Symphony of Ives - เพลงรักสีขาว - บทที่ 14 - Wedding March [20/10/2561]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Symphony of Ives - เพลงรักสีขาว - บทที่ 14 - Wedding March [20/10/2561]  (อ่าน 11760 ครั้ง)

ออฟไลน์ Marymo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-2
    • Fanpage: ปิงปองโต้คลื่น
บทที่ 14 – Wedding March









คนเราทุกคนลองได้มีเรื่องทุกข์ใจขึ้นมา ก็คงมีเป๋ไปบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่จะแปลกก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เราทุกคนมีสถานที่ที่สบายใจจะอยู่แตกต่างกันนี่ล่ะ เวลาเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า ‘เวลาเศร้าใจที่สุด จะนึกถึงใครหรือสถานที่ไหนเป็นที่แรก’ คนส่วนใหญ่ก็คงจะตอบว่าบ้าน ครอบครัว ไม่ก็เพื่อนสนิท แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มองว่าสถานที่หรือบุคคลเหล่านั้นคือความสบายใจ


ผมคนนึงล่ะ


“เห วันนี้ชวนผมออกมากินข้าวด้วยได้แบบนี้ ท่าทางพายุจะเข้าไทยนะครับ”


น้ำเสียงเอ่ยแซวจากเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอดทำให้ผมยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน เด็กคนนี้ก็ร่าเริงได้เสมอเลยสินะ


น่าอิจฉาจังเลย


“พูดมากน่า จะกินไหมของฟรีน่ะ”


ผมแสร้งขู่ไปอย่างนั้นเอง และเหมือนอีกคนจะรู้ทันเสียด้วย


“ได้ไงอะพี่ เลี้ยงแล้วเลี้ยงเลย ห้ามกลับคำสิครับ”


เขาว่าพลางหัวเราะ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่ปกติก็กว้างมากอยู่แล้ว มาตอนนี้ก็ยิ่งกว้างเข้าไปอีก


ยิ้มกว้างขนาดนั้น ไม่เมื่อยบ้างรึไงนะ


ผมอมยิ้มบางก่อนจะละสายตาจากคนตรงข้ามแล้วเหม่อมองไปรอบๆ ร้านพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย


หลังจากวันที่พี่ชัยบอกผมว่าอยากจะลาออกก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้ว ทุกวันที่พ้นผ่านไป ก็ดูเหมือนจะเป็นปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่ พวกเรายังทำงานด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน พี่ชัยก็ยังเลิกงานเวลาเดิม เจ้าไวท์ก็ยังขยันขับรถไปส่งผมที่บ้านเสมอไม่เคยขาดจนผมถอดเฝือกไปแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดทำ ทุกอย่าง มันดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด แต่ลึกๆ แล้วผมก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันไม่ได้ปกติอย่างที่ตาเห็น


ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป...พวกเรา กำลังถูกสิ่งที่เรียกว่าเวลาบังคับให้เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ


ไวท์ที่มีท่าทีตกใจและเสียใจเรื่องพี่ชัยในตอนแรกที่ได้ยิน จำได้ว่าตอนที่น้องมันรู้เรื่องก็เอาแต่ตีโพยตีพายไม่ยอมท่าเดียว ไม่น่าเชื่อเลยว่าผ่านมาแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็‘ดูเหมือน’จะกลับมาร่าเริงได้แล้ว ด้านพี่ชัยเองก็พอกัน ถึงปากจะบอกว่า ‘ลาออกไปน่าจะดีกว่านะ’ แต่พอเอาเข้าจริง ผมกลับมองเห็นดวงตาของเขาหม่นแสงลงเรื่อยๆ


มนุษย์นี่แปลกเอาเรื่องทีเดียว ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกอย่างแรงกล้า แต่พอเวลาผ่านไป ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเหล่านั้นก็ค่อยๆ เบาบางลงอย่างน่าประหลาดใจ


ผมเองก็เหมือนกัน


จากเมื่อก่อนที่ผมเอาแต่ปฏิเสธเรื่องที่พ่อแม่บอกให้ทำ แต่พอได้คุยกับพี่ชัย ได้รู้จักกับไวท์ ความรู้สึกเหล่านั้นมันก็เบาบางลงอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เคยคิดว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ยอมเดินตามทางที่พ่อแม่ขีดไว้ให้ แต่สุดท้ายแล้ว พอได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของชีวิต มันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า ‘ถ้ายอมทำตามที่เขาบอก จะดีกว่าไหมนะ’


ผมดึงสายตาตัวเองกลับมามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม


สักวันนึงเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมก็ต้องเติบโต ต่อให้วันนี้เขาชอบผมหรือผมชอบเขา สักวันนึงความรู้สึกของเราก็ต้องเปลี่ยนไป แต่ว่า...


...ถ้าได้มีโอกาสเดินเคียงข้างกันสักครั้งก่อนจะถึงวันที่ต้องบอกลานั่น ก็คงจะดี...


“พี่อีฟส์ ทำไมจ้องหน้าผมขนาดนั้นล่ะครับ มีอะไรติดหน้าผมเหรอ”


เสียงเอ่ยทักที่ดังขึ้นมาทำให้ผมต้องหยุดเรื่องราวที่คิดไว้ในหัวแล้วกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง


“เปล่า ไม่มีหรอก”


ผมพูดขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นเท้ากับโต๊ะแล้วเอาหัวไปวางพักไว้บนมือด้วยท่าทีผ่อนคลายยิ่งกว่าทุกครั้ง


ปกติแล้วผมไม่นั่งเท้าแขนนอกบ้าน บนโต๊ะอาหารยิ่งไม่เคย นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมนั่งเท้าแขนใส่ใครสักคนนอกเหนือจากป้าแก้วกับแม่


พิเศษ...จริงๆ ล่ะนะ


ผมมองหน้าเข้าไม่วางตาก่อนจะคลี่ยิ้มส่งไปให้บางๆ


“ก็แค่รู้สึกว่า ทำไมแกถึงอารมณ์ดีได้ตลอดเลยนะ”


นัยน์ตาคมเบิกโตขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง


“อ้าว ก็มันไม่มีอะไรให้ทุกข์นี่พี่ จะเศร้าไปทำไมล่ะ”


“เปล่า ก็ไม่ได้หมายถึงเรื่องทุกข์ใจหรืออะไรแบบนั้น” ผมขยับตัวเล็กน้อยด้วยจนคำพูดไปหลายอึดใจก่อนจะอธิบายต่อ "ก็แบบว่า...ดีจังที่ไม่ต้องมานั่งเครียดเรื่องอนาคตหรืออะไรเทือกๆ นั้นน่ะ“


“เอ อนาคตเหรอครับ”


คนฝั่งตรงข้ามเปรยขึ้นมาด้วยท่าทีสนอกสนใจ เขานิ่งเงียบคล้ายกำลังคิดถึงเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันมาสบตาผม
“พี่อีฟส์คิดจะทำงานที่นี่ตลอดไปเลยใช่ไหมล่ะครับ พี่เคยบอกผมเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนช่วงที่พี่สอนเพลงคลาสสิคให้ผมครั้งแรก ผมจำได้นะ”


อา...เรื่องนั้นน่ะ...


“ผมว่าก็ดีนะพี่ งานที่นี่ก็ไม่หนักด้วย ได้ทำงานด้านเพลงคลาสสิคที่พี่ชอบด้วย ผมว่าถ้าผมเรียนจบแล้วก็กะจะมาทำงานที่นี่เหมือนกันนะครับ”



“เอ๊ะ” ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าแกเรียนคณะสายวิทยาศาสตร์เหรอ”


คนถูกถามพยักหน้ายิ้มๆ


“ก็ใช่ครับ”


เห....


“แล้วทำไมถึงอยากมาทำงานที่นี่เสียล่ะ เงินเดือนก็น้อย ความก้าวหน้าก็ไม่มี ตอนนั้นแกยังถามพี่อยู่เลยแท้ๆ จำได้ไหม”


“อ๋อ ตอนนั้นน่ะเหรอครับ จะว่ายังไงดีล่ะ....” เขาหัวเราะน้อยๆ “ก็ถามไปเพราะอยากรู้ว่าพี่จะทำงานที่นี่ต่อไปอีกนานไหมน่ะครับ”


“เพื่อ?”


“ก็...”


ท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายไม่อยากบอกนั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นกว่าเก่าจนต้องยอมเสียมารยาทอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


“ก็?”


“ก็แบบว่า....”


เสียงหัวเราะแห้งๆ ที่ดังขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด โชคดีที่เจ้าตัวยังฉลาดพอที่จะไม่ต้องให้ผมช่วยบอก


นัยน์ตาดำขลับเหลือบมาสบตาผมก่อนจะหรี่ลงเหลือนิดเดียวเพราะรอยยิ้มจืดๆ ที่ถูกคลี่ประดับบนใบหน้า


 “อา...ไม่อยากบอกพี่ที่นี่เลย เรา...ออกไปเดินเล่นที่อื่นได้ไหมครับ”


“เพื่อ?”


“ก็สถานที่ตรงนี้มันไม่ได้ไงพี่”


ผมเลิกคิ้ว


“ไม่ได้? ยังไง?”


“มันไม่ได้ไงพี่ แบบ..คนมันเยอะ เสียงมันดัง ไม่ไหวหรอก เปลี่ยนที่กันเถอะ”


ดูจากสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายแล้ว ท่าทางว่าเหตุผลที่ทำให้น้องมันอุตส่าห์เอ่ยปากถามผมขึ้นมานี่คงไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


เอาวะ ยอมมันสักวันก็แล้วกัน


“งั้นก็ยังไม่ต้องบอก กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


“อา....โอเคครับ แบบนั้นก็ได้”


แล้วการกินข้าวเย็นของพวกเราหลังจากนั้นก็ไร้ซึ่งการสนทนาใดๆ โดยสิ้นเชิง ไม่มีใครถาม ไม่มีใครตอบ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมาสักคำ สิ่งที่พวกเราทำมีเพียงการตะบี้ตะบันจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะพากันย้ายร่างไปยังบริเวณสวนหย่อมหน้าร้านข้าวอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่อีกคนนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกัน ผมก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามขึ้นมาทันที


“ตกลงยังไงหืม?”


“โห จำแม่นจัง นึกว่าลืมไปแล้วนะเนี่ย”


“ตลก” ผมว่าพลางตีหัวคนข้างๆ เบาๆ ไปหนึ่งที “อย่าเล่นลิ้น ว่ามาเร็ว”


“เอาจริงพี่ก็ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านเหมือนกะ...”


“ไวท์”


“โอเคครับ บอกก็บอก”


เด็กหนุ่มข้างตัวผมสูดหายใจเข้าปอดลึกกว่าปกติก่อนจะเริ่มพูด


“ที่ผมถามออกไปน่ะ ก็แค่เพราะอยากมั่นใจว่าความพยายามของผมจะไม่สูญเปล่าก็แค่นั้นเอง”


ผมลอบกลืนน้ำลายอย่างรวดเร็ว...เร็วพอที่จะไม่ให้อีกคนได้ทันสังเกตเห็น


ความพยายามจะได้ไม่สูญเปล่างั้นเหรอ ทั้งที่ถ้าผมย้ายไปก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อเขาแท้ๆ จะเรียนหรือไม่เรียนเพลงคลาสสิคสุดท้ายแล้วผลประโยชน์มันก็ตกอยู่ที่ตัวเขาไมใช่ผมเสียหน่อย


ในกรณีปกติน่ะนะ....


ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เลยแฮะ เล่นบทพาซื่อออกไปอีกหน่อยก็แล้วกัน ไหนลองโยนเหยื่อล่อใส่เจ้าปลานี่หน่อยสิ...


“ฮะ?  ความพยายามจะเสียเปล่ายังไงล่ะ พี่จะย้ายหรือไม่ย้ายมันก็ไม่เห็นเกี่ยวเลย”


“เกี่ยวสิพี่”


เจ้าปลาบ้า โดดงับเต็มๆ แบบไม่คิดเลย


มาขนาดนี้แล้ว คงมีแต่ต้องไปต่อเท่านั้นสินะ


“ยังไงล่ะ”


ผมว่าพลางแสร้งเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าการแสดงสีหน้าของผมจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เพราะอีกคนไม่ได้หันมามองหน้าผมเลยสักนิด


“ก็แบบว่า...”


ผมเห็นเขายกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อย


“แบบว่า?”


“ก็แบบ...ที่ผมยอมเรียนดนตรีคลาสสิคที่ไม่ค่อยถูกโฉลกด้วยก็เพราะพี่เลยนะ”


“เพราะพี่?”


ผมไม่เข้าใจ...ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้เข้าใจ


ไม่เอาน่า ผมเองก็อายุสามสิบเข้าไปแล้วนะ เรื่องง่ายๆ อยากกำลังโดนสารภาพรักหรือโดนแอบชอบแบบนี้น่ะดูออกอยู่หรอก แค่บางครั้งก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองก็แค่นั้น


ปกติแล้ว ในกรณีที่กำลังจะโดนสารภาพรักแบบนี้ ยังไงเสียก็คงจะปฏิเสธไปแบบไม่ทันต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบด้วยซ้ำ เพราะส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบคนที่รุกเข้ามาหนักๆ สักเท่าไหร่ ยิ่งพวกตามเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นนี่ยิ่งไม่เอา แต่ก็นะ...ทุกอย่างมันมีข้อยกเว้นเสมอนั่นล่ะ


“อือ เพราะพี่นั่นล่ะ”


“ทำไม...ล่ะ จะบอกว่าที่มาทำงานที่นี่ก็เพราะพี่ อยากเรียนเพลงคลาสสิคก็เพราะพี่....เหรอ”


“อือ ตามนั้นน่ะล่ะ”


ผมแกล้งขมวดคิ้วยุ่งคล้ายว่าไม่เข้าใจจริงๆ


“ทำไมกันล่ะ”


“โอ๊ยพี่อีฟส์” คนข้างๆ ผมขยี้หัวตัวเองด้วยความขัดใจก่อนจะยอมหันหน้ามาสบตาผมในที่สุด “พี่โคตรบื้อเลย รู้ตัวไหม”


น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งนั่นผมนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี


เวลาคนเราโมโหน่ะ มันมักจะหลุดสิ่งที่คิดในก้นบึ้งของหัวใจออกมาเสมอนั่นล่ะ


ไหน ลองกระตุ้นอารมณ์โกรธนั่นหน่อยสิ


“อ้าว พูดดีๆ ดิ แค่ไม่เข้าใจไหมล่ะ ไม่เห็นจะต้อง...”


“มันเข้าใจยากตรงไหนเนี่ยพี่ ที่ผมทำไปทุกอย่างก็เพื่อพี่ ก็แค่อยากให้พี่สนใจ ก็แค่อยากให้พี่มองเห็นผมบ้าง สนใจผมบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เมินกันเหมือนหลายปีก่อนหน้านี้ ผมก็แค่...”


“ก็แค่?”


“ก็แค่....”


“ก็แค่?”


“ก็แค่...”


“โว้ย พูดสักที ไม่งั้นพี่จะเรียกแท็กซี่กลับบ้านแล้วนะ”


“โห ใจเย็นสิพี่ มันพูดกันง่ายๆ ที่ไหนกันล่ะ”


ให้ตายสิ เด็กหนอเด็ก


ผมถอนหายใจเบา ก่อนจะหันไปสบตาอีกคน


“นี่” ผมเริ่ม “อย่าให้ที่ร่ายมาทั้งหมดมันเสียเปล่าสิ”


“นั่นก็...เอ๊ะ” นัยน์ตาดำขลับเบิกกว้าง “อย่าบอกนะว่า...”


“เออ” ผมพยักหน้าช้าๆ “รู้มานานแล้ว แต่รอให้บอกอยู่เนี่ย”


“เห!”


“เหอะไรล่ะโว้ย เบาๆ เสียงหน่อย”


เสียงตะโกนดังลั่นของเด็กหนุ่มเรียกความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปมาได้ชะงัดเสียจนผมต้องรีบหันไปโบกมือเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรส่งให้ คนพวกนั้นจึงได้ยอมเดินจากไป


เด็กบ้าเอ๊ย วุ่นวายจริงๆ เลย


“ทำไมพี่รู้ก่อนอะ พี่รู้ก่อนได้ไงอะ”


“ยังต้องถาม?”


“นี่ผมแสดงออกชัดไปเหรอ”


คราวนี้ผมไม่พูดอะไรแต่เป็นการตอบด้วยการเลิกคิ้วใส่แทน และเหมือนอีกคนจะเข้าใจสักที


“ผม...รุกไป...สินะครับ”


“มากเลยล่ะ”


เขาหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับสีหน้าประมาณว่า ‘หว้า โดนจับได้แล้วสิ’


“ไม่รู้ตัวเลยนะครับเนี่ย”


“ปกติจีบคนอื่นก็ทำแบบนี้เหรอ”


“เปล่าหรอกครับ จริงๆ ผมเพิ่งจีบพี่เป็นคนแรกเลย”


ผมหันขวับไปมองหน้าเขาพลางเบิกตาโตใส่


“พูดจริง?”


“สาบานได้สามวัดเจ็ดวัดเลยครับ”


“มิน่าล่ะ...”


“ห่วย...สินะครับ”


ผมยักไหล่


“เปล่าหรอก แค่ทื่อไปหน่อยน่ะ”


“โห เจ็บปวดนะคะ...”


“แต่ก็ชอบนะ”


“เห!?”


พอได้ยินเสียงอุทานของเขา มันก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ สิน่า


“เหอีกแล้ว วันนี้เหมากี่รอบแล้วหืม?”


“ก็พี่เอาแต่พูดเรื่องน่าตกใจทั้งนั้นเลยนี่ครับ”


“ก็นะ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบไป


บทสนทนาของพวกเราชะงักไปครู่ใหญ่ แต่มันก็ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดอะไร พวกเราแค่เพียงปล่อยให้ความเงียบและสายลมปลอบประโลมหัวใจให้เต้นเบาลงอีกหน่อยก็แค่นั้น


ก็แค่...ปล่อยให้ตัวเองได้มีเวลาคิดและทบทวนอะไรหลายๆ อย่างก็เท่านั้น


ผมชอบเขา นั่นเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยอายุที่ต่างกันขนาดนี้ ถ้าเกิดคบกันจริงๆ จะไปกันรอดไหมนะ


มองไม่ออกเลยว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง...


“ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว...” เสียงของคนที่อยู่ในห้วงคำนึงดังแทรกขึ้นมาจนผมต้องผละออกมาจากโลกของตัวเองชั่วคราวแล้วหันไปมองหน้าเขา


“เอาสิ อยากพูดอะไรก็ว่ามาเถอะ”


คนข้างตัวเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะหลบตากลับไปคล้ายคนไม่มั่นใจ ไม่ก็กำลังเขินอายอย่างหนัก ผมเห็นเขาสูดหายใจเขา ผ่อนลมหายใจออกอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้งก่อนจะหันกลับมาสบตาผมอย่างจริงจังในที่สุด


“พี่อีฟส์ครับ”


เขาเริ่มด้วยท่าทีที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็น


“ตลอดสามปีที่รู้จักกันมา ผมเฝ้ามองพี่มาตลอดเลยนะครับ”


นัยน์ตาคู่นั้นที่เปล่งประกายภายใต้แสงไฟจากหลอดไฟขุ่นมัวบนยอดเสา สดสวยยิ่งกว่าดวงดาราบนฟ้าสีหม่นของคืนนี้เสียอีก


“ตอนแรกที่เข้ามาทำงาน ผมเกือบจะลาออกอยู่แล้วครับ มีที่ไหนกัน งานก็ไม่ใช่น้อย แต่ดันได้ค่าจ้างนิดเดียว แต่ก็นั่นล่ะครับ ในวันที่กำลังลังเล ผมก็ดันได้พบกับพี่เข้า”


น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความร่าเริงและสดใสยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยฟัง


“พอได้เห็นพี่ที่ทำงานด้วยค่าจ้างน้อยนิดอย่างมีความสุขขนาดนั้น ผมก็ได้แต่สงสัยว่าพี่ทำแบบนั้นได้ยังไงกันนะ ทำไมถึงยังยิ้มได้ทั้งที่เงินเดือนที่ได้รับมันแทบไม่พอยาไส้ด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นก็เลยเอาแต่มองพี่มาตลอด รู้ตัวอีกทีมันก็ชินกับการมีพี่อยู่ในสายตาไปซะแล้ว”


เขายิ้ม...ส่งยิ้มกว้างมาให้ผมด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข


“กว่าจะรู้ตัวอีกที...”


เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ผมอีกเล็กน้อยก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือมากุมมือผมเบาๆ


“ผมก็...ชอบพี่ไปเสียแล้ว”


อา...ให้ตายสิ...บ้า...ชะมัดเลย จู่ๆ เล่นบอกมาชอบกันด้วยท่าทีจริงจังแบบนี้มันก็...อา...ทำไงดีล่ะเนี่ย


ควรตอบออกไปว่าอะไรดีนะ


“ไม่ต้องรีบให้คำตอบผมตอนนี้ก็ได้นะครับพี่”


คงเพราะเห็นท่าทางอึ้งกิมกี่ของผมเข้า อีกฝ่ายก็เลยรีบยกมือขึ้นมาโบกไปมาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร แต่ถึงจะไม่พูดออกมาก็ใช่ว่าผมจะโง่เสียจนไม่รับรู้อะไรเลย


สีหน้าหมองๆ นั่นน่ะ เห็นจากดาวอังคารก็รู้แล้วว่าเสียความมั่นใจไปมากขนาดไหน...


เอาวะ ยังไงก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่นะ...


“อันที่จริง...”


เสียงของผมดึงความสนใจจากคนที่กำลังโบกมือหย็องๆ ไปมากลับมาได้ชะงัด เด็กหนุ่มหยุดทำท่าทางแก้เก้อประหลาดๆ ของตัวเองแล้วหันมาฟังผมอย่างตั้งใจ ดวงตาหมองๆ คู่นั้นกลับมามีประกายสดใสอีกครั้ง


ท่าทางแบบนั้น จะให้กลั้นยิ้มได้ยังไงไหวกัน


“อันที่จริงอะไรล่ะพี่ อย่าเอาแต่ยิ้มสิ ผมลุ้นนะ”


ท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่ายทำเอาผมเผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้


ให้ตายสิน่า...


“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่า...”


ผมโน้มหน้าไปข้างหูของเขาก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ


“พี่ก็...ชอบไวท์เหมือนกันนะ”


“หะ...”


ยังไม่ทันที่อีกคนจะได้อุทานออกมาอีกครั้ง ผมก็พลันรีบเอานิ้วไปหยุดริมฝีปากช่างเจรจานั่นเอาไว้เสียก่อน


นิ้วชี้ของผมแตะลงบนกลีบปากนุ่มนั่นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากเตือน


“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวคนเขาก็ตกใจกันหมดอีกหรอก”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับนั่นล่ะผมถึงได้ดึงมือกลับมาก่อนจะเริ่มชวนคุยต่อ


“แล้ว...หลังจากนี้จะเอายังไง”


“เอ๊ะ”


เขาหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าฉงนใจเสียจนผมต้องอธิบายต่อ


“ก็...จะคบกันหรือไม่คบกันหรือยังไงดี”


“คบสิพี่!”


“ชู่! เบาๆ หน่อย”


ผมว่าพลางยกนิ้วมือขึ้นมาแตะปากตัวเองเป็นสัญลักษณ์


“โทษทีพี่ ผมลืมตัว”


เขาว่าพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อย...ใกล้เสียจนผมรับรู้ไอร้อนจากผิวเขาได้อย่างชัดเจน


เจ้าหัวใจ เต้นเบาลงกว่านี้หน่อยได้ไหมเล่า


“งั้นตอนนี้ผมกับพี่ก็...เป็นแฟนกันแล้ว...เนอะ”


“อือ”


ผมทำใจอยู่หลายอึดใจก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเขาช้าๆ


“ก็...ตามนั้นล่ะ”


ทันทีที่ได้ฟังคำตอบรับจากผม ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็พลันประดับด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างถ้าไม่ติดว่า...


-ซ่า-


จู่ๆ หยาดน้ำจากฟากฟ้าก็พากันกรูลงมาใส่พวกเราสองคนที่นั่งอยู่กลางแจ้งเสียจนเปียกโชกน่ะนะ


ท่าทาง...ผมจะโดนเบื้องบนเกลียดเข้าแล้วจริงๆ ด้วยล่ะนะ...






*****************************************************************************

[เกร็ดความรู้]


เว็ดดิงมาร์ช (Wedding march) ของเฟลิคส์ เม็นเดิลส์โซน ในบันไดเสียงซี เมเจอร์ แต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1842 เป็นส่วนหนึ่งของท่อนอินเตอร์เมซโซ ระหว่างองก์ที่ 4 และ 5 ของสวีทสำหรับประกอบละครเวทีเรื่อง ฝัน ณ คืนกลางฤดูร้อน (A Midsummer Night's Dream) ของวิลเลียม เชกสเปียร์

โดยทั่วไปมักบรรเลงด้วยออร์แกน นิยมใช้บรรเลงในงานแต่งงานแบบตะวันตก ขณะเจ้าสาวเดินทางเข้าสู่พิธี ควบคู่ไปกับเพลง ไบรดัลคอรัส จากอุปรากร โลเฮ็นกริน ของริชาร์ด วากเนอร์ และพรินซ์ออฟเดนมาร์กมาร์ช ของเจเรเมียห์ คลาร์ก

เว็ดดิงมาร์ชของเม็นเดิลส์โซน ถูกใช้บรรเลงในงานแต่งงานครั้งแรกในปี ค.ศ. 1847 แต่มาได้รับความนิยมหลังจากพระราชพิธีอภิเษกของเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี กับเจ้าชายฟรีดริช วิลเฮล์ม นิโคเลาส์ คาร์ล มกุฎราชกุมารแห่งปรัสเซีย เมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1858 เจ้าหญิงทรงเลือกเพลงนี้เนื่องจากพระราชมารดา คือ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทรงชื่นชมผลงานของเฟลิคส์ เม็นเดิลส์โซน เป็นพิเศษ


ที่มา: เว็ดดิงมาร์ช


ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้กำลังใจคนเขียนครับ o13

ออฟไลน์ Kimmiku

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด