[เรื่องสั้น] Time O' Clock [ตอนที่ 2 : 28/03/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Time O' Clock [ตอนที่ 2 : 28/03/2018)  (อ่าน 1207 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZYRUS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2018 09:39:21 โดย ZYRUS »

ออฟไลน์ ZYRUS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Time O’Clock


[1]




ป้ายพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำพลิกจากด้าน ‘Open’ เป็น ‘Close’ ขณะเดียวกับแสงไฟด้านในบางส่วนดับลง เห็นเป็นเงาจางๆสี่ร่างขยับทำหน้าที่ของตนอยู่ตามมุมต่างๆของร้านบนผนังทาสีน้ำตาลอ่อน เสียงอุปกรณ์ทำความสะอาดกระทบพื้นผิวเป็นจังหวะทำหน้าที่ขับเคลื่อนบรรยากาศไม่ให้เงียบจนเกินไป จนกระทั่งเด็กหนุ่มเจ้าของเงาใกล้เคาน์เตอร์ที่สุดทำลายมันด้วยการส่งเสียงอย่างเกียจคร้าน
   

“วันนี้มันเหนื่อยดีจริงๆเว้ย”
   

“ไม่อยากเหนื่อยพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานนะ ฉันอนุญาต” ชายหนุ่มเจ้าของร้านซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์เอ่ยเสียงเรียบทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากเครื่องคิดเลข เรียกเสียงหัวเราะสะใจพร้อมเพรียงจากเด็กหนุ่มสองคนที่เหลือ ขณะคนขี้บ่นรีบแยกยิ้มปะเหลาะทันควัน
   

“ผมบ่นพล่ามไรไปเรื่อยเฉยๆครับ ไม่ไปไหนหรอก ทำงานกับใครก็ไม่แฮปปี้เท่าทำงานกับคุโรซาวะซังอีกแล้วครับ” ลากเสียงยาวตรงคำสุดท้ายประจบ ทำเมินเสียงโห่จากเพื่อนร่วมงาน ลอยหน้าลอยตาผิวปากหวือกระชับมือจับไม้ถูพื้นต่อแข็งขัน
   

“ไม่มีเงินค่าปากหวานเพิ่มให้นะนากาโอะ” คุโรซาวะ ทาคุยะ กระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะหึเมื่อได้ยินเสียงโอดครวญตอบกลับมา มีเพื่อนอีกสองคนหัวเราะซ้ำเติมอย่างสนุกสนาน
   

“พูดถึงอะไรหวานๆ คุโรซาวะซังไม่ลองรับพวกเค้กมาบ้างหรอครับ ตั้งแต่พวกผมมาทำงาน ก็เห็นแต่ร้านขายกาแฟอย่างเดียวเลย” ทาจิบานะ ฮิคารุ ถามขึ้นหลังแกล้งเพื่อนจนพอใจ เขากับนากาโอะ เคียวและฮายาชิ มิซึรุ เพื่อนอีกสองคนมาทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ได้เกือบครึ่งปีแล้ว ไม่เห็นเค้กหรือของหวานใดๆขายรับประทานคู่กับเครื่องดื่มเหมือนร้านทั่วไป
   

“มันก็อยากรับนะทาจิ แต่ว่าฉันหาที่ถูกใจมาดีลด้วยไม่ได้ซะที ให้ทำเองก็ฝีมือไม่เอาอ่าว” ทาคุยะถอนหายใจปลงๆ ละมือจากทำบัญชีมาเตรียมชงโกโก้ร้อนให้เด็กหนุ่มทั้งสามอย่างที่ทำประจำหลังปิดร้าน พนักงานพาร์ทไทม์สามคนเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้วเข้าจับจองเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ กล่าวขอบคุณก่อนยกแก้วกระเบื้องขึ้นจรดริมฝีปาก
   

“ก็ว่าทำไมถึงมีขนมมาให้พวกผมกินบ่อยๆจนจะกลิ้งได้แล้ว” ฮายาชิหัวเราะคิก โยกศีรษะหลบมือส่งข้ามเคาน์เตอร์มาอย่างเชี่ยวชาญ กอดถ้วยโกโก้แนบอก ทำปากยื่นด้วยความหวงแหนเมื่อคนชงยื่นมือมาหมายจะยึดมันคืนไป
   

“แกก็รู้ว่าฉันเอามาให้ช่วยชิมไงวะ ว่ามันโอเครึเปล่า”
   

“แล้วผลคือที่มันราคาถูกก็ไม่อร่อย ที่พอกินได้ก็เรียกราคาแพงเว่อร์เกินไปจนไม่เมกเซนส์ บางที่นอกจากราคารับไม่ได้แล้วยังรสชาติไม่ได้เรื่องไปอีก” เด็กหนุ่มหน้าคมผิวแทนเท้าคางพึมพำ มีนากาโอะโคลงศีรษะเห็นพ้อง
   

“ถูกของทาจิ ผมจำเค้กผักชีของร้านบล็อกสิบได้ ผักชีห่อแป้งชัดๆ โคตรฝันร้ายเลย แค่นึกถึงก็ขมคอแล้ว”
   

“จริงๆมันก็มีร้านเบเกอรี่ดีๆอยู่ ราคาแอบแรง แต่สมเหตุสมผลเพราะโฮมเมด ถึงเครื่องจริงๆ เสียดายที่ปิดไปแล้ว มีร้านเปิดใหม่เยอะเกิน เขาสู้ไม่ไหว” ทาจิบานะระบายลมหายใจยาว ซึ่งเหมือนฮายาชิกับนากาโอะจะเข้าใจตรงกัน สองคนพยักหน้ารับเซื่องซึม
   

ทาคุยะเลิกคิ้ว...เหมือนจะมีเขาคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง
   

“ร้านไหนวะ”
   

“ร้านของคาซึกิซังตรงหัวมุมถนนอ่ะครับ ปิดไปก่อนคุโรซาวะซังจะมาเปิดร้านประมาณสองสามเดือนได้” ฮายาชิตอบ ชี้นิ้วไปนอกร้านประกอบ
   

“ร้านสีครีมๆที่ต้องผ่านถ้าเดินจากสถานีรถไฟมาร้านเราน่ะครับ เค้กเขางานดีมาก ของโฮมเมดขนานแท้ แต่ที่ปิดไปเพราะขาดทุนด้วยส่วนนึง อีกส่วนน่าจะเพราะเขาไม่สบายพอดี ถ้าผมรู้มาไม่ผิด เหมือนจะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ตรวจเจอก็ระยะสี่แล้ว ผมรู้จากแม่ผมที่เป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลที่เขารักษาตัว” นากาโอะรับช่วงต่อ ทาจิบานะพยักหน้าถี่ เสริมจากเพื่อน
   

“แฟนเขาเป็นหมอโรง’บาลนั้นแหละครับ รู้จักกันมาตั้งแต่ม.ต้น แต่เพิ่งมาคบกันก็ตอนคาซึกิซังเปิดร้าน สูตรเริ่มจากเป็นลูกค้าแล้วจีบตามสเต็ป ตอนนี้เหมือนหมอจะได้ทุนวิจัยอะไรซักอย่างเลยต้องย้ายไปลอนดอน เลยตั้งใจพาไปรักษาตัว ดีไม่ดีอาจจะแต่งงานกันที่โน่นเลย เพราะกฎหมายอังกฤษอนุญาต”
   

เจ้าของร้านที่ฟังเพลินๆชะงักกึกเมื่อได้ยินช่วงสุดท้าย ดวงตาเรียวรีหรี่ลง คิ้วขมวด
   

“เดี๋ยวนะ...คุณหมอแฟนคาซึกิซังนี่เป็นผู้ชายงั้นหรอ”
   

“ใช่!” สามเสียงประสานสามัคคี
   

“หมอมาเอดะ อัจฉริยะเหมือนไอสไตน์กลับชาติมาเกิด อายุไม่เท่าไหร่ก็ขึ้นแท่นผู้เชี่ยวชาญแล้ว ต่อให้ร่อแร่มายังไง ถึงมือหมอแกก็รอดทุกราย”
   

“นี่หมอเทวดาหรอวะ” ทาคุยะกลอกตา
   

“เหย ผมพูดจริงนา” ฮายาชิท้วง “หล่อด้วย แถมเป็นถึงลูกรัฐมนตรี สืบสายมาจากตระกูลขุนนางเก่าอีก คาซึกิซังนี่ยังกะถูกรางวัลที่หนึ่ง”
   

“ร้านเจ๊งพ่วงมะเร็งระยะที่ไม่รู้รักษาหายรึเปล่าเป็นของสมน้ำหน้าคุณ ถึงถูกรางวัลที่หนึ่งยังไงมันก็ไม่น่าดีใจหรอกนะ”
   

“จริงของคุโรซาวะซังแฮะ” นากาโอะพยักหน้าเซื่องซึม “ว่าไปแล้วตั้งแต่ปิดร้านไปก็ไม่เห็นเขาอีกเลย ร้านปิดร้างยังกะป่าช้า จะรู้ข่าวก็จากแม่ที่เล่าว่ามาตรวจเดือนละครั้งก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ หมอมาเอดะก็ดูเครียดขึ้นทุกวัน”
   

“คิดถึงยิ้มโลกสดใสเยียวยาหัวใจกับเค้กอร่อยๆเติมพลังช่วงสอบของคาซึกิซังจัง” ฮายาชิจับช้อนคนโกโก้ในแก้วเรื่อยเปื่อย ดวงตากลมดำขลับมีแววหวนรำลึก
   

เจ้าของร้านเลิกคิ้วขึ้นสูง
   

“ขอโทษที่ขัดจังหวะถวิลหาอดีตนะ แต่ฟังจากพวกแกแล้วรู้สึกว่าคาซึกิซังนี่เหมือนเทวดามากเลย”
   

“เป็นคำจำกัดความที่ใกล้เคียงมากครับมาสเตอร์” นากาโอะเท้าคางทำหน้าเพ้อฝันชวนหมั่นไส้ “หน้าคมๆแต่ก็ดูหวาน ขาวมากเหมือนกินนีออนเข้าไป นึกไม่ออกก็ดูเจ้ามิซึรุ ประมาณนี้เลย”
   

เจ้าของร้านมองเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวจัดเหมือนเรืองแสงได้แล้วพยักหน้าเข้าใจ
   

“ขาวแบบไม่ใช่คนว่างั้น”
   

“แต่ของไอ้มิซึรุนี่ผิวขาวที่ไม่ส่งความขาวมาถึงจิตใจด้านใน” ทาจิบานะค่อนรุ่นน้อง เบะปากเยาะเย้ยฮายาชิที่ถลึงตาใส่เอาเรื่อง
   

“ใช่ซี่...ใครจะไปจิตใจงดงามน่ารักเหมือนคาซึกิซังล่ะ”
   

“รู้ตัวก็ดีไอ้เด็กปีศาจ”
   

“อย่างน้อยฉันก็มีส่วนขาว ไม่เหมือนนายที่ดำปื๋อทั้งกายและใจ”
   

“เฮ้ อย่าตีกันเลยน่า เจ้าพวกนี้นี่ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆกันแล้ว” นากาโอะห้ามทัพสองคนที่เริ่มฮึ่มๆใส่กันตามหน้าที่พี่ใหญ่ของกลุ่ม โดยมีสายตาระอาปนขบขันจากเจ้าของร้านที่มองอยู่เงียบๆ มือเปิดดูโหลแก้วบรรจุวัตถุดิบต่างๆตรวจสอบปริมาณคร่าวๆด้วยสายตา อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายประจำวันก่อนจะปิดร้านแล้วกลับบ้านไปทำบัญชีประจำวันให้เสร็จ
   



ปลายเข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ชี้ที่เลขสิบเมื่อเขาโบกมือลาพนักงานทั้งสาม จัดการปิดล็อกประตูร้านให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง
   

ปกติทาคุยะจะพักที่ชั้นบนของร้าน หากถ้าวันต่อไปเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ เขาจึงกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปสี่สถานีรถไฟ ใช้เวลากับครอบครัวบ้าง หลังถูกมารดาค่อนเอาหลายครั้งหลายหนว่าตั้งแต่เปิดร้านกาแฟของตนเองก็หมกตัวอยู่แต่ที่ร้าน บ้านช่องไม่กลับจนพ่อกับแม่จะลืมหน้าลูกชายไปแล้ว
   

ร้านกาแฟของเขาเพิ่งเปิดกิจการมาได้ประมาณครึ่งปี เป็นเวลาไม่นานนักแต่ก็เป็นที่ภาคภูมิใจกับตนเองว่าที่มุเตรียมการด้านต่างๆนานกว่าสองปีเป็นไปได้ด้วยดี
   

ทาคุยะยอมรับว่าการมีกิจการและเป็นนายตนเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาใฝ่ฝัน จะเรียกว่าไม่เคยอยู่ในความคิดสักนิดก็ย่อมได้ หลังเรียนจบปริญญาตรีสาขาพานิชศาสตร์และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนสูง เขาก็เข้าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทยักษ์ใหญ่มีสาขามากมายในหลายประเทศเหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไปนิยม ก่อนจะค้นพบและแน่แก่ใจว่าเขาไม่เหมาะกับงานประเภทนี้เมื่อมีอายุงานครบหนึ่งปี ความคิดอยากมีกิจการเป็นของตนเองก็เริ่มเข้ามาในช่วงนั้น
   

เขาเริ่มศึกษาการตลาด จนแน่ใจแล้วว่าต้องการจะเปิดร้านกาแฟก็ไปสมัครเรียนหลักสูตรบาริสต้าและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ศึกษาหลายสิ่งพร้อมกับเตรียมการไปด้วยกระทั่งเห็นว่ามีครบพร้อมแล้วก็ลาออกจากงานมาบริหารกิจการของตนเต็มตัว นึกขอบคุณตนเองที่ศึกษาอย่างละเอียดก่อนลงทุนก็ตอนเปิดร้านแล้วมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนไม่ขาด ยิ่งช่วงเช้าด้วยแล้วเรียกได้ว่ามือเป็นระวิง
   

ชายหนุ่มเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะเดินเรื่อยๆไปตามทางเท้า สีครีมของผนังห้องแถวสะท้อนแสงไฟจากตรงหัวมุมถนนเข้ามาในคลองสายตา เรียกชะงักเท้ากำลังจะก้าวข้ามทางม้าลายให้หยุดแทนที่จะผ่านเลยไปดังปกติ ฉุกคิดถึงบทสนทนาระหว่างตนกับเด็กหนุ่มทั้งสามตอนก่อนจะปิดร้าน
   

‘ร้านสีครีมๆที่ต้องผ่านถ้าเดินจากสถานีรถไฟมาร้านเราน่ะครับ เค้กเขางานดีมาก ของโฮมเมดขนานแท้ แต่ที่ปิดไปเพราะขาดทุนด้วยส่วนนึง อีกส่วนน่าจะเพราะเขาไม่สบายพอดี’
   

ร้านสีครีม...ตกแต่งด้านนอกน่ารักน่ามองเหมือนบ้านตัวละครในนิทานสำหรับเด็ก ดูสะอาดสะอ้านบอกชัดว่าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี จึงเหมือนร้านปิดทำการรอถึงเวลาเปิดในวันใหม่ ไม่ใช่ปิดกิจการทิ้งร้างไปนานกว่าครึ่งปี
   

ยิ่งเห็นแสงไฟสลัวและเงาคนเดินไปมาจากด้านในด้วยแล้ว คล้ายเจ้าของร้านกำลังตรวจความเรียบร้อยรอบสุดท้ายก่อนกลับ...
   

ทาคุยะชะงัก ก้มลงมองประตูที่ปิดสนิท ไม่มีแม่กุญแจหรือสายคล้องอยู่ หรืออาจจะเคยมี
   

หรือจะเป็น...ขโมย
   

คิดดังนั้น ชายหนุ่มรีบผลักประตูเข้าไปด้านใน ผ่านห้องโล่งว่างที่เคยเป็นส่วนรับลูกค้า  ชุดโต๊ะเก้าอี้ถูกนำไปกองซ้อนกันอยู่มุมหนึ่ง เคาน์เตอร์ยังอยู่ที่เดิมและเปิดไฟส่วนนั้นไว้
   

ทาคุยะก้าวตรงไปหลังเคาน์เตอร์ ขมวดคิ้วเมื่อเห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลพิมพ์ตราโรงพยาบาลวางอยู่พร้อมกับหน้ากากอนามัย รูปทรงที่ยังกางออกรับกับใบหน้าและสัมผัสอุ่นที่ยังคงอยู่บ่งว่ามันอาจจะเพิ่งถูกถอดออกมาได้ไม่นาน สิ่งนั้นเรียกให้เจ้าของร้านกาแฟตัดสินใจดึงซองยาในถุงกระดาษออกดูชื่อพิมพ์บนสติ๊กเกอร์
   

ไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้...
   

‘คาซึกิ  ชิน’
   

ชื่อนั้นทำให้ชายหนุ่มไม่รีรอจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปทันที สิ่งของเหล่านี้ รวมกับเรื่องเล่าที่ได้ฟังมาจากเด็กหนุ่มในร้าน ผลลัพธ์มันออกมาเลวร้ายยิ่งนัก และเขาหวังว่าจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้
   

โรคมะเร็งระยะที่สี่...อาการทรุดลง...ร้านปิดกิจการเพราะขาดทุน...กลับมาที่ร้านคนเดียวตอนดึกและเดินไปทั่วร้าน
   

ทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่าเจ้าตัวต้องการจะจบชีวิตตนเองเป็นแน่!
   

“คาซึกิซัง!” เขาตะโกนสุดเสียง กวาดสายตาทั่วชั้นสองอันว่างเปล่ารวดเร็ว แล้วพุ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นต่อไป...น่าจะเป็นชั้นดาดฟ้า
   

ทว่า...ชายหนุ่มต้องหยุดนิ่งกลางคันเมื่อได้ยินเสียงของหนักกระทบพื้นด้านล่างตรงหลังร้าน ความรู้สึกชาวาบไล่ตั้งแต่ปลายเท้าลามขึ้นมาไขสันหลัง ก่อนจะรีบรวบรวมสติหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายเรียกรถพยาบาล แล้ววิ่งกลับไปตามเสียง
   

แม้จะทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนเองต้องเจอกับอะไรเมื่อประตูหลังร้านเปิดผางออก แต่ภาพของผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับเขานอนจมกองเลือดก็ทำให้เข่าอ่อน นานเหลือเกินในความรู้สึกกว่าจะไปทรุดลงคุกเข่าข้างร่างนั้น
   

‘คาซึกิซัง’ ของเจ้าลิงทโมนทั้งสามผิวขาวจัดดังว่า ยิ่งในตอนนี้ยิ่งขาวราวกระดาษ รูปร่างผ่ายผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูกเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในชุดเสื้อกางเกงขายาว ถึงกระนั้นจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่น่าจะเคยอิ่มเต็ม ขนตายาวหนาเป็นแพ องค์ประกอบใบหน้าอื่นๆปรากฏเค้าให้พอรู้ว่าที่เจ้าพวกนั้นเพ้อถึงก็ไม่ได้เกินความจริงเท่าไรนัก
   

ทาคุยะแตะชีพจรตรงลำคอ โล่งใจเมื่อยังรู้สึกถึงสัญญาณชีวิตแม้จะแผ่วเต็มที เช่นเดียวกับลมหายใจรวยริน ระหว่างจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยมือสั่นสะท้าน ก็ได้ยินเสียงรถพยาบาลใกล้เข้ามาพอดี
   

เจ้าของร้านกาแฟมองดูคนเจ็บถูกนำขึ้นรถฉุกเฉิน กระทั่งท้ายรถปิดลงและแล่นลับสายตา ส่งคำอวยพรไปแม้ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้
   

ถึงมือหมอแล้ว...ขอให้ไม่เป็นอะไรและมีกำลังใจกลับมาสู้กับมะเร็งต่อนะ
   

คาซึกิซัง...




---------------------------------------------




สีหน้าเครียดขรึมของนากาโอะหลังผลักบานประตูเข้าร้านในเช้าสองวันต่อมา...ส่งสัญญาณไม่ดีนัก
   

“แม่ผมเข้าเวรห้องฉุกเฉินบอกว่าเมื่อวานซืนคาซึกิซังโดดดาดฟ้าร้าน” เด็กหนุ่มคงอ่านคำถามจากสีหน้าของเขา ตอบเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม
   

“เป็นไงบ้าง” คำถามนั้นไม่ได้มาจากทาคุยะ  ทว่ามาจากฮายาชิที่เงยหน้าจากทำความสะอาดโต๊ะอย่างวิตก
   

“สมองกระเทือนหนักมาก ผ่าตัดแล้วก็อาการไม่ดีมาตลอด จนเมื่อเช้าลองเทสต์ ผลคือสมองตายแล้ว”
   

เจ้าของร้านค้างนิ้วตรงปุ่มเปิดเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟ เหมือนผิวสัมผัสของมันส่งความเย็นวาบผ่านปลายนิ้วไปทั้งสรรพางค์
   

ถึงไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าถ้าอวัยวะนั้นหยุดทำงาน เท่ากับคนๆนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว เหลือเพียงร่างกายไร้การตอบสนองที่คงอยู่ได้ด้วยสารพัดเครื่องมือช่วยชีวิตคอยประคอง
   

เสียงเรียกจากพนักงานใกล้ตัวเรียกสติล่องลอยให้กลับมา ทาคุยะกะพริบตา ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าชายหนุ่มคนที่เขาพยายามช่วยเหลือเมื่อคืนวานได้จากไปแล้ว
   

“คุโรซาวะซัง...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าซีดมากเลย” ทาจิบานะจับต้นแขนของเขาอย่างกังวล เจ้าของชื่อสูดหายใจลึก
   

"ฉันเป็นคนไปเจอและเรียกรถพยาบาลให้เขาเอง” เหตุการณ์คืนก่อนถูกถ่ายทอดออกมาด้วยเสียงที่พยายามควบคุมเป็นปกติ  กระนั้นเขาก็รู้สึกถึงปลายนิ้วที่ยังคงเย็นเยียบ
   

ถ้าหากว่า....ถ้าหาก   


“ถ้าฉันเร็วกว่านี้ คงช่วยคาซึกิซังได้ทัน”


“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย อย่างน้อยคุณก็ช่วยเขาไว้นะ” นากาโอะปลอบ มือลูบหลังมือเขาเบาๆ
ทาคุยะ ถอนหายใจ ส่ายหน้าช้าๆ


“ฉันก็พยายามบอกตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ลบภาพเขาตัวผอมๆบางๆนอนมีเลือดเต็มไปหมดออกไปจากหัวไม่ได้ซะที ยิ่งพอรู้ว่าอาการเป็นแบบนั้นแล้ว มันยิ่งเข้ามาหลอนในหัว”


เจ้าของร้านหนุ่มยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆ ดึงสมาธิกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า ทว่าภาพเหตุการณ์คืนก่อนยังเข้ามารบกวนตลอดเวลาจนกระทั่งสุดท้ายบอกเด็กหนุ่มทั้งสามไปว่าวันนี้จะปิดร้านช่วงบ่ายเพื่อไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลด้วยกัน


อย่างน้อยก็หวังว่าจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง





หากทว่า...เมื่อได้เห็นร่างของคนเจ็บบนเตียงผ่านกระจกใสแล้ว หัวใจที่หน่วงอยู่ก่อนหน้ายิ่งบีบรัดจนปวดแปลบไปทั้งช่องอก ความคิดที่ว่าหากเขาสังหรณ์ใจเร็วกว่านี้ รีบวิ่งขึ้นไปดาดฟ้าเร็วกว่าเดิม คาซึกิ ชินก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ สะท้อนไปมาในห้วงความคิดเหมือนยืนอยู่กลางถ้ำ ลงทัณฑ์ทรมานด้วยความสำนึกผิด


ยิ่งเห็นแพทย์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งกุมมือคนไข้แนบแก้มที่มีหยาดน้ำตาไหลอาบอยู่ข้างเตียงด้วยแล้ว


“คนนั้นไงครับ หมอมาเอดะ แฟนของเขา” นากาโอะกระซิบบอก ทาคุยะพยักหน้ารับรู้ เป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาคมของนายแพทย์ในห้องละจากคนบนเตียงขึ้นมาประสานสายตาเข้าพอดี ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากยกยิ้มตามมารยาทให้แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงทักทาย ก่อนเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อฝ่ายนั้นลุกจากเก้าอี้มาเปิดประตู


“คุณคือคนที่ช่วยเขาไว้ใช่ไหมครับ”


เจ้าของร้านกาแฟตอบรับ “ใช่ครับ ผมเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปอีกช่วงตึก ตอนเดินไปสถานีรถไฟเห็นร้านของเขาเปิดไฟอยู่และเห็นเงาคนในนั้นเลยเข้าไปดูเผื่อว่าจะมีขโมยหรืออะไร แล้วเห็นซองยาของคาซึกิซัง รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆเลยรีบขึ้นไปดูครับ แต่ก็...”


เว้นจังหวะ กลืนน้ำลายผลักมวลความรู้สึกที่ขึ้นมาจ่อในลำคอ ก่อนจะโค้งลงต่ำ


“ขอโทษที่ถือวิสาสะและ...ขึ้นไปไม่ทันครับ”


“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากที่ช่วยเขาไว้ อย่างน้อยก็ให้ผมได้บอกลาเขา” มาเอดะยกยิ้มฝืดเฝื่อน หากดวงตาฉายความขอบคุณจากใจจริง แม้มันจะปกคลุมไปด้วยความเศร้าหมอง เหมือนเค้าเมฆในวันท้องฟ้าสีเทา


“ผมเองก็เห็นแก่ตัว บอกให้เขาสู้เพื่อจะอยู่กับผมไปนานๆ ไม่ได้ถามซักคำว่าเขาเหนื่อยไหม ยังสู้ไหวอยู่รึเปล่า”


เสียงของแพทย์หนุ่มแตกพร่าคล้ายกับหัวใจในยามนี้ วงหน้าคมคายเงยขึ้นสะกดกลั้น ก่อนเอ่ยขอตัวไปทำหน้าที่ของตนต่อ ทิ้งท้ายว่า


“คุณเข้าไปหาเขาได้ไหมครับ ผมอยากให้เขารับรู้ว่านอกจากคนใกล้ตัวแล้ว ก็มีคนอยากให้เขาอยู่ต่อ...อย่างน้อยผมก็หวังว่าเขาจะรับรู้”


คำปฏิเสธที่จ่ออยู่ตรงริมฝีปากกลืนเข้าไปในลำคอทันทีเมื่อสบดวงตาแววโศกวิงวอนคู่นั้น ทาคุยะได้ยินเสียงตนเองรับคำเสียงเบา ค่อยยกมือขึ้นเลื่อนประตูเปิด เกร็งตัวจรดปลายเท้าก้าวเข้าไปด้านใน


นัยน์ตาเรียวรีจับยังท่อนแขนผอมราวกับกิ่งเปราะใกล้แตกหักบนคบไม้เป็นอันดับแรก มันเล็กมาก...จนเขาคิดว่าอาจจะเล็กกว่าข้อมือของเขา บนข้อพับนั้นเต็มไปด้วยรอยเข็มใหม่และเก่าปะปน สะท้อนถึงความเจ็บปวดจากการรักษาโรคร้ายที่ผู้เป็นเจ้าของต้องเผชิญมาตลอดหลายเดือน


ทาคุยะค่อยประคองมือเย็นเยียบขึ้นมาในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม บีบมันเบาๆ สายตาเลื่อนขึ้นไปหยุดยังดวงตาปิดสนิท เผยแพขนตายาวเหมือนขนตาผู้หญิงตัดกับผิวแก้มซีดเซียว และริมฝีปากอิ่มเต็มที่เคยเห็นซึ่งบัดนี้ถูกบดบังด้วยแผ่นสีน้ำเงินยึดท่อขนาดใหญ่ต่อจากเครื่องมือตรงข้างเตียงสอดเข้าไปในลำคอ หนึ่งในสายระโยงระยางชวนสับสนแทบจะกลืนร่างผอมบางจมลงไปกับเตียง


“ไม่รู้ว่าคุณเห็นหรือว่าจำผมได้รึเปล่า ผมคือคนที่ตะโกนเรียกชื่อคุณเมื่อวาน และคงเป็นคนที่ดึงคุณตรงดาดฟ้า ถ้าไปถึงเร็วกว่านี้” ริมฝีปากแห้งผากของเขาขยับเอื้อนเอ่ยกับคนเจ็บ


“ผมพอจะรู้บ้างว่าคุณต้องเจอกับอะไรบ้าง ถึงจะไม่เข้าใจความรู้สึกเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่ามันยากและเหนื่อยมากใช่มั้ย คุณถึงเลือกทางเดินนี้ ผมก็ไม่อยากพูดไรมากเพราะผมไม่รู้จักคุณเลยก็ว่าได้ ซึ่งผมเสียใจนะที่ไม่รู้จักคุณให้เร็วกว่านี้ พวกเจ้านากาโอะบอกว่าเค้กร้านคุณอร่อยมาก ผมอยากรู้ว่ามันจริงหรือเปล่า ถ้าผมได้เจอคุณเร็วกว่านี้ ผมจะมีโอกาสได้ชิมใช่มั้ย  ดีไม่ดีอาจจะมีเค้กของคุณมาวางที่ร้านผม จะได้ไม่ต้องแอบได้ยินลูกค้าบ่นอีก ร้านกาแฟอะไรไม่มีเค้ก” ชายหนุ่มหัวเราะฝืดเฝื่อน บีบมือซีดอีกครั้ง


“ผมเพิ่งได้ยินชื่อคุณครั้งแรกเมื่อวานเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอตัวจริงในสถานการณ์แบบนี้ เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักนะครับคาซึกิซัง”


ยกยิ้มบางเบา ค่อยจับมือผอมลงบนแผ่นอกขยับขึ้นลงตามเครื่องช่วยหายใจ


“และลาก่อน” เขากระซิบ ก่อนผละออกมาด้านนอก ผงกศีรษะทีหนึ่งให้เด็กหนุ่มสามคนที่รออยู่แทนคำบอกว่าถึงเวลากลับร้านแล้ว


ความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อช่วงเช้าค่อยเบาบางให้มีสมาธิกับหน้าที่จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน ทุกอย่างเป็นไปตามอย่างที่ควรเป็น เขาชงโกโก้ให้พนักงานทั้งสาม พูดคุยสัพเพเหระตรงเคาน์เตอร์ ชื่อของคาซึกิเป็นความอ่อนไหวที่ทุกคนเลือกจะหลีกเลี่ยงพูดถึง จนถึงเวลาสมควรก็แยกย้าย ทาคุยะกลับขึ้นมายังชั้นบนซึ่งเป็นส่วนที่พักของตน จัดการทำบัญชีประจำวันเรียบร้อยก็เอนหลังกับพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ยอดกางเขนของโบสถ์คาทอลิกเด่นเป็นสง่าท่ามกลางบ้านเรือนอย่างสมัยเก่าเรียงรายใต้แสงจันทร์เต็มดวง ชวนให้ก้าวออกไปหาเพื่อพิศในระยะใกล้ ชะล้างความรู้สึกคับอกคับใจที่ยังคงค้างคา


ประตูโบสถ์ในยามดึกปิดสนิทดังคาด ทาคุยะยกมือขึ้นประสานระหว่างอก หวังคำภาวนาจะเข้าไปถึงพระผู้เป็นเจ้า


“มีเรื่องทุกข์ใจอะไรหรือลูก” สุ้มเสียงอ่อนโยนเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นมาจากประตูที่เปิดออก ชายหนุ่มเงยหน้า บาทหลวงชรามองมายังเขาอย่างอารี


“ผมเกรงว่าจะเป็นการรบกวน” ทาคุยะออกตัวอย่างเกรงใจ ได้รับคำตอบรับเป็นรอยยิ้มปรานีและบานประตูที่เปิดกว้างขึ้น


“พระบิดาต้อนรับลูกแกะของพระองค์เสมอ เข้ามาข้างในก่อนสิ”


ผู้เยาว์วัยกว่าคลี่ยิ้มขอบคุณ โค้งลงต่ำอย่างซึ้งใจ ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดทอดสู่อาณาเขตของพระผู้เป็นเจ้า ตามบาทหลวงชราในชุดคลุมยาวไปนั่งลงข้างกันตรงม้านั่งแถวหน้าสุด แสงเทียนสลัวจากคบเพลิงสลักลายพรรณพฤกษาให้รู้สึกอบอุ่นสบายใจแม้จะยังไม่ได้รับคำปลอบโยนใด


“เรื่องใดกันที่ทำให้ลูกต้องออกมาในสถานที่นี้ในตอนดึกดื่น” สำเนียงปลุกปลอบจากข้างตัวให้ชายหนุ่มวางใจจะระบายสิ่งที่ค้างคาและรบกวนทุกห้วงคำนึงออกมา


“เมื่อคืนผมได้ช่วยคนๆหนึ่งครับคุณพ่อ เขากระโดดดาดฟ้าฆ่าตัวตาย แต่ไม่ทัน กว่าผมจะไปถึงเขาก็ลงมาถึงพื้นแล้ว ผมโทรเรียกรถพยาบาลทันก็จริง แต่เขาสมองตาย ทางการแพทย์ถือว่าเขาตายไปแล้ว ผมคิดโทษตัวเองอยู่ตลอดตั้งแต่รู้ข่าว ว่าถ้าผมไปถึงเร็ว เขาก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไปจนถึงกระทั่งว่าถ้าผมรู้จักเขาเร็วกว่านี้ ผมอาจจะได้ช่วยเขามากกว่านี้ ผมหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆครับคุณพ่อ พยายามไม่คิดถึงมันก็ยังเข้ามาวนเวียนจนแทบบ้าแล้ว”


นัยน์ตาผู้ฟังมีแววเมตตา แต่คมลึกจนเหมือนมองตรวจเข้าไปเห็นทุกซอกมุมในหัวใจ


“ทุกสิ่งได้ถูกลิขิตไว้แล้ว หากไม่เป็นแบบไหน เท่ากับสิ่งนั้นไม่ได้ถูกลิขิตให้เกิดขึ้นหรือเป็นเช่นนั้น อย่าคิดมากไปเลย มันไม่ใช่ความผิดของลูก ลูกอาจจะถูกลิขิตมาให้ได้รู้จักและบอกลาเขาในครั้งเดียวกัน”


“ครับ คุณพ่อ”


“ถ้าหากลูกกับเขาได้ถูกลิขิตให้ได้เข้ามามีชะตาผูกพันกันจริง ไม่ว่าจะดูเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้แค่ไหน สักวัน พวกลูกก็จะได้เจอกัน ลิขิตก็เหมือนอนาคตแหละลูก เรามองไม่เห็นมัน จะเห็นก็เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็เท่านั้น”


ทาคุยะโคลงศีรษะด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นเล็กน้อย กล่าวขอบคุณท่านสาธุคุณอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนฝ่ายนั้นจะปลีกตนออกไปเผื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ต้องการที่พึ่งทางใจ


ชายหนุ่มประสานมือกลางอก เงยหน้าขึ้นไปยังกางเขนเด่นสง่าบนแท่นบูชา สายตาจับนิ่งเนิ่นนาน สิ่งที่รบกวนจิตใจมาตลอดวันยังคงอยู่แม้เบาบางหลังได้พูดให้ใครสักคนรับฟัง


“ผมอาจจะถูกลิขิตให้พบกันเพื่อบอกลาเหมือนที่คุณพ่อว่า แต่ผมก็อยากช่วยเขาได้มากกว่านี้จริงๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนแบบผมถึงได้ว้าวุ่นอยู่เป็นวันๆเพราะห้ามคนฆ่าตัวตายไม่ได้” เสียงระบายลมหายใจฟังชัดในโบสถ์อันเงียบสงัด ทาคุยะไม่รู้ว่านั่งนิ่งค้างท่าประสานมือภาวนาตรงม้านั่งอยู่นานแค่ไหนกว่าจะลุกขึ้นยืน เดินกลับออกไปพร้อมกับคำถามไร้ซึ่งคนตอบ



เหตุใด...เขาถึงสลัดเรื่องของคาซึกิ ชิน ออกไปจากความคิดไม่ได้




TBC.

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
โอ..อ่านจากชื่อเรื่องแล้วรู้สึกด้วยสัญชาตญาณ(?)ลึกๆว่าการพบกันนี้ต้องมีความหมายบางอย่างแน่นอน..
คาซึกิซัง..มะเร็งระยะที่ 4 เลยเหรอคะ.. น่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน..(ระยะ 4 นี่คือแพร่ไปLympn node/ไปorganอื่นหมดแล้ว..)

ระยะเวลาที่เหลืออยู่สั้นๆกับช่วงเวลาที่ได้พบนี้จะมีความหมายอะไรต่อชีวิตคนที่อยู่ต่อกันนะ..

 :pig4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ZYRUS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0


[2]





ประตูไม้บานโค้งสีน้ำตาลเข้มรับกับผนังสีครีมเปิดออกกว้างต้อนรับคนกลุ่มคนหนึ่งเข้าไปด้านในและกลับออกมาพร้อมกับโต๊ะและเก้าอี้ยกขึ้นบนท้ายรถหกล้อจอดเทียบตรงหน้าร้าน  เช่นเดียวกับสิ่งของอื่นๆที่จัดใส่กล่องกระดาษปิดเทปแน่นหนา ลำเลียงวางซ้อนกันด้วยกำลังจากคนค้าขายในพื้นที่ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันเก็บของและทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้ายให้เจ้าของร้านที่รอเวลาจากไปอย่างสงบอยู่ที่โรงพยาบาล

           

ฟังจากน้ำเสียงคนมาช่วยงานพูดถึงกันไม่ขาดแล้ว  ท่าทางคาซึกิซังจะเป็นที่รักของคนแถวนี้น่าดู

           

ทาคุยะคิด ยกปลายผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อเกาะพราวบนใบหน้าหลังยกลังอุปกรณ์ขึ้นรถเสร็จ  ขยับหลบทางให้คนอื่นๆ ขณะสอดส่ายสายตาทั่วบริเวณว่ายังมีอะไรตกค้างหรือไม่  จนไปหยุดที่ประตูไม้ปิดสนิทตรงข้ามประตูห้องครัวโดยมีส่วนของเคาน์เตอร์คั่นกลาง



“ห้องตรงข้ามกับห้องครัวนั่น  มีอะไรต้องขนออกมาอีกมั้ยครับซาโนซัง” เขาเดินไปถามเพื่อนสนิทเจ้าของร้านที่มาดูแลการขนย้ายในวันนี้  ซาโน อากิ เป็นผู้ชายหน้าสวยเหมือนตุ๊กตาราคาแพง ในยามปกติใบหน้านั้นคงประดับรอยยิ้มสดใส  สังเกตจากเจ้าตัวพยายามคลี่ยิ้มบางให้ทุกคนถึงจะขัดกับดวงตาบวมช้ำแดงก่ำก็ตามที


           

คนฟังชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม  คล้ายกับว่าลืมห้องนี้ไปเสียสนิท

           

“ผมลืมห้องนี้ไปเลยครับคุโรซาวะซัง ขอบคุณที่เตือนนะครับ ห้องนั้นคือห้องทำงานของชินครับ เป็นเขตหวงห้ามของทุกคน” สายตาของผู้พูดมีแววหวนรำลึก ริมฝีปากแต้มยิ้มจากความสุขออกมาเป็นครั้งแรก “ดีใจจัง จะได้เข้าไปในนั้นแล้ว อยากรู้ว่าซ่อนอะไรอยู่ ถึงได้หวงนักหวงหนา”

           

ทาคุยะยิ้มรับ



“เขตส่วนตัวแบบนั้น เห็นทีผมคงไม่ขอเข้าไป”



ซาโนหัวเราะเบาๆ พึมพำกับตนเองขณะบรรจงไขกุญแจห้อยกับสายหนังสีน้ำตาล แยกจากดอกอื่นๆที่รวมกันอยู่ในห่วงเงินใหญ่



“ฉันขอเข้าไปเก็บของให้นะชินจัง  ดูสิหวงห้องจนฉันเกือบจะลืมว่ามีห้องนี้อยู่แล้ว”



เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแทรกระหว่างกำลังไขกุญแจ ซาโนกดรับสายก่อนขมวดคิ้วมุ่น เจรจากับปลายสายเสียงเครียด พอกดวางสายก็พลางหันซ้ายขวาแล้วมาหยุดยังเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังเดินแยกออกไปพอดี



“คุโรซาวะซัง”



เสียงเรียกเร่งร้อนปนเกรงใจเรียกเจ้าของชื่อหันมา



“ครับ?”



“ผมขอให้คุณช่วยดูห้องนี้ได้มั้ยครับ ผมต้องรีบเข้าไปโตเกียวตอนนี้เลย  แล้วมันต้องขนของให้เสร็จในวันนี้เพราะผมจ้างรถหกล้อมาแค่วันเดียว”



สีหน้าหนักใจดูน่าสงสารทำให้ทาคุยะใจอ่อนรับปาก  ซาโนโค้งขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป ทิ้งคนแปลกหน้าไว้กับกุญแจเขตหวงห้าม



มือจับมันอย่างลังเล...ตัดสินใจบิดปลดล็อค



กริ๊ก...สัญญาณเตือนตระหนักว่าได้บุกรุกเข้าไปในห้องส่วนตัวเจ้าของร้าน



ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปด้านใน หลังปิดประตูตามหลังเรียบร้อยก็ถูกต้อนรับด้วยฝุ่นฟุ้งกระจายปกคลุมบรรยากาศจนต้องดึงหน้ากากกันฝุ่นตรงปลายคางขึ้นมาปิดจมูก  มองไปรอบห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่มีหน้าต่าง กะขนาดประมาณหกเสื่อที่มีเฟอร์นิเจอร์แค่โต๊ะทำงานติดผนังกับเก้าอี้มีล้อ  หันหลังให้ตู้หนังสืออัดแน่นด้วยตำราทำขนมและหนังสืออ้างอิงอื่นๆเรียงเต็มผนังอีกด้าน  ถัดไปเป็นประตูบานหนึ่งที่คงเชื่อมกับห้องครัว  ส่วนผนังด้านโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยกระดาษวาดเขียนเนื้อดีขนาดเอสี่เขียนสูตรขนมหลากหลายชนิดด้วยลายมือเป็นระเบียบ พร้อมรูปวาดประกอบแปะทั่วพื้นที่จนมองไม่เห็นตัวผนัง  บนโต๊ะมีสมุดวาดเขียนแบบฉีกวางอยู่ ทับด้วยกล่องสีไม้  สีเมจิกและกระป๋องอุปกรณ์วาดเขียนอื่นๆ นาฬิกาตั้งโต๊ะสีดำเรียบๆ ตั้งอยู่ข้างโคมไฟสำหรับอ่านหนังสือสีเดียวกัน



ภายในห้องทำงานของคาซึกิ ชินมีเพียงเท่านี้



ดวงตาเรียวรีของแขกไม่ได้รับเชิญกราดมองทั่วห้องอีกครั้งเพื่อคำนวณคร่าวๆ ว่าน่าจะใช้กล่องกระดาษสำหรับเก็บของกี่ใบ เสียงเข็มนาฬิกาเรียกให้หยิบนาฬิกาตั้งโต๊ะขึ้นดูเวลา  แปลกใจเล็กน้อยที่มันยังเดินอยู่ แต่กลไกคงจวนเจียนหมดอายุขัยเต็มทีจึงได้บอกเวลาเร็วกว่านาฬิกาข้อมือของเขาไปสองชั่วโมงกว่า



กลัวว่าตนเองจะเผลอมองนาฬิกานี้และเข้าใจเวลาผิด  ทาคุยะจัดการปรับมันให้เท่ากับนาฬิกาข้อมือ วางคืนที่เดิมและก้าวไปยังประตู



กลิ่นหอมของขนมอบใหม่ลอดเข้ามาทางช่องใต้ประตูทำต้องขมวดคิ้วครั้นสัมผัสถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล



ก่อนเขาเข้ามาในนี้...ข้างนอกไม่ได้เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ จะว่าไปไม่หลงเหลือให้เปิดใช้แล้วด้วยซ้ำ ยิ่งกลิ่นขนมด้วยแล้ว ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่นาทีที่เขาเข้ามาข้างในห้องนี้



จะว่าใครสักคนซื้อเข้ามาก็ไม่น่าใช่...ต้องขนมจำนวนเท่าไรกันจึงจะส่งกลิ่นอบอวลถึงขั้นเข้ามาถึงด้านในนี้ได้



ไม่รอให้ความสงสัยค้างคาใจอีกต่อไป  ทาคุยะหมุนลูกบิดผลักบานประตูเปิดออกไป



เบิกตากว้าง กะพริบตาถี่



ภาพตรงหน้า ยากจะทำใจให้เชื่อได้



พื้นไม้โล่งว่างแทนที่ด้วยโต๊ะกลมกับเก้าอี้บุนวมหลายรูปแบบจัดวางสวยงาม  ซึ่งเขาจำได้ว่ายกหลายตัวในนั้นขึ้นท้ายรถหกล้อไปกับมือ หน้าต่างที่ถูกรูดม่านปิดตอนนี้เปิดออกรวบเป็นสองไข รับอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นของต้นฤดูใบไม้ผลิและเชยชมความสวยงามของดอกซากุระบานสะพรั่ง กลิ่นหอมของขนมอบใหม่มาจากขนมเค้กหน้าตารับประทานตั้งอวดโฉมในตู้กระจกใสตรงหน้าเขา



เป็นไปไม่ได้...ทาคุยะโซเซออกจากหลังเคาน์เตอร์ไปยืนกลางร้าน  หันรีหันขวางเหมือนเด็กหลงทาง ปฏิทินแขวนบนผนังหลังเคาน์เตอร์ตอกย้ำเหมือนค้อนปอนด์ทุบกลางศีรษะเมื่อเห็นตัวเลขที่ยังไม่ถูกขีดกากบาททับและตัวเลขศักราชที่มองอย่างไรก็เป็นของสองปีที่แล้ว



ถ้าเขาย้อนเวลามาสองปีก่อนจริง ก็แสดงว่า...



เสียงเปิดประตูจากด้านข้างเคาน์เตอร์ที่เขาจำได้แม่นยำว่าเป็นส่วนของห้องครัวและห้องเก็บวัตถุดิบ ตามด้วยกลิ่นหอมของขนมเค้กเพิ่งทำเสร็จกรุ่นจากเตากระทบนาสิก  เรียกให้หันมองด้วยใจระทึก



นัยน์ตากลมโตสีน้ำผึ้งแววสนเท่ห์ในกรอบแพขนตายาวของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลรูปร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนยาวสีดำกำลังจ้องมาทางคนแปลกหน้า  คือสิ่งที่แรกเข้ากระทบคลองสายตา รับคิ้วเข้มเรียวสวยเลิกขึ้นน้อยๆ  เมื่อประกอบกับจมูกโด่งเป็นสันเกินมาตรฐานคนญี่ปุ่นและริมฝีปากอิ่ม  รวมเป็นเครื่องหน้าคมหวานตัดกับผิวขาวจัดบนวงหน้าเรียวได้รูป ดึงดูดสายตาแต่แรกพบ



แม้จะเคยเห็นอีกฝ่ายในสภาพที่ผิดกับตรงหน้าชนิดหน้ามือกับหลังมือ  แต่ทาคุยะก็จำคนที่มาตอกย้ำว่าสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ซึ่งเขากำลังเผชิญอยู่นั้น  มันเป็นไปแล้วได้....



“ขอโทษนะครับ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน แต่คุณลูกค้าก็นั่งรอก่อนได้นะครับ”



สำเนียงนาสิกที่เอ่ยออกมาจากหน้าประตูครัวพร้อมรอยยิ้มแต้มบางเบาบนกลีบปาก....ยิ่งย้ำให้ประจักษ์แจ้ง



คาซึกิ ชิน...ยืนอยู่ตรงหน้าเขา



และคุโรซาวะ ทาคุยะ ได้ย้อนเวลากลับมาในช่วงร้านของเจ้าตัวยังดำเนินกิจการ  ซ้ำอาจจะเพิ่งเปิดร้านได้ไม่นานด้วยซ้ำ



หรือว่าจะเป็น ‘ลิขิต’ ที่บาทหลวงชราบอกไว้เมื่อหลายคืนก่อน พาเขามาช่วยเหลือฝ่ายนั้นดังใจปรารถนา



คิดเช่นนั้นแล้วทาคุยะก็หวั่นใจขึ้นมาครามครัน



ไม่ว่าจะตำนานบทใดที่ได้รับรู้จากสื่อตั้งแต่จำความได้



สนนราคาแลกเปลี่ยนความปรารถนา  มักจะต้องจ่ายแพงเสมอ



ก้มหน้าระบายลมหายใจกลัดกลุ้ม  เห็นรองเท้าผ้าใบคู่เก่าเปื้อนฝุ่นและกางเกงยีนสีเข้มสภาพไม่ต่างกันก็ฉุกใจ  เงยขึ้นหันมองเงาสะท้อนของตนเองจากประตูไม้กรุกระจกใส



ผู้ชายอายุยี่สิบหก แต่รูปร่างเล็ก ส่วนสูงหยุดพัฒนาตั้งแต่ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เช่นเดียวกับใบหน้าที่เหมือนไม่มีความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย  ทำให้ถูกเข้าใจผิดเรื่องอายุบ่อยครั้งจนระอาและชินชาในที่สุด



ภาพจากกระจกทำให้เขารู้ตัวว่าตอนนี้อยู่ในเสื้อยืดสีดำกับกางเกงเต็มไปด้วยฝุ่น  ผ้าโพกศีรษะชุ่มเหงื่อสีเดียวกับเสื้อและหน้ากากกันฝุ่นคาดปิดใบหน้า สารรูปมอมแมมดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้วางใจ จนนึกสงสัยว่าทำไมเจ้าของร้านไม่ตะเพิดออกไปจากร้าน



“อ่า...” ทาคุยะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างประหม่า  ก้าวถอยไปยังประตู ขณะนี้คิดออกแค่ว่าตนต้องกลับออกไปตั้งหลักก่อนเป็นอันดับแรก “ขอโทษนะครับ ผมเพิ่งออกกะมา เบลอได้ที่เลย ไป...ก่อนนะครับ”



จะรู้ตัวว่าที่พูดอึกอักใส่ดวงตากลมหวานประกายฉงนไปนั้นงี่เง่าแค่ไหน  ก็พลั้งปากออกไปเรียบร้อยแล้ว



นายทำอะไรลงไปวะคุโรซาวะ



ตีอกชกหัวอยู่ไม่นานก็รีบรวบรวมสติวางแผนว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไป  ประการแรกคงต้องนึกให้ออกว่าวันเดือนปีนี้ เขาทำอะไร อยู่ที่ไหน  เพื่อจะระวังไม่ให้ไปจ๊ะเอ๋กับตนเองในอดีตเข้า



ไม่รู้ว่าในการ์ตูนหรือสารพัดหนังที่เคยดูมาจะจริงหรือโม้แค่ไหน  การที่อยู่ๆเจอคนหน้าเหมือนตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องปกติหรือควรจะให้มันเกิดเท่าไรนัก




ถ้าจำไม่ผิด...ช่วงนี้เขาตามหัวหน้าแผนกไปประชุมและตรวจงานที่ต่างประเทศนานหนึ่งสัปดาห์  พอดีกับพ่อและแม่ไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมือง  กว่าจะกลับก็อีกสองหรือสามวัน  เท่ากับว่าตอนนี้จะย่องกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีและอยู่พักตั้งสติวางแผนต่อได้สบาย



กุญแจบ้านสำรองก็อยู่ตรงใต้กระถางต้นไม้หน้าบ้าน....หมดปัญหาไปอีกหนึ่ง




ตอนนี้เหลือปัญหาสุดท้ายที่ต้องกังวลคือเรื่องเงิน หากไม่มีเงินขึ้นรถไฟกลับบ้านก็เท่ากับว่าจบเห่ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม  ให้เดินเท้าระยะทางสี่สถานีรถไฟใต้อุณหภูมิต้นสิบองศาโดยไม่มีเสื้อตัวหนาสวมทับให้ความอบอุ่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทาคุยะคิดจะทำ



โชคยังเข้าข้างเขาอยู่บ้างเมื่อมือสัมผัสเจอกระเป๋าสตางค์เสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกง




------------------------------------------------------------------------








สันชาตญาณหวาดระแวงของทาคุยะถูกปลุกตื่นตัวเต็มที่เมื่อกลับมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านเบเกอรี่       ของคาซึกิ ชินในวันต่อมา

           



‘รับสมัครพนักงาน 1ตำแหน่ง’ ป้ายตัวอักษรพิมพ์บนกระดาษเอสี่แปะไว้ตรงหน้าประตูเขียนบอกแบบนั้น

           

ทุกสิ่งล้วนเป็นใจให้ทุกอย่างราบรื่นจนน่าสงสัย  ยิ่งหลังจากเอาเขาเดินเข้าไปพร้อมกับเอกสารประกอบการสมัครงานและเจ้าของร้านตกลงรับแทบจะทันที  ทาคุยะยิ่งขมวดคิ้ว แม้ว่าถึงไม่มีประกาศรับสมัครงาน  เขาก็ตั้งใจว่าจะตื๊อจนกว่าจะได้ทำงานร้านนี้ก็ตามที

           

มันเริ่มจากเมื่อวันก่อนเขากลับบ้านไปตั้งหลักตามความตั้งใจ  แช่น้ำอุ่นผ่อนคลายและครุ่นคิดแผนการอยู่ในห้องน้ำอยู่พักใหญ่ สุดท้ายได้ความว่าก่อนสิ่งอื่นใดเขาต้องหาทางเข้าไปมีส่วนร่วมในร้านเบเกอรี่นั้นให้ได้เสียก่อน

           

คิดจะเข้าไปทำงาน...ก็ต้องสมัครงาน



ทาคุยะค้นหาเอกสารจำเป็นในห้องของตนประวัติที่เคยกรอกเผื่อไว้สำหรับ ‘ร่อน’ ไปตามบริษัทต่างๆยังอยู่  แต่รายละเอียดบนนั้นทำให้หัวคิ้วสองข้างพุ่งเข้าชนกัน

           

เขาจำได้ว่าตนเองไม่ได้จบการศึกษาขั้นสูงสุดที่ชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในชีวิต  และก็ไม่มีประสบการณ์ทำพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟมากมายขนาดนี้ด้วย...ที่สำคัญคือภูมิลำเนาเขาอยู่ซับโปโรเสียที่ไหนเล่า!

           

‘ลิขิต’ เล่นตลกอะไรกับเขากันแน่

           

 ถึงกระนั้นทาคุยะก็ไม่ได้แก้ข้อมูลประวัติแต่อย่างใด  รอดูต่อไปว่านับจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น

           

เขาเชื่อว่าโชคชะตาหรือจะคำเรียกใดก็ตามแต่ มีเหตุผลในตัวของมันเสมอ

           

“บ้านของคุณอยู่ซับโปโรหรอ  แล้วตอนนี้พักที่ไหน”

           

สำเนียงนาสิกน่าฟังของเจ้านายหมาดๆเอ่ยถามเรียบๆ แม้น้ำเสียงเย็นชา แต่สัมผัสถึงความอารีได้ในกระแส  เรียกกลับมาสู่ความเป็นจริงและส่งยิ้มที่ดูแห้งแล้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้คู่สนทนา

           

สภาพคลุกฝุ่นเมื่อวันก่อน  อุปโลกน์เป็นคนงานก่อสร้างก็พอเชื่อได้อยู่

           

“คอนเทนเนอร์ของไซต์น่ะครับ  แต่ตอนนี้งานเสร็จแล้ว ผมว่าจะหาที่พักใหม่แถวนี้”

           

ใช่...เขาต้องหาที่พักใหม่  เพราะถ้าให้พักอยู่บ้านมันก็เสี่ยงเกินไป

           

“ไม่ต้องลำบากหาใหม่หรอกครับ ที่นี่มีห้องว่างอยู่ข้างบน คุณพักที่นี่ได้” คาซึกิเสนออย่างเอื้อเฟื้อ พนักงานใหม่รีบละลำละลักกล่าวขอบคุณด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนพระมาโปรด ริมฝีปากวาดยิ้มที่ดูเจียมตัวและซาบซึ้งใจที่สุด ตีบทแตกสมกับที่เป็นดาราเจ้าบทบาทประจำชมรมการแสดงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย



สวนทางความต้องการแท้จริงซึ่งอยากจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างอ่อนใจ


           

 ใจดีเกินไปหรือเปล่าครับคุณ...ไว้ใจผมง่ายเกินไปหรือเปล่า  ไม่กลัวผมจะยกเค้าเลยหรือ

           

ลอบถอนหายใจยาว ขณะเดินตามคนตาโตที่แนะนำส่วนต่างๆในร้านไปพร้อมกับบอกรายละเอียดงานของเขา  จับสังเกตได้ว่าฝ่ายนั้นแทบจะไม่สบตาเขา แม้ดูเหมือนเจ้าตัวจะพยายามแล้วก็ตามที

           

เมื่อนำมารวมกับท่าทางดูเย็นชาในตอนแรกซึ่งสวนทางกับถามเรื่องที่อยู่ของลูกจ้างคนใหม่อย่างเอาใจใส่...ทาคุยะก็พยายามซ่อนยิ้มในหน้า

           

เป็นคนขี้อายสินะ



หน้าที่ของเขาในฐานะลูกจ้างร้านนี้ก็ทำนองเดียวกับพวกลิงทโมนสามตัวทำทุกวันที่ร้านกาแฟ  เตรียมของก่อนเปิดร้านตอนเช้า ประจำตรงเคาน์เตอร์คอยต้อนรับลูกค้าและคิดเงิน  เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นร้านขนมและสลับบทบาทจากเจ้าของกิจการมาเป็นพนักงานในร้าน


           

ทว่าทาคุยะตระหนักดีว่าหน้าที่ของตนไม่ได้มีเพียงตามเจ้านายหน้าหวานมอบหมาย...

           

ดวงตาสีเข้มมองตามเรียวมือขาวจัดราวน้ำนมตัดกับสีช็อกโกแลตที่เทลงประดับบนหน้าเค้ก ไล่ไปหยุดยังริมฝีปากอิ่มเต็มยกยิ้มน้อยๆส่งประกายเปี่ยมสุขขึ้นมาถึงนัยน์ตาคู่หวานล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนเรียงเป็นแพขยับตามจังหวะกะพริบตา

           

คล้ายจะรู้ตัวว่าถูกมอง ฝ่ายนั้นหันมายิ้มและยื่นถ้วยช็อกโกแลตในมือให้ ท่าทีนั้นมีความประหม่าชัดเจนอย่างน่าเอ็นดู

           

“ลองทำดูมั้ยครับคุโรซาวะซัง”

           

วินาทีนั้น  สัญญากับตนเองและสิ่งที่ใดก็ตามแต่ที่ส่งเขาย้อนเวลามาที่นี่  ว่าจะทำทุกวิถีทางให้สองปีข้างหน้ายังมีร้านนี้อยู่…

           

...เพื่อปกป้องรอยยิ้มสดใส  ไม่ให้ถูกพรากไปจากคนตรงหน้า



TBC.

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ชอบบบ ☺️☺️☺️
ติดตามนะคะ เนื้อเรื่องสนุก ภาษาไหลลื่นมาก
ปนเศร้านิดๆ อยากรู้ว่าช่วงสองปีจะพบอะไรบ้าง  :hao5:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ขอให้มีแต่ความสุข อย่าป่วย อย่าจากไปเลยนะ  :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด