหน่อยนะ

ออฟไลน์ Kaooi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
“...อ่ะ”ขวดน้ำแร่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ทำให้ผมเงยมองคนเอามาให้ก็เจอกับอีกฝ่าย ที่เหงื่อแตกพลั่ก หลังจากวิ่งลงไปหาอะไรให้ผมทาน
   เห็นม่ะ ผมเคยบอกแล้วว่าเพื่อนสนิทน่ะ ดีที่สุดแล้ว อิจฉากันอ่ะดิ๊...
“ขอบใจนะ”มันนั่งลงข้างๆ ผม ใบหน้าคมหอบอย่างเหนื่อยอ่อน สงสัยรีบวิ่งไปล่ะมั้ง ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยนี่นา
สุดท้ายก็ทนไม่ได้ สงสารอีกฝ่ายเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเทาขึ้นมาจากกระเป๋า ซับเหงื่อให้อีกฝ่าย พลางบ่นไปด้วย
“ทีหลังไม่ต้องไปก็ได้ เหนื่อยเปล่าๆ เนี่ยเห็นมั้ย กูเลยต้องลำบากด้วยเนี่ย”ผมพูดไปแล้วเช็ดเหงื่ออีกฝ่าย แทนที่มันจะสำนึก มันกลับนั่งยิ้มอย่างมีความสุข บ้าไปแล้วแน่ๆ อะไรของมัน
“คร้าบบบ คุณแฟน”
“พอเลย ไม่ต้องเล่นแล้ว เห็นมั้ย เพื่อนในห้องเค้าเข้าใจผิดกันหมดแล้ว”ผมบอกอีกฝ่าย ใบหน้ายิ้มเลยเจื่อนลงไปนิดหน่อย แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“หระ...หรอ...อืม ไม่เล่นแล้วก็ได้ ขอบใจนะที่เช็ดหน้าให้น่ะ”อีกฝ่ายหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือของผมไปเช็ดเอง ทำไมต้องทำหน้าตาแบบนั้นเลยนะ ให้ตายสิ ผมไม่ชอบมันเลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษ มาเดี๋ยวเช็ดให้ มึงทำเพื่อกูขนาดนี้ ให้กูตอบแทนมึงบ้างเหอะ”ผมพูดพร้อมแย่งผ้ากลับมาเช็ดเอง
“ไม่ได้โกรธ ที่ทำไปก็เต็มใจนะ ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนเลยด้วย”อีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“...อืม ขอบใจนะ”ผมยิ้มบางๆ กลับไป ทำให้มันยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก
“กูชอบรอยยิ้มของมึงที่สุดเลยรู้มั้ย ?”มันพูดพร้อมจับแก้มผมแล้วหยิกไปมา
“อือๆ เจ็บแล้ว ปล่อยได้ยัง”ผมถามกลับไปยิ้มๆ เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ
“ปล่อยแล้วคร้าบบบ พอแล้วแหละ ไม่ต้องเช็ดละ”มันบอกผมเลยเก็บผ้าเช็ดหน้าสีเทาของผมเอาไว้เหมือนเดิม พร้อมกับที่อาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดี
“...วันนี้เลิกคลาสได้ค่ะนักศึกษา”หลังจากจบการเรียนวันนี้ผมกับวินน์ก็นั่งรถกลับบ้านพร้อมกัน อีกฝ่ายก็เป็นสารถีขับเหมือนเดิม
“หิวมั้ย ?”อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะออกรถ
“...ไม่ค่อย”ผมบอก
“แต่ตอนนี้เที่ยงตรงแล้วนะ อีกอย่างกูก็...”ไม่ทันอีกฝ่ายพูดจบผมก็แทรกขึ้นมาก่อน
“กินก็ได้”ผมตอบ
“...เย่ ! กินอะไรดีล่ะ ?”เค้าถาม
“อยากกินแซลม่อน”ผมบอก
ผมไม่ได้อยากกินหรอกความจริงน่ะ...
“อยากกินเหมือนกันเลย งั้นเราแวะห้างกันดีกว่าเนาะ”อีกฝ่ายเริงร่าอยู่เสมอ ผมนี่อยากตอกกลับไปเหลือเกินว่า ไอ้ที่บอกอยากกินน่ะ ชอบทุกเวลานั่นแหละเค้าน่ะ
ก็ของโปรดคุณเค้าก็คือแซลม่อนยังไงล่ะ…
“...อือ”
“เอาเซตแซลม่อนนี้ครับ ขอแซลม่อนอบรมควันเพิ่มด้วยนะครับ มึงเอาอะไรอีกมั้ย ?”หลังจากมาถึงห้างเราก็ตรงหาร้านแซลม่อนที่อีกคนชอบกินทันที พอเจออีกคนก็พามานั่งที่ประจำทันที ก็เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่นี่นา
“กินที่สั่งให้หมดก่อนเถอะ ขอน้ำโกโก้ 1 กับบลูฮาวาย 1 ด้วยครับ”ผมบอก
“ค่ะ คุณวินน์คุณเยียร์ รอ 10 นาทีนะคะ”พนักงานสาวรีบเอาออเดอร์ไปให้เชฟทันที
“นี่เราไม่มาที่นี่นานแล้วเนาะ”อีกฝ่ายพูดพลางมองรอบร้าน
“1 อาทิตย์นี้เรียกนานหรอ ?”ผมถามกลับบ้าง
“ก็นานแหละนา ดูสิ เปลี่ยนไปเยอะเลยเนาะ”
“แค่เพิ่มโต๊ะมาอีก 2 ชุดใหม่ กับมีตัวอ้วนๆสีขาวอยู่หน้าร้านนี้เยอะแล้วหรอ ?”
“กวนนักนะเดี๋ยวนี้น่ะ”
“อื้อออ เจ็บนะเว่ย”อีกฝ่ายบีบจมูกผม
“หมั่นเขี้ยวนี่หว่า ดูดิจมูกแดงหมดเลย โอ๋ๆ ไม่เจ็บเนาะ”
“สายตาไม่ได้สำนึกเลยนะ”ผมพูดกลับบ้าง
“ฮ่ะๆ แกล้งหน่อยหน่า อ่ะ อาหารมาพอดีเลยนี่ กินดิ”
“อืม”
“...อยากได้หรอ ?”หลังจากที่พวกเราสองคน กินอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วเนี่ย ก็ถือโอกาสเดินเล่นไปด้วยเลย ผมเลยมาหยุดที่ร้านประจำของผมบ้าง...

ร้านหนังสือ
“...อืม นิดหน่อย ไม่ได้อยากได้มากหรอก”ก็แค่ชอบมากเท่านั้นเอง...
“งั้นกลับกันเลยมั้ย ?”อีกฝ่ายถาม
“ก็ได้ แต่ขอดูอีกนิดนะ”ผมพูดพลางช้อนตามองอีกฝ่าย
“ครับๆ งั้นเดี๋ยวกูไปดูทางนู้นนะ”
“...อืม”ผมเดินดูหนังสืออีกนิดหน่อยตามสัญญาเเล้วเดินมาที่โรงจอดรถพร้อมกัน
"อะไร ?"ผมถาม เพราะเห็นถุงจากร้านหนังสือเมื่อครู่ปรากฎสู่สายตา
"ซื้อให้"
"ไม่เอา ซื้อมาทำไมเนี่ย เปลืองเงินเปล่าๆ"
"ก็อยากซื้อให้ไง วันนี้เป็นวันครบรอบการเป็นเพื่อน 5 ปีของเราเลยนะ"
"ห่ะ ! เอาจริงดิ นี่นับด้วยหรอ"
"นับดิ มันสำคัญมากนะ"ไม่รู้ทำไม พออีกฝ่ายพูดเเบบนี้ผมก็...เขินขึ้นมา
บ้า นี่เพื่อนไง เพื่อนนนน!

"อืม ขอบใจนะ"จากนั้นเราก็กลับบ้านพร้อมกัน
จะว่าไป นี่เราสองคนก็ตัวติดกันเกือบจะ24ชั่วโมงเลยนะเนี่ย ถ้าเกิดวินน์มานอนห้องเดียวกับผมอีกเหมือนตอนนั้น เราก็เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยล่ะ
จะว่าไป ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมมานอนด้วยกันแล้วล่ะ ?
“คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนหน่อยดิ”ผมบอกอีกฝ่าย ตอนนี้เรากำลังนั่งดูทีวีที่บ้านของผมอยู่ด้วยกัน
“เอ่อ กูไม่สะดวกอ่ะ มึงนอนคนเดียวไปก่อนนะ”
“ทำไมล่ะ ? ทั้งที่เมื่อก่อนเราก็เคยนอนด้วยกันนี่นา วินน์กูถามจริงๆ นะ ว่ามึงโกรธอะไรกูอยู่รึปล่าว ?”
“เปล่า”อีกฝ่ายพูดแล้วก้มหน้าคิดหนัก
“ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไร กูนอนคนเดียวได้แหละ ในเมื่อนอนคนเดียวมาเองตั้งค่อนชีวิตนี่เนาะ มึงกลับไปเถอะ กูง่วงแล้ว”ทั้งที่เป็นแค่เพื่อนกันแต่ทำไมผมถึงต้องงี่เง่าขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ แค่เพื่อนไม่มานอนด้วยต้องเศร้าขนาดนั้นเลยหรอ ? หรือจริงๆ แล้วผมแค่เหงาเท่านั้น
หลังพูดจบผมก็เดินขึ้นมาบนห้องนอนทันที ปิดประตูแล้วล้มตัวลงนอน เอามือก่ายหน้าผากอย่างคิดไม่ตก ทำไมต้องแคร์วินน์ขนาดนั้นด้วยกันนะ แค่เห็นอีกฝ่ายคิดมาก ผมก็ไม่สบายใจไปแล้ว ผมก็เลยไม่อยากจะบังคับอะไรให้เขามานอนด้วยกัน ผมแค่คิดถึงครอบครัวที่ตนสูญเสียไปนานแล้ว
ก็เท่านั้น...
พอใกล้จะหลับใหล ความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในสรรพางค์กายทันที อ้อมกอดใหญ่อันแสนอบอุ่นที่ผมเคยได้สัมผัสมัน ทำให้ผมฝืนลืมตาขึ้นมาก็พบเจอกับอีกคน ที่บอกว่าไม่สะดวก ผมเลยเกิดความสงสัยทันที
“...ทำไม ?”เสียงผมเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่อยู่ใกล้กันขนาดนี้แน่นอนว่าอีกฝ่ายได้ยินแน่นอน
“กูมานอนเป็นเพื่อนแล้วนะ หลับเถอะนะครับ”อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก หัวของผมถูกมือใหญ่รองเอาไว้หนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างก็กอดเอวผมเอาไว้ให้แนบชิดกับร่างใหญ่ หัวของผมก็อยู่ที่หัวใจข้างใจของเขา ซึ่งเต้นเป็นจังหวะที่ค่อนข้างจะรุนแรง แต่กลับแปลก ที่ผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของเราเต้นตรงกัน
“...ขอบคุณนะ”ด้วยความงัวเงีย จึงทำให้ผมเผลอหลับไปอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนั้น
.
.
.

อากาศยามเช้ามักจะเย็นจนหนาวเหน็บ ผมมักจะตื่นขึ้นมาไขว่คว้าหาหมอนข้างเข้ามากอดทันทีที่ตื่นนอน ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่มันก็สามารถทำให้อุ่นขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อยก็ยังดี...
แต่เช้านี้ผมกลับไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะมีสิ่งที่ทำให้ผมอบอุ่นได้มากกว่านั้นเยอะ นั่นคืออ้อมกอดของคนที่ผมเรียกเขาว่า “เพื่อนสนิท”
“อื้อออ”อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วงัวเงียลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มให้ผม
“กี่โมงแล้วอ่ะ”อีกฝ่ายถามพลางหาวไปด้วย
“8โมงและ จะลุกเลยมั้ย ?”ผมถามแล้วยันตัวขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับกำชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนผมเซลงไปนอนอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งไปสิ นอนด้วยกันก่อนนะครับ”ตื่นนอนก็อ้อนแต่เช้าเลยนะ
“...อืม”ผมตอบแค่นั้น อีกฝ่ายก็ยิ้มอ่อนแล้วหลับตาลงเหมือนเดิม แต่ผมกลับไม่อยากหลับแล้วล่ะ มันอยากมองอีกคนตอนนอนมากกว่า นี่ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย
เมื่อคืนไม่รู้คิดไง อีกคนมานอนด้วยกัน ผมไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายเท่าไหร่ ถึงจะบอกว่าสนิทกันนะ แต่บางอย่างเหมือนคั่นกลางผมกับเค้าเอาไว้อยู่
มามโนอะไรแต่เช้ากันล่ะเนี่ย ฮ่ะๆ
“ไม่นอนแล้วหรอ ?”อีกฝ่ายพูดขึ้น ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่อ่ะ ไม่ง่วงแล้ว จะนอนต่อก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ได้ไงอ่ะ ตอนแรกคิดว่ามึงจะง่วงอยากนอนต่อ ถ้างั้นไปอาบน้ำเนาะ เดี๋ยวกูก็จะกลับบ้านแล้วนะ”
“...อืม”ทำไมเหมือนเหงาแปลกๆ นะ
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ไปอาบน้ำครับ เดี๋ยวมารับนะ”
“โอเค”แปลกมั้ย ที่เสียงดูตื่นเต้นมากกว่าเมื่อกี้เยอะเลย ทั้งที่เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวันอยู่แล้วนี่นา
“แล้วก็ไปกินข้าวก่อนด้วย”
“ไม่หิวอ่ะ...”ผมพูดพร้อมช้อนตาอ้อนๆ ไม่อยากกินนี่นา อย่าบังคับเชียวนะ
“ต้องกิน ไม่งั้นโกรธจริงๆ นะ”อีกฝ่ายพูดพร้อมลูบหัวผมเบาๆ
นี่ผมเหมือนแมวงั้นหรอ ?
“อาบน้ำได้แล้ว ไปล่ะ แล้วเจอกันนะ”อีกฝ่ายพูดพลางเดินออกจากห้องไป
ผมใช้เวลาไม่นานนักที่จะอาบน้ำ พอเสร็จเดินลงมาจากชั้นสอง ก็เห็นอีกคนนั่งเล่นโทรศัพท์รอผมอยู่แล้ว
“มาเร็วจัง”ผมทักขึ้น อีกฝ่ายเงยหน้ามามองแล้วยิ้มให้ผม
“ไม่นานหรอก ไปกันเลยมั้ย ?”อีกฝ่ายถาม
“อืม ไปดิ”อีกฝ่ายเดินมาจูงมือผม แล้วเราก็เดินไปด้วยกัน...
เหมือนคำๆ นี้มันมีหลายความหมายเลยเนาะ ^^
เมื่อมาถึงที่มหา’ลัยแล้ว ผมก็รู้สึกถึงรังสีแปลกๆ ที่มองมาที่ผมกับอีกคนเสมอ มันเกิดอะไรขึ้นรึปล่าวเนี่ย ?
“วินน์ ทำไมมีแต่คนมองเราสองคนอ่ะ”ผมกระซิบถามอีกคนเบาๆ ตอนนี้เรายังเดินจูงมือกันอยู่กำลังจะไปเข้าห้องเรียน หลังจากไปกินข้าวต้มมาเป็นอาหารเช้ามาเรียบร้อยแล้ว
“ไม่รู้สิ”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่สนใจเท่าไหร่ แต่สายตานี่แปลกๆ นะ
“ทำไมมองกูแบบนั้นล่ะ ? นี่ไม่เชื่อหรอว่ากูไม่รู้น่ะ”
“เออ กูไม่เชื่อ เรารู้จักกันมานานแล้วนะ คิดว่ากูไม่รู้รึไงว่ามึงต้องรู้อะไรมาแน่ๆ อ่ะ”ผมพูดจับผิดอีกฝ่ายทันที แต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร ก็มีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเราซะก่อน
“น้องวินน์กับน้องนิวเยียร์ใช่มั้ยคะ ?”หน่วยกล้าตายคนแรกเดินเข้ามาถามพวกเรา โดยมีเพื่อนๆ อีกหลายคนอยู่ด้านหลัง
“ครับ/ครับ”เราสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน พี่ๆ เค้าเลยกรี๊ด ?
“คือ...ถ้าพี่จะขอถ่ายรูปกับน้องทั้งสองคนได้มั้ยคะ ?”พี่เค้าถามสีหน้าลุ้นๆ
“ได้ครับ/ได้ครับ”เราพูดพร้อมกันอีกครั้ง พร้อมกับเสียงซุบซิบของพี่เค้า
“มาเร็วพวกมึง”พี่คนสวยเรียกเพื่อนๆ ด้านหลังมาถ่ายรูปกับพวกเรา ผมไม่ยิ้มหรอกนะ เมื่อยปาก และผมก็จะยิ้มเฉพาะตอนที่อยากยิ้มเท่านั้นด้วย ไม่งั้นเอาอะไรมาง้างปากก็ไม่ยิ้มหรอก
“ขอบคุณนะคะทั้งสองเลย นี่ค่ะของเล็กๆ น้อยๆ ของพี่ๆ นะรับไปด้วยน้า แล้วก็...”
“...รักกันนานๆ นะคะ”พวกพี่เค้าพูดพร้อมกัน
ว่าแต่คำพูดสุดท้ายนี่คือไร ? รักกัน ? เพื่อนก็ต้องรักกันอยู่แล้วมั้ยล่ะ ? งงใจคนเรา แล้วนี่อะไรเนี่ย ขนมนมเนยเยอะแยะเชียว แต่ก็ดี เพราะผมชอบกินขนม
“ยิ้มเชียวนะ ทีเมื่อกี้ล่ะไม่ยิ้มนะ”คำพูดกระแนะกระแหนจากเพื่อนสนิทของผมดังขึ้น
“ก็กูชอบกินขนมนี่หว่า แล้วนี่ทำไมซื้อมาให้กูวะ ทำเหมือนกูเป็นคนดังของคณะงั้นแหละ”ผมพูดขึ้นอย่างสงสัย เพิ่งมามหา’ลัยวันที่สองเองนะ ไม่น่าจะดังขนาดมีแฟนคลงแฟนคลับหรอกมั้ง
“ก็ไม่แน่...บางทีอาจจะมีเป็นแพ็คคู่ด้วยนะ”อีกฝ่ายพูดพร้อมแย่งขนมผมไปอีกถุง เนียน...เนียนไปและ
“อย่ามาเนียน เอามา”พอผมจะชิงถุงขนมกลับ อีกฝ่ายกลับชูสูงขึ้นไปอีก
ก็รู้นะว่าผมเตี้ยอ่ะ ทำไมทำแบบเน้ !!!
“ฮ่ะๆ ไอ้เด็กเตี้ย”
“งือออ ไม่กินแล้วก็ได้ แต่อย่ามาแย่งอีกนะ บอกก่อนเลย ไม่ให้ !”ผมย้ำคำสุดท้าย แน่นอนว่าเอาไปถุงนึงแล้ว ผมไม่แบ่งอีกแน่นอน พี่เค้าเอามาให้ 3 ถุงเอง เพราะงั้นถือว่าผมเสียสละถุงเล็กสุดไปให้ ? เค้าแล้วนะ เพราะงั้น ผม ไม่ ยอม !
“เออๆ ไม่แย่งหรอกนา ตัวเล็กขนาดนี้กินเข้าไปให้ตัวแตกตายไปเลยนะ”
“ทำมาเป็นแซะนะ แล้วแย่งขนมกูทำไม ?”นี่ นี่เริ่มแผนล่ะนะ
“กูแค่แกล้งเองหน่า คิดมากจริงเตี้ย”อีกฝ่ายลูบหัวผมอีกครั้ง
“ด่าเตี้ยอีกแล้วนะ ทำไมวันนี้ด่าคำนี้บ่อยจัง”
“เค้าไม่เรียกด่า เค้าเรียกชม เตี้ยก็น่ารักไง”
“อะ...ไอ้บ้า ผู้ชายที่ไหนอยากให้ชมว่าน่ารักเล่า //”พูดจบก็เดินหนีแม่งเลย กล้าดียังไงมาว่าผมน่ารักเนี่ย ผมไม่น่ารักนะ ผมน่ะหล่อ แล้วผมก็ไม่ได้เตี้ยด้วย ผมสูง 165 เซนติเมตรเชียวนะ ไม่นานก็คงเพิ่มอีกสัก 2 เซน...มั้ง นี่มันไม่เตี้ยเฟ้ย ! มันน่ะสูงเกินไปเท่านั้นเอ๊งงง

แล้วผมจะใจเต้นเเรงทำไมกันเนี่ย

แต่ก็...ขอบใจนะ ที่น่ารักกับเราเสมอเลย

เย้...กลับมาเป็นปกติเเล้ว ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบนะคะ ฝากคอมเมนท์ด้วยน้าาา   :katai4::L2:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด