[เรื่องสั้น] [Verb to Life's set]>>Timeline ความเงียบ [16-04-2018]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] [Verb to Life's set]>>Timeline ความเงียบ [16-04-2018]  (อ่าน 1095 ครั้ง)

ออฟไลน์ Def Girl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
(โปรดอย่าหยุดกลางทาง เพราะการเดินทางครั้งนี้คุณจะได้รับ 1 2 3..ไปเรื่อยๆ ถึงยังไงก็..แล้วแต่สะดวก เดินทางให้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อเจอสิ่งใดกลางทาง โปรดศึกษาและเข้าใจสิ่งนั้นก่อน แล้วค่อยเริ่มเดินทางต่อ)

Timeline ความเงียบ


ติ๊ก..ต่อก..ติ๊ก..ต่อก..ติ๊ก..ต่อก

เงียบสงัด

ลุ่มลึก

มืดมิด

ถ้าจะให้อธิบายซิทูเอชันตอนนี้ได้ก็คงมีแค่ความเงียบสงัด สงัดงันไม่มีศัพท์เสียงใดเล็ดลอดออกมา แม้แต่สายลมยังขี้เกียจจะเดินทางข้ามผ่านตัวกลางใดๆ จะมีก็แต่เสียงนาฬิกาเครื่องเก่าที่ยังไม่หมดอายุขัยซึ่งยังคงทำงานของมันด้วยความเถรตรง ไร้เสียงพร่ำบ่น

อะไรกัน ..นี่ตื่นอยู่หรือเปล่านะ ทำไมขยับตัวไม่ได้เลยล่ะ แม้แต่ดวงตายังไม่รู้ได้เลยว่าเปิดหรือปิดอยู่ แม้แต่เศษเสี้ยวของแสงสว่างยังไม่มีเล็ดลอดเข้ามาให้เห็น

เวลาล่วงเลย..

ก๊อก ก๊อก ก๊อก..

เสียงกระทบกันเป็นจังหวะพื้นฐานคุ้นหู

"คุณครับ..ไม่ทราบว่าอยู่ข้างในหรือเปล่า"

นั่นสิ เขาถามผมหรือเปล่านะ ทำไมไม่มีเรี่ยวแรงเลยล่ะ แม้แต่จะออกเสียงเพียงเล็กน้อยยังทำไม่ได้

"คุณครับ.."

ทำไมเสียงมันก้องจังนะ พยางค์คำๆ เดิมยังคงกระทบเข้ามาในโสตประสาทของผม ค่อยๆ ก้องอยู่ในหัว และค่อยๆ เฟดออกด้วยความบางเบา

วืด~

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!

"หนู อยู่ในห้องมั้ยลูก"

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!

เฮือก!!

"อ๊ะ"

โอย..เหน็บแดก ให้ตายสิ..ฝันงั้นหรอ เพ้อเจ้อจะตายชัก

ก๊อก ก๊อก!

"หนู"

"ครับๆ อยู่ครับ รอเดี๋ยวนะครับ"

พิศวงตัวเองว่ะ อะไรดลใจให้ผมปิดม่านและไฟทุกดวงวะ

..ฉิบหาย มองไม่เห็น

หลังจากคลำๆ บริเวณโต๊ะข้างหัวเตียงก็พานคว้าสมาร์ทโฟนและทำการเปิดใช้งานฟังก์ชันแฟลชไลท์

ผมเดินไปยังบานประตูห้อง ก่อนจะเปิด

"อ่า..ว่าไงครับป้า" ป้าบัว เป็นเจ้าของอพาร์ตเมนท์แห่งนี้

"มีพัสดุด่วนถึงหนูส่งมาจ้ะ ป้าก็เลยเอามาให้" ป้าบัวว่าพลางยิ้มและยื่นกล่องพัสดุขนาดกลางมาให้ ผมรับมาและเพ่งพินิจจ่าหน้ากล่อง

"ไม่รบกวนป้าหรอกครับ เดี๋ยวผมลงไปเอาจากกล่องรับของข้างล่างก็ได้"

"อ๋อ พอดีตอนบุรุษไปรษณีย์มาส่ง เขาเอามาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์น่ะจ้ะ บอกว่าให้ส่งถึงมือหนูให้เร็วที่สุด ป้ากลัวหนูไม่ไปดูในกล่องรับของก็เลยรับฝากกับป้านี่แหละ"

"งั้นหรอครับ ขอบคุณป้ามากนะครับ รบกวนแย่เลย" ผมว่าพลางยิ้มเฝื่อนๆ เกรงใจ

"โอยไม่หรอก เห็นหน้าค่าตากันมานาน ป้ากลัวว่าจะเป็นของสำคัญก็เลยรีบเอามาให้ ..ว่าแต่ทำไมห้องมืดๆ ล่ะหนู นี่ป้ารบกวนหนูหรือเปล่า"

ผมรีบโบกมือพัลวัน

"ไม่ครับๆ ป้ามาก็ดีเหมือนกัน ผมกำลังเบื่อจะนอนอยู่พอดี"

"โธ่ พิลึกคน งั้นป้าไม่รบกวนแล้วนะ" ว่าจบผมก็ยิ้มลาป้าบัว ก่อนที่ป้าจะเดินเข้าลิฟต์ไป

ผมปิดประตู และยืนจ้องกล่องตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ และตัดสินใจเอากล่องใบนี้ไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าชั้นบนสุด

ขณะนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็น ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองนอนไปนานแค่ไหน จำจุดเริ่มต้นของการนอนไม่ได้ด้วยซ้ำ แทบจะหยุดหายใจแล้วด้วยซ้ำถ้าป้าบัวไม่มาเคาะประตูเรียก แต่ผมก็ไม่ใคร่อยากรู้อะไรขนาดนั้น

ผมใช้เวลาเตรียมตัวในการรีเซตตัวเองเกือบหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ผมรีเซตตัวเองแล้ว ชีวิตของผมหลังจากขาดการติดต่อจากโลกภายนอกไปชั่วคราวก็กำลังจะดำเนินขึ้นอีกรอบ และผมคิดว่าผมควรออกไปหาแรงบันดาลใจจากโลกที่มีหลายประตูนั่นเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผมอยากเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ผมกำลังจะไปที่ไหนสักที่ ..สถานที่ๆ เงียบสงบ ..มีกาแฟให้ดื่มไม่ขาดช่วง และสามารถใช้ชีวิตของผมได้

.
.

เมื่อผมมาถึงที่นี่ ร้านกาแฟสักที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ภายในร้านไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก ดีไซน์ร้านเรียกได้ว่าเรียบง่าย แต่น่าใช้ชีวิต

ผมสั่งอเมริกาโน่เย็นหนึ่งแก้วโดยลดช็อตกาแฟไปหนึ่งช็อต ความจริงผมไม่ใคร่ชอบกระเดือกอะไรที่ขมมาก พนักงานรับรู้แล้วทำการชงกาแฟแก้วกลาง ผมรอที่โต๊ะ เรียกได้ว่าเป็นมุมอับของร้าน มีวิวเดียวที่มองเห็นคือกระถางต้นไม้ที่ผมไม่รู้จัก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็สบเข้ากับนาฬิกาเรือนโต เท่านั้นแหละ ผมย้ายที่นั่งทันที ทำการหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง คราวนี้มีวิวทิวทัศน์เป็นเคาน์เตอร์บาริสต้าแทน ก็ไม่แย่เท่าไหร่นัก

กาแฟมาเสิร์ฟแล้ว ผมดูดไปแค่อึกหนึ่ง หยิบหนังสือที่พกติดตัวมาเปิดอ่าน คิวหนังสือวันนี้คือ คินดะอิจิยอดนักสืบ เป็นนิยายสืบสวนสอบสวนญี่ปุ่นที่ผมอ่านมาแล้วหลายเล่ม เรียกว่าน่าจะเป็นในส่วนของเรื่องที่เป็นเดอะมูฟวี่มากกว่า เนื้อหาไม่ได้ต่อเนื่อง ไทม์ไลน์เรื่องก็ไม่ต่อเนื่องตามลำดับเล่ม แต่ผมก็ได้รู้จักคินดะอิจิผู้นี้มาจึ๋งหนึ่ง ไม่ได้รู้จักไปหมดหรอก ผมคิดว่าเขาก็น่าจะมีด้านที่ผมและนักอ่านคนอื่นๆ ไม่รู้ จากการเสพมาระดับหนึ่งผมว่าชีวิตของเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ระหว่างที่อ่านไปเสียงเพลงในร้านก็คลอตามๆ กัน สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากการมาที่นี่คือ เพลงในร้านค่อนข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีเพลงคลาสสิคบ้าง สากลบ้าง ไทยบ้าง เกาหลี เจแปน และต่างๆ คละกันไป ไม่ว่าจะร็อก อาร์แอนด์บี ใดๆ แต่บอกเลยว่าเพลงแม่งไม่ดาวน์ โอเคในระดับนึง และอีกอย่างคือแทบจะไม่เปิดเพลงป๊อบ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีอย่างมาก หัดทำความเข้าใจสิ่งอื่นที่คนไม่ค่อยรับรู้บ้าง ผมว่ามันเป็นอะไรที่น้อยคนมากที่คิดจะอยากทำแบบนั้น ซึ่งผมคนหนึ่งที่ไม่รายล้อมชีวิตด้วยสิ่งที่เรียกว่าค่านิยม

ผมชอบที่จะสร้างเส้นทางให้ตัวเอง
ผมชอบที่จะให้อิสระกับตัวเอง ไม่ว่ากับเรื่องเล็กๆ อย่างการอ่าน ผมชอบที่จะอ่านเมื่ออยากอ่าน หยุดเมื่ออยากหยุด ซึ่งนั่นอาจจะกลายเป็นข้อเสียที่คนอื่นมองเห็นผม

ชีวิตของผมเรียกได้ว่าอยู่บนบรรทัดฐานของความเงียบง่าย โคตรเรียบง่ายเลยมั้ง ใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้มาจะค่อนชีวิตแล้วมั้ยวะ แต่ผมก็ไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ว่าชอบมัน ..นั่นสิ

ผมหยุดอ่านคินดะอิจิและนั่งคิดกับตัวเองมาสักพักก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากความคิดตัวเองเป็นเสียงเพลงที่คลออยู่นั่น ..อินโทรเพลงแบบนั้น

..น่าสนใจ

ผมไม่รู้จักเพลงที่ว่า เพลงบรรเลงไปเรื่อยๆ ผมพอจะฟังออกว่ามันเป็นเพลงเกาหลี ฟังไปเรื่อยๆ พบว่ามันเป็นเพลงกึ่งร็อก เป็นสิ่งที่น่าสนใจทีเดียว ยิ่งฟังก็ยิ่งพบเจอ ยิ่งฟังก็ยิ่งรับรู้ความเป็นอะไรๆ มากขึ้น

..ถึงว่าล่ะ การที่เราลองทำความเข้าใจอะไรสักอย่างเราอย่ารีบหยุดกลางทาง

..อย่างเพลงนี้ ตอนแรกที่ฟังอินโทรดึงดูดผม ยิ่งฟังก็ได้รู้ว่าเป็นเพลงเกาหลี ยิ่งฟังก็ยิ่งได้รู้ว่ามันเป็นเพลงร็อก กึ่งร็อก ผสมผสาน ถึงแม้จะฟังไม่ออกก็ตาม

โอเค ผมไม่ได้เหยียดเกาหลี ผมฟังได้ ถึงแม้จะไม่รู้จักนักร้องหรืออะไรก็ตาม ผมเป็นพวกที่เสพแต่ผลงานด้วยสิ

ไวเท่าความคิดผมลุกขึ้นยืนและเดินไปสั่งลาเต้เย็นแก้วกลางอีกแก้ว เป็นการแลกเปลี่ยนกับการถามถึงเพลงที่กำลังคลออยู่ ได้ความว่าเป็นเพลง Better better ผมกล่าวรับรู้และกลับมานั่งที่โต๊ะ

ผมควักสมาร์ทโฟนขึ้นมา เข้ายูทูป และเสิร์ช better better แสดงผลลัพธ์ขึ้นมามากมาย แต่ผมก็พอรู้ว่ามันเป็นเพลงเกาหลี โอเค ไม่ยากมากนัก และก็ได้รู้อีกอย่างคือ วงนี้เป็นวงที่เล่นดนตรีเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบอยู่ก่อนแล้ว นั่นแหละ อย่างน้อยโลกนี้ก็วนเวียนสิ่งประเภทเดียวกันอยู่รายล้อมกัน ผมทำการดาวน์โหลดเพลงนี้เก็บไว้ในเพลย์ลิสต์

ตั้งแต่ผมเข้ามาในร้านนี้ผมได้รับอะไรหลายๆ อย่าง
1.ได้รู้จักโลเคชั่นดีๆ แบบนี้ที่ตอบโจทย์ผมมาก
2.รสชาติกาแฟร้านนี้ก็ไม่ได้ดีมาก ไม่แย่มาก กินได้ แต่เพลงร้านนี้อร่อย ในส่วนที่เหลือก็ผ่าน
3.ผมได้เพลงใหม่เข้ามาในเพลย์ลิสต์เพิ่มอีกหนึ่งเพลงถ้วน

นี่คือสิ่งที่ผมได้รับ..


ลาเต้เย็นพร่องไปหนึ่งในสามของแก้ว ผมกลับมาอ่านคินดะอิจิต่อ อ่านดำเนินไปเกือบครึ่งทางมีสิ่งที่ประหลาดใจอยู่มาก ตกใจเลยอ้ะ นี่มันห่านไรเนี่ย

ผมหยุดการอ่านไว้แค่นั้น พับหน้าไว้ ปิดหนังสือ และเงยหน้าสบตากับบุรุษลึกลับตรงหน้า เขาก็สบตาผมกลับ อะไรวะ? ผมฉงนอยู่ในใจ สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ โอเคโต๊ะว่างยังมีอยู่

ในใจก็พิศวง ประหลาดใจ ตกใจ สงสัย ตั้งคำถามมาล้านแปด แต่ก็ไม่ยักจะพูดอะไรออกไป ผมกลับมาสนใจคินดะอิจิต่อ สังเกตเห็นว่าเขาก็กลับไปสนใจหนังสือในมือเหมือนกัน

เราอยู่อย่างนั้นไปสักพัก เรียกว่าเราก็ไม่ถูก ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตนเองจะถูกกว่า ผมอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ไหวแล้วว่ะ

"คุณ" ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน

เขาเงยหน้า เราสบตากัน

"ครับ?"

แค่นี้? ผมคิดในใจ

"จะต้องใจกล้าแค่ไหนถึงได้มานั่งตรงนี้" ผมถาม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สะทกสะท้านใดๆ

"แทบจะไม่ต้องใช้ความกล้าเลยครับ"

บ้าน่า ..นี่ก็คิดในใจ

คนตรงหน้ายังคงสีหน้าแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ไม่หวั่นไหว แทบจะไร้ความรู้สึก หรือผมเองมากกว่าที่สัมผัสสิ่งนั้นไม่ได้

"ทำไม?" ผมถาม

"ไม่มีเหตุผล แค่ปล่อยอิสระกับความต้องการ"

โอเคๆ ใจเย็นๆ นะเว้ย

ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะเวลาที่เพื่อนมักจะรีแอคหรือรู้สึกประมาณนี้เวลาที่ผมมักจะพูดอะไรเทือกๆ นี้ใส่เข้า ณ ตอนนี้ผมก็ไม่ต่างกัน

"โอเค" ความจริงเขาแทบจะไม่มีผลใดๆ กับผมเลย และผมก็ไม่ได้ฟิตเวลากลับบ้านด้วย แต่ตอนนี้ชักหิว นั่งมาก็สองชั่วโมงกว่าแล้ว กลับดีกว่าว่ะ

ผมเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า ลุกขึ้นยืน และเดินไปจ่ายเงินค่าอเมริกาโน่ และลาเต้

ออกจากร้านมาได้ ทำใจลืมความเคลือบแคลงที่มีต่อบุรุษคนนั้น สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก็รู้ล่ะวะว่ามันเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ว่านะ

"เดี๋ยวครับ" ผมหยุดชะงัก หันหลังกลับไปตามเสียง ขมวดคิ้ว

"ครับ?" ในใจก็บ่นไปสารพัด ไอ้นี่มันต้องการอะไรวะครับ

"คุณชื่ออะไร" หา!?

"..."

"..."

"ผมชื่อสอง" ผมชั่งใจอยู่นาน จึงตัดสินใจตอบ

"พิลึกแท้" ผมขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม

"หมายความว่าไงพิลึก"

"เป็นความบังเอิญที่พิลึกสิ้นดี ..เพราะผมก็ชื่อสอง"

หา!? บุรุษตรงหน้าก็ยังคงสีหน้านิ่งเฉย ไร้ความรู้สึกตกทอดมาถึงผมเช่นเคย

หรอ..อย่างนั้นเองหรอ

"ครับ" ผมตอบรับ และเดินออกมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี พิลึกพิลั่นสิ้นดี ใจหายหรอ ตกใจหรอ ความรู้สึกอย่างนี้มันเคยรู้สึกไปแล้วก่อนหน้านี่

แต่ว่านะ สิ่งที่ผมได้รับวันนี้ไม่ได้มีแค่ 3 อย่าง แต่มันมีอย่างที่สี่เข้ามาตั้งแต่บุรุษลึกลับผู้นั้นเข้ามานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นั่งแน่นิ่ง อ่านหนังสือ อยู่ในโลกของเขาเอง และมาบอกชื่อของตนกับคนอย่างผม ชื่อ 'สอง' งั้นหรอ ..พิลึกจริงดังว่า
.
.
.
.
.

กลับถึงห้อง ขณะนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มนิดๆ ผมเพิ่งเขมือบบะหมี่ถ้วยไปหนึ่ง ครัวซองค์อีกหนึ่ง และนมจืดขวดกลางไปหนึ่ง ส่วนตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่ระเบียง ดูดาว ดูจันทร์ ดูเมฆ ดูนิเวศเบื้องหน้า รับลมที่พัดโชย ไฟในห้องมืดสนิท และฟัง better better วนลูปอยู่มากกว่า 20 ครั้ง ผมรีพีทเพลงๆ นี้ซ้ำอยู่ครั้งต่อครั้ง วนไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นผมก็ได้รับหลายๆ สิ่งที่ทั้งต้องการและไม่ต้องการ ตะกอนความคิดทั้งหลายไหลพรั่งพรูออกมาพร้อมกับแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่สูญเสียไป แต่ทุกอย่างที่ว่านั้นก็ได้ผ่านและไหลเข้าสู่อวัยวะต่างๆ ภายใน จากรูหูสู่ประสาท ประสาทสู่ก้านสมอง ก้านสมองสู่หัวใจ และเซื่องซึมเข้ามายังก้นบึ้งภายในจิตใจที่ไม่รู้ได้แน่ชัดว่าอยู่ตำแหน่งไหนในตัวเรา

ผมตัดสินใจหยุดพักหู สมอง และหัวใจชั่วคราว ลุกไปหยิบนมจืดขวดกลางอีกขวดจากตู้เย็นท่ามกลางความมืด และกลับมานั่งตำแหน่งเดิม


เสียบสมอลทอล์คเข้าหู กดเพลย์ และปล่อยให้ better better วนลูปไปเรื่อยๆ ซึ่งมีรสชาตินม และนิเวศเบื้องหน้าเป็นเนกาทีฟสเปซ
.
.
.
.
.

วันต่อมา ผมเดินทางมาร้านเดิม เวลาเดิม สั่งอย่างเดิม และอ่านคินดะอิจิเหมือนเดิม ผมอ่านมาได้เกินครึ่งแล้ว คิดว่าคงอ่านจบภายในวันนี้

และสิ่งเดิมๆ อีกอย่างที่โคตรจะไม่ชินที่ประสบพบเจอก็คือ บุรุษที่เหมือนจะแปลกหน้าแต่ก็ตีหน้าเนียนรู้จักนั่งอยู่ที่เดิม ..ให้ตาย

ผมอ่านคินดะอิจิผ่านไปราวๆ 6 บท นึกอยากพักสายตา ผมหลับตาพริ้มแล้วสูดอากาศเข้าปอดหลายเฮือก

"เจอกันอีกแล้ว"

ผมลืมตาตื่น

สงสัย

ประหลาดใจ

ทำไม


"อ่าครับ" ผมตอบ นึกแปลกใจที่ว่านั่งอยู่ค่อนชั่วโมงแล้วเพิ่งกล่าวว่า เจอกันอีกแล้ว

"ผมเคยอ่านคินดะอิจิ" เขาว่า

"ครับ" ผมตอบรับ

"ความจริง มีคนเคยชวนให้อ่าน ตอนนั้นก็อ่านได้นิดหน่อย มันค่อนข้างหดหู่ในตอนแรก" เขาพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วหลับตา แน่นิ่งอยู่ท่วงท่านั้น

"แล้วคุณก็หยุดอ่านว่างั้น" ผมถาม

"ไม่เชิง แค่พัก แล้วก็กลับไปอ่าน เป็นแบบนั้นอยู่ราวๆ 21 ครั้งตั้งแต่อ่านมา"

"ไม่แปลก อ่านหนังสือมันก็ต้องมีพักสายตากันบ้าง"

"อ่า ผมหมายถึง..ผมได้เจอบทโหมโรงที่สุดแสนจะหดหู่อยู่ราวๆ 21 ครั้ง นั่นก็ตั้งแต่เล่ม1-21"

อ่า.. หมายความว่ายังไงนะ ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนั้น

"แล้วเล่มต่อล่ะ"

"ผม..รอให้เขากลับมาเล่าให้ฟังดีกว่า"

"ครับ"

และผมก็กลับมาอ่านคินดะอิจิต่อ อ่านไปเรื่อยๆ เหลืออีกหนึ่งบทจะอ่านจบ เป็นเรื่องที่หดหู่จริงๆ นั่นแหละ มันปนเประหว่างศีลธรรม ชีวิต ศรัทธา ความโหดร้าย และความโรแมนติก หลายครั้งที่ผมนึกอยากใช้ชีวิตแบบคินดะอิจิ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขาเองก็เบื่อชีวิตประจำวันของตัวเองอยู่เหมือนกัน จนกว่าจะเจอคดีใหม่ เขาก็เซื่องซึมเป็นหมาหงอยไม่ต่างอะไรไปจากผมมากนัก

ผมสั่งนมปั่นมาอีกแก้ว ค่อยๆ ตั้งใจละเลียดไปเรื่อยๆ คนตรงหน้าก็ยังคงอยู่ แต่หลับไปแล้ว นอนหลับไปนานราวครึ่งชั่วโมง ผมจัดการนมปั่นหมด และก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนตรงหน้าตื่นขึ้นมา พร้อมบ่นอุบ

"หิวว่ะ" เจ้าตัวบิดขี้เกียจอยู่สักพัก "ไปหาข้าวกินมั้ยครับ"

"ครับ?"

"ไปปะ หิว" เออครับ ผมรู้ว่าคุณหิว แล้วมาชวนผมทำเพื่อ

"ไม่ดีกว่า"

"โอเค" เขาพูดจบก็คว้าหนังสือเก็บเข้ากระเป๋า เดินไปชำระเงิน แล้วก็ออกนอกร้านไป

เวลาผ่านไปสักพัก ผมตัดสินใจไปหาอะไรกินบ้าง หิวเหมือนกัน

ผมไปชำระเงิน

"เพื่อนของคุณชำระเงินให้แล้วค่ะ" พนักงานพูด

"ครับ?"

"ค่ะ ถ้ารายการอเมริกาโน่เย็นไซส์มีเดียม ลาเต้เย็นไซส์มีเดียม แล้วก็นมปั่น ทำการชำระเงินเรียบร้อยแล้วค่ะ" ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วแล้วเดินออกจากร้านมา

นั่นสิ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่นานๆ ทีจะมีคนเจียดเงินส่วนตัวมาปันค่าเครื่องดื่มให้ผม และเพราะให้ผมไงมันถึงได้แปลกประหลาด ในชีวิตนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนที่จะยอมทำอะไรแบบนั้นให้..กับผม

เอาเถอะ ไม่อยากเจอหน้าสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องจ่ายคืนละวะ

ระหว่างกลับบ้านผมแวะเซเว่นอีเลฟเว่นใกล้อพาร์ตเมนท์เพื่อซื้ออาหารกิน ครัวซองค์สอง นมจืดขวดใหญ่ แล้วก็น้ำฝรั่ง

ขึ้นห้องมาก็จัดการทุกอย่างจนหมด ยกเว้นน้ำฝรั่ง คืนนี้ผมไม่ออกไปดูดาว ผมไม่อยากฟังเพลง ผมไม่อยากดูหนัง คืนนี้ผมง่วงนอน รู้สึกเหนื่อยพิกล

ทำไมช่วงเวลาแบบนี้มันผ่านไปช้าจังเลยนะ
.
.
.
.
.


วันต่อมา

และวันต่อๆ มา

ผมก็ยังคงใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สามัญ ดาษดื่นของผมอยู่ ทำอย่างเดิมๆ กินอะไรเดิมๆ ซึ่งอาจจะเพิ่มปริมาณแก้วมากขึ้น เจอคนเดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิม และก็วนกลับไปทำอย่างแรกใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้มานานนับสามสัปดาห์ติดต่อกัน

นับจากวันที่ 'สอง' จ่ายเงินค่ากาแฟให้ วันต่อมาเขาก็จ่ายให้ แต่จ่ายไปแค่ในส่วนของสามแก้วที่ผมกิน วันนั้นผมกินไปสี่แก้ว อย่างน้อยก็เหลือให้ผมจ่ายบ้าง

วันต่อมา เขาก็จ่ายให้อีก แต่จ่ายไปแค่สองแก้ว ผมชักจะทนไม่ไหว ผมบอกเขาไปว่าไม่ได้ต้องการให้จ่ายให้ แต่เขากลับตอบว่า ..เพราะคุณไม่ได้ขอ และผมก็ไม่ได้ทำให้เปล่าๆ

หลังจากนั้นเขาก็ยังมานั่งด้วยกัน อ่านหนังสือ นอนหลับ อยู่ในโลกของตัวเอง จ่ายค่ากาแฟให้สองแก้วบ้าง สามแก้วบ้าง ไม่เสถียร เราแทบจะไม่สร้างบทสนทนาต่อกัน แต่ก่อนกลับเขามักจะชวนผมไปทานข้าวด้วยเสมอ ซึ่งผมไม่เคยไปด้วยเลย ไม่เอาด้วยหรอก

เขาทำอย่างนั้นอยู่นานเกือบเดือน มีอยู่สามครั้งที่ผมไม่ได้ไปร้านนั้น และมีสี่ครั้งที่เขาไม่ได้ไป เฉพาะวันที่ผมไปน่ะนะ

และเดือนนี้ก็เป็นเดือนที่ผมใช้ชีวิต 'ที่นี่' อยู่นานกว่าที่อื่นๆ ในเดือนก่อนๆ

ผมชอบที่นั่น ชอบความเป็นที่นั่น ชอบสิ่งที่พบเจอที่นั่น แม้จะต้องการหรือไม่ก็ตาม

ผมรู้สึกเหนื่อย รู้สึกเศร้าอยู่เสมอเมื่อต้องวนเวียนอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆ ภายในปีนี้เป็นปีที่สาหัสมากสำหรับผม ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้มาเกือบปีแล้ว และในทุกๆ เดือนผมจะตระเวนหาร้านกาแฟเล็กๆ นั่งอ่านหนังสือ ดื่มกาแฟ ใช้ชีวิต แต่อย่างมากก็อยู่แค่หนึ่งอาทิตย์ แล้วก็กลับไปที่ห้อง ใช้ชีวิตอย่างนั้นวนเวียนไป รู้สึกอยากรีเซตตัวเองเมื่อไหร่ก็จะเริ่มต้นใหม่ แล้วก็หาสถานที่ใหม่ๆ แต่ก็ยังทำสิ่งเดิมๆ จนกว่าจะเจอที่ๆ อยู่แล้วสบายใจ เข้าใจอะไรใหม่ๆ ที่ๆ ผมจะคิดถึงเป็นที่แรก ที่ๆ ทำให้อุ่นใจอยู่เสมอ ผมพยายามหาที่แบบนั้นอยู่ หาตลอดมา
.
.


วันนี้ผมมาที่ร้านเดิม สั่งอเมริกาโน่เย็นลดช็อตกาแฟหนึ่งช็อตไซส์กลาง พกหนังสือติดตัวมาด้วย คิวหนังสือวันนี้คือ Home,the place that you are (ชื่อหนังสือสมมติ) ผมอ่านทุกตัวอักษรที่ปรากฏบนปกหน้าและหลัง ผมเริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรกของหนังสือ

Page 1

Home,
Did you know that the 'Home' mean?
.
.
.

Page 2

Home,
Did you know that place are really have?
.
.
.

Page 3

Home,
And Did you know to how to gets your home back?
.
.
.

I don't have any methods for you but, looking forward to and you'll find your home.

อ่านบทความจบแค่นั้นผมก็หลับตาพริ้ม พยายามคิดตาม ..งั้นหรอ

ผมลืมตาขึ้น มองไปข้างหน้า ไม่ว่าข้างหน้าจะใกล้หรือไกล ..ก็มีคนๆ เดิมนั่งอยู่ตรงนั้น

"ทำอะไรอ่ะ" เขาถาม

ผมไม่ตอบแต่ชูปกหนังสือให้เขาดู

"อะไรดลใจให้หยิบเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน" เขาถามหน้านิ่ง

"ไม่รู้สิ อะไรสักอย่าง ใครสักคน" ผมก็ตอบหน้านิ่ง

"แล้วเป็นไง คาดหวังอะไรกับมันงั้นหรอ"

"..คาดหวังให้คนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ตายแม่งไปเลย ชิ" ให้ตายสิวะ ผมหลับตาอีกครา พิงเข้ากับพนักเก้าอี้ พยายามไม่หายใจแรง

"หึ งานช้างแล้วล่ะ"

เออ รู้

"ความจริงแล้ว ผมโกหกคุณ ผมไม่ได้ชื่อสอง" ผมพูดขึ้น แต่ตายังคงปิดอยู่

"อืม ผมรู้" ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น สบเข้ากับดวงตาสีเหล็กตรงหน้า

"คุณรู้?"

"อาจเรียกงั้น เพราะความจริง ..สองก็ไม่ใช่ชื่อของผม"

...

ฝ่ายต่างปล่อยให้ความเงียบบรรเลงบทเพลงของมันอยู่ ไม่มีศัพท์เสียงใดเล็ดลอดออกจากปากของเรา มีเพียงแค่การสบตากันซึ่งคงความเงียบ ไร้เสียง ไร้สรรพสิ่งรบกวน มีเพียงสายตา ที่ถ่ายทอดถึงกันและกัน

ท่ามกลางความเงียบ

เสียงเพลงๆ หนึ่งดังคลอ

Remember that night
I had to leave you
You said it's alright
And I'd believe you
You know I'm no good
No good at goodbyes
No good without you
Better by your side
.
.

อืม เพราะเป็นอย่างนั้น เราถึงได้พยายามหาที่ๆ เราอยากจะอยู่ อยากจะเข้าใจ ภายในปีนี้มีหลายที่ๆ เราชอบ แต่จะมีอยู่แค่ไม่กี่ที่ๆ เราอยากจะเข้าไปบ่อยๆ 'ที่นี่' คือหนึ่งในนั้น แต่จะมีแค่ที่เดียวที่เราจะกลับไปหา ไม่ว่าไปที่ไหนมา สุดท้ายเราก็จะกลับไปที่ๆ เราจากมา เราเหนื่อย เราเศร้า เราฟุ้งซ่าน แต่เราก็ยังถามหาไออุ่นนั้นอยู่ 'ไออุ่น' นั้นน่ะ

Wish I could be there with you
I'm feeling lost without you

เรายังคงสบตากัน

In this empty bed
Where I'm all alone
I've been such a mess
Need a one way ticket


Anywhere you are
Its where I want to go
You are my address
I don't care how I get it
Need a one way ticket,

Home
.
.
.

"วอร์ม.." ผมเอ่ยปากพูดเสียงบางเบา

"อืม" อีกฝ่ายตอบรับ

"มึงกลับมาทำไมวะ"

ผมปิดตาสนิท ไม่อยากรับรู้อะไรแล้วว่ะ

"คิดถึงว่ะ"

กึก!

สามพยางค์ แค่สามพยางค์ แต่แม่ง..ทำไมฟังแล้วอยากร้องไห้วะ

"..ฟ้า กูคิดถึงมึง"

ฮึก.. ทำไม ผมก็ใช้ชีวิตของผมมาได้ขนาดนี้แล้วอ่ะ เวลา 11 เดือนกับอีก18 วันนี้ที่ผมพยายามมาสูญเปล่าใช่มั้ย ตัดขาดกันโดยสิ้นเชิงแล้วอ่ะ ใช้ชีวิตของใครของมันมาได้ขนาดนี้แล้วอ่ะ ทำไมวะ

จะมาให้เห็นหน้าอีกทำไมวะ

จะมาวนเวียนในชีวิตสามัญของกูทำไมวะ

เห็นหน้ามึงแล้วอยากจะร้องไห้ว่ะ

"น่านฟ้า กูคิดถึงมึงจริงๆ ว่ะ.. เรากลับมาหากันไม่ได้หรอวะ"

"ไม่ง่ายไปหน่อยหรอ" ผมพูดเสียงสั่น

"กูว่าใช้ชีวิตที่มีแต่คินดะอิจิ แต่ไม่มีคนคอยเล่าคอยแชร์กันแม่งยากกว่า"

"แต่มึงเป็นฝ่ายเลือกไปเอง"

"แล้วกูเป็นฝ่ายกลับมาก่อนไม่ได้หรือไงวะ!"

"ฮึก..กูไม่ตลกนะ"

"กูเองก็ไม่เล่นตลก เลิกเล่นเถอะว่ะเกมแบบนี้อ่ะ แพ้แล้วไงวะ สุดท้ายแม่งก็ทนไม่ได้อยู่ดี"

"..."

"กูอดทนไม่เก่งนะเว้ย"

"..."

"กูไม่อยากอ่านคินดะอิจิเล่มต่อไปเองแล้วว่ะ แล้วหนังสือนั่นน่ะ.." วอร์มว่าแล้วบุ้ยปากไปยัง Home, the place that you are

"คงยากหน่อยนะที่จะให้กูตายตอนนี้อ่ะ เพราะบ้านของกูยังไม่เลิกร้องไห้ และภายในวันนี้มันคงยังไม่เลิกร้องง่ายๆ แน่ กูเดิมพันด้วยชื่อปลอมที่มึงคิดเลย"

"หมายความว่าไง"

"เพ้อเจ้อสิ้นดี สองงั้นหรอ.." ถึงชื่อจะเหมือนกันหรือไม่ แต่แม่งก็เป็นกันและกันได้ปะวะ

นั่นวอร์มคิดในใจเท่านั้น

"มึงก็เพ้อเจ้อพอกันนั่นแหละ"

"โอเค ตอบกูมาสิว่ามึงจะกลับไปแชร์คินดะอิจิด้วยกัน นะ..กู ไม่อยากอ่านเองแล้วจริงๆ ว่ะ" เจ้าตัวว่าพลางขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม สัมผัสอุ่นๆ ที่แก้มพรากความเปียกชื้นให้เบาบางลง สัมผัสซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่ที่เดิม

"ให้ตายสิวอร์ม" ว่าจบน้ำตาก็พาลหยุดไหลไปซะดื้อๆ ก่อนที่คนตัวใหญ่จะโผเข้ามากอด ซุกหน้าลงกับไหล่ของผม และต่างฝ่ายต่างก็กระชับอ้อมกอดซึ่งกันและกัน
.
.
.

ยังจำกล่องพัสดุวันนั้นได้มั้ย เพราะกล่องพัสดุใบนั้น ทำให้ผมเดินทางมายังที่แห่งนี้ ที่ๆ ผมจะต้องใจกล้าโคตรๆ ถึงจะมาเหยียบที่นี่ได้

จ่าหน้ากล่องที่ทำเอาตกใจ และไม่คิดว่าจะมีจริงๆ

ความจริง..ร้านนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีชื่อหรอกนะ แต่แค่ผมกระดากปากเกินจะเรียกลง wicked!!

..warm as yours

ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตย่อมต้องมีความอบอุ่นอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงถามหาไออุ่น มันเป็นสิ่งที่เราโลภอยากได้มันมามาก ไม่ว่าจะในรูปแบบใด

Warm แปลว่า อบอุ่น

และที่ๆ เดียวที่ผมอยากกลับไปมากที่สุดนั่นก็คือที่ๆ warm และที่ๆ มีวอร์มอยู่

จะวอร์มไหนมันก็ไม่เสถียรหรอก วอร์มอากาศ หรือวอร์มที่เป็นคนๆ เดียวกันกับผม
.
.
.


ข้อเท็จจริงอีกข้อ ..ก็ผมนี่แหละที่เป็นฝ่ายเปิดประตูล่อให้เขากลับมาติดกับอีกครั้ง ..อุตส่าห์ยอมเปลี่ยนที่นั่งจากที่ๆ มีวิวเดียว เป็นวิวทิวทัศน์เคาน์เตอร์บาริสต้า ..และประตูร้าน

หึ แล้วเป็นไงล่ะ ..ไม่น่ารอด
.
.
.




อย่าลืมวอร์มอัพกันก่อนจะออกไปใช้ชีวิตนะ

It's not end yet becuz their have own life
TBC in their whole life in anyway.



ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ เราบอกเลยว่าดีใจมาก มันเหมือนเป็นสัจธรรมของชีวิตอ่ะ คนเรามันก็มีหลายๆ ด้านหลายความรู้สึกอยู่ในคนๆ เดียวอยู่แล้ว ความสุข ความเจ็บปวด ความเห็นแก่ตัว ความไม่เสถียรใดๆ ในการใช้ชีวิต แต่ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นแหละที่ทำให้เราเติบโตขึ้นมาได้มากมายขนาดนี้ ทั้งชีวิตที่อยากจดจำหรือไม่ก็ตาม
   เราใช้เวลาในการเขียนเรื่องสั้นนี้ 6 ชั่วโมงถ้วน รันติดต่อกันจนออกมาในรูปฉะนี้แล อะไรที่เราใช้ไม่ถูกต้องหรือความเด็กน้อยต่างๆ ก็สามารถทักท้วงเรามาได้ เวลาตอนนั้นรู้สึกว่ามันเร็วมากๆ พอเขียนจบก็ใจหาย ทำเอานอนไม่หลับเลยล่ะ มีอะไรอีกมากมายที่เราอยากจะแชร์ด้วย เราไม่ได้คาดหวังให้คุณชอบ แต่เราคาดหวังให้คุณทำความเข้าใจสิ่งๆ นี้ เสพมันเข้าไป และแชร์มันออกมา
See u around.



Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ Bennetty

  • Bennetty
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • sbobet
มีหนังเรื่องสั้นแนะนำมั้ยครับที่อินๆ หน่อย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด