Bad plan แผนร้าย แผนรัก ตอนที่ 22 50 เปอร์ 29/12/2561
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Bad plan แผนร้าย แผนรัก ตอนที่ 22 50 เปอร์ 29/12/2561  (อ่าน 11195 ครั้ง)

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
11

ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เมื่อทั้งบ้านอบอวนไปด้วยความตรึงเครียดป๊ากับเฮียหลงขึ้นไปห้องทำงานตั้งแต่เช้าส่วนเฮียเฟิ่งก็นั่งอ่านนิตยสารเสื้อผ้า...ควรเบลอเฮียไปส่วนซินหมอนั่นบอกเพียงว่าจะขออยู่คนเดียวในห้องเพราะว่าตอนเช้าป๊าได้บอกกำหนดการงานหมั้นกลางโต๊ะทานข้าวใบหน้าขาวก็ซีดเผือดพยักหน้ารับแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จก็ขอตัวขึ้นห้องจนตอนนี้ก็ยังไม่ลงมา ควรให้เวลาเจ้าตัวสักพัก โทรไปจะกวนรึเปล่านะเร็วกว่าความคิดมือผมก็กดโทรออกไปซะแล้ว

“ (ว่าไงเด็กดื้อ) ”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า” แม้ตอนนี้ ชื่อของผมจะเงียบหายไปจากวงการแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีใครส่งข่าวมาให้

“ (ก็นิดหน่อย...แค่มดปลวกนะ) ” ผมไม่อยากให้คนตัวโตมั่นใจเกินไป

“ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง”

“ (มาช่วยเป็นกำลังใจให้เกอได้ไหมล่ะ) ” เดี๋ยวนะ ทำไมเป็นคนแบบนี้ หยางอี้จะชอบแทนตัวเองว่าเกอเวลาที่จะแกล้งเย้าผมเล่นได้แต่กลอกตามองบนถ้าอยู่ใกล้ๆ นะจะฟาดหน้ากวนๆ นั่นสักสี

“ช่วยงานครับช่วยงาน”

“ (ว้า มานั่งเฉยให้เกอมองหน้าก็ได้นะ) ”

“หยอดอย่างกับขนมครก”

“ (ขนมครก??) ” น้ำเสียงงงๆ เออไม่น่าเล่นอะไรที่อีกคนไม่รู้เรื่องเลยได้แต่บอกปัดไป

“ช่างเถอะ ตกลงจะให้ช่วยรึเปล่าครับ ถ้าไม่ผมจะวางสาย”

“ (โอ๋ๆ เดี๋ยวพี่ส่งคนไปรับ) ” บอกเพียงว่าจะรอแล้วก็วางสาย เดินกระโดดไปนั่งข้างๆ พี่เฟิ่งที่รีบวางนิตยาสารในมือหันมามองหน้าผม

“ไงจะไปไหนลูกหมา” กี่ปีกี่ปีพี่เฟิ่งก็เรียกผมว่าลูกหมา โดยพี่แกให้เหตุผลว่าผมเหมือนลูกหมาส่วนซินนั้นเหมือนลูกแมว...เอาที่พี่สบายใจ

“ไปกับอี้เกอ” พอบอกว่าจะไปกับใครพี่เฟิ่งก็เบ้ปากกลอกตาถอนหายใจยาวท่าทางจะหมั่นไส้หยางอี้มาก

“มันจะพาไปไหนล่ะ”

“ไปช่วยงานนะ เฮีย..เรื่องหมั้นเราช่วยอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ” พอถามจบพี่เฟิ่งก็ถอนหายใจยาวแล้วส่ายหัวเบาเขาก็อยากที่จะช่วยน้องอยู่เหมือนกันแต่ดูเหมือนป๊าจะหมายมั่นปั้นมือกับการหมั้นครั้งนี้มาก

“กำหนดการมันออกมาแล้วล่ะ เฮียอยากให้รินช่วยดูซินด้วยนะ”

“อือผมจะช่วยดู” นั่งคุยอยู่นานก่อนที่พ่อบ้านจะเข้ามาบอกว่ามีรถมารอรับแล้ว บอกลาเฮียก่อนที่จะคว้าข้าวของวิ่งไปขึ้นรถของหยางอี้ส่งมา และคนที่มารับก็เป็นคนที่ผมรู้จักดี

“สวัสดีครับพี่นิว”

“สวัสดีเช่นกันครับคุณหนูริน” ทักทายเสร็จพี่นิวก็ออกรถ เส้นทางไม่คุ้นตาทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้

“ไม่ได้ไปที่บ้านอี้เกอเหรอครับ”

“ไม่ครับ บอสให้ผมพาคุณรินไปส่งที่บริษัท” ผมพยักหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นไปเรื่อยเล่นไม่นานรถก็มาจอดใต้ตึกสูงพี่นิวเปิดประตูรถเดินนำขึ้นลิฟต์ส่วนตัวไปยังชั้นผู้บริหาร เมื่อถึงชั้นบนสายตากลมได้แต่กวาดมองรอบๆ ทิวทัศน์นอกกระจกมีตึกสูงและท้องฟ้าสีคราม

“เชิญเลยนะครับเดี๋ยวผมจะเอาน้ำและขนมเข้าไปให้”

“ขอบคุณครับพี่นิว” หันไปขอบคุณพี่นิวที่โค้งให้ก่อนที่จะเคาะประตูเบาๆ สองสามครั้งก่อนที่เสียงทุ้มจะบอกอนุญาตให้ผมเข้าไป

“มาแล้วเหรอเด็กดื้อ”

“ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย” จมูกรั้นยู่อย่างขัดใจเดินไปนั่งลงที่โซฟาสำหรับรับแขกยกมือกอดอก

“พี่ดีใจนะที่รินยอมมา”

“ก็..จะตอบแทนที่ช่วยไว้” ผมได้แต่ก้มหน้ามองมือถือหลบสายตาคมที่มองมา สายตาที่ผมไม่กล้าสบตามันทั้งทำให้รู้สึกแปลกๆ ทั้งยังแววตาที่สื่อความหมายที่ไม่เข้าใจนั่นอีกมันช่างเรียกความร้อนมากองที่หน้าได้ง่าย เลือดลมผมดีเกินไปหรือเปล่านะได้แต่สงสัยกับร่างกายตัวเอง

“งั้นพี่จะให้คนเอาของมาให้นะ” แวบหนึ่งเหมือนเขาเห็นสายตาคมนั่นหม่นแสงลงแต่มันก็เพียงแวบเดียวจนคิดว่าเขาคงตาฝาด คนตัวโตโทรสั่งลูกน้องคนสนิทเอาโน๊ตบุ๊คเข้ามาให้ รอไม่นานพี่นิวก็เอาของที่หยางอี้สั่งและขนมเข้ามาให้ผม

“ช่วยสืบนี่ให้พี่ทีนะ” หยางอี้ส่งเอกสารฉบับหนึ่งให้ผม ที่พอกวาดสายตามองคร่าวๆ เป็นรายชื่อบริษัทหลายรายอชื่อเท่านี้ผมก็รู้ตัวว่าจะต้องทำอะไร นิ้วเรียวรัวบนคีย์บอร์ดทันทีที่ออนไลน์ในโปรแกรมส่วนตัวยังไม่ทันที่จะเริ่มทำอะไร เขาก็โดนทักทายจากเพื่อนที่ทักมาทันทีผมรีบหยิบหูฟังเสียบหูก่อนที่จะกดรับคอลจากเพื่อนทันที

“ไง”

“ (หายไปนานนึกว่าจะลาออกไปซะแล้ว) ” มองคนในจอแรงถ้าผมจะลาออกก็คงต้องรอให้เจ้าตัวออกไปใช้ชีวิตปกติได้ก่อนเถอะ

“อะไร ทักมานะมีอะไรกันแน่”

“ (ก็เป็นห่วงไงเห็นเงียบไปนาน) ” ผมยิ้มบางๆ ถึงจะเป็นเพื่อนทางออนไลน์แต่ก็เป็นคนที่มีมิตรภาพดีๆ ให้ ทักทายไม่นานผมก็ขอตัวทำงานเมื่อเริ่มทำงานผมก็ตัดขาดจากรอบตัวทันที ยิ่งค้นยิ่งสืบลงไปก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ นิ้วเรียวหยุดลงแล้วหยิบเอาขนมเข้าปากระหว่างนั้นก็เหลือบมองคนที่ทำหน้านิ่งดูแฟ้มงานท่าทางจริงจังทำให้ผมมองเพลินซะจนอีกคนเงยหน้าขึ้นมาสบตาทำเอาหลบสายตาแทบไม่ทัน

“เสร็จแล้วเหรอ”

“อือ”

“งั้นไปทานข้าวกัน”

“กี่โมงแล้วเนี้ย” เพราะม่านถูกปิดทำให้มองไม่เห็นข้างนอกแถมเวลาทำงานผมก็ลืมเวลา หยางอี้ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วมาจูงมือผมให้เดินตามพอออกมาข้างนอกแล้วต้องตกใจเมื่อมีเพียงความมืดทั่วท้องฟ้า ข้างล่างมีแสงไฟระยิบระยับที่อยากจะมีที่นั่งชมเงียบๆ เดินตามคนตัวโตต้อยๆ จนขึ้นรถจนมาถึงร้านอาหารเล็กๆ เก่าๆ ที่ดูเหมือนจะลับแลมากเพราะต้องเดินเข้ามาในซอยแคบๆ อีกเมื่อเข้าไปในร้านกลับดูอบอุ่นที่นั่งเพียงไม่กี่โต๊ะที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าอยู่เลย

“อ่าวอาหยาง” เสียงพูดจากผู้มาใหม่ทำให้ผมและหยางอี้หันกลับไปมองคนที่เพิ่งเข้ามา ชายหนุ่มที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหยางอี้ รูปร่างแทบจะไม่ต่างกันเพียงแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นดูเป็นมิตรกว่าเท่านั้น

“มาหาอะไรกินนะ”

“แล้วคนที่จูงมือนั่นใครล่ะนั่น” คนตรงหน้ากวาดสายตามามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ไม่ได้ดูจาบจ้วงแต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบหยางอี้ก็ขยับมาบังผมซะมิด

“ยุ่งน่าเหวิน หิวแล้วเอาอะไรอร่อยๆ มากินหน่อยสิ” แม้จะดูห้วนๆ แต่มันมีความสนิทสนมอยู่หลายส่วนพูดจบหยางอี้ก็จูงมือผมไปนั่งที่โต๊ะผมกวาดตามองรอบๆ บรรยากาศดูอบอุ่นไม่นานกลิ่นหอมก็ส่งกลิ่นอบอวนทั่วทั้งร้าน

“รู้จักกับเจ้าของร้านเหรอครับ”

“ใช่เป็นเพื่อนกันมาสมัยเด็กๆ แล้วหมอนี่ไม่รับช่วงต่อเลยมาเปิดร้านอาหาร” เหมือนเฮียเฟิ่งรายนั้นก็หนีจาการรับช่วงต่อช่วยงานเฮียหลงออกเดินทางรอบโลกหาแรงบันดาลใจ

“อ้อ อืมๆ” ผมพยักหน้ารับแต่สายตายังคงมองรอบๆ ไม่นานพี่เหวินก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ ทั้งกลิ่นและสีสันมันน่ากินมากเลยดวงตาผมเปล่งประกายจนพี่เหวินยกยิ้มกว้าง

“ทานเยอะๆ นะครับน้อง....”

“รินครับ น่าทานทั้งนั้นเลย” ผมคุยกับพี่เหวินอีกหลายคำเพราะผมก็ชอบทำอาหารเลยแลกเปลี่ยนความรู้กันพี่แกน่าสนใจมากเลยครับคุยเพลินจนไม่ได้สนใจใครอีกคนที่นั่นน่าบึ้งลงเรื่อยๆ สายตาคมหรี่ลงอย่างน่ากลัว

“เลิกคุยกินได้แล้ว” ผมที่กำลังแชร์เคล็ดลับกับพี่เหวินอยู่ต้องชะงักเมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดของหยางอี้

“โมโหหิวเหรอครับ อ่ะทานครับทาน” ผมรีบคีบกับข้าวใส่ถ้วยให้คนตัวโตที่ดูจะหงุดหงิดสงสัยจะหิวมาก พี่เหวินหัวเราะลั่นส่วนผมได้แต่งงๆ คิบกับข้าวมองดูทั้งสองคนที่นั่งคุยกันในเรื่องที่ผมไม่รู้

“ไว้มาทานอีกนะครับ พี่จะทำของอร่อยๆ ให้ทาน” พี่เหวินบอกกับผมขณะเดินออกมาส่งพวกเราสองคนที่หน้าร้าน

“ครับ” ผมรีบตอบรับในหัวนี่คิดที่จะชวนซินและเฮียทั้งสองคนมาทานร้านนี้สักครั้งยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรเพิ่มเติมคนข้างกายก็คว้าข้อมือดึงผมเข้าไปชิดวันนี้รู้สึกจะขี้หงุดหงิดจัง วัยทองรึเปล่านะ

“กลับ”

“หวงจริงนะ”

“ยุ่ง” เสียงทุ้มกระแทกเสียงใส่หน้าเพื่อนก่อนที่จะดึงผมให้เดินตาม ผมหันหลังไปมองพี่เหวินที่ยืนโบกมือลาไม่ได้ถือสากับท่าทางหงุดหงิดของหยางอี้เลย ผมรีบก้าวเท้าเพื่อให้ตามทันขายาวๆ ของคนที่ไม่รู้จะรีบเดินไปไหน

“เป็นอะไรรึเปล่า”

“เปล่า” เชื่อก็บ้าแล้ว ขนาดตอบผมยังมีน้ำเสียงกระแทกอยู่หางเสียงเลย

“วัยทองเหรอ ฮ่าๆ อ่ะๆ อย่าขมวดคิ้วสิเดี๋ยวตีนกาขึ้นน้า” ขยับไปขวางหยุดเงยหน้ามองคนวัยทองยกมือขึ้นนวดระหว่างคิ้วที่ผูกเป็นโบว์

.

.

ให้ตายเถอะเด็กนี่รู้เรื่องอะไรบ้างไหมถึงได้ขยับเข้ามาใกล้ไหนจะรอยยิ้มหวานนี่อีกที่ทำให้ผมรู้สึกอยากจะคว้าตัวน้องมาฟัดให้จมเขี้ยว ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนไหนนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะรู้สึกกับใครแบบนี้ได้มากเท่านี้

“กล้าล้อพี่เหรอ หือ กลับเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่งบ้านนี่ดึกแล้ว” อยากจะบีบจมูกรั้นๆ นั่นสักทีแต่ก็รู้ว่าที่เจ้าตัวกล้าล้อกล้าเล่นแบบนี้เพราะไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเขาอย่างเช่นที่เขารู้สึกหากแต่เพราะเป็นคนขี้เล่นและขี้อ้อนอยู่แล้ว เฮ้อ เจ้าตัวไม่รู้อะไรบ้างเลยนะ ผมอยากจับมือก็ให้จับโดยไม่ท้วงอะไรเลยแต่ถ้าทำมากกว่านี้คงไม่ได้ หลังจากขึ้นรถมาไม่นานเจ้าตัวก็เหมือนจะนึกได้ว่าโดนจับมืออยู่

“ปล่อยได้แล้วนะมือเนี้ย”

“เรื่องงานที่พี่ให้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง เรื่องอะไรจะยอมทิ้งโอกาสและดูว่าจะทำสำเร็จเพราะน้องพูดเรื่องงานเสียยาวเหยียดแถมยังแจกแจงว่างานอยู่ไหนได้อะไรมาบ้าง

“แล้วจะทำยังไงกับข้อมูลนั้น”

“ก็คงจะเอามาเล่นสนุกสักหน่อยก่อนที่จะปล่อยคืน” ผมยกยิ้มร้ายถ้าถามว่าโดนเล่นงานไปขนาดนั้นทำไมถึงยังออกมาล่อลูกปืนอย่างนี้ เรื่องนี้ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วไม่มีทางที่จะทำให้เด็กดื้อเจ็บหรอกนะ กำลังที่จะชวนให้น้องไปค้างที่บ้านนิวที่ขับรถอยู่นั้นก็รีบหักพวกมาลัยเลี้ยวเข้าซอยแคบและทันทีที่เข้าซอย

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงปืนกราดไล่หลังมาผมรีบรอบเด็กดื้อแล้วดันลงไปนั่งระหว่างเบาะนี่มันเกินจากที่เขาคาดเดาไว้ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขารู้มันไม่ใช่แบบนี้หากไม่ใช่ทางนั้นเดาแผนได้ก็เพราะคนของเขามีปัญหาเพราะขนาดตอนนี้ยังไม่เห็นรถของคนติดตามเสียด้วยซ้ำ

“หึ สงสัยจะได้กวาดทั้งมันและล้างตัวซะแล้วล่ะมั้ง”

“นายครับเอายังไงต่อดี”

“สลัดให้พ้น แล้วกลับบ้าน” ลูกน้องคนสนิทรับคำก่อนที่จะหันไปมีสมาธิกับการขับรถสลัด ก้มลงมองร่างบางที่ตอนนี้ยกมือปิดหูขดตัวเองมือเล็กสั่นเทาพยายามกดหูตัวเอง ผมดึงตัวน้องเข้ามากอดแนบอกลูบแผ่นหลังบางที่สั่นเทาเพื่อปลอบคนที่หวาดกลัว ไม่นานหลังจากที่นิวพยายามสลัดรถติดตามก็มาขัดขวางทำให้พวกเขาหลุดนิวรีบขับรถไปยังบ้านของเขาไม่ได้ตรงไปส่งร่างบางที่หลับอยู่ในอ้อมแขนแก้มขาวมีคราบน้ำตาเมื่อรถจอดสนิทนิวรีบลงมาเปิดประตูรถให้ผมอุ้มร่างบางขึ้นแนบอกขายาวก้าวขึ้นชั้นบนไปยังห้องนอนของตัวเองค่อยๆ วางน้องลงบนเตียงดึงผ้าห่มคลุมนิ้วหนาเลื่อนขึ้นเช็ดน้ำตา

“ฉันจะเอาคืนให้นายแน่” อย่าคิดว่าเขาจะปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาเล่นเขาไปเรื่อยๆ อย่างนี้แน่ ก่อนที่จะลุกไปเขาก็อดใจไม่ไหวที่ก้มลงไปกดริมฝีปากที่หน้าผากเนียน

“ฝันดีนะเด็กดื้อ” บอกเบาๆ ก่อนที่จะลุกเดินออกจากห้องลงไปข้างล่างที่ตอนนี้มีเพียงนิวและลูกน้องคนสนิทอีกสามคนรออยู่ กับเขาไม่คิดที่จะสงสัยหมอนี่ไม่ใช่เพียงคนติดตามแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่ให้มาช่วยงานกลับไม่ช่วยแต่ดันอยากมาเป็นบอดี้การ์ดให้เขาเสียอย่างนั้นเพียงแต่บางครั้งทุกสิ่งอย่างก็ไม่ใช่ความจริง

“เอาเอกสารทั้งหมดที่รินรวบรวมไว้มาแล้วใช่ไหม” นิวพยักหน้าแล้วส่งเอกสารให้ผมรับไว้ในมือ

“จัดการเอานี่ไปจัดการเอาทั้งหมดเป็นของฉัน ส่วนนายเตรียมรถฉันจะไปจัดการพวกเหลือบไร”

“แต่ว่าบอสครับ”

“ฉันไม่คิดที่เหลือใครไว้หรอกนะ ไป!!” เพราะมีทุกอย่างทำให้เขาแค่กระดิกทุกอย่างก็จะมาเป็นของผม อาจจะให้น้องช่วยแต่ผมก็ไม่ได้อาศัยแค่ฝีมือน้องอย่างเดียวหรอกนะ ขบวนรถแล่นมาจอดยังโกดังแห่งหนึ่งของหลี่เฉินที่จากคนของเขาที่กักตัวไว้ให้

ปัง

เสียงเปิดประตูโกดังเสียงลั่นภายในโกดังมีเพียงคนของเขาที่ยืนอยู่ส่วนตัวการและลูกน้องของมันยืนอยู่ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ไอ้แก่นั่นก็ลุกขึ้นโวยวายทำท่าจะพุ่งเข้ามาจะทำร้ายแต่ลูกน้องของผมก็จับไว้ก่อน

“มึงจะทำอะไรกู” ท่าทางที่เหมือนหมาจนตรอกรอยยิ้มเย็นถูกมอบให้ จะลอบทำร้ายเขาไม่เป็นไร จะทำตัวน่ารำคาญเหมือนมดปลวกแต่ทำให้คนของเขาร้องไห้และตกใจมันก็ทำให้เขาหมดความอดทน ที่จริงนั้นก็มีแผนที่จะเอาทั้งหมดมาเป็นของตัวเองอยู่หรอกนะแต่มันก็เป็นแผนระยะยาวแต่มันดันล้ำเส้นย้อนเกล็ดมังกร

“ทั้งหมดของคุณฉันจัดการหมดแล้วจริงๆ ก็ไม่อยากถือสาคนแก่หรอกนะ”

“มึง!!!”

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะฉันจะดูแลธุรกิจแกให้ดี” ขยับเข้าไปใกล้นิวก็ส่งอาวุธมาให้

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก” มีดคมถูกปักที่ต้นขา ยังไม่ทันที่เสียงโอดครวญจะเงียบหาย มีดอีกเล่มก็ปักลงต้นขาอีกข้าง ตามด้วยมีดอีกสองเล่มเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องทั่วโกดังกลิ่นคาวเลือดอบอวน ลูกน้องของหลี่เฉินหน้าซีดเผือดไร้รอยเลือดพวกเขารู้สึกพรั่นพรึงกับความโหดของหยางอี้ที่ทำการโหดเหี้ยมแต่ใบหน้านั้นเรียบเฉยเยือกเย็นจนไม่เหมือนมนุษย์

“โทษฐานที่แกทำให้ร้ายลูกน้องของฉัน”

ฉีก!!

“อัก!!” มีดเล่มสุดท้ายในมือถูกแทงเข้าที่ไหล่

“และนี่สำหรับการที่แกทำให้คนของฉันต้องร้องไห้” กระซิบเสียงเหี้ยมที่ข้างหูยืดตัวขยับมายืนห่างรับเอาผ้าขนหนูมาเช็ดเลือดที่เปื้อนมืออยู่

“ส่งมันให้ทางการจัดการพร้อมกับความผิด” หันไปสั่งงานกับนิว

“ครับบอส” กำชับอีกสองสามอย่างแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ เคลียร์เรื่องนี้เสร็จแล้วคงไม่มีใครกล้าแตะต้องน้องอีกแล้วและยิ่งหากเพื่อนของรินหมั้นหมายกับตระกูลจางแล้วล่ะก็คงไม่มีใครกล้าแตะต้องน้องอีกแล้ว กลับมาถึงบ้านเขาก็รีบขึ้นห้อง อาบน้ำล้างกลิ่นเลือดที่ติดตัวมาแล้วค่อยเดินขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆ คนตัวเล็กที่ยังนอนหลับสนิทค่อยๆ สอดแขนใต้หัวดึงรั้งน้องมากอดความรู้สึกที่มีน้องอยู่ในอ้อมแขนมันช่างรู้สึกดีจริงๆ
***************************************

แง้ขอโทษที่ช้าค่ะไปติดนิยายมา LOL 

อ่านแล้วเป็นยังไงบอกเราด้วยนะคะ 

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ขอบคุณสำหรับการคอมเม้นต์นะคะ
ขอบคุณมากๆค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
คนหลงน้องที่แท้จริง หลงแบบหัวปักหัวปำเลยด้วย 55555 สนุกมากรอต่อนะคะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
รินจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆเหรอ 55555555555

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
ข้างเรื่อง

หลังจากที่ป๊าได้บอกกำหนดวันหมั้นผมก็ได้แต่ร้องไห้อยู่ข้างในความกังวลทุกอย่างมันทำให้ภายในหัวของผมนั้นตีกันไปหมดเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะถึงวันหมั้นจริง ยิ่งนับวันผมยิ่งวิตกกังวลอยากจะหนีไปแต่ป๊าก็ต้องเสียหายและอีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอีก ได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง

“ซิน”

“อ่า ว่าไงริน หยางอี้ยอมปล่อยตัวกลับแล้วเหรอ” แซวเพื่อนตัวเองที่โดนหยางอี้มารับไปอยู่ด้วยทุกวันจะกลับมาก็มืดค่ำวันนี้ทำไมถึงได้กลับมาเร็ว

“เป็นห่วงซิน ทำไมหน้าตาดูไม่ดีเลยล่ะ” รินแตะเบาๆ ที่แก้มผมเอนตัวพิงไหล่เล็กที่คอยอยู่ข้างๆ ผมเสมอ ถึงต่อไปคงไม่มีโอกาสแบบนี้แน่ๆ เพื่อนเขาโดนหมายตาไว้แล้วต่อไปคงไม่มีใครคอยลูบหัวรู้ใจเขาอีกแล้ว

“อือ วันมะรืนฉันต้องไปลองชุด” ผมบอกเสียงเบาไม่อยากจะนึกถึงไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้น อยากจะให้อุกกาบาทพุ่งชนโลกในวันพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ

“โอ๋ๆ ไม่ร้องน้าไม่ร้อง” ยิ่งปลอบผมก็ยิ่งร้อง ร้องจนพอใจรินก็จูงมือผมลงไปด้านล่างที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว

“เดี๋ยวๆ จะไปไหน”

“ไปเที่ยวกันนะ” หือเกิดอะไรกับไอ้เด็กเนิร์ดไม่สนโลกถึงได้มาชวนผมออกไปข้างนอก

“มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ริน” เพราะเป็นเพื่อนกันมานานทำไมจะมองไม่ออก

“จะพาซินไปดูหน้าว่าที่คู่หมั้น” ขาผมหยุดกึกแค่ได้ยินว่าจะไปไหนแค่ได้ยินคำว่าคู่หมั้นผมก็เหมือนจะต่อต้านในทันที

“ไม่เอา ไม่ไป ฉันไม่อยากเจอ ไม่อยากรู้จักอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงกึ่งตะหวาดแค่ยอมรับการหมั้นหมายไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องไปรู้จักมักจี่ด้วย

“อ่าว ซินจะหมั้นทั้งๆ ที่ไม่เคยเจออย่างนั้นเหรอ” รินอ้าปากค้างตาโตเหมือนปลาทองจนผมอยากจะบีบแก้มนั่นจริงๆ

“ใช่ ไม่อยากรู้จักแค่หมั้นแค่แต่งแต่ก็ไม่ได้หมายถึงความรู้สึกของฉันจะยอมไปด้วย” ผมยืนยันเสียงแข็งรินเลยไม่กล้าตื้อให้ไปเปลี่ยนเป็นไปนั่งเล่นที่สวนด้านหลัง สวยดอกหอมหมื่นลี้ที่ผมชอบรินไม่ได้พูดถึงว่าที่คู่หมั้นอีกแล้ว

“อยากกินขนมดอกหอมหมื่นลี้อ่ะ”

“ไม่!!” แม้งานบ้านงานครัวจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัดแต่มีเพียงเรื่องขนมที่ผมทำได้ดีและขนมดอกกุ้ยฮวาหรือขนมดอกหอมหมื่นลี้ที่ไอ้รินแง้วๆ อยากจะกินอยู่นี่เป็นสิ่งที่ผมถนัดมาก

“อยากกิน”

“อ่ะ กินชาหอมหมื่นลี้แทนละกัน” ผมรินชาให้เรื่องขนมอย่าฝันเลยว่าจะได้กินขนม

“งอนแล้วพาลตลอดเลยอ่ะ”

“เลิกทำปากยื่นได้แล้วฉันไม่ได้มองว่ามันน่ารักเหมือนหยางอี้มองหรอกนะ”

“เกี่ยวอะไรกับหมอนั่นด้วยเล่า” ปากบอกไม่เกี่ยวแต่แก้มขาวนั่นแดงก่ำเหมือนใครมาสาดสีแดงใส่ ท่าทางจนแต้มของรินที่มองยังไงๆ ก็น่าขำ

“ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว” พวกเรานั่งจิบชากับขนมหวานจนบ่ายคล้อย รินนั่งอ่านหนังสือส่วนผมก็ตากดอกหอมหมื่นลี้ไว้ทำชา บรรยากาศสงบๆ ก็ถูกทำลายด้วยเสียงดังลั่นของไอ้พี่ชายตัวเอง

“น้องร๊ากกกกกกกกกกกกก” ผมได้แต่กรอกตามองบนกับตัววุ่นวายที่ทำลายความสงบสุขวิ่งร่าเดินเข้ามากอดแน่นแถมยังฟัดแก้มจนช้ำ ได้แต่นิ่งให้พี่ท่านฟัดถ้าขัดขืนนะโดนไปอีกสองเท่า เฮียเฟิ่งทำท่าจะไปฟัดรินแต่มันเร็วอย่างกับลิงขยับหนีทันที

“โถ่รินทำไมทำกับเฮียแบบนี้”

“จะมาฟัดอะไรผมเล่า” ผมได้แต่ขำกับท่าทางเล่นงูกินของของเฮียกับไอ้ริน เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เลยเว้ย

“พอๆ เลิกแกล้งไอ้รินได้แล้วเฮีย แล้วมากวนนี่มีอะไร”

“เออลืม ป๊ากับเฮียหลงไม่ได้กลับ เราออกไปกินข้าวข้างนอกกันดีไหม” นั่นไงหาเรื่องชวนออกไปเที่ยวอีกแล้ว

“ไปร้านนี้ไหม รินพึ่งไปกินมาอร่อยมาก” ไม่ต้องสงสัยนะว่าเจ้าตัวไปกินกับใครมา

“เอาสิ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยววันนี้เฮียจะขับพาไปเอง”

“ผมไม่ฝากชีวิตไว้กับเฮียหรอกนะ” กับคนที่ไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี บอกตามตรงเลยว่าไม่ไว้ใจให้ขับรถเลยก่อนขึ้นห้องบอกให้พ่อบ้านเตรียมคนขับรถไว้ให้ด้วยไม่นานก็พากันตบเท้ากับลงมาจากห้องเมื่อขึ้นรถแล้วรินก็บอกที่หมายให้คนขับ คนที่ดูดี้ด้าที่สุดคือเฮียเฟิ่ง ไม่นักนักรถก็มาจอดหน้าซอยแคบๆ ผมเดินตามคนนำทางไม่รู้ว่าซอยเล็กๆ นี่จะมีร้านอาหารอะไรอร่อย

“นี่ทำไมมันดูน่ากลัวแบบนี้ล่ะ ลูกหมา”

“เดินตามมาเถอะครับ” หันไปบ่นคนที่เดินเกาะแข้งเกาะขาตั้งแต่ตอนที่เดนิเข้าซอยมืดๆ มา ไม่นานรินก็หยุดที่ร้านอาหารเล็กๆ แล้วรีบกวักมือเรียกให้พวกผมเข้าไป ร้านเล็กๆ ที่พอเดินเข้าไปกลับรู้สึกอบอุ่นเพราะการตกแต่ง

“เฮียเหวิน ผมพาพี่มาลองชิมอาหารฝีมือเฮีย”

“นั่งเลยนะเดี๋ยวเฮียทำไปให้ ว่าแต่ไอ้หยางไม่มาเหรอ”

“จะถามกับผมทำไมล่ะ” ผมกับเฮียเฟิ่งหลุดขำกับท่าทางของริน

รอไม่นานอาหารหลายอย่างก็ถูกพี่เหวินยกมาเสิร์ฟพอได้กินไปคำเดียวก็รู้เลยว่าสมราคาคุยอวดของไอ้ริน

“อือหือ อร่อยอ่ะ ไอ้นี่ก็อร่อย ไอ้นั่นก็อร่อย” แต่คนที่ออกอาการโอเวอร์คือเฮียเฟิ่งของผมเอง

“เฮีย แย่งเนื้อผม”

“เสียใจเฮียคีบก่อน” แง่ม อยากจะเอาตะเกียบจิ้มลูกตาพี่ชายตัวเองจริงๆ ท่าทางกินอย่างเอร็ดอร่อยทำให้ทุกคนพลอยเจริญอาหารไปด้วยเป็นครั้งแรกที่ผมกินข้าวจนแน่นท้องแบบนี้

“อาหารอร่อยมากครับไว้ผมจะมาทานบ่อยๆ” ผมรีบเดินไปลากแขนเฮียที่ยังล่ำราพรรณนาถึงความอร่อยของฝีมือทำอาหารพี่เหวินไม่เลิก หลังจากลากเฮียขึ้นรถก็ตรงกลับบ้าน

“เออ รู้รึยังว่าพรุ่งนี้น้องต้องไปลองชุดนะ” ผมที่กำลังนั่งคุยกับรินหันควับไปมองเฮียตาโตๆ เบิกกว้าง

“ใครจะไปรู้”

“เออ เฮียลืมบอกเองล่ะเดี๋ยวพรุ่งนี้ทางโน้นเขาจะส่งคนมารับวันพรุ่งนี้” ฮือออออออออออ อยากจะร้องไห้ผมว่าเฮียไม่ได้ลืมบอกหรอกแต่มาบอกวันนี้เพราะผมจะหาทางหนีไม่ได้ ชักไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงแล้วสิ

.

.

ผมไม่อยากให้วันนี้มาถึงเลยจริงๆ ตั้งแต่ตื่นเช้ามาผมอิดออดที่จะออกจากห้องจนป๊าส่งคนมาตามรอบที่สามเลยต้องลงไปด้านล่าง

“ลู่ชิงเขาส่งคนมารับแล้ว จะให้เฮียไปด้วยไหม” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ ไอ้รินก็โดนหิ้วไปตั้งแต่เช้าส่วนเฮียเฟิ่งก็หายสาบสูญไม่เห็นแม้แต่เงาแค่ไปลองชุดไปคนเดียวก็ได้จะให้ไปรบกวนเวลางานเฮียหลงทำไม ป๊าไม่ยอมส่งคนไปกับผมด้วยอีกสองคนซึ่งเป็นคนที่คอยดูแลผมตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว

“พี่ลู่ พี่ฟง” ผมยิ้มกว้างเพราะหลังจากที่ผมไปไทยก็มีเพียงเฮียฟงที่ไปด้วยส่วนเฮียลู่นั้นไปช่วยเฮียหลงจนไม่ได้เจอหน้ากันเลย

“ครับคุณหนูเล็กผมจะกลับมาดูแลคุณหนูเล็กครับ” ผมยิ้มกว้างเดินตามทั้งสองคนไปขึ้นรถคันที่ทางจางลู่ชิงส่งมาพี่ฟงเข้าไปนั่งข้างหลังด้วยกันส่วนพี่ลู่ไปนั่งด้านหน้า รถคันหรูวิ่งไปตามถนนกลางเมืองใหญ่แต่ในใจผมกับรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปสู่ลานประหารยังไงอย่างนั้น เสียงถอนหายใจหนักดังเป็นระยะๆ แม้ไม่ขัดขืนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมมีความสุขกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รถมาจอดยังหน้าร้านชุดแต่งงานชื่อดังพี่ลู่ลงจากรถรีบมาเปิดตูรถให้ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยเดินตามพี่ๆ เข้าไปในร้าน

“สวัสดีค่ะ คุณชายไป๋นะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการทางร้านนะคะ”

เพราะนี่ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่การแต่งงานระหว่างชายกับชายจึงไม่ได้โดนต่อต้านเพียงแต่ครั้งนี้เป็นการแต่งงานระหว่างสองตระกูลชนชั้นสูงจึงเป็นที่จับตามอง ท่าทางที่ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่ได้เย็นชากับงานแต่งงาน พนักงานเดินนำทางผมไปยังห้องลองเสื้อ โดยมีพี่ฟงและพี่ลู่เดินตามเข้ามาด้วย พี่ที่ร้านรูดม่านกางกั้นแล้วบอกให้ผมถอดเสื้อโดยมีเพียงเสื้อกล้ามีขาว

“คุณชายไป๋ผิวเนียนมากเลยนะคะ” เธออยากจะกรีดร้องด้วยความอิจฉาผิวของคุณหนูทั้งขาวทั้งเนียนและไหนจะหุ่นระหงนี่อีก ถ้าใส่สูทสีขาวจะดูเด่นขนาดไหนกันนะ ยิ่งคิดจิตนาการเธอยิ่งพุ่งสูงเธอจะตัดชุดที่ดีที่สุดและเหมาะที่สุดสำหรับคุณชายไป๋ให้ได้เลย

“เอ่อ..ครับ” ทำหน้าไม่ถูกแหะที่โดนผู้หญิงชมว่าผิวสวย

ครืด

“อ่ะ คุณชายจาง” เสียงรูดม่านด้านหลังพร้อมกับเสียงร้องตกใจของพี่ที่กำลังวัดตัวอยู่ทำให้ผมรีบหันไปมอง นี่นะเหรอคู่หมั้นของเขา ร่างสูงที่อาจจะสูงกว่าเฮียหลงด้วยซ้ำรูปร่างหนา ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยว จมูกโด่งริมฝีปากบางหยักได้รูป ถือว่าเป็นคนที่หน้าตาดีหาตัวจับไม่ได้คนหนึ่ง

“เอ่อ” เมื่อเห็นสายตาที่มองที่ผมทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หลุบสายตามองต่ำไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า

“เชินคุณชายจางรอข้างนอกก่อนนะคะ” เมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของคุณชายไป๋แล้วเธอเลยเชิญให้คนตรงหน้าออกไปก่อน ซึ่งดูเหมือนเป็นการเอาไม่ซีกไปงัดไม้ซุง เพราะไม่เพียงไม่ยอมฟังยังก้าวเข้าไปชิดคุณชายไป๋ สายตาน่ากลัวถูกส่งมาทางเธอจนเธอต้องรีบลี้ออกจากห้องลองเสื้อ คนอะไรน่ากลัวจริงๆ

“ดะ..เดี๋ยวสิครับ” ผมทำท่าจะเดินตามพี่ที่วัดตัวผมแต่ก็ติดที่คนตรงหน้าที่ไม่ยอมขยับออกห่างแถมยังเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิมอีก ก้มหน้าลงจนคางแทบชิดอกแม้จะเป็นคู่หมั้นหมายแต่ก็เป็นการเจอกันครั้งแรกของพวกเขาสองคน

หมับ

มือหนาจับปลายคางเขาแน่นบังคับให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองสายตาคมที่แววตาอ่านไม่ออกก่อนที่เรียวปากหยักนั่นจะยกยิ้มมุมปากแล้วปล่อยมือหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ส่วนผมได้แต่ทรุดลงนั่งกับพื้นท่าทางแบบนั้นคืออะไรกัน แววตาน่ากลัวนั่นอีกถ้าไม่พอใจทำไมถึงไม่ปฏิเสธไปเล่า นั่งทำใจสักพักถึงได้ลุกขึ้นยืนรีบสวมเสื้อแล้วออกไปหาพี่ๆ ทั้งสองคน ที่นั่งรอข้างนอกผมรีบไปนั่งลงตรงกลางกอดแขนพี่ฟงแน่นพร้อมกับซบหน้าลงกับไหล่กว้าง

“คุณหนูเป็นอะไรไปครับ” เสียงพี่ฟงถามด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้ากับไหล่ไม่ยอมพูดอะไรออกไป “นายไปถามทีว่าเสร็จรึยังแล้วตามรถที่บ้านมารับด้วย” ผมได้ยินเสียงพี่ฟงสั่งพี่ลู่ทันทีไม่นานพี่ลู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับบอกว่าเสร็จเรียบร้อย

“กลับบ้านกันนะครับคุณหนู” ผมพยักหน้า พี่ฟงประคองผมเดินออกไปนอกร้านทันทีที่ออกมารถจากทางบ้านก็มาถึงพอดี เมื่อขึ้นรถไปผมก็ถอนหายใจยาวนั่งพิงเบาะหลับตาลงอย่างที่ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

“คนที่คุณหนูเพิ่งได้เจอนั่นคือจางลู่ชิงครับ เขาได้ทำอะไรคุณหนูรึเปล่า”

“คนคนนั้นน่ากลัว” ผมบอกออกไปเท่านี้แล้วก็เงียบลงแม้อำนาจจะเทียบเท่ากับหยางอี้แต่หยางอี้ก็ยังดูเป็นมิตรกว่า เอ๊ะหรือเพราะผมเป็นเพื่อนกับไอ้รินนะ แต่แววตาของหยางอี้ยังดูเหมือนคนมีชีวิตกว่าคนคนนั้นอีก เมื่อรถมาถึงบ้านผมก็ตรงขึ้นห้องไปทันที ไม่สนใจเสียงเรียกจากป๊าและเฮียเฟิ่ง

“เฮ่อ..จะเป็นยังไงต่อไปกันนะ” คิดวนไปคิดวนมาจนกระทั่งหลับไป

ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นแล้วลุกไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนที่จะลงไปข้างล่าง ทุกคนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นทุกสายตามองมาที่เขา เดินลงไปนั่งข้างๆ ป๊าแล้วกอดเอว

“เป็นไงเจ้าดื้อลองชุดวันนี้”

“ก็ดีครับ”

“วันนี้เจ้ารินเข้าครัวทำอาหารเองเลยนะ เราไม่ค่อยกินอะไรผอมลงไปนะ”

“โถป๊า ผมจะกินเยอะๆ เลย” ยิ้มออดอ้อนเอาใจบิดาที่เป็นห่วง

ปุ

“จำไว้นะซิน ถึงแม้เฮียจะยอมแต่ถ้าภายภาคหน้าน้องเสียใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรเฮียจะปกป้องน้องเฮียแน่นอน” ฝ่ามือใหญ่ของเฮียหลงวางลงที่หัวพร้อมกับลูบเบาๆ พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมยิ้มกว้าง

“ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวฉันจะเล่นงานเอาคืนให้ได้ทันทีเลยนะ” ผมขำกับการเอาจริงเอาจังของไอ้รินถ้าผมบอกมันคงทำจริงๆ ผมสบายใจเมื่อคนในครอบครัวอยู่เคียงข้าง เพราะถ้าหากในวันที่เสียใจผมจะยังมีพวกเขาอยู่ข้างผม

.

.

สามสี่วันต่อมาผมก็ไปลองชุดครั้งสุดท้ายเพียงแต่ครั้งนี้ผมเอารถไปเองและโชคดีที่ลองแล้วชุดไม่มีปัญหาอะไรทำให้ผมรับชุดกลับได้เลย อีกไม่กี่วันก็เป็นงานหมั้นแล้วในใจผมก็ยังไม่ยอมรับและโชคดีอีกอย่างที่ไม่ได้เจอหมอนั่น ไม่อยากให้ถึงวันนั้นเลยจริงๆ




*************************************************

ช่วงนี้ก็จะคึกก่อนงานเข้านิดหน่อย 

โถ น้องซินของป้า น้องเป็นลูกคนเล็กจริงๆ

ต่อให้เทียบกับรินซึ่งผ่านการโดนทำร้ายมาก่อน น้องน่ารักมาก

แค่กๆ จริงๆคือเค้าอวยน้องแค่นั้นเอง

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ 

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
13

ข้างเรื่อง

หลังจากที่ได้รับชุดกลับมาวันคืนที่ผ่านไปแต่ละวันมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน ยิ่งใกล้วันหมั้นผมก็หนีไปยังที่ประจำแต่ก็เหมือนไม่ช่วยอะไรแม้กระทั่งกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ชอบยังไม่ช่วยให้เขาดีขึ้น ทุกคนไม่ยอมให้เขาอยู่คนเดียวไม่เฮียเฟิ่งก็เจ้ารินมาอยู่เป็นเพื่อน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีช่วยให้เขาไม่ฟุ้งซ่าน

“พรุ่งนี้แล้วสินะ” รินที่นั่งอยู่ตรงข้ามจู่ๆ ก็พูดขึ้น ผมถอนหายใจยาวแล้วพยักหน้าเบาๆ

“นั่นสินะ”

“ไหวหรือเปล่า” ผมยกยิ้มบางให้คนที่เป็นห่วง

“ไหวสิ นี่ใคร เยว่ซินเพราะฉะนั้นฉันจะมีแต่ความสุข” ผมยิ้มกว้างหากการหมั้นการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ทำร้ายเขาเกินไป ผมก็จะยังรับไหว เมื่อผมยืนยันรินก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

สองวันต่อมาก็ถึงวันที่ต้องเข้าร่วมพิธีหมั้น ผมถูกปลุกให้ตื่นมาตั้งแต่ตีห้าทันทีที่ออกจากห้องน้ำผมก็ถูกสาวๆ รุมล้อมแต่งหน้าทำผม เพราะความสะดวกเลยเข้ามาพักที่โรงแรมจัดงานตั้งแต่เมื่อวาน คงเป็นเรื่องแปลกที่ตั้งแต่วันลองเสื้อจนกระทั่งวันหมั้นเขายังไม่ได้เจอหน้าคู่หมั้นของเขาเลยสักนิด ยังดีที่เป็นพิธีหมั้นแม้จะผิดธรรมเนียมไปหน่อยแต่ผมก็พึ่งได้รู้ว่าเป็นความต้องการของป๊า เพราะถ้าจะให้หมั้นและแต่งกันเลยก็คงไม่ดีเขารู้สึกขอบคุณป๊าจากใจ ในหัวคิดไปเรื่อยส่วนหน้าผมก็โดนพี่ๆ รุมทำโน้นทำนี่

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวเชิญเปลี่ยนเสื้อได้เลยนะคะ” บอกขอบคุณพวกพี่แล้วก็เดินเข้าไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดสูทสีขาวประดับด้วยลวดลายสีเงินเรียกร้อยเป็นดอกไม้เล็กๆ ที่หากพอเข้าไปมองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าเป็นดอกหอมหมื่นลี้ดอกไม้ที่เขาชอบ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ มือเรียวลูบเบาๆ ที่ลวดลายปักที่ดูถูกใจเขาตั้งแต่แรกเห็น คว้าเสื้อมาเปลี่ยนสูทสีขาวพอดีตัวยิ่งทำให้ร่างโปร่งดูบอบบาง ผมยาวระต้นคอระหงถูกจัดทรงยิ่งทำให้ใบหน้าหวานดูสวยบวกกับการเมคอัพบางๆ เรียวปากชมพูระเรื่อยิ่งทำให้ดูโดดเด่นและน่าค้นหา

“น่ารักจังเลยน้องพี่”

“ครับ เฮียก็สวย” พูดแซวคนที่วันนี้ไม่ได้ดูติสเหมือนปกติ ผมยาวๆ นั่นถูกจัดทรงอย่างดี

“ไปกันเถอะได้เวลาแล้ว”

“รินไปไหนครับ” ถามหาเพื่อนสนิทที่ตั้งแต่เช้ามายังไม่เห็นเลย

“รออยู่ข้างล่างกับหยางอี้แล้ว” ผมหลุดขำดูท่าวันนี้เพื่อนเขาจะถูกคุมตัวไว้แน่ๆ เฮียเฟิ่งบีบมือเขาเบาๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชายแล้วส่งยิ้มกว้างให้เฮียจูงมือผมลงไปที่ห้องรับรองเพราะยังไม่ถึงเวลาในห้องมีเพียงครอบครัวเขาและพวกพี่ๆ บอดี้การ์ดของเขาและอีกฝั่งแม้จะเป็นว่าที่คู่หมั้นแต่เขาก็ไม่ได้สนิทกับทางนั้นเลย ผมเลยเลื่อกที่จะนั่งตรงกลางระหว่างเฮียทั้งสองคน ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกคนที่เข้ามาเป็นหยางอี้และเพื่อนสนิทเขา

“ซินนายน่ารักมาก” นี่เป็นคำแรกที่เจอหน้ากันรึไง ผมหน้าหงิกเมื่อโดนไอ้รินชม

“ก็ไม่ได้ต่างกันหรอกนะ” ไม่งั้นจะมียักษ์มาตามเฝ้าเป็นเงาตามตัวขนาดนั้นเหรอ รินเดินมาหาเขาแล้วกุมมือไว้รอยยิ้มกว้างที่ตอนนี้มันดูสดใสมากกว่าตอนที่ได้เจอครั้งแรกทำให้ผมยิ้มตามได้อย่างไม่ยาก เพราะรู้ดีว่ารินต้องการสื่ออะไร ผมซบอยู่กับไหล่เฮียเฟิ่งนิ่งก่อนที่ทีมงานจะมาเรียกให้ผมไปเตรียมตัว มือที่ถูกกุมอยู่นั้นสั่นเทาผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยลุกตามทีมงานไปส่วนป๊าและพวกเฮียๆ ต้องออกไปข้างนอกก่อน ตอนนี้มีเพียงผมที่ยืนอยู่หลังม่านคนเดียว

“ไม่เป็นไรซินไม่เป็นไร” พึมพำปลอบใจตัวเองเบาๆ มือขาวกุมกันแน่น ได้ยินเสียงพิธีกรด้านหน้าดำเนินงานจนกระทั่งเรียกชื่อเขา แต่ก็เหมือนว่าผมจะก้าวขาไม่ออกเสียแล้ว ความกดดันที่ผ่านมาทั้งหมดเหมือนมาระเบิดเอาตอนนี้ในใจของเขาสับสนทั้งอยากจะหนีและไม่อยากหนีจนก้าวขาไม่ออก

หมับ

“เอ๋” ผมที่ยืนเหม่อจนร่างสูงมายืนอยู่ข้างๆ ฉวยข้อมือเขาไปกุมแล้วจูงมือเขาออกไปด้านหน้า ลู่ชิง!! คนที่จูงเขาเข้าไปในงานคือลู่ชิงคู่หมั้นของเขาเองเพราะมัวแต่ตกใจเลยโดนจูงมาถึงพิธี มือหนากดไหล่ให้เขานั่งลงซึ่งผมก็ทำตาม เมื่อผมนั่งลงกับพรมนุ่มร่างสูงก็เดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามสายตาคมที่จ้องมาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จนต้องเสหลบสายตานั้น บนโซฟาด้านเขามีป๊าและเฮียทั้งสองคนนั่งอยู่ส่วนอีกด้านมีผู้ชายวัยใกล้เคียงป๊ากับผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง เมื่ออยู่ใกล้ครอบครัวความตระหนกตกใจของผมก็ลดลงหันไปยิ้มให้เฮีย

“แขกทุกท่านครับอย่าตาค้างกับคู่หมั้นคนสวยนะครับเดี๋ยวจะโดนคิดบัญชีทีหลังนะครับ” เสียงพิธีกรพูดแซวแขกที่ได้รับผลตอบรับเป็นเสียงโห่จากโต๊ะใกล้ๆ น่าจะเป็นเพื่อนกันกับลู่ชิง เมื่อไม่ได้ตกใจผมก็กวาดสายตามองในงานแม้จะเป็นงานหมั้นแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีแขกมากมาย รินนั่งอยู่ข้างๆ หยางอี้ส่งยิ้มขึ้นมาเล่นเอาหยางอี้ตาขวางใส่หนุ่มๆ ที่เคลิ้มกับรอยยิ้มหวาน

“คิกๆ”

“หัวเราะอะไรตัวเล็ก” เฮียหลงก้มลงมากระซิบถามผมที่หลุดขำกับท่าทางหงุดหงิดของหยางอี้

“หัวเราะหยางอี้อ่ะเฮีย” ผมเงยหน้าขึ้นไปกระซิบตอบเฮียที่พอบอกเฮียก็ปลายตาไปมองแล้วก็หลุดขำ ดูท่าเพื่อนผมจะไม่มีสิทธิไปไหนแล้วสินะ

“แหมคุณหนูไป๋ยิ้มทีทำเอาพวกเพื่อนๆ ของผมเคลิ้มไปไม่เป็นเลยทีเดียว” เพราะมัวแต่คุยกระซิบกระซาบกับพี่ชายเลยไม่ได้สนใจเลยว่ารอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขนั้นทำเอาโต๊ะด้านหน้าถึงกับเคลิ้มจนอยากขึ้นมานั่งแทนที่ไอ้คนหน้าตายนั้นแทน

“คะครับ” พอถูกทักผมเลยหันไปมองที่โต๊ะแล้วยกยิ้มก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้นเมื่อบรรดาเพื่อนๆ ของลู่ชิงทำท่ากุมอกบางคนถึงกับส่งมินิฮาร์ทให้ดูท่าเป็นก๊วนที่สนุกน่าดู

“อ่ะๆ ได้ฤกษ์แล้วพวกนายอย่าไปแหย่หนวดมังกร เอาล่ะครับดำเนินการต่อได้เลยครับ” พิธีกรพูดดำเนินการต่อป๊าก็หันไปคุยกับคุณจางและฝากฝังผมกับคนที่นั่งหน้าตายที่พยักหน้ารับ

“งานนี้ป๊าให้หมั้นไว้ก่อนฝากดูแลลูกป๊าด้วยนะ”

“ลูกชายนายหน้าตาน่ารักจริงๆ คิดถึงตอนเด็กๆ เลยนะ” ตอนเด็กๆ เหรอ นี่ผมเคยเจอกับคุณจางด้วยเหรอได้แต่เก็บความสงสัยไว้

“ลู่ชิงสวมแหวนให้น้องสิ” มือใหญ่หยิบกล่องแหวนจากพานบนโต๊ะขยับเข้ามาใกล้ผมที่ยังนิ่งอยู่จนกระทั่งเฮียเฟิ่งแอบสะกิดให้ส่งมือไปให้ มือที่ยื่นออกไปสั่นเทาก่อนที่มือหนาจะกุมมือเขาไว้แล้วค่อยๆ สวมแหวนทองคำขาวทีมีพลอยสีฟ้าประดับอยู่ มันดูเรียบแต่หรูซึ่งเพียงเห็นครั้งแรกเขาก็ชอบ

“ตัวเล็กสวมแหวนให้พี่เขาสิ” เพราะผมมัวแต่ก้มมองแหวนที่นิ้วป๊าเลยต้องบอกให้ผมหยิบกล่องแหวนอีกอันที่วงใหญ่กว่าและพลอยประดับคนละสีแล้วสวมแหวนให้กับลู่ชิง พอสวมแหวนเสร็จผมรีบปล่อยมือใหญ่ทันที พิธีหมั้นดำเนินต่อไปจนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธิตอนสายทุกคนก็ร่วมถ่ายรูปส่วนตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองอีก ผมขอสลายร่างตอนนี้ได้ไหม

“อ๊ะ” เพราะนั่งกับพื้นนานทำให้ขาทั้งสองข้างของผมชาอาการเจ็บเป็นระลอกๆ เล่นเอาน้ำตาคลอ

“ให้เฮียช่วยไหม” ผมที่กำลังจะพยักหน้าให้เฮียหลงกลับต้องร้องลั่นเมื่อคู่หมั้นหมาดๆ ของเขาก็ก้มลงมาอุ้มจนผมต้องรีบยกมือขึ้นกอดคอหนาแน่นเพราะกลัวตก

“วิ๊ดวี๊ววววว โห่ อิจฉาเว้ยยย” เสียงโห่ร้องแซวเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครจากเพื่อนๆ ทำเอาผมต้องก้มหน้างุด นี่ก็อีกคนอุ้มเขาไม่หนักรึยังไง

ลู่ชิงก้มลงมองคนในอ้อมแขนที่ก้มหน้าจนแทบซุกกับอกเห็นเพียงใบหูที่แดงระเรื่อ นัยน์ตาคมไม่ปรากฏความรู้สึกใดขายาวก้าวพาคนที่ยังไม่ยอมเงยหน้าไปที่ห้องรับรอง เมื่อวางคนตัวเบาลงบนโซฟาก่อนที่จะนั่งลงด้านหน้าฉวยเอาขาเรียวขึ้นมา

“โอ๊ย เจ็บๆ” เสียงหวานร้องโอดโอยทันทีที่เขาแตะเข้าที่ขาแต่สนใจไหมบอกเลยว่าไม่มือยังคงนวดเบาๆ จนเสียงร้องนั้นเงียบไปเมื่อเห็นว่าไม่ได้เจ็บแล้วเขาก็ปล่อยขาเรียวนั่นลงแล้วลุกขึ้นเตรียมที่จะออกไปข้างนอกหากแต่แรงจับเบาๆ ที่ชายเสื้อเรียกให้เขากลับไปมองคนที่เงยหน้าขึ้นมาบอกเขาเสียงเบา

“ขอบคุณครับ” เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปเพียงพยักหน้าเจ้าตัวก็ดึงมือกลับ

ร่างสูงเดินออกไปแล้วเหลือเพียงผมที่นั่งอยู่บนโซฟานิ่งกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แม้ท่าทางจะดูน่ากลัวแต่เมื่อกี้ทำให้เขาเปลี่ยนความคิด นิ้วเรียวหมุนแหวนเบาๆ บางทีการหมั้นหมายก็คงไม่ได้แย่อะไร

*************************************

กลายเป็นนิยายรายสัปดาห์ไปซะแล้ว เรื่องพิธีอาจจะไม่ถูกต้องยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ 

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ขอบคุณมาก รออ่านตอนต่อไปนะ

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เหมือนลู่ชิงจะแอบชอบ  :m28:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Bad plan แผนร้าย แผนรัก ตอนที่ 13 7/10/2561
« ตอบ #39 เมื่อ: 07-10-2018 23:39:13 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
14

ข้างเรื่อง 3

หลังจากจบงานช่วงเช้าแล้วยังมีงานช่วงเลี้ยงช่วงเย็นยังดีที่ไม่ได้มีแขกมากมายมีเพียงครอบครัวและเพื่อนสนิทของแต่ละฝ่ายหลังจากที่ถูกพาเข้ามาให้ห้องพักเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้านั่งทานอาหารเตรียมไว้ให้ในห้องพัก

“เหนื่อยไหม”

“เหนื่อยสิเฮีย ซินขึ้นไปพักก่อนนะ” เพราะเมื่อคืนก็นอนไม่หลับพอผ่านงานช่วงเช้าที่กดดันมาก็ทำให้ผมรู้สึกอยากพักขึ้นมา มือใหญ่ของเฮียหลงที่เคยอุ้มและคอยปลอบลูบผมกลุ่มผมนิ่มแววตาคมฉายแววอาลัย

“โตขึ้นแล้วสินะน้องพี่”

“เฮีย ซินยังไม่ไปไหนสักหน่อย” ขยับไปกอดซุกหน้าลงกับอกกว้าง ถ้าหากถามว่าในบรรดาพี่น้องเขาสนิทกับใครมากที่สุดคำตอบคือเฮียหลง เพราะเฮียเป็นคนคอยดูแลผมแทนป๊าเฮียเหมือนพ่อคนที่สองผมเห็นหน้าเฮียมากกว่าเห็นหน้าป๊าเสียอีกในตอนเด็กๆ

“แต่น้องก็หมั้นแล้ว”

“แค่หมั้นเองนะเฮียยังไงซินก็เป็นน้องของเฮียตลอดไปอยู่แล้ว” ใช่มันก็แค่การหมั้น

“ขึ้นไปพักเถอะไป” พยักหน้าเบาๆ แล้วค่อยผละออกจากอกกว้างหยัดตัวขึ้นหอมแก้มแรงหนึ่งทีแล้ววิ่งหนีเข้าลิฟท์ที่เปิดพอดีทันที แอบเห็นว่าใบหูของเฮียนั้นแดงก่ำก็นะ เขาเลิกหอมแก้มเฮียตั้งแต่ขึ้นประถมแล้ว เมื่อถึงห้องพักก็เข้าไปอาบน้ำเพราะทนกับเครื่องสำอางและความเหนียวของเจลเซ็ทผม ใช้เวลาในการล้างทุกอย่างออกนานมากกว่าจะได้ออกจากห้องน้ำก็ร่วมสองชั่วโมง ร่างขาวที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำเพราะเหนื่อยจนทำเพียงรีบเป่าผมให้แห้งแล้วก็ล้มตัวลงนอนไม่นานเขาก็หลับลึก

ก๊อกๆ

“อือ” เสียงเคาะประตูเรียกให้เขาตื่นขึ้นมางัวเงียแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูทั้งสภาพตื่นนอนตายังลืมไม่เต็มด้วยซ้ำ

แกร๊ก

“ครับ??” เปิดประตูพร้อมกับยกมือปิปากหาวอย่างไม่อายใครเพราะคิดว่าคนที่มาเคาะคงเป็นเฮียๆ

“จะได้เวลางานเลี้ยงเย็นแล้ว” แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำให้ผมตื่นเต็มตา จางลู่ชิง!! ผมรีบเงยหน้ามองคนที่มองมาที่ตัวเขาดวงตาคมค่อยๆ กวาดมองตั้งแต่หัวลงไปผมก้มลงตามสายตานั่นก็เห็นว่าเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่ก่อนนอนนั้นผ้าที่ผูกทบกันคลายออกเผยให้เห็นแผ่นออกขาวไล่ลงมาจนเห็นหน้าท้องขาวยังดีที่ปมยังเหลืออยู่ งือออ ความร้อนไม่รู้ว่ามาจากไหนไหลมากองอยู่ที่หน้า ผมกระโดดไปหลังประตูโผล่มาเสี้ยวหน้า

“อ่าครับเดี๋ยวจะรีบลงไป” พอบอกผมก็ปิดประตูทันที โอ๊ยตอนเจอหน้ากันจะทำยังไงล่ะทีนี้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเขิน พอๆ เลิกคิดได้แล้ว รีบวิ่งเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา หยิบชุดในตู้ที่ทางร้านเตรียมไว้ให้เป็นชุดสบายๆ ที่ผมชักอยากให้ร้านตัดให้อีกหลายๆ ชุดเพราะมันดูดีมาก แถมลายดอกไม้เหมือนกับชุดหมั้นเมื่อเช้าอีก ใช้เวลาแต่งตัวไม่นานผมก็เดินลงไปห้องเล็กที่จัดงาน ที่เหมือนเป็นงานเลี้ยงสละโสดของลู่ชิงเสียมากกว่า

“นี่หยางอี้จ้องขนาดนั้นเอากลับไปจ้องที่บ้านไหม” ผมก้าวเท้าเข้าไปหาเพื่อนสนิทที่มีร่างสูงยืนอยู่ชิดตลอดเวลา ไอ้เพื่อนซี้เขาก็ไม่ได้รู้เลยว่าถูกมอง

“ได้เหรองั้นพี่พากลับเลยนะ” ผมหลุดขำกับท่าทางเอาจริงของคนตัวโต

“ถามป๊าดิครับนั่นลูกรักป๊าเลยน้า” ขยับเข้าไปกระซิบส่วนไอ้ตัวต้นเรื่องนั้นคุยฟุ้งกับเฮียเฟิ่งเรื่องไปต่างประเทศไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

“เรื่องป๊าพี่ไม่ห่วงเท่าเรื่องเจ้าตัวเขาหรอกนะ” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกช่างเป็นภาพที่หาได้ยากจริงๆ ผมกวักมือให้คนตัวสูงเอนตัวลงมาก็ต้องยอมรับล่ะนะว่าผู้ชายรอบๆ ตัวสูงกันทุกคน ผมหันไปกระซิบบอกความลับของเพื่อนซี้ ผมเปล่าขายเพื่อนนะ แค่สงสารบอสใหญ่ที่น่าสงสาร

หมับ

“ฉันต้องขอตัวคู่หมั้นฉันก่อน” แรงกอดรัดที่เอวพร้อมกับเสียงทุ้มที่พูดขึ้นข้างๆ หูทำให้ผมสะดุ้งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร

“ได้สิ ขอบคุณมากนะซิน”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มกว้างให้กับว่าที่พี่ชายคนใหม่ ก่อนที่จะพูดอะไรแรงรั้งที่เอวก็ดึงให้ผมออกห่าง พยายามแล้วที่จะแกะมือหนาที่เอวแต่เหมือนถูกทากาวไว้แงะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออก

“เป็นคู่หมั้นฉันก็ทำตัวให้มันดีๆ” คำพูดที่ยาวที่สุดตั้งแต่เจอกันแต่เป็นคำพูดที่ทำให้ผมหยุดเดิน

“ฉันทำอะไรผิด” เงยหน้ามองคนที่ยังทำหน้านิ่งแต่คำพูดที่พูดออกมามันดูถูกกันหรือไงและที่มั่นใจคือสายตาที่มองมาสายตาที่เหมือนกล่าวโทษว่าเขาทำผิด

“หึ ตามฉันมา” ผมแทบอยากจะหันหลังกลับไปที่โต๊ะของตัวเองแต่ก็ติดที่ข้อมือเขาถูกกำไว้แน่นแถมยังดึงให้ผมเดินไปที่โต๊ะของกลุ่มที่น่าจะเป็นเพื่อนของลู่ชิงเพราะจำเสียงแซวนี้ได้ พอมาถึงโต๊ะมือของเขาก็เป็นอิสระ ผมเหลือบมองแต่ลู่ชิงก็ไม่ได้หันมามองอะไรท่าทางไม่แยแสเหมือนว่าผมไม่ได้ยื่นอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ

“สวัสดีนะครับเพื่อนสะใภ้” ถ้อยคำล้อๆ นั่นไม่ได้ทำให้ผมเขินอาย เพียงแต่ยกยิ้มขำๆ กับบรรดาพี่ๆ ที่พยายามหาเรื่องมาแซว

“สวัสดีครับ”

“เพิ่งเคยเห็นน้องไป๋น่ารักมากเลยนะครับ” หนึ่งในเพื่อนที่นั่งอยู่พูดขึ้นผมส่งยิ้มบางให้แต่ไม่ตอบอะไร

“ลู่ชิงคะ ยินดีด้วยนะคะ”

“เอลลี่คิดว่าคุณไม่มาแล้ว” คนที่ทำหน้านิ่งตลอดเวลาที่เขาเห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงเพราะตอนนี้อีกคนดูไม่ใช่คนที่เขาเคยเห็นทั้งรอยยิ้มและภาษากายที่ดูสนิทสนมกันระหว่างสองคนนั่นทำให้ผมแปลกใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ดื่มอะไรไหมครับ” เพื่อนของลู่ชิงคนที่ชมว่าผมน่ารักถามขึ้น ผมเลยหันไปคุยด้วยเลยได้รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของลู่ชิงท่าทางร่าเริงและดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่น่าจะเป็นเพื่อนของหมอนั่นได้เลย

“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอครับแล้วนี่กลับมาอยู่ที่นี่เลยรึเปล่าครับ” คุยกันอยู่นานเลยได้รู้ว่าคุณเจิ้นไม่ได้อาศัยอยู่ฮ่องกงเพียงแค่เดินทางมาร่วมงานหมั้น

“ก็คิดอยู่ครับแต่ผมทำงานที่โน้นสนุกกว่า”

“ได้เลือกเส้นทางเองมันดีที่สุดแล้วครับ” ผมบอกยิ้มๆ หางตาเหลือบเห็นลู่ชิงที่เดินหายไปกับผู้หญิงที่เข้ามาทักกลับมาท่าทางดูมีความสุขแต่คนข้างๆ ก็ดึงให้ผมกลับเข้าสู่บทสนทนา

“ทุกคนมีทางเลือกเสมอ” ใบหน้าขี้เล่นหายไปแววตาฉายถึงความจริงจัง

“นั่นสิครับ บางทีผมอาจจะได้เลือกเส้นทางของผมบ้าง” ผมพูดลอยๆ

“น้องซินชอบอะไรล่ะครับเมื่อรู้ว่าชอบอะไรบางทีเราอาจจะเลือกได้ง่าย” จากที่เรียกน้องไป๋ก็กลายมาเป็นน้องซินอย่างสนิทสนม

“อืม ผมมีเรื่องที่ชอบอยู่ครับ” ผมไม่เคยต้องเลือกทางเดินให้ตัวเองเพราะเป็นลูกคนเล็กแถมยังเป็นคนเล็กที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจเพราะฉะนั้นอย่างเรื่องที่ผมเอาแต่ใจหนีไปเรียนกับไอ้รินก็ไม่มีใครว่าแต่หากจะถามถึงความชอบผมจริงๆ มันก็มีนะ แต่น้อยคนจะรู้

“ไว้ลองทำดูสิ แล้วซินจะได้รู้ว่าถ้าเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองรักจะต้องสนุกมากเหมือนพี่ไง” พี่เจิ้นยิ้มกว้างเหมือนกับจะให้กำลังใจผมเลยยิ้มกว้างอย่างที่เป็นรอยยิ้มให้กับคนที่สนิทกันน้อยครั้งจะเจอคนที่คุยสนุกและมีแง่คิดแบบนี้

“นั่นสิครับผมจะลองคิดดู”

“คุยอะไรกัน”

“เรื่องสนุกๆ นะ เนอะน้องซิน” ผมพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเสียไม่ได้เพราะคนที่โมเมทำหน้าจริงจังแกมบังคับ

“ผมต้องไปหาป๊าแล้วพี่เจิ้นไว้ค่อยคุยกันไหมนะครับ” หลังจากที่สนิทกันก็แลกนามบัตรไว้ติดต่อกันเรียบร้อย

“ไปพร้อมกัน” มือใหญ่คว้าต้นแขนผมไว้ส่วนมืออีกข้างนั้นมีมือสวยควงอยู่มันช่างเป็นภาพที่ดูประหลาดและผมไม่พอใจเมื่อสายตาของหลายๆ คนมองมาที่พวกเขาสามคน ให้ตายเถอะเหมือนตัวเองเป็นมือที่สามเลยวะ

“ผมไปเองได้”

“ฉันลืมแนะนำ นี่เอลลี่เพื่อนสนิทฉันเอง” ผมหันไปปสบตากับเจ้าของร่างระหงที่พอยืนอยู่ข้างกันแล้วก็ดูเหมือนว่าเป็นงานหมั้นของเขาสองคน ความรู้สึกแปลกๆ ก่อขึ้นในใจก่อนที่เขาจะปัดมันทิ้งทันที

“สวัสดีครับคุณเอลลี่”

“ยินดีที่ได้พบนะคะคุณไป๋” เรียวปากสวยที่ถูทาด้วยลิปสติกสีแดงยิ้มกว้างแต่สายตานั้นต่อให้มองมาจากดาวอังคารก็รู้เลยว่าไม่ได้ยินดีที่จะเจอผม เฮ้อ ดูท่าการหมั้นของผมจะมีคนไม่พอใจซะแล้วสิ

“ผมขอตัวนะครับ” ส่งยิ้มการค้าให้ไปทีแล้วตั้งท่าจะไปถ้าไม่ติดไอ้มือปลาหมึกที่จับอยู่เนี้ยล่ะ

“เอลลี่นั่งคุยกับเพื่อนๆ ไปก่อนนะครับ” ไอ้น้ำเสียงสองมาตรฐานทำเอาผมกลอกตาไปมา

“ไปสิ” อยากจะเถียงนะว่าอยากจะไปตั้งนานแล้วถ้าไม่มัวรอนายรำลากับสาวสวยนั่นหรอก รอยยิ้มบนหน้าหายไปมีเพียงความเรียบเฉยจนกระทั่งเดินถึงโต๊ะ

“ป๊า” ผมสะบัดมือออกแล้วพุ่งไปกอดป๊าเพราะไม่อยากอยู่ใกล้

“ตัวเล็กอย่าเสียมารยาททักทายคุณอาจางก่อนสิลูก” เพราะอายุน้อยกว่าป๊าพวกเราเรียกคุณอา

“ขอโทษนะครับคุณอา”

“ฮ่าๆ อาเอออะไรกัน เรียกป๊าสิยังไงก็ครอบครัวเดียวกันแล้ว” คุณอาพูดพร้อมอมยิ้มขำ

“ครับป๊าจาง ป๊าซินอยากกินนั่น” หันมาอ้อนป๊าให้คีบปูนิ่มให้ตลอดการร่วมโต๊ะผมแทบจะไม่มองลู่ชิงสักครั้งแต่พูดกับทุกคนได้อย่างปกติ

“หลังงานหมั้นทั้งสองคนไปเที่ยวด้วยกันนะป๊าจัดการให้แล้ว” ผมนี่เงยหน้าจากอาหารอร่อยตรงหน้ามองป๊าที่จู่ก็มาจัดทริปให้ซะอย่างนั้น

“ได้ครับ” ไอ้หมอนี่ก็รับคำไวจริงๆ เอาเถอะถือว่าไปเที่ยวละกัน

“ครับป๊า”

“เลิกอ้อนป๊าได้แล้วไอ้ตัวเล็ก”

“ไรอิจฉาป๊าหรือไงเดี๋ยวซินไปนอนด้วยคืนนี้” พอเห็นผมบอกอย่างนั้นเฮียเฟิ่งก็ทำหน้าพอใจ อิจฉากระทั้งคนที่ผมอ้อนไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นพี่เป็นน้อง

“บ้านนี้รักกันดีจริงๆ ป๊าจำได้นะตอนเด็กๆ ซินเอ๋อร์ขี้อ้อนแต่ไม่คิดว่าตอนนี้ก็ยังอี้อ้อนไม่เปลี่ยน” ผมรู้สึกเขินกับคำพูดนี้แหะ

“ถ้าวันไหนตัวเล็กไม่อ้อนนั่นล่ะครับแปลก” เฮียหลงพูดและทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ก็อ้อนเฉพาะป๊ากับเฮียนี่ล่ะครับ” ผมบอกความจริงก็ไม่ใช่ทุกคนที่ผมจะอ้อนซักหน่อย

“มาอ้อนป๊าคนนี้ด้วยสิลูกชายบ้านนี้ป๊านึกว่าก้อนหิน” ผมเผลอพยักหน้าเห็นด้วยเลยได้รับสายตาอัมหิตจากก้อนหิน เอ้ย คู่หมั้นของผม

หลังทานข้าวเสร็จผมก็ขอตัวกลับส่วนลู่ชิงคงจะอยู่ฉลองกับเพื่อนๆ ซึ่งผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ผมที่เดินลงมาจากห้องพักเพราะต้องขึ้นไปเอาของที่ลืมทิ้งไว้ต้องไปนิดเมื่อเห็นใครยืนอยู่หน้าโรงแรม แต่ก็เลือกที่จะเดินผ่าน

“เดี๋ยว”

“มีอะไรครับ” ผมหยุดเดินหันไปคุยด้วย

“ไปเที่ยวมะรืนฉันจะไปรับ”

“ครับ” จะมารับก็มารับ จบแล้วใช่ป่ะ “งั้นผมขอตัวนะครับ”

“หึ อย่าไปยิ้มโปรยเสน่ห์ใครเขาอีกล่ะ” โอ๊ย อยากจะเอาของปาใส่หัวไอ้คนที่พูดนิ่งแล้วเดินหนีจริงๆ คอยดูนะถ้าไปเที่ยว เที่ยวใครเที่ยวมันไปเลยไม่ต้องยุ่งกันดีกว่า ได้แต่โมโห ถ้าไม่พอใจทำไมถึงมาหมั้นกันล่ะ







“รินกลับกับพี่นะ” ผมที่เดินตามน้องออกมาจากห้องจัดเลี้ยงคิดถูกที่วันนี้มาตามคำเชิญเพราะดูเจ้าตัวเขาไม่ได้รู้เลยว่าตกเป็นเป้าสายตาแค่ไหน

“ได้ไงผมจะกลับกับป๊า” ท่าทางดื้อดึงมันน่าบีบจมูกรั้นๆ นั่นจริง

“พี่บอกป๊าแล้วว่าจะพาไปส่ง นะครับ” น้ำเสียงสุดท้ายผมลองกดเสียงทุ้มและดูเหมือนจะได้ผลเมื่อน้องก้มหน้างุดเห็นเพียงปลายหูที่แดงระเรื่อ

“ได้ไหมครับ”

“อือ” เสียงตอบเบาๆ เกือบทำให้ผมหลุดยิ้มดูท่าเคล็ดลับที่ซินแอบกระซิบบอกจะได้ผล ข้อแรกคือน้องแพ้คนพูดเพราะและอ้อนแต่ตัวเองกลับอ้อนกว่าถ้าหากน้องไว้ใจนะ และกับผมน้องไว้ใจรึยังนะ กุมข้อมือเล็กไปขึ้นรถสปอร์ตที่เขาขับมาวันนี้นั่งขับไปสักพักคนที่มัวก้มหน้าก้มตาก็เงยหน้าขึ้นทำหน้าตาเลิกลักเมื่อเห็นเส้นทางมันไม่ใช่ทางกลับบ้านตัวเอง

“เดี๋ยวสิไหนจะกลับบ้าน”

“ก็กลับบ้าน...แต่เป็นบ้านพี่ไง” ผมบอกยิ้มๆ ไม่คิดว่าการให้เสียงทุ้มๆ อ้อนๆ จะใช้ได้ผลแบบนี้
*****************************************************

พบคนเนียนหนึ่งอัตตราค่ะ ส่วนพาร์ทพี่ลู่นั้น....

 เราจะไม่ขอพูดถึงพี่ ทุกคนจะทำอะไรกับพี่ลู่ทำได้เลยค่ะ

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะ 

สามารถไปกดติดตามที่เพจได้นะคะอาจจะไม่ได้อัพเดทแต่ไปพูดคุยกันได้ค่ะ


ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
เขาอยากจะทำร้ายคนที่ทำเนียนที่ขับพาเขากลับบ้านตัวเองทั้งๆ ที่บอกว่าจะไปส่งมันน่าปั่นหุ้นให้ร่วงสักตัวสองตัวจะได้รู้ว่าไม่ควรมาล้อเล่นกวนประสาท อย่าให้จับคอมนะจะเอาให้ร้องเลยคอยดู ได้แต่นั่งเก็บอารมณ์หงุดหงิดส่วนตัวต้นเหตุนั่งยิ้มกริ่มไปตลอดทางจนมาถึงบ้านหลังใหญ่ไม่รอให้อีกคนลงมาเปิดประตูให้ผมก็เปิดประตูลงไปยืนกอดอกรอท่ามกลางสายตาของแม่บ้านและบอดี้การ์ดที่มายืนรอ

“หน้าย่นหมดแล้ว” ยัง.ยังจะเล่นอีก

“ทำไมพามาที่นี่เล่า ก็บอกแล้วว่าจะกลับบ้าน” ยิ่งพูดความรู้สึกไม่พอใจยิ่งพุ่งขึ้น

“ก็ถือว่าที่นี่เป็นบ้านด้วยก็ได้นิ” คำตอบแปลกๆ ที่ทำให้ผมหยุดนิ่งคิดเปิดโอกาสให้คนตัวโตจับจูงมือเข้าบ้านคล้อยหลังทั้งคู่ทั้งบอดี้การ์ดและแม่บ้านต่างแอบยิ้มเมื่อไม่เคยเห็นบอสของพวกเขาเป็นแบบนี้สักครั้ง

“นอนที่นี่คืนหนึ่งนะครับ” ไอ้น้ำเสียงทุ้มๆ ลากเสียงอ่อนไหนจะคำว่าครับที่ลงท้ายละมุนอย่างที่เขาแพ้ทาง ไหนๆ ก็ถูกพามาแล้วแค่คืนเดียวจะเป็นไรไป

“จะให้ผมนอนห้องไหน”

“ก็ห้องพี่เหมือนเดิมไง” บ้านหลังใหญ่โตมีห้องเป็นสิบแต่ก็ยังให้เขาไปนอนห้องตัวเองเพราะไม่อยากจะคุยให้มันวุ่นวายเลยเดินตามคนตัวโตเข้าห้อง พร้อมกับรับเอาเสื้อผ้าที่หยางอี้ไปหยิบมาให้เดินเข้าน้ำก็ไม่ใช่ไม่เคยนอนห้องเดียวกันสักหน่อย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวออกมาเรียบร้อยในห้องก็ไม่มีร่างสูงของใครอีกคนอยู่แล้วและผมก็ไม่สนใจในเมื่อให้นอนห้องนี้ก็ไม่คิดจะเกรงใจอยู่แล้วรีบคลานขึ้นบนเตียงแล้วก็แอบยิ้มเพราะผ้าห่มผืนใหญ่และหมอนเพิ่มขึ้นไหนจะอุณหภูมิแอร์ที่ลดต่ำลง มุดตัวลงกับที่นอนนุ่มก่อนที่จะหลับลงทันที

หยางอี้ที่กลับเข้าห้องมาอีกครั้งหลังจากออกไปคุยงานและก็ปล่อยให้น้องพักบ้างพอกลับเข้ามาก็เจอกองผ้าห่มที่ชวนให้ขำกองอยู่บนเตียง ก้อนกลมที่อยากจะพุ่งเข้าไปกอด อ่า ผมชักจะเป็นเอามากแล้วสิสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่อยากจะพุ่งเข้าไปฟัดก้อนเดินเข้าห้องน้ำ เสร็จธุระออกมาเดินขึ้นเตียงล้มตัวนอนข้างๆ ก้อนกลมที่พอเขาพยายามสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มน้องก็พลิกตัวมากอดผม อ่า จะทำยังไงให้ได้น้องมานอนกอดทุกวันน้า คิดไปคิดมาก็หลับไปพร้อมอีกคนในอ้อมแขน

.

.

อ่า แปลก แปลกจริง นี่ผมต้องไปหาหมอรึเปล่า ทำไมนะหัวใจผมถึงเต้นแปลกๆ มือเล็กลูบเบาๆ ที่อกที่รู้สึกว่ามันเต้นแรงจนเจ็บไปหมดแถมยังความรู้สึกแปลกๆ ที่มันฟุ้งๆ นี่อีก อืมเพราะอะไรกัน

“เป็นอะไรทำหน้าเครียดเจ้าแมว”

“เฮียเฟิ่ง...รินเป็นไรก็ไม่รู้” พอเห็นผมทำหน้าเครียดพี่เฟิ่งก็เลิกเล่นหันมาฟังผมอธิบายอาการอย่างจริงจัง พอฟังจบพี่เฟิ่งก็หัวเราะร่า

“อะไรของเฮียหัวเราะทำไมอ่ะ” ผมขยับเข้าไปเขย่าแขนพี่เฟิ่งรัวๆ ยิ่งพี่เฟิ่งขำผมยิ่งอยากรู้

“แค่กๆ ใจเย็นริน เฮียว่านะ เฮียมีวิธีช่วยให้รินหาย” เพราะมัวแต่วิตกกังวลเลยไม่ทันที่จะสังเกตเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ที่แวบผ่านไป แต่เพราะสนใจกับวิธีการที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกแปลกๆ

“เฮียก็บอกมาสิครับ” พี่เฟิ่งกอดคอแล้วกระซิบๆ ยิ่งฟังผมยิ่งคิ้วขมวด

“ตกลงจะทำอย่างที่เฮียบอกป่ะล่ะ”

“มันจะหายได้จริงๆ เหรอครับเฮีย”

“เออ เชื่อเฮีย” หน้าตาจริงจังน่าเชื่อถือทำให้ผมเห็นด้วยไม่ได้ ทำแบบที่พี่ว่าเลยล่ะกัน

หลังจากที่ลองทำตามที่เฮียเฟิ่งบอกอาการแปลกผมก็หายไป ใช่มันหายไปแต่มันดันมีอะไรที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกที่เหมือนว่ามีหลุมดำอยู่ในใจเหมือนขาดอะไรไปอยากจะลากเฮียเฟิ่งมาถามแต่ตอนนี้ดันหายไปไม่รู้อยู่ที่ไหน นี่ผมหายแล้วจริงๆ เหรอ

.



น้องหาย!!

ใช่ครับน้องหายไปตั้งแต่วันที่ถือวิสาสะพาตัวน้องมาที่บ้านวันต่อมาที่ไปส่งน้องกลับที่บ้านแล้วน้องก็เงียบหายไปเลย โทรไปหาก็ไม่รับพอไปหาที่บ้านก็ได้คำตอบว่าน้องไม่อยู่ นี่มันหมายความว่ายังไง นี่มันก็จะอาทิตย์หนึ่งแล้ว

หรือน้องจะโกรธจนไม่ยอมเจอกันอีก

“นายครับหุ้นของเราถูกปั่นจนตกไปสองที่ครับ” กำลังคิดที่จะไปหาน้องได้ยังไงเลขาหน้าห้องก็เปิดประตูเข้ามาแจ้งข่าว

“ฝีมือใคร” ยิ่งอารมณ์ไม่ดียังมีพวกปลาซิวปลาสร้อยมาป่วนเขาอีกเหรอ

“เอ่อ.....จากลายเซ็น...เป็นคุณรินครับ” เลขาบอกเสียงเบาแต่ไม่เท่าชื่อที่ออกจากปากทำให้ไอ้ความคิดที่จะจัดการคนร้ายหยุดชะงัก น้องเหรอเป็นน้องหรอกเหรอ

“ออกไปก่อน” น้ำเสียงเย็นเหมือนกลับไปยังตอนที่ยังไม่ได้เจอร่างบาง มือใหญ่ประสานแน่นอยู่บนตักใบหน้าเรียบเฉยแต่บรรยากาศที่แผ่ออกมามันน่ากลัวซะจนไม่อยากเข้าใกล้

เพราะอะไรน้องโกรธเขาเหรอ คิดจนหัวแทบแตกยากกว่าการทำธุรกิจร้อยล้านพันล้าน ก็ยังหาสาเหตุที่น้องลงมือทำกับเขาแบบนี้ ความเสียหายมันอาจจะมีกับเขาแต่ยังไม่เทียบเท่ากับอะไรที่รินลงมือกับเขา

“ฉันจะออกไปข้างนอก” บอกเลขาหน้าห้องที่กำลังจะเข้าไปแจ้งเรื่องประชุมตอนบ่ายถึงกับอ้าปากค้างแล้วเขาจะแจ้งบอร์ดยังไงล่ะทีนี้ในเมื่อประธานหนีไปแล้ว หยางอี้ที่ตอนนี้ใจร้อนจนแทบอยากจะพุ่งไปบ้านหลังนั้นอยากจะถามน้องว่าโกรธอะไร รถสปอร์ตส่วนตัวคันหรูแล่นฉิวมาจอดยังหน้าบ้านที่เขามาบ่อยจนแทบจะเป็นบ้านอีกหลัง

“รินอยู่ไหมครับ” หลังจากที่เข้ามาในบ้านทักทายกับเจ้าของบ้านเรียบร้อยเขาก็ถามหาคนที่ใจเรียกหาตลอด

“อ่าวอาหยาง อยู่สิไม่รู้เป็นอะไรหลายวันมานี้เหม่อตลอด” ป๊าที่นั่งจิบชาบ่นถึงน้อง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมน้องถึงได้ลงมือกับเขาและทำตัวเหินห่างแบบนี้

“ผมขอเข้าไปหาน้องได้ไหมครับ”

“สวนด้านหลังยังไงก็คุยกันดีๆ นะ” น้ำเสียงเอ่ยเตือนจากคนที่ผ่านโลกมามาก ผมโค้งให้คนตรงหน้าแล้วหมุนตัวเดินไปทางสวนด้านหลังอย่างที่ป๊าบอกพอเข้าสู่สวนด้านหลังผมก็เห็นน้องนั่งเหม่อกอดเข่าไม่ได้รับรู้เลยว่าผมเดินเข้ามา

“ริน” เมื่อเอ่ยปากเรียกน้องสะดุ้งหันกลับมาเมื่อเห็นหน้าผมตาโตเบิกกว้างยังไม่ทันที่ผมจะถามอะไร

หมับ

ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อจู่ๆ น้องก็พุ่งลุกขึ้นมากอดเอวผมแน่น อ่า ผมว่าจะมาพูดอะไรนะ เพราะแรงกอดที่เอวทำให้ลืมทุกอย่างที่จะมาพูด ไม่เคยมีสักครั้งที่น้องจะเริ่มมาสัมผัสผมก่อน

“รินเป็นอะไรครับ” ผมรู้สึกได้ถึงรอยเปียกชื้นที่อก น้องร้องไห้เพราะอะไรน้องถึงร้องไห้น้องไม่ยอมพูดอะไรทำเพียงซุกหน้าอยู่กับอก ผมเลยทำได้แค่กอดแล้วลูบหลังน้องไปมาผ่านไปสักพักเหมือนน้องจะดีขึ้น

“บอกพี่ซิเป็นอะไรครับ”

“อึก อึก” กรรม น้องตอบไม่ได้เพราะสะอึกแรง ตกลงจะคุยกันรู้เรื่องไหมวันนี้ ประคองให้น้องนั่งลงแล้วเทน้ำชาให้คนตัวเล็กที่ยังสะอึกไม่เลิก นั่งจิบชาจนดีขึ้นน้องก็เงยหน้าขึ้นมามองทั้งๆ ตาแดงเป็นกระต่าย

“มาหาเหรอ” เสียงแห้งๆ ถามขึ้น

“ใช่พี่มาหาเพราะรินหลบหน้าพี่แล้วก็เรื่องวันนี้ด้วย”

“ก็แค่เอาคืนเฉยๆ และรินก็ไม่ได้หลบหน้านะ” มือเล็กเอื้อมมาจับชายเสื้อเหมือนกลัวว่าผมจะลุกหนี เอาคืนเรื่องที่ผมพากลับบ้านสินะเป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบจริงๆ แต่ไอ้เรื่องหลบหน้านี่ไม่ใช่แน่ๆ

“เราหลบหน้าพี่ พี่มาหาเราก็ไม่ออกมาเจอโทรมาหาก็ไม่ยอมรับ โกรธอะไรพี่ หืม??”

“ปะ..เปล่านะรินแค่ทำตามที่เฮียเฟิ่งบอกเฉยๆ” คิ้วกระตุกรัวที่น้องเงียบหายไปเพราะไป๋เฟิ่งไว้จะคิดบัญชีทีหลังแต่ตอนนี้ขอจัดการคนตรงหน้าก่อน

“แล้วทำไมถึงทำตาม ไม่คิดเหรอว่าพี่จะรู้สึกยังไง” ผมจับมือน้องที่จับชายเสื้อมากุมไว้

“รินไม่รู้จะทำไง พอเจอหน้าก็รู้สึกแปลกๆ ใจมันเต้นรัวไปหมดเลย” น้องทำท่าทางคิดหนักจะผิดไหมที่ผมจะดีใจกับท่าทางคิดหนักของน้อง

“แล้วเมื่อกี้ร้องไห้ทำไมเหรอ”

“ก็....คิดถึง” โดนยิงมาเขายังรอดแต่ดูท่าแล้วผมคงจะตายเพราะคำว่าคิดถึงของคนตัวเล็กที่พูดเสียงเบาแถมยังหลบสายตาผมอีก อยากจะดึงน้องเข้ามาฟัดเพียงแต่นี่มันกลางสวนเลยได้แต่อดใจไว้

“พี่ก็คิดถึง” แก้มเนียนนั้นแดงเป็นปื้น ผมควรจะทำให้มันเป็นทางการเสียที “คบกับพี่นะ” ทันทีที่พูดจบตากลมเบิกกว้างท่าทางตกใจเอ๋อๆ ของน้อง

“เดี๋ยวสิ..คบเหรอ คบกันได้เหรอ” เหมือนตอนนี้น้องจะช็อตไปแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างที่ชอบทำเวลาทำงานเลยปล่อยให้คนตกใจประมวลผลไปเรื่อยแอบลูบมือเล็กไปเรื่อย ผ่านไปนานกว่าที่น้องจะยอมเงยหน้ามองผม

“เราจะคบกันได้จริงๆ เหรอ แล้วเป็นผมดีแล้วเหรอ” อยากจะบีบแก้มเนียนของคนที่ตั้งคำถามนี้ออกมา

“เราคบกันได้และถ้าไม่ใช่รินพี่ก็ไม่คิดที่จะรักใคร” ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้แก้มขาวนั่นแดงขึ้นกว่าเดิม

“แย่แล้ว ทำไงดีใจรินเต้นแรงมากเลย” ทนไม่ไหวแล้วครับจะอยู่ตรงสวนหรืออะไรก็แล้วแต่ผมรั้งเอาคนตัวเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนแล้วน้องก็ไม่ได้ขัดขืนเลยสักนิดแถมยังกอดกลับซบหน้าลงตรงอกเขาอีก น่ารัก น่ารักคำๆ นี้วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา น้องเหมาะกับคำว่าน่ารักจริงๆ น่ารักแต่ไม่อ่อนแอดูจากการการเอาคืนผมก็ได้เล่นเอาเสียหายไปเท่าไหร่แต่ผมไม่ได้ว่าอะไรน้องหรอกนะ

“งั้นคบกันเถอะนะครับ คบกับพี่นะ” น้องไม่ได้ตอบอะไรมีเพียงการพยักหน้าเบาๆ เหมือนได้สิ่งล้ำค่ามาอยู่ในมือไม่เกี่ยวกับฝีมือแต่เป็นเพราะเด็กคนนี้ทำให้เขามีความสุขมีความรู้สึกรักใครสักคนเป็นคนแรก

หลังจากนั้นทั้งผมและน้องต่างไม่พูดอะไรนั่งกุมมือกันเงียบๆ แต่ความรู้สึกนั้นกลับอบอวลไปด้วยความรู้สึกหวานจนหลายคนที่ผ่านมาด้อมๆ มองๆ ต้องหลบฉากหวานนี้

“พี่คงต้องกลับแล้ว”

“อื้อ ไว้เจอกันครับ” น้องเงยหน้ามาส่งยิ้มกว้างให้อยากจะอุ้มน้องไปทำงานด้วยจริงๆ

ฟอด

“ไปล่ะครับ”

“หยางอี้!!” ได้ยินแค่เสียงร้องชื่อตัวเองดังลั่นสวน ก็เขาเล่นหอมแก้มก่อนออกมา รู้สึกตัวช้าจริงๆ เลยนะ ขายาวก้าวไปยังรถก่อนที่จะกลับไปยังบริษัทเพราะมือถือเขาสั่นเป็นเจ้าเข้าตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“ว่าไง”

“ (บอสครับทางบอร์ดโวยวายใหญ่เรื่องหุ้นที่ตกไปครับ) ” ผมกรอกตามองบางที่ก็รู้สึกรำคาญบรรดาบอร์ดที่บางครั้งก็เรื่องมากซะจนไม่รู้ว่าจ้างมาทำไม

“บอกไปว่าเป็นการเอาคืนของแฟนฉัน” นิวที่ถือสายถึงกับชะงักงานที่กำลังทำอยู่นิ่งค้างจนเหมือนโดนแช่แข็งไปแล้ว แฟนบอส ....บอสมีแฟน....คนอย่างบอสนี่นะ ไม่รู้ว่าอึ้งกับอะไรก่อนดีรหว่างที่บอสมีแฟน หรือใครที่โชคร้ายเป็นแฟนบอส

“ (เอ่อ บอสครับ แฟนบอสนี่คุณรินเหรอครับ) ” นิวคิดว่าเป็นการจับคู่ที่วินาศสันตะโรมาก ใครจะมาหาเรื่องคงต้องคิดสั้นแน่ๆ

“ใช่ ฉันกำลังไป” ตอบแล้วตัดสาย ขับรถมุ่งกลับบริษัทต่อให้มีเรื่องปวดหัวแค่ไหนก็คงทำอะไรผมไม่ได้ในวันนี้



*********************************************************

                   เรื่องนี้ก็อย่างชี้แจงในเพจนะคะว่าอีกไม่กี่ 10 ตอนก็จะจบแล้ว

                  ต่อไปจะไปลงกับสตางค์ต่อให้จบ อาจจะได้ลงเรื่องใหม่ก่อนสิ้นปีนะคะ

                 อ่านแล้วเป็นไง เรารบกวนบอกด้วยนะคะ จะได้รู้ว่ามันดีไหม 

                ขอบคุณทุกคนทีเข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
แกล้งแรงมากนะริน 555555555

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
16

ข้างเรื่อง 5

ถามว่าการเป็นคู่หมั้นของผู้สืบทอดตระกูลต้องทำอะไร......คำตอบคือไม่ต้องทำอะไรเพราะตั้งแต่วันงานผมก็ไม่ได้เจอหน้าคู่หมั้นอีกเลย เพียงแต่ข่าวที่คอยได้ยินจากคนรอบข้างว่าลู่ชิงควงสาวในงานหมั้นไปไหนต่อไหน แล้วข่าวซุบซิบตามหน้าสังคมไฮโซ ส่วนผมก็แค่หมั้นหมายเพราะคำสัญญาถึงจะออกหน้าออกตาแต่มันแค่นั้นเอง ผมได้กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมืองและสังคมชั้นสูง หึ

“คุณหนูครับ ลู่ชิงมาขอพบ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินมาเรียกผมที่นั่งเล่นอยู่ศาลาประจำผมวางก้านดอกไม้ลง

“ให้เขาเข้ามา” ผมไม่ยอมออกไปหรอกนะ หันไปบอกบอดี้การ์ดก่อนที่จะหันมาหยิบดอกไม้ขึ้นมาตัดกิ่งเสียบลงบนแจกัน รอไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินมาตามทางเดินไม่หันไปมองผมก็เดาได้ว่าใคร จนกระทั่งร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้าผมเงยหน้าขึ้นไปมองไปแวบเดียวก่อนที่จะหันมาสนใจดอกไม้ต่อ

“ฉันมารับออกไปข้างนอก” เหมือนจะมีคนทนความเงียบไม่ไหวพูดขึ้นมา ผมส่ายหัวกับการออกไปข้างนอกทั้งๆ ที่ตอนนี้โดนเพ่งเล็งนะเหรอ อย่ามาพูดให้ขำเลยดีกว่าอยู่บ้านก็สบายใจกว่าเยอะ

“นายเป็นคู่หมั้นนายต้องไปกับฉัน” น้ำเสียงเย็นติดเผด็จการทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง คนคนนี้ไม่มีสิทธิอะไรมาสั่งเขาเลย

“คุณไม่มีสิทธิมาสั่งผม และผมก็ไม่คิดที่จะทำตามคุณบอก” แววตาคมเหมือนเหยี่ยวนั่นมีประกายวาววับพาดผ่านไปแวบหนึ่งก่อนที่จะกลับมานิ่งเฉย

“แค่คุณพ่อสั่ง” มือที่ถือดอกไม้อยู่กำแน่นจนก้านดอกไม้หัก คนคนนี้...เมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอกำดอกไม้จนมันหักผมปล่อยดอกไม้ดอกนั้นลงที่โต๊ะรู้สึกเสียใจที่เอาอารมณ์ไปลงกับดอกไม้สวยๆ

“ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ารอสักครู่” ผมลุกขึ้นเดินออกจากศาลาทันที ความรู้สึกดีๆ ก่อนหน้านี้ที่มันมีเพียงน้อยนิดหมดไปทันที



ร่างสูงมองคนโมโหที่เดินปั้นปึ่งเข้าบ้านดวงตาคมอ่อนแสงลงก้มลงมองดอกไม้ที่ถูกหักมือใหญ่หยิบดอกไม้แม้ก้านจะหักแต่ดอกไม้ก็ยังสวยเมื่อตัดก้านออกแล้วเสียบลงในแจกัน พอดีกับร่างบางที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาพอดี ลู่ชิงขยับเข้าไปชิดแล้วกุมข้อมือจูงพากันออกไปไม่สนมือเล็กอีกข้างที่พยายามแงะแกะมือผมออก

“ปล่อยสิจะจับทำไม” ผมร้องประท้วงแต่ก็เหมือนร้องใส่ก้อนหินมันทั้งไม่สนใจไม่ฟังจูงผมไปขึ้นรถแล้วมันก็ก้าวขึ้นตามปิดทางหนีผมทันทีแถมยังไม่ยอมปล่อยมือคนขับรถเมื่อเห็นว่าพวกเราขึ้นมาก็ออกรถทันทีเป็นใจกันจังเลยนะ แล้วผมจะทำอะไรได้ หัวเดียวกระเทียมลีบจะทำอะไรก็ไม่ได้รู้งี้น่าจะให้พี่ๆ มาด้วยสักคน ผมขยับออกห่างหันหน้ามองวิวด้านนอกส่วนมือจะจับก็จับไป เพราะยังไงก็ดึงออกมาไม่ได้อยู่แล้ว ไม่นานรถหรูก็มาจอดใต้ห้างหรู ผมเดินตามคนที่ยังจูงมือไปเงียบๆ

“อยากทานอะไร”

“อะไรก็ได้” ผมตอบกลับไปเพราะอยากกลับบ้านไปนั่งๆ นอนๆ ยังดีเสียกว่า ลู่ชิงปรายตามองคนว่าง่ายก่อนที่จะเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เขารู้ดีว่าใครอีกคนชอบ เขาเลือกทานแบบโอมากาเสะเพราะอยากให้เป็นส่วนตัว ระหว่างที่เซฟกำลังทำอาหารก็ดูเหมือนว่าจะมีเด็กน้อยที่สนอกสนใจและตั้งใจฟังทุกอย่างที่เซฟบอก

“อือ อร่อยมากเลยครับ” รอยยิ้มกว้างถูกมอบให้เซฟทำให้คนพามารู้สึกหงุดหงิด หลังจากทานมื้ออร่อยก็เหมือนคนตัวเล็กจะอารมณ์ดีรอยยิ้มบางประดับบนหน้าแจกจ่ายให้ทุกคนที่พบเห็น

“อยากไปไหนต่อไหม”

“ผมอยากไปร้านหนังสือ” ลู่ชิงก็ไม่ตอบอะไรแต่ก็จับมือเล็กพากันเดินไปที่ร้านขายหนังสือแล้วก็แยกย้ายกัน ซินมองชั้นหนังสือนิ่งพยายามนึกว่าเล่มไหนเขาซื้อไปแล้ว หลังจากที่ดูอยู่นานเขาก็ได้หนังสือหลายเล่ม เดินไปเค้าเตอร์กำลังที่จะหยิบบัตรออกมาจ่ายบัตรสีดำก็ถูกส่งให้พนักงานเสียก่อน

“ฉันจ่ายให้เอง” ซินไม่ว่าอะไรอยากจ่ายก็จ่าย ค่าหนังสือไม่กี่หยวนเองขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก พอลู่ชิงถามว่าจะไปไหนต่อผมก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนเลยขอกลับดีกว่า แต่พอขึ้นรถมาโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังขึ้น

“ได้ๆ เจอกันที่บริษัท” พอวางสายลู่ชิงก็บอกให้คนขับรถไปบริษัทโดยไม่ไถ่ถามผมเลยสักนิดพอถึงบริษัทลู่ชิงก็เดินลิ่วทิ้งผมที่กำลังเดินมาอยู่หน้าลิฟท์ให้ตายเถอะแล้วผมจะรอทำไม มือเล็กกดโทรศัพท์เรียกคนที่บ้านมารับในทันที รอไม่นานพี่บอดี้การ์ดก็มารับ

“ทำไมถึงมาอยู่นี่ล่ะครับคุณหนู” น้ำเสียงออกจะห้วนเมื่อจู่ๆ คุณหนูเล็กโทรมาให้มารับที่บริษัทของคู่หมั้นทำไมถึงไม่ดูแลคุณหนูเล็กของเขาดีๆ พวกเขาต่างรักคุณหนูเล็กมากเพราะเป็นคุณชายคนเล็กของบ้านแถมยังเป็นคนใจดีขี้อ้อนไม่ถือตัวกับลูกน้อง แต่พอคู่หมั้นคนนี้ถึงได้ทำแบบนี้กับคุณหนูเล็กได้

“ช่างมันเถอะ ผมอยากกลับบ้านแล้ว” ซินรู้สึกเหนื่อยมันทั้งกดดันและเหมือนมีโซ่ที่มองไม่เห็นคอยรัดเขาไว้ บางทีการตัดสินใจหมั้นมันคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วล่ะ เพราะจากที่ดู ดูเหมือนอีกคนจะฝืนใจเสียมากกว่า รถหรูกลับมาถึงบ้านซินก็หอบข้าวของขึ้นห้องแล้วก็กลับมานั่งเล่นที่ศาลาเหมือนเดิม

“ไปข้างนอกมาเป็นยังไงบ้าง” เพราะมัวแต่เหม่อเลยไม่รู้เลยว่าป๊ามานั่งด้วยตอนไหน

“ป๊า...ถ้าซินไม่อยากหมั้นจะผิดไหม” ก่อนหน้านี้เขาอาจจะคิดตื้นไปกับการตกลงหมั้นหมายไปแต่ถ้าหากสิ่งที่เขาคิดไว้หลังหมั้นมันไม่ใช่เลยสักนิด คู่หมั้นเขาไม่ให้เกียรติเขาเลยสักนิด ผมขยับเข้าไปกอดร่างท้วมของป๊าที่พอได้ยินผมถามจบเสียงถอนหายใจเบาๆ ก็ดังขึ้น

“ป๊ายอมรับแต่ถ้าหากลูกถอนหมั้นแล้ว....” ผู้เฒ่าไป๋คิดหนักเรื่องหมั้นหรือจะถอนหมั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเพียงแต่ว่าหากถอนหมั้นแล้วลูกชายตัวน้อยของเขาจะเป็นยังไง เหมือนร่างบางจะเดาความคิดบิดาได้

“ผมจะอยู่กับป๊าตลอดไปเลยก็ได้ไม่เห็นต้องมีใครดูแล” ที่อยู่เงียบๆ ไม่ใช่ไม่รู้ถึงจะเงียบแต่ผมรู้ทุกเรื่องทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่มันก็คงจะดีถึงแม้จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไปหน่อยก็เถอะ

“ป๊าขอได้ไหมรอดูอีกหน่อย”

“อือ ก็ได้ครับ” เมื่อป๊าขอผมก็จะให้ แต่ความรู้สึกมันก็คงจะไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ผมคลอเคลียกับป๊าอยู่นานจนกระทั่งมื้อเย็นบนโต๊ะมีเพียงผมและป๊า เฮียหลงไปดูงานต่างเมือง ส่วนเฮียเฟิ่งก็หมกตัวเขียนหนังสือปั่นให้ทันเดดไลน์ของทางสำนักพิมพ์ ส่วนเพื่อนสนิทผมนะเหรอ โน้นโดนหยางอี้หิ้วไปดูงานด้วย

ผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มใหม่มือถือที่วางอยู่ข้างกายก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูแต่เมื่อเห็นเป็นเบอร์แปลกๆ เลยกดตัดสายยังไม่ทันที่จะวางด้วยซ้ำเบอร์เดิมก็โทรมาอีก

“สวัสดีครับ”

“ (ทำไมถึงกลับไปก่อน) ” แค่ได้ยินเสียงผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร คู่หมั้นที่ทิ้งผมไว้ไงล่ะ ผมถอนหายใจเป็นการตอบคำถามอีกฝ่าย

“ก็ไม่มีอะไรครับ” พอผมตอบกลับไปต่างฝ่ายก็ต่างเงียบ เงียบจนผมคิดว่ามันเสียเวลาที่มานั่งรอ “ถ้าเสร็จธุระแล้วแค่นี้นะครับ”

“ (เดี๋ยวพรุ่งนี้เตรียมเก็บกระเป๋า ฉันจะไปรับไปเที่ยวสำหรับ 3 วัน) ”

“ผมไม่ได้บอกว่าจะไปด้วย”

“ (พรุ่งนี้เจอกัน 10 โมงเช้า) ” พอประท้วงไปก็ไม่คิดจะฟัง ช่างเป็นคนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่เสียจริง ผมถอนหายใจดูท่าการคุยกับคู่หมั้นในแต่ละครั้งผมคงอายุสั้นไปหายปีเพราะมัวแต่ถอนหายใจ

“งั้นก็แค่นี้นะครับ” ผมตอบกลับอย่างเย็นชาแล้วกดตัดสาย เอาเถอะถือว่าเป็นการเล่นละครคู่หมั้นก็แล้วกัน หนังสือในมือถูกวางลงบนเตียงเพราะไม่มีอารมณ์จะอ่านแล้วได้แต่ปิดไฟล้มตัวนอน กระเป๋าค่อยจัดพรุ่งนี้

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เอากระเป๋ามาจัดบอกแค่ไปเที่ยวสามวันแต่ไม่บอกว่าที่ไหนผมควรจะจัดกระเป๋ายังไงดี ให้ตายเถอะผมไม่อยากโทรไปสักนิด

“ (ว่าไง) ”

“คุณจะพาไปเที่ยวไหน” ทันทีที่ปลายสายรับผมก็ถามทันที

“ (ทะเล) ”

“โอเค” แล้วผมก็ตัดสาย ส่วนจะทะเลส่วนไหนในโลกก็คงต้องปล่อยให้หมอนั่นจัดการละกันในเมือชอบนักกับการบังคับ หยิบเสื้อผ้าที่ดูใส่สบายๆ ถือว่าไปเที่ยวฟรีๆ ล่ะนะ พอจัดกระเป๋าเสร็จผมก็ลงมารอด้านล่าง พอถึงเวลานัดอีกฝ่ายก็ตรงเวลาพี่บอดี้การ์ดยกกระเป๋าออกไปทันที ส่วนผมเดินออกมาพร้อมป๊าที่เดินออกมาส่ง

“ป๊า ซินไปก่อนนะครับ”

“เที่ยวให้สนุกนะตัวแสบ” ผมกอดป๊าพร้อมกับหยัดตัวขึ้นหอมแก้มอีกหลายที

“ครับ” ผมเดินลงไปขึ้นรถที่หมอนั่นเปิดประตูรอ ส่วนร่างสูงทำเพียงโค้งให้ป๊าก่อนที่จะขึ้นมาบนรถ ระหว่างการเดินทางไปสนามบีนมันก็มีแต่ความเงียบจนกระทั่งขึ้นเครื่องทั้งผมและหมอนั่นก็ยังไม่ยอมคุยอะไรอีก ผมก็พึ่งรู้ว่าทะเลที่จะไปเที่ยวคือหมู่เกาะสิมิลัน เมื่อลงเครื่องหมอนั่นก็จูงมือผมเดินไปที่รถหรูที่จอดรออยู่แล้ว ส่วนกระเป๋าคนติดตามคงจะเอาตามมาเอง

“ปล่อยได้แล้ว” แม้แต่ขึ้นรถข้อมือผมก็ยังไม่ถูกปล่อย

“จับไม่ได้หรือไง” คิ้วผมกระตุก หมอนี่ตั้งใจจะกวนผมชัดๆ

“ไม่ได้”

“ฉันไม่สน” โอ๊ยยยย ผมอยากจะเอามือข่วนหน้านิ่งๆ นั่นให้แหกจริงๆ แล้วจะรวนเขาทำไมในเมื่อก็ไม่ยอมปล่อย ไม่อยากจะคุยด้วยแล้ว ใบหน้าขาวสะบัดหน้าหนีเลยไม่ทันที่จะเห็นแววตาสนุกของใครอีกคน เมื่อถึงหมู่เกาะก็ต่อเรือไปที่เกาะส่วนตัว บ้านพักส่วนตัวสุดหรูที่ตั้งอยู่สูงอีกฝั่งของหาดซึ่งกินอาณาเขตลงไปถึงหาดด้านล่าง

“ขอบคุณครับ” ผมบอกขอบคุณลูกน้องของหมอนั่นที่ยกกระเป๋าขึ้นมาให้ พวกพี่ๆ ที่ตามเขามาผมให้ไปซื้อของให้ ผมเปิดประตูบานเลื่อนตรงระเบียง ระเบียงด้านนอกมีสระว่ายน้ำผมเดินอ้อมสระว่ายน้ำที่ชวนให้ลงเล่น ไปนั่งที่เปลหวายที่มัดอยู่

“สวยจัง” ผมเอนหลังพิงเปลมองวิวด้านล่างชายหาดสีขาวน้ำทะเลสีฟ้าใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกาย บรรยากาศสงบพร้อมกับสายลมเย็นๆ ทำให้ผมเผลอหลับคาเปล

.

ลู่ชิงที่สั่งงานลูกน้องเรียบร้อยเดินกลับขึ้นห้องก็ไม่เห็นคนที่ควรอยู่ในห้อง มีเพียงกระเป๋าที่วางอยู่ปลายเตียงกับประตูระเบียงที่เปิดอยู่ พอเดินออกมาก็เห็นคนตัวเล็กนอนหลับอยู่บนเปลหวาย

“อย่างกับแมว หึ” ลู่ชิงมองคนที่หลับสนิทนิ่งแววตาคมทอประกายแปลกๆ อยู่แวบหนึ่งก่อนที่จะหมุดกายเดินไปหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวให้แล้วเดินกลับเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้

เวลาผ่านไปเกือบๆ สองชั่วโมงคนที่นอนก็ยังนอนอยู่ ลู่ชิงคิดว่าได้เวลาปลุกแมวขี้เซาได้แล้วขายาวก้าวออกไปชิดเปล

“นี่ตื่นได้แล้ว”

“อือ เฮียซินขออีกแปบ” น้ำเสียงอ้อนๆ กับการซุกหน้าลงกับมือเขา แววตาคมทอประกายอ่อนแสงลง ก่อนที่จะเขย่าตัวร่างบางแรงขึ้น จนตากลมปรือมองหน้าเขาอย่างงงๆ แต่พอตั้งสติได้ก็ผละออก

“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เย็นแล้วไปทานข้าวกัน” ผมมองแมวที่ลูบหน้าลูบตาตื่นๆ แมว...แมวจริงๆ นั่นล่ะนะ เพราะท่าทางตื่นๆ กับแก้มขาวๆ แดงระเรื่อ ทำให้เขายอมที่จะลุกเดินลงไปด้านล่างก่อน ปล่อยให้แมวหายตื่นค่อยตามลงมา

“ขอโทษที่ให้รอครับ” แมวตัวขาวเดินหูตกลงมาเมื่อเห็นกับข้าวที่วางเต็มโต๊ะก็เอ่ยขอโทษก่อน

“ไม่เป็นไรนั่งสิ” ลู่ชิงนั่งมองคู่หมั้นที่พอเห็นของกินก็ไม่สนใจเขาอีกแล้ว

“ชอบทานอะไร” นี่คงเป็นประโยคแรกที่เขาถามอยากรู้เรื่องราวของคู่หมั้น

“อืม..ก็ทานได้หมดนะ แต่ชอบอาหารทะเลครับ” แม้จะดูเหินห่างแต่เจ้าตัวก็ยอมตอบผมทุกคำถาม เขาพยักหน้าเข้าใจแล้วตักปลาหมึกใส่จาน ตากลมๆ นั่นหรี่ลงอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยอมที่จะตักปลาหมึกที่เขาตักให้ทาน

คู่หมั้นที่บิดาบังคับให้หมั้นโดยที่เขาไม่พอใจเลยสักนิดเพียงแต่เมื่อพอเจอหน้าครั้งแรก ดวงตากลมใสก็เหมือนจะดึงดูดเขาในทันที แต่นั่นก็เป็นเพียงแรงดึงดูดเพียงแวบเดียว แต่กับเอลลี่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้ากับเขาได้ทุกอย่าง ผู้หญิงที่เขาควงนานที่สุด

“พรุ่งนี้จะพาเที่ยว”

“ครับ” และนั่นก็เป็นคำตอบที่เขาได้ยินบ่อยที่สุด ไม่เคยที่เจ้าแมวดื้อจะถามเขาก่อนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ หลังจากทานข้าวในบรรยากาศเงียบๆ เสร็จซินก็ขึ้นไปอาบน้ำส่วนเขาหยิบโทรศัพท์คุยกับคนที่พึ่งส่งข้อความมาหา

“ครับผมก็คิดถึงคุณ” หลังจากที่คุยยาวมาเกือบชั่วโมงพอขึ้นห้องที่มีเพียงแสงไฟจากห้องน้ำ โดยที่คนขึ้นมาก่อนนั้นหลับอุตุบนเตียงแล้ว เขาหยิบเสื้อผ้าแล้วเข้าห้องน้ำพออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็ล้มตัวลงนอนฝั่งที่ว่างโดยมีหมอนข้างกั้นอยู่ น่าแปลกที่ซินไม่ถามเรื่องห้อง คงจะรู้ว่าถึงยังไงก็ไม่มีประโยชน์ คิดไปก็หลุดยิ้มก่อนที่จะหลับตาลง



รุ่งเช้าร่างสูงที่เข้านอนช้ากว่าพอตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอคนข้างๆ แล้ว เขารีบจัดการธุระส่วนตัวแล้วเดินหารอบๆ บ้านพักแต่ก็ยังไม่เจอ

“นายน้อยครับ คุณชายไป๋เดินเล่นอยู่ที่ชายหาดครับ”

“อืม” โบกมือไล่ลูกน้องให้พ้นทาง ขายาวก้าวตามทางเดินลงไปยังชายหาดไม่ต้องมองหาก็เห็นร่างโปร่งเดินเล่นคลื่นอยู่ที่ชายหาด เสื้อสีขาวตัวใหญ่กับกางกางห้าส่วนยิ่งที่ให้ร่างที่ขาวอยู่แล้วขาวยิ่งขึ้นไปอีก แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาหยุดนิ่งเท่ารอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้า ไม่รู้ว่าเขายืนมองอยู่นานแค่ไหนรู้ตัวอีกทีเพราะรอยยิ้มบนหน้าหวานนั้นหายไป

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงหวานตะโกนถามเขา

“แค่อยากมาเดินเล่นด้วย” ลู่ชิงเดินเข้าไปหาคู่หมั้นที่ทำหน้างงๆ เมื่อผมบอกว่าจะมาเดินเล่นด้วย

“ชอบทะเลเหรอ”

“ก็ชอบครับ เคยแอบมาเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ” ซินไม่ได้ขยายความว่าแอบหนีพวกพี่ๆ มาเที่ยวกันเอง

“ชอบที่นี่ไหม”

“ชอบสิครับสวยซะจนอยากชวนป๊ากับเฮียๆ มาด้วย” แววตายามเอ่ยถึงครอบครัวนั้นทอประกายความสุขอย่างไม่ปิดบังไม่เหมือนเขาสินะ

“ชวนมาได้ ที่นี่เป็นของฉันก็เหมือนของเธอ” ปกติแล้วไม่มีทางที่เขาจะบอกแบบนี้หรอกนะแม้กระทั่งเอลลี่เขายังไม่ได้เอ่ยปากขนาดนี้ แต่เพราะเห็นอีกคนชอบ

“บ้า ของผมได้ไง ไม่เกี่ยวกับผมเลย” แมวน้อยทำท่าตื่นๆ แถมยังถอยห่างเหมือนเจอผี ทำเอากลั้นขำแทบไม่ได้ จนขยับเข้าไปชิดก่อนที่จะกุมมือเล็กที่ดูจะเหมาะเจาะกับมือเขาเหลือเกิน

“เดินเล่นกับพี่นะ”

“พี่บ้าอะไรกัน” ถึงแม้จะบอกอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกยอมเดินเล่นกับเขาจนถึงเวลาทานอาหาร ที่ตอนนี้ไม่ได้มีแต่ความเงียบ เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะเริ่มเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกดีๆ ที่ก่อตัว

***************************************************

ขออภัยที่หายไปนานนะคะ จริงๆคือปั่นอีกเรื่องเพลิน

เลยไม่ได้ปั่นเรื่องนี้เลย ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ 

ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :ling2:

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
17.

ข้างเรื่อง 6

ไม่อยากยอมรับนะแต่พออยู่ร่วมกันก็เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างแถมหลายเรื่องก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเข้ากันได้ดี ซินที่นั่งแซทกับเพื่อนสนิทอยู่ระหว่างรอไปขึ้นเรือออกไปดำน้ำ เห็นผมอย่างนี้ผมก็ได้ใบอนุญาตดำน้ำนะครับ ไอ้รินบ่นประท้วงว่าอยากมาเที่ยวแถมหลังๆ ยังบ่นเรื่องหยางอี้อีก

“ทำอะไรอยู่”

“แซทกับรินอยู่ครับ คุยเสร็จแล้วเหรอครับ” เงยหน้าไปตอบคนตัวสูง แม้ในใจจะรู้ดีว่าใครเป็นคนโทรมา

“อืม” ผมลุกขึ้นปัดทรายออกจากกางเกงเดินนำคู่หมั้นไปขึ้นเรือ

“ผมช่วยครับคุณริน”

“ขอบคุณ” ผมส่งมือให้กับลูกน้องของลู่ชิงที่ยืนมือมาเพื่อที่จะช่วยดึงเขาขึ้นเรือ ใบหูลูกน้องลู่ชิงแดงนิดๆ เมื่อได้รอยยิ้มกว้างเป็นการตอบแทนแต่ก่อนที่จะหน้าซีดปล่อยมือนุ่มขยับยืนตัวตรงเมื่อสายตานายน้อยมองมา

“อ่าว” ซินร้องประท้วงไหนว่าจะช่วย แต่ก่อนที่จะได้ปีนขึ้นเรือเองมือใหญ่ก็ช่วยพยุงเขาขึ้นเรือ “ขอบคุณครับ” พอขึ้นเรือมาผมขยับมานั่งไม่ได้สนใจลู่ชิงที่เดินมานั่งข้างๆ

“เอ่อน้ำครับคุณริน” ผมรับแก้วน้ำมานั่งจิบ เลื่อนสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อย

“ดำน้ำเก่งไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามทำลายความเงียบ เขาเลยพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เงียบจนถึงจุดดำน้ำ ผมลงไปเปลี่ยนชุด รอบๆ มีเรืออีกสองลำจอดอยู่ไม่ห่างเพื่อรักษาความปลอดภัย เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก่อนใครอีกคนเมื่อเช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์เดินไปนั่งที่กาบเรือก่อนที่จะพลิกตัวลงน้ำไป

ใต้ท้องทะเลสีครามที่ยังคงสวยงามด้วยธรรมชาติ แนวปาการังสวยที่มีหมู่ปลาน้อยใหญ่กำลังแหวกว่าย ผมดำลึกลงไปตามแนวปาการัง ฝูงปลาที่ไม่กลัวเริ่มว่ายผ่าน ผมที่กำลังจะว่ายไปกลับต้องหยุดชะงักเพราะแรงดึงที่มือพอหันกลับไปก็เห็นเป็นลู่ชิงที่ลงมาทีหลัง

ดำน้ำเพลินจนถึงเวลาขึ้น พอขึ้นถึงผิวน้ำผมถอดหน้ากากออกสะบัดผมสองสามทีแล้วลูบหน้าออกจากใบหน้าเนียน ลู่ชิงเผลอมองภาพนั้นอย่างใจลอย รอยยิ้มมุมปากที่พออยู่บนใบหน้าหวานมันช่างดูเจิดจ้าและอบอุ่น ความรู้สึกอุ่นวาบที่เกิดขึ้นในใจนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกๆ หลังจากขึ้นเรือเขาก็ให้คู่หมั้นตัวน้อยเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเพราะกลัวไม่สบาย

“กลับที่พัก” ลู่ชิงหันไปสั่งลูกน้อง ส่วนเขาถอดชุดดำน้ำโชว์แผ่นอกกล้ามท้องที่อุดมไปกล้ามเนื้อแน่น

“คุณไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ” ลู่ชิงหันไปกลับไปมองคนถามเพียงแต่ตอนนี้สายตาที่เขามองคู่หมั้นนั้นเปลี่ยนไป ร่างบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคล่งกับกางเกงที่โผล่พ้นชายเสื้อผมที่ยังเปียกชื้นยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูเย้ายวน หากเป็นคนอื่นเขาจะเพียงแค่มองผ่านแต่กับร่างบางตรงหน้า...ทำไมมันช่างดูเย้ายวนแบบนี้นะ

“ดะ..แค่ก เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนที่บ้าน หิวรึยัง” เสียงที่พูดออกไปดูแหบพร่าจนเขาต้องกระแอมเรียกเสียง

“อ้อ หิวแล้วล่ะครับ” ยังดีที่ร่างบางไม่ได้สนใจอาการแปลกๆ ของเขา เขาเดินออกมาข้างนอกเมื่อร่างบางเช็ดผม ความรู้สึกแปลกๆ นี่คืออะไร

หลังจากขึ้นฝั่งต่างตนต่างแยกย้ายเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายก่อนที่จะลงมาที่สวนหน้าบ้าน ซินที่ลงมาก่อนกระโดดไปขอช่วยพี่ๆ ปิ้งย่างอาหารทะเลซึ่งผู้ติดตามก็ไม่ปฏิเสธเพราะเจ้านายน้อยของพวกเขาเป็นกันเองหากพูดห้ามออกไปนายน้อยก็จะโมโหถึงตอนโมโหจะน่ารักก็เถอะ

“พี่ฟง ซินอยากกินน้ำจิ้มซีฟูด” รอยยิ้มกว้างพร้อมกับดวงตากลมช้อนมองอ้อนพี่ชายคนสนิท ฟงยืนยันนอนยันได้เลยว่าไม่มีใครต้านทานการอ้อนของนายน้อยได้หรอก

“ครับ เดี๋ยวพี่ไปดูของก่อนนะว่ามีไหม คุณหนูปิ้งดีๆ นะครับ” ฟงกำชับอีกครั้งเพราะกลัวว่าจะบรรดาอาหารบนเตาจะต้องถูกทิ้ง เจ้านายน้อยของเขาเคยเข้าครัวเสียที่ไหนถึงคุณรินจะทำอาหารเก่งแต่เจ้านายน้อยของเขานั้นอย่างเดียวที่เก่งคือกิน ฟงเดินหายเข้าไปในบ้าน ส่วนรินก็เฝ้าอยู่หน้าเตาท่าทางที่คนที่พึ่งออกมาอยากจะหลุดขำกับอาการเฝ้าจนแทบจะสิงลงบนเตาอยู่

“จ้องอะไรขนาดนั้น หึ”

“ก็กลัวจะไหม้” ลู่ชิงหลุดขำคนที่ยังไม่ยอมหันหน้ามามองเขาสักที

“ไปนั่งพักดีกว่าไหม” ตั้งแต่ดำน้ำจนขึ้นมาจนตอนนี้เขายังไม่เห็นร่างเล็กพักเลย

“ไม่เอาอ่ะ จะปิ้ง” ดวงตากลมที่หันมาสบตานั้นทำให้ลู่ชิงรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ก่อนที่จะรู้สึกอะไรมากกว่านั้นเสียงเรียกเข้าเฉพาะของใครบางคน

“ครับ” ลู่ชิงกดรับก่อนที่จะเดินผละออกไป ดวงตากลมเหลือบมองก่อนที่จะหันไปสนใจกุ้งหอยปูปลาที่อยู่บนเตา พอดีกับอาหารบางส่วนสุกฟงก็ถือถ้วยน้ำจิ้มออกมา ส่วนคนที่เดินหายไปพร้อมโทรศัพท์ในมือยังไม่กลับมา ร่างบางเลยเรียกพี่ชายคนสนิทมานั่งทานด้วย ทีแรกก็ไม่ยอมหรอกจนเขาสั่งถึงได้ยอมมานั่งด้วย ถึงจะบอกว่ามาเที่ยวเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์แต่กับซินแล้วเขาคิดว่าก็แค่พัฒนามาเป็นพี่น้องกันเท่านั้น เพราะใครอีกคนนั้นมีคนอยู่ในใจแล้ว ดูสิจนกระทั่งเขากินเสร็จใครอีกคนก็ยังไม่กลับมา ผมและพี่ฟงเดินมานั่งที่ชิงช้าตรงสนาม พอพี่ฟงนั่งข้างๆ ผมก็เอนตัวไปพิง มือใหญ่ของพี่ฟงวางแหมะอยู่บนกลุ่มผมนุ่มแล้วลูบเบาๆ เพราะรู้ว่านายน้อยของเขากำลังไม่สบายใจ

“อย่าคิดมากเลยครับคุณหนู”

“ซินไม่คิดมากหรอกครับ เพียงแต่กำลังคิดถึงคำพูดของใครบางคนอยู่” คำพูดเพื่อนของลู่ชิงที่พูดกับเขาในวันงานหมั้น ทางเลือกสินะ

“ขอแค่คุณหนูมีความสุขก็พอแล้วครับ” เรียวปากบางแย้มยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายแขนเรียวโอบกอดเอวพี่ชายคนสนิทแน่น ใบหน้าหวานยิ้มกว้างหัวทุยซุกอยู่ตรงหน้าอกถูไถไปมาอย่างที่ชอบทำ ภาพความสนิทสนมนั้นอยู่ในสายตาคมที่แวววับด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไมได้เข้าไปขัดขวางความรู้สึกหงุดหงิดที่เขาหาสาเหตุไม่ได้

“คุณยังไม่นอนเหรอ” ซินถามเพราะเขาอุตส่าห์แตะถ่วงเวลาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะหลับไปแล้ว

“ยัง” น้ำเสียงห้วนๆ นั่นทำให้คิ้วเรียวยกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำทำธุระเสร็จก็เดินขึ้นเตียงอีกฝั่งล้มตัวหันหลังนอนอย่างวางใจเพราะคนคนนี้ไม่ได้ทำอะไรรุ่มร่ามกับเขาเอาจริงก็คงไม่คิดที่จะหรอกนะ เพราะเขาเป็นผู้ชาย ไม่นานเขาก็หลับปล่อยให้คนที่ที่ยังข่มตานอนไม่ได้จ้องแผ่นหลังเล็กนิ่ง แม้จะยอมคุยด้วยแต่ที่สุดแล้วก็ยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับร่างเล็กสินะ

.

.

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะมาเที่ยวลู่ชิงคิดแผนสำหรับวันนี้ไว้แล้วเขาตื่นขึ้นก่อนร่างเล็กที่ยังขุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม ลู่ชิงลุกเดินออกจากห้องสั่งลูกน้องส่วนหนึ่งกลับเหลือเพียงไม่กี่คน ส่วนคนติดตามของซินเขาก็ขอให้กลับแต่ทางนั้นก็ไม่ยอมขอทิ้งฟงไว้คน สั่งงานจัดการจนเสร็จกลับขึ้นมาคนบนห้องก็ยังไม่ตื่น

“เยว่ซินตื่นได้แล้วนะ...ตื่นได้แล้วครับ” ร่างบางที่นอนซุกหมอนค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งพยักหน้าแบบเบลอๆ เขาเลยปล่อยให้น้องนั่งเรียกสติ ส่วนเขาก็เก็บเสื้อผ้าของทั้งเขาและของน้องลงกระเป๋า

“เอ่อ..ขอบคุณครับ เราจะกลับตอนไหนครับ”

“เราจะกลับตอนเย็นๆ”

“อ่าว” พอเห็นท่าทางตาโตตกใจที่ทำไมเขามองว่ามันน่ารักกันนะ ตามกำหนดการต้องบินกลับตอนเช้าแต่เขาเลื่อนตั๋วกลับเป็นตอนเย็นแทน

“อยากทำอะไรไหม”

“ไม่ล่ะครับ” ลู่ชิงก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเช่นกันแผนการมาเที่ยวของเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาก ความคิดแวบแรกก็แค่อยากใช้เวลาด้วยก็แค่นั้น

“งั้นตาม พี่ มาหน่อยสิ” ลู่ชิงเดินนำลงมาที่ห้องนั่งเล่นคนติดตามที่เหลือเพียงไม่กี่คนต่างอยู่นอกบ้านเพื่อดูแลความเรียบร้อยไม่ได้ปล่อยให้เจ้านายทั้งสองเป็นส่วนตัว

“ซินชอบทำอะไร” เมื่อนั่งลงข้างๆ กันโดยเว้นระยะห่างเพื่อไม่เป็นการกดดันร่างเล็กจนเกิดไป

“ก็ทำขนม ชงชาอ่านหนังสือ” คงเป็นเพราะร่างเล็กแปลกใจที่จู่ๆ เขามาชวนคุย

“อืมคนละขั้วกับพี่เลยสินะ”

“แล้วคุณชอบทำอะไร” มุมปากหนายกยิ้มน้อยๆ เมื่ออีกคนถามกลับ

“อืม ไม่รู้สิส่วนมากก็ทำงานและก็ทำงาน”

“เหมือนเฮียหลงเลย” เรียวปากบางบ่นอุบอิบเกี่ยวกับพี่ชายคนโตที่อายุไล่เรียกันกับเขา ใช่เขาอายุมากกว่าคู่หมั้นหลายปีพอมายืนข้างๆ กันอีกคนยิ่งดูเด็ก

“หึๆ ก็นะพอรู้ตัวอีกทีก็ทำแต่งานแล้ว ชอบทานอะไร”

“ทุกอย่างครับ ไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องของกิน” อันนี้ไม่ต้องตอบเขาก็รู้จาการที่มาเที่ยวกันไม่เคยมีตอนไหนที่เจ้าตัวไม่กินแถมยังทานอย่างกับกระต่ายเวลากินเป็นเวลาเดียวที่เขาได้เห็นรอยยิ้มนั่นเผือแผ่มาทางเขา

“ส่วนพี่ไม่กินอาหารประเภทถั่ว แพ้นะ” เขากล่าวเสริมเมื่อเห็นคิ้วเรียวขมวด เป็นเรื่องหนึ่งที่นอกจากคนในครอบครัว

“แย่จังเลยนะครับ”

“เราชอบดอกหอมหมื่นลี้สินะ” เจ้าตัวพยักหน้าจนผมกระจาย

“ใช่ครับ ผมชอบมากที่สวนหลังบ้านเฮียเป็นคนสร้างศาลาให้เพราะผมชอบไปนั่งเล่นที่นั่น” เขารู้อยู่แล้วว่าชอบดอกหอมหมื่นลี้ตอนชุดงานหมั้นถึงได้สั่งให้ทำแบบที่ร่างบางชอบ หลังจากนั้นก็คุยกันอีกหลายเรื่องและทำให้เขารู้ว่าน้องสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างจากที่เห็นแถมยังชอบอะไรที่ไม่เข้ากับตัวเอง

“หลังจากกลับไปพี่จะขอพาไปเดตได้ไหม” ลู่ชิงเอื้อมไปจับมือเล็กที่แล้วลูบเบาๆ พร้อมขยับเข้าไปชิดจนได้กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้จากร่างบาง เป็นกลิ่นที่ทำให้เขารู้สึกสบายจริงๆ ก้มลงสูดกลิ่นหอมจากกลุ่มผมนิ่ม ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นแววตากลมฉายแววงุนงงไม่เข้าใจ เรียวปากบางสีชมพูระเรื่อ ทำไมมันน่าดึงดูดจังนะ

“อือ” เสียงร้องเพราะความตกใจเมื่อจู่คนที่สบตาก้มลงกดริมฝีปากแนบชิดเรียวปากนุ่ม ทั้งกลิ่นหอมและความนุ่มหยุ่นความหอมหวานทำเอาเขาขาดสติหากไม่มีแรงจิกที่บ่าลิ้นร้อนไล่ตามรอยหยักก่อนที่จะผละออกแม้จะไม่ได้ลุกล้ำแต่ก็ทำให้คนที่ถูกปล้นจูบแรกหน้าแดงก่ำลมหายใจหอบ

“หวาน” พอเขาพูดไปแก้มที่แดงยิ่งแดงก่ำกว่าเดิมใบหน้าหวานก้มหลบสายตาคม

“พูดบ้าๆ” เสียงหวานที่ติดแหบพร่าทำเอาต้องสะกดกลั้นความอยากที่จะดึงร่างเล็กมาสอนจูบที่ลึกซึ้งกว่านี้

“พี่พูดจริงๆ ทั้งหวานและน่ารัก”

“งือ พอเลยนะออกไปเลย” เสียงน่ารักๆ กับอาการซุกหน้าลงหมอนอิงมือเรียวโบกมือไล่เขา นี่เขินเหรอ ทำไมถึงได้เขินได้น่ารักแบบนี้นะ ดึงรั้งคนขี้อายเข้ามากอดพร้อมกับแย่งหมอนอิงโยนทิ้งไปกดหัวทุยให้ซบลงกับไหล่

“ถ้าจะเขินก็ซบไหล่พี่ได้นะ หึๆ”

ตุบ

“ขี้โกง ซินจะฟ้องเฮีย” ลู่ชิงอดขำคนที่ทำร้ายร่างกายแล้วบ่นว่าจะฟ้องเฮียฟ้องป๊าได้อย่างน่าเอ็นดู ดูท่าคู่หมั้นคนนี้จะทำให้เขามองเห็นความน่ารักขึ้นทุกทีๆ สินะ

******************************************

ช่วงนี้ก็จะอืด จะช้าย่ิงกว่าหอยทากอีกแล้ว ฮ่าๆๆ

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ



ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จะเอายังไงว่ามานายลู่ชิง   :m16:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Bad plan แผนร้าย แผนรัก ตอนที่ 17 12/11/2561
« ตอบ #49 เมื่อ: 19-11-2018 10:58:42 »





ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2


18.

                หลังจากที่โมเมว่าน้องเป็นแฟนอยู่ฝ่ายเดียวและปรับความเข้าใจกับคนตัวเล็กหลังเลิกงานตารางประจำคือการเดินเข้าออกตระกูลไป๋ที่ตอนนี้เขาไปบ่อยกว่าบ้านตัวเองแล้วและเจ้าบ้านก็ยินยอมให้เข้าออกโดยไม่ห้ามอะไรจะมีก็แต่ไป๋หลงที่ คอยมาขัดตลอดเวลาที่เขามาคุยกับร่างบาง ถ้าจะหวงทำไมไม่ไปหวงน้องชายตัวเองเล่า

                “มาแล้วเหรอครับ”พอเขาเดินเข้าไปเสียงหวานก็ทักเขาพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ทำให้เขาตกบ่วงขึ้นทุกที

                “ทำอะไรอยู่” เดินไปนั่งลงข้างๆ

                “ดูหุ้นครับ” เขาชะโงกหน้าเข้าไปดูตัวเลขสีเขียวและสีแดงยังไม่ประหลาดใจเท่าชื่อบริษัทที่เป็นเจ้าของหุ้น

                “นี่มัน....” หันไปมองใบหน้าหวานที่ตอนนี้เรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆแต่เขารู้ดี ว่าน้องกำลังกลัวมือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเล็กที่กำลังสั่นไว้

                “ไม่ต้องคิดมาก รินอยากทำอะไรก็ทำพี่จะสนับสนุนเอง” ไม่ว่าจะทำอะไรเขาจะคอยอยู่ข้างหลัง ร่างบางเอนมาพิงไหล่

                “หุ้นของบริษัทพี่รันดูแปลกๆ อาจจะเพราะถูกโอนย้ายไปแล้ว”

                “รินยังห่วงเขาอยู่ใช่ไหม” แม้จะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่กับบ้านของรินจากครั้งสุดท้ายที่ได้เจอมันน่าทำให้ล้มละลายไปซะ

                “พี่รันไม่ใช่คนไม่ดี” ผมถอนหายใจ จริงอยู่ที่หมอนั่นไม่ใช่คนไม่ดีแต่พ่อแม่ของหมอนั่นก็เลี้ยงมาให้หัวอ่อนดูจากการบริหารก็รู้แล้ว

                “จะช่วยเขาอีกเหรอ รินก็รู้ใช่ไหมรินช่วยหมอนั่นตลอดไปไม่ได้หรอกนะ” ผมยกมือลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆเจ้าตัวก็พยักหน้ารับคำพูดเขา แต่ถึงจะบอกว่าเข้าใจแต่เจ้าตัวจะทำตามไหมนั่นอีกเรื่องหนึ่ง น้องดื้อเงียบจะตาย

                “รินรู้ แต่ก็อยากช่วย”

                “งั้น...เราไปเที่ยวกันดีไหม เห็นเจ้าซินโดนลู่ชิงพาไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ” เพราะขาดเพื่อนสนิทไปหลายวันน้องถึงได้ดูหงอยๆ ทีแรกก็คิดว่าจะชวนไปเที่ยวในประเทศนี่ล่ะนะแต่เมื่อน้องอยากที่จะช่วยหมอนั่นไปเที่ยวไทยอีกสักรอบก็ดี

                “พี่ว่างเหรอ” ดวงตากลมโตช้อนตาอ้อน อ่า.ทำไมน่ารักจังน้า อดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงข้างขมับสูดกลิ่นหอมเต็มปอด

                “พี่ว่างเสมอสำหรับริน” ใบหน้าขาวแดงก่ำก้มหน้าซุกลงกับไหล่อยากจะแกล้งให้เขินอายกว่านี้อยู่หรอกนะ แต่ก็กลัวที่จะโดนหลบหน้า เพราะเขาแกล้งน้องซะจนอายหลบหน้าเขาไปเป็นวันๆ

                “ขอบคุณนะครับ” ผมหัวเราะเบาๆก่อนที่จะบอกว่าไม่เป็นไร เขาและรินต่างก็นั่งทำงาน จนกระทั่งนมเดินมาเรียกทานข้าวเย็น

                “พี่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” ถึงน้องไม่ขอผมก็จะเนียนขออยู่กินข้าวด้วยอยู่แล้ว

                “ครับ” มื้อเย็นที่โต๊ะอาหารมีเพียงเขาและน้องกับนม ส่วนคนนายใหญ่ตระกูลไป๋ไปออกงานกับลูกชายคนโตส่วนคนกลางได้ข่าวว่าหนีไปเทียวหายไปได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว

                “นม รินจะกลับไปไทย นมจะกลับไปพร้อมรินไหม”

                “ไปค่ะ นมไม่ยอมให้คุณหนูไปคนเดียวหรอกนะคะ” ท่าทางราวแม่ไก่เรียกรอยยิ้มให้พวกเราทั้งคู่

                “ไม่ได้ไปคนเดียวสักหน่อย โน้นคนที่จะพาไป” น้องบุ้ยปากมาทางผมอย่าให้อยู่ใกล้นะจะดึงปากให้

                “คุณหยางจะไปด้วยเหรอคะ”

                “ครับ ผมจะพาน้องไปเที่ยวด้วย” ได้ยินแบบนี้นมก็พอใจ หันไปบ่นน้องอีกหลายคำท่าทางหน้ามุ่ยงอแงนั่นอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด ไม่รู้เลยว่าแววตาคมนั้นฉายแววอ่อนโยนแค่ไหน

                หลังมืออาหารนั่งคุยกันได้พักใหญ่เขาก็ต้องขอตัวกลับ น้องเดินมาส่งเขาที่รถก่อนที่เขาจะขึ้นรถมือเขาก็ถูกกุมไว้เสียก่อน

                “ขอบคุณนะครับ” รอยยิ้มกว้างที่ถูกมอบให้เขา รอยยิ้มกว้างที่เปี่ยมไปด้วยความสุขถูกมอบให้ทุกคน มืออีกข้างที่ว่างยกขึ้นวางที่หัวทุยก่อนที่จะโยกเบาๆ

                “พี่เต็มใจ ฝันดีนะครับ พี่กลับล่ะ”มือหนาเลื่อนลงมาแนบแก้มนิ่มที่ชวนกดจมูกลงไปแต่ก็ไม่ทำหรอกนะท่ามกลางสายตาลูกน้องแบบนี้

                “อือ ฝันดี..เหมือนกันนะครับ” ผมละมือออกจากแก้มอย่างอ้อยอิ่ง ทำไมน้องน่ารักขึ้นทุกวันนะ อุ้มกลับบ้านเลยได้ไหม แต่การที่หุ้นปั่นป่วนเมื่อครั้งที่แล้วก็ทำเอาเขาเข็ดไปเหมือนกันเลยตัดใจกลับขึ้นรถไป

                .

                .

                ช่วงเวลาก่อนไปเที่ยวที่น้องกำหนดไว้เขาเลยต้องรีบเคลียร์งานเร่งด่วนให้เสร็จทัน ทำให้เขาไม่มีเวลาที่จะไปหาน้องเลยด้วยซ้ำ ชีวิตรู้สึกแห้งเหี่ยวมากแต่เมื่อคิดถึงช่วงวันหยุดที่จะได้อยู่ด้วยกันก็ค่อยมีแรงจูงใจขึ้นมาหน่อย ตอนที่ตกลงกันได้ว่าจะไปตอนไหน เขาก็เข้าไปขออนุญาตพาน้องไปเที่ยวจากคุณไป๋แต่คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนกว่าคือไป๋หลง ที่ค้านขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ

                “รินจะไป เฮียหลงอย่าดื้อสิ ป๊าก็ให้รินไปแล้วเฮียจะงอแงทำไม” เขาอดไม่ได้ที่จะหลุดขำเมื่อน้องลุกขึ้นมาต่อว่าไป๋หลงที่ตอนนี้หน้าจ๋อยไปแล้วก็เข้าใจนะว่าน้องทั้งสองคนก็ไม่อยู่รินก็ยังจะออกไปเที่ยวเลยเกิดอาการหวงขึ้นมา

                “ใช่สิเฮียไม่สำคัญ จะไปก็ไปเลย”

                “เฮียหลงเดี๋ยวรินจะซื้อของฝากมาให้นะ อย่างอนรินน้า” ต่อให้เขาไม่ใช่ไป๋หลงยังรู้สึกโกรธไม่ลงแล้ว ใครโกรธใครงอนก็หินเกินไปแล้ว

                “เที่ยวให้สนุกนะ” สุดท้ายแล้วไป๋หลงก็ยอมให้รินไป แต่เขารู้ดีว่าเจ้าตัวก็แค่แกล้งงอนแค่อยากให้รินไปอ้อนให้ตายสิเขารู้ได้ไงนะเหรอก็เจ้าตัวยักคิ้วแบบเหนือกว่าให้อยู่นี่ไง

                และวันนี้ก็ถึงวันที่ต้องเดินทางผมมารับน้องตั้งแต่เช้าพอรถมาจอดยังหน้าบ้านก็เห็นน้องมายืนรอพร้อมกับนมรออยู่แล้ว

                “ง่วงหรือเปล่าครับ” เพราะอยากให้ถึงที่โน้นไม่สายเท่าไหร่ผมเลยจะคิดว่าจะออกจากที่นี่เช้าหน่อย สั่งลูกน้องให้ยกกระเป๋าไปเก็บหลังรถ คุณไป๋และไป๋หลงยังไม่ตื่นแต่ก็ฝากคำพูดไว้กับนมว่าให้ดูแลดีๆ  บินลัดฟ้ามาหลายชั่วโมงพวกเราก็มาถึงประเทศไทยเพราะมาเที่ยวเลยให้คนติดตามมาเพียงไม่กี่คน นิวก็เป็นหนึ่งในนั้นขนกระเป๋าขึ้นรถที่จัดเรียบร้อยก็ตรงไปยังบ้านพักเพราะจะให้น้องจัดการเรื่องทางบ้านเสร็จก่อนค่อยเดินทางไปพักผ่อน แต่ดูท่าคนที่ตื่นเช้าจะไม่ไหวซะแล้วร่างเล็กโอนเอนไปมาจนเขาค่อยๆประคองให้น้องเอนมานอนที่ตัก

                “หลับไปแล้วเหรอคะ”

                “ใช่ครับ” ก้มลงมองคนหลับสนิทก่อนที่จะยกมือลูบผมเบาๆ

                “ก็เล่นไม่หลับไม่นอนนี่ค่ะคงจะตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยว” ผมคิดว่าคงไม่ใช่ทั้งหมดคงเป็นเพราะเรื่องหมอนั่นด้วยส่วนหนึ่ง พอรถมาถึงที่พักน้องก็ยังไม่ตื่น ผมเลยถือโอกาสอุ้มน้องเข้าที่พักหลับสนิทขนาดนี้โดนลักหลับก็คงไม่รู้ตัว ผมปล่อยให้น้องนอนพักไป ส่วนผมก็ลงมาขอโทรศัพท์จากนิว

                “เรียบร้อยใช่ไหม”

                “ครับบอสผมจองตั๋วไว้ให้วันมะรืนตอนเช้า”

                “โอเคออกไปเถอะ” นิวโค้งให้ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ผมกดโทรศัพท์โทรออกเบอร์ที่ขึ้นโชว์ไว้อยู่แล้ว ไม่นานก็มีคนรับสาย

                “(สวัสดีครับ)”

                “คุณรินสินะ” ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่หลับอยู่ไม่มีทางที่เขาจะมายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวนี้หรอกนะ

                “(ครับไม่ทราบว่า..คุณคือใคร)”

                “ผมเป็นคนที่ดูแลรินอยู่ เข้าเรื่องเลยนะ รินเป็นห่วงคุณทั้งที่ผมไม่อยากให้เขามายุ่งด้วยซ้ำ” ถือว่าเป็นการระบายให้น้อง ปลายสายเงียบไปเพราะตกอยู่ในความหลังน้องชายที่เขาทอดทิ้ง น้องชายที่ทุกคนในบ้านต่างไม่กล้าเอ่ยถึง กลับเป็นคนช่วยบ้านให้พ้นจากวิกฤติมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครซาบซึ้ง พ่อก็เอาแต่กลับไปเที่ยวไม่ยอมกลับบ้าน ส่วนแม่ที่ป่วยก็ไม่ยอมรับรู้อะไรอีกแล้วแถมยังบอกอีกว่าไม่เคยมีลูกอย่างริน เขาซึ่งเป็นพี่ทำไมถึงทำอะไรไม่ได้เรื่องแบบนี้

                “(ผมอยากเจอน้อง)” เพราะหลังจากวันนั้นเขาก็ติดต่อน้องไม่ได้เลย

                “วันนี้ช่วงบ่ายผมจะรินไปพบแค่นี้นะ” เพราะแรงกอดรัดที่เอวทำให้เขารีบตัดสายเพราะรู้ดีว่าใครกำลังกอดเขาอยู่

                “ตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวไหม”

                “ไม่ครับ แต่หิว” ผมอดขำไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้วก็หิวเหมือนเด็กๆแต่ก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกนะไม่งั้นโดนงอนอีกแน่ๆ

                “งั้นลงไปข้างล่างกันนมน่าจะทำอะไรไว้รอรินแล้ว”  เจ้าตัวรีบพยักหน้าหงึกหงักแล้ววิ่งปรู๊ดลงไปทันที ของกินสำคัญกว่าผมสินะ

                .

                .

                “กลัวหรือเปล่า” คนที่คอยกุมมือเขาตลอดทางถามขึ้นเมื่อรถจอดที่ลานจอดรถ ผมหันไปมองใบหน้าคมหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มมุมปากให้ผมเสมอ แม้สถานะตอนนี้ไม่ชัดเจนแต่การกระทำของคนตรงหน้านี่ชัดยิ่งกว่ากล้อง HD  และผมก็ยินดีที่จะมีคนคนนี้คอยอยู่ข้างๆ

                “ไม่กลัวครับ แต่พี่จะไปกับผมใช่ไหม”

                “แน่นอนสิยังไงพี่ก็จะไปด้วย” ผมยิ้มกว้างบีบมือข้างที่จับกันไว้แน่นก่อนที่จะลงจากรถเดินเข้าไปในบริษัทยังไม่ทันที่จะกดลิฟต์ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงแผนกต้อนรับนั่นคุ้นตามาก

                “พี่รัน”

                “รินเป็นยังไงบ้าง พี่คิดถึงน้องมากเลยนะ ตอนนี้รินอยู่ไหน เป็นยังไงบ้าง” พอพี่รันหันมาเห็นหน้าผมก็พุ่งเข้ามากอดพร้อมกับรัวคำถามจนผมงง

                “ปล่อย” แต่ก่อนที่ผมจะถูกรัดจนหายใจไม่ออกหยางอี้ก็ผลักพี่รันออกไปก่อน

                “พี่ขอโทษ”

                “ไม่เป็นไรครับ ไปหาที่คุยกันดีกว่าไหมครับ” ผมรีบตัดบทเมื่อเห็นสายตาใคร่รู้จากหลายๆคนพี่รันเลยพาผมขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานตัวเอง

                “ผมสบายดี ตอนนี้อยู่บ้านป๊าที่ฮ่องกงส่วนเรื่องติดต่อรินแค่ไม่อยากติดต่อด้วย” เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วผมก็ตอบคำถามพี่รันก่อน

                “แล้วคนนี้เป็นอะไรกับน้อง” รันถามเพราะเห็นถึงความสนิทสนมที่มันเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก

                “อ่า นี่หยางอี้ เป็น...คนที่รู้รินอยากอยู่ด้วย” ผมแอบเห็นว่าแววตาคมกับรอยยิ้มกว้างของคนที่ยกน้ำขึ้นจิบ ไม่ค่อยเนียนเลยนะ

                “อ่า น้องมีคนดูแลพี่ก็ดีใจ พี่ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลน้องเลย” ผมส่ายหัวเบาๆ

                “ไม่ต้องขอโทษรินครับรินผ่านมันมาแล้ว พี่รันก็เถอะปล่อยวางมันได้แล้ว เรื่องบริหารพี่ก็อย่าไปฟังคนนั้นมากหน่อยเลย” เมื่อถามสารทุกข์สุกดิบกันพอแล้วผมก็เริ่มบ่นพี่รันทันที พี่รันดีทุกเรื่องนะจะเสียก็ตรงยอมแต่คนคนนั้นมันถึงได้แย่แบบนี้ไง

                “พี่รู้แต่พี่ก็ห้ามไม่ได้”

                “ถ้าพี่ห้ามไม่ได้พี่ก็จะแย่เอง บริษัทนี้ก็จะแย่เอง” อยากจะกรอกตามองบนให้กับความใจดีของพี่รัน น่าจะได้นิสัยเสียๆจากผมไปหน่อยนะจะได้ไม่ใจดีเวอร์แบบนี้และเหมือนหยางอี้จะคิดเหมือนกันกับผม ถ้าเทียบกันระหว่างการทำงานของหยางอี้และพี่รัน ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยล่ะ

                “พี่..”

                “ผมช่วยพี่รันไม่ได้ตลอดไปหรอกนะ...รึ ถ้าจะดัดนิสัยก็ปล่อยมันล้มไปเลยดีกว่า อย่างพี่รันยังไงก็เอาตัวรอดได้” ผมหยิบขนมขึ้นมากินพร้อมกับแนะนำด้วยท่าทีสบายๆ

                “แกมายุยงอะไรลูกฉัน” เสียงตะวาดที่มาพร้อมกับประตูที่เปิดเข้ามาทำให้เขาเห็นผู้ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะอุ้มผม รอยยิ้มที่มีของผมหายไป หยางอี้ลุกขึ้นเผชิญหน้าบังผมไว้ พี่รันก็รีบลุกมายืนข้างหยางอี้

                ความรู้สึกที่มีคนปกป้องนี่จัง

                เอาล่ะจัดการให้สิ้นสุดเลยดีกว่า

***************************************************************

น้องเราไม่ใช่เด็กดีเท่าไหร่ เพียงแต่ไม่ค่อยแสดงออก

ส่วนพี่ลู่นั้นอีกไม่กี่ตอนจะกลับมาเรียกรองเท้าแน่นอน

อ่านแล้วเป็นอย่างไงอย่าลืมคอมเม้นต์และกดถูกใจให้ด้วยนะคะ

 กาแฟมั้ยฮะจ้าว - ขอบคุณนะคะ
miikii - เตรียมรองเท้าปาลูชิงเลยค่ะ
fc_fic  - ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2018 16:54:10 โดย Letter123 »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
คนพี่ก็ดูแลน้องดีจังเลย TT
แต่น้องจัดการไปให้จบๆก็ดี เก่งมากคับบบ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
 :man1: :man1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2


19

                ทันทีที่ร่างสูงวัยของใครอีกคนเปิดประตูเข้ามา หยางอี้ดึงให้ผมอยู่ด้านหลังทันทีผมกุมชายเสื้อคนตัวสูงแน่นแม้จะบอกว่าไม่คิดอะไรแต่ว่าผมก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เจอหน้ากันเร็วแบบนี้ที่คิดไว้ผมแค่จะมาเจอพี่รันแค่นั้นแต่เมื่อเห็นว่าทั้งหยางอี้และพี่รันต่างยืนอยู่ข้างผม

                “ผมไม่ได้มายุยงอะไรพี่รัน ถ้าจะพูดให้ถูกผมมาช่วยพี่รันต่างหาก” ผมตอบกลับไปคนที่ดีแต่ทำให้ลูกชายตัวเองเดือดร้อนนะไม่มีสิทธิที่จะมาว่าผมหรอกนะ

                “ไอ้เด็กเหลือขออย่างแกจะช่วยใครได้” น้ำเสียงเย่อหยิ่งและดูถูกถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ผมคงได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมตอบโต้แต่ตอนนี้ผมกับเขาไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้วและผมมีคนที่คอยปกป้องอีกด้วย ผมขยับขึ้นไปยืนข้างๆคนตัวสูงที่หันมามองด้วยความแปลกใจทำท่าว่าจะถามอะไรแต่ผมกลับกุมมือใหญ่ไว้พร้อมกับหันไปยิ้มให้ ท่าทางสนิทสนมอยู่ในสายตาคนเป็นพี่และคนที่บุกเข้ามา

                “พวกวิปริต”

                “พวกผมไม่ได้วิปริต และก็คงดีกว่าคนที่ผลาญเงินและทำให้ลูกชายตัวเองลำบาก” ผมสวนกลับไปทันที พอได้ยินผมว่าจี้ใจดำคนคนนั้นก็เหมือนเลือดขึ้นหน้าพุ่งเข้ามาพร้อมกับยกมือขึ้นหมายที่จะตบผม

                หมับ!!

                “อย่าคิดจะแตะต้องริน” น้ำเสียงเย็นที่ผมไม่ได้ยินมานานพร้อมกับความกดดันที่แผ่ออกมาพี่รันถึงกลับขยับถอยห่างทั้งห้องมีเพียงเสียงร้องโอดโอยของคนที่ได้ชื่อว่าพ่อ

                “พี่ปล่อยเถอะครับ รินไม่เป็นไร” ผมจับมือหยางอี้พร้อมกับยิ้มให้ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมที่จะทำตามแต่ก็ยังไม่สายผลักคนคนนั้นออก

                “แกทำร้ายฉัน ฉันจะแจ้งความจับแก ไอ้รันทำไมไม่ช่วยพ่อ” ผมได้แต่ถอนหายใจกับอาการโวยวายของคนตรงหน้า

                “คุณควรรู้ตัวได้แล้วนะว่าทำอะไรไว้บ้าง ครั้งที่แล้วที่ผมช่วยก็เพราะจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพวกคุณ กับอีกอย่างเพราะผมอยากจะทำให้คุณรู้ว่าคนอย่างผมทำอะไรได้มากกว่าที่คุณดูถูก” ผมเว้นช่วงสักพัก “แต่ดูเหมือนคุณก็ไม่รู้ตัวเลย เงินที่ผมจ่ายไปให้คุณก็เอาไปลงที่บ่อนกับพวกผู้หญิงรุ่นลูก” ดวงตาชราเบิกกว้างเพราะไม่คิดว่าไอ้เด็กเหลือขอที่เขาเคยปรามาสไว้จะรู้เรื่องราวขนาดนี้

                “เรื่องที่คุณให้เพื่อนมาร่วมหุ้นแล้วเอาเงินไปใช้ยังไม่เท่าไหร่แต่ที่คุณปั่นป่วนบริษัทโดยการเอาเงินไปใช้จนทำให้ขาดสภาพคล่องทั้งๆที่ผมให้แอบชดเชยให้ไปแล้ว” พี่รันทำหน้าตกใจแต่กับคนที่ยังนั่งหน้าซีดตอนนี้หน้ายิ่งซีดลงกว่าเดิม ผมมองคนตรงหน้าอย่างเย็นชาและไม่รู้สึกอะไรคนคนนี้ถูกพี่ชายเขาตามใจไปมากเลยทีเดียว

                “พี่รัน รินจะมาร่วมหุ้นด้วยแต่ถึงจะร่วมหุ้นแต่เงินที่รินเอาเข้ามาช่วยพี่รันต้องใช้คืนทีหลัง”

                “แล้วรินเอาเงินมาแต่ไหนเยอะแยะ” ที่พี่รันถามผมดูออกว่าไม่ได้ถามเพราะอยากรู้อยากเห็นแต่ถามด้วยความเป็นห่วงแต่ก่อนที่จะตอบก็มีคนตอบให้เสียก่อน

                “ทรัพย์สินของรินตอนนี้มีมากกว่าที่คุณคิดและด้วยฝีมือของน้องต่อให้ไม่ทำอะไรก็มีกินมีใช้” อันนี้หยางอี้ไม่ได้ไม่ได้พูดเกินจริงถึงจะยกคาสิโนให้เฮียหลงจัดการแต่เงินที่ผมเป็นหุ้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้น้อยเลยซักนิด         

                “ไม่ต้องห่วงรินหรอกครับไว้รินจะส่งทนายมาล่ะกัน รินต้องไปแล้ว” เพราะไม่อยากอยู่ใช้อากาศร่วมกับคนโลภไม่รู้จักพอปล่อยให้พี่รันจัดการไปแล้วกันตอนนี้ผมเริ่มหิวแล้ว ยกมือไหว้พี่รันแล้วจูงมือหยางอี้ไปยังลานจอดรถ

                “อยากกอดพี่ไหม” พอขึ้นรถคำถามแรกจากปากคนที่เงียบมาโดยตลอดไม่ใช่เรื่องที่ผมทำลงไป พอผมหันไปมองคนตัวโตก็อ้าแขนออกผมก็ขยับเข้าไปกอดเอวสอบซุกหน้าลงกับอกกว้างมือใหญ่ลูบหลังผมเบาๆปล่อยความเงียบเคลื่อนผ่านจนกระทั่งมาถึงร้านอาหารผมถึงผละออก  ผมเดินเคียงร่างสูงพร้อมกับคนติดตาม

                “ไอ้หยางงงง” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเบือหน่ายจากคนข้างๆ คนที่ร้องตะโกนลั่นอย่างไม่เกรงสายตาใครคือเพื่อนของหยางอี้ คนที่ผมเคยเห็นเมื่อตอนโดนจับมา พี่ชินคนนั้นนั่นเอง

                “อย่าคิดจะมากอดกูเลยนะ” ผมแอบขำเมื่อพี่ชินทำท่าจะพุ่งเข้ามากอดแต่โดนหยางอี้ยกเท้าขึ้นมากันไว้พอดี

                “มึง... กูไม่กอดมึงก็ได้  น้องริน”

                เกร๊ก

                เหมือนได้ยินเสียงลั่นไก ผมที่ยืนอยู่ข้างๆหันไปมองส่วนพี่ชินจากที่จะพุ่งเข้ามากอดกลับกระโดดถอยห่างไปเป็นวา

                “มะ...มึงกูเพื่อนมึงนะ”

                “เพราะมึงเป็นเพื่อนกูนะสิถ้าคนอื่นกูเปาดับไปแล้ว อย่าคิดแตะน้อง” ให้ตายเถอะคนนี้จะทำให้ผมใจเต้นเกินไปแล้ว ผมขยับเข้าไปชิดพร้อมกับยกมือลูบต้นแขนใหญ่เบาๆเพื่อที่จะให้คนตัวโตใจเย็นๆ พี่ชินยืนกอดอกเบ้ปากด้วยหมั่นไส้ ตอนโน้นแม่งจับตัวเขามาทีตอนนี้ล่ะน้องอย่างนั้นน้องอย่างนี้ อยากจะแหมยาวไปถึงดาวอังคาร

                “เออๆ แม่งไปกินข้าวเถอะกูให้เด็กจัดห้องไว้ให้แล้ว”

                “เอ่อสวัสดีครับพี่ชิน” เพราะทั้งสองคนมัวแต่เล่นผมเลยหาโอกาสที่จะทักทายคนตรงหน้าไม่ได้สักที

                “ดีครับ พี่เตรียมของอร่อยๆไว้รอน้องรินเลยนะ” เหมือนพี่ชินจะสนุก สนุกกับการที่ได้กวนเพื่อนตัวเอง

                เดินตามพี่ชินจนมาถึงห้องส่วนตัวพอทุกคนนั่งเรียบร้อยอาหารก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ หลายอย่างเป็นอาหารไทยที่ผมชอบไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าใครเป็นคนจัดการนอกจากคนที่นั่งข้างๆ

                “รินนั่งทานไปก่อนเลยนะ พี่ออกไปคุยงานข้างนอกครู่หนึ่ง” นั่งทานไปได้สักพักคนตัวโตก็ลากพี่นิวออกไปข้างนอกเหลือเพียงลูกน้องอีกคนกับพี่ชินที่ขยับมาใกล้ผมทันทีที่หยางอี้เดินออกไป

                “กับไอ้หยางนี่ยังไงกันครับน้องริน” สายตาที่มองมาส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่ปิดบัง

                “ก็ไม่ยังไงครับ”

                “โถ่ไม่สนุกเลย บอกพี่หน่อยไม่ได้เหรอ” จะให้บอกอะไรกันเพราะสิ่งที่พี่ชินถามผมก็ยังไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะมันก็ยังไม่ชัดเจนระหว่างผมกับหยางอี้  ผมได้แต่ส่งยิ้มจางๆให้พี่ชิน

                “นี่พี่มีอะไรให้รินชิม” บอกเสร็จพี่ชินก็ยกมือเรียกพนักงานมาและกระซิบสั่งเบาๆ พอผมถามก็ไม่ยอมตอบว่ามันคืออะไร แก้วไวน์ทรงสูงถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ

                “อะไรอ่ะ ผมไม่กินนะพี่ชิน”

                “ไม่ใช่ไวน์หรอกน่าลองชิมดูอร่อยนะ” เพราะแรงคะยันคะยอหรือเพราะกลิ่นผลไม้และดอกไม้อ่อนๆที่ชวนให้ลิ้มลองทำให้ผมยกแก้วน้ำขึ้นจิบ รสหวานอมเปรี้ยวที่ไม่มีแอลกอฮอล์กับกลิ่นดอกไม้อ่อนๆที่หอมขึ้นแตะจมูกทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะจิบขึ้นอีกหลายๆคำ พอหมดแก้วพี่ชินก็ส่งมาให้อีกแก้ว จนตอนนี้ข้างหน้าผมเต็มไปด้วยแก้วไวน์

                อือ

                ไหนว่าไม่มีแอลกอฮอล์ไงแต่ทำไมผมรู้สึกมึนหัวแบบนี้นะ

                “อือ..”

                ปัง!!

                “ไอ้ชิน มึงทำอะไรน้อง” หยางอี้ที่ได้รับรายงานจากลูกน้องว่าน้องถูกไอ้เพื่อนซี้หลอกให้ทดลองเครื่องดื่มใหม่ กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ น้องก็นั่งหน้าแดงตัวเอนไปเอนมาเรียบร้อย

                “อะไรก็น้องอยากกินเองนะเว้ยกูไม่เกี่ยว”

                “ไอ้สะ...” ผมที่กำลังด่าไอ้คนที่กำลังจะหนีออกจากห้องต้องกลืนคำด่าลงคอเมื่อน้องเอนตัวมาชิดแล้วยกมือกอดเอวซุกหน้าลงกับหน้าท้องแล้วถูไถเบาๆ

                “อือ..เสียงดังอ่ะ พี่...รินง่วง” ใครไม่ตายแต่ผมตายครับฉากนี้ น้องเงยหน้าขึ้นทั้งๆที่ซุกหน้าท้องผมอยู่ดวงตากลมฉ่ำวาวไปด้วยน้ำใสเพราะอาการมึนหัว

                “ง่วงเหรอครับ”

                “อือ รินมึนหัวด้วยอ่า” ปกติน้องก็น่ารักอยู่แล้วพอเมาแล้วในหัวผมมีแต่คำว่าน่ารักๆวนไปมา

                “งั้นกลับเลยไหมครับ” แงะมือน้องออกจากเอวแล้วนั่งลงให้เสมอกัน น้องทำหน้ายู่เมื่อไม่ได้ซุกผม

                “แต่รินอยากกินอีก”

                “พอแล้วครับน้องเมาแล้วนะ” เด็กดื้อส่ายหน้าไปมาทำหน้าขัดใจงอแงอยากจะกินไอ้เครื่องดื่มของชิน   

                “น้องไม่เมา รินจะกิน”

                “งั้นไปกินที่ห้องนะครับ”

                “อืออออ เอาเยอะๆนะ” ตอนนี้ต่อให้น้องเรียกร้องอยากได้อะไรผมก็จะหามาให้ ทำไมเมาแล้วน่ารักแบบนี้นะ น้องยิ้มกว้างจนตาหยี โน้มมากอดผมทั้งตัวยังดีที่ผมตั้งตัวทันไม่อย่างนั้นล้มไปทั้งคู่แน่ๆ กอดยังไม่เท่าไหร่แต่ใบหน้าเล็กที่ซุกซอกคอเขาแถมกลิ่นหอมดอกไม้และผลไม้จากเครื่องดื่มนั่นแทบทำให้ผมขาดสติ

                “เฮ้ๆอย่ามากดกันตรงนี้นะเว้ย”

                “หุบปากมึงไปเลยไอ้ชิน กูจะคิดบัญชีทีหลัง” ผมอุ้มน้องขึ้นแนบอกเจ้าตัวก็ให้ความร่วมมือซุกหน้าลงกับซอกคอมือคล้องแน่น ปากบางพึมพำไม่ได้ศัพท์ จับใจความไม่ได้ได้ยินเพียงชื่อผมลางๆ ขายาวก้าวไปยังรถแล้วสั่งให้นิวรีบขับกลับยังที่พัก เมาขนาดนี้พรุ่งนี้ต้องเมาค้างแน่ๆ

                “อือมึน รินมึนอ่า”

                “ครับเด็กดี นั่งนิ่งๆนะ” ผมโอบเอวบางให้อยู่นิ่งๆอีกข้างก็กดหัวทุยให้ซบบนอก แต่เหมือนน้องจะไม่ยอมพยายามส่ายหัวดิ้นลงจากตักคงเพราะมึนหัว

                “ถ้ามึนก็นอนก่อนนะ”ผมลูบหลังกล่อมคนตัวเล็กพร้อมกับกอดน้องแน่นเพราะรู้ถึงนิสัยน้องดี มือเล็กกำเสื้อผมแน่นไม่นานก็หลับไป คอยดูนะบัญชีนี้จะเก็บย้อนหลังทีเดียวฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ชิน พอมาถึงที่พักผมก็อุ้มน้องขึ้นห้องค่อยๆวางลงบนเตียง 

                ผมลุกไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำค่อยๆมาเช็ดตัว ขณะที่เช็ดไปผมต้องคิดเรื่องต่างๆพยายามไม่โฟกัสกับผิวเนียนที่แดงเรือไปทั้งตัวให้ตายเถอะน้องจะต้องขอบคุณเขาที่มีความอดทนขนาดนี้หลังจากเช็ดตัวก็ใส่ชุดนอนให้เรียบร้อย ไม่เคยดูแลใครขนาดนี้แต่เมื่อมองใบหน้าเล็กๆที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ ผมก็เต็มใจ

                “เมาได้น่ารักนะเรา” ผมนั่งลงข้างๆกดจมูกลงกับหน้าผากเนียนแล้วลุกขึ้นเพื่อที่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

                หมับ

                “งือ ไม่เอา...อยู่กับรินนะ”

                ครับไม่ต้องไปไหนแล้วแค่น้ำเสียงอ้อนๆนั่นผมก็ไม่ไปไหนแล้วนี่ยังคว้าเสื้อผมไว้ทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ ผมถอดเสื้อนอกออกพร้อมกับขยับตัวขึ้นไปนอนข้างๆคว้าตัวบางเข้ามากอด แผนที่จะทำในวันนี้คงต้องยกเลิกแล้วล่ะ ปล่อยให้น้องนอนกอดนอนซุกจนเผลอหลับไปด้วยกัน               

                .

                .

                ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกชาไปครึ่งแถบพอหันไปมองเวลาก็เห็นว่าล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วและสิ่งที่ทำให้ผมตัวชาก็คือร่างบางที่นอนเกยทับผมอยู่ครึ่งตัวจะให้ไม่ชาได้ยังไงล่ะ วันนี้ต้องเดินทางตอนเก้าโมงเช้าผมเลยต้องปลุกให้น้องตื่น

                “ริน ตื่นได้แล้วครับ”

                “อืออ ปวดหัว” เสียงแหบพร่าของน้องทำให้ผมต้องคิ้วขมวดคนไม่เคยดื่มอาจจะไม่สบายได้

                “ปวดหัวมากไหมครับ เดี๋ยวพี่จะให้คนหาน้ำขิงมาให้ทาน”

                “ไม่เอารินไม่กินน้ำขิง”เจ้าตัวยุ่งทำท่างอแงส่ายหน้าไปมาบนตัวผม

                “งั้นลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหมครับ” เจ้าตัวพยักหน้าแต่ก็ยังนอนเกยผมอยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆลุกขึ้นนั่งหัวฟูใบหน้ายับยู่ยี่

                “ลุกไหวไหมครับ”

                “ครับ” เมื่อเห็นว่าน้องไหวผมเลยเดินออกไปข้างนอกไปที่ครัวก็เห็นนมเตรียมน้ำขิงและอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว

                “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณหยาง”

                “อรุณสวัสดิ์ครับ น้องคงเมาค้าง”

                “รายนั้นเคยทานเสียที่ไหนล่ะคะ นมถึงได้เตรียมน้ำขิงไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ” ผมขอบคุณนมพร้อมกับนั่งรอน้องก็เดินออกมาใบหน้าขาวซีดหมดแล้ว ไอ้ชินคอยดูเขาจะคิดบัญชีเอาคืนให้เข็ด

                “ไหวไหมครับ” เดินเข้าไปจูงมือเล็กที่อุณหภูมิร้อนกว่าปกติ

                “ไหวครับแค่มึนๆ หิวแล้วล่ะครับ” คงจะเป็นผมที่คิดมากไปเองพอพาน้องไปนั่งทานข้าวบังคับน้องให้จิบน้ำขิงหน้าซีดๆถึงค่อยมีเลือดฝาด ผมให้น้องนั่งพักส่วนตัวเองก็ไปเก็บของส่วนเรื่องบริษัทผมก็ส่งทนายไปจัดการแทนแล้วน้องจะได้ไปเที่ยวโดยไม่ต้องพะวงอะไรอีก  และเหมือนเจ้าตัวจะลืมไปแล้วว่าจะทำอะไรหรือไม่ก็แฮงค์มากจนไม่อยากจะสนใจ

                “ไหวไหมครับ เดี๋ยวถึงโน้นค่อยพักยาวๆนะ”

                “อือ...รินไม่ไหวแล้ว” เจ้าตัวว่าแค่นั้นก่อนที่จะซบกับไหล่ผมแล้วหลับไปตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น อ่า..น่ารักจังเลยน้า ผมจะทนได้สักกี่ครั้งเชียว

******************************************************

โอ๊ยยเกลียดดด คนอะไรหลงได้น่าหมั่นไส้มาก

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

อย่าลืมคอมเม้นต์ กดติดตาม กดถูกใจให้ด้วยนะคะ

miikii : นางหลงมากกกกกกก ตามใจหนักมากกก
กาแฟมั้ยฮะจ้าว : :mew1: :mew1:
fc_fic :  :L2:
Billie :  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
หยางอี้ขี้หวง  :katai2-1:

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
20.

และสิ่งที่ผมกังวลก็เป็นจริงเมื่อมาถึงที่เที่ยวน้องก็ไม่สบาย แผนที่จะพาไปเที่ยวต้องพับเก็บไปก่อน ถึงเจ้าตัวจะยืนยันว่าไหวแต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกนะก็ในเมื่อตาปรือขนาดนี้ไหนจะความร้อนที่แผ่ออกมานั่นอีก

“นอนเลยครับ”

“ไม่เอา รินอยากไปเที่ยว” เสียงแหบขนาดนี้ยังจะดื้อไปอีก

“ถ้าดื้อไม่ฟังกันพี่จะจับกดจนลุกไม่ขึ้น จะดื้อไหมครับ” ใบหน้าคมก้มลงไปชิดจนสัมผัสถึงลมหายใจร้อนระผิวได้ ตากลมเบิกกว้างเพราะความใกล้ชิดที่ได้รับแถมคำขู่นั้นที่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่แค่คำขู่ คนตรงหน้าเขาเอาจริง มือขาวรีบดึงผ้าห่มมาปิดถึงคอแล้วหลับตาปี๋ ท่าทางว่าง่ายไม่เหมือนก่อนหน้านี้

“หึ”

จุ๊บ

“พักนะครับ ฝันดี” กดริมฝีปากลงที่หน้าผากเนียนแล้วกำลังที่จะลงจากเตียงก็ต้องชะงักเมื่อชายเสื้อถูกจับไว้ส่วนคนป่วยนั้นแสร้งหลับ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่นั่งเฝ้าคนป่วยจนกระทั่งหลับสนิท ผมค่อยลุกขึ้นเดินออกไปโทรศัพท์ด้านนอก ทั้งมอมเหล้าจนทำให้น้องไม่สบายคงเอาคืนธรรมดาๆ ไม่ได้ สั่งการไปเรียบร้อยก็กลับมานั่งเฝ้าคนป่วยทั้งๆ ที่อยากให้มาเที่ยวสบายๆ แท้ๆ

“หายไวๆ นะครับ”

.

ด้านหนึ่งหวานซะจนทุกคนต้องเบือนหน้าหนีแต่อีกด้านความคลุมเครือด้านความสัมพันธ์กลับยิ่งไม่ชัดเจนแม้หลังจากไปเที่ยวด้วยกันแล้วจะดูสนิทสนมแถมยังนัดออกไปเที่ยวกันอีกหลายครั้ง

“ผมไม่กิน”

“เด็กอะไรไม่กินผัก” ผมอยากจะข่วนหน้าคนตรงหน้าที่พยายามยืนบล็อกโคลี่ใส่ปากเขาไม่เลิก ให้ตายเถอะนี่โตกว่าเขาจริงเหรอ

“ผมไม่กินแค่บล็อกโคลี่” ทีตัวเองยังไม่กินมะเขือเทศเลยไม่อยากจะพูดตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านอาหารบนโรงแรมหรูแต่การกระทำของคนตรงข้ามเหมือนทานข้าวที่บ้าน

“หึเด็กน้อย” ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียงที่ใช้หรือคำเรียกที่ชวนเอ็นดูนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จะใจเต้นทำไมกันนะ เพราะเขินกับรอยยิ้มแปลกๆ นั่นทำให้ผมต้องก้มลงสนใจอาหารบนโต๊ะ หลังจากมื้ออาหารที่ชวนให้ผมเขินอายส่วนคนทำนะเหรอไม่ได้รับรู้อะไรเลย

หมับ

“เดินมองทางด้วยสิ” เพราะมัวแต่คิดเกี่ยวกับความรู้สึกตัวเองเลยเกือบที่จะโดนชนไปแล้วหากไม่มีมือหนาที่รั้งเอวเขาเข้าไปชิดเลยรอดจากการเดินชน

“ขะ..ขอบคุณ” อยากจะถามตัวเองว่าทำไมต้องพูดตะกุกตะกักด้วยนะ เพียงแค่อยู่ใกล้ชิดทำไมถึงต้องรู้สึกแปลกๆ ด้วย

“ไม่เป็นไร” พอผมจะขยับตัวออกห่างวงแขนนั่นก็ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งรถมาจอดที่หน้าประตูมือหนานั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยออกจากเอวเลยอย่าถามว่าทำไมไม่ดิ้นแต่ดิ้นแล้วจนเหนื่อยเลยเลิกดิ้นแต่นี่ถึงบ้านแล้วยังไม่ปล่อยอีก

“ปล่อยได้แล้วครับ”

“อยู่ตรงนี้ก็เหมาะแล้วนี่” ผมเสหลบสายตาคมที่ก้มลงมาใกล้

“ผมจะเข้าบ้านแล้ว” เพราะทนไม่ไหวเลยขยับมือไปหยิกที่หลังมือนั่นแรงๆ ไปที

“โอ๊ย เจ็บนะครับ”

“ขอบคุณที่พาไปทานข้าว ผมไปล่ะ” เพราะกลัวว่าจะโดนเอาคืนผมเลยรีบพูดรีบขยับตัวชิดประตูเพื่อที่จะหนี แต่ก็ช้ากว่าคนที่ต้องระมัดระวังตัวและฝึกเป็นประจำ

“เหวออ” ร่างผมถูกรั้งขึ้นนั่งบนตัก

“คิดว่าทำร้ายฉันแล้วจะหนีได้เหรอ”

“ปล่อยนะ” ทำไมผมรู้สึกกำลังโดนเอาเปรียบแบบนี้นะ แต่ก่อนที่ผมจะได้เถียงอะไรออกไปจมูกโด่งก็กดลงที่แก้มเนียน

ฟอด

“คุณ!!”

“ถือว่าเป็นการตอบแทนนะครับ ฝันดีนะอย่าลืมฝันถึงพี่” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูพร้อมกับแรงรัดที่เอวหายไปพอตั้งสติได้ผมก็รีบเปิดประตูลงจากรถวิ่งเข้าบ้านทันที สายตาคมอ่อนแสงลงเมื่อเห็นกระต่ายตัวน้อยหน้าแดงวิ่งเข้าบ้าน ทำไมถึงน่ารักน่าฟัดแบบนี้นะ

“กลับบ้านใหญ่” สายตาเปลี่ยนไปเมื่อหันไปสั่งคนขับรถ หาปกติเขาจะอยู่ที่คอนโดน้อยครั้งที่จะกลับบ้านใหญ่เพราะรู้สึกเบือหน่ายกับบรรดาบ้านเล็กของคนเป็นบิดา

“ไงเจ้าเหมียว เมื่อคืนทำไมถึงได้วิ่งขึ้นห้องแบบนั้น” ทันทีที่ร่างบางเดินหัวฟูลงมาจากห้องพี่ชายคนโตก็เอ่ยแซวเพราะตอนที่น้องชายคนเล็กกลับมาเขายังนั่งอ่านงานอยู่ห้องนั่นเล่นเลยเห็นท่าทางแมวตื่นวิ่งขึ้นห้องไป

“ไม่มี๊ ไม่มีอะไร” ผมรีบปฏิเสธแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวเช้าไม่สนใจสายตาล้อเลียนจากพี่ชาย

“วันนี้เฮียไม่ไปทำงานเหรอ” เพราะนี่มันเลยเวลาทำงานแล้ว

“ไม่ล่ะเฮียจะอยู่กับน้อง” ผมเลิกคิ้ว วันนี้เฮียผมมาแปลกแหะ พอจะหยิบรีโมตเฮียก็มาแย่งจะหยิบมือถือมาเล่นก็โดนหยิบไปอีก ไม่สงสัยล่ะเฮียเขาแปลกจริงๆ

“ซินขึ้นไปอาบน้ำนะ เดี๋ยวลงมา”

“เออๆ ขึ้นไปเลย” เฮียโบกมือไล่ พอลับสายตาเฮียผมก็วิ่งขึ้นห้องเปิดโน้ตบุ๊กพอกดเข้าหน้าเว่ยป๋อ (โซเซี่ยวของจีน) ข่าวแรกที่เห็นมันก็ทำให้เขาตัวชา

ยังไงกันล่ะคะ ตอนเย็นออกเดตกับคู่หมั้นแต่ดึกมากลับมาควงสาวสวย *แนบรูปถ่ายด้านหลังรูปแรกมองยังไงก็เขากับลู่ชิงส่วนอีกรูปเป็นรูปหญิงสาวที่เขารู้จักดีในชุดสีแดงรัดติ้วนั่งบนตักลู่ชิงแถมยังโน้มหน้าเข้าไปใกล้* ไม่รู้ว่าคุณชายตระกูลไป๋จะรู้เรื่องหรือไม่เพียงแต่ภาพที่เห็นในมุมมองดิฉันคิดว่าคนอย่างคุณชายตระกูลไป๋ควรได้เจอกับคนทีเหมาะสมกว่านี้

เพียงแค่เห็นรูปโดยไม่ต้องอ่านคอมเม้นต์ก็เห็นแล้วว่าทำไมเฮียถึงได้ทำตัวแปลกๆ ผมไม่โทษเฮียที่ปิดบังเพราะรู้ดีว่าเฮียจะเป็นคนจัดการเอง ผมมองภาพที่เห็นนิ่งไม่ใช่ว่าไม่รู้ เผลอยกมือขึ้นลูบแก้มที่ยังรู้สึกถึงความร้อนอยู่ ผมกดปิดทุกอย่างแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำร่างขาวปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านตัวเองพร้อมกับความคิดที่ขุ่นมัวจนกระทั่งตกตะกอน

ก็แค่เลือกอีกครั้งก็เท่านั้นเอง

หลังแต่งตัวเสร็จเขาก็เดินลงไปขอมือถือคืนจากเฮียซึ่งครั้งนี้เฮียคืนมาให้ทันที ผมรับมากดส่งข้อความก่อนที่จะเงยหน้ามองรอบๆ ด้วยความสงสัย

“เฮียป๊าไปไหน”

“อ้อ..ไปบ้านตระกูลจางนะ” ผมยกยิ้มไม่ต้องเดาผมก็คิดภาพป๊าออกว่าไปทำอะไรโยนโทรศัพท์ทิ้งบนโซฟาแล้วข้ามไปนอนหนุนตักพี่ชายคนโต ที่พอผมนอนลงพี่ชายก็ยกมือลูบหัวผมเบาๆ

“น้องชอบเขาแล้วใช่ไหม” ดวงตากลมหลุบต่ำเมื่อคิดถึงทุกอย่างที่ตกตะกอนความรู้สึกผมก็เด่นชัดแม้ความรู้สึกจะไม่ได้ตกลงไปลึกแต่ความรู้สึกดีๆ มันก็เกิดขึ้นแล้ว

“อือ แต่ก็แค่ชอบนิดหน่อย” ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มจากเฮียหลงและเราก็ไม่ได้พูดอะไร สักพักโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นแจ้งเตือนข้อความเข้า ผมจึงลุกขึ้นไปหยิบมาดูข้อความที่เห็นทำให้ผมยิ้มกว้าง

“เฮียน้องได้งานแล้วนะ”

“หือ ไปสมัครงานตอนไหนเจ้าตัวแสบ”

“เมื้อกี้นี้ กับเฮียเฟิ่ง” พอได้ยินชื่อพี่ชายคนรองออกจากปากผมเฮียหลงก็โวยวายว่าไม่อยากให้ผมทำงานกับน้องชายคนรอง แต่ผมคิดว่าบางครั้งการออกไปเจอโลกกว้างมันจะดีกับผม ซึ่งเฮียหลงก็เถียงไม่ออกกับเรื่องนี้

“น้องจะไม่คิดถึงเฮียเหรอ”

“คิดถึงสิครับ รินอีกไม่นานก็คงต้องแต่งออก” พอคิดถึงเพื่อนซี้ที่โชคดีเรื่องความรักหยางอี้แม้จะไม่ขาวสะอาดแต่ก็จริงจังเรื่องนี้ดูตอนนี้สิยังทิ้งงานหิ้วเพื่อนผมไปเที่ยวเฉยเลย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าทำเอาใจเพื่อนสนิทเขาเพราะก่อนหน้านี้ผมไปเที่ยวกลับมารินก็โดนหิ้วไปแล้ว

“ปากนะเรา เฮียไม่ยอมให้แต่งออกหรอกนะ”

“ฮ่าๆ เฮียจะให้หยางอี้แต่งเข้าเหรอ” พอพูดเองแล้วก็หลุดขำลั่น เพราะแค่คิดภาพก็ขำแล้วอีกอย่างหยางอี้ก็คงไม่ชอบใจกับความคิดนี้

“ก็พูดไปเรื่อยนะเรา เจ้าเฟิ่งจะมารับเราวันไหน” หลงถามน้องชายเพราะรู้ดีว่าถ้าน้องคนรองเขารู้เรื่องต้องรีบมาหาแน่ๆ เพราะเฟิ่งเป็นคนเดียวที่ค้านเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นสายตาของน้องที่มีประกายเศร้าจากที่เคยเปล่งประกายตอนนี้บางครั้งมันมีประกายเศร้า

“อืม คงไม่เกินวันพรุ่งนี้ เฮียน้องอยากไปกินข้าวข้างนอก”

“ได้สิวันนี้ซินอยากไปไหนพี่จะพาไปทั้งนั้นล่ะ” ผมไม่อาจห้ามมุมปากให้ยิ้มไม่ได้เฮียใจดีตามใจผมและผมรู้ดีว่าเฮียรู้สึกผิดเพราะฉะนั้นวันนี้เฮียจะตามใจยังไงผมก็ต้องรับ นอนเล่นไปสักพักเฮียก็พาผมออกไปเดินเที่ยวที่ห้างแวะชื้อข้าวของโดยที่เงินไม่กระเด็นออกจากบัตรผมสักหยวนเดียว เฮียหลงเป็นคนออกให้หมดผมชอบนะแบบนี้จนค่ำเราก็พากันกลับ

“ป๊า!!!” เมื่อเห็นร่างท้วมนั่งที่ห้องนั่งเล่นผมก็โผเข้าไปกอดทันที

“ว่าไงเจ้าตัวแสบ”

“ป๊าเหนื่อยไหม” ผมถามแต่คำถามนี้มันไม่ใช่แค่เพียงถามผิวเผิน แต่เป็นการถามเรื่องข่าววันนี้

“ไม่หรอกป๊ารู้เรื่องจากอาเฟิ่งแล้วนะ”

“ดีไหมครับป๊า เดี๋ยวซินจะโทรออกหาป๊าทุกวันเลย” ผมกอดร่างท้วมซบหน้าลงกับอกกว้างของป๊าอย่างที่ชอบทำในตอนเด็ก ผมไม่ถามเรื่องที่ป๊าไปคุยและรู้ดีว่าสิ่งที่ป๊าทำต้องเป็นผลดีต่อผมแน่ ส่วนโทรศัพท์ที่เงียบไปเพราะผมบล็อกเบอร์นั่นทันทีที่เห็นข่าว หากเราเลือกที่จะเปลี่ยนเส้นทางเราก็ควรที่จะทิ้งทุกอย่าง คุยกันอยู่สักพักก็แยกย้ายกันขึ้นห้อง เพราะการตัดสินใจผมเลยคิดที่จะโทรหาริน

“รินนนนน”

“ (น้องนอนอยู่) ” เสียงทุ้มที่ดังออกมาทำให้ผมต้องกรอกตามองบน

“ปกติรินไม่นอนเร็ว”

“ (ไม่สบายเลยให้พักมีอะไร) ” ไอ้น้ำเสียงสองมาตรฐานนี่คือไร

“บอกรินทีว่าฉันตัดสินใจเลือกแล้วและจะติดต่อไปอีกที” หยางอี้รับคำแล้วกดวางทันที หมั่นใส้โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อยากจะโว้ยให้ถึงดาวพฤหัส

.

.

“ซินน้องรักกกกกกกก” ผมต้องรีบกระโดดหลบเมื่อร่างสูงโปร่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่ไม่รู้ว่าพี่รองเขาไปคลุกมาแต่ไหน ผิวขาวดูเหมือนจะคล้ำลงไปนิด

“ไปอาบน้ำก่อนไหมเฮีย” แม้จะคิดถึงแต่ก็ทำใจที่จะกอดร่างเต็มไปด้วยฝุ่นไม่ได้หรอกนะ เฮียเฟิ่งทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมไปอาบน้ำ และโชคดีที่รินโทรมาพอดี คุยกับรินหลายคำส่วนมากผมต้องคอยห้ามปรามให้รินทำอะไรที่มันเกินเลย เพราะเท่าที่ฟังเสียงรู้เลยว่าคนป่วยนั้นหัวร้อนแค่ไหน

เมื่อเฮียเฟิ่งอาบน้ำเสร็จเก็บข้าของที่ต้องการเสร็จรวมทั้งของผมด้วยตอนนี้ผมกับครอบครัวกำลังนั่งคุยเกี่ยวกับข้อตกลงใหม่สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

“โทรหาทุกวัน”

“บ้าไปแล้วเหรอเฮีย บางทีวุ่นวายมากผมก็ลืม”

“ครับซินจะโทรหาทุกวัน” เพราะเสียงทะเลาะกันของพี่ชายทั้งสองชวนปวดหูเขาเลยต้องรับปากและนั่นก็ตามมาด้วยคำสั่งอีกเป็นพวก

“เดินทางปลอดภัยนะ”

“อือ ป๊าดูแลตัวเองด้วยนะ แค่สองอาทิตย์เดี๋ยวก็กลับมา” เดินไปกอดป๊าแน่นๆ ทีหนึ่ง บอกลาเฮียหลงแถมกำชับให้เฮียดูแลป๊าด้วยแล้วค่อยลากกระเป๋าขึ้นรถไปพร้อมเฮียเฟิ่ง ผมเลือกแล้ว

คล้อยหลังรถที่สองพี่น้องจะออกไปผจญภัยรถหรูอีกคันก็เล่นเข้ามาด้วยความเร็ว แม้จะรีบแค่ไหนแต่สุดท้ายเมื่อคนจะคลาดกันก็คงไม่ได้เจอกัน

****************************************

ทุกคนทำร้ายพี่ลู่ได้ค่ะ  ส่วนของพี่หยางเรานั้น ปล่อยหวานกันต่อไปคะ่

อ่านแล้วเป็นไงอย่าลืมบอกเรานะคะ ถ้าชอบคอมเม้นต์ให้กำลังใจด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โอ๊ยยยยยยยยยยย แกทำอะไรของแกเนี่ย
น้องไม่ต้องกลับมาแล้วได้มั้ยอ่ะ แต่น้องไม่ผิดอ่ะ กลับมาฟาดหน้านายนั่นก็แล้วกัน
 :fire: :fire:

ออฟไลน์ Letter123

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-2
21

ทันทีทีจอดรถหน้าบ้านร่างสูงใหญ่ของลู่ชิงก็รีบลงจากรถเดินเข้าไปทันที พอดีกลับสองมังกรที่ยังไม่ได้แยกย้ายไปทำงานหันมาเจอ

“มาทำไม” น้ำเสียงเย็นชาของไป๋หลงนั้นไม่ผิดจากที่คิดไว้

“ผมมาหาน้อง”

“ที่นี่ไม่มีสิ่งที่คุณต้องการอีกแล้ว เพราครั้งหนึ่งพวกเราคิดว่าคุณจะให้เกียรติ์สมกับเป็นตระกูลใหญ่ แต่สิ่งที่เห็นคุณรักษามันไม่ได้” ถ้อยคำที่ถูกพูดใส่ตรงๆ ทำให้ร่างสูงพูดอะไรไม่ออก

“ผมอยากเจอ”

“ไม่มีคนที่คุณอยากเจอแล้วและน้องชายของผมก็ไม่ได้เป็นไม้ประดับที่ให้คุณอยากสนใจก็สนใจอยากจะทำอะไรกับมันก็ได้ ต่อไปนี้ตระกูลไป๋ไม่ขอต้อนรับคุณกลับไปได้แล้ว”

“อาหลงใจเย็นๆ ส่วนคุณตามผมมา” ประมุขของบ้านห้ามลูกชายคนโตก่อนที่จะเรียกให้เขาเดินตามไปยังศาลากลางน้ำ น้ำชาร้อนๆ ถูกวางตรงหน้าแต่เขาก็ยังนั่งตัวตรงประมุขตระกูลไป๋ยกชาขึ้นจิบ สายตาของคนที่ผ่านโลกมานานมองหน้าอดีตลูกเขยนิ่ง

“มีอะไรจะอธิบายไหม” หลังจากที่ได้เห็นข่าวก่อนลูกชายทั้งสองคนเขาก็ตรงไปบ้านตระกูลจางเพื่อขอถอนหมั้นทันทีซึ่งเพื่อนสนิทแทบจะคุกเข่าขอโทษที่ลูกชายตัวเองทำตัวไม่ดียินยอมที่จะถอนหมั้นให้อย่างง่ายดาย แต่เจ้าตัวคงจะยังไม่รู้ถึงได้มาเอาตอนนี้แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

“ผม...รู้ตัวครับว่าผิดแต่มันไม่ใช่อย่างที่ข่าวนั่นเขียน” ประมุขของบ้านมองใบหน้าหล่อเหลาที่เมื่อเห็นครั้งแรกเขาก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะดูแลลูกชายคนเล็กของเขาได้และเป็นผู้นำตระกูลได้ดี แต่สิ่งที่เห็นมันกลับทำให้ผิดหวัง

“หึๆ เอาความจริงเลยนะ เรื่องสัญญาอะไรนั่นไม่ได้มีผลอะไรหรอกเธอก็คงรู้ แต่ที่ฉันเลือกทำตามเพราะเห็นว่าเธอคงจะดูแลลูกชายของฉันได้” ยิ่งพูดสีหน้าของคนอ่อนวัยยิ่งเคร่งแววตาคมนั้นวูบไหวด้วยความรู้สึกต่างๆ

“ผม..”

“เสี่ยวซินนะตัดสินใจไปแล้วหากน้องกลับมาคงจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป”

“น้องไปไหนครับ” ในที่สุดก็อดใจไม่ไหวถามถึงคนที่ต้องการพบ

“เห็นว่าจะออกเดินทางล่ะนะ ไม่รู้ว่าจะกลับตอนไหนถ้าสนุกก็คงเดินทางไปเรื่อยๆ” พอได้ยินคำตอบร่างสูงก็เหมือนทุกอย่างพังทลายความรู้สึกเจ็บแปลบในอกนี่คืออะไรกัน เมื่อก่อนที่จะไปเที่ยวเขาคิดไว้แล้วว่าการหมั้นหมายครั้งนี้คงไม่เลวร้ายและเขายอมรับเลยว่ารอยยิ้มของคู่หมั้นนั้นทำให้เขาอยากจะยิ้มตามและรอยยิ้มนั่นทำให้เขาหยุดมองไม่ได้ยิ่งได้รู้จักยิ่งมีความรู้สึกอยากที่จะปกป้องแต่เมื่อรู้ตัวเขาก็ทำพลาดไปแล้ว

“ผมไม่ขอถอนหมั้นนะครับ” ไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็นความดื้อรั้นของเขาที่อยากผูกมัดใครอีกคนไว้

“แต่พ่อเธอตกลงแล้วนะ เอาเถอะเธอจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กัน” เขาลุกขึ้นโค้งให้กับคนสูงวัยอย่างขอบคุณที่ยังให้โอกาสหากแต่คนที่จะให้โอกาสคงเป็นร่างเล็กที่กางปีกออกไปท่องเที่ยวสิ่งที่เขาทำได้คือรอ

.

หลังจากที่ไปพบบิดาของร่างบาง เขาก็กลับมาบ้านใหญ่ประกาศกร้าวกลางโต๊ะว่าเขาและเยว่ซินยังคงเป็นคู่หมั้นกันเหมือนเดิมเมื่อจัดการที่บ้านเสร็จเขาก็เข้าบริษัทเพราะทิ้งงานไปช่วงไปเที่ยวทำให้งานกองอยู่ที่โต๊ะ นั่งทำงานอยู่นานไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่เงยหน้าจากแฟ้มข้างนอกหน้าต่างห้องก็มีเพียงแสงไปแล้ว บริษัทของเขาทำเกี่ยวกับเครื่องใช้ไปฟ้าอันดับสองเป็นรองเพียงแค่หยางอี้ การทิ้งงานไปหนึ่งอาทิตย์ก็ทำให้เขาต้องนั่งเคลียร์งานไม่จบไม่สิ้น

“ลู่ชิงคะ”

“เอล” คิ้วหนาขมวดแน่นเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ควรมาที่นี่เพราะหลังจากวันนั้นเขาเคลียร์ตัวเองไปเรียบร้อย แต่ทำไมถึงได้มาที่ทำงานเขา

“ไปทานข้าวกันดีไหมคะเอลจองโต๊ะที่โรงแรมไว้แล้ว” คำพูดแบบนี้ถ้าหากแต่ก่อนเขาคงตอบตกลงไปแต่เมื่อเคลียร์ไปแล้วผมก็ไม่คิดจะกลับไปเพราะตั้งแต่แรกเราก็ตกลงขอบเขตกันไว้ชัดเจนแล้ว ยอมรับว่าเอลถูกใจเขาตรงที่ไม่มาวุ่นวายเหมือนคู่นอนคนอื่นๆ แต่ตอนนี้ผมชักจะคิดว่าผมคิดผิดแล้ว

“เราตกลงกันแล้วนะ เอล” วางปากกาลงสายตามองผู้หญิงตรงหน้า

“แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นิคะ” น้ำเสียงออดอ้อนแต่คิดว่าเขาจะตกหลุมพรางหรือไง ใบหน้าคมเย็นยะเยือก ล้ำเส้นเกินไปแล้ว

“จะออกไปหรือจะให้คนมาลากออกไป”

“ลู่ชิง!!”

“เราตกลงกันเรียบร้อยตั้งแต่ต้นและตอนนี้เธอกำลังล้ำเส้น”

“อ๊ะ”

“เรื่องที่เธอทำฉันจะไม่เอาความ ออกไป” ร่างระหงรีบเดินออกจากห้องทำงานทันที เธอทำพลาดไปแล้วเพราะคิดว่าลู่ชิงยกย่องเธอทั้งที่เป็นเพียงคู่นอนเท่านั้นเธอควรหยุดโชคดีที่ลู่ชิงไม่เอาความเรื่องรูปถ่ายที่เธอส่งไป

“นี่เป็นผลของการกระทำฉันสินะ” ร่างสูงพิงเก้าอี้อย่างอ่อนแรง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกหอมหมื่นลี้ที่เขารู้สึกคิดถึงเลยให้เลขาหาน้ำมันหอมมาวางไว้ในห้อง ยิ่งได้กลิ่นยิ่งคิดถึง สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องรอสินะ



******************************************

“อือ ไม่อยากนอนแล้วอ่ะ” น้ำเสียงหวานออดอ้อนยังไม่เท่าเรียวแขนที่กอดรอบเอวใบหน้าหวานถูไถตรงหน้าท้องจนเขาอยากจะฟัดน้องแรงๆ หยางอี้อยากจะถามเหลือเกินว่าน้องไว้ใจเขามากเกินไปใช่ไหมทำไมถึงได้อ้อนเป็นลูกแมวแบบนี้

“เมื่อคืนเยว่ซินโทรมา รินจะโทรกลับไหม” ผมต้องหาทางให้น้องเลิกอ้อนเขาแบบนี้สักที

“อือๆ”

“คุยเสร็จพี่จะพาเที่ยว” ส่งโทรศัพท์ให้น้องที่ตอนนี้อาการหวัดดีขึ้นแล้วส่วนนมเขาให้ไปพักเพราะไม่อยากให้เหนื่อยอีกอย่างแค่น้องไม่สบายผมดูแลได้อยู่แล้ว พอได้โทรศัพท์น้องก็ไปคุยกับเพื่อนผมเลยเดินออกไปนั่งรอข้างนอก

ปัง

“พี่ รินขอโน้ตบุ๊ค” เสียงเปิดประตูยังไม่เท่าเสียงหวานของน้องที่เจือไปด้วยความโมโหแววตาหวานแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนใครทำน้องโมโหขนาดนี้กัน

“อือ” เขาส่งโน้ตบุ๊คในมือให้น้องที่พอรับไปก็รัวนิ้วบนแป้นอย่างไม่เว้นว่างแม้แต่วินาทีเดียวไม่ถึงยี่สิบนาทีน้องก็ปิดโน้ตบุ๊ค ถอนหายใจยาวแต่คิ้วเรียวยังขมวดแน่น

จึกๆ

“คิ้วย่นหมดแล้ว เป็นอะไรครับ”

“หมอนั่นทำร้ายซิน ทำให้ซินร้องไห้ รินเลยเอาคืน” อ่า ... ผมไว้อาลัยให้บริษัทลู่ชิง แค่เขาทำน้องงอนหุ้นสองตัวยังร่วงกราวแต่นี่น้องโมโหจะขนาดไหนกันนะ

“ไม่เครียดสิครับ ซินก็โอเคแล้วเราไปอาบน้ำเตรียมตัวไปเที่ยวกันเถอะ”

“อือ” และน้องก็วางโน้ตบุ๊ควิ่งดุ้กดิ้กเข้าห้องไปอาบน้ำ อารมณ์เปลี่ยนเร็วจนเขาตามไม่ทัน

เมื่อเตรียมตัวเสร็จพวกเขาก็ไปเดินทางเขาเป็นคนขับรถพาน้องเที่ยวเองแต่ก็เป็นการเที่ยวทำบุญเสียมากกว่าเพราะอยากให้น้องสบายใจ พอตะลอนเที่ยววัดจนทั่วกลับไปยังบ้านพักเพราะกลัวว่าน้องจะไม่สบาย

“รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่ครับ เพียงแค่เหนื่อยแดดร้อนไปหน่อย”

“พรุ่งนี้อยากไปเที่ยวไหนดีครับ”

“รินอยากกลับบ้าน” และผมก็ต้องตามใจน้องจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด เขาเข้าไปช่วยน้องเก็บกระเป๋า

“ขอโทษนะครับที่ทำให้พี่ไม่ได้เที่ยว”

“ไม่เป็นไร เอาที่รินชอบเถอะ” ผมไม่ได้ตามใจน้องเลยนะ แต่ทำทุกอย่างให้น้องมีความสุขอะไรที่น้องอยากทำเขาจะเป็นคนยืนอยู่ข้างๆ น้องเองและการมาเที่ยวก็จบลงในเวลาไม่ถึงสี่วัน ยังดีที่ธุระที่น้องมาจัดการเสร็จเรียบร้อยดี พอขึ้นเครื่องมาน้องก็หลับไปเรียบร้อยจนกระทั่งมาถึงฮ่องกงถึงได้ตื่นขึ้นมาอย่างกับรู้ตัว เขาพาน้องไปส่งบ้าน ทีแรกว่าเมื่อส่งเขาก็จะกลับแต่มือเล็กเกี่ยวชายเสื้อเขาไว้

“พักที่นี่เถอะครับ ดึกแล้วรินเป็นห่วง”

“นอนห้องเราได้ไหมล่ะ”

“แค่กๆ มีห้องรับแขกให้ เชิญ” ให้ตายเถอะทำไมถึงโผล่มาอย่างกับรู้เวลาแบบนี้นะ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องขึ้นไปนอนห้องนอนแขก ซึ่งอยู่ถัดไปจากห้องน้องถึงไม่ได้นอนด้วยกันอยู่ข้างๆ ก็เอา ทำไมมักน้อยจังนะ

ก๊อกๆ

“ครับ” พอเปิดประตูก็เห็นน้องยืนกอดหมอนข้างอยู่ อาจจะเพราะทำสีหน้างงน้องเลยบอกเหตุผลที่มายืนหน้าห้อง

“นอนไม่หลับอ่ะ รับผิดชอบเลย” ให้ตายสิผมห้ามรอยยิ้มตัวเองไม่ได้คงเป็นรอยยิ้มที่กว้างมากที่สุดในชีวิตแล้ว คว้าข้อมือเล็กจูงเข้าห้องพอถึงเตียงน้องก็ปีนขึ้นนั่งบนเตียงพอผมล้มตัวนอนน้องถึงนอนลงข้างๆ ผมลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ อย่างที่ทำมาตลอดที่ไปเที่ยวไม่นานน้องก็หลับสนิท ผมควรจะดีใจใช่ไหมที่น้องติดเขาแบบนี้ อ่าน่ารัก ผมใช้คำคำนี้เปลืองไปรึเปล่านะ รวบร่างบางเข้ามากอดก่อนที่จะหลับไปด้วยกัน

.

*******************************

ลู่ชิงตอนนี้รู้สึกอยากจะกุมขมับแล้วเมื่อหุ้นทุกตัวเขาตอนนี้ติดตัวแดงแถมระบบในสำนักงานใช้การไม่ได้หน้าจอมีเพียงเครื่องหมายตกใจขึ้นเต็มหน้าจอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือใครเพื่อนสนิทของคู่หมั้นที่เคยได้ยินซินเล่าให้ฟัง ฝีมือขนาดนี้ทำทุกอย่างได้รวดเร็วแบบนี้คงจะรู้เรื่องแล้วสินะ ให้ตายเถอะผมไม่คิดว่ามันจะแย่ขนาดนี้

“มันเกิดเรื่องอะไรกัน”

“ฝ่ายไอทีก็แก้ไขไม่ได้ นี่ผมจ้างพวกคุณไว้ทำไม” ฝ่ายไอทีแทบน้ำตานองหน้าไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้แต่ทุกอย่างมันเกินความสามารถของพวกเขาจนอยากจะถามเจ้านายว่าไปมีเรื่องกับใครมา ฝีมือขนาดนี้ต้องไปผิดใจกันขนาดไหน ลู่ชิงรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังพาลเพราะปัญหาตอนนี้มันหลายเรื่องจนนักธุรกิจเจนสนามอย่างเขารู้สึกจนตรอก ให้ตายเถอะ

“ตอนนี้ระบบกลับมาใช้ได้แล้วครับ” ไม่รู้ว่าเพราะเห็นใจหรือเอาคืนพอแล้วถึงได้ยอมปล่อยมือจากระบบแต่มูลค่าเสียหายมันก็มากมายแถมยังความน่าเชื่อถือที่หายไปอีก ขายาวๆ ก้าวเข้ามาในห้องรับแขกบ้านตระกูลไป๋ ร่างเล็กและคนที่เป็นอันดับหนึ่งของนักธุรกิจไฟแรง

“หึ”

“ไม่เอาน่าริน” พอเห็นหน้าผมตัวการณ์ก็สะบัดหน้าเชิดทันทีจนคนที่ให้นั่งพิงยกมือลูบหัวเบาๆ พร้อมกับห้ามปราม ท่าทีสนิทสนมนั่นทำให้เขารู้สึกตาร้อนๆ นิดหน่อย

“ผมไม่ทำอะไรแล้วนะ เพราะซินโทรมาขอไม่งั้นไม่ยอมปล่อยมือหรอกนะ” ดวงตากลมจ้องเขาเขม็ง ซินงั้นเหรอนี่ยังเป็นห่วงเขาอีกเหรอ

“แล้ว...ซินเป็นยังไงบ้าง” คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเขาถามถึง

“ก็สบายดีเห็นว่ากำลังสนุกเจออะไรใหม่ๆ เยอะเลยล่ะ คงไม่กลับมาแล้วมั้ง” ยิ่งได้ยินผมยิ่งรู้สึกคอตกมากขึ้นทุกทีถ้าเกิดซินไม่กลับมา...ผมจะไปตามกลับเอง

“ฉันไม่คิดที่จะปล่อยให้ซินไปหรอกนะ”

“คิดว่าซินจะยอมเหรอ” น้องรินลุกขึ้นมาสบตาตรงๆ โดยที่ยังมีมือของหยางอี้โอบเอวไว้

“ฉันจะทำให้น้องยอม” ใบหน้าคมประกาศกร้าว เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากน้องไปหรอกนะ

“ก็ขึ้นกับซิน ถ้าซินยอมผมก็พูดอะไรไม่ได้ แต่ถ้าซินเสียใจอีก ผมจะไม่ทำแค่นี้แน่ๆ” อ่ารับรู้ว่าถ้าขืนทำให้ซินเสียใจผมจะต้องสูญเสียบริษัทไปแน่ๆ ด่านที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ทุกคนแต่เป็นเพื่อนสนิทของซินที่มีแบ็คใหญ่อย่างหยางอี้ ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ คงต้องรอน้องกลับมาก่อนขอแค่น้องกลับมา ไม่ว่าอะไรเขาก็จะฝ่าไปให้ดู
****************************

สงสารเขานะคะ ลาสต์บอสเรื่องนี้คือน้องริน55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด