“...อ่ะ”ขวดน้ำแร่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ทำให้ผมเงยมองคนเอามาให้ก็เจอกับอีกฝ่าย ที่เหงื่อแตกพลั่ก หลังจากวิ่งลงไปหาอะไรให้ผมทาน
เห็นม่ะ ผมเคยบอกแล้วว่าเพื่อนสนิทน่ะ ดีที่สุดแล้ว อิจฉากันอ่ะดิ๊...
“ขอบใจนะ”มันนั่งลงข้างๆ ผม ใบหน้าคมหอบอย่างเหนื่อยอ่อน สงสัยรีบวิ่งไปล่ะมั้ง ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยนี่นา
สุดท้ายก็ทนไม่ได้ สงสารอีกฝ่ายเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเทาขึ้นมาจากกระเป๋า ซับเหงื่อให้อีกฝ่าย พลางบ่นไปด้วย
“ทีหลังไม่ต้องไปก็ได้ เหนื่อยเปล่าๆ เนี่ยเห็นมั้ย กูเลยต้องลำบากด้วยเนี่ย”ผมพูดไปแล้วเช็ดเหงื่ออีกฝ่าย แทนที่มันจะสำนึก มันกลับนั่งยิ้มอย่างมีความสุข บ้าไปแล้วแน่ๆ อะไรของมัน
“คร้าบบบ คุณแฟน”
“พอเลย ไม่ต้องเล่นแล้ว เห็นมั้ย เพื่อนในห้องเค้าเข้าใจผิดกันหมดแล้ว”ผมบอกอีกฝ่าย ใบหน้ายิ้มเลยเจื่อนลงไปนิดหน่อย แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“หระ...หรอ...อืม ไม่เล่นแล้วก็ได้ ขอบใจนะที่เช็ดหน้าให้น่ะ”อีกฝ่ายหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือของผมไปเช็ดเอง ทำไมต้องทำหน้าตาแบบนั้นเลยนะ ให้ตายสิ ผมไม่ชอบมันเลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษ มาเดี๋ยวเช็ดให้ มึงทำเพื่อกูขนาดนี้ ให้กูตอบแทนมึงบ้างเหอะ”ผมพูดพร้อมแย่งผ้ากลับมาเช็ดเอง
“ไม่ได้โกรธ ที่ทำไปก็เต็มใจนะ ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนเลยด้วย”อีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“...อืม ขอบใจนะ”ผมยิ้มบางๆ กลับไป ทำให้มันยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก
“กูชอบรอยยิ้มของมึงที่สุดเลยรู้มั้ย ?”มันพูดพร้อมจับแก้มผมแล้วหยิกไปมา
“อือๆ เจ็บแล้ว ปล่อยได้ยัง”ผมถามกลับไปยิ้มๆ เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ
“ปล่อยแล้วคร้าบบบ พอแล้วแหละ ไม่ต้องเช็ดละ”มันบอกผมเลยเก็บผ้าเช็ดหน้าสีเทาของผมเอาไว้เหมือนเดิม พร้อมกับที่อาจารย์เดินเข้าห้องมาพอดี
“...วันนี้เลิกคลาสได้ค่ะนักศึกษา”หลังจากจบการเรียนวันนี้ผมกับวินน์ก็นั่งรถกลับบ้านพร้อมกัน อีกฝ่ายก็เป็นสารถีขับเหมือนเดิม
“หิวมั้ย ?”อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะออกรถ
“...ไม่ค่อย”ผมบอก
“แต่ตอนนี้เที่ยงตรงแล้วนะ อีกอย่างกูก็...”ไม่ทันอีกฝ่ายพูดจบผมก็แทรกขึ้นมาก่อน
“กินก็ได้”ผมตอบ
“...เย่ ! กินอะไรดีล่ะ ?”เค้าถาม
“อยากกินแซลม่อน”ผมบอก
ผมไม่ได้อยากกินหรอกความจริงน่ะ...
“อยากกินเหมือนกันเลย งั้นเราแวะห้างกันดีกว่าเนาะ”อีกฝ่ายเริงร่าอยู่เสมอ ผมนี่อยากตอกกลับไปเหลือเกินว่า ไอ้ที่บอกอยากกินน่ะ ชอบทุกเวลานั่นแหละเค้าน่ะ
ก็ของโปรดคุณเค้าก็คือแซลม่อนยังไงล่ะ…
“...อือ”
“เอาเซตแซลม่อนนี้ครับ ขอแซลม่อนอบรมควันเพิ่มด้วยนะครับ มึงเอาอะไรอีกมั้ย ?”หลังจากมาถึงห้างเราก็ตรงหาร้านแซลม่อนที่อีกคนชอบกินทันที พอเจออีกคนก็พามานั่งที่ประจำทันที ก็เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่นี่นา
“กินที่สั่งให้หมดก่อนเถอะ ขอน้ำโกโก้ 1 กับบลูฮาวาย 1 ด้วยครับ”ผมบอก
“ค่ะ คุณวินน์คุณเยียร์ รอ 10 นาทีนะคะ”พนักงานสาวรีบเอาออเดอร์ไปให้เชฟทันที
“นี่เราไม่มาที่นี่นานแล้วเนาะ”อีกฝ่ายพูดพลางมองรอบร้าน
“1 อาทิตย์นี้เรียกนานหรอ ?”ผมถามกลับบ้าง
“ก็นานแหละนา ดูสิ เปลี่ยนไปเยอะเลยเนาะ”
“แค่เพิ่มโต๊ะมาอีก 2 ชุดใหม่ กับมีตัวอ้วนๆสีขาวอยู่หน้าร้านนี้เยอะแล้วหรอ ?”
“กวนนักนะเดี๋ยวนี้น่ะ”
“อื้อออ เจ็บนะเว่ย”อีกฝ่ายบีบจมูกผม
“หมั่นเขี้ยวนี่หว่า ดูดิจมูกแดงหมดเลย โอ๋ๆ ไม่เจ็บเนาะ”
“สายตาไม่ได้สำนึกเลยนะ”ผมพูดกลับบ้าง
“ฮ่ะๆ แกล้งหน่อยหน่า อ่ะ อาหารมาพอดีเลยนี่ กินดิ”
“อืม”
“...อยากได้หรอ ?”หลังจากที่พวกเราสองคน กินอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วเนี่ย ก็ถือโอกาสเดินเล่นไปด้วยเลย ผมเลยมาหยุดที่ร้านประจำของผมบ้าง...
ร้านหนังสือ
“...อืม นิดหน่อย ไม่ได้อยากได้มากหรอก”ก็แค่ชอบมากเท่านั้นเอง...
“งั้นกลับกันเลยมั้ย ?”อีกฝ่ายถาม
“ก็ได้ แต่ขอดูอีกนิดนะ”ผมพูดพลางช้อนตามองอีกฝ่าย
“ครับๆ งั้นเดี๋ยวกูไปดูทางนู้นนะ”
“...อืม”ผมเดินดูหนังสืออีกนิดหน่อยตามสัญญาเเล้วเดินมาที่โรงจอดรถพร้อมกัน
"อะไร ?"ผมถาม เพราะเห็นถุงจากร้านหนังสือเมื่อครู่ปรากฎสู่สายตา
"ซื้อให้"
"ไม่เอา ซื้อมาทำไมเนี่ย เปลืองเงินเปล่าๆ"
"ก็อยากซื้อให้ไง วันนี้เป็นวันครบรอบการเป็นเพื่อน 5 ปีของเราเลยนะ"
"ห่ะ ! เอาจริงดิ นี่นับด้วยหรอ"
"นับดิ มันสำคัญมากนะ"ไม่รู้ทำไม พออีกฝ่ายพูดเเบบนี้ผมก็...เขินขึ้นมา
บ้า นี่เพื่อนไง เพื่อนนนน!
"อืม ขอบใจนะ"จากนั้นเราก็กลับบ้านพร้อมกัน
จะว่าไป นี่เราสองคนก็ตัวติดกันเกือบจะ24ชั่วโมงเลยนะเนี่ย ถ้าเกิดวินน์มานอนห้องเดียวกับผมอีกเหมือนตอนนั้น เราก็เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยล่ะ
จะว่าไป ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมมานอนด้วยกันแล้วล่ะ ?
“คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนหน่อยดิ”ผมบอกอีกฝ่าย ตอนนี้เรากำลังนั่งดูทีวีที่บ้านของผมอยู่ด้วยกัน
“เอ่อ กูไม่สะดวกอ่ะ มึงนอนคนเดียวไปก่อนนะ”
“ทำไมล่ะ ? ทั้งที่เมื่อก่อนเราก็เคยนอนด้วยกันนี่นา วินน์กูถามจริงๆ นะ ว่ามึงโกรธอะไรกูอยู่รึปล่าว ?”
“เปล่า”อีกฝ่ายพูดแล้วก้มหน้าคิดหนัก
“ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไร กูนอนคนเดียวได้แหละ ในเมื่อนอนคนเดียวมาเองตั้งค่อนชีวิตนี่เนาะ มึงกลับไปเถอะ กูง่วงแล้ว”ทั้งที่เป็นแค่เพื่อนกันแต่ทำไมผมถึงต้องงี่เง่าขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ แค่เพื่อนไม่มานอนด้วยต้องเศร้าขนาดนั้นเลยหรอ ? หรือจริงๆ แล้วผมแค่เหงาเท่านั้น
หลังพูดจบผมก็เดินขึ้นมาบนห้องนอนทันที ปิดประตูแล้วล้มตัวลงนอน เอามือก่ายหน้าผากอย่างคิดไม่ตก ทำไมต้องแคร์วินน์ขนาดนั้นด้วยกันนะ แค่เห็นอีกฝ่ายคิดมาก ผมก็ไม่สบายใจไปแล้ว ผมก็เลยไม่อยากจะบังคับอะไรให้เขามานอนด้วยกัน ผมแค่คิดถึงครอบครัวที่ตนสูญเสียไปนานแล้ว
ก็เท่านั้น...
พอใกล้จะหลับใหล ความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในสรรพางค์กายทันที อ้อมกอดใหญ่อันแสนอบอุ่นที่ผมเคยได้สัมผัสมัน ทำให้ผมฝืนลืมตาขึ้นมาก็พบเจอกับอีกคน ที่บอกว่าไม่สะดวก ผมเลยเกิดความสงสัยทันที
“...ทำไม ?”เสียงผมเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่อยู่ใกล้กันขนาดนี้แน่นอนว่าอีกฝ่ายได้ยินแน่นอน
“กูมานอนเป็นเพื่อนแล้วนะ หลับเถอะนะครับ”อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก หัวของผมถูกมือใหญ่รองเอาไว้หนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างก็กอดเอวผมเอาไว้ให้แนบชิดกับร่างใหญ่ หัวของผมก็อยู่ที่หัวใจข้างใจของเขา ซึ่งเต้นเป็นจังหวะที่ค่อนข้างจะรุนแรง แต่กลับแปลก ที่ผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของเราเต้นตรงกัน
“...ขอบคุณนะ”ด้วยความงัวเงีย จึงทำให้ผมเผลอหลับไปอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนั้น
.
.
.
อากาศยามเช้ามักจะเย็นจนหนาวเหน็บ ผมมักจะตื่นขึ้นมาไขว่คว้าหาหมอนข้างเข้ามากอดทันทีที่ตื่นนอน ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่มันก็สามารถทำให้อุ่นขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อยก็ยังดี...
แต่เช้านี้ผมกลับไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะมีสิ่งที่ทำให้ผมอบอุ่นได้มากกว่านั้นเยอะ นั่นคืออ้อมกอดของคนที่ผมเรียกเขาว่า “เพื่อนสนิท”
“อื้อออ”อีกฝ่ายกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วงัวเงียลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มให้ผม
“กี่โมงแล้วอ่ะ”อีกฝ่ายถามพลางหาวไปด้วย
“8โมงและ จะลุกเลยมั้ย ?”ผมถามแล้วยันตัวขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับกำชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนผมเซลงไปนอนอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งไปสิ นอนด้วยกันก่อนนะครับ”ตื่นนอนก็อ้อนแต่เช้าเลยนะ
“...อืม”ผมตอบแค่นั้น อีกฝ่ายก็ยิ้มอ่อนแล้วหลับตาลงเหมือนเดิม แต่ผมกลับไม่อยากหลับแล้วล่ะ มันอยากมองอีกคนตอนนอนมากกว่า นี่ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย
เมื่อคืนไม่รู้คิดไง อีกคนมานอนด้วยกัน ผมไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายเท่าไหร่ ถึงจะบอกว่าสนิทกันนะ แต่บางอย่างเหมือนคั่นกลางผมกับเค้าเอาไว้อยู่
มามโนอะไรแต่เช้ากันล่ะเนี่ย ฮ่ะๆ
“ไม่นอนแล้วหรอ ?”อีกฝ่ายพูดขึ้น ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่อ่ะ ไม่ง่วงแล้ว จะนอนต่อก็ได้นะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ได้ไงอ่ะ ตอนแรกคิดว่ามึงจะง่วงอยากนอนต่อ ถ้างั้นไปอาบน้ำเนาะ เดี๋ยวกูก็จะกลับบ้านแล้วนะ”
“...อืม”ทำไมเหมือนเหงาแปลกๆ นะ
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ไปอาบน้ำครับ เดี๋ยวมารับนะ”
“โอเค”แปลกมั้ย ที่เสียงดูตื่นเต้นมากกว่าเมื่อกี้เยอะเลย ทั้งที่เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวันอยู่แล้วนี่นา
“แล้วก็ไปกินข้าวก่อนด้วย”
“ไม่หิวอ่ะ...”ผมพูดพร้อมช้อนตาอ้อนๆ ไม่อยากกินนี่นา อย่าบังคับเชียวนะ
“ต้องกิน ไม่งั้นโกรธจริงๆ นะ”อีกฝ่ายพูดพร้อมลูบหัวผมเบาๆ
นี่ผมเหมือนแมวงั้นหรอ ?
“อาบน้ำได้แล้ว ไปล่ะ แล้วเจอกันนะ”อีกฝ่ายพูดพลางเดินออกจากห้องไป
ผมใช้เวลาไม่นานนักที่จะอาบน้ำ พอเสร็จเดินลงมาจากชั้นสอง ก็เห็นอีกคนนั่งเล่นโทรศัพท์รอผมอยู่แล้ว
“มาเร็วจัง”ผมทักขึ้น อีกฝ่ายเงยหน้ามามองแล้วยิ้มให้ผม
“ไม่นานหรอก ไปกันเลยมั้ย ?”อีกฝ่ายถาม
“อืม ไปดิ”อีกฝ่ายเดินมาจูงมือผม แล้วเราก็เดินไปด้วยกัน...
เหมือนคำๆ นี้มันมีหลายความหมายเลยเนาะ ^^
เมื่อมาถึงที่มหา’ลัยแล้ว ผมก็รู้สึกถึงรังสีแปลกๆ ที่มองมาที่ผมกับอีกคนเสมอ มันเกิดอะไรขึ้นรึปล่าวเนี่ย ?
“วินน์ ทำไมมีแต่คนมองเราสองคนอ่ะ”ผมกระซิบถามอีกคนเบาๆ ตอนนี้เรายังเดินจูงมือกันอยู่กำลังจะไปเข้าห้องเรียน หลังจากไปกินข้าวต้มมาเป็นอาหารเช้ามาเรียบร้อยแล้ว
“ไม่รู้สิ”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่สนใจเท่าไหร่ แต่สายตานี่แปลกๆ นะ
“ทำไมมองกูแบบนั้นล่ะ ? นี่ไม่เชื่อหรอว่ากูไม่รู้น่ะ”
“เออ กูไม่เชื่อ เรารู้จักกันมานานแล้วนะ คิดว่ากูไม่รู้รึไงว่ามึงต้องรู้อะไรมาแน่ๆ อ่ะ”ผมพูดจับผิดอีกฝ่ายทันที แต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร ก็มีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเราซะก่อน
“น้องวินน์กับน้องนิวเยียร์ใช่มั้ยคะ ?”หน่วยกล้าตายคนแรกเดินเข้ามาถามพวกเรา โดยมีเพื่อนๆ อีกหลายคนอยู่ด้านหลัง
“ครับ/ครับ”เราสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน พี่ๆ เค้าเลยกรี๊ด ?
“คือ...ถ้าพี่จะขอถ่ายรูปกับน้องทั้งสองคนได้มั้ยคะ ?”พี่เค้าถามสีหน้าลุ้นๆ
“ได้ครับ/ได้ครับ”เราพูดพร้อมกันอีกครั้ง พร้อมกับเสียงซุบซิบของพี่เค้า
“มาเร็วพวกมึง”พี่คนสวยเรียกเพื่อนๆ ด้านหลังมาถ่ายรูปกับพวกเรา ผมไม่ยิ้มหรอกนะ เมื่อยปาก และผมก็จะยิ้มเฉพาะตอนที่อยากยิ้มเท่านั้นด้วย ไม่งั้นเอาอะไรมาง้างปากก็ไม่ยิ้มหรอก
“ขอบคุณนะคะทั้งสองเลย นี่ค่ะของเล็กๆ น้อยๆ ของพี่ๆ นะรับไปด้วยน้า แล้วก็...”
“...รักกันนานๆ นะคะ”พวกพี่เค้าพูดพร้อมกัน
ว่าแต่คำพูดสุดท้ายนี่คือไร ? รักกัน ? เพื่อนก็ต้องรักกันอยู่แล้วมั้ยล่ะ ? งงใจคนเรา แล้วนี่อะไรเนี่ย ขนมนมเนยเยอะแยะเชียว แต่ก็ดี เพราะผมชอบกินขนม
“ยิ้มเชียวนะ ทีเมื่อกี้ล่ะไม่ยิ้มนะ”คำพูดกระแนะกระแหนจากเพื่อนสนิทของผมดังขึ้น
“ก็กูชอบกินขนมนี่หว่า แล้วนี่ทำไมซื้อมาให้กูวะ ทำเหมือนกูเป็นคนดังของคณะงั้นแหละ”ผมพูดขึ้นอย่างสงสัย เพิ่งมามหา’ลัยวันที่สองเองนะ ไม่น่าจะดังขนาดมีแฟนคลงแฟนคลับหรอกมั้ง
“ก็ไม่แน่...บางทีอาจจะมีเป็นแพ็คคู่ด้วยนะ”อีกฝ่ายพูดพร้อมแย่งขนมผมไปอีกถุง เนียน...เนียนไปและ
“อย่ามาเนียน เอามา”พอผมจะชิงถุงขนมกลับ อีกฝ่ายกลับชูสูงขึ้นไปอีก
ก็รู้นะว่าผมเตี้ยอ่ะ ทำไมทำแบบเน้ !!!
“ฮ่ะๆ ไอ้เด็กเตี้ย”
“งือออ ไม่กินแล้วก็ได้ แต่อย่ามาแย่งอีกนะ บอกก่อนเลย ไม่ให้ !”ผมย้ำคำสุดท้าย แน่นอนว่าเอาไปถุงนึงแล้ว ผมไม่แบ่งอีกแน่นอน พี่เค้าเอามาให้ 3 ถุงเอง เพราะงั้นถือว่าผมเสียสละถุงเล็กสุดไปให้ ? เค้าแล้วนะ เพราะงั้น ผม ไม่ ยอม !
“เออๆ ไม่แย่งหรอกนา ตัวเล็กขนาดนี้กินเข้าไปให้ตัวแตกตายไปเลยนะ”
“ทำมาเป็นแซะนะ แล้วแย่งขนมกูทำไม ?”นี่ นี่เริ่มแผนล่ะนะ
“กูแค่แกล้งเองหน่า คิดมากจริงเตี้ย”อีกฝ่ายลูบหัวผมอีกครั้ง
“ด่าเตี้ยอีกแล้วนะ ทำไมวันนี้ด่าคำนี้บ่อยจัง”
“เค้าไม่เรียกด่า เค้าเรียกชม เตี้ยก็น่ารักไง”
“อะ...ไอ้บ้า ผู้ชายที่ไหนอยากให้ชมว่าน่ารักเล่า //”พูดจบก็เดินหนีแม่งเลย กล้าดียังไงมาว่าผมน่ารักเนี่ย ผมไม่น่ารักนะ ผมน่ะหล่อ แล้วผมก็ไม่ได้เตี้ยด้วย ผมสูง 165 เซนติเมตรเชียวนะ ไม่นานก็คงเพิ่มอีกสัก 2 เซน...มั้ง นี่มันไม่เตี้ยเฟ้ย ! มันน่ะสูงเกินไปเท่านั้นเอ๊งงง
แล้วผมจะใจเต้นเเรงทำไมกันเนี่ย
แต่ก็...ขอบใจนะ ที่น่ารักกับเราเสมอเลย
เย้...กลับมาเป็นปกติเเล้ว ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบนะคะ ฝากคอมเมนท์ด้วยน้าาา